ตอนที่ 2 วิธีจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
เช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ผมตื่นเร็วกว่าปกติ และวันนี้ไม่ได้ทำข้าวเช้าให้ทุกคนแบบปกติ แต่ผมเดินไปที่สะพานแห่งความตาย
“เฮ้ โรมะ ข้าวเช้าเสร็จแล้วเหรอ?”
เพื่อนชายคนหนึ่งที่เป็นยามเฝ้าหันมาทัก ส่วนแฟนสาวเขาก็เพียงแค่ยิ้มให้
“อ้อ ยังหรอก ว่าจะข้ามไปฝังนู้นหน่อยก่อน”
“เอ๋? จะไปเอาวัตถุดิบเหรอ เอ่อ แล้วไหนทีมล่าล่ะ”
“เปล่า ไม่ได้ไปล่าอะไรหรอก แต่จะไปเจรจาอะไรสักหน่อย”
“พูดอะไรของแกเนี่ย ละเมอหรือเปล่า”
“เอาเถอะ แต่นายช่วยอะไรฉันอย่างสิ”
“ได้อยู่แล้ว ว่ามาเลย”
“จนกว่าฉันจะกลับมา ห้ามใครข้ามไปฝังนู้นเด็ดขาดนะ”
“หือ? อะไรของแกเนี่ย”
“ทำตามที่บอกเถอะน่า เรื่องนี้สำคัญนะ ถ้าสำเร็จพวกเราอาจได้กลับบ้านเลย”
“กลับบ้าน…เฮ้ย นี้แกพูดจริงเหรอ!”
เพื่อนชายต้องใช้เวลาพักหนึ่งก่อนจะเข้าใจสิ่งที่ผมบอกไป
“เอ่อ แล้วถ้าไม่สำเร็จล่ะ”
แต่แฟนสาวของเพื่อนชายกลับถามในอีกแง่มุมหนึ่งออกมาอย่างเป็นกังวล
“อืม…ถ้าหลังเที่ยงแล้วฉันยังไม่กลับมา ก็ให้ทุกคนดำเนินชีวิตไปตามปกติได้เลย”
“ไม่เอาน่า ถึงจะพูดเล่นแต่ไม่ตลกนะเฟ้ย”
“ก็ไม่ตลกน่ะสิ อย่าลืมนะ ห้ามใครข้ามไป ไม่งั้นการเจรจาล้มเหลวแน่”
พอบอกเสร็จผมก็เดินข้ามสะพานไปโดยไม่รอตอบคำถามอะไรอีก
“ดะ เดี๋ยวสิ จะไปคนเดียวจริงๆ เหรอ เฮ้ย บอกว่าเดี๋ยวไง!”
เพื่อนชายรีบให้แฟนสาวไปตามทุกคนมา เพราะเหมือนโรมะจะไม่ได้พูดเล่นซะแล้ว
และถึงเขาจะไม่ถูกนับเป็นกำลังรบ แต่ทุกคนตระหนักได้ถึงความสำคัญของโรมะ การที่พวกเขาได้กินอิ่มนอนสบายกันทุกวันนี้ ก็เพราะโรมะจัดการทุกอย่างให้ ทุกคนเลยได้ออกไปต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ ถ้าตอนนี้ขาดโรมะไป ชีวิตความเป็นอยู่จะเข้าสู่ยุคมืดทันที
……………
ทันทีที่ผมข้ามฝังมา ก็ถูกฝูงมอนสเตอร์รุมล้อมตามที่คาดไว้ แต่ผมก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแค่อย่างใด เพราะอะไรนะเหรอ เหตุผลง่ายนิดเดียว เพราะที่ปราสาทแห่งนี้มีห้องสมุด การที่มีห้องสมุด ก็แปลว่าเจ้าพวกนี้มีการศึกษา อย่างน้อยขั้นต่ำสุดก็น่าจะสื่อสารกันได้อยู่
“อย่าพึ่งลงมือ ผมไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ แต่อยากจะขอเจรจากับผู้นำในตอนนี้ของพวกคุณ”
“ภาษาปีศาจ!? เจ้าผู้กล้าคนนี้พูดภาษาพวกเราได้!”
ปีศาจในชุดเกราะเหล็กทำเสียงตกใจออกมา พวกปีศาจตัวอื่นๆ ก็เหมือนกัน
“ผมได้เรียนรู้ภาษาของพวกคุณจากในห้องสมุดแล้ว แต่การออกเสียงของผมยังไม่ค่อยดีเท่าไร”
“ไม่ดีของนายเนี่ย พูดชัดกว่าเจ้านี้อีกนะ”
ปีศาจในชุดเกราะชี้ไปที่เจ้าซอมบี้ที่ได้ส่งเสียง อือ อา ออกมา
“อุบ!”
ผมเกือบหลุดหัวเราะออกมาเพราะมุกตลกของพวกปีศาจ
“แต่นายเป็นผู้กล้าไม่ใช่เหรอ ไม่รู้หรือไง การเรียนรู้ภาษาปีศาจของพวกเรามีความผิดนะ มันเป็นกฎต้องห้ามของพวกมนุษย์”
“กฎของคนโลกนี้ไม่ใช่กฎของผม ทั้งๆ ที่สื่อสารกันได้แท้ๆ แต่กลับมาห้าม กฎบ้าๆ แบบนี้ช่างหัวมัน!”
“พูดได้ดี! ท่านจอมมารคนก่อนก็เคยพูดไว้แบบนั้น”
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน อย่างไงเจ้านี้ก็เป็นผู้กล้านะ อาจวางแผนลอบเข้ามาโจมตีพวกเราจากข้างในก็ได้”
ปีศาจยักษ์สองหัวค้านกันเอง แต่ผมคิดไว้แล้วว่าพวกเขาอาจจะไม่เชื่อ
“มีใครมีสกิลตรวจสอบบ้างไหม ลองตรวจสอบความสามารถผมก็ได้ ตอนนี้ผมเลเวลแค่ 1 ไม่มีความสามารถด้านต่อสู้ด้วย”
สักพักก็มีปีศาจสามตาก้าวออกมาจากกลุ่ม และก้มๆ เงยมองดูผมสักพัก ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับคนอื่นๆ
“เขาไม่ได้โกหก”
“จะว่าไปข้าก็ไม่เคยเจ้านี้มาก่อน”
ปีศาจชุดเกราะยื่นยันด้วยอีกเสียงทำให้ตัวอื่นๆ เริ่มเชื่อ
“งั้นพาไปหาท่านมุเอมะเถอะ”
“ไปๆ”
จากนั้นผมก็ถูกนำทางเข้าไปในพื้นที่ปราสาทส่วนลึก ที่ไม่เคยมีพวกผมคนใดก้าวเข้าไปถึง
มันคือพื้นที่ท้องพระโรงขนาดใหญ่ ถึงจะดูทรุดโทรมและให้บรรยากาศทึบๆ ไปสักหน่อย แต่ยังแสดงถึงความยิ่งใหญ่ในครั้งอดีตให้เห็นได้อยู่บ้าง
ตลอดสองข้างทาง และระเบียงสามชั้นที่ต่อกันขึ้นไป เต็มไปด้วยเหล่าปีศาจต่างๆ ชนิด ซึ่งต่างพากันตกใจ ที่เห็นมนุษย์เข้ามาถึงในนี้ได้ แต่พอปีศาจชุดเกราะซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหน่วยแนวหน้าอธิบายให้ทุกคนฟัง บรรยากาศก็ดูสงบและผ่อนคลายลงทันที
“ทางนี้”
ปีศาจชุดเกราะพาผมเข้าไปจนถึงด้านใน ซึ่งตรงนั้นมีปีศาจคนหนึ่งที่ค่อนข้างเด่น เพราะใส่ผ้าคลุมสีแดงทั้งตัว และมีผ้าพันคอเป็นเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา แถมยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างบัลลังก์ด้วย
“ท่านมุเอมะ ผู้กล้าคนนี้บอกว่าอยากจะเจรจากับพวกเราครับ”
“เจรจา? คิดว่าพวกเราโง่นักหรือไงเจ้าผู้กล้า ฆ่ามันซะ!”
“เดี๋ยวก่อน!!!”
ผมตะโกนสุดเสียงเพื่อห้ามการลงมือ
“หือ ภาษาปีศาจ!”
มุเอมะตกใจจนลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ครับ เขาพูดภาษาพวกเราได้”
“ผมรู้ว่าแค่พูดภาษาปีศาจได้ ไม่ทำให้พวกคุณเชื่อใจผมหรอก แต่อย่างน้อยให้เวลาผมก่อนเถอะ ถ้าเจรจากันแล้วเห็นว่าไร้ประโยชน์ จะฆ่าผมก็เชิญเลย เพราะอย่างไงผมก็ไม่มีทางสู้พวกคุณได้”
“เจรจา…พวกมนุษย์มีคำแบบนี้ด้วยเหรอ ตลอดเวลาสองพันปีที่ข้ามีชีวิตมา เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินคำนี้จากพวกมนุษย์ โดยเฉพาะจากผู้กล้าอย่างพวกเจ้า”
“ผมเองก็เคยคิดว่าพวกปีศาจมีแต่พวกก้าวร้าวชอบความรุนแรงและโหดเหี้ยม แต่พอได้ศึกษาดูจากในห้องสมุดแล้ว ผมก็เข้าใจดีเลยว่า พวกคุณเองก็มีอารยธรรม มีสังคม และสื่อสารกันได้”
“…”
มุเอมะเดินเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว จนมองตามแทบไม่ทัน รู้สึกตัวอีกที ตรงคอของผมก็ถูกบีบไว้แล้ว
“ถ้าแกมีลูกเล่นล่ะก็ ข้าจะเด็ดหัวแกทิ้งทันที”
“เชิญตามสบายเลย ว่าแต่นี้ยอมเจรจาแล้วใช่ไหม”
“…ไปเอาเก้าอี้มา”
มุเอมะปล่อยมือจากคอผม และหันไปสั่งพวกลูกน้อง พริบตาเดียวผมก็ถูกจับนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว แถมมีชาเสิรฟให้อีกต่างหาก
“แกอยากจะเจรจาอะไร”
มุเอมะถามขณะดึงฮู้ดที่ปิดหน้าอยู่ลง จนทำให้เห็นหน้าเป็นครั้งแรก ผมนี้ตะลึงค้างไปเลย เพราะถึงฟังจากเสียงจะทำให้รู้ว่าเป็นผู้หญิงก็เถอะ แต่ไม่คิดว่าเธอจะเป็นดาร์คเอลฟ แถมสวยสุดๆ
ผมสีเงินยาวสลวยดูนิ่มราวกับไหม ผิวสีแทนดูมีน้ำมีนวล รูปร่างก็ดีไม่มีไขมันแม้แต่น้อย ทั้งหน้าอกและสะโพก ต่างมีส่วนเว้าที่น่าหลงใหล
“สวยจริงๆ”
ผมถึงหลุดปากออกไป
“จะ จะ เจ้า!! นี้คิดจะมาล้อข้าเล่นหรือไง ฆ่ามันซะ!”
“เดี๋ยว!! ผมแค่ตะลึงความงามของคุณเลยหลุดปากออกไป ยกโทษให้ด้วยเถอะครับ”
“ขะ ข้าเนี่ยนะ”
“จะมีใครอีกล่ะ ว่าแต่คุณเป็นดาร์คเอลฟสินะครับ”
“อืม ใช่แล้ว กลัวล่ะสิ”
“ทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ? เอ่อ ถ้าบอกว่าสวยจนน่ากลัวล่ะก็ใช่เลย”
“นี้ยังจะพูดแบบนี้อีกเหรอ! ข้าโกรธจริงๆ แล้วนะ”
“ไม่พูดแล้วครับๆ งั้นผมเข้าเรื่องเลยนะ”
“ก็ว่ามาสักทีสิ”
มุเอมะเร่งรัดใส่แต่ก็ไม่สบตาผมแล้ว เธอสะบัดหน้าไปด้านข้างแทน
“คือว่า…ดูเหมือนว่าจอมมารจะยังไม่คืนชีพสินะครับ”
คำพูดแค่ประโยคเดียว ก็ได้เปลี่ยนบรรยากาศไปในทันที เพราะเรื่องของจอมมารเป็นความลับของทางฝ่ายปีศาจ ซึ่งตอนนี้บัลลังก์ยังคงว่างเปล่า แต่พวกเขาก็ปล่อยข่าวลื่อออกไปว่าจอมมารคืนชีพแล้ว เพื่อขู่ไม่ให้ฝ่ายมนุษย์บุกโจมตีในช่วงเวลาก่อนที่จอมมารจะคืนชีพกลับมาอีกครั้ง
“แกรู้ได้อย่างไง!”
“ผมอ่านจากบันทึกที่อยู่ในห้องสมุดนะ ถึงผมจะคำนวณเวลาคืนชีพของจอมมารไม่ได้ แต่ก็พอจะรู้ว่าถ้าจอมมารกลับมาแล้ว ปราสาทแห่งนี้จะฟื้นคืนพลัง และทำการลอยกลับขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง แต่เท่าที่เห็นนี้ ยังติดอยู่กับพื้นอยู่เลย”
“อึก!”
มุเอมะเถียงไม่ออก เพราะมันเป็นเรื่องจริง
“และเพราะจอมมารยังไม่คืนชีพ บรรดาขุนพลปีศาจเองก็ยังไม่ตื่นเหมือนกันสินะครับ ถึงว่าทำไมพวกผมถึงยังสู้มาได้ถึงตอนนี้”
ผมคิดอยู่ตั้งนานแล้วว่า เป็นถึงปราสาทจอมมาร แต่กลับไม่เห็นพวกตัวระดับบอสโผล่หัวออกมาเลย
“ยิ่งแกรู้ความลับแล้ว ก็ยิ่งต้องฆ่าปิดปากซะ”
“เอะอะก็ฆ่าลูกเดียวเลยนะ ผมบอกแล้วไงว่ามาเจรจา”
ผมถอนหายใจให้กับความใจร้อนของอีกฝ่าย
“ถึงอย่างไงพวกของแกก็รู้ความลับนี้แล้วสินะ แต่อย่าหวังว่าจะชนะพวกข้าได้ง่ายๆ เด็ดขาด ถึงจะต้องตาย พวกข้าก็จะปกป้องปราสาทนี้ไว้ให้ได้!”
“ผมไม่เคยบอกใครเรื่องนี้ มีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้ และอีกอย่างนะ ขืนตายไปแล้วจะปกป้องปราสาทอย่างไงล่ะ”
“แก!”
มุเอมะลุกขึ้นด้วยความโกรธ แต่ปีศาจอัศวินเข้ามาห้ามไว้
“ฟังเขาก่อนเถอะครับ”
“ก็ได้ แล้วแกจะเอาอย่างไง คิดจะใช้ความลับนี้บีบให้พวกข้ายอมแพ้สินะ”
“แบบนั้นก็ไม่เรียกว่าเจรจาสิ ที่ผมมาเนี่ย ก็เพื่อจะบอกว่า…พวกเราเลิกสู้กันเถอะ”
“เลิกสู้? แต่แกเป็นผู้กล้าที่ถูกอันเชิญมาไม่ใช่หรือไง”
“เรื่องนั้นทางพวกผมไม่รู้เรื่องด้วยเลยนะ เหมือนโดนยัดเหยียดให้เป็นมากกว่า คนอื่นจะคิดอย่างไงผมไม่รู้หรอกนะ แต่ผมไม่ชอบเลยสักนิด เราจะเป็นอะไรทำไมต้องให้คนอื่นมากำหนดด้วย”
“นี้เจ้าพูดจริงเหรอ”
“เพราะผมต้องการแสดงความจริงใจ ผมถึงมานี้ไงครับ”
“ถึงจะแบบนั้นก็เถอะ แต่พวกเจ้าก็ยังคงฆ่าฟันพวกข้าอยู่ดี”
“ทางฝ่ายนี้เองก็ฆ่าฟันพวกผมไปเหมือนกัน”
“ก็เพราะพวกเจ้ามาบุกรุก!”
“เปล่าครับ พวกผมถูกส่งมาที่นี้ทันทีเลยที่ถูกอันเชิญมา ใครมันเชิญมายังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้โยนความผิดไปก็ไม่ได้อะไรหรอก ผมคิดว่าถึงจะไม่มาโผล่ที่นี้ แต่ถ้าดำเนินเรื่องไปตามบทที่ถูกกำหนดไว้แต่แรก สุดท้ายพวกเราก็ต้องมาฆ่าฟันกันอยู่ดี เพราะแบบนั้นผมเลยอยากให้ทุกคนมองข้ามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว และย้อนกลับมามองถึงเหตุเพื่อหาทางแก้ไขกันดีกว่าครับ”
“นี้เจ้าต้องการจะบอกอะไรข้ากันแน่”
“บอกวิธีจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งไงครับ”
………………………..
“เฮ้ โรมะ ข้าวเช้าเสร็จแล้วเหรอ?”
เพื่อนชายคนหนึ่งที่เป็นยามเฝ้าหันมาทัก ส่วนแฟนสาวเขาก็เพียงแค่ยิ้มให้
“อ้อ ยังหรอก ว่าจะข้ามไปฝังนู้นหน่อยก่อน”
“เอ๋? จะไปเอาวัตถุดิบเหรอ เอ่อ แล้วไหนทีมล่าล่ะ”
“เปล่า ไม่ได้ไปล่าอะไรหรอก แต่จะไปเจรจาอะไรสักหน่อย”
“พูดอะไรของแกเนี่ย ละเมอหรือเปล่า”
“เอาเถอะ แต่นายช่วยอะไรฉันอย่างสิ”
“ได้อยู่แล้ว ว่ามาเลย”
“จนกว่าฉันจะกลับมา ห้ามใครข้ามไปฝังนู้นเด็ดขาดนะ”
“หือ? อะไรของแกเนี่ย”
“ทำตามที่บอกเถอะน่า เรื่องนี้สำคัญนะ ถ้าสำเร็จพวกเราอาจได้กลับบ้านเลย”
“กลับบ้าน…เฮ้ย นี้แกพูดจริงเหรอ!”
เพื่อนชายต้องใช้เวลาพักหนึ่งก่อนจะเข้าใจสิ่งที่ผมบอกไป
“เอ่อ แล้วถ้าไม่สำเร็จล่ะ”
แต่แฟนสาวของเพื่อนชายกลับถามในอีกแง่มุมหนึ่งออกมาอย่างเป็นกังวล
“อืม…ถ้าหลังเที่ยงแล้วฉันยังไม่กลับมา ก็ให้ทุกคนดำเนินชีวิตไปตามปกติได้เลย”
“ไม่เอาน่า ถึงจะพูดเล่นแต่ไม่ตลกนะเฟ้ย”
“ก็ไม่ตลกน่ะสิ อย่าลืมนะ ห้ามใครข้ามไป ไม่งั้นการเจรจาล้มเหลวแน่”
พอบอกเสร็จผมก็เดินข้ามสะพานไปโดยไม่รอตอบคำถามอะไรอีก
“ดะ เดี๋ยวสิ จะไปคนเดียวจริงๆ เหรอ เฮ้ย บอกว่าเดี๋ยวไง!”
เพื่อนชายรีบให้แฟนสาวไปตามทุกคนมา เพราะเหมือนโรมะจะไม่ได้พูดเล่นซะแล้ว
และถึงเขาจะไม่ถูกนับเป็นกำลังรบ แต่ทุกคนตระหนักได้ถึงความสำคัญของโรมะ การที่พวกเขาได้กินอิ่มนอนสบายกันทุกวันนี้ ก็เพราะโรมะจัดการทุกอย่างให้ ทุกคนเลยได้ออกไปต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ ถ้าตอนนี้ขาดโรมะไป ชีวิตความเป็นอยู่จะเข้าสู่ยุคมืดทันที
……………
ทันทีที่ผมข้ามฝังมา ก็ถูกฝูงมอนสเตอร์รุมล้อมตามที่คาดไว้ แต่ผมก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแค่อย่างใด เพราะอะไรนะเหรอ เหตุผลง่ายนิดเดียว เพราะที่ปราสาทแห่งนี้มีห้องสมุด การที่มีห้องสมุด ก็แปลว่าเจ้าพวกนี้มีการศึกษา อย่างน้อยขั้นต่ำสุดก็น่าจะสื่อสารกันได้อยู่
“อย่าพึ่งลงมือ ผมไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ แต่อยากจะขอเจรจากับผู้นำในตอนนี้ของพวกคุณ”
“ภาษาปีศาจ!? เจ้าผู้กล้าคนนี้พูดภาษาพวกเราได้!”
ปีศาจในชุดเกราะเหล็กทำเสียงตกใจออกมา พวกปีศาจตัวอื่นๆ ก็เหมือนกัน
“ผมได้เรียนรู้ภาษาของพวกคุณจากในห้องสมุดแล้ว แต่การออกเสียงของผมยังไม่ค่อยดีเท่าไร”
“ไม่ดีของนายเนี่ย พูดชัดกว่าเจ้านี้อีกนะ”
ปีศาจในชุดเกราะชี้ไปที่เจ้าซอมบี้ที่ได้ส่งเสียง อือ อา ออกมา
“อุบ!”
ผมเกือบหลุดหัวเราะออกมาเพราะมุกตลกของพวกปีศาจ
“แต่นายเป็นผู้กล้าไม่ใช่เหรอ ไม่รู้หรือไง การเรียนรู้ภาษาปีศาจของพวกเรามีความผิดนะ มันเป็นกฎต้องห้ามของพวกมนุษย์”
“กฎของคนโลกนี้ไม่ใช่กฎของผม ทั้งๆ ที่สื่อสารกันได้แท้ๆ แต่กลับมาห้าม กฎบ้าๆ แบบนี้ช่างหัวมัน!”
“พูดได้ดี! ท่านจอมมารคนก่อนก็เคยพูดไว้แบบนั้น”
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน อย่างไงเจ้านี้ก็เป็นผู้กล้านะ อาจวางแผนลอบเข้ามาโจมตีพวกเราจากข้างในก็ได้”
ปีศาจยักษ์สองหัวค้านกันเอง แต่ผมคิดไว้แล้วว่าพวกเขาอาจจะไม่เชื่อ
“มีใครมีสกิลตรวจสอบบ้างไหม ลองตรวจสอบความสามารถผมก็ได้ ตอนนี้ผมเลเวลแค่ 1 ไม่มีความสามารถด้านต่อสู้ด้วย”
สักพักก็มีปีศาจสามตาก้าวออกมาจากกลุ่ม และก้มๆ เงยมองดูผมสักพัก ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับคนอื่นๆ
“เขาไม่ได้โกหก”
“จะว่าไปข้าก็ไม่เคยเจ้านี้มาก่อน”
ปีศาจชุดเกราะยื่นยันด้วยอีกเสียงทำให้ตัวอื่นๆ เริ่มเชื่อ
“งั้นพาไปหาท่านมุเอมะเถอะ”
“ไปๆ”
จากนั้นผมก็ถูกนำทางเข้าไปในพื้นที่ปราสาทส่วนลึก ที่ไม่เคยมีพวกผมคนใดก้าวเข้าไปถึง
มันคือพื้นที่ท้องพระโรงขนาดใหญ่ ถึงจะดูทรุดโทรมและให้บรรยากาศทึบๆ ไปสักหน่อย แต่ยังแสดงถึงความยิ่งใหญ่ในครั้งอดีตให้เห็นได้อยู่บ้าง
ตลอดสองข้างทาง และระเบียงสามชั้นที่ต่อกันขึ้นไป เต็มไปด้วยเหล่าปีศาจต่างๆ ชนิด ซึ่งต่างพากันตกใจ ที่เห็นมนุษย์เข้ามาถึงในนี้ได้ แต่พอปีศาจชุดเกราะซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหน่วยแนวหน้าอธิบายให้ทุกคนฟัง บรรยากาศก็ดูสงบและผ่อนคลายลงทันที
“ทางนี้”
ปีศาจชุดเกราะพาผมเข้าไปจนถึงด้านใน ซึ่งตรงนั้นมีปีศาจคนหนึ่งที่ค่อนข้างเด่น เพราะใส่ผ้าคลุมสีแดงทั้งตัว และมีผ้าพันคอเป็นเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา แถมยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างบัลลังก์ด้วย
“ท่านมุเอมะ ผู้กล้าคนนี้บอกว่าอยากจะเจรจากับพวกเราครับ”
“เจรจา? คิดว่าพวกเราโง่นักหรือไงเจ้าผู้กล้า ฆ่ามันซะ!”
“เดี๋ยวก่อน!!!”
ผมตะโกนสุดเสียงเพื่อห้ามการลงมือ
“หือ ภาษาปีศาจ!”
มุเอมะตกใจจนลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ครับ เขาพูดภาษาพวกเราได้”
“ผมรู้ว่าแค่พูดภาษาปีศาจได้ ไม่ทำให้พวกคุณเชื่อใจผมหรอก แต่อย่างน้อยให้เวลาผมก่อนเถอะ ถ้าเจรจากันแล้วเห็นว่าไร้ประโยชน์ จะฆ่าผมก็เชิญเลย เพราะอย่างไงผมก็ไม่มีทางสู้พวกคุณได้”
“เจรจา…พวกมนุษย์มีคำแบบนี้ด้วยเหรอ ตลอดเวลาสองพันปีที่ข้ามีชีวิตมา เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินคำนี้จากพวกมนุษย์ โดยเฉพาะจากผู้กล้าอย่างพวกเจ้า”
“ผมเองก็เคยคิดว่าพวกปีศาจมีแต่พวกก้าวร้าวชอบความรุนแรงและโหดเหี้ยม แต่พอได้ศึกษาดูจากในห้องสมุดแล้ว ผมก็เข้าใจดีเลยว่า พวกคุณเองก็มีอารยธรรม มีสังคม และสื่อสารกันได้”
“…”
มุเอมะเดินเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว จนมองตามแทบไม่ทัน รู้สึกตัวอีกที ตรงคอของผมก็ถูกบีบไว้แล้ว
“ถ้าแกมีลูกเล่นล่ะก็ ข้าจะเด็ดหัวแกทิ้งทันที”
“เชิญตามสบายเลย ว่าแต่นี้ยอมเจรจาแล้วใช่ไหม”
“…ไปเอาเก้าอี้มา”
มุเอมะปล่อยมือจากคอผม และหันไปสั่งพวกลูกน้อง พริบตาเดียวผมก็ถูกจับนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว แถมมีชาเสิรฟให้อีกต่างหาก
“แกอยากจะเจรจาอะไร”
มุเอมะถามขณะดึงฮู้ดที่ปิดหน้าอยู่ลง จนทำให้เห็นหน้าเป็นครั้งแรก ผมนี้ตะลึงค้างไปเลย เพราะถึงฟังจากเสียงจะทำให้รู้ว่าเป็นผู้หญิงก็เถอะ แต่ไม่คิดว่าเธอจะเป็นดาร์คเอลฟ แถมสวยสุดๆ
ผมสีเงินยาวสลวยดูนิ่มราวกับไหม ผิวสีแทนดูมีน้ำมีนวล รูปร่างก็ดีไม่มีไขมันแม้แต่น้อย ทั้งหน้าอกและสะโพก ต่างมีส่วนเว้าที่น่าหลงใหล
“สวยจริงๆ”
ผมถึงหลุดปากออกไป
“จะ จะ เจ้า!! นี้คิดจะมาล้อข้าเล่นหรือไง ฆ่ามันซะ!”
“เดี๋ยว!! ผมแค่ตะลึงความงามของคุณเลยหลุดปากออกไป ยกโทษให้ด้วยเถอะครับ”
“ขะ ข้าเนี่ยนะ”
“จะมีใครอีกล่ะ ว่าแต่คุณเป็นดาร์คเอลฟสินะครับ”
“อืม ใช่แล้ว กลัวล่ะสิ”
“ทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ? เอ่อ ถ้าบอกว่าสวยจนน่ากลัวล่ะก็ใช่เลย”
“นี้ยังจะพูดแบบนี้อีกเหรอ! ข้าโกรธจริงๆ แล้วนะ”
“ไม่พูดแล้วครับๆ งั้นผมเข้าเรื่องเลยนะ”
“ก็ว่ามาสักทีสิ”
มุเอมะเร่งรัดใส่แต่ก็ไม่สบตาผมแล้ว เธอสะบัดหน้าไปด้านข้างแทน
“คือว่า…ดูเหมือนว่าจอมมารจะยังไม่คืนชีพสินะครับ”
คำพูดแค่ประโยคเดียว ก็ได้เปลี่ยนบรรยากาศไปในทันที เพราะเรื่องของจอมมารเป็นความลับของทางฝ่ายปีศาจ ซึ่งตอนนี้บัลลังก์ยังคงว่างเปล่า แต่พวกเขาก็ปล่อยข่าวลื่อออกไปว่าจอมมารคืนชีพแล้ว เพื่อขู่ไม่ให้ฝ่ายมนุษย์บุกโจมตีในช่วงเวลาก่อนที่จอมมารจะคืนชีพกลับมาอีกครั้ง
“แกรู้ได้อย่างไง!”
“ผมอ่านจากบันทึกที่อยู่ในห้องสมุดนะ ถึงผมจะคำนวณเวลาคืนชีพของจอมมารไม่ได้ แต่ก็พอจะรู้ว่าถ้าจอมมารกลับมาแล้ว ปราสาทแห่งนี้จะฟื้นคืนพลัง และทำการลอยกลับขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง แต่เท่าที่เห็นนี้ ยังติดอยู่กับพื้นอยู่เลย”
“อึก!”
มุเอมะเถียงไม่ออก เพราะมันเป็นเรื่องจริง
“และเพราะจอมมารยังไม่คืนชีพ บรรดาขุนพลปีศาจเองก็ยังไม่ตื่นเหมือนกันสินะครับ ถึงว่าทำไมพวกผมถึงยังสู้มาได้ถึงตอนนี้”
ผมคิดอยู่ตั้งนานแล้วว่า เป็นถึงปราสาทจอมมาร แต่กลับไม่เห็นพวกตัวระดับบอสโผล่หัวออกมาเลย
“ยิ่งแกรู้ความลับแล้ว ก็ยิ่งต้องฆ่าปิดปากซะ”
“เอะอะก็ฆ่าลูกเดียวเลยนะ ผมบอกแล้วไงว่ามาเจรจา”
ผมถอนหายใจให้กับความใจร้อนของอีกฝ่าย
“ถึงอย่างไงพวกของแกก็รู้ความลับนี้แล้วสินะ แต่อย่าหวังว่าจะชนะพวกข้าได้ง่ายๆ เด็ดขาด ถึงจะต้องตาย พวกข้าก็จะปกป้องปราสาทนี้ไว้ให้ได้!”
“ผมไม่เคยบอกใครเรื่องนี้ มีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้ และอีกอย่างนะ ขืนตายไปแล้วจะปกป้องปราสาทอย่างไงล่ะ”
“แก!”
มุเอมะลุกขึ้นด้วยความโกรธ แต่ปีศาจอัศวินเข้ามาห้ามไว้
“ฟังเขาก่อนเถอะครับ”
“ก็ได้ แล้วแกจะเอาอย่างไง คิดจะใช้ความลับนี้บีบให้พวกข้ายอมแพ้สินะ”
“แบบนั้นก็ไม่เรียกว่าเจรจาสิ ที่ผมมาเนี่ย ก็เพื่อจะบอกว่า…พวกเราเลิกสู้กันเถอะ”
“เลิกสู้? แต่แกเป็นผู้กล้าที่ถูกอันเชิญมาไม่ใช่หรือไง”
“เรื่องนั้นทางพวกผมไม่รู้เรื่องด้วยเลยนะ เหมือนโดนยัดเหยียดให้เป็นมากกว่า คนอื่นจะคิดอย่างไงผมไม่รู้หรอกนะ แต่ผมไม่ชอบเลยสักนิด เราจะเป็นอะไรทำไมต้องให้คนอื่นมากำหนดด้วย”
“นี้เจ้าพูดจริงเหรอ”
“เพราะผมต้องการแสดงความจริงใจ ผมถึงมานี้ไงครับ”
“ถึงจะแบบนั้นก็เถอะ แต่พวกเจ้าก็ยังคงฆ่าฟันพวกข้าอยู่ดี”
“ทางฝ่ายนี้เองก็ฆ่าฟันพวกผมไปเหมือนกัน”
“ก็เพราะพวกเจ้ามาบุกรุก!”
“เปล่าครับ พวกผมถูกส่งมาที่นี้ทันทีเลยที่ถูกอันเชิญมา ใครมันเชิญมายังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้โยนความผิดไปก็ไม่ได้อะไรหรอก ผมคิดว่าถึงจะไม่มาโผล่ที่นี้ แต่ถ้าดำเนินเรื่องไปตามบทที่ถูกกำหนดไว้แต่แรก สุดท้ายพวกเราก็ต้องมาฆ่าฟันกันอยู่ดี เพราะแบบนั้นผมเลยอยากให้ทุกคนมองข้ามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว และย้อนกลับมามองถึงเหตุเพื่อหาทางแก้ไขกันดีกว่าครับ”
“นี้เจ้าต้องการจะบอกอะไรข้ากันแน่”
“บอกวิธีจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งไงครับ”
………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น