ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 5 - 7 By Kumao





ตอนที่ 5 NTR ดาเซส
วันรุ่งขึ้นผมก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง แปลกใจนิดหน่อยที่มุเอมะไม่ได้ห้าม นอกจากแต่จะพยายามให้เอาสมบัติกับอาวุธระดับตำนานในคลังไปด้วย เพื่อจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย แต่ผมอยากเริ่มต้นที่หนึ่งแบบคนทั่วไป แถมเรื่องเงินผมก็พอคิดไว้แล้วว่าจะหามาอย่างไง เลยไม่เอาอะไรไปเลย
นอกจากหน้ากากที่ใช้ซ่อนค่าพลังกับสกิลเอาไว้ ซึ่งพอส่วมมันลงบนหน้า ตัวหน้ากากสีขาวเรียบๆ ก็กลืนหายไปกับใบหน้า แต่มันก็ได้เปลี่ยนใบหน้าผมเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบ ที่มีหน้าตาหื่นกามสุดๆ ขนาดผมส่องกระจกดูตัวเอง ยังอยากหันหน้าหนีเลย
เป้าหมายของผมคือเมืองหลวงของนักผจญภัย เมืองแห่งดันเจี้ยน กรอซ่า แต่มันอยู่คนละมุมโลกกับปราสาทจอมมารเลย แต่มุเอมะก็มีวิธีพาผมไปส่งได้ในพริบตา ด้วยเวทมนต์พิเศษ ซึ่งจะทำงานก็ต่อเมื่อปราสาทลอยขึ้นสู่ฟ้าแล้ว มันเป็นเวทมนต์ที่เชื่อมต่อไปในดันเจี้ยน ซึ่งมีเผ่าปีศาจเป็นบอสเฝ้าอยู่ แต่ได้เฉพาะขาไปส่วนขากลับผมต้องใช้แหวนวาปร์มาที่ปราสาทเอง
ใกล้ๆ กับเมืองกรอซ่า มีดันเจี้ยนที่มีเผ่าปีศาจควบคุมอยู่พอดี ผมจึงถูกส่งตัวมาที่นี้พร้อมกับลุงปีศาจสามตา ผมจำชื่อได้ไม่หมดทุกคนหรอก แต่ลุงปีศาจสามตาคนนี้มีชื่อว่า คลูนิส เหตุที่ลุงต้องมาด้วย เพราะพวกปีศาจบางคนโดยเฉพาะพวกที่อยู่ไกลๆ แบบนี้ มักจะตกข่าวทำให้ยังไม่รู้จักจอมมารคนใหม่ ลุงเลยต้องมาแนะนำ ถึงจริงๆ แค่ผมใส่เกราะจอมมารก็จบเรื่องแล้วแท้ๆ
“ทะ ท่านจอมมาร!”
บอสดันเจี้ยนแห่งนี้เป็นมังกรดิน แต่ถึงเป็นมังกรก็เป็นเผ่าปีศาจ อย่างเดียวกับมุเอมะที่เป็นดาร์คเอลฟ แต่ก็ถูกนับเป็นเผ่าปีศาจ เพราะทั้งมังกรและดาร์คเอลฟต่างทำสัญญารับใช้จอมมาร ถึงยกระดับให้เป็นเผ่าปีศาจไปด้วย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเผ่าทีเดียว ที่ถูกเรียกว่าเป็นเผ่าปีศาจ
และตอนนี้คุณมังกรดินที่ตัวใหญ่สูงเกือบสิบเมตร กำลังหมอบแทบเท้าผมอยู่ล่ะ
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ท่านจอมมารเป็นคนง่ายๆ”
ลุงคลูนิสช่วยไว้พอดี เกือบลืม ตำแหน่งของคลูนิสนั้นคือที่ปรึกษาภายใน มีหน้าที่คอยตรวจสอบสิ่งที่น่าสงสัยทุกอย่าง เพราะสกิลของคลูนิสตรวจดูได้ทุกอย่าง ดียิ่งกว่าสกิลตรวจสอบอีก
“ผมชื่อโรมะ จากนี้ไปต้องให้ช่วยแล้วนะครับ”
ผมเกรงใจอีกฝ่ายมากกว่าอีก ก็นี้มังกรเชี่ยวนะ มังกรตัวเป็นๆ เลยล่ะ เกิดมาก็พึ่งเคยเห็น ตัวใหญ่มาก!
“กล่าวอะไรเช่นนั้น! การที่ข้าได้รับใช้ท่านจอมมารนับเป็นเกียรติอย่างสูงยิ่ง!”
“ดราเกีย อย่าเยอะ”
เจอคลูนิสว่าไปซะแล้ว สรุปคลูนิสนี้ใหญ่กว่าคุณมังกรอีกเหรอเนี่ย?
“จากนี้ไปขอฝากท่านจอมมารไว้กับแกด้วยนะ ข้าต้องกลับแล้ว”
คลูนิสบอกเสร็จก็วาร์ปกลับไปทันที ส่วนเรื่องที่ผมต้องให้ดราเกียช่วยก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากให้พากลับออกไปจากดันเจี้ยนนี้เท่านั้นเอง
แต่เพราะนี้เป็นดันเจี้ยนถ้ำใต้ดินที่ลึกถึงห้าสิบชั้น เลยต้องใช้เวลาในการเดินเท้าออกไปอยู่หลายชั่วโมง ดราเกียเองสามารถแปรงกายจนเป็นลูกมังกรตัวเล็กๆ คอยบินนำทางให้ ด้วยที่มีเวลาว่างเยอะ ผมเลยถามเกี่ยวกับเรื่องที่อยากรู้เป็นการชวนคุยไปในตัว
อย่างชื่อดันเจี้ยนแห่งนี้คือ เฟรมเนส หรือที่นักผจญภัยเรียกที่นี้ในอีกชื่อว่า ดันเจี้ยนแห่งบททดสอบความกล้า เป็นดันเจี้ยนที่ไม่เคยถูกพิชิตมาก่อน ลึกสุดที่เคยมีนักผจญภัยเข้ามาคือชั้นยี่สิบสอง และทุกห้าชั้น จะมีปีศาจระดับบอสเฝ้าอยู่ ส่วนดราเกียเอง วันดีคืนดี รู้สึกเบื่อๆ ก็จะขึ้นไปชั้นบนๆ แล้วใช้ร่างแปรงจัดการกับพวกนักผจญภัย
ดราเกียยังบอกว่า ถ้าผมอยากจะมาเก็บเลเวลก็เชิญมาที่นี้ได้เลย เพราะใช่ว่ามอนสเตอร์ทุกตัวในนี้จะเป็นเผ่าปีศาจ โดยเฉพาะพวกชั้นบนๆ ต่างเป็นพวกมอนสเตอร์ผลัดถิ่น ที่โดนดันเจี้ยนดึงดูดมา แต่ถึงเป็นเผ่าปีศาจก็เชิญฆ่าได้ตามใจชอบได้เหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นดราเกียเองก็เต็มใจถูกผมฆ่าเพื่อใช้เก็บเลเวล
นี้ทำให้ผมได้รู้ความลับของดันเจี้ยนอีกอย่างหนึ่งว่า มอนสเตอร์ที่อยู่ในดันเจี้ยน ไม่มีวันตาย ถึงจะถูกฆ่าจะกลายสภาพเป็นไอเท็ม หรือถึงตัดหั่นร่างกายไป แต่พลังของดันเจี้ยนก็จะชุบชีวิตขึ้นมาให้ใหม่ โดยจะใช้เวลาต่างกันยิ่งมีพลังมากแค่ไหน ก็จะยิ่งคืนชีพช้า อย่างดราเกียเองถึงไม่เคยถูกฆ่ามาก่อน แต่เดาๆ เอาว่าคงไม่ต่ำกว่าเดือนหนึ่งกว่าจะคืนชีพได้
ซึ่งนี้เป็นหลักการเดียวกับพวกขุนพลปีศาจ ที่ต่อให้ถูกทำลายไปอย่างไง แต่ก็ยังใช้พลังของจอมมารคืนชีพพวกเขากลับมาได้ใหม่
แต่หลักการการทำงานของดันเจี้ยน ต่างออกไปเล็กน้อย ต้องบอกว่าดันเจี้ยนอยู่ได้ด้วยตัวเอง พลังมาน่าที่ไหลออกมาจากเวทมนต์ เลือดที่ไหลลงพื้น ทุกสิ่งทุกอย่างถูกดันเจี้ยนใช้มาเป็นพลัง เพราะงั้นยิ่งสู้กันดันเจี้ยนก็จะยิ่งเติบโต อย่างที่นี้จากเดิมมีแค่ไม่กี่ชั้น แต่เพราะไม่ถูกพิชิตสักที มันเลยขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีถึงห้าสิบชั้นไปแล้ว ส่วนวิธีทำลายดันเจี้ยนกลับง่ายนิดเดียว ก็คือการทำลายหินพลังงาน ซึ่งอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของดันเจี้ยน หรือก็คือห้องของดราเกียนั้นเอง
เห็นว่ามีบางครั้ง ดันเจี้ยนถูกพิชิตแล้ว แต่หินพลังงานไม่ถูกทำลายก็มี เพราะนักผจญภัยต้องการให้มีดันเจี้ยนอยู่ต่อไป เหตุผลง่ายๆ ก็คือ มันเป็นแหล่งหาเงินนั้นเอง มอนสเตอร์เองก็อยากอยู่ในดันเจี้ยน เพราะทำให้เป็นอมตะ ส่วนนักผจญภัยก็อยากเข้าดันเจี้ยนเพื่อหาเงิน เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างได้สิ่งที่ต้องการ เช่นนั้นแล้วการพิชิตดันเจี้ยนเกือบทั้งหมด ล้วนทำไปเพื่อต้องการเพียงชื่อเสียงเท่านั้น
“ว่าไงครับท่านจอมมาร อยากจะเก็บเลเวลที่นี้เลยไหม ข้าคิดว่ามีหลายคนอยากได้รับเกียรติจากท่านเลยล่ะ”
“ผมฆ่าพวกเดียวกันไม่ลงหรอกครับ ยิ่งเห็นแบบนี้แล้ว คงไม่ได้มาที่นี้อีกแล้วล่ะ”
ผมมองดูพวกมอนสเตอร์ตามทาง ที่โค้งทำความเคารพให้ด้วยสีหน้าเบิกบาน ยิ่งมีเจ้าถิ่นนำทางแบบนี้ ดันเจี้ยนที่ดูหฤโหด ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปซะแล้ว ยังมีบอกทางลับกับจุดที่ดันเจี้ยนจะคายหีบสมบัติออกมาบ่อยๆ ให้อีกต่างหาก หมดกันอารมณ์ตะลุยดันเจี้ยน
ส่วนเรื่องของเมืองกรอซ่า ดราเกียไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะเขาไม่เคยออกไปจากดันเจี้ยน เลยรู้เฉพาะสิ่งที่อยู่ข้างในนี้เท่านั้น
พอขึ้นมาถึงชั้นที่ยี่สิบ ขณะที่ดราเกียกำลังพาผมผ่านเข้าไปในห้องบอสประจำโซนนี้ ก็ได้ยินเสียงการต่อสู้อยู่ข้างหน้า
เมื่อยื่นหน้าออกไปดู ก็เห็นซอมบี้ที่แต่งตัวเหมือนทหารนาซี รู้สึกว่าจะถูกเรียกว่า ผู้การซอมบี้ เป็นซอมบี้ระดับสูงที่สามารถเรียกลูกน้องออกมาได้เรื่อยๆ แถมอันเชิญพวกวิญญาณระดับกลางมาได้อีก อย่างนี้กลุ่มนักผจญภัยห้าคน ก็มีคนหนึ่งถูกวิญญาณเข้าสิงร่าง จนบังคับควบคุมร่างกายบิดงอผิดรูป ก่อนจะถูกกระดูกตัวเองที่หักทิ่มจนตาย
ส่วนอีกสองคนโดนกองทัพซอมบี้รุมทึ้งจนเหลือแต่กระดูกในพริบตา ที่เหลือรอดก็มีแค่อัศวินสาว กับนักธนูหนุ่มที่ดูเหมือนเป็นแฟนกัน แต่ก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน
“เจ้าพวกโง่เขลา”
ดราเกียพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ผมที่ใช้สกิลตรวจสอบกับพวกที่เหลือ ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนเป็นนักผจญภัยที่มีเลเวลสามสิบกว่า แต่เลเวลขนาดนี้ยังไม่รอดชั้นนี้เลยเหรอ ตกลงที่นี้มันโหดขนาดไหนกันแน่เนี่ย ดราเกียเหมือนจะอ่านสีหน้าผมออก เลยอธิบายให้ฟัง
“ระดับเจ้าสองคนนั้น อยู่รอดได้แค่ถึงชั้นสิบห้าครับ ถ้าจะผ่านชั้นนี้ไป อย่างน้อยต้องเลเวลสี่สิบและมีคณะนักบวชมาช่วยด้วย”
“แปลว่าที่นี้โหดมากเลยสินะ”
“ข้าไม่เคยไปที่ดันเจี้ยนอื่นเลย จึงบอกกับท่านไม่ได้ ขออภัยด้วยครับ”
“ไม่เป็นไรๆ แบบนี้สองคนนั้นก็ไม่รอดสินะ”
ผมมองไปที่นักผจญภัยที่ถอยไปจนถึงทางเข้า แต่ว่าออกไปไม่ได้ เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องบอส กลไกที่ประตูก็จะทำงาน ปล่อยหินยักษ์ลงมาปิดทางไว้ แถมยังมีกำแพงเวทมนต์ขังไว้อีกชั้น มีแต่ต้องปราบบอส หรือไม่ก็ตาย ประตูถึงจะเปิดออก
และแล้วนักธนูหนุ่มก็โดนเล่นงานจนได้ เขาถูกซอมบี้กัดเข้าที่ข้อเท้าจนขาด อัศวินสาวพยายามช่วยสุดชีวิต แต่สู้จำนวนซอมบี้ไม่ไหว เห็นได้ชัดว่าแขนของเธอเริ่มหมดแรงแล้ว
“…ช่วยบอกให้ผู้การปล่อยสองคนนั้นไปทีครับ”
“เอ๋? เป็นคนรู้จักกับท่านหรอกเหรอ”
“เปล่าหรอกๆ แต่ว่า…ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาใช้ได้เลย ปล่อยให้ตายไปก็รู้สึกเสียดายน่ะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว จะจัดการตามที่ท่านประสงค์เดี๋ยวนี้”
ดราเกียขานรับคำสั่ง และพุ่งออกไปพร้อมกับคืนร่างเป็นมังกรยักษ์ โดยทิ้งตัวขวางหน้าผู้การซอมบี้ไว้ แต่ไม่พูดอะไรเพียงแค่จ้องตากัน แต่เหมือนจะสื่อสารทางจิตกันได้ ผู้การซอมบี้เลยสั่งให้กองทัพของตัวเองกลับไป กำแพงเวทกับหินที่ปิดทางก็หายไปด้วย
ผู้การซอมบี้เองก็รู้งาน เลยปล่อยให้ผมใช้ห้องนี้ได้ตามสบาย ด้วยตัวเองกับดราเกียหลบลงไปชั้นอื่นแล้ว
ผมเดินเข้าไปหาอัศวินสาวกับแฟนหนุ่มของเธอ ซึ่งตอนนี้เธอกำลังพยายามพันผ้าเพื่อห้ามเลือดที่ข้อเท้าแฟนหนุ่มไว้
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ถ้าถูกซอมบี้กัดอีกเดี๋ยวก็จะตายและกลายเป็นซอมบี้ไปในที่สุด”
“คุณช่วยได้ใช่ไหม! ได้โปรดบอกทีเถอะว่าคุณช่วยได้”
ผมทำเป็นแกล้งหยุดคิด ทั้งๆ ที่เตรียมแผนมาแล้ว
“…ช่วยได้ครับ แต่ผมต้องให้คุณช่วยด้วยเหมือนกัน”
“ได้! ฉันจะทำให้ทุกอย่าง ได้โปรดช่วยเขาทีเถอะ”
“ตกลงครับ”
ผมตอบตกลงพร้อมกับดึงกางเกงลงและงัดดุ้นออกมาโชว์
“ไอ้บัดซบ! นี้แกจะทำอะไร”
“ก็จะช่วยแฟนคุณไง”
“แล้วทำไมแกต้องถอดกางเกงด้วย รีบเก็บแท่งโสโครกของแกไปเลยนะ!”
“จะดีเหรอ ถ้าผมไม่ช่วยล่ะก็ แฟนคุณได้เป็นซอมบี้แน่ๆ”
“งั้นก็รีบช่วยสักทีสิ!”
“ผมบอกแล้วไง ถ้าจะให้ผมช่วย คุณก็ต้องช่วยเหมือนกัน ว่าไงเวลาของแฟนคุณเหลือน้อยแล้วนะ”
“!!!”
อัศวินสาวเข้าใจความหมายแล้ว เธอถึงหยุดด่าผมและทำท่าคิดหนักแทน
“ดาเชสอย่าไปฟังมัน! ผมไม่ยอมให้มันแตะต้องเธอเด็ดขาด”
นักธนูร้องห้ามและพยายามลุกขึ้นเพื่อเดินหนีผมไป แต่พิษของซอมบี้รุนแรงมาก ถ้าใครโดนกัดไปจะมีอาการไข้ขึ้นสูงและร่างกายหมดแรง นักธนูเลยล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
“แกช่วยเขาได้แน่ใช่ไหม!”
อัศวินสาวที่ชื่อดาเซสถามย้ำกับผม ดูท่าจะตัดสินใจได้แล้ว
“ถ้าไม่ได้ก็ฆ่าผมเลย”
“ฉันทำแน่!”
ดาเซสลุกขึ้นและจะเดินไปที่อีกด้านของห้อง แต่ผมดึงมือห้ามเธอเอาไว้
“ทำกันตรงนี้ต่อหน้าแฟนเธอเนี่ยล่ะ”
“แกจะบ้าหรือไง!”
“เธอสิที่บ้า สภาพของแฟนเธอน่ะ พร้อมจะกลายสภาพเป็นซอมบี้ได้ทุกเมื่อเลยนะ คิดดีแล้วเหรอที่จะให้คาดสายตาไป แบบนั้นผมก็ช่วยเขาไม่ทันสิ”
คำพูดของผมสมเหตุสมผลที่สุด ทำให้เธอไม่มีทางเลือกและเริ่มถอดชุดเกราะออก ด้วยสีหน้าทั้งอายทั้งโกรธ
“อย่านะ! อย่าไปยอมมัน”
นักธนูพยายามร้องห้าม แต่ไม่มีผลอะไรแล้ว ดาเซสอยากช่วยชีวิตเขาจึงมีแต่ต้องยอมผมเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วเธอไม่ใช่สเปกผมหรอก เธออายุราวยี่สิบ เป็นสาวผมทองท่าทางหยิ่งสโย แบบที่ผมเกลียดเลยล่ะ แต่ที่ผมอยากมีอะไรกับเธอ เพราะต้องการสกิลต่างหาก ตอนที่ใช้ตรวจสอบดูกับ ผมพบว่าเธอมีสกิลดีๆ ติดตัวอยู่หลายอย่างเลย ขอเพียงได้อันไหนมาก็ดีทั้งนั้น เลยไม่อยากปล่อยให้ตายไปเปล่าๆ เสียดายสกิลน่ะ
ตอนนี้ดาเซสถอดเสื้อผ้าตัวเองออกจนหมดแล้ว เธอยืนใช้มือปิดหน้าอกกับจุดลับของตัวเองไว้แน่น หน้าเธอแดงไปจนถึงคอแล้ว แถมยังกัดฟันกรอดๆ สายตาที่จ้องผมราวกับจะฆ่าแกงกันให้ได้
“เอามือออก”
ยิ่งทำแบบนี้ผมยิ่งจะต้องแกล้งเธอให้หนัก
“อึก! อะ ไอ้โรคจิต”
ถึงจะด่าว่าผม แต่เธอก็ยอมเอามือออก เผยให้เห็นหน้าอก…อะไรว่ะนั้น!
“หน้าอกก็ไม่มีแล้วยังจะปิดทำไม”
ใช่แล้ว หน้าอกเธอแบนราบ แถมลานตรงจุกเธอก็กว้างมาก แต่สียังดูสดอยู่
“หุบปากซะ หุบปากๆๆ ฆ่าแก ฉันจะต้องฆ่าแกให้ได้!”
ผมไม่สนใจคำขู่ฆ่าของเธอ แต่เดินเข้าไปหาและคุกเข่าลง จนหน้าไปอยู่ตรงหว่างขาของเธอ เธอรีบเอามือมาปิดไว้ทันที
“ก็บอกว่าเอามือออกไป อย่าทำให้เสียเวลาน่า”
พอถูกผมว่าเธอก็มือออก แต่ตัวที่สั่นเป็นเจ้าเข้าเลย ตรงแปลงนาของเธอปลูกข้าวลำต้นสั้นไว้ ท่าทางจะตัดแต่งเลมมันทุกวัน ผมใช้นิ้วแหวกดูตรงน้องน้อยของเธอ ซึ่งมีเนื้อหอยปลิ้นออกมานิดหน่อย ดูท่าจะใช้งานไปพอสมควร แต่ยังเป็นสีชมพูอยู่ ไม่มีกลิ่นด้วย
ผมเลียคริจังของเธอที่เม็ดโตเอาเรื่อง พร้อมกับใช้นิ้วเข้าไปสำรวจพื้นที่ภายในถ้ำด้วย มือของดาเซสกำแน่นคงอยากจะชกผมให้กระเด็นอยู่ในใจแน่
“หือ อะไรกันแฉะแล้วนี่น่า ทำเป็นด่าแต่ก็มีอารมณ์เหมือนกันสินะ”
ผมดึงนิ้วที่เปียกน้ำหวานออกมา นี้ขนาดยังไม่ได้ไปยุ่งกับจีสปอตของเธอเลยนะ
“ไม่ใช่! นี้มัน…ไม่ใช่”
เสียงของดาเซสเบาลงเรื่อยๆ ผมเลยแทงนิ้วเข้าไปอีกครั้ง และคราวนี้โจมตีที่จุดจีสปอตของเธอ แค่กดปลายนิ้วลงไป เธอก็สะดุ้งตัวลอยและอ้าปากค้างส่งเสียงครางเบาๆ ออกมา ถึงจะยังไม่แตกแต่ก็คงเกือบๆ แล้ว เพราะน้ำหวานไหลออกมาเยอะกว่าเดิมอีก ผมดึงนิ้วกลับออกมาและนอนหงานลงกับพื้น
เธอมองผมด้วยสายตาสับสน จนผมต้องเร่งออกไป
“เอาเร็วเข้าสิ แฟนเธอจะทนไม่ไหวแล้วนะ”
ดาเซสรีบหันไปทางแฟนหนุ่ม ซึ่งตอนนี้นอนหน้าซีดคล้ำ ตัวสั่นปากสั่น ขนาดแรงจะร้องห้ามยังไม่มีเลย ได้แต่จ้องมาด้วยแววตาอาฆาต
เธอหันกลับมาทางผม และค่อยๆ เหลือบมองไปที่ดุ้นที่ตั้งตรงอยู่ ซึ่งผมไม่ได้ปรับขนาดของมัน และคราวนี้ผมเปิดใช้แค่การเอาสกิลกับรักษาอีกฝ่ายเท่านั้น
“ยะ ใหญ่!”
ดาเซสมองดูดุ้นของผมด้วยใบหน้าซีดเผือก แต่ยังกล้ายื่นมือมาจับดุ้นผมเอาไว้ มือของเธอค่อนข้างสาก อาจเพราะต้องจับดาบทุกวันก็ng="TH" style="word-wrap: break-มา และใช้มือจับดุ้นผมยัดเข้าไป
“เจ็บ!”
เพียงแค่ส่วนหัวเข้าไปได้นิดเดียวเธอก็ร้องออกมาแล้ว
“อย่าเกร็ง”
ผมช่วยเธอด้วยการใช้มือลูบไปที่สะโพกและก้นของเธอ ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นไปเล่นกับหัวนมของเธอไปด้วย
สักพักเท่านั้น เธอก็เริ่มพ่นลมหายใจแรงขึ้น สีหน้าแสดงความเจ็บปวดแต่เหมือนพยายามอดกลั้นไปด้วย เธอกดสะโพกลงมาอีกครั้ง แต่ยังแน่นอยู่เหมือนเดิม
“มะ ไม่ไหว นี้มันใหญ่เกินไปแล้ว”
ช่วยไม่ได้แฮะ ผมปรับขนาดดุ้นลงมาให้พอดีกับเธอ ทันใดนั้นมันก็เสียบพรวดเข้าไปทีเดียวมิดด้าม ตัวของดาเซสสั่นกระตุกอย่างแรง ปากก็เม้มแน่นไม่ให้มีเสียงลอดออกมา แต่ถึงจะพยายามเก็บอาการแค่ไหน ผมก็รู้ว่าเธอแตกไปแล้วรอบหนึ่ง
“อะไรกัน แค่เสียบเข้าไปก็แตกซะแล้วเหรอ ขนาดต่อหน้าแฟนตัวเองนะเนี่ย”
“ไม่ใช่! ใครบอกว่าฉันแตก”
ดาเซสยังคงปากแข็งไม่ยอมรับ ทั้งๆ ที่ในถ้ำเธอตอดรัดผมอย่างบ้าคลั่งอยู่
“เหรอ งั้นผมขยับล่ะนะ”
ผมเด้งสะโพกตัวเองกระแทกจนเธอตัวลอย คราวนี้เธอเก็บเสียงไม่อยู่ ตะโกนร้องออกมาเสียงหลงทีเดียว แต่ยิ่งเธอร้องผมยิ่งเร่งเครื่อง ดันกระแทกขึ้นไปไม่หยุด
ดาเซสทนความเสียวไม่ไหว ยกมือขึ้นมาจิกผมตัวเองและส่ายหัวไปมา พร้อมกับร่อนสะโพกรับจังหวะกระแทกของผม ดูท่าเธอจะเครื่องติดแล้ว
“แรงอีกสิ ยิ่งทำให้ผมเสร็จเร็ว แฟนเธอก็จะปลอดภัยเร็วขึ้นนะ”
“อึก! โอย! อา! อา! ซี๊ด! มะ ไม่ไหว นี้มัน…ที่รัก ฉะ ฉันขอโทษ มะ ไม่ไหวแล้ว ฉะ ฉันจะแตกแล้ว!!!”
ดาเซสร้องกรี๊ดออกมา ถ้ำเธอบีบรัดผมอย่างแรง ผมเลยเร่งจังหวะสอยสุดแรง พร้อมกับปล่อยแยมขาวเข้าไปในตัวเธอพร้อมกับที่เธอถึงจุดสุดยอด
“ขะ ข้างใน นะ นี้แกปล่อยข้างในฉัน มะ ไม่จริง ทะ ทำไมมันรู้สึกดีแบบนี้”
ดาเซสล้มตัวลงมาทับผมอย่างหมดแรง ข้างในถ้ำเธอยังตอดผมไม่เลิก แล้วสายตาที่เหมือนจะบอกว่าขออีกยกนี้มันอะไรกัน อย่าบอกนะว่าติดใจแล้วน่ะ
แต่ผมไม่สนจะต่อรอบสองหรอก เลยพลิกตัวเธอออกไป และใช้นิ้วล้วงเข้าไปในถ้ำของเธอเพื่อเอาแยมยาวออกมา ดาเซสเด้งเอวรับใหญ่ สงสัยยังเสี่ยนอยู่จริงๆ ผมเลยเปิดสกิลสัมผัสแห่งราคะไปที่ 20%เพื่อให้เธอเสร็จไปอีกรอบ ก่อนจะเอาแยมขาวที่นิ้วไปยัดใส่ปากเจ้านักธนู ต้องมาทำอะไรแบบนี้ รู้สึกแย่ชะมัด แต่รับปากไว้แล้วอย่างไงก็ต้องช่วยล่ะนะ แถมได้สกิลมาแล้วด้วย
สกิลที่ได้คือ
Passive skill
Hp Grow up lv1 เพิ่มค่า Hp สูงสุด
เป็นอันที่เล็งไว้เลย โชคดีจริงๆ
ส่วนนักธนูที่โดนแยมขาวผมยัดลงคอ ก็อาการดีขึ้นทันที ขนาดข้อเท้าที่โดนกัดขาดไป ยังงอกกลับขึ้นมาใหม่ เพียงแต่ร่างกายยังลงเหลืออาการจากพิษเลยทำให้ยังขยับไม่ได้
“…แกทำได้อย่างไง!”
ดาเซสเห็นเท้าที่งอกออกมาใหม่ของแฟนตัวเอง ก็ถึงกับตะลึง เพราะขนาดเวทรักษาของนักบวชระดับสูง ยังทำแบบนี้ไม่ได้เลย
“ถ้าอยากรู้มาดูดของผมซะสิ”
ผมจับดุ้นที่ยังแข็งตัวชักเบาๆ
“…”
ดาเซสขยับตัวเข้ามา และคุกเข่าลงตรงหน้าผม แต่ก่อนที่เธอจะคว้าหนอนน้อยผมไป ก็รีบถอยหลบออกมาซะก่อน
“ล้อเล่นน่า”
ผมล่ะรำคาญสายตาเธอจริงๆ จะโกรธหรือจะเสียดายเอาสักอย่างสิ แต่ว่าตะกี้จะทำจริงเหรอ แค่อยากรู้เนี่ยนะ
จากนั้นดาเซสก็ไม่พูดอะไรอีก เธอลุกไปแต่งตัวและแบกแฟนหนุ่มที่ขยับตัวไม่ได้ขึ้นหลัง เตรียมจะกลับออกไป แต่ผมเห็นขาเธอยังสั่นอยู่เลย แถมยังต้องแบกผู้ชายไปด้วยอีกคน อย่างไงก็ไม่รอดออกไปแน่
“ช่วยไม่ได้แฮะ”
ผมเดินตามเธอจนไปอยู่ข้างๆ และก็อย่างที่คิด พวกมอนสเตอร์แหวกทางให้และหนีหลบไปหมด ดาเซสเองก็สังเกตเห็นความผิดปกติ เลยหันมามองผมอีกครั้ง
“ผมมีไอเท็มไล่มอนสเตอร์ไม่ให้เข้าใกล้”
ผมโกหกไปเต็มๆ
“งั้นที่บอสหายไปก็เพราะแกเหรอ!?”
ผมไม่ตอบมากไปกว่านี้เดี๋ยวจะยิ่งผิดสังเกต เพราะไอเท็มที่ขนาดใช้ไล่บอสได้เนี่ย ดูอย่างไงมันก็ไม่น่าจะมีอยู่ได้
เนื่องจากไม่มีดราเกียนำทาง ผมเลยให้เธอนำทางออกไปแทน โดยที่ผมกันไม่ให้มอนสเตอร์เข้ามาโจมตีเธอ ถือว่าสมประโยชน์ด้วยกันไปล่ะกัน
พอมาถึงชั้นหนึ่ง ดาเซสก็จ้องผมมาตลอดทางก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ชื่อ แกชื่ออะไร”
“จะตามไปฆ่าเหรอ ไม่เอาน่า ผมก็รักษาแฟนเธอให้แล้วไง อย่ามาคิดแค้นกันสิ”
“ฉันถามว่าแกชื่ออะไร”
“…โรมะ”
หลังจากมาถึงทางออก ผมก็แยกจากพวกเธอทันที ขืนเธอฟื้นตัวจนมีแรงกลับมา แล้วไล่ฆ่าผม งานนี้ไม่สนุกด้วยแล้ว

ตอนที่ 6 ก่อนอื่นก็ต้องเป็นนักผจญภัย
ดันเจี้ยนอยู่ห่างจากเมืองไม่มาก เดินตามถนนมาแค่สามสิบนาทีก็ถึง เมืองกรอซ่าล้อมรอบด้วยกำแพงสูง ด้านหลังติดกับผาน้ำตก เป็นเมืองที่สวยงามมากทีเดียว แต่ขนาดของเมืองไม่ได้ใหญ่มาก เพราะมองเห็นอีกด้านของเมืองด้วยสายตาได้อยู่ แต่สำหรับโลกนี้เมืองกรอซ่าถือว่าเป็นเมืองใหญ่
ที่ประตูเข้าเมือง มีทหารยามและป้อมเพื่อตรวจคนเข้าเมือง การจะเข้าเมืองจะต้องมีบัตรยืนยันตัวตนเหมือนบัตรประชาชน ซึ่งสำหรับนักผจญภัยก็ใช้บัตรกิลแทนได้ แต่ประชาชนทั่วไปจะต้องจ่ายภาษีถึงจะได้มา สำหรับพ่อค้าก็ต้องขอเป็นครั้งๆ ไปพร้อมกับจ่ายค่าธรรมเนียม
ส่วนคนที่ไม่มีบัตรยืนยันตัวตน ก็จะต้องเสียภาษีเข้าเมือง ราคาก็ขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่จะอยู่ โดยจะออกเป็นบัตรแบบหนึ่งวันไปจนถึงหนึ่งเดือนมาให้ ถ้าบัตรหมดอายุแล้วโดนตรวจเจอ ก็จะถูกจับขังคุกทันที และถ้าไม่มีเงินไถ่ตัวก็จะต้องกลายเป็นทาสไป นี้คือกฎหมายพื้นฐานของโลกนี้
ผมไม่มีทั้งบัตรทั้งเงิน เลยเข้าเมืองไม่ได้ แต่ผมก็คิดไว้แล้วเลยมานั่งรออยู่ที่ข้างกำแพง พร้อมกับหยิบมือถือออกมา ตั้งแต่มาถึงโลกนี้ผมก็รีบถอดแบตออกจากเครื่องทันที พอใส่กลับเข้าไปมันเลยยังใช้ได้อยู่ และนี้คือแผนสำหรับหาเงินที่ผมคิดไว้ตั้งแต่ก่อนจะเป็นจอมมารซะอีก
ผมทำเป็นเปิดมือถือเล่น เปิดเพลงฟัง สักพักเท่านั้นแหละ กลุ่มพ่อค้าที่ต่อแถวจะเข้าเมือง ก็ตรงเข้ามาทางผมทันที
“เฮ้ พี่ชายในมือนั้นมันอะไรน่ะ ส่องแสงได้ด้วยแถมมีเสียงเพลงออกมาอีก ข้าไม่เคยได้ยินเพลงอะไรแบบนี้มาก่อน”
“อุปกรณ์เวทที่ตกทอดกันมาของบ้านผมเอง”
เรื่องก็แต่งเตรียมไว้แล้ว
“อุปกรณ์เวทเหรอ! ขายให้ข้าได้ไหม”
พ่อค้าอีกคนรีบแทรกบทสนทนาทันที
“ไม่ขายให้ข้าสิ ข้ามาก่อนนะ”
จากนั้นก็มีพ่อค้าอีกหลายคนเข้ามาร่วมวงด้วย
“ใครให้ราคาดีสุด ผมก็ขายให้คนนั้นแหละครับ”
ผมใช้วิธีให้ประมูลแข่งกัน เพราะงั้นเลยรอให้มีพ่อค้าเข้ามาหลายๆ คนก่อน ถึงเริ่มเสนอออกไป แถมผลตอบรับดีกว่าที่คิดไว้ซะอีก เพราะเงินที่ผมได้มาคือ 50 เหรียญทองคำขาว ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนของโลกนี้ ที่ผมศึกษามาก็คือสกุลเงินรีล
1 เหรียญทองแดงเล็ก เท่ากับ 1 รีล
1 เหรียญทองแดงใหญ่ เท่ากับ 10 รีล
1 เหรียญเงินเล็ก เท่ากับ 100 รีล
1 เหรียญเงินใหญ่ เท่ากับ 1000 รีล
1 เหรียญทองเล็ก เท่ากับ 10,000 รีล
1 เหรียญทองคำมาตรฐาน เท่ากับ 100,000 รีล
1 เหรียญทองคำใหญ่ เท่ากับ 1,000,000 รีล
1 เหรียญทองคำขาว เท่ากับ 10,000,000 รีล
และตอนนี้ผมได้เงินมา 50 เหรียญทองคำขาว ก็เท่ากับว่า…ผมมีเงินถึงห้าร้อยล้านรีลอยู่ในมือ!!
ผมเลยได้เข้าเมืองมาแบบเศรษฐีเลย ส่วนมือถือที่ขายไปผมก็สอนแค่ วิธีเปิดหน้าจอกับเปิดเพลงฟังเท่านั้น ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนแบตก็น่าจะอยู่ได้ถึงแค่พรุ่งนี้ มือถือที่ใช้ไม่ได้แล้วเครื่องเดียว คงไม่สามารถผลกระทบอะไรกับโลกนี้หรอก
ที่ด่านตรวจผมซื้อบัตรรับรองสำหรับแค่หนึ่งวัน เพราะจากนี้ตั้งใจจะปักหลักที่เมืองนี้ยาวๆ เลยจะสมัครกิลนักผจญภัยหลังจากนี้
แต่ตอนนี้ผมเริ่มหิวแล้ว เลยถามทางไปร้านอาหารก่อน โดยเลือกร้านที่หรูที่สุดของเมืองนี้ ไม่ใช่จะอวดรวยอะไรหรอกนะ แต่ผมอยากจะเปรียบเทียบรสชาติอาหารดู ว่าของดีที่สุดของเมืองมันอยู่ในระดับไหน ค่าอาหารต่อมื้อนั้นแพงถึง 1-2หมื่นรีลเลยทีเดียวต้องเป็นระดับขุนนางหรือเศรษฐีเท่านั้นถึงมานั่งกินร้านแบบนี้ได้
อาหารที่นำออกมาเป็นอาหารชุด จากแรกซุปจืดๆ ไม่อร่อย จานที่สองเป็นเนื้อย่างราดซอส แหวะ เนื้อทั้งแห้งทั้งเหนียว ย่างไม่เป็นนี่น่า จานที่สาม จานที่สี่ ก็ไม่อร่อย ของหวานก็ไม่มีตบท้าย ไม่ไหวอาหารของโลกนี้มีไว้แค่กินกันตายเท่านั้น ถ้าจะกินของอร่อยต้องทำกินเองอย่างที่คิดไว้เลย
ผมกลับออกจากร้านอาหาร และตรงไปยังเป้าหมายหลักที่ตั้งใจไว้ นั้นก็คือกิลนักผจญภัย โดยแทบไม่ต้องถามทาง เพราะอาคารกิลตั้งอยู่กลางเมือง ซึ่งเด่นชัดสะดุดตามาก ตอนจะไปร้านอาหารก็ผ่านมาแล้วรอบหนึ่ง
ด้านหน้าอาคารทำเหมือนลานเบียร์ มีโต๊ะไม้มาตั้งเรียงกัน มีหลังคากันแดด และมีพนักงานสาวๆ มาคอยรับออเดอร์ ซึ่งตรงนี้มีไว้สำหรับนัดพบหรือหาคนเข้าร่วมปาร์ตี้
ผมเข้าไปด้านในอาคารทันที ซึ่งที่นี้เป็นอาคารสามชั้น โดยที่ชั้นแรกมีไว้สำหรับลงทะเบียน รับและรายงานเควส โดยมีกระดานไม้กว้างหลายอันตั้งต่อๆ บนกระดานก็จะมีกระดาษที่มีคำร้องของเควสแปะไว้ โดยกระดานแต่ละอันจะมีป้ายบอก Rank ไว้ด้วย
ชั้นสองมีไว้สำหรับรับซื้อไอเท็มหรือชิ้นส่วนจากมอนสเตอร์ ส่วนชั้นสามมีไว้สำหรับผู้ว่างจ้างที่จะมาตั้งเควส
ผมมองหาเคาเตอร์ที่ว่างจนเจอ เลยรีบเดินเข้าไปก่อนจะมีคนมาต่อ อารมณ์เหมือนไปธนาคาร เพียงแต่ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง
“ติดต่อเรื่องอะไรเหรอคะ”
พนักงานสาวยิ้มถามทันที เธอน่าจะอายุพอๆ กับผม จุดเด่นคือนมโต
“จะมาลงทะเบียนเป็นนักผจญภัยครับ”
“เคยลงทะเบียนที่เมืองอื่นมาก่อนหรือเปล่าคะ”
ผมส่ายหน้าทันที
“งั้นกรอกข้อมูลลงที่ใบนี้ด้วยค่ะ ถ้าเขียนหนังสือไม่ได้ ฉันเขียนให้แทนได้นะคะ”
“ผมเขียนได้ครับ”
หน้าตาผมที่กลายเป็นตาลุงไปแล้วเพระหน้ากาก คงดูโง่มากเลยสินะ ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
“ส่วนค่าธรรมเนียม 1,000 รีลค่ะ”
ฟังดูเหมือนถูก แต่คิดในแง่จำนวนคนที่เข้ามาสมัครแล้ว ถือว่าแพงเอาเรื่อง
หลังจากผมส่งใบสมัครกับเงินไปให้แล้ว สักพักพนักงานสาวก็กลับมาพร้อมกับบัตรสีดำ โดยมีเพียงแค่ชื่อผมเขียนไว้
“ถือบัตรไว้แล้วพูดชื่อตัวเองออกมาด้วยค่ะ”
“โรมะ?”
ทันทีที่พูดชื่อตัวเอง ตัวบัตรก็เรืองแสงออกมา และผมรู้ตัวทันทีว่ามันดูด Hp ผมไป แต่แค่นิดเดียว จากนั้นบนบัตรก็มีตัวหนังสือสีเงินปรากฏขึ้นมานอกเหนือจากชื่อ
โรมะ ชาย Lv 1 Rank 1
อาชีพ ไม่ระบุ
เมืองที่สังกัด กรอซ่า
บนบัตรแสดงเท่านี้ดีตรงอาชีพไม่โผล่ออกมาเป็นจอมมาร
“ถ้าคุณต้องการอัพเดตข้อมูลปัจจุบันของตัวเอง ก็ให้ดำเนินการซ้ำด้วยการเรียกชื่อตัวเอง แบบเมื่อครู่นะคะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
“แล้วช่วยพกบัตรไว้ตลอดเวลาด้วยนะคะ เควสตามล่าหรือปราบปราม เวลากำจัดมอนสเตอร์ลงได้ ข้อมูลก็จะถูกบันทึกลงไปในบัตรด้วย เวลาส่งเควสก็แค่นำบัตรมาตรวจสอบเท่านั้นเองค่ะ แต่ว่ากรณีที่คุณไปก่อเรื่องจนโดนจับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เล็กแค่ไหน บัตรกิลก็จะถูกยกเลิกทันที โปรดระวังเรื่องนี้ไว้ด้วยค่ะ”
“แล้วการเลื่อน Rank ล่ะครับ”
“ถ้าทำเควสของ Rank หนึ่งครบสิบเควส ก็จะทำการเลื่อนขั้นให้เองทันทีค่ะ แต่ว่าถ้าเว้นระยะเวลาเกินสามสิบวัน โดยไม่ได้ทำเควสต่อเนื่อง ก็จะกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ ส่วนถ้า Rank เพิ่มขึ้นแล้ว เว้นจากการทำเควสเกิน 90 วัน ก็จะถูกลดระดับลงมาหนึ่งขั้นด้วยค่ะ สิ่งที่ควรระวังคือการทำเควสล้มเหลว นอกจากจะต้องเสียค่าปรับแล้ว ยังจะถูกลดระดับด้วย กรณีที่เป็น Rank 1 ถ้าทำเควสพลาดสองเควสติดต่อกัน ก็จะถูกถอนจากการเป็นนักผจญภัยค่ะ”
“แบบนี้เอง แล้วRank สูงสุดอยู่ที่เท่าไรครับ”
“ไม่มีสูงสุดหรอกค่ะ Rank สามารถเก็บเพิ่มขึ้นไปได้เรื่อยๆ ปัจจุบันนักผจญภัยที่มี Rank สูงสุดของสาขานี้ คือ Rank 35 อ้อ เควสที่มีให้ในเมืองนี้จะมีอยู่แค่Rank ไม่เกิน 30 ค่ะ ซึ่งคุณสามารถรับเควสที่ Rankไม่สูงหรือต่ำกว่าตัวเองเกิน 5 เท่านั้น กรณีที่ Rankเกินแล้ว ต้องย้ายไปรับเควสที่ยากขึ้นที่เมืองอื่นค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“คุณเองก็ยังไม่มีอาชีพด้วย จะให้อธิบายเรื่องการรับอาชีพด้วยไหมคะ?”
“รบกวนด้วยครับ”
“อาชีพบางคนจะมีติดตัวมาตั้งแต่เลเวsoNormal" style="word-wrap: breaของแต่ละคน แต่ถ้าไม่มีสามารถรับอาชีพครั้งแรกได้ตอนเลเวล 10 ค่ะ ส่วนวิธีขอรับอาชีพ สามารถติดต่อยื่นเรื่องที่นี้ได้เลย เรามีบริการตรวจสอบและเปลี่ยนอาชีพให้ได้ แต่จะมีค่าบริการนิดหน่อย ส่วนการรับอาชีพครั้งที่สองคือตอนเลเวล 30 ครั้งที่สามก็คือตอนเลเวล 50ค่ะ
ส่วนการเปลี่ยนอาชีพแต่ละครั้ง จะแตกต่างกันไป เปลี่ยนอาชีพครั้งแรก คุณจะได้แต่อาชีพขั้นพื้นฐาน จะต้องเป็นครั้งที่สองไปแล้ว ถึงจะเลื่อนขั้นเป็นขั้นสูงได้ แต่ถ้าไม่มีอาชีพขั้นพื้นฐานก็จะเปลี่ยนเป็นอาชีพขั้นสูงไม่ได้นะค่ะ และอาชีพขั้นสูงบางอย่างจำเป็นต้องมีอาชีพพื้นฐานของอย่างขึ้นไป
ข้อดีของการเปลี่ยนอาชีพนอกจากจะได้สกิลของสายอาชีพมาแล้ว ยังช่วยเพิ่มค่าพลังให้อีกมากด้วยค่ะ ซ้ำยังได้สิทธิพิเศษของแต่ละอาชีพด้วย เช่น อาชีพพ่อค้าก็จะได้ส่วนลดในการติดต่อซื้อขาย อาชีพนักบวชจะได้เงินเดือนจากทางโบสถ์ทุกเดือน อาชีพนักรบจะสามารถสมัครเข้ากองทัพและได้ยศเป็นนายกองทันที มีเรื่องอะไรจะสอบถามเพิ่มไหมคะ”
“โอ้!”
ผมที่งไปกับระบบอาชีพของโลกนี้จริงๆ จะละเอียดไปไหน แต่ที่ทึ่งกว่าที่คุณพนักงานสาวคนนี้ อธิบายให้ผมเข้าใจได้ง่ายๆ ด้วย
“ตอนนี้ไม่มีแล้วครับ ขอบคุณมากครับ”
ผมกล่าวขอบคุณพร้อมกับวางเงินเหรียญเงินใหญ่ให้เธอไปเหรียญหนึ่ง เพราะผมประทับใจการทำงานของเธอหรอกนะ แถมทั้งๆ ที่ผมหน้าปลวกแบบนี้ เธอยังไม่แสดงท่าทีรังเกียจเลย ให้ไปแค่นี้ยังรู้สึกน้อยไปด้วยซ้ำ
“ถ้ามีอะไรอยากสอบถามเพิ่ม ก็เชิญมาใหม่นะคะ และขอให้โชคดีในการผจญภัยค่ะ”
เธอยิ้มหวานให้ผม ตอนกล่าวลาก็โค้งให้ด้วย




ตอนที่ 7 ต้องฮาเร็มทาสเท่านั้น!
ผมกลับออกมาจากกิล โดยยังไม่ได้รับเควสมา เพราะตอนนี้ผมยังต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จซะก่อน สิ่งที่ผมต้องการในเวลานี้ก็คือที่อยู่
ใจจริงผมอยากไปพักโรงแรม เพื่อซึมซับบรรยากาศแบบโลกแฟนตาซีดูอยู่หรอก แต่ว่าการต้องทำอาหารกินเอง จะต้องใช้พื้นที่ แถมผมว่างแผนจะสร้างฮาเร็มด้วย การมาพักโรงแรมเลยไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี ที่สำคัญผมก็มีเงินก้อนใหญ่อยู่ด้วย จะเก็บไว้เฉยๆ ให้ราขึ้นเหรอ
ผมสอบถามจากคนที่ผ่านไปผ่านมา ว่าจะไปหาซื้อบ้านได้จากไหน ซึ่งก็ได้คำตอบมาว่า ถ้าจะซื้อบ้านต้องไปติดต่อกรมจัดการที่ดินของทางการ เพราะการมีบ้านจะต้องจ่ายค่าภาษีแรกเข้าด้วย
หลังจากนั้นผมก็รีบตรงไปที่กรมจัดการที่ดินที่ว่าทันที ที่นี้มีบรรยากาศคล้ายๆ กับกิล แต่…เงียบเหงากว่า แทบจะไม่มีคนมาใช้บริการเลย ผมเข้าไปสอบถามที่โต๊ะที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ผมกำลังหาบ้านอยู่ครับ”
“ได้ครับ อยากได้แบบไหนเหรอครับ”
พนักงานเงยหน้าขึ้นมาตอบ ถึงน้ำเสียงจะฟังดูสุภาพ แต่หน้านี้ตายมาก ไร้อารมณ์แบบเบื่อโลกสุดๆ
“อยากได้แบบมีพื้นที่กว้างๆ และมีห้องเยอะๆ อยู่ห่างคนอื่นหน่อยก็ดี อยากได้แบบที่เงียบๆ นะครับ””
“ตามที่ว่ามานี้ จะมีแต่ราคาแพงนะครับ”
“ประมาณเท่าไรเหรอครับ”
“อย่างต่ำก็ 10,000,000 ครับรวมภาษีแล้ว”
“ซื้อครับ!”
นี้มันถูกกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก
“เชิญเลิกได้เลยครับ”
พนักงานหยิบเอาแผ่นหินขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะสามแผ่น ซึ่งพอวางมือลงไป มันก็ปรากฏภาพสามมิติขึ้นมา นี้คงเป็นอุปกรณ์เวทมนต์สินะ ไม่ใช่ว่ามันไฮเทคกว่ามือถือผมหรอกเหรอเนี่ย?
ทั้งสามหลังที่โชว์ขึ้นมา ล้วนแต่เป็นคฤหาสน์ใหญ่ที่มีสวนทั้งนั้น นี้แค่สิบล้านรีลก็ซื้อคฤหาสน์ได้แล้วเหรอ หรือว่าค่าเงินในโลกนี้จะแพงมาก?
ผมดูจนแน่ใจแล้ว จึงเลือกคฤหาสน์ที่มีลานน้ำพุอยู่ด้านหน้า ตัวคฤหาสน์มีสามชั้น แต่ล่ะชั้นมีมากกว่าสิบห้อง แถมด้วยโรงเก็บฟื้นและโรงเลี้ยงม้า มีสวนขนาดใหญ่ แต่สภาพไม่ได้รับการดูแลมานานแล้ว
สถานที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง ใกล้กับผาน้ำตก ซึ่งมีปัญหามอนสเตอร์มารบกวนอยู่บ้าง เจ้าของคนเดิมเลยย้ายออกไป แถมเพราะอยู่ห่างจากศูนย์กลางเมือง ซึ่งทำให้จับจ่ายซื้อของลำบาก ทำให้ราคามันตกลง เพราะส่วนใหญ่คนนิยมซื้อบ้างกลางเมืองกันมากกว่า เรียกว่าเป็นคฤหาสน์ชานเมืองก็ได้ แต่สำหรับผมแล้ว แค่นี้ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย เพราะเมืองก็ไม่ได้ใหญ่อะไร เดินครึ่งวันก็ไปได้ทั่วเมืองแล้ว เวลาซื้อของก็ใช้รถม้าเอา แต่เรื่องรถม้าคงต้องไว้ที่หลัง เพราะผมขี่ม้าไม่เป็นนี้
ผมตกลงซื้อและจ่ายเงินไปทันที หลังเซ็นสัญญาแล้ว พนักงานก็มอบพวงกุญแจของคฤหาสน์มาให้ และบอกว่าผมสามารถเข้าไปอยู่ได้ทันทีเลย เพราะมีคนทำความสะอาดไว้อยู่แล้ว
เมื่อได้บ้านมาแล้วต่อไปคืออีเว้นหลักแล้ว มันคือโครงการที่ผมคิดมาพักใหญ่ และตัดสินใจจะทำมันให้ได้ นั้นก็คือสร้างฮาเร็มทาส เพราะผมไม่ชอบผู้หญิงที่งอแงเอาแต่ใจ แต่ถ้าเป็นทาสนอกจากจะเชื่อฟังแล้ว ยังไม่มีทางทรยศหักหลังอีก ที่โลกเดิมน่ะ ผมเห็นมาแล้ว พวกเศรษฐีที่โดนผู้หญิงหลอกแต่งงานแล้วปอกลอกจนหมดตัว ผมไม่ยอมให้เกิดแบบนั้นขึ้นกับตัวเองแน่
ร้านค้าทาสนั้นหาได้ไม่ยากเช่นกัน เพราะเป็นกิจการที่ทำกันอย่างเปิดเผย ผมให้เงินเล็กน้อยไปกับคนที่ผมถามทาง เพื่อจะให้เขาแนะนำร้านที่คุณภาพดีสักหน่อย
ร้านที่เขาชี้ให้ผมมานั้น ตั้งอยู่บนลานกว้างที่ไม่มีตึกอยู่ใกล้ๆ สภาพดูเหมือนคณะละครสัตว์ไม่มีผิด มันเป็นกระโจมผ้าขนาดใหญ่สูงกว่าหกเมตร คลุมพื้นที่ทั้งลานเอาไว้ ที่ทางเข้ามีพนักงานสาวๆ คอยยืนต้อนรับ และจะตามไปอธิบายสินค้าให้ฟังแบบตัวต่อตัว
พอเข้ามาด้านใน ทางเดินถูกปูด้วยพรม สองข้างทางเต็มไปด้วยกรงขนาดใหญ่ที่ใส่ทาสเอาไว้ พร้อมกับป้ายราคาและรายละเอียดสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นเผ่าครึ่งมนุษย์ซะส่วนใหญ่ ดูเหมือนว่าโลกนี้จะมองพวกครึ่งมนุษย์ว่าเป็นมอนสเตอร์ ถึงว่าในเมืองแทบไม่เห็นพวกครึ่งมนุษย์มาเดินกันเลย
แต่ทาสในร้านนี้สภาพดูดีที่เดียว คงได้รับการดูแลค่อนข้างดี และคงสอนมาให้เรียกลูกค้าด้วย เพราะบางรายก็มีส่งยิ้มให้ หรือลูบคล้ำไปตามร่างกายเป็นการยั้วยวน แต่ว่าผมไม่อยากได้แบบนี้อ่ะ ผมอยากได้พวกที่มีแต่เนื้อแท้ พวกที่สามารถบงการได้ดังใจ และที่สำคัญมีความสามารถในการต่อสู้ด้วย
ผมใช้สกิลตรวจสอบไปกับพวกทาสที่เห็นทีละคน ซึ่งยังไม่เจอมีใครที่มีสกิลที่น่าสนใจเลย ถึงไม่อยากก็เถอะ แต่ผมตรวจสอบกับพวกทาสที่เป็นผู้ชายด้วย ราคาของทาสหน้าร้านอยู่ที่ 20,000 –1,000,000
ถ้าเป็นผู้ชายราคาจะแพง เพราะใช้แรงงานได้ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงราคาจะตกลง ยกเว้นพวกที่เป็นทาสเนื้อ ราคาจะสูงกว่านักโทษชาย โดยดูจากหน้าตามากกว่าความสามารถ ยิ่งถ้ายังบริสุทธิ์อยู่ ราคาจะต่างกับคนอื่นเลย
แต่จะว่าผมเรื่องมากก็ได้นะ แต่เดินดูจนหมดแล้ว ผมก็ยังไม่เจอที่ถูกใจเลย
“นี้เป็นสินค้าที่ดีที่สุดของเราค่ะ”
พนักงานที่มากับผมแนะนำสินค้าในกรงใหญ่ที่ ซึ่งมีอ่างน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง และทาสคนนี้ก็เป็นเผ่าเงือกที่มีใบหน้าที่งดงามแถมเสียงก็ไพเราะน่าหลงไหล
เอ่อ แต่ผมไม่ใช่พวกสายสาวกสาวมอนอ่ะ ขอผ่านดีกว่า แต่ก่อนจะขอตัวกลับ ผมก็เห็นปลายทางเดินอีกด้าน มีผ้ากั้นไว้ต่างประตู และมีป้ายเขียนไว้ว่า สินค้าลดราคา
“ขอเข้าไปดูในนั้นหน่อยสิ”
ผมบอกพนักงานซึ่งก็พาเข้าไปด้วยใบหน้าไม่เต็มใจนัก เพราะเทียบกันแล้วทาสด้านในนี้ไม่ใช่สินค้าทำเงินเลย
พ่อค้าทาสเองจะต้องเสียภาษีตามจำนวนทาสที่มี กับพวกที่ขายไม่ออก ก็จะต้องนำมาลดราคาเป็นการโละสินค้าเพื่อลดค่าใช้จ่ายลง
ภายในโซนสินค้าลดราคา ผมรู้สึกว่าน่าสนใจกว่าข้างนอกซะอีก อย่างน้อยพวกนี้อยู่ก็ในสภาพที่ผมต้องการพอดี แต่บางรายถึงขั้นหมดอาลัยตายอยากไปแล้ว ผมก็ไม่สนใจหรอก ราคาในนี้ถูกจริงๆ มีตั้งแต่หลักพันเลย แบบชาวบ้านทั่วไปก็ซื้อได้ พวกนี้เลยมักจะถูกนำไปเป็นแรงงานทำไร่ทำนา หรือเป็นคนใช้ในบ้านกัน
แต่ก็สมเป็นสินค้าลดราคา เกือบทั้งหมดไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้เลย บางรายก็ป่วยใกล้ตายอยู่แล้วด้วย
กระทั่งผมเดินผ่านกรงหนึ่งไป และได้เห็นป้ายราคาที่น่าตกใจ
20,000,000 รีล
ด้านในนั้นเป็นหญิงสาวผมสีฟ้าครามหน้าตาสวยจนน่าตกตะลึง แถมยังดูสะอาดไม่เหมือนกันทาส ผมใช้สกิลตรวจสอบกับเธอ สิ่งที่แสดงออกมาให้เห็น แทบทำให้ผมหลุดเสียงร้องออกมา
ชื่อ เอร่า
เผ่า เทพ
อาชีพ ไม่ระบุ
Lv 1/900
เผ่าเทพถึงว่าต่างจากคนทั่วไปลิบลับเลย แต่เพราะท่าทางแตกตื่นของผมนั้นเอง ทำให้เธอหันมามองทางผม พอสบตากัน ก็ทำตาโตขึ้นมาทันที
“ผู้กล้า! นายเป็นผู้กล้าใช่ไหม”
เอร่าพุ่งมาจับกรงอย่างรวดเร็วจนผมแทบผงะ ว่าแต่รู้ได้ไงล่ะเนี่ย่ว่าผมเป็นผู้กล้า ผมก็ดูกลมกลืนไปกับชาวเมืองนะ แถมยังใส่หน้ากากที่ทำให้หน้าปลวกไว้อีก
“เอ๋!? คุณเป็นผู้กล้าเหรอค่ะ”
พนักงานที่มากับผมก็ทำท่าตกใจไปด้วย ผมเลยหยิบบัตรกิลออกมาโชว์
“ไม่ใช่หรอก ดูสิ”
พอเห็นบัตรกิลแล้ว พนักงานเลยพยักหน้าเข้าใจได้ทันที เพราะตรงอาชีพผมยังไม่มีปรากฏขึ้นมา ในขณะที่ของเพื่อนๆ ผม ตรงอาชีพก็เป็นผู้กล้ากันเกือบทุกคนตั้งแต่แรกเลย
จากนั้นผมก็รีบเดินต่อไป ผมไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับเผ่าเทพหรอก แถมไม่รู้ว่าเธอรู้เยอะแค่ไหนด้วย แต่ลางสังหรณ์ของผมบอกว่าไม่ควรไปยุ่ง
“เดี๋ยวสิ ช่วยซื้อฉันออกไปที! ท่านผู้กล้า ช่วยพาฉันออกไปจากที่นี้ด้วยเถอะค่ะ”
ผมไม่สนใจถึงแม้เธอตะโกนเรียก แต่เสียงเธอดังเป็นบ้า จนในที่สุดพ่อค้าทาสที่เป็นเจ้าของที่นี้ ก็โผล่ออกมา
“โอ่ๆ ท่านลูกค้า ท่านสนใจสินค้าชิ้นนี้เหรอ”
“เปล่า”
ผมตอบทันที ถึงแม้เอร่าจะส่งสายตาเป็นประกายมาให้ก็ตาม
“น่าเสียดายจัง นี้เป็นสินค้าที่ดีสุดของเราเลยนะ”
ดีสุดก็อย่าเอามาลดราคาสิเฟ้ย! ผมอยากจะด่าออกไปแบบนั้นจริงๆ แต่จะว่าไปก็น่าสงสัยเหมือนกัน เลยถามออกไปตรงๆ
“แล้วทำไมถึงต้องมาลดราคาด้วยล่ะ”
“เอ่อ คือว่า…”
พ่อค้าทำท่าอึกอักที่จะตอบ
“อย่างไงผมก็ไม่ซื้ออยู่แล้วล่ะ แต่ถ้ารู้ว่าตำหนิตรงไหน ผมจะได้เอาไปบอกต่อคนที่สนใจได้นะ”
“อ้อ ครับ คือว่า อย่างที่ท่านทราบ เธอคนนี้เป็นเผ่าเทพ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และคนส่วนใหญ่ก็ต่างนับถือเทพ เลยไม่มีใครกล้าซื้อไป เพราะกลัวจะเป็นการลบหลู่และจะโดนลงโทษ ถึงจะมีคนชอบลองของมาซื้อไป แต่เพราะสกิลแปลกๆ ของเธอ มันทำให้…”
พ่อค้าถึงกับเหงื่อตกที่จะบอก ผมเลยหันไปใช้ตรวจสอบกับเธออีกครั้ง จนไปเห็นสกิลที่เธอมี
Passive skill
-พรแห่งพรหมจรรย์ พลังแห่งการชำระล้างความหื่นทั้งปวง ชายใดเข้าใกล้จะล้มไม่รู้ลุกไปตลอดกาล
“อ้อ แบบนี้เอง”
ผมพนักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
“ว่าแต่จับมาได้อย่างไงล่ะเนี่ย”
คำถามนี้ของผมทำให้พ่อค้าทาส เม้มปากแน่น ก่อนจะค่อยๆ เข้ามากระซิบบอกเบาๆ
“มีผู้กล้าคนหนึ่งเอาเธอมาขายให้พวกเราครับ”
ผมหันกลับไปมอง เอร่า ดูเหมือนเธอจะได้ยินเหมือนกัน เลยทำหน้าเจ็บปวดแค้นใจออกมาแบบนั้น
เป็นผู้กล้านี้ก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีทั้งหมดสินะ แบบกลุ่มผมไง ถึงจะเป็นผู้กล้าแต่นิสัยอย่างกับนักเลงหัวไม้ก็มี
“เอาเถอะ ไว้จะถามหาคนที่สนใจให้ ว่าแต่มีสินค้าอื่นอีกไหม”
ผมเปลี่ยนเรื่องและไม่สนใจยัยเทพในกรงอีก ถึงแม้อีกฝ่ายจะทำตาน่าสงสารขนาดไหนก็เถอะ เป้าหมายของผมคือจัดตั้งฮาเร็มนะ ไม่ใช่มาทำอีเว้นช่วยเทพธิดาที่มีกลิ่นเรื่องยุ่งยากมาแต่ไกล
“ท่านลูกค้าดูสินค้าด้านนอกของเราหมดแล้วเหรอครับ”
ผมพยักหน้าให้
“อ้อ เข้าใจล่ะ งั้นเชิญทางนี้ครับ”
พ่อค้าทาสทำหน้าเหมือนเข้าใจบางอย่าง เลยพาผมไปด้านหลังร้าน ซึ่งมีกระโจมขนาดเล็กแยกออกไป
พอเข้าไปด้านในก็มีกรงขนาดใหญ่กว่าที่จัดแสดงด้านใน ซึ่งเป็นกรงแบบที่ใส่สินค้ารวมๆ กันไว้ แต่ว่าสภาพที่เห็นนั้นน่าสังเวชมาก เพราะกว่าสิบคนที่จับยัดเอาไว้ ส่วนใหญ่ตายไปแล้ว ทั้งจากอดตาย หรือเจ็บปวดบาดเจ็บจนตาย แต่ศพก็ยังถูกปล่อยทิ้งไว้ให้เน่าแบบนั้น จนส่งกลิ่นเหม็นออกมา
เข้าใจแล้ว พ่อค้าทาสมันคงเข้าใจว่าผมเป็นพวกไม่มีเงินล่ะมั่ง เลยพามาดูสินค้าเหลือทิ้ง
ท่ามกลางซากศพเหล่านั้น ยังมีอีกสองชีวิตที่ยังเคลื่อนไหวได้อยู่ หนึ่งเป็นหญิงสาววัยรุ่นเผ่ามนุษย์ที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ตรวจสอบแล้วไม่มีสกิลต่อสู้ ตามตัวเธอมีแต่รอยช้ำและล่องลอยการโดนข่มขืน ดวงตาของเธอนั้น…ตายไปแล้ว ผมไม่สนใจสินค้าแบบนี้ เลยหันไปทีอีกคน
ซึ่ง…หนักกว่ารายแรกอีก เธอคนนี้ดูอายุไม่น่าเกินสิบขวบ แต่ใบหน้ามีแผลใหญ่เหมือนโดนดาบฟัน ลากผ่านใบหน้าจนทิ้งลอยบากลึกเอาไว้ ดวงตาเธอหายไปข้าง ปากก็ฉีกจนเห็นฟัน น้ำลายก็ไหลออกมาจากลอยบากตลอดเวลา ซ้ำแขนยังขาดไปข้างด้วย แต่ถึงอย่างไงผมก็ลองใช้ตรวจสอบกับเธอดูก่อน แต่ที่เห็นกลับผิดคาด
ชื่อ ฟรานซิสก้า
เผ่า แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์
อาชีพ ไม่ระบุ
Lv1/30
เผ่าแวมไพร์ล่ะ แถมถึงจะมีสกิลเดียว แต่ก็เป็นสกิลที่น่าสนใจทีเดียว
Passive Skill
Drain lv1 ทุกครั้งที่สร้างบาดแผลให้เป้าหมายได้ จะเกิดการดูดพลังชีวิตและมาน่าของเป้าหมาย
“สนใจเธอคนนี้เหรอครับ”
พ่อค้าทาสเห็นผมจ้องฟรานซิสก้าอยู่นาน เลยเข้ามาเชียร์สินค้าทันที
“ถึงจะมีสภาพแบบนี้ แต่ถ้าจับหันหลังไม่มองหน้า ก็ใช้ทำเรื่องอย่างว่าได้อยู่นะครับ ท่านลูกค้าจะลองดูก่อนก็ได้นะครับ”
“ไม่จำเป็น แต่เธอเป็นเผ่าแวมไพร์ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงฟื้นบาดแผลตัวเองไม่ได้”
“เอ๋! รู้ด้วยเหรอครับ”
พ่อค้าทำหน้าประหลาดใจ และออกอาการประหม่าอีกแล้ว
“คือเธอถูกโจมตีด้วยดาบศักดิ์สิทธิ์ของทางโบสถ์น่ะครับ ทำให้ฟื้นตัวไม่ได้ แถมเธอยังไม่ยอมดูดเลือดด้วยเลยอ่อนแอมาก แต่ท่านลูกค้าไม่ต้องกลัวนะครับ เธอไม่โจมตีท่านเด็ดขาดถึงจะไม่มีพันธะทาสก็เถอะ”
“ปกติแวมไพร์จะโจมตีเจ้าของเหรอ?”
“เอ๋! ไม่รู้เหรอครับ แวมไพร์น่ะต่อให้เป็นทาสก็จะพยายามฆ่าเจ้านายตัวเองให้ได้ ถึงแม้จะต้องตายเพราะพันธะทาสก็ตาม ปกติเลยไม่นิยมจะเอามาเป็นทาส เพราะเด็กคนนี้จะต่างออกไปก็เถอะ แต่คนก็ยังกลัวจนไม่มีใครกล้าซื้อไปอยู่ดี”
“หือ”
ผมก้มลงไปจ้องตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของเธอ และเธอก็จ้องตอบ ในดวงตานั้นยังให้ความรู้สึกต่อต้านอยู่ลึกๆ
“ตกลงผมซื้อเธอ ราคาเท่าไร”
“จะซื้อเหรอครับ!”
พ่อค้าทาสตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าจะขายของเหลือทิ้งได้ ถึงจะถามว่าราคาเท่าไร แต่แค่มีคนเอาตัวเธอไป ก็ถือว่าช่วยเขาได้มากแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียภาษีให้กับขยะเหลือทิ้งแบบนี้แล้ว แต่ก่อนจะบอกไปว่ายกให้ฟรีๆ พ่อค้าทาสก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“จริงสิ เอาแบบนี้ไหมครับท่านลูกค้า ถ้าท่านซื้อเผ่าเทพคนนั้นไป ผมจะแถมเด็กคนนี้ให้ฟรีเลย”
“ไม่เอา ยัยเทพนั้นตั้งยี่สิบล้านเชี่ยวนะ ฉันจะเอาแค่เด็กคนนี้”
ผมไม่หลงกลหรอก เลยอ้างเรื่องราคาออกไป
“ดะ เดี๋ยวครับ ผมจะลดให้อีก อะ เอาเป็นสิบห้าล้านดีไหมครับ”
“ไม่”
ผมยืนกรานเสียงแข็ง
“สิบล้านเลยครับ! ถือว่าช่วยผมเถอะครับท่าน”
“สิบล้านเหรอ…”
ลดมาตั้งครึ่งแบบนี้ เริ่มน่าสนใจแล้วสิ ถึงจะไม่ได้ใช้ทำอะไร แต่ซื้อไปแล้วหาทางปล่อยขายต่อทีหลังก็ได้นี่น่า
“ก็ได้ ตกลงผมซื้อ”
พอผมตกลงใจซื้อเท่านั้นแหละ : break-word;">
“เดี๋ยวผมจะรีบจัดการให้เดี๋ยวเลยครับ เชิญไปนั่งรอด้านในก่อน”
พ่อค้าพาผมไปที่ห้องรับรองเพื่อเตรียมการลงทะเบียนทาส แต่พอเขาหันไปดึงตัวฟรานซิสก้าขึ้นมา เธอกลับดึงแขนของทาสสาวอีกคนมาด้วย
“เฮ้ย แค่แกคนเดียว!”
พ่อค้าทาสหันไปตะคอกใส่ แต่ฟรานซิสก้าส่ายหน้า และยิ่งกอดแขนทาสสาวอีกคนไว้แน่น
“ฉันบอกให้ปล่อย!”
พ่อค้าทาสยกมือขึ้นเหมือนจะตบใส่ แต่ผมหันไปคว้าแขนเขาไว้ซะก่อน
“เฮ้ย นั้นมันชองฉันนะ”
ถึงจะยังไม่ได้ซื้อขายกัน แต่ก็ถือเป็นของที่ผมจะซื้อ เล่นมาทำให้ของคนอื่นเสียหายได้ไง
“ประทานโทษด้วยครับ”
พ่อค้ารีบก้มหัวขอโทษ แต่ผมไม่สนใจ และก้มหน้าลงไปถามฟรานซิสก้า
“อยากจะให้พาเธอคนนี้ไปด้วยเหรอ”
พอผมถามเธอก็พยักหน้ารับแบบกลัวๆ
“เป็นคนรู้จักเหรอ”
เสียงของเธอแหบแห้งและไร้เรียวแรง แต่ก็พยายามพูดออกมาจนได้
“…เธอเคยเป็นคนรับใช้ของหนู”
“…เพิ่มผู้หญิงคนนี้ไปด้วย ราคาเท่าไร”
“เอ๋! จริงเหรอครับ งั้นเอาไปเลยครับ ผมแถมให้ แต่บอกก่อนนะ ถ้าเธอตายไปพวกเราไม่รับผิดชอบนะครับ”
“รู้แล้วน่า รีบๆ จัดการซะ แล้วหาเสื้อผ้าให้พวกเธอใส่ด้วย”
“จัดการให้เดี๋ยวนี้ครับ”
พ่อค้าทาสยิ้มแก้มแทบปริ เพราะนอกจากโละสินค้ายุ่งยากอยากเผ่าเทพได้แล้ว ยังกำจัดขยะออกไปได้อีก เขาเลยบริการผมซะอย่างดี
หลังจากจ่ายเงินและรับใบลงทะเบียนทาสมาแล้ว เขาก็อธิบายเกี่ยวกับพันธะทาสให้ฟัง โดยที่ทาสจะไม่ต้องใส่ปลอกคออย่างที่ผมคิดไว้ แต่ที่คอของทาสจะถูกลงเวทมนต์เอาไว้ รอยของอักขระเวทจะคลายกับปลอกคอ ซึ่งถ้าขัดขืนคำสั่งหรือพยายามทำร้ายเจ้านาย อักขระจะทำงาน และปล่อยเวทมนต์ตัดคอหรือทำลายส่วนหัวของทาสทันที
หรือกรณีที่มีการขโมยทาสกันเกิดขึ้น อักขระก็จะส่งผลกับผู้ที่คิดจะขโมยทาสด้วย เพราะงั้นแล้วหลังผมลงทะเบียนและร่ายรหัสเฉพาะออกไป อักขระจะจดจำผมเอาไว้ว่าเป็นเจ้านายของพวกเธอทันที

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...