ตอนที่ 8 อภินิหารแยมขาว
ฟรอนซิสก้ากับเด็กสาววัยรุ่นที่พึ่งรู้ชื่อ เดเม่ ทั้งสองไม่มีปัญหากับการลงอักขระเลย แต่ยัยเทพเอร่านี้สิ ต่อต้านจนถึงที่สุดจริงๆ เป็นปัญหาอย่างที่คิดไว้เลย
พอออกมาจากร้าน ผมก็ต้องรีบมองหาอะไรให้พวกเธอกินซะก่อน เพราะพวกเธอไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน จนแรงจะเดินแทบไม่มี ยกเว้นเอร่าน่ะ ยัยนี้ถูกดูแลอย่างดีมีข้าวกินทุกมื้อ ไม่นับว่าเผ่าเทพไม่จำเป็นต้องกินต้องดื่มก็อยู่ได้เป็นเดือนๆ
แต่ถึงพ่อค้าทาสจะหาเสื้อผ้าให้พวกเธอแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ชุดที่สะอาดอะไร เป็นแค่ผ้าขาดๆ มาเย็บติดกัน เนื้อตัวพวกเธอก็สกปรก คงไม่มีร้านไหนให้เข้าแน่ ผมเลยต้องซื้อของกินจากพวกร้านแผงลอย มีคล้ายๆ เคบัพห่อด้วยแป้งและใส่ผักด้วย ผมเลยซื้อมาสามอันให้พวกเธอคนละอัน พร้อมกับน้ำผลไม้ที่ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร แต่เห็นขายดีเลยเข้าไปซื้อมาด้วย
ผมพาพวกเธอมานั่งใต้ต้นไม้ เพื่อนั่งกินของที่ซื้อมา ยัยเอร่าหยิบไปกินอย่างไม่เกรงใจเลย แต่อีกสองคนนี้สิ ไม่กล้าหยิบไปกินสักที ทั้งๆ ที่ท้องส่งเสียงร้องมาตั้งแต่ตอนผมต่อแถวซื้อแล้ว
“ถ้าไม่กิน ฉันจะเอาพวกเธอไปคืนนะ”
พอผมขู่ไปแบบนั้น พวกเธอก็รีบหยิบขึ้นมากินทันที
“…ฟราน เธอเป็นแวมไพร์นี้ เดินกลางแดดได้ไม่เป็นไรเหรอ แล้วของกินนี้มีอะไรที่กินไม่ได้บ้างไหม”
เดเม่ผมไม่ถามหรอก เพราะเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ฟรานซิสก้าเป็นแวมไพร์ การดูแลก็ต้องต่างออกไปด้วย
“ฟะ ฟราน…”
เธอหน้าแดงขึ้นมาเมื่อผมเรียกชื่อเล่นเธอ ก็ชื่อฟรานซิสก้ามันยาวไปออกเสียงยากด้วย
“ว่าไงล่ะ”
ผมถามซ้ำไปอีกที จนฟรานซิสก้าตั้งสติได้และรีบตอบกลับมา
“ทำไมเดินกลางแดดไม่ได้เหรอคะ? ส่วนของกินแค่เป็นเศษอาหารที่นายท่านให้ หนูก็กินได้หมดค่ะ!”
“ต่างจากโลกของฉันสินะ…เอ่อ แต่เศษอาหารนี้ก็เกินไปหน่อยมั่ง”
แต่ผมไม่คิดจะเลี้ยงดูพวกเธอด้วยเศษอาหารหรอกนะ จะเลี้ยงก็ต้องเลี้ยงให้ดี เวลาทำงานจะได้ทำได้เต็มที่
“นี้ถามฉันบ้างสิ!”
เอร่ารีบยกมือขึ้นพูดทั้งๆ ที่อาหารยังเต็มปาก ยัยเทพนี้มารยาทแย่จริงๆ
“เธอน่ะหุบปากไปเลย”
“อึ๋ย!”
พอโดนว่าไปเอร่าก็ทำคอตก แต่ปากเธอน่ะไม่หยุดเคี้ยวเลย
“แล้ว เดเม่ เธอทำอะไรได้บ้าง”
พอผมหันไปถามเดเม่เธอก็ผวาจนตัวสั่นขึ้นมา จนฟรานซิสก้าต้องเป็นคนตอบให้แทน
“เดเม่เคยเป็นคนรับใช้ของหนูค่ะ เธอทำงานบ้านได้เก่งมาก”
“หือ งั้นถ้าให้เธอเป็นเมดคงไม่มีปัญหาสินะ”
“เมด!? ยะ อย่างหนูเนี่ยนะค่ะมะ ไม่เหมาะหรอกค่ะ”
เดเม่มือสั่นปากสั่นไปหมดแล้ว หรือผมพูดอะไรผิดไป พอถามฟรานซิสก้าดู เลยรู้ว่าระดับของคนรับใช้นั้นต่างจากเมดมาก โดยเฉพาะเมดประจำบ้านนั้น เรียกได้ว่าเป็นคนรับใช้ขั้นสูงเลย ซึ่งต้องมีพร้อมทั้งมารยาทและฝีมือการทำงานที่ต่างจากคนรับใช้ทั่วไป
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เรื่องมาก ตรงไหนทำไม่ได้ก็ค่อยๆ ฝึกไป”
“ดีใจด้วยนะเดเม่ เธอจะได้เป็นเมดแล้ว”
“มะ เมด หนูเนี่ยนะคะ”
ฟรานซิสก้าหันไปแสดงความดีใจกับเดเม่ ที่ดีใจจนตาลายเหมือนจะเป็นลมให้ได้
“นี้ๆ แล้วฉันล่ะ ฉันต้องทำอะไร”
“ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวหาคนซื้อได้เมื่อไร เธอก็ไม่ต้องอยู่กับฉันแล้ว”
“ไม่เอานะ! ท่านผู้กล้าอย่าทิ้งกันไปแบบนี้สิ”
“บอกแล้วไงฉันไม่ใช่ผู้กล้า อีกอย่างเธอน่ะโดนผู้กล้าหลอกมาขายไม่ใช่เหรอ ไม่เข็ดหรือไง”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เอร่าก็โกรธจนตัวสั่น แต่ก็พยายามสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว
“ไม่เหมือนกัน ผู้กล้าใช่จะเหมือนไอ้สารเลวนั้นทุกคน”
“คิดได้แบบนั้นก็ดี แต่ฉันน่ะไม่ใช่คนดีหรอกนะ”
เพื่อยืนยันให้ดูว่าผมเป็นคนแบบไหน ผมเลยหันไปทางฟรานซิสก้าและบอกวัตถุประสงค์ออกไป
“ฟราน จากนี้ฉันจะใช้เธอเป็นทาส ทั้งเพื่อการต่อสู้หาเงินและเรื่องบนเตียงด้วย เตรียมใจไว้แล้วใช่ไหม”
“ค่ะ ถ้านายท่านไม่รังเกียจหนู จะใช้หนูทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ฟรานซิสก้าตอบอย่างไม่ลังเล การเตรียมใจของเธอหนักแน่นดีทีเดียว
“เป็นเด็กดีมาก เทียบกับยัยนี้แล้ว”
ผมหันไปทางเอร่า ที่มองผมด้วยสายรังเกียจอยู่
“ไอ้คนเลว! กับเด็กก็ไม่เว้นเลยเหรอ!”
“เอ่อสิ ก็ฉันเป็นโลลิค่อนนี้”
ผมยืดอกรับอย่างภูมิใจ ถ้าที่โลกเก่าคงพูดอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก แต่ที่โลกนี้ไม่มีกฎหมายคุ้มครองเด็ก เพราะงั้นจะทำอะไรกับเด็กก็ได้ไม่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว
“แล้วถามหน่อย เธอทำอะไรได้บ้าง ทำงานบ้านได้ไหม”
“มะ ไม่ได้”
“ทำอาหารได้ไหม”
“มะ ไม่ได้”
“ต่อสู้ได้ไหม”
“มะ ไม่ได้”
“ค่อยบำเรอผมบนเตียงได้ไหม”
“เรื่องน่าเกลียดแบบนั้นฉันไม่ทำเด็ดขาด!”
“เพราะอย่างนั้นแหละ ยัยตัวไร้ประโยชน์”
ผมตัดสินใจขายยัยเทพนี้แน่นอน จะเมื่อไรก็เท่านั้นแหละ
“ดะ เดี๋ยวก่อน…”
“อะไรล่ะ”
“ถ้านาย…ถ้านายช่วยฉันจัดการเจ้าผู้กล้าที่หักหลังฉันได้ ฉัน…ฉันจะยอมให้จับมือก็ได้!”
“หา!? นี้เธอเป็นเด็กอนุบาลหรือไง แล้วบอกไว้เลย ฉันไม่คิดจะไปยุ่งกับพวกผู้กล้าหรอก ฉันเองก็พึ่งได้เป็นนักผจญภัยวันนี้เอง”
“ยะ อย่างไงก็เถอะ ขอฉันอยู่ด้วยนะ กะ ก็ฉันน่ะกลับสวรรค์ไม่ได้แล้ว”
เอร่าทำคอตกจนดูน่าสงสาร แต่ผมไม่ใช่ว่าสงสารอะไรหรอก แค่อยากรู้น่ะเลยให้เธอเล่าให้ฟัง
แต่เดิมเอร่าจะคอยนำทางคนที่ตายจากโลกอื่นมายังโลกนี้ เพื่อให้เป็นผู้กล้าไปปราบจอมมาร และคอยให้คำแนะนำอยู่ห่างๆผผผ แต่เธอกลับไปหลงลมปากของผู้กล้าคนหนึ่ง จนให้ความช่วยเหลือเกินขอบเขต ทำให้ผิดกฎสวรรค์จนถูกขับไล่ลงมาแถมโดนยึดเอาพลังทั้งหมดไป ซึ่งทั้งหมดเป็นแผนของผู้กล้าคนนั้นอยู่แล้ว ที่ทำไปก็เพื่อจะจับเธอที่ไร้พลังไปขาย และหาเงินมาใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายที่โลกนี้ เห็นว่าเพราะเงินที่ใช้ขายเธอทำให้มันได้กลายเป็นขุนนางไปแล้ว
“สรุปก็คือ อย่างไงก็กลับสวรรค์ไม่ได้แล้วสินะ”
“ยังพอมีทางอยู่ คะ แค่ปราบจอมมารได้ ฉันก็จะได้รับการยกโทษให้กลับสวรรค์ เพราะงั้นฉันจะตามนายไปจนกว่าจะปราบจอมมารได้!”
…ผมจะบอกยัยนี้ไปดีไหมว่า จอมมารที่ว่าน่ะอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว นี้เธอมาขอร้องจอมมารให้ปราบจอมมารเนี่ยนะ อืม จะว่าไปยัยนี้ก็ตลกดีเหมือนกัน เลี้ยงไว้แก้เซ็งดีกว่า
“งั้นก็ตามใจ”
ผมจบธุระกับเอร่าแล้ว ผมก็หันไปดูฟรานซิสก้า ที่กินกันเสร็จพอดี
“อยากกินอีกไหม”
“ไม่แล้วค่ะ! แค่นี้ก็เกินพอแล้ว นายท่านได้ให้อาหารชั้นเลิศแบบนี้กับพวกเรา พระคุณนี้พวกเราจะชดใช้ให้ได้ค่ะ”
“เยอะไปแล้ว ฉันรู้ว่าพวกเธอยังไม่อิ่ม แต่ว่าตอนนี้กินเท่านี้ก่อน กระเพาะของพวกเธอยังต้องใช้เวลาปรับสภาพ ขืนให้กินเข้าไปเยอะๆ ทีเดียว จะปวดท้องเอาได้”
“นะ นายท่านผู้เมตตา! นอกจากให้อาหารพวกหนูแล้ว ยังเป็นห่วงสุขภาพพวกเราอีก พวกหนูไม่สมควรได้รับสิ่งนี้หรอกค่ะ”
ฟรานซิสก้ากับเดเม่ลงไปก้มกราบผมติดพื้น รู้สึกลำบากใจแฮะ แค่ทำอะไรนิดหน่อยก็ต้องก้มกราบกันแบบนี้ คงไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี
“เอาล่ะ ก่อนจะกลับบ้าน พวกเราต้องไปซื้อของกันอีก ยังเดินกันไหวใช่ไหม”
“ไหวค่ะ!”
ฟรานซิสก้าตอบเสียงดัง พอได้กินอะไรแล้ว เสียงที่ไร้เรียวแรงก็ดูดีขึ้นมาทันที ส่วนเดเม่ตอบสนองต่างออกไป เธอเพียงแค่พยักหน้าอย่างกลัวๆ เท่านั้น ส่วนเอร่าช่างเถอะ
ที่ที่ผมไปก็คือร้านรองเท้า เพราะเธอเดินเท้าเปล่ากันมาตลอด ผมเลยอยากให้พวกเธอมีรองเท้าใส่ก่อน ซึ่งก็ตามคาด ฟรานซิสก้ากับเดเม่ไม่กล้าใส่ ได้แต่กอดมันไว้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า จนผมต้องบังคับให้พวกเธอใส่มันถึงจะยอม
จากนั้นก็ไม่ต่อที่ร้านเสื้อผ้า แต่เพราะตัวของทั้งคู่ถูกขังไว้นาน จนเหม็นกลิ่นฉี่กลิ่นขี้ไปทั้งตัว ผมเลยจ่ายเงินให้พนักงานของร้านพาทั้งคู่ไปล้างตัวก่อน ระหว่างรอผมก็ให้เอร่าเลือกซื้อของตัวเองไปก่อน ยัยนี้ง่ายดีชะมัด เพราะไม่ความไร้ซึ่งความเกรงใจนี้แหละนะ
พอทั้งคู่กลับมาผมก็ให้ไปเลือกชุด แต่ว่าพอเห็นราคาชุดในร้านแล้ว พวกเธอก็ไม่กล้าแม้แต่จะน้นเป็นแบบมีระบายและโบว์เยอะๆ ใหอกให้เอง แต่ก็ดีเพราะผมก็คิดไว้เหมือนกันว่าอยากจะให้พวกเธอแต่งตัวแบบที่ผมชอบ
ของเดเม่นั้นไม่ต้องคิดมาก ไหนๆ ก็เป็นเมดอยู่แล้ว ผมเลยเลือกชุดเมดให้กับเธอ โดยเลือกไปหลายๆ แบบทั้งแบบคลาสสิก ทั้งแบบกระโปรงสั้น ส่วนของฟรานซิสก้า ด้วยที่เธอเป็นแวมไพร์ ผมเลยคิดภาพชุดแนวโกธิคขึ้นมาในหัวเป็นอย่างแรก แถมเธอยังโลลิด้วย ผมจึงเลือกชุดโกธิคโลลิต้าแบบกระโปรงฟูฟ่องเป็นจีบระบาย ทั้งสีดำและสีขาว รวมถึงพวกถุงมือและถุงน่องเข้าชุดด้วย
และด้วยที่ผมเป็นคนที่เก็บรายละเอียดทุกอย่าง ผมเลยเลือกชุดชั้นในให้พวกเธอด้วย ถึงแม้จะโดนสายตาดูแคลนมาจากพนักงานร้านและเอร่า แต่ผมไม่แคร์ นี้มันสำคัญนะ ผมน่ะไม่กินอาหารที่จืดชืดหรอก
เดเม่ผมเลือกชุดชั้นในสีอ่อนๆ ให้เช่นสีขาว สีคลีม สีชมพูและสีฟ้า โดยเน้นเป็นแบบมีระบายและโบว์เยอะๆ ให้ดูน่ารักสมตัว แต่ผมไม่ชอบผ้าฝ้าย เลยเลือกแต่ที่เป็นผ้าไหมที่เรียบลื่นรู้สึกนิ้วที่ปลายนิ้วเวลาสัมผัส
แต่ของฟรานซิสก้าผมจัดเต็ม เลือกโดยเน้นความเซ็กซี่เป็นหลัก เพราะโลลิบวกเซ็กซี่คือคอมโบที่มีพลังทำลายล้างสูงนะสิ ผมเลือกแต่สีดำและสีแดงที่เป็นแบบลูกไม้กับซีทรูไปจนถึงแบบผูกเชือกด้านข้าง เนื้อผ้าก็มีหลายแบบทั้งผ้าไหมทั้งผ้าซาติน แต่เพราะเธอยังเด็กและไม่มีหน้าอก ท่อนบนผมเลยเลือกแบบชุดเบบี้ดอลที่มีเนื้อผ้าบางเบาไป
แต่ผมสงสัยตั้งแต่ตอนเลือกชุดล่ะ ทำไมโลกนี้ถึงได้มีเสื้อผ้าและชุดชั้นในแบบนี้ได้ล่ะ ให้เดาคงเป็นพวกผู้กล้าทีมาจากโลกอื่นแบบผม เอามาเผยแพร่แน่ๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะแบบนี้มันดีกับผมอยู่แล้ว
จากนั้นผมก็ซื้อกางเกงในทรงฝักทอง ซึ่งเป็นกางเกงในมาตรฐานของโลกนี้ให้ไปอีกคนละสามตัว แต่ผมแอบกระซิบบอกช่าง ให้เลาะด้ายตรงกลางออกเพื่อเปิดตรงเป้าได้ ทั้งนี้มันเป็นความวิตาถารส่วนตัวของผมล่ะนะ เพราะผมชอบทำแบบที่อีกฝ่ายยังใส่ชุดชั้นในอยู่ มันเร้าใจดี ไม่งั้นคงไม่มาเลือกด้วยตัวเองแบบนี้หรอก
กว่าจะออกจากร้านเสื้อผ้ามาก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ผมเลยรีบพาทุกคนไปที่ตลาดและซื้อเสบียงสำหรับสองวันมาด้วย ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการซื้อของวันนี้
แต่เพราะที่พักอยู่นอกเมืองเลยต้องเดินหิ้วของหนักๆ ก็ลำบากเหมือนกัน แถมพวกเธอยังไม่แข็งแรงดี ผมเลยเอาของส่วนใหญ่มาถือไว้เอง ซึ่งพวกเธอพยายามปฏิเสธไม่ให้ผมช่วย แต่ผมไม่ฟังพวกเธอหรอก ส่วนของเอร่าน่ะให้แบกไปเอง เพราะแข็งแรงดีอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงจะบ่นมาผมก็ไม่ฟังเหมือนกัน
จนเมื่อมาถึงคฤหาสน์ ฟรานซิสก้ากับเดเม่ตกใจจนเกือบทำข้าวของหลุดมือ เพราะตรงหน้าพวกเราคือคฤหาสน์สามชั้นที่ใหญ่โต
แต่สำหรับผมแล้ว ที่นี้ห่างใกล้กับคำว่าหรูหรา ถึงใหญ่แต่ยังต้องปรับปรุงอีกหลายจุด อย่างแรกเลยกำแพงรั้วบ้านก็ไม่มี สวนดอกไม้ก็แห้งตายไปหมดแล้ว
“จริงสิ เอร่าเธอปลูกดอกไม้เป็นไหม”
“คิดว่าได้นะ”
“ดี งั้นจากนี้ไปเธอเป็นคนสวน”
“หา! นี้นายจะให้เทพอยากฉันมาเป็นคนสวนเหรอ!”
“ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องกินข้าว”
“ทำ! ให้ฉันทำเถอะ ได้โปรด!”
“งั้นก็ตกลงตามนี้”
ผมพาทุกคนเข้ามาในบ้าน ซึ่งถึงจะทำความสะอาดแล้วก็จริง แต่ฟอนิเจอร์ไม่ค่อยมีอะไรเลย ยังดีที่ห้องกินข้าวยังมีโต๊ะกับเก้าอี้ ส่วนที่ห้องรับแขกถึงจะมีโซฟาแต่มันเก่ามากแล้ว คงต้องเปลี่ยนใหม่อยู่ดี
พูดถึงห้องน้ำ ที่โลกนี้ยังไม่มีการทำประปาหรือท่อส่งน้ำ เวลาจะใช้น้ำทีก็ต้องไปตักจากแหล่งน้ำใกล้ๆ ซึ่งสำหรับคฤหาสน์หลังนี้ค่อนข้างสบาย เพราะอยู่ใกล้น้ำตก แต่ก็ไม่จำเป็นอยู่ดี เพราะด้วยสกิลพ่อบ้านสมบูรณ์แบบของผม ทำให้ผมเสกน้ำออกมาได้โดยใช้มาน่าเพียงเล็กน้อย จะน้ำร้อนน้ำเย็นได้หมด
แต่ระหว่างเดินดูรอบๆ บ้าน ผมก็ได้ยินเสียงไอของเดเม่ ดูท่าอาการป่วยคงกำเริบแล้ว แค่อาหารอย่างเดียวไม่ช่วยให้หายอยู่แล้วล่ะ ก่อนอื่นเลยก็ต้องรักษาพวกเธอสินะ
“ฟรานเธอกับเดเม่อยู่ห้องเดียวกันได้ใช่ไหม”
“ห้อง? ห้องอะไรเหรอคะ”
ฟรานทำหน้าไม่เข้าใจ
“ก็ห้องของพวกเธอไง”
“เอ๋!? หะ ห้องของพวกหนู มะ ไม่ได้หรอกค่ะ แบบนั้นมันดีเกินไป ขอแค่กองฟางในคอกม้าพวกหนูก็อยู่ได้แล้ว”
ฟรานรีบอธิบาย แต่ผมทำหน้าบึ้งใส่
“ใจคอพวกเธอจะไปแย่งที่นอนเอร่าเหรอ”
“ใช่ๆ…เดี๋ยวก่อนนะ นี้หมายความว่าฉันต้องไปนอนคอกม้าเหรอ!”
“ก็ใช่สิ”
“ไม่เอานะ! ฉันตกลงเป็นคนสวนให้แล้วไง ให้ฉันนอนในบ้านเถอะนะ นะ นะ ได้โปรด”
“ก็ได้ แต่ถ้าทำตัววุ่นวายฉันไล่ไปนอนคอกม้าจริงๆ นะ”
ผมย้ำกับเธอเพื่อไม่ให้เธอทำตัวน่าหมั่นไส้เกินไป แต่จริงๆ ก็ไม่ต้องการให้ใครไปนอนที่คอกม้าอยู่แล้วล่ะ
“สำหรับพวกเธอผมเลือกห้องให้ละกัน”
ผมรู้ว่าถ้าให้ตัดสินใจเอง ทั้งสองไม่ยอมอยู่ในบ้านแน่ๆ ผมเลยพาไปที่ชั้นสองและเลือกห้องที่ใกล้บันไดที่สุด เพราะเวลาเรียกใช้จะได้สะดวก
ส่วนผมเลือกห้องใหญ่สุดบนชั้นสาม ซึ่งเป็นห้องทำงานรวมกับห้องนอน เอร่าเองก็เลือกห้องที่ติดกับผมที่ชั้นสาม
“เตียง! พวกเรานอนบนเตียงได้จริงๆ เหรอคะ!”
ฟรานหันมาถามผมด้วยเสียงแบบตื่นตระหนก
“ก็ลองนอนพื้นให้ผมเห็นสิ ผมจะลงโทษพวกเธอ”
“ขะ ขอบพระคุณมากค่ะ”
ดูใกล้ๆ แบบนี้หน้าเธอสยองดีเหม-wrap: break-word;">ฟรานกับเดเม่รีบโค้งหัวคำนับผมเป็นการใหญ่
“วางของพวกเธอไว้ที่นี้ แล้วตามผมมา”
ผมพาทั้งสองมาที่ห้องตัวเอง โดยปล่อยยัยเอร่าไปนอนกลิ้งเล่นอยู่ในห้องของเธอไป
พอเข้ามาถึง ผมก็จัดการถอดเสื้อผ้าตัวเองออก พอทั้งคู่เห็นก็ทำท่าตกใจ แต่ก็ปรับท่าทีอย่างรวดเร็ว และเข้ามาช่วยผมถอดเสื้อผ้าด้วย
ผมนั่งลงที่ขอบเตียง และกวักมือเรียกฟราน เธอเดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางเหมือนแมวที่หวาดกลัว
ดูใกล้ๆ แบบนี้หน้าเธอสยองดีเหมือนกัน รอยแผลมันลึกไปถึงกระดูกเลย แผลลากยาวไปถึงหัวจนผมหายไปเป็นทาง เรียกว่าหมดสวยเลย จริงๆ ผมควรเรียกใช้เดเม่มากกว่า แต่ผมดูออกว่าสภาพจิตใจเธอยับเยินขนาดไหน เลยไม่อยากให้เธอพังไปซะก่อน จึงต้องใช้ฟรานแทน
พอฟรานเข้ามาใกล้ ก็เริ่มถอดเสื้อผ้าตัวเองออก แต่ผมยกมือห้ามไว้
“ไม่ต้องหรอก แค่ใช้ปากพอ”
“ปาก? เอ่อ คือประทานโทษค่ะนายท่าน คือหนูไม่เข้าใจ”
“ก็ใช้ปากกับเจ้านี้ไง อย่าบอกนะว่าไม่เคย”
ผมชี้ไปที่ดุ้นซึ่งพร้อมทำงานแล้ว แต่ด้วยสีหน้าสับสนของฟราน ดูท่าเธอจะไม่เคยใช้ปากทำมาก่อนจริงๆ ทั้งๆ ที่ถูกทารุณทางเพศมาตั้งมากมาย แต่ไม่เคยใช้ปากทำรัก ดูท่าผู้ชายโลกนี้จะไม่เข้าใจถึงวิธีหาความสุขเลยแฮะ ซึ่งผมมารู้ทีหลังจากผู้หญิงคนอื่นๆ ว่า ปกติแล้วพวกผู้ชายมาถึงก็จะใส่เข้าไปท่าเดียว ไม่มีการเล้าโลมใดๆ เพราะงั้นผู้หญิงในโลกนี้ไม่มีความสุขกับการร่วมรักเลย
เมื่อฟรานไม่เคยใช้ปากทำรักมาก่อน ผมเลยต้องสอนเธอแทน พอได้ยินทีแรกเธอตกใจจนหน้าซีด แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี ปากของเธอเล็กมาก ผมจึงต้องปรับขนาดหนอนน้อยลงมา
“แบบนั้นแหละ ใช้ลิ้นเลียไปรอบๆ และอย่าให้โดนฟันนะ”
ผมสอนเธอไปขณะลูบผมเธอไปด้วย เส้นผมเธอค่อนข้างสากมือ คงเพราะไม่เคยได้รับการดูแลมาก่อน แถมยังเป็นสีขาวซีดๆ เหมือนผมงอกเลย
“ทีนี้อมเข้าไปทั้งหมด ออกแรงดูดด้วย แรงอีก”
ผมดันหัวเธอให้อมดุ้นเข้าไปทั้งอัน แต่ไม่ได้ใช้แรงมาก แค่นำทางเธอไปว่าต้องทำอย่างไง
“แล้วก็โยกหัวเข้าออก ใช่แบบนั้น อย่าลืมใช้ลิ้นด้วย”
ผมสอนเธอทุกอย่าง ซึ่งฟรานเป็นเร็วมาก เสียงที่ดูดดุ้นผมเริ่มฟังลามกขึ้นเรื่อยๆ มีเด็กสิบขวบมาดูดดุ้นให้นี้ฟินดีเป็นบ้า แต่พอก้มลงมาเห็นหน้าของฟรานที่มีน้ำลายไหลออกมาตรงรอยแผล ก็รู้สึกอารมณ์สะดุด เลยหันไปมองทางเดเม่แทน ซึ่งเธอก็จ้องดูที่ฟรานทำอย่างสนใจ แต่พอรู้ว่าถูกผมจ้องอยู่ ก็หน้าแดงด้วยความอาย และก้มหน้าหนี
พอดูดีๆ เธอก็น่ารักทีเดียว ยิ่งถ้าไว้ผมทวินเทลนี้เข้ากับผมสีเกาลัดของเธอน่าดู หน้าอกประมาณคัพBไม่ใหญ่ไม่เล็กพอดีกับตัว
“เดเม่ เข้ามาใกล้ๆ สิ”
ผมไม่ได้เรียกเธอมาทำอะไรหรอก แต่ผมใกล้เสร็จแล้ว ซึ่งผมต้องให้เธอกินแยมขาวของผมด้วย จากนั้นผมก็เป็นฝ่ายโยกเอวเอง ผมกระแทกใส่จนฟรานส่งเสียงอุ๊กออกมาเป็นระยะ จนแยมขาวพุ่งทะยานออกมา
“กลืนลงไป”
ผมสั่งฟราน ก่อนจะถอนดุ้นออกมา และรีบยัดเข้าไปในปากของเดเม่ต่อ ซึ่งเธอตกใจมากจนน้ำตาไหล แต่ผมอยากให้เธออดทนไว้ให้ได้
“เธอก็ต้องกลืนเข้าไป”
ผมสั่งเดเม่ซึ่งเธอก็พยักหน้าและกลืนมันลงคอไปทั้งน้ำตา แต่พอทั้งคู่ได้กลืนแยมขาวของผมเข้าไปแล้ว ร่างกายของพวกเธอก็ได้รับการฟื้นฟูทันที
เนื้อบนใบหน้าของฟรานผสานกันจนไม่เหลือทิ้งรอยแผลเป็นไว้ แขนที่ขาดไปก็งอกกลับออกมาใหม่ เส้นผมที่แห้งสาก กลับมานุ่มสลวย และเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีม่วงส่องประกาย ผิวเองก็เปร่งปลั่งเรียบลื่นแบบสุขภาพดีผมเองถึงกับตกตะลึง ทีแรกก็พอดูออกว่าฟรานเป็นเด็กที่หน้าตาดีมาก่อน แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้เลย ดวงตาเธอมีเสน่ห์มาก ผิวก็สวย ผมก็น่าลูบไล้
“นี้มันยิ่งกว่าที่คิดไว้ซะอีก”
ผลจากซูปเปอร์แยมขาว ไม่ใช่แค่รักษา แต่มันยังฟื้นสภาพไปสู่จุดที่ดีที่สุดด้วย
ทางเดเม่เองก็เหมือนกัน อาการป่วยของเธอหายเป็นปลิดทิ้ง ใบหน้าที่ขาดซีดกลับมามีสีเลือด เส้นผมที่แห้งแข็งก็กลับมามีน้ำหนักและเหยียดตรง ผิวหนังที่ซูบตอบก็เด้งตึงขึ้นมา
“ขะ แขน แขนของหนู ทะ ทำไมกัน?”
ฟรานจับแขนตัวเองที่งอกกลับมาด้วยความประหลาดใจ จะเรียกว่าตกใจจนช็อคไปเลยก็ว่าได้
“ไม่ใช่แค่แขนหรอกนะ ลองไปส่องกระจกตรงนั้นดูสิ”
ผมชี้ไปที่กระจกบนโต๊ะทำงาน ซึ่งพอฟรานไปส่องดู ก็บนว่าใบหน้าและดวงตาของเธอกลับมาเห็นเป็นปกติแล้ว เส้นผมเองก็เหมือนกัน
“เดเม่ รู้สึกเป็นอย่างไงบ้าง”
ผมหันไปถามทางเดเม่ที่ยืนแข็งอยู่
“…หนูตายแล้วเหรอค่ะ”
“เอ่อ ยัง”
“แต่ทำไมรู้สึกดีแบบนี้ล่ะค่ะ หนูไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลย ตัวก็เบา ตรงที่เคยเจ็บมาตลอดก็ไม่เจ็บแล้ว”
“หายดีแบบนี้ก็ดีแล้ว”
ตอนนั้นเองที่ฟรานเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับก้มกราบที่เท้าผม
“พระคุณของนายท่านยิ่งใหญ่นัก ชั่วชีวิตนี้หนูคงตอบแทนให้ได้ไม่หมด หนูขอสาบานค่ะ ว่าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อนายท่านจนกว่าชีวิตนี้จะมอดไหม้ไป”
“หนูก็ด้วยค่ะ”
เดเม่เองก็ก้มกราบแบบเดียวกับฟราน
“แค่เชื่อฟังและอย่าทรยศผมก็พอแล้ว ขอแค่นี้แหละ”
“ไม่มีทางเด็ดขาดค่ะ! หนูจะไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด แค่คิดก็ไม่อาจจะให้อภัยได้แล้ว!”
“เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว เพราะไหนๆ แล้วฉันว่าจะรักษาพวกเธอต่อเลย”
“อ่ะ เอ๋? แต่ตอนนี้พวกหนูหายดีแล้วนะค่ะ”
“อืม แทนที่จะเรียกว่ารักษา ต้องบอกว่าทำให้มันดูดีขึ้นมากกว่า ฟรานใช้ปากทำรักแบบตะกี้อีกสิ”
“ค่ะ!”
ฟรานรีบรับคำอย่างยินดี และรีบตรงเข้ามาดูดดุ้นผมทันที รอบนี้เธอเริ่มชำนาญแล้ว เธอไม่ต้องบอกอะไรปล่อยให้เธอทำไปด้วยตัวเอง แต่จู่ๆ เดเม่ที่ดูอยู่ก็พูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาด้วยความเอียงอาย
“ขะ ขอหนูทำด้วยได้ไหมค่ะ”
“ได้สิ”
พอผมอนุญาตเดเม่ก็ก้มลงไป ถึงแรกๆ จะดูขัดๆ เขินๆ แต่เพราะได้ฟรานช่วยแนะนำให้ เลยพอทำเป็นขึ้นมาบ้าง ทั้งสองช่วยกันทั้งเลียทั้งดูดดุ้นผมกันแบบไม่พักหายใจ
แต่คราวนี้ผมดึงออกมาแตกใส่หน้าพวกเธอแทน ฟรานยกนิ้วขึ้นมาทำท่าจะปาดแยมขาวไปกิน แต่ผมห้ามไว้ก่อน
“ทีนี้ถลกกระโปรงขึ้น”
พวกเธอยังอยู่ในชุดที่ร้านค้าทาสให้มา เลยยังไม่ได้ใส่กางเกงในกัน
ฟรานจับปลายผ้ายกขึ้นอย่างอายๆ แต่ก็ไม่หลบหน้าผม ส่วนเดเม่สั่นกลัวและหลับตาปี๋ แต่ก็ถลกกระโปรงขึ้นมาเหมือนกัน
ผมปาดเอาแยมขาวบนหน้าพวกเธอมา และสอดนิ้วเข้าไปในถ้ำของพวกเธอพร้อมๆ กัน ละเลงแยนขาวไปทั่วๆ พนังถ้ำ ก่อนจะดึงนิ้วกลับออกมา
“จะได้ผลหรือเปล่านะ”
ผมไม่แน่ใจว่าใช้แบบนี้ได้ผลไหม ถ้าไม่ได้ก็ต้องสอดใส่เข้าไปแบบปกติแทน แต่ผมยังไม่อยากมีอะไรกับทั้งสองในตอนนี้ เพราะอยากให้พวกเธอฟื้นฟูตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงปรับสภาพให้เข้ากับชีวิตใหม่ให้ได้ซะก่อน
แต่ที่ห่วงไว้เปล่าประโยชน์ พอทันทีที่ดึงนิ้วกลับออกมา หอยที่เคยมีสีคล้ำและเยินจนเนื้อในปลิ้นออกมาจนดูไม่ได้ กลับมาเป็นสีชมพูสดและเนื้อก็หุบเข้าไปด้านในจนหมด เป็นหอยที่ดูสมอายุอย่างที่ควรเป็นแล้ว
ทั้งคู่ดูเหมือนจะรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เลยเลื่อนมือลงมาสำรวจน้องสาวตัวเอง อุย เหมือนกำลังดูพวกเธอตกเบ็ดอยู่เลยแฮะ ทนไว้ก่อนๆ
“นะ นายท่านนี้มัน!”
ฟรานร้องขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก
“อืม พวกเธอกลับมาเป็นปกติทุกส่วนแล้ว”
ผมยิ้มบอกพลางลูบหัวฟรานไปด้วย หูย เส้นผมหรือเส้นไหมเนี่ย ทำไมเรียบลื่นแบบนี้ ตัวฟรานไม่มีการต่อต้านแต่หลับตาพริ้มทำหน้าเคลิ้มตามไปด้วย ตอนผมเอามือออกมา เธอทำหน้าเสียดายออกมาทันที
“เอาล่ะ ที่นี้พวกเธอไปเปลี่ยนเป็นชุดที่ซื้อมาได้แล้ว เสร็จเมื่อไรก็ลงไปหาผมที่ห้องกินข้าวซะ”
ผมรีบลุกขึ้นเพื่อไปเตรียมมื้อเย็น เหตุที่ต้องรีบไล่พวกเธอไป เพราะตอนนี้ผมแทบจะกลั้นความหื่นไม่ไหว จนอยากจะจับพวกเธอกดเต็มแก่แล้ว ถึงกับฟรานผมจะคิดว่าจะไม่มีปัญหาอะไรก็เถอะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าลึกๆ เธอจะรู้สึกอย่างไง ส่วนของเดเม่นี้คงต้องใช้เวลาอีกนานเลย
ตอนที่ 9 ปาร์ตี้ผู้กล้า
ถึงจะบอกว่าลงมาเตรียมมื้อเย็น แต่ส่วนใหญ่ก็ซื้อมาแบบปรุงแล้ว เพราะผมไม่รู้ว่าห้องครัวของที่นี้จะมีอุปกรณ์ทำครัวอยู่หรือเปล่า แต่พอสำรวจดูก็มีครบใช้ทำอาหารได้ ถึงจะเก่าไปสักหน่อยก็เถอะ ผมใช้คลีนนิ่งทำความสะอาดห้องครัวและอุปกรณ์ทั้งหมด
จุดไฟตั้งเตาและเสกน้ำออกมาเต็มถัง ผมแช่ผักในน้ำเย็น และหันไปทำมายองเนส ไข่ น้ำส้มสายชู น้ำมัน น้ำตาล เกลือ สามารถหาซื้อได้ในตลาดทั้งหมด แต่มีราคาค่อนข้างสูงทีเดียว สูงที่ว่าเนี่ย สองพันรีลเองนะ
ออเดริฟผมทำเป็นสลัดผักราดด้วยมายองเนส ส่วนซุปผมใช้สาหร่ายต้มกับกระดูก ใส่พริกไทยกับเกลือนิดหน่อย จังหวะนั้นเองที่ฟรานกัเดเม่เข้ามาในห้องครัว
ผมนี้ตะลึงค้างจนหยุดมือไปเลย นี้มันยิ่งกว่าความฝันซะอีก เดเม่เข้ากับชุดเมดสุดๆ โดยเธอเลือกชุดเมดแบบคลาสสิกมา ส่วนของฟรานเป็นชุดโกธิคแบบแขนเสื้อกระโปรงสั้นสีดำที่มีระบายเป็นชั้นๆ และใส่ถุงน่องสีดำเหนือเข่า จนมีพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นมา
“นะ นายท่านคะ ให้พวกหนูใส่ชุดพวกนี้จะดีเหรอค่ะ มันสวยมากเลยแต่ว่าถ้าเกิดเปื้อนขึ้นมา นะ หนูจะทำอย่างไงดี”
ฟรานมีท่าทางอึดอัดแสดงให้เห็น แต่ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบ เพียงแต่เธอกลัวจะทำชุดเสียหายมากกว่า เดเม่เองก็เหมือนกัน
“พวกเธอไม่ต้องคิดเรื่องอื่น งานของพวกเธอทำให้หัวใจของฉันชุ่มชื่นอยู่เสมอ เพราะงั้นต้องแต่งตัวให้ดูดีตลอดเวลา เข้าใจแล้วนะ”
“ค่ะ นายท่าน!”
เวลาผมพูดไปตรงๆ ถึงจะฟังดูวิตาถารแค่ไหน แต่ดูเหมือนพวกเธอจะยอมรับได้ง่ายกว่าเวลาพูดปกติซะอีก
แต่ว่า…ผมอยากรู้จริงๆ ว่าทั้งคู่ใส่กางเกงในแบบไหนอยู่ ของเดเม่ผมเดาว่าน่าจะเป็นฝักทองแน่ๆ ดูจากนิสัยของเธอแล้ว แต่ของฟรานนี้สิ เดาไม่ออก แต่ไม่ใช่ฝักทองแน่ๆ ไม่งั้นปลายขากางเกงต้องโผล่ออกมาแล้ว
เหมือนฟรานจะรู้ตัวแล้วว่าผมจ้องอะไรอยู่ เธอเลยหน้าแดงขึ้นมา และจับไปที่ปลายกระโปรง
“นะ นายท่านอยากเห็นข้างใต้นี้เหรอคะ”
เธอทำท่าจะเปิดให้ดู แต่ผมรีบร้องห้ามไว้สุดชีวิต
“ห้ามเปิดนะ! ของแบบนี้มันต้องเห็นแบบไม่ตั้งใจถึงจะตื่นเต้น”
“ขะ เข้าใจแล้วค่ะ”
“แล้วก็ห้ามให้คนอื่นเห็นด้วย ใต้นั้นของพวกเธอจากนี้ไปมีแต่ผมเท่านั้นที่ดูได้”
“รับทราบแล้วค่ะ ถ้าใครมันแอบดูใต้กระโปรงของพวกเรา หนูจะควักตามันซะ”
“เอ่อ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ แค่ระวังไว้ก็พอ”
เดเม่รู้สึกเหมือนไม่มีส่วนร่วมหรืออย่างไงไม่รู้ เลยตรงเข้ามายืนข้างผม
“นายท่าน ให้ฉันเตรียมอาหารเย็นให้นะคะ”
“อ้อ วันนี้ยังไม่ต้องหรอก ว่าแต่เธอทำอาหารเป็นสินะ”
“ค่ะ เชื่อมือได้เลย”
“อืม งั้นก็ดูที่ผมทำและศึกษาไว้นะ”
พอเดเม่มองไปทั่วๆ ที่ดูอาหารที่ผมเตรียมไว้ สายตาของเธอก็ไปหยุดอยู่ตรงมายองเนสที่ทำเสร็จแล้ว
“นะ นายท่านค่ะ นะ นี้มันหรือว่าจะเป็น ยะ ยาที่ให้พวกเรากินกันเมื่อครู่ ทะ ทำไมมันเยอะแบบนี้”
เดเม่ชี้ไปที่มายองเนส ด้วยสีหน้าแตกตื่น ฟรานเองก็สนใจเลยมาเกาะติดอยู่ตรงขอบโต๊ะด้วย จะว่าไปมันสีเหมือนกันสินะ
“เอ่อ ไม่ใช่หรอก ไอ้นี้เขาเรียกว่ามายองเนส”
ผมใช้นิ้วป้ายมันขึ้นมาทั้งสองข้าง และยัดนิ้วเข้าไปในปากพวกเธอเพื่อให้ลองชิมดู เพียงแค่ได้ลิมรสเท่านั้น ดวงตาของพวกเธอก็เป็นประกายทันที โดยเฉพาะฟรานดูดนิ้วผมแรงจนไม่ยอมปล่อยเลย อุย อีโรติกเป็นบ้า นี้อย่าเอาเทกนิกดูดดุ้นมาใช้กับนิ้วสิเฟ้ย
“อ อร่อยมากเลยค่ะ! เกิดมาหนูไม่เคยกินอะไรอร่อยแบบนี้มาก่อนเลย”
เดเม่ระบายออกมาแบบหักห้ามตัวเองไม่อยู่ อืม แต่รีแอกชั่นแบบนี้แหละที่คนทำอาหารต้องการ
“ช่วยหั่นเนื้อย่างนี้ให้หน่อยสิ เอาแบบบางๆ หน่อยนะ”
ผมยื่นเนื้อย่างที่ซื้อมาให้เดเม่ไป ถึงจริงๆ ผมจะจัดการด้วยสกิลพริบตาเดียวก็เสร็จ แต่ผมอยากให้เดเม่มีส่วนร่วมด้วย ส่วนผมหันมาทำซอสไว้ราดเนื้อย่างแทน ฟรานที่ทำอาหารไม่เป็นแต่ก็พยายามเต็มที่ เธอเลยเอาจานออกมาเช็ดและเอาไปจัดเลี้ยงบนโต๊ะอาหาร แต่ผมสังเกตเห็นว่ามันมีชุดเดียว
“ฟรานจัดสี่ที่”
“เอ๋? จะมีแขกมาเหรอค่ะนายท่าน”
“เปล่า ก็สำหรับพวกเธอไง”
“พวกหนู!? มะ ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้ พวกหนูเป็นแค่ทาสจะร่วมโต๊ะกับเจ้านายได้อย่างไง แค่คิดก็ไม่บังอาจแล้วค่ะ”
“ใช่แล้วค่ะ”
เดเม่เองก็สนับสนุนฟรานด้วย
“งั้นจะบอกว่าการร่วมเตียงกับผมก็ทำไม่ได้ด้วยสินะ”
“ไม่ใช่ค่ะ เรื่องนั้น…”
“ผมไม่ฟังความคิดเห็นของพวกเธอหรอกนะ ทำตามที่สั่งซะ”
“ระ รับทราบค่ะ”
เมื่อพวกเธอดื้อเมื่อไร ผมก็จะใช้วิธีสั่งแทน แบบนี้แหละผมถึงชอบพวกทาส
หลังจัดเตรียมอาหารเสร็จ ผมก็ให้ฟรานขึ้นไปตามเอร่าลงมา ส่วนเดเม่ก็ช่วยผมจัดเรียงอาหารบนโต๊ะ เธอยังบอกว่ามันเหมือนกับงานเลี้ยงของพวกขุนนางเลย แต่ผมว่ามันก็แค่มื้อเย็นตามปกติล่ะนะ
พอลงมากันครบแล้ว ผมก็ให้ทุกคนเริ่มกินกันทันที ยัยเอร่านี้ก็เขมือบไปเต็มที่แบบไม่เกรงใจเหมือนเดิม แต่ฟรานกับเดเม่นี้สิ เกร็งจนมือสั่นไปหมด
“ฟราน เดเม่ กินตามสบายเถอะ ถ้าไม่ถนัดจะใช้มือผมก็ไม่ว่าหรอก แต่ถ้ากินเหลือจะโดนผมลงโทษนะ”
พอได้ยินดังนั้นแล้ว ทั้งสองก็รีบกินอาหารทันทีจนอาการเกร็งเมื่อครู่หายไปหมด เดเม่ยังดูเก๊ๆ กังๆ แต่ฟรานใช้ช้อนส้อมได้เชี่ยวชาญ คงได้รับการฝึกมาพอสมควร ส่วนที่มารยาททรามที่สุดก็ยัยเทพธิดาเอร่าเนี่ยล่ะ ขนาดยกชามชุปขึ้นซดเลย เฮ้ย! เธอเป็นเทพธิดานะเฟ้ย อย่าลืมสิ
ตลอดมื้ออาหาร ฟรานกับเดเม่กล่าวชมไม่หยุด พวกเธอไม่เคยได้กินผักสดๆ และกรอบหวานช่ำแบบนี้มาก่อน ซ้ำมายองเนสยังอร่อยจนทำให้กินได้เรื่อยๆ อีก ส่วนซุปก็มีรสชาติเข้มข้นหอมอร่อย จนพวกเธอจ้องไปที่หม้อซุปแบบไม่วางตา แต่ก็ไม่กล้าขอเพิ่ม แต่ผมสังเกตอยู่เลยเป็นคนลุกไปตักให้พวกเธอ
และจานหลักจากเนื้อย่างแห้งๆ ไร้รสชาติ ก็ถูกราดด้วยซอสรสชาติจัดจาน เล่นเอาพวกเธอไม่กล้ากลืนลงคอกันเลยทีเดียว น้ำดื่มผมก็ใช้น้ำเย็นซึ่งคนในโลกนี้ไม่คุ้นเคย ฟรานกับเดเม่ถึงกับตกใจตอนที่หยิบมันขึ้นมาดื่ม แต่พอชินแล้วพวกเธอก็ติดใจขึ้นมาเหมือนกัน
ตบท้ายด้วยของหวาน ผมหั่นผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ถ้วย แล้วราดด้วยน้ำเชื่อม ถึงขาดน้ำแข็งไปถึงจะสมบูรณ์ แต่แค่นี้ก็เล่นเอาสาวๆ ร้องไห้ไม่หยุด เพราะนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พวกเธอได้กินของหวาน อย่างว่าแหละ ผู้หญิงกับของหวานมันขาดกันไม่ได้
พอหมดมื้ออาหารฟรานกับเดเม่ถึงกับพูดว่า พวกเธอกำลังฝันอยู่แน่ๆ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน พวกเธอยังอยู่ขอบปากนรกอยู่เลย แต่ตอนนี้พวกเธอได้กินอาหารที่อร่อยที่สุดซึ่งไม่คาดคิดว่าจะมีอยู่ในโลก ได้อยู่ในบ้านที่อุ่นสบาย มีเสื้อผ้าสะอาดๆ และสวยงามใส่
“นายท่าน จริงๆ แล้วท่านเป็นพระเจ้าลงมาโปรดพวกหนูใช่ไหมค่ะ”
ฟรานคุกเข่าอยู่ข้างเก้าอี้ผมและถามด้วยสีหน้าที่คิดว่าตัวเองฝันไป
“เยอะไป ผมไม่ใช่พระเจ้าอะไรหรอก เพียงแค่ชีวิตที่ผ่านมาของพวกเธอมันเลวร้ายมากเกินไปต่างหาก”
ใช่แล้ว ผมไม่ใช่พระเจ้าหรอก ตรงกันข้ามกันเลยล่ะ
“นายท่านดีกับพวกเราเกินไปต่างหาก!”
“อะไรที่เกินไปผมจะเป็นคนตัดสินเอง แต่อย่างไงซะผมก็เป็นแค่ตาลุงหื่นกามล่ะนะ บางทีสิ่งที่ผมเรียกคืนจากพวกเธออาจจะแย่กว่าที่เคยเจอมาก็ได้นะ”
ผมแกล้งทำเป็นยิ้มชั่วร้ายเพื่อแกล้งพวกเธอ แต่คำตอบที่เธอบอกกลับมานั้นเล่นเอาผมตกใจไปเลย
“ถ้าเพื่อความสุขของนายท่านแล้ว จะทำร้ายหนูอย่างไงก็ได้ค่ะ เพราหนูได้รับความเมตตาจากนายท่านมาเกินพอแล้ว”
“หนูด้วยค่ะ เพื่อนายท่านแล้ว ให้หนูไปตกนรกที่ไหนก็ได้ค่ะ”
เดเม่เองก็พลอยเป็นไปกับฟรานด้วย ผมเลยถอนหายใจเบาๆ และยกมือขึ้นลูบหัวพวกเธอเบาๆ
“ไม่ต้องหรอก แค่พวกเธออยู่ข้างๆ ผมแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว”
“นายท่าน”
ฟรานกับเดเม่ครางงิ้งๆ ราวกับลูกหมาเลยทีเดียว
“เอาล่ะรีบทำความสะอาดแล้วไปนอนกันเถอะ โดยเฉพาะฟาน พรุ่งนี้เธอต้องช่วยผมลงดันเจี้ยนนะ”
“รับทราบค่ะ!”
ฟรานรับคำอย่างขึงขังโดยไม่มีท่าทีกลัวแม้แต่น้อย
“ตรงนี้ให้ฉันจัดการเองค่ะ”
เดเม่เสนอตัวที่จะเก็บกวาดล้างจานให้ แต่ผมตัดหน้าด้วยการใช้คลีนนิ่งไปซะก่อน
“ฝากเก็บจานด้วยนะ”
ผมบอกก่อนจะเดินกลับขึ้นห้องไป โดยปล่อยให้เดเม่ยืนมองจานที่ใสปิ๊งด้วยความตกตะลึง
แต่ถึงกลับเข้ามาในห้องแล้ว ผมก็ไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เป็นเพราะผลกระทบจากการเป็นจอมมารหรือเปล่า เวลากลางคืนผมกลับรู้สึกสดชื่นกว่าตอนกลางวันซะอีก ถึงไม่นอนตลอดทั้งอาทิตย์ก็คิดว่าไม่เป็นอะไรแน่ๆ
ผมเลยลุกขึ้นมาทำบัญชีค่าใช้จ่าย ถึงจะมีเงินเหลือเฟือ ถึงไม่ต้องทำอะไรก็น่าจะใช้ได้ตลอดทั้งปี แต่ผมยังมีหลายอย่างที่อยากได้
ฮาเร็มที่ผมต้องการน่ะ แค่นี้ยังไม่พอหรอก ในเมืองนี้ยังมีร้านค้าทาสอีกหลายแห่ง มันต้องมีทาสแบบที่ผมต้องการอยู่อีกแน่นอน เพราะงั้นเงินที่มีในตอนนี้ยังไม่พอที่จะทำให้ฝันของผมสมบูรณ์แบบได้ แต่เรื่องนั้นต้องพักไว้ก่อน ตอนนี้ต้องจัดการความเป็นอยู่ให้ลงตัวซะก่อน
ผมนั่งทำรายการของที่ต้องซื้อ เช่น เฟอนิเจอร์ใหม่ เครื่องครัวที่ยังขาด รถม้า อุปกรณ์ทำสวน และจัดงบเป็นค่าอาหารแยกไว้ต่างหาก จากนั้นก็ต้องดูว่าเดเม่ทำงานได้ขนาดไหน ถึงจะค่อยฝากงานที่เธอทำได้ไป เช่น การซื้อของเข้าบ้าน
ตอนที่ทำรายการของเสร็จ แหวนที่ใส่อยู่ก็เรืองแสงขึ้นมา มีการติดต่อมาจากมุเอมะ ผมเปิดประตูออกไปดูข้างนอก จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ ถึงได้วางนิ้วลงบนตัวแหวนเพื่อรับสาย
“ท่านโรมะคะ ต้องขออภัยที่มารบกวนท่าน แต่ตอนนี้พวกเรามีปัญหานิดหน่อยค่ะ”
“รบกวนอะไรกัน ก็บอกแล้วไงมีอะไรก็ให้ติดต่อมาได้ทันทีเลย”
“ขอบพระคุณมากค่ะ”
“แล้วตกลงมีปัญหาอะไร”
“คือตอนนี้มีปาร์ตี้ผู้กล้า กำลังจะผ่านดันเจี้ยนใต้การปกครองของพวกเราแห่งหนึ่งค่ะ”
“ดันเจี้ยนเหรอ…”
ผมพึ่งนึกขึ้นได้ ว่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยนเป็นอมตะก็จริง แต่ถ้าดันเจี้ยนถูกทำลาย พวกนั้นก็จะคืนชีพไม่ได้อีก แบบนี้สมควรคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ได้เหมือนกัน
“เข้าใจล่ะ เดี๋ยวผมจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
ว่าแล้วผมก็วาปร์กลับมาที่ปราสาทจอมมารทันที โดยมีทุกคนรอต้อนรับอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ แต่ผมไม่มีเวลามาก เลยให้มุเอมะรายงานสถานการณ์มา
กลุ่มของผู้กล้านั้นมีกันอยู่สี่คน เลเวลเฉลี่ยคือ 40…น้อยจัง เก่งกว่าอัศวินหญิงที่ชื่อดาเซสหน่อยเดียวเอง แปลว่าดันเจี้ยนระดับต่ำกว่าของดราเกียสินะเนี่ย
แต่ดันเจี้ยนแห่งนี้มีความสำคัญกับทางฝ่ายปีศาจ เพราะเป็นแหล่งสะสมมาน่าขนาดใหญ่ ซึ่งอุปกรณ์เวทมนต์ส่วนใหญ่ที่เผ่าปีศาจใช้กัน ก็เอาพลังงานมาจากที่นั้น เลยเป็นการไม่ดีเท่าไรถ้าจะต้องเสียมันไป
จริงๆ แล้วถ้าตามปกติมันไมใช่เรื่องยากอะไร เพียงแค่มุเอมะวาปร์ไปหาบอสที่ดันเจี้ยนนั้น และใช้สกิลของเธอที่ชื่อว่า Evil Wake Up ก็จะทำให้บอสตัวนั้นมีเลเวลและพลังที่สูงขึ้นเป็นเท่าตัว เพียงแต่ว่าด้วยแนวทางของผม ทำให้พวกเราต้องหลีกเลี่ยงการฆ่าฟันมนุษย์โดยไม่จำเป็น เธอจึงต้องมารายงานผมก่อนจะลงมือทำอะไรลงไป
“เอาล่ะ งานนี้ผมจะจัดการเอง”
“เอ๋!? ไม่ต้องถึงมือท่านโรมะหรอกค่ะ เพียงแค่สั่งพวกเรามาคำเดียว พวกเราจะจัดการให้เรียบร้อยทันทีเลย”
“ไม่ได้ๆ ดูให้ดีๆ สิ”
ผมชี้ไปที่ภาพเรียลไทม์ ที่ส่งมาจากเวทมนต์ของปีศาจในดันเจี้ยนนั้น
“…อ้อ”
เหมือนมุเอมะจะเข้าใจแล้ว สมเป็นผู้หญิงของผมจริงๆ เข้าใจอะไรง่ายๆ แบบนี้
“เอ่อ คือข้ายังไม่เข้าใจ”
ปีศาจชุดเกราะโกลมบิมถามขึ้นมา จนผมต้องหันไปอธิบายให้ฟัง
“ดูสมาชิกของเจ้าผู้กล้าคนนี้ให้ดีๆ สิ”
ผมชี้ย้ำไปที่ภาพ ปาร์ตี้ของผู้กล้านั้นประกอบไปด้วย ชายหนึ่งหญิงสาม แถมทั้งสามก็งามหยดย้อย
“…เข้าใจแล้วครับ พวกกระผมก็ลืมไปเลยว่าท่านจอมมารเป็นมารราคะ”
โกลมบิมและบรรดาพวกปีศาจพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ทั่วกัน
“อย่างไงอีกฝ่ายก็เป็นผู้กล้า ให้ฉันตามไปด้วยเพื่อความแน่นอนเถอะค่ะ”
“ก็ดีเหมือนกัน ผมยังไม่ชินกับพลังของจอมมารด้วย เผลอเกิดพลั้งมือฆ่าไปล่ะแย่เลย”
ว่าแล้วผมก็เรียกชุดเกราะจอมมารมาใส่ ถึงพลังเกือบทั้งหมดจะถูกใช้ไปกับการทำให้ปราสาทกลับมาใช้งานได้ แต่เพียงแค่ค่าพลังตามปกติ ก็คนละมิติกับผู้กล้าที่มีเลเวลเพียงแค่ 40 แล้ว
ผมกับมุเอมะวาปร์มายังห้องบอสของดันเจี้ยนที่ว่าทันที ดูเหมือนจะมาทันเวลา เพราะการต่อสู้พึ่งเริ่มไปไม่นาน
“อืม ผมต้องทำอย่างไงบ้างล่ะ”
ผมลองปรึกษามุเอมะดู ขืนเดินดุมๆ เข้าไปคงไม่ดี
“ลองปล่อยสกิลออร่าแห่งลางร้ายออกมาสิค่ะ”
มุเอมะแนะนำ ผมเลยใช้สกิลที่ว่าออกมาทันที ตัวผมไม่รู้สึกความเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก นอกจากไอสีดำๆ ที่ออกมาจากตัว แต่ว่ามันส่งผลกับทุกคนในที่นี้ การต่อสู้หยุดลงทันที บอสประจำดันเจี้ยนที่เป็นตะขาบยักษ์ รีบคลานเข้ามาหมอบแทบเท้าผม ส่วนพวกผู้กล้าทำหน้าเหมือนเห็นผี สั่นจนฟันกระทบกันเสียงดังท่าทางแสดงออกชัดเจนว่าเขารู้ว่าผมเป็นใคร
“แกถอยไปก่อน”
ผมสั่งตะขาบยักษ์เพราะผมไม่ค่อยถูกกับตะขาบอ่ะ เห็นแล้วรู้สึกแหยงๆ ไงไม่รู้ จากนั้นผมก็เดินเข้าไปหาพวกผู้กล้า และพูดตามสคลิปที่เตรียมไว้
“ฮ่าๆๆ ถ้าเจ้ายอมมาเป็นพวกเดี๋ยวกับข้าล่ะก็ ข้าจะแบ่งโลกให้ครึ่งหนึ่ง มาร่วมกับข้าเถอะผู้กล้า”
“หา!!”
ไม่ใช่แค่พวกผู้กล้าที่ร้องเหวอออกมา แต่มุเอมะก็พลอยร้องออกมาด้วย
“อ่ะ ล้อเล่นน่ะ แค่อยากจะลองพูดแบบนี้ดูสักครั้ง”
“ท่านโรมะ อย่าเล่นสิค่ะ”
“ครับๆ ไม่เล่นแล้วครับ ฮะแฮ่ม ผู้กล้าเอ๋ย จงถอยกลับไปซะ ข้าไม่ปรารถนาการฆ่าฟันที่สูญเปล่า”
“มะ ไม่ ข้าไม่หนี ข้าผู้กล้าที่จะต้องปราบจอมมารอย่างแกให้ได้”
“หือ ถ้าเช่นนั้น สมมุติว่าถ้าเจ้าถอยกลับไปตอนนี้ แล้วมนุษย์กับปีศาจอยู่กันอย่างสงบสุขไปอีกร้อยปี กับว่าถ้าเจ้าสู้กับข้าในตอนนี้ และทำให้โลกใบนี้ย่อยยับ เจ้าจะเลือกแบบไหนผู้กล้าเอ๋ย”
“ปีศาจคือความชั่วร้าย ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้อยู่แล้ว แกอย่ามาหลอกลวงข้าด้วยคำพูดเลย ไอ้จอมมารชั่ว!”
“เฮ้ย พูดไม่รู้เรื่องแล้วไอ้นี้”
“ฆ่าเลยไหมคะ?”
มุเอมะหันมาถามผมเล่นเอาผู้กล้าผวาเฮือก เฮ้ยๆ ถ้าปอดแบบนี้ก็อย่ามาทำเป็นห้าวสิเฟ้ย
“ไม่ อย่าพึ่งสิ”
ผมยังอยากเลี่ยงให้ถึงที่สุด
“เอาแบบนี้ล่ะกัน ถ้าจะสู้กันข้าก็ไม่ว่าหรอก แต่ถ้าเริ่มสู้เมื่อไร สาวๆ ของเจ้าทั้งสามคนนั้น จะถูกข้าย่ำยี่จนหมดสภาพแน่ ว่าไงจะเห็นแก่ความปลอดภัยของสาวๆ แล้วยอมกลับออกไปโดยดีหรือเปล่า”
“เพื่อส่วนร่วมแล้วข้าจำเป็นต้องเสียสละ และข้าคือผู้กล้า ข้าไม่มีทางแพ้จอมมารอย่างแกเด็ดขาด”
“ใช่ๆ พวกเราจะจัดการแกให้ได้”
นักรบสาวที่ใช้เกราะบิกินี่ร้องเชียร์ขึ้นมา แต่จอมเวทสาวกับนักบวชสาวดูเหมือนจะรู้ถึงความแตกแล้ว เลยหน้าซีดออกอาการไม่เห็นด้วย
“ทุกคนมาร่วมสู้กับข้า วันนี้พวกเราจะพิชิตจอมมารให้ได้!”
“โอเค งั้นมาไฟว์กัน”
ผมพอพูดจบ หัวของผู้กล้าก็ตกลงพื้นกลิ้งหลุนๆ ไปข้างหลัง
“เรียบร้อยแล้วค่ะท่านโรมะ”
มุเอมะรายงานพร้อมกับเช็ดเลือดที่ปลายเล็บออก
“ไวไปแล้ว!”
ผมล่ะอยากตบมุกเธอเป็นบ้า
“กรี๊ด!!”
พวกสาวๆ พอเห็นผู้กล้าถูกฆ่าอย่างง่ายดาย ก็พากันสติแตกกรีดร้องออกมา และพากันวิ่งหนี
“จับตัวไว้”
แต่มุเอมะร่ายเวทหยุดการเคลื่อนไหวใส่พวกเธอก่อนผมจะบอกซะอีก แบบนี้เผ่าปีศาจไม่ต้องมีผมก็ได้มั่ง มุเอมะคนเดียวก็เหลือเฟือ
“เอาไงกับพวกเธอดีล่ะ”
ผมทำพูดไปแบบนั้นเอง ที่จริงก็คิดไว้แล้วล่ะ
“ยะ อย่าฆ่าพวกเราเลย! เรายอมทุกอย่างแล้ว”
นักรบสาวบิกินี่รีบทิ้งอาวุธเป็นคนแรก ไอ้ท่าทางห้าวเป้งตะกี้ไปไหนแล้วล่ะเฮ้ย แต่อีกสองสาวยังก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“เอาแบบนี้ล่ะกัน ในพวกเธอสามคน ข้าจะฆ่าแค่คนเดียว จงเลือกมาซะว่าใครจะตาย”
ข้อเสนอของผมทำให้ทั้งสามหันมามองหน้ากัน และเป็นนักบวชสาวที่เป็นคนพูดขึ้นคนแรก
“ฉะ ฉันเอง ฆ่าฉันแล้วปล่อยทุกคนไปเถอะค่ะ”
แต่แล้วนักเวทสาวก็ร้องห้ามไว้
“ไม่ ถ้าจะตายก็ต้องตายด้วยกัน!”
“ทะ ท่านจอมมาร พวกเธอสองคนพร้อมจะตายแล้ว ปะ ปล่อยเราไปได้แล้วใช่ไหม”
กลับเป็นนักรบสาวบิกินี่ที่คิดเอาตัวรอดเพียงคนเดียว
“…มุเอมะคลายเวทออกได้”
ผมสั่งคลายเวทออก ทำให้พวกเธอเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง แต่ว่าพวกเธอยังไม่กล้าขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า
“เธอ ชื่ออะไร”
ผมชี้นิ้วไปที่นักเวทสาว
“มะ มิริน”
“มะมิริน?”
“มิรินเฉยๆ”
“มิริน เสียใจไหมที่เพื่อนที่เจ้าพยายามปกป้องด้วยชีวิต ยอมทอดทิ้งเจ้าเพื่อเอาตัวรอด”
“…ไม่ ทุกคนก็รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น ฉันไม่โทษหรอก”
“แต่เจ้าไม่”
ดวงตาของผมที่อยู่ในหมวกกะโหลกส่องแสงออกมา ผมเองเนี่ยล่ะที่ตกใจมากที่สุด เอฟเฟกของจอมมารโคตรสุดยอด
“แล้วเจ้าล่ะสาวน้อย เจ้าชื่ออะไร”
ผมชี้ไปทางนักบวชสาวต่อ
“คุราร่าค่ะ”
“คุราร่า เจ้ายอมสละตัวเองเพื่อคนอื่น เจ้าคิดว่าสิ่งนี้ถูกต้องแล้วงั้นเหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
“เหรอ แล้วเจ้าไม่มีพ่อแม่พี่น้อง หรือคนที่คอยห่วงเจ้าเลยหรือไง”
“อะ เอ่อ คือ”
“ความถูกต้องของเจ้า มันจะทำให้คนที่อยู่ข้างหลังต้องเสียใจ เช่นนั้นแล้วมันเป็นความถูกต้องประเภทไหนกัน”
“ส่วนเจ้า!”
ผมชี้ไปทางนักรบสาวบิกินี่และตวาดด้วยเสียงที่ทรงอำนาจ
“ผู้หญิงขยะเช่นเจ้า ทิ้งได้กระทั่งเพื่อนที่ยอมตายแทนได้ จงรีบไสหัวไปไกลๆ และจำเอาไว้ วันใดที่พบเจอข้าอีกครั้ง จงรีบตัดหัวตัวเองให้ไว ไม่เช่นนั้นเจ้าได้เห็นนรกแน่ ไป!”
ไม่ต้องให้ไล่ซ้ำ นักรบสาวบิกินี่วิ่งตูดส่ายหนีไปแบบไม่คิดชีวิต
“…แล้วพวกเราล่ะ”
นักเวทสาวเอ่ยขึ้นถาม ขณะที่นักบวชสาวดูยังคบคิดคำพูดของผมอยู่
“บอกตามตรง ข้าถูกใจพวกเจ้ามาก สนใจจะมาอยู่กับข้าไหม”
“มะ ไม่”
นักเวทสาวตอบแบบไม่เต็มคำ คงกลัวว่าคำตอบที่ให้จะทำให้ผมโกรธและลงมือสังหารเธอ
“น่าเสียดายนะ แล้วเจ้าล่ะ”
ผมหันไปถามนักบวชสาวบ้าง แต่เธอก็ส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนกัน ก็แน่อยู่แล้วล่ะนะ
“อืม เข้าใจล่ะ แต่ข้าคงปล่อยพวกเจ้าไปเฉยๆ ไม่ได้ เช่นนั้นจงพลีกายให้ข้าซะ แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปอย่างปลอดภัย”
ข้อเสนอของผมทำให้นักเวทสาวถึงกับน้ำตาไหล แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ออกมา คงรู้แล้วว่ามันเป็นทางรอดสุดท้ายที่เหลืออยู่
“ถ ถ้าต้องถูกย่ำยี ก็โปรดฆ่าฉันซะเลยเถอะ”
นักบวชสาวพูดออกมา ขณะทรุดลงไปแบบหมดแรง
“ร่างกายเจ้าสำคัญกว่าชีวิตเยี่ยงนั้นเลยหรือ”
“ท่านโรมะคะ สำหรับนักบวชเพศหญิงแล้ว การร่วมเพศกับเผ่าปีศาจถือเป็นความผิดมหันต์ มีโทษร้ายแรงถึงขั้นเผาทั้งเป็นค่ะ”
“ไร้สาระ!”
ผมทนความไร้เหตุผลแบบนี้ไม่ไหวเลยตะโกนออกมา แต่ก็พยายามสงบใจลงอย่างรวดเร็วเพื่อตัดสินใจบางอย่าง
“…งั้นเจ้าจงไปซะ”
ผมกวักมือไล่นักบวชสาว
“เอ๋!? ท่านจะไม่ฆ่าฉันเหรอ”
“ฆ่า? ทำไมต้องทำเรื่องน่าเสียดายแบบนั้นด้วย ข้าฆ่าคนสวยๆ แบบเจ้าไม่ลงหรอก แต่รีบไปซะก่อนข้าจะเปลี่ยนใจ”
แต่ถึงไล่แล้ว นักบวชสาวก็ไม่ยอมไป เธอเดินไปจับมือนักเวทสาวไว้ เพื่อบอกว่าอย่างไงก็ไม่ทิ้งแน่
ส่วนนักเวทสาวไม่มีข้ออ้างอะไรให้ผมปล่อยเธอไปแบบนักบวชสาว เลยเม้มปากแน่นอย่างหวาดกลัว
“บ้าชะมัด เจ้าเองก็ไปซะ”
สุดท้ายผมก็ใจอ่อนจนได้ ทั้งๆ ที่คิดว่าเป็นจอมมารแล้วจะทำตัวให้ดูชั่วช้าสักหน่อย แต่อย่างไงผมก็ทำร้ายคนดีๆ ไม่ลงอยู่ดี
“ตะ แต่ว่า”
นักเวทสาวคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปล่อยเธอไปเลย
“หรือว่าอยากโดนข้าข่มขืนจนเป็นบ้าอยู่ที่นี้ล่ะ ยังไม่รีบไปอีก”
“ขอบคุณค่ะ!”
“จะขอบคุณทำไม!”
ผมตะโกนว่าไล่หลังสองสาวที่วิ่งหนีออกไปแล้ว
“ท่านโรมะค่ะ”
มุเอมะเดินมาจับมือผมเอาไว้อย่างอบอุ่น ช่างเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผมซะเหลือเกิน
“ส่วนที่ต้องอัดอั้นจากสามคนนั้น คงต้องมาลงกับเธอแล้วล่ะนะ”
“ค่ะ!”
มุเอมะร้องเสียงใสออกมาทันที ท่าทางจะดีใจมาก แล้วคืนนี้ผมก็จัดเต็มใส่มุเอมะไปสามรอบติด จนถึงลิมิตของเธอ และรีบกลับไปที่คฤหาสน์ก่อนสว่าง
เสียดายชะมัด อยากได้สกิลของจอมเวทสาวกับนักบวชสาวจัง
………………
ตอนที่ 10 Get! ดาเซส
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็เตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคน ซึ่งก็เป็นขนมปังปิ้ง ไข่ดาว และไส้กรอก ขนาดเป็นอาหารง่ายๆ ทุกคนยังบอกว่าอร่อย
แต่เดเม่ซึมไปเลย เมื่อรู้ว่าตื่นหลังผมแถมยังต้องให้ผมจัดการทำอาหารเช้าให้อีก แต่ผมบอกเธอว่าไม่ต้องคิดมาก ดีซะอีกที่เธอได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม
“พวกเธอมีใครอ่านเขียนได้บ้างไหม”
หลังอาหารเช้าผมก็เริ่มจัดการแบ่งงานให้ทุกคนทำ แต่ต้องรู้ก่อนว่าใครมีความสามารถแค่ไหน
“หนูอ่านเขียนได้ค่ะ”
ฟรานซิสก้ายกมือขึ้นบอกเป็นคนแรก สมแล้วที่เคยเป็นคุณหนูมาก่อน ถึงจะเป็นครอบครัวแวมไพร์ก็เถอะ
“หนูอ่านได้อย่างเดียวค่ะ”
เดเม่ยกมือขึ้นบอกอย่างรู้สึกอายเล็กน้อย
“แค่นั้นก็ดีมากแล้ว เธอล่ะเอร่า อ่านเขียนได้ใช่ไหม”
“ฮ่าๆๆ เทพธิดาอย่างฉันไม่จำเป็นต้องอ่านเขียนหรอก”
“ยัยตัวไร้ประโยชน์”
กลับเป็นยัยเทพธิดาที่โง่ที่สุดในกลุ่มเหรอเนี่ย คิดผิดจริงๆ ที่ซื้อเธอมา
“เอานี้ เดเม่”
ผมส่งถุงใส่เงินให้กับเดเม่ไป
“นะ นายท่านค่ะ นะ นี้มันเงิน ยะ เยอะด้วย!”
“ก็ใช่นะสิ จากนี้ไปเธอต้องดูแลค่าอาหารของบ้านนี้ ผมจะจดรายการของที่ต้องซื้อให้ เธอก็ใช้เงินนั้นไปซื้อกลับมาก็พอ ทำได้ใช่ไหม”
“ได้ค่ะ!”
เดเม่รีบขานรับ ดูเธอจะดีใจมากที่ได้รับความไว้วางใจจากผม อ่ะ ตาเธอเริ่มกลับมามีแววแล้ว ตอนแรกเห็นตาเหมือนปลาตายนึกว่าจะไม่ไหวแล้วซะอีก
“อ้อ แล้วเดี๋ยววันนี้ผมจะไปซื้อรถม้ามา จะได้เอาไว้ใช้ไปซื้อของในเมืองได้ มีใครขี่รถม้าเป็นบ้าง”
มีเดเม่คนเดียวที่ยกมือ…เอร่า สรุปว่านี้หล่อนทำอะไรไม่เป็นเลยจริงๆ ใช่ไหม
“ดีแล้ว งั้นรอผมกลับมาก่อนแล้วเธอค่อยออกไปซื้อของนะ ระหว่างนี้ก็ฝากดูแลบ้านด้วย”
“รับทราบค่ะนายท่าน จะไม่ทำให้นายท่านต้องผิดหวังเด็ดขาดค่ะ”
“อืม งั้นไปนะ”
ผมลูบหัวเดเม่อีกครั้งก่อนจะพาฟรานออกจากคฤหาสน์ไป
ฟรานวันนี้แต่งตัวด้วยชุดสีดำกระโปรงยาว ตรงไหนมีผ้าระบายเหมือนเป็นผ้าคลุมทับอยู่ ท่าทางราวกับลูกคุณหนู ซึ่งพอเดินเข้าไปในเมืองทุกคนก็พาหันเหลียวมามองเธอกันหมด
เด่นไปจริงๆ ด้วยแฮะ
ตอนซื้อเธอมาผมเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าจะน่ารักและงามสง่าได้ขนาดนี้ แค่มองผมยังรู้สึกตื่นเต้นจนหนอนน้อย อยากออกมาเล่นกับเธอเลย ไม่ได้การต้องหาเรื่องชวนคุย
“ฟราน เธอถนัดใช้อาวุธแบบไหนเหรอ”
“ท่านพ่อเคยฝึกให้ใช้ขวานค่ะ”
“ขวาน!? หือ แปลกดีแฮะ งั้นเดี๋ยวพอลงทะเบียนที่กิลนักผจญภัยเสร็จแล้ว พวกเราไปซื้ออาวุธกันนะ”
“เอ๋! จะให้ทาสแบบหนูถืออาวุธด้วยจะดีเหรอคะ!”
“ไม่ใช้อาวุธแล้วจะสู้อย่างไง”
“ปะ ปกติแล้ว ทุกคนจะใช้ให้ทาสไปล่อมอนสเตอร์ให้ เลยไม่ได้ให้อาวุธไว้คะ”
“ไม่เอา อย่าลืมสิว่าเธอต้องคอยบำเรอความใคร่ให้ผมด้วย ถ้าเป็นไปได้ผมอยากเลี่ยงให้เธอบาดเจ็บน้อยที่สุดนะ”
“นะ นายท่านขนาดนี้แล้วยังเมตตากับหนูอยู่อีก หนูดีใจจริงๆ ค่ะ”
“เดี๋ยวนะ ตีความให้ครบหน่อยสิ ครึ่งหนึ่งที่บอกไปนั้นมาจากความหื่นของผมล้วนๆ เลยนะ”
“ค่ะ ถ้านายท่านอยากจะโจมตีหนูตอนไหนก็ได้เลยนะคะ”
“…”
เกือบไป ตะกี้เกือบสติหลุดควบคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วก่ออาชญากรรมกลางถนนซะแล้ว
ผมเลยต้องระงับความหื่นสุดชีวิตขณะเดินไปกิลนักผจญภัย
พอไปถึงพนักงานสาวคนเดิมก็จำผมได้ทันที เลยกวักมือเรียกให้ผมไปที่แถวของเธอ
“ช่วยรอหน่อยนะคะ”
เธอบอกกับผม เพราะแถวที่สั้นๆ ไม่มีคนก็มี แต่เธอคงอยากให้ผมใช้บริการกับเธอ ผมเลยอดทนยืนรอต่อแถวไป เพราะไม่ได้รีบอะไรอยู่แล้ว ส่วนฟรานเองก็ตื่นเต้นเพราะไม่เคยเห็นที่มีคนเยอะแยะแบบนี้มาก่อน เลยมองซ้ายมองขวาไม่หยุด
พอถึงคิวผม เธอก็ยิ้มกว้างให้ทันที
“เมื่อวานยังไม่ทันได้บอกชื่อเลย ฉันชื่อมอเรียค่ะ แล้ววันนี้คุณโรมะมีอะไรให้ฉันช่วยคะ”
“เอ๋!? จำชื่อผมได้ด้วยเหรอครับ”
“ต้องได้สิคะ”
ผมรีบยกมือขึ้นจับใบหน้าตัวเอง เอ่อ หน้ากากก็ยังใส่อยู่ คงคิดไปเองล่ะมั่ง เธอคงไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรหรอก แค่จำคนที่ให้ทิปได้เท่านั้น
“วันนี้ผมพาเด็กคนนี้มาลงทะเบียนครับ”
“อ้อ ทาสต่อสู้ของคุณโรมะสินะคะ”
“ใช่ครับ รบกวนด้วยครับ”
จากนั้นเธอก็ให้ฟรานกรอกใบสมัคร และดำเนินการลงทะเบียนแบบเดียวกับที่ผมทำเมื่อวาน แต่เพราะเป็นทาสเลยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มอีกหนึ่งพันรีล ซึ่งผมก็ไม่ถามเหตุผลหรอก เพราะคิดว่าคงเป็นเหตุผลที่น่าหงุดหงิดแน่ๆ
มอเรียยังแนะนำให้ผมไปซื้อกระเป๋านักผจญภัยด้วย ซึ่งมันเป็นอุปกรณ์เวท ที่สามารถใส่ของได้เป็นจำนวนมาก โดยไม่สนใจน้ำหนักหรือขนาด แต่ก็ใช่ว่าจะใส่ได้ไม่จำกัด โดยกระเป๋าแต่ละไซส์จะกำหนดจำนวนชิ้นและน้ำหนักสูงสุดที่ใส่ได้เอาไว้
โดยใบเล็กสุดเป็นกระเป๋าคาดเอวจะใส่ของได้ 20ชิ้น น้ำหนักรวมไม่เกินห้ากิโล ราคาอยู่ที่ 20,000 รีล
แต่ไหนๆ จะซื้อแล้ว ผมเลยซื้อที่คิดว่าใช้งานดีที่สุดมา โดยของผมเป็นใบใหญ่สุด มันเป็นเป้สะพายหลัง ใส่ของได้ 250 ชิ้น น้ำหนักรวมสูงสุดไม่เกิน 100กิโล ราคาอยู่ที่ 1,000,000 รีล ปกติไม่มีใครใช้กันหรอก เพราะราคามันแพงเกินไป
และผมยังซื้อใบขนาดกลางที่เป็นกระเป๋าสะพายข้างให้กับฟราน จริงๆ ผมอยากซื้อใบเล็กให้มากกว่าเพราะมันเข้ากับชุดที่ใส่ แต่ถ้าคิดถึงการใช้งานแล้วอย่างไงก็ต้องขนาดกลางเนี่ยล่ะ โดยที่มันใส่ของได้100 ชิ้น น้ำหนักรวมสูงสุดไม่เกิน 30 กิโล ราคาอยู่ที่150,000 รีล
เมื่อซื้อเสร็จแล้วผมก็พาฟรานออกมาทันที โดยยังไม่ได้รับเควส เพราะยังต้องไปซื้อของก่อน กะว่าช่วยบ่ายค่อยไปลงดันเจี้ยนเพื่อเก็บเลเวล
ร้านที่ผมไปร้านแรกคือร้านฟอนิเจอร์ ผมหยิบเอาที่จดไว้เมื่อคืนออกมา และสั่งของให้ไปส่งที่คฤหาสน์ รวมๆ แล้วหมดไปถึง 2,500,000 รีลเลย ดูฟุ่มเฟือยเป็นบ้า แต่จริงๆ ที่หมดไปเยอะ เพราะผมสั่งทำอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ โดยให้แบบแปลนไป โดยที่เจ้าของร้านเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ในเมื่อเขาบอกว่าทำได้ ผมก็เองก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
ร้านที่สองที่ไปก็คือร้านอาวุธ ผมเลือกมีดคู่ที่ทำจากเงินมา เพราะมีสกิลขโมยอยู่ ซึ่งเท่าที่ฟังจากมายุโม้ให้ฟัง เห็นว่าถ้าใช้มีดจะมีโอกาสที่สกิลขโมยจะทำงานเองด้วย แถมโอกาสสำเร็จมากกว่าปกติอีก
ส่วนของฟรานผมให้เธอไปเลือกด้วยตัวเอง เธอเลยหยิบเอาขวานด้ามยาวเหล็กกล้าที่สูงกว่าตัวเองมา ผมลองขอเอามาถือดู มันหนักมาก! แต่ฟรานกลับถือมันได้ด้วยมือข้างเดียว แถมควงมันได้ราวกับเป็นเพียงท่อนไม้ สมแล้วเป็นแวมไพร์ พลังนี้ประมาทไม่ได้เลย ส่วนราคารวมกันก็อยู่ที่ 8,000 รีล เทียบราคากับความฟุ่มเฟือยก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย
ส่วนร้านเกราะก็อยู่ติดๆ กัน ผมเข้าไปซื้อชุดเกราะเหล็กเฉพาะส่วนมา ส่วนของฟรานเธอขอแค่หมวกเหล็กกับถุงมือเหล็กแค่สองส่วน เพราะเธอทำตามที่ผมบอกว่าจะต้องแต่งตัวให้สวยๆ อยู่ตลอด แต่คงเพราะขยาดกับการโดนโจมตีที่ส่วนหัว เลยต้องใส่เอาไว้ ราคารวม 1,200 รีล…ความรู้สึกเรื่องการใช้เงินของผมเริ่มเพี้ยนๆ แล้วสิ
เสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปที่ร้านขายรถม้าต่อ ระหว่างทางก็ซื้อขนมให้ฟรานกินไปด้วย แต่เธออยากจะเก็บไว้ให้เดเม่ด้วยจึงยังไม่ยอมกิน ผมเลยต้องซื้ออีกสองอันเผื่อเดเม่อันหนึ่ง และเผื่อยัยเอร่าจอมตะกละเพื่อไม่ให้แย่งสองคนนี้กินอีกอันหนึ่ง
ที่ร้านขายรถม้า ทำให้ผมรู้ว่ารถม้ามีความสำคัญและยุ่งยากแค่ไหน เพราะรถม้าเองก็สามารถปรับแต่งได้ อย่างการใส่เวทมนต์ขับไล่มอนสเตอร์ไม่ให้เข้ามาใกล้ หรือเวทมนต์ปรับขนาดให้ขนของและคนได้เยอะกว่ารูปร่างภายนอก ซึ่งผมให้ใส่ออฟชั่นที่มีทั้งหมดไปเลย ราคาที่ออกมาคือ…28,000,000 รีล
มันเป็นรถม้าแบบใช้ม้าลากสองตัว ม้าพวกนี้ก็ไม่ใช่ม้าธรรมดาด้วย เอาเป็นว่าถ้ามอนสเตอร์โผล่มาก็โดนม้าพวกนี้จับแด๊กแน่ๆ ส่วนตัวรถม้ามีสี่ล้อ แต่พิเศษตรงมันเปลี่ยนรูปร่างภายนอกได้ด้วย ให้เป็นรถม้าสำหรับโดยสาร หรือสำหรับขนของก็ได้ ถ้าแบบโดยสาร ภายในจะกว้างขนาดนั่งได้สิบคน
แต่เพราะผมกับฟรานขับมันไม่เป็นทั้งคู่ เลยต้องให้ทางร้านช่วยเอาไปส่งให้ที่คฤหาสน์เหมือนเดิม
ตอนแรกก็กะจะกลับไปพร้อมกับรถม้าเลย แต่ไหนๆ ออกมาแล้ว ผมก็เลยแวะไปอีกที่หนึ่งก่อน ซึ่งที่หมายก็คือ ร้านค้าทาสอีกแห่งหนึ่ง
“…ผมคิดว่าสถานที่แบบนี้มันจะทำให้เธอนึกถึงเรื่องไม่ดีขึ้นมา แต่สีหน้าแววตาของฟรานไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“ไม่ค่ะ หนูขอติดตามนายท่านไปทุกหนทุกแห่งค่ะ”
“อืม ก็ได้ แต่ถ้ารู้สึกไม่ดีก็บอกล่ะ”
แล้วผมก็เข้าไปในร้านค้าทาส ซึ่งเป็นอาคารสองชั้น โดยที่ชั้นล่างด้านหนึ่งของกำแพง ติดลูกรงเหล็กเอาไว้แบ่งเป็นห้องๆ เหมือนกับคุก ข้างในก็ยัดเอาทาสใส่ไว้ และติดป้ายหมายเลขไว้บนปลอกคอ ลูกค้าที่มาดูสนใจทาสคนไหน ก็แค่บอกหมายเลขไป และขึ้นไปรอที่ชั้นสองเพื่อลงทะเบียนและจ่ายเงิน
โลลิ โลลิ ขอแบบโลลิมีไหมนะ
ผมมองหาสเปกทาสที่ต้องการ ทว่าตั้งแต่ผมเข้ามาในร้าน ทุกสายตาก็จับจ้องมาทางผมหมด ถึงจริงๆ จะไม่ใช่ผมแต่เป็นฟรานที่มากับผมด้วยต่างหาก ความน่ารักแบบมีเสน่ห์นั้น ทำให้สุดท้ายก็มีคนทนไม่ไหว ตรงเข้ามาหาผม
“นี้แก เด็กคนนี้เป็นทาสของแกใช่ไหม”
“อืมใช่ แล้วไง”
“ข้าขอซื้อต่อ จะขายเท่าไรว่ามาเลย”
“ไม่ขาย”
ผมตอบชายวัยกลางคนที่แต่งตัวดีคนนี้ไปทันที
“เฮ้ย ข้าเป็นถึงขุนนางของเมืองนี้เชี่ยวนะ แกต้องการเท่าไรข้ามีจ่ายอยู่แล้ว”
“ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน ผมก็ไม่ขายฟรานเด็ดขาด”
ผมตอบไม่โดนไม่มองหน้ามันด้วยซ้ำ ถ้าขายก็บ้าแล้ว กว่าจะชุบตัวมาได้ขนาดนี้ แถมผมยังไม่จิ้มเธอเลย ถ้าปล่อยให้หลุดมือไปตอนนี้ มีหวังผมนอนตายตาไม่หลับแน่ๆ ทว่าผมเองก็ไม่รู้ตัวสักนิด ว่าคำพูดที่พูดไป ได้ทำให้ฟรานประทับใจฝั่งลึก จนเกิดเป็นความตั้งใจที่แน่วแน่ ว่าใครก็ตามที่พยายามมาแยกเธอไปจากเจ้านาย เธอจะฆ่าพวกมันให้หมด
“เดี๋ยวสิแก อย่างไงข้าก็จะเอาเด็กคนนี้ให้ได้”
“ก็บอกว่าไม่ขายไง ไปหาเอาเองสิ”
ผมเริ่มรู้สึกรำคาญตาลุงนี้แล้ว ถึงจะรู้ว่าเป็นสายเดียวกันเถอะ แต่อย่ามายุ่งของคนอื่นสิเฟ้ย
ตอนที่ผมจะออกปากไล่ตาลุงคนนี้เอง ก็สัมผัสถึงรังสีฆ่าฟันได้ ผมคุ้นเคยกับมัน เพราะเพื่อนๆ ผมเวลาออกไปสู้ก็จะปล่อยความรู้สึกแบบนี้ออกมาเหมือนกัน ผมรีบหันไปข้างหลังทันเห็นฟรานหยิบขวานออกมา เตรียมจามไปที่หัวของตาลุง
“ฟราน หยุด!”
ผมรีบตะโกนสั่ง และราวกับจะสั่งงานได้ด้วยระบบเสียง ขวานของฟรานหยุดนิ่งค้างกลางอากาศก่อนจะถึงกบาลตาลุงเพียงไม่กี่เซ็น
“เก็บอาวุธซะฟราน”
เธอทำตามอย่างว่าง่าย แต่สายตาที่จ้องตาลุงนั้น เต็มไปด้วยความต้องการฆ่าอย่างรุนแรง ตาลุงถึงกลับกลัวจนล้มก้นกระแทกพื้น
“อย่างที่เห็น คุณคุมเด็กคนนี้ไม่อยู่หรอก เลิกตื้อได้แล้ว”
ผมบอกเสร็จก็ดึงตัวฟรานมาโอบไหล่ไว้ ไม่ใช่ว่าแสดงความหึงหวงอะไรหรอกนะ แต่ถ้าให้ห่างตัวอีกเดี๋ยวได้ไปจามกบาลใครเข้าแน่ๆ กลับไปคงต้องอบรมอีกเยอะ
จากนั้นผมก็เดินดูทาสต่อ จนผ่านไปเห็นบางคนที่รู้สึกคุ้นๆ หน้า เลย เลยยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ เคยเห็นเธอคนนี้ที่ไหนหว่า ผมครุ่นคิดอยู่แปบหนึ่ง กระทั่งแว่บชื่อเธอขึ้นมา
“อ่ะ ดาเซส!”
พอผมหลุดปากเรียกชื่อเธอเท่าไร ดาเซสก็หันมาจ้องผม และพุ่งเข้ามาใส่อย่างดุร้าย แต่มีกรงกั้นระหว่างพวกเราไว้ แถมข้างหน้าผมยังมีฟรานที่ออกมาป้องกันให้อีก
“แก เพราะแก!”
“เอ่อ นี้ผมเอาเธอมาขายตอนไหนเนี่ย จำไม่ได้แฮะ”
“แก!”
ดาเซสก้มหน้าลงไปทุบพื้นอย่างเจ็บแค้นที่ทำอะไรผมไม่ได้
ผมอยากฟังเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะให้คุยกันตรงนี้ก็มีคนเยอะเกินไป ผมเลยหันไปหาพนักงาน และบอกหมายเลขของดาเซสไป
“ผมขอคุยกับสินค้าก่อนได้ไหมครับ”
“ได้สิครับ เดี๋ยวเราจะจัดห้องให้เดี๋ยวนี้เลย อ่า แต่ว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยด้วยนะครับ”
“ไม่มีปัญหา ขอเครื่องดื่มด้วยนะ สำหรับสามคน”
ผมบอกพร้อมกันจ่ายเงินให้ไป จากนั้นก็ถูกพามาที่ชั้นสอง ซึ่งแบ่งเป็นห้องๆ ซึ่งข้างในเหมือนห้องในโรงแรมเลย มีเตียงให้ด้วย สงสัยไว้ทดสอบสินค้าแน่ๆ ฮุๆๆ
“ฟราน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น นั่งดูเฉยๆ นะห้ามลงมือเด็ดขาด”
ผมสั่งห้ามไว้ก่อน เพราะกลัวเธอลงมือรุนแรง ที่ผมกลัวไม่ใช่กลัวดาเซสบาดเจ็บ แต่กลัวฟรานบาดเจ็บต่างหาก เพราะอีกฝ่ายอย่างไงก็เป็นอัศวินที่เลเวลสามสิบแล้ว
ไม่นานนัก พนักงานก็นำเอาเครื่องดื่มเข้ามาให้พร้อมกับพาตัวดาเซสเข้ามา สารรูปเธอตอนนี้ดูไม่ได้เลย โดนจับแก้ผ้าจนเหลือแค่ชุดชั้นใน ผมก็รุงรังไม่เหลือสภาพอัศวินมาดคุณหนู ผู้แสนหยิ่งสโยแบบเมื่อวานเลย
“ให้ล่ามโซ่ไว้ไหมครับ”
“อ่า ไม่ต้องครับ ปล่อยไว้แบบนี้แหละ”
“ถ้าตัดสินใจได้แล้วก็ตามผมได้เลยนะครับ”
พนักงานบอกเสร็จก็กลับออกไป แต่พอประตูปิดเท่านั้น ดาเซสก็พุ่งเข้าใส่ผมทันที แต่ขอโทษทีนะ ผมเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ผมปรับสกิลสัมผัสแห่งราคะไว้จนmaxเลย และพอยื่นมือแตะถูกตัวเธอ ดาเซสก็ร้องโหยหวนก่อนจะลงไปนอนชักกระตุกบนพื้นด้วยใบหน้าแบบ Ahegao ตาเธอเหลือกจนเป็นตาขาวไปทั้งหมดเลย
“โอย อย่าพึ่งสลบนะ”
ผมเข้าไปตบหน้าเธอเบาๆ เป็นการเรียกสติให้กลับมา
“กะ แกทำได้อย่างไง”
เสียงของดาเซสบ่งบอกถึงความฟินจากการถึงจุดสุดยอด แต่ก็ยังไม่ละความแค้นไปจากผมอยู่ดี็ทิ้งเธอไปพร้อมกับโยนหนี้ให้ เธอ“ไว้จะบอกทีหลัง แต่ตอนนี้เลือกเอา จะกลับไปอยู่ในกรงเหมือนเดิม หรือจะนั่งเล่าให้ฟังดีๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
พอโดนผมขู่ไปแบบนี้ ดาเซสก็ยอมอ่อนลง แต่กว่าจะจับเธอลุกขึ้นมานั่งได้ ก็ใช้เวลาไปพอสมควร เพื่อเธอหมดแรงไปกับการถึงจุดสุดยอดอย่างรุนแรงเมื่อครู่
เรื่องราวของดาเซสก็ประมาณว่า ก่อนเข้าดันเจี้ยนเจ้าแฟนตัวดีดันไปเล่นพนันจนเป็นหนี้ก้อนโต นั้นก็เป็นเหตุผลให้ดันทุรังลงไปในดันเจี้ยนลึกขนาดนั้น แล้วพอกลับมาเจ้าแฟนตัวดีก็ทิ้งเธอไปพร้อมกับโยนหนี้ให้ เธอเองก็ไม่มีเงินจ่ายหนี้ เลยถูกจับมาเป็นทาสด้วยประการฉะนี้
“อืมๆ แบบนี้เอง…แล้วมันเป็นความผิดผมตรงไหนเนี่ย!”
ผมร้องโวยใส่ทันทีเมื่อได้ฟังจนจบ
“กะ ก็เพราะแก ทะ ทำกับฉันไว้แบบนั้น เขาก็เลยทิ้งฉันไป”
“หา! กับไอ้คนบัดซบที่ทิ้งหนี้ให้แฟนตัวเองเนี่ย เธอควรดีใจนะที่เลิกกับมันได้”
“แต่ถ้าไม่ใช่เพราะแก เขาก็จะไม่ทิ้งฉันไป”
“ฟังนะ นิสัยแบบนั้นน่ะ ถึงไม่เลิกตอนนี้ อีกหน่อยก็ต้องหาเหตุมาเลิกกับเธออยู่ดี แถมจะยิ่งทำเรื่องเลวร้ายกับเธอยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“ถะ ถึงแบบนั้นก็เถอะ ตะ แต่ว่า…ฉันก็ยังรักเขานี่น่า”
“ไม่ต้องบอกก็รู้ ขนาดยอมเสียตัวเพื่อช่วยชีวิตมันไว้ ถ้าไม่รักจริงๆ จะมีผู้หญิงที่ไหนยอมทำแบบนี้”
ผมปล่อยให้ดาเซสร้องไห้จนพอ เมื่อเห็นเธอเริ่มสงบลง ผมจึงถามเรื่องสำคัญออกไป
“แล้วจากนี้จะเอาอย่างไงต่อ”
“…”
เธอไม่สามารถตอบได้ เพราะเมื่อกลายเป็นทาส ก็เท่ากับว่าไร้ซึ่งอนาคตแล้ว
“ถ้าไม่รู้ งั้นเอาแบบนี้ไหม มาเป็นทาสของผมซะ นี้คือทั้งหมดที่ผมช่วยได้”
“ไม่เอา! ทำไมฉันต้องไปเป็นทาสของแกด้วย!”
“ถ้าไม่ก็กลับไปอยู่ในกรง แล้วรอให้คนอื่นมาซื้อไปแทนล่ะกัน จะเอาแบบนั้นเหรอ?”
“อึ่ก…แกมันไอ้บ้ากาม”
“อืม ก็ใช่น่ะสิ ผมจะซื้อเธอไปทำเรื่องอย่างว่าจนหนำใจเลยล่ะ เอาแบบไม่ให้ลุกจากเตียงไปไหน เย็ดกันแบบลืมวันลืมคืนไปเลย”
“ไอ้หื่น! อะ ไอ้ลามกไอ้บ้า!”
“ด่าไปเถอะ เพราะสุดท้ายเธอก็ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ดี”
ดาเซสเองก็รู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือก กับโรมะถึงจะหื่นกามแค่ไหน แต่เธอรู้ดีว่าเขาไม่ใช่พวกที่จะทำอะไรรุนแรงกับเธอ แต่ถ้าถูกคนอื่นซื้อไป ไม่แน่ว่าเธออาจจะต้องถูกทรมานในรูปแบบต่างๆ ก่อนจะตายไปอย่างกับขยะชิ้นหนึ่ง
เป็นทาสก็เท่ากับหมดสิ้นความสุข เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กัน แต่ว่าอย่างน้อย ถ้าเธอยังสามารถมีความสุขกับการร่วมรักได้ มันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
“…ตะ ตกลง ฉันยอมเป็นทาสของแก”
“ดี งั้นเรามาตกลงกัน”
“ตกลงอะไร?”
“ใช่ เป็นเงื่อนไขที่พวกเรากำหนดขึ้นมาไง กรณีนี้เอาเป็นว่า จากนี้ไปผมจะไม่แตะต้องตัวเธอ จนกว่าเธอจะพูดว่า กรุณาเย็ดฉันด้วยเถอะค่ะ ตามนี้นะ”
“ฉันไม่มีทางพูดคำพูดน่าอายอย่างนั้นเด็ดขาด!”
“เหรอ แต่ร่างกายเธอไม่ได้บอกแบบนั้นเลยนะ”
ผมมองไปที่หว่างขาของดาเซส ที่ตอนนี้มันมีน้ำซึมออกมาจนเปียกไปหมดแล้ว แถมเวลาตลอดที่นั่งคุยกันมา เธอก็นั่งบิดไปบิดมาตลอด ผมรู้ดีว่าเธอยังต้องการมันอีก ต้องการสัมผัสความสุขที่ผมมอบให้
“ปากก็บอกว่าไม่ๆ แต่เธอก็จ้องควยของผมมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วไม่ใช่เหรอ”
ผมงัดเอาดุ้นที่แข็งเป็นหินออกมา ผมเองก็เงี่ยนมากเหมือนกัน เพราะเก็บกดจากฟรานมาตลอด
พอมีดุ้นอยู่ตรงหน้า ดาเซสแทบจะลืมตัว เธอต้องรีบส่ายหน้าเพื่อตั้งสติกลับมา
“อ้าว ไม่ต้องการหรอกเหรอ ช่วยไม่ได้แฮะ ฟรานช่วยทีสิ”
ผมพูดไม่ทันจบฟรานก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที ราวกับรออยู่นานแล้ว ไม่ต้องบอกอะไรเธอก็มาคุกเข่าอยู่ตรงหว่างขาผม และจับดุ้นขึ้นมาเลียอย่างหื่นกระหาย
“นะ นะ นั้นแกให้เธอทำอะไรน่ะ!”
“เอ๋? นี้เธอไม่เคยทำแบบนี้กับแฟนเหรอ”
“ทำไมฉันต้องเอาของสกปรกแบบนั้นเข้าไปในปากด้วย!”
“ยาของนายท่านอร่อยที่สุดในโลก”
ฟรานหันไปบอกก่อนจะเอาดุ้นผมเข้าไปในปากเธอทีเดียวมิดด้าม ปากเล็กๆ ของเธอไม่ต่างหากหอยฟิตๆ เลย
“อึก!”
ดาเซสกลืนน้ำลายดังเฮือกขณะจ้องดูฟรานดูดดุ้นผมอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เนี่ยเขาเรียกว่าใช้ปากทำรัก มันทำให้รู้สึกดีเพราะใช้ลิ้นสัมผัสควยได้ทั่วถึงและควบคุมแรงได้ แถมกลิ่นจากควยยังช่วยปลุกอารมณ์ไปด้วย มันเสียวสุดๆ ไปเลยนะ
“หนูทำได้ดีใช่ไหมคะนายท่าน”
“ดีมากเลยล่ะฟราน ทำต่อไปอย่างพึ่งหยุดนะ”
“ค่ะ”
ฟรานเร่งจังหวะอย่างรู้งานผงกหัวขึ้นลงทั้งเร็วและแรง พร้อมกับออกแรงดูดและตวัดลิ้นใส่อย่างตั้งใจ
ดาเซสที่จ้องตาไม่กระพริบ แถมไม่รู้ตัวเลยว่าได้ขยันนิ้วแหยงเข้าไปในหอยตัวเองตั้งแต่เมื่อไร
“อุย เสียวจริงวุย มีคนสวยๆ อย่างเธอมาตกเบ็ดให้ดูตรงหน้าแบบนี้ด้วย ยิ่งเสียวไปใหญ่”
พอผมทักไปดาเซสก็รู้ตัว เลยรีบดึงมือออก แต่มันยิ่งทำให้เธออารมณ์พุ่งพล่านยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ต้องทนหรอกดาเซส เธอต้องการควยตัวเธอเองก็รู้ดี เอา พูดออกมาสิ แค่พูดออกมาเธอก็จะได้ตามที่ต้องการแล้ว”
“ฉะ ฉัน”
“พูดสิ ดาเซส”
“มะ ไม่ ฉันพูดไม่ได้”
“เธอพูดได้ดาเซส เธอพูดได้!”
“ยะ เย็ด…กรุณาเย็ดฉันด้วยเถอะค่ะ”
ดาเซสยอมแพ้ให้กับความต้องการของตัวเอง เธอยกขาขึ้นบนเก้าอี้และถางขาออก พร้อมกับกล่าวคำพูดแสนน่าอายออกไปด้วยเสียงสุดลามก
จังหวะนั้นผมก็แตกใส่ปากฟรานไปก่อนรอบหนึ่ง เพื่อเป็นรางวัลในความพยายามของเธอ ซึ่งเธอดูดจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“เก่งมากเด็กดี”
ผมลูบหัวเธอเบาๆ ก่อนจะเข้าไปหาดาเซส และอุ้มเธอที่ไปเตียง
พอวางตัวเธอนอนลง ผมก็ขยับตัวจับดุ้นยัดเข้าปากาเธอทันที และพลิกตัวมาเพื่อเลียหอยให้เธอไปด้วยเป็นท่า 69 ดาเซสดูดได้ไม่เก่งเท่าฟราน แต่ก็แสดงถึงความต้องการอย่างชัดเจน แต่ทุกอย่างก็หยุดลงเมื่อผมลงลิ้นใส่หอยของเธอ เธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งและบีบดุ้นผมไว้แน่น
ดาเซสไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ถึงเธอจะด่าว่าอย่างไง เธอก็ไม่อาจลืมความเสียวที่โรมะมอบให้ได้เลย
เธอหนีบขาใส่หัวของผมแน่นและกระเด้งเอวใส่ แล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ดี แบบนั้น! แรงๆ เลียแรงๆ อุย! สุดยอด้นเธอไปอีกครั้ง ขนาดในเธอก็กระตุ="TH" style="word-wrap: break-word;">”
ผมเห็นว่าอารมณ์ของดาเซสพุ่งขึ้นถึงขีดสุดแล้ว เลยจับเธอเปลี่ยนท่า ให้คุกเข่ายกก้นขึ้นในท่าหมา แล้วผมก็สอดดุ้นเข้าไปแบบไม่ให้จังหวะขาดช่วง
“โอย! เจ็บ! ตะ แต่อา! แบบนี้ล่ะ ความรู้สึกเสียวแบบคราวนั้น! แรงอีก แรงกว่านี้อีก! ทำให้ฉันฉีกเป็นชิ้นๆ เลย! อา! อา! อูย! อ๊า! ลึกๆ ใส่เข้ามาลึกๆ! ขยี้ฉันให้แหลกไปเลย!”
“หุบปากซะยัยสุนัขตัวเมีย!”
ผมทำเป็นพูดรุนแรงใส่ พร้อมกับตบไปที่แก้มก้นเธออย่างแรง
“กรี๊ด! สะ สุนัขตัวเมีย ฉะ ฉันเนี่ยนะ!”
“ใช่ ก็ดูท่าเธอตอนนี้สิ เหมือนสุนัขตัวเมียไหมล่ะ”
ผมหวดก้นเธอไปอีกครั้ง ขนาดในเธอก็กระตุกตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยสกิลรับรู้แห่งราคะ ทำให้รู้ว่าเธอเป็นพวก M
“อี๊! ชะ ใช่ ฉันเป็นสุนัขตัวเอง หวดให้แรงกว่านี้อีกสิ ลงโทษสุนัขเลวตัวนี้ที!”
ผมซอยใส่อย่างแรงเสียงดังตับๆ พร้อมกับหวดก้นเธอไปด้วย ดาเซสคลั่งไปแล้วหน้าแบบ Ahegaoของเธอบิดเบี้ยวไปด้วยรอยยิ้มแบบสุขจนคลั่ง
แต่ผมก็ไม่ได้ละเลยคนสำคัญไป ผมเห็นฟรานล้วงมือเข้าไปในกระโปรง คงอยากเต็มที่แล้วเหมือนกัน ใจจริงผมก็อยากให้เธอมาร่วมวงด้วย แต่ว่าช่วงบ่ายผมยังต้องพาเธอลงดันเจี้ยนอีก เลยไม่อยากให้เธอหมดแรงซะก่อน ยังไม่ใช่ตอนที่เธอมีเลเวลแค่หนึ่ง แต่ผมก็ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ เลยกวักมือเรียกให้เธอเข้ามาหา
ฟรานพุ่งเข้ามาทันที ผมโอบกอดเธอไว้เบาๆ แต่เอวก็ไม่หยุดกระแทกควยใส่ดาเซส และผมก็ใช้นิ้วแหวกขอบกางเกงในของฟรานและแหยงเข้าในรูของเธอเบาๆ แต่พอนิ้วเข้าไปครึ่งหนึ่ง เธอก็เป็นฝ่ายขยับเอวขึ้นลงเอง
“นายท่านค่ะ นายท่าน! นายท่านของฟราน!”
เธอร้องออกมาเสียงดังไม่แพ้กับดาเซส พนันได้เลยว่าข้างนอกคงได้ยินกันหมด
ผมกระดิกนิ้วรัวๆ ช่วยเธออีกทาง เพื่อเร่งให้เธอเสร็จไปพร้อมๆ กับผมและดาเซส เอวของฟรานกับดาเซสแข่งกันโยก จังหวะถูกเร่งขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงร้องด้วยความสุขสม
สุดท้ายพวกเราทั้งสามคนก็เสร็จพร้อมกัน ผมปล่อยข้างในของดาเซสแรงมาก จนเธอลากเสียงครางนานมากกว่าจะหมดแรงนอนคว่ำไปบนเตียง ผมดึงหนอนน้อยกลับออกมา แยมขาวก็ไหลทะลักตามออกมาราวกับก๊อกแตก คราวนี้ตื่นเต้นมากเลยปล่อยไปซะเยอะเลย
ฟรานลุกขึ้นจากมือของผมที่ชุมไปด้วยน้ำรักของเธอ ก่อนจะมาบรรจงเลียทำความสะอาดให้ทีละนิ้ว เสร็จแล้วยังก้มลงไปดูดเอาแยมขาวของผม ที่อยู่ในหอยของดาเซสออกมากินจนไม่เหลือสักหยด
“กินมากเกินไปแล้วนะฟราน”
“ขอโทษค่ะนายท่าน แต่ยาของนายท่านอร่อยจนห้ามใจไม่อยู่จริงๆ”
ผมดึงตัวฟรานมากอดอีกครั้ง ก่อนจะให้เธอออกไปตามพนักงาน มาทำสัญญาซื้อขายดาเซสพร้อมกับให้หาเสื้อผ้ามาให้ใส่ด้วย
ดาเซสอยู่ในสภาพสะลืมสะลือตลอดเวลาแม้จะตอนลงพันธะทาส ส่วนค่าตัวของเธอนั้นอยู่ที่ 2,500,000รีล เหตุผลที่แพงกว่าค่าตัวทาสทั่วไป เพราะเธอเป็นทาสนักสู้ที่มีเลเวลถึง 30 และมีอาชีพเป็นถึงอัศวิน ซ้ำยังหน้าตาดีถึงจะไม่มีหน้าอกเลยก็เถอะ แต่ราคาเท่านี้ยังถือว่าถูกไปด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น