ไม่ได้หายไปไหนไปต่างจังหวัดมาครับ
ตอนที่ 132 มารอันดับหนึ่ง
หลังการบรรเทาหายนะภัยที่เอร่าเป็นคนก่อ แบบเบื้องต้นไปแล้ว อลิซาเบธก็ตามมาสมทบ พร้อมกับข่าวร้าย
“หนีไปได้เหรอ”
“ขอโทษที ข้าประมาทไปหน่อย ไม่คิดว่ายัยเด็กนั้นจะมีไอเท็มสำหรับหนีเก็บไว้ พอมันออกไปนอกเขตปิดกั้นของเมืองกรอซ่าแล้ว ก็ใช้ไอเท็มหายตัวไปทันทีเลย”
“เป็นคนรอบคอบเกินคาดแฮะ ท่าทางจะเป็นศัตรูที่รับมือยากแล้วสิ”
“แล้วจะออกตามล่ากันไหมคะ?”
ฟรานรอฟังคำสั่งจากผมอยู่ ในทีมผมมีคนเก่งเรื่องสะกดรอยอย่างมอเรียอยู่ ผมเองถึงไม่มีสกิลนักล่าสมบัติแล้ว แต่ถ้าการสะกดรอยพื้นฐานผมก็พอทำได้ ดูแล้วอีกฝ่ายไม่น่าจะใช้พวกกระดาษวาร์ป แต่น่าจะเป็นอุปกรณ์เวทที่ใช้ในการล่องหนระยะสั้นๆ มากกว่า
“ไม่ต้องตาม อีกฝ่ายได้สกิลมารราคะของผมไปแล้ว ถ้าเกิดพวกเธอถูกเล่นงานผมต้องเสียพวกเธอไปแน่ๆ เรื่องแบบนั้นผมไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด”
ผมตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยเรื่องของมารริษยาไปก่อน หรือถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือ ผมยังไม่พร้อมรับมือกับศัตรูรายนี้
“งั้นก็จะลงดันเจี้ยนลูปันไปหาพวกดาเซสสินะคะ”
“…พวกเราจะไปที่ปราสาทจอมมารกันก่อน เพราะแท่นวาปร์ถูกทำลายไปแล้ว ไหนๆ จะลงไปทั้งที ก็กลับไปเอาแท่นวาปร์อันใหม่ติดมือไปด้วย อีกอย่างผมอยากจะหาดู ว่าพอจะมีวิธีอะไรที่ทำให้กลับไปเป็นจอมมารได้บ้าง”
พอทุกคนรู้ว่ากำลังจะต้องไปที่ปราสาทจอมมาร ก็พากันทำสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา โดยเฉพาะเอร่า เพราะนี้คือการเข้าถึงฐานใหญ่ของศัตรูเป็นครั้งแรก
“ไม่ต้องเครียดกันหรอก ปราสาทจอมมารไม่ใช่สถานที่น่ากลัวแบบนั้น ออกจะน่าอยู่กว่าเมืองนี้ด้วยซํ้าไป”
“ถูกต้องแล้ว ข้ายืนยันได้ โดยเฉพาะบ่อนํ้าพุร้อนลอยฟ้า ไม่มีอะไรสุดยอดไปกว่านี้แล้ว”
พอได้ยินที่อลิซาเบธพูดผมก็หูกระดิกทันที
“เดี๋ยวก่อน! ไอ้นั้นฉันให้มุเอมะทำให้นะ ตัวฉันเองยังไม่เคยได้ลองใช้เลย เธอชิงตัดหน้าใช้ไปก่อนได้อย่างไง!”
“อย่างกน่า ไว้ข้าจะถูหลังเจ้าให้คราวหน้าล่ะกัน มุเอมะสอนข้าใช้หน้าอกถูหลังแล้วด้วย”
นิสัยง่ายๆ ของอลิซาเบธทำให้โกรธเธอไม่ลง แถมหน้าอกถูกหลังเชี่ยวนะ!
“ก็ได้”
แล้วสายตาทุกคนหันมาจ้องผมแบบเอือมระอาแทน
ผมรีบตัดเรื่อง แล้วให้มิรินกับเรโมริก้าพาทุกคนไปปราสาทจอมมารทันที พอมาถึงก็พบกับบรรยากาศแปลกๆ พวกปีศาจมีสีหน้าวิตกเมื่อเห็นหน้า
ผม จะว่าไปตอนนี้ผมไม่ใช่จอมมารแล้ว พวกเขาเลยไม่รู้ว่าควรปฏิบัติตัวกับผมอย่างไงดี
แต่แล้วก็เป็นปีศาจสามตาคลูนิสที่วิ่งเข้ามาหาผมเป็นคนแรก
“ท่านจอมมารแย่แล้วครับ”
“เดี๋ยวๆ รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ผมไม่ใช่แล้วน่ะ ผมสูญเสียสถานะจอมมารไปแล้ว”
“เรื่องนั้นพวกเราทราบแล้ว แต่ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นแล้ว!”
เดี๋ยวสิ ช่างมันเลยเหรอ นี้เรากำลังพูดถึงตำแหน่งจอมมารกันอยู่นะเฮ้ย! แต่ผมเองก็อยากรู้ว่ามีอะไรใหญ่ไปกว่าเรื่องนี้ได้ เลยเดินตามคลูนิสไปที่ห้องโถงทรงบัลลังก์
ระหว่างทางผมพยายามจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คลูนิสเองก็มีสีหน้าลำบากใจเมื่อพวกปีศาจตัวอื่นๆ
พอมาถึงห้องโถงผมก็พบกับมุเอมะนอนจมกองเลือดอยู่ ขาทั้งสองขาของเธอบิดไปแบบผิดรูป ผมไม่อยากจะเชื่อ ว่ามีคนที่เล่นงานมุเอมะได้ด้วยงั้นเหรอ!?
มุเอมะพอรู้ถึงการมาของผม เธอก็พยายามคลานเข้ามาหาผม
“ท่านพี่!”
พวกฟรานที่เห็นมุเอมะก็จำได้ทันที เลยรีบเข้าไปพยุงตัวเธอขึ้นมา
“อ้าว!? รู้จักกันแล้วเหรอ”
“ท่านพี่เคยช่วยพวกหนูไว้ค่ะ”
พอได้ยินที่ฟรานบอกผมก็ยิ่งสงสัยไปใหญ่ แต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ และมองหาตัวคนที่ทำแบบนี้กับมุเอมะ ซึ่งผมหันไปเห็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 3 ขวบ นั่งเปลือยกายไม่ใส่อะไรสักชิ้นอยู่บนบัลลังก์
“ใครกันน่ะ!?”
ผมกำลังจะขยับออกไป แต่มุเอมะรีบคว้าแขนผมเอาไว้
“ไม่ได้ค่ะท่านโรมะ ท่านผู้นั้นคือ”
“ทำแบบนี้ฉันก็ใจสลายน่ะสิมุเอมะ ขนาดเขาไม่ใช่จอมมารแล้ว เธอยังจะให้ความเคารพเขาอยู่อีกเหรอ”
เด็กคนนั้นพูดขึ้น แต่พอได้ยินเสียง อลิซาเบธก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที เธอหยิบออกมาพร้อมกับทำท่าพร้อมรบ แต่สีหน้าแววตาแสดงถึงความหวาดกลัวออกมา
“ป เป็นไปไม่ได้!”
“อ้าว เบธตี้จัง ไม่เจอกันตั้งนาน สบายดีเหรอ”
เด็กสาวหันมาโบกมือให้อลิซาเบธ แต่ราวกับเป็นสัญญาณให้เริ่มการต่อสู้
“Fall of troll!”
อลิซาเบธเปิดฉากด้วยสกิลโกงของตัวเอง แต่เด็กสาวกลับปากริซที่มีปลายแหลมทั้งสองด้านออกมา มันเสียบทะลุเข้าไปในแขนของอลิซาเบธ พริบตา
นั้นร่างของอลิซาเบธก็หายวับไป เหลือแต่เพียงกริซเปื้อนเลือด ที่กำลังลอยกลับเข้าไปในมือของเด็กสาว
“Fall of troll จะแสดงผลแค่ในระยะทำการเท่านั้น แต่ส่งตัวออกไปไกลๆ ก็แก้ทางสกิลนี้ได้แล้ว”
บอกตามตรง เด็กคนนี้ทำให้ผมกลัวขึ้นมาแล้ว ขนาดผมยังคิดหาวิธีแก้ Fall of troll ได้ไม่สมบูรณ์แบบเท่านี้เลย ที่คิดๆ ไว้ก็มีแต่ใช้ไอเท็มสู้แทนสกิลเท่านั้น
“ที่นี้…ก่อนจะมาทำความรู้จักกัน ฉันขอทดสอบนายหน่อยว่าใช่คนอย่างที่ฉันคิดไว้ไหม”
เด็กสาวเพียงแต่ดีดนิ้ว ก็เกิดเสียงดังสะนั่นขึ้น พริบตานั้นดอเรีย กิน ราก้า โรสลิน จามิร่ากระทั่งฟ
รานกับเรโมริก้าก็ล้มลงกับพื้น นอนตาเหลือกนํ้าลายฟูมปาก
เจ้าหญิงโชหันไปมองทุกคน ก่อนจะหันไปที่เด็กสาว
“สกิลนี้มัน…หรือเธอก็คือ”
พอเห็นเจ้าหญิงโชกำลังจะบอกชื่อออกมา เด็กสาวยกนิ้วขึ้นแตะที่ริมฝีปากเป็นการห้ามเอาไว้
“ฟังให้ดี โรมะ สกิลที่ฉันใช้ไปตะกี้ คือสกิล การทารุณของจักรพรรดินี ส่งผลให้มอนสเตอร์หรือเผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์ จะตกอยู่ในสภาพใกล้ตายในทันที อ้อ ยกเว้นมังกรหรือชนชั้นระดับสูงอย่างเทพ สกิลนี้จะไม่มีผล แต่คนที่ได้รับผล จะอยู่ได้เพียงแค่สองนาทีก่อนจะตายไปจริงๆ”
ระหว่างที่อธิบาย เธอก็แยกขาออกและยกขึ้นไปพาดบนที่วางแขน โชว์ให้เห็นหอยอูมๆ ที่ยังไม่โตเต็มที่ของเธอ
“ถ้าอยากให้ฉันยกเลิกสกิล ก็จงมาเลียหอยฉันซะ ถ้าทำให้ฉันถึงจุดสุดยอดได้ก่อนพวกนั้นจะตาย ฉันจะปลดสกิลออกให้”
ไม่มีเวลาให้ผมคิดเลยแฮะ
“ตกลง แต่ไม่ต้องรอให้ถึงสองนาทีหรอก แค่นาทีเดียวก็จบแล้ว”
ผมรับคำท้าและก้าวขึ้นไปหาทันที แต่ขณะที่ผมกำลังยื่นหน้าเข้าไปที่หอยของเธอ ก็มีพูดดักออกมา
“อ่ะๆ ห้ามใช้นิ้วนะ ใช้ได้แต่ลิ้นเท่านั้น”
“ฮ่าๆ ยังบริสุทธิ์อยู่ล่ะสิ”
ผมรู้ทันทีที่เธอไม่ให้ใช้นิ้ว เพราะหอยเล็กขนาดนี้ถ้าใช้นิ้วมีหวังได้เสียความบริสุทธิ์เพราะนิ้วผมแน่
“รีบลงมือเถอะ เวลาของนายเหลือไม่มากแล้ว”
เธอดูถูกทักษะการใช้ลิ้นของผมมากเกินไป ต้องขอบอกว่า ผมไม่เคยใช้ทักษะลิ้นแบบเต็มที่กับใครมาก่อน เพราะมันจะทำให้พวกเธอเสร็จเร็วกันจนเกินไป แต่เด็กคนนี้กำลังจะได้ริ่มรสมันเดี๋ยวนี้
ลิ้นของผมขยับอย่างรวดเร็วราวกับแยกร่างได้ แต่ล่ะสัมผัสนุ่มลึกและอ่อนโยน ผมใช้ปลายลิ้นเขี่ย กด บี้ ตวัดปุ่มคริทั้งหมดนั้นได้ในหนึ่งวินาที หอยของเธอถูกผมเลียไปทุกจุด ภายในหอยก็โดนผมห่อลิ้นแทงเข้าออกสลับกับเลียข้างใน
“น นี้มัน โอ้ว! ส สุดยอดเกินไปแล้ว! กรี๊ด!!!”
ไม่ถึงครึ่งนาที ผมก็ทำให้เธอนํ้าแตกคาปากผมได้ แต่เวลายังเหลือนี้
“ด เดี๋ยวพอแล้ว! ฉันพึ่งเสร็จไปอย่าเลียนะ!”
ผมไม่ฟัง เพราะจะเอาคืนที่เธอทำให้พวกสาวๆ ของผมต้องเจ็บตัว
หลังจากพึ่งเสร็จไปร่างกายจะไวต่อความรู้สึกยิ่งกว่าเดิม เธอจึงเสร็จเร็วและแรงยิ่งกว่ารอบแรก ฉี่ของเธอพุ่งออกมาลอยไปในอากาศหลังจากถึงจุดสุดยอดรอบสองในเวลาอีกยี่สิบวินาทีต่อมา แต่ผมยังไม่หยุด จัดการส่งเธอไปสวรรค์ด้วยการถึงจุดสุดยอดแบบสามครั้งติดโดยไม่ให้พัก เด็กสาวหมดสติไปในทันทีโดยที่
หอยยังไม่เลิกกระตุกพ่นนํ้าหวานออกมา ตอนนี้ถึงจะมีสติอยู่ ก็ไม่อาจจะควบคุมร่างกายตัวเองได้แล้ว
สกิลที่ทรมานพวกสาวๆ ของผมอยู่ คลายตัวออกทันทีที่เด็กสาวหมดสติไป ผมเข้าไปตรวจดูว่าทุกคนโอเคดีอยู่หรือเปล่า ก่อนจะลุกขึ้นมาและหันไปจ้องเจ้าหญิงโช
“เจ้าหญิงรู้จักกันเด็กคนนี้สินะครับ งั้นช่วยมาทีว่าเธอเป็นใครกันแน่”
เจ้าหญิงโชยิ้มแห้ง ก่อนจะชี้นิ้วมาที่มุเอมะแทน
“ถามเธอดีกว่า ถ้าเธอรู้จักดีกว่าฉันซะอีก”
มุเอมะมองผมอย่างตกตะลึงขณะมองสลับไปที่เด็กสาวคนนั้น
“ล เหลือเชื่อ ท่านโรมะปราบเธออยู่หมัด ทั้งๆ ที่ไม่มีสกิลมารราคะ!”
“พูดแบบนี้ผมโกรธนะ เธอก็นอนกับผมมาตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่รู้อีกเหรอว่าผู้ชายของเธอคนนี้ เก่งเรื่องพาผู้หญิงไปถึงจุดสุดยอดแค่ไหน”
“ข ขอโทษค่ะท่านโรมะ! ฉันไม่ได้คิดจะดูถูกท่าน”
“ไม่ยกโทษให้หรอก เดี๋ยวคืนนี้ผมจะลงโทษเธอให้เต็มเหนี่ยวเลย แต่ตอนนี้บอกมาได้หรือยัง ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร”
“ท่านผู้นี้คือ…อดีตจอมมารรุ่นก่อนค่ะ”
“หา!?”
ผมถึงกับอึ้งไปเลย
“เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ว่ารุ่นก่อนถูกพวกอลิซาเบธฆ่าไปแล้วหรอกเหรอ”
“ใช่ค่ะ เรื่องนั้นฉันก็สงสัยเหมือนกัน แต่ท่านผู้นี้คือ จอมมารเวเนซ่าไม่ผิดแน่ค่ะ”
“จอมมารตัวกระเปี๊ยกเนี่ยนะ”
“เมื่อก่อนเธอมีร่างที่เป็นผู้ใหญ่กว่านี้ค่ะ แต่ทำไมมาอยู่ในร่างเด็กได้ฉันก็ไม่เข้าใจ”
“ร เรื่องนั้นข้าจะอธิบายให้ฟังเอง”
เวเนซ่าพยายามลุกทั้งๆ ที่ช่วงล่างยังสั่นกระตุกอยู่
“เรื่องมันยาวด้วยสิ เพราะมันเกี่ยวพันกับหลายอย่างอยู่พอสมควร เอาเป็นว่าจะตอบประเด็นที่สงสัยให้ก่อน ฉันน่ะตายไปแล้วไม่ผิดหรอก ถึงจะเป็นแค่
การจัดฉากของฉันเอง แต่ก็ตายไปจริงๆ แต่ด้วยพลังมารที่ฉันครอบครองอยู่ ทำให้กลับมาคืนชีพได้ แต่เพราะคำนวณช่วงเวลาผิดไปหน่อย ตอนนี้เลยยังแค่อายุ 3 ขวบอย่างที่เห็น แต่ข้าน่ะได้ทั้งความทรงจำและยังมีเลเวลเท่ากับตอนที่ตายนะจะบอกให้”
“พลังมารอะไรที่เธอครอบครองอยู่เหรอ”
“…สกิลมารแห่งความเย่อหยิ่ง อันดับ 1 ในสกิลมารทั้ง 7”
“สกิลมารแห่งความเย่อหยิ่งมีพลังในการคืนชีพเหรอ”
“ไม่เชิง สกิลมารทั้ง 7 ล้วนแต่เป็นสกิลที่ไว้ให้ได้มาซึ่งสกิลด้วยวิธีการพิเศษ สกิลมารแห่งความเย่อหยิ่งของฉัน...สามารถสร้างสกิลขึ้นมาได้เอง”
“สร้างสกิลได้เอง!”
“อืม มันค่อนข้างต่างจากสกิลมารอื่นๆ ที่จะได้สกิลมาจากผู้อื่น เลยมีข้อจำกัดที่พิเศษหน่อยๆ”
“เดี๋ยวก่อน เอาเรื่องนี้มาบอกแบบนี้จะดีเหรอ”
“ไม่เห็นเป็นอะไร ฉันตั้งใจจะบอกความสามารถของสกิลมารทั้ง 7 ให้ฟังอยู่แล้ว รวมถึงเรื่องต่างๆ ด้วย งั้นฟังให้ดีนะ ข้อจำกัดของสกิลมารแห่งความเย่อหยิ่งก็คือ ฉันสร้างได้แต่สกิลที่ยังไม่มีผู้ใดครอบครอง หรือยังต้องไม่เคยมีใครไปถึงระดับมาสเตอร์ของสกิลนั้นมาก่อน แต่กรณีที่ฉันสร้างสกิลขึ้นมาเป็นคนแรก แล้วมีคนอื่นที่ได้สกิลเหมือนกันไป ตราบใดที่เลเวลสกิลฉันยังมากกว่าคนอื่น ฉันก็ยังใช้สกิลนั้นได้ต่อไป”
“ฟังดูเหมือนจะไม่มีทางเหลือให้มีสกิลใช้เท่าไรเลยนะ”
“ผิดแล้ว สกิลต่างสูญหายไปตามกาลเวลาเป็นจำนวนมาก ยิ่งถ้าเป็นสกิลเมื่อพันปีก่อนแทบจะสูบหายไปหมดแล้ว นอกจากนี้การจะไปให้ถึงระดับมาสเตอร์ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ชั่วชีวิตคนคนหนึ่ง จะสามารถไปได้ถึงระดับนั้นได้สักสกิลหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แล้วก็นะ คำว่าสร้างสกิล หมายถึงฉันสร้างสกิลใหม่ที่ยังไม่เคยมีในโลกนี้มาก่อนก็ได้ด้วย อย่างสกิลเกิดใหม่เนี่ย ก็เป็นสกิลออริจินอลที่ฉันคิดขึ้นมาเอง เพราะงั้นคำว่าขีดจำกัดใช้กับฉันไม่ได้หรอก ด้วยเหตุนี้สกิลมารแห่งความเย่อหยิ่งเลยเป็นสกิลอันดับ 1 ไงล่ะ”
“เชื่อเลย…งั้นขอถามอีกอย่าง”
พอเริ่มถามแววตาผมก็เปลี่ยนไป ขณะชี้ไปที่ขาของมุเอมะที่ถึงตอนนี้แผลจะหายดีแล้ว แต่ตอนที่มาถึงสภาพเธอดูสาหัสมากเลย
“เธอเป็นทำร้ายมุเอมะใช่ไหม”
“ใช่แล้ว”
“งั้นก็แปลว่าพวกเราเป็นศัตรูกันสินะ”
“ใช่แล้ว เฮ้ย ไม่ใช่ๆ! เข้าใจผิดแล้ว มุเอมะเจ้าก็เลิกทำตาหวานใส่แล้วช่วยฉันพูดได้แล้ว”
หลังจากนั้นผมก็ได้ฟังเรื่องราวจากฝังของมุเอมะ เธอจับตาดูผมตลอด เลยรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดี แต่ก็เพราะจับตาดูแต่ผมเนี่ยล่ะถึงได้เกิดเรื่องขึ้นได้ เพราะเธอไม่เห็นภาพวงกว้าง เลยไม่รู้กระทั่งการเคลื่อนไหวของพวกสภาใต้ดิน แต่พอรู้ถึงข้อผิดพลาดตัวเอง เธอก็ยิ่ง
โกรธจัด จนจะยกทัพไปอยู่แล้ว แต่เวเนซ่าโผล่เข้ามาตอนนั้นพอดี
ซึ่งสร้างความสับสนขึ้นมาในเผ่าปีศาจมาก เพราะอย่าไงเธอก็เป็นถึงอดีตจอมมาร พวกปีศาจยังคงให้ความเคารพเธออยู่ แต่เพราะมีผมเป็นจอมมารคนปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นนายเพียงคนเดียว เพราะงี้ถึงได้สับสนทำตัวไม่ถูก
ซํ้าเวเนซ่ายังมาเพื่อห้าม ไม่ให้มุเอมะเคลื่อนไหว ยิ่งตอนที่ผมหลุดจากสภาพจอมมาร ยิ่งทำให้มุเอมะร้อนใจ จนเกิดการปะทะกับเวเนซ่า กระทั่งโดนหักขาอย่างที่เห็น
“แล้วมีเหตุอะไรถึงไม่ให้มุเอมะเคลื่อนไหวล่ะ”
ผมถามจุดที่น่าสงสัยกับเวเนซ่า ซึ่งเธอก็ยิ้มออกมา
“เหตุผลหลักๆ เลย เพราะต้องการให้มารริษยาเอาสกิลของนายไปนั้นแหละ”
“หา?”
“คือ ฉันเคยเจอกับพวกกลุ่มของมารริษยามาแล้ว เลยจะมาเตือนนาย แต่คิดไปคิดมา ฉันว่าปล่อยให้นายโดนเอาสกิลไปน่าจะดีกว่า เพราะจากนี้ไปกลุ่มของมารริษยาคงไม่มายุ่งกับนายอีกแล้วล่ะ”
“จะบอกว่าที่ทำไปเพราะหวังดีเหรอ”
“ถูกต้อง ฉันอยากมีเวลากับนายมากหน่อย โดยไม่โดนพวกนั้นมากวน แล้วก็นะที่ห้ามมุเอมะ
ไว้ ก็เพื่อนายนะ คิดดูสิเรื่องจะบานปลายแค่ไหน แค่มีกองทัพปีศาจไปโผล่ที่เมืองของนักผจญภัยน่ะ”
“!!!”
“ทั้งแผนและอุดมการณ์ที่นายทำมาทั้งหมดจะพังไปเลยนะ ถ้ามันเกิดขึ้นนะ”
“เรื่องนั้น!”
มุเอมะเองก็เถียงไม่ออก เพราะเธอตัดสินใจไปตามอารมณ์ ทำให้ไม่ได้คิดถึงจุดนั้นเลย
“ถ้าเป็นตามที่เธอว่ามา ดูเหมือนเธอตั้งใจจะช่วยผมน่าดูเลยนะ แถมยังรู้อีกว่ามีแผนและอุดมการณ์อย่างไง คุณเองก็เป็นจอมมารมาก่อน ไม่ใช่ว่าอยากจะได้ตำแหน่งคืนหรอกเหรอ”
“ถึงบอกไงเรื่องมันยาว จะเริ่มจากไหนดีล่ะ…อ่ะ ใช่ เริ่มจากนายลากสองสาวนั้นไปซั่มก่อนดีไหม ดูท่าแล้วคงทนต่อไม่ไหวแล้ว”
วาเนซ่าชี้ไปที่ฟรานกับมอเรีย ซึ่งยืนหนีบขาและหน้าแดงจัด พวกเธอยืนหลบอยู่ด้านหลังผม เลยไม่ทันสังเกตเลย นี้ผมลืมเรื่องนี้ไปได้ไงนะ ว่าทั้งคู่ยังติดผลกระทบของ Dawn of love อยู่ กะว่าหลังจากหยุดเอร่าแล้วค่อยสนองความกระสันให้พวกเธอ แต่เพราะมีหลายเรื่องจนลืมไปเลย แถมพวกเธอก็อดทนได้ดีจนเก็บอาการเอาไว้ ผมนี้แย่จริงๆ เพราะพึ่งสกิลมารราคะกับ Lust mastery มากเกินไปแท้ๆ
“มุเอมะ เดี๋ยวฉันพาพวกเธอไปที่ห้องก่อนนะ ฝากเธอดูแลตรงนี้ไปก่อน”
“ได้ค่ะท่านโรมะ”
แต่พอผมคว้าแขนทั้งสองคน เขื่อนที่กักเก็บไว้ก็แตก พวกเธอไม่รอให้ผมพาไปถึงห้อง แต่กระโดดขึ้นควบผมบนพื้นเลย ท่าทางของทั้งคู่ดูน่ากลัว จนคนอื่นไม่กล้าเข้ามาห้ามหรือแม้แต่จะเข้ามาผสมโรงด้วย ผมกะไว้แล้วว่ามันต้องรุนแรงแบบนี้ เลยเตรียมไว้แล้ว
ทว่างานนี้ผมพลาดเต็มๆ พอขาดสกิลมารราคะไป จุดอ่อนเดิมๆ ของผมก็กลับมา เพราะดุ้นผมใหญ่เกินไป ไม่เพียงแต่ฉีกหอยของเธอ แต่ผมก็เจ็บระบมไปเหมือนกัน แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับยิ่งสร้างความสุขและเร้าอารมณ์ให้กับพวกเธอ ผมเลยโดนควบจนตอนที่ดึงดุ้นออกมาอีกที มันก็แดงเถือกและบวมเป้งเลย งานนี้ถึงกับต้องพึ่งยาฟื้นพลังกันเลยทีเดียว
ตอนที่ 133 สำนึกแห่งศาสตร์
“ยังไหวไหม”
เวเนซ่าเข้ามาถามผมที่นอนหอบหมดแรงอยู่บนพื้น หลังจากโดนฟรานกับมอเรียจัดไปเกือบสิบยก
“ไหว คุยต่อได้เลย”
ผมยกนิ้วให้ แต่ขอนอนฟังแบบนี้ดีกว่า แบบว่าขาอ่อนจนยืนไม่ไหวแล้ว คือสิบยกน่ะเป็นเรื่องปกติ แต่สิบยกแบบไม่ให้พักเลยเนี่ย ร่างกายธรรมดาที่ไม่ได้รับผลของมารราคะมันเกินจะรับไหวจริงๆ
“ถึงไหนแล้วนะ อ้อ ตั้งแต่แรกสินะ”
เวเนซ่าบอกพร้อมกับนั่งย่องๆ ลง ราวกับจะอวดกลีบที่ยังไม่โตเต็มวัยให้ผมดู
“ก่อนเลยอื่น…โทษทีนะ จริงๆ แล้วฉันเองแหละที่เป็นคนอันเชิญพวกนายมาที่โลกนี้”
“หา!?”
ผมเลือนสายตาที่จับจ้องที่หอยของเธอขึ้นไปที่หน้าแทนทันที แถมยังทำหน้าทะเล้นใส่ซะอีก
“อ่ะ แต่ฟังก่อนอย่าพึ่งโกรธ จริงๆ กะแค่อันเชิญนายมาแค่คนเดียว แต่พอดีพึ่งเคยทำครั้งแรกเลยกะพลังพลาดไป เลยเป็นอันเชิญพวกนายมายกห้องเลย”
“ตอนคืนชีพก็บอกว่ากะเวลาผิด ตอนนี้ยังจะมาบอกว่ากะพลังพลาดอีก นี้เธอเป็นจอมมารหรือจอมซุ่มซ่ามกันแน่!”
“อย่าว่าฉันซุ่มซ่ามนะ!”
โกรธขึ้นมาแบบนี้ สงสัยแทงใจดำแฮะ
“ก็ได้ เรื่องมันผ่านไปแล้ว จะมาโกรธก็ไม่ใช่เรื่อง แถมทางนี้เองก็สังหารพวกปีศาจไปเพียบเลย เรื่องความสูญเสียจริงๆ ทางเผ่าปีศาจควรจะเป็นฝ่ายแค้นมากกว่า ว่าแต่อันเชิญผมมาทำไม แล้วทำไมต้องเป็นผม”
“ก็ไม่ทำไมหรอก จอมมารแต่ล่ะรุ่นนะ ทดลองวิธีการครองโลกมาแล้วแทบทุกแบบ ถึงบางวิธีจะครองโลกได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ยั่งยืนเพียงแค่ไม่กี่สิบปี ก็โดนมนุษย์ไล่ต้อนกลับมาอีก แม้แต่ฉันเองที่เคยปกครองโลกด้วยกำลังและความหวาดกลัว สุดท้ายก็คบพ้นว่ามันไม่ใช่การปกครองจริงๆ นายก็คิดแบบนั้นใช่ไหมล่ะ มันจะเรียกว่าปกครองได้ไง ในเมื่อคนที่เราปกครองอยู่ยังติดต่อต้านและจ้องเอาคืนตลอดเวลา และถึงฉันจะเก่งกาจไร้เทียมทาน แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางแพ้สักหน่อย
แถมเพราะฉันได้ชักนำศึกมาสู่เผ่าปีศาจมาอย่างยาวนาน ทำให้เผ่าปีศาจอ่อนแอลงจนยากจะฟื้นคืนขึ้นมาได้ไหม ก็เลย”
“เข้าใจล่ะ ที่แท้ก็ทำไว้ซะเน่าและโยนปัญหามาให้ผมแก้สินะ”
“ฮุๆๆ เป็นคนที่เข้าใจอะไรง่ายจริงๆ สมแล้วเป็นคนที่ข้าเลือก”
“ไม่ต้องมาชมเลย แต่ผมยังสงสัยอยู่ ถ้าต้องการคนแก้ปัญหา ทำไมไม่อันเชิญพวกผู้ใหญ่ที่เป็นนักการเมืองหรือนักบริหารมาล่ะ ทำไมต้องอันเชิญเด็กมัธยมปลายที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแบบผมมา”
“เพราะนายมีคุณสมบัติ!”
“คุณสมบัติอะไร”
“ก็ไอ้นี้น่ะสิ ฉันปิ้งตั้งแต่แรกเห็นเลย”
เวเนซ่าบอกพร้อมกับใช้มือเล็กๆ ของเธอลูบไปรอบๆ ดุ้นของผม
“แล้วดุ้นมันใช้แก้ปัญหาได้ตรงไหนกันล่ะเฟ้ย! นี้เลือกมานี้เพราะความเงี่ยนส่วนตัวเลยไม่ใช่หรือไง!”
“พูดอะไรน่ะ นี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ นายควรภูมิใจไว้ ที่เป็นชายผู้มีลึงค์อันโอฬารอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น!”
“ก็แล้วมันช่วยแก้ปัญหาได้ไหม!”
“เจ้าโง่ ฉันพูดขนาดนี้แล้วทำไมไม่เข้าใจอีก ที่อันเชิญเจ้ามาเพราะต้องการให้เจ้าใช้ลึงค์ที่แสนใหญ่โตจนบ้าบอของเจ้าครองโลกให้ได้ไงล่ะ!”
“ก็ทางนี้ก็พูดอยู่ไง แค่นี้มันจะแก้ปัญหาได้ไง”
“ทำไมจะไม่ได้ ฉันวางแผนไว้หมดแล้ว เลยเที่ยวไล่เด็ดหัวเจ้าพวกตัวแสบ ที่เป็นตัวผู้จนหมดก่อนที่ฉันจะตาย ตอนนี้เผ่าต่างๆ ล้วนแต่มีผู้นำเป็นหญิงทั้งนั้น ถึงจะมีตัวผู้หลุดมาสักคนสองคน นายก็หลับหูหลับตาจิ้มๆ ไปเถอะ”
“แผนการโคตรมักง่ายเลย! แล้วผมไม่ใช่เกย์นะเฟ้ย!”
“แต่ในฮาเร็มของนายเห็นว่ามีตัวผู้อยู่ด้วยนี้”
“ชายใดที่ได้สาวดุ้นไม่นับเป็นเกย์”
“ทั้งคู่เลิกเถียงกันสักทีเถอะค่ะ ไม่งั้นคุยกันทั้งวันก็ไม่จบ”
มุเอมะเห็นผมเถียงกันไม่เลิกเลยทำเสียงดุขึ้นมา แต่พอพวกผมยอมเลิกทะเลาะกัน มุเอมะก็เข้ามาอุ้มผมขึ้น และพาไปที่ห้องอาหาร
“ทุกท่านคงหิวแล้ว งั้นเราไปนั่งคุยกันไปทานอาหารกันไปเถอะค่ะ”
ตอนแรกทุกคนทำหน้าเจื่อนๆ เพราะคิดว่าอาหารของปีศาจจะเป็นอะไรที่น่าขยะแขยง ผมเลยพูดเสริมขึ้นมา
“อาหารของเผ่าปีศาจล้วนแต่เป็นเมนูที่ผมคิดขึ้นมาทั้งหมด ส่วนใหญ่ก็เหมือนที่ทำให้กินที่คฤหาสน์”
แค่นั้นแหละทุกคนทำตาลุกวาว และเดินตามมุเอมะไปแบบแทบจะหายใจรดต้นคอ โดยเฉพาะเอร่าท่าทางจะลืมไปแล้วมั่งว่านี้คือปราสาทจอมมาร
“โอ๋! นี้เหรออาหารจากโลกของนาย ถึงอยากจะเคยกินอาหารฝีมือผู้กล้าที่มาจากต่างโลกมาบ้างแล้ว แต่ไม่อร่อยเท่านี้เลยนะ”
“ที่โลกเก่าผม ถึงแม้จะเป็นอาหารแบบเดียวกัน แต่ก็มีเทคนิกการปรุงที่ต่างกัน เพราะงั้นรสชาติจะออกมาไม่ค่อยเหมือนกันหรอก”
“เป็นศาสตร์ที่ลํ่าลึกจริงๆ”
เวเนซ่าดูจะประทับใจกับอาหารมาก แต่ผมไม่มีอารมณ์จะมายินดีด้วย เลยคุยเข้าเรื่องต่อ
“พอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงอันเชิญผมมา และทำไมถึงมาโผล่ที่นี้ แต่ถามหน่อย ทำไมพออันเชิญผมมาแล้วกลับหายหัวไปเลย รู้ไหมผมหวิดตายไปกี่รอบแล้ว”
“อย่าพึ่งโมโหสิ ฉันมีเหตุผลอยู่”
“เหตุผลอะไร”
“เผลอหลับไปน่ะ”
“…”
ผมโมโหเลยคว้าจานอาหารของเวเนซ่ามา
“แง! อาหารของฉัน! เอาคืนมานะ!”
“เผลอหลับเนี่ยนะ จะไร้ความรับผิดชอบไปถึงไหนกัน!”
“เจ้าโง่! ฉันถึงอายุ 3 ขวบเองนะ ถึงจะมีพลังเหลือเฟื่อก็เถอะ แต่ร่างกายก็ยังเป็นแค่เด็ก ไม่สามารถรับการใช้พลังเยอะๆ ได้หรอก เพราะงั้นพอใช้เวทอันเชิญไป ร่างกายเลยวาปร์กลับไปที่ฐานลับเพื่อเข้าสู่การจำศีลเอง”
“แล้วทำไมไม่รอให้โตก่อนค่อยอันเชิญล่ะเฟ้ย!”
“ความผิดนายนั้นแหละ ใครใช้ให้แกเป็นโลลิค่อนกันล่ะ ขืนรอให้โตก่อนแกก็ไม่แลฉันแล้วสิ”
“ถึงผมจะเป็นโลลิค่อน แต่กับเด็กสามขวบมันก็เกินไปหน่อยนะ!”
“อย่ามาทำเป็นพูดดี ใครกันล่ะที่แค่เห็นจิมิเด็กสามขวบ ลึงค์ก็แข็งเป็นท่อนเหล็กแล้ว!”
พอเวเนซ่าชี้มาที่ผม สายตาทุกคนก็มองมาที่ผมอย่างเอือมระอา
แต่เรื่องหนึ่งที่แน่ชัดแล้ว ผมกับเวเนซ่าคุยกันได้ช้ามาก เพราะเอาแต่กัดกันไปกัดกันมา ผมเลยพักเรื่องที่คุยกับเวเนซ่าไว้ก่อน และหันไปถามมุเอมะแทน
“มุเอมะ ผมอยากจะกลับไปเป็นจอมมาร มีวิธีไหนพอช่วยได้บ้างไหม”
“จอมมารเหรอคะ…เอ่อ จริงๆ แล้วท่านโรมะไม่ต้องพยายามกลับไปเป็นจอมมารก็ได้ค่ะ เพราะอย่างไงพวกเราก็ตัดสินใจไว้แล้ว ว่าท่านโรมะคือผู้นำของพวกเรา ไม่ว่าจะมีสถานะจอมมารหรือไม่ ส่วนถ้าต้องมีเรื่องต่อสู้กันเกิดขึ้น พวกเราจะสู้และปกป้องท่านเองค่ะ”
“ไม่ได้หรอก”
ผมรีบส่ายหน้า
“ที่ผมอยากกลับไปเป็นจอมมาร ไม่ใช่เพราะอยากได้พลังหรืออำนาจ แต่เพราะไม่อยากให้ใครได้ตำแหน่งนี้ไปต่างหาก เกิดได้คนไม่ดีขึ้นมาจะทำอย่างไง ที่พวกเราสร้างกันมาไม่พังหมดเลยเหรอ ที่สำคัญตอนนี้สกิลมารราคะตกไปอยู่ในมือคนอื่นแล้ว แบบนี้จะไม่เท่ากับว่ายื่นตำแหน่งจอมมารให้ด้วยหรอกเหรอ”
“คือว่าเรื่องนั้น”
มุเอมะเข้าใจเหตุผลแล้ว แต่เรื่องที่คนอื่นจะมาเสียบตำแหน่งจอมมาร เธอยังไม่มั่นใจนัก
“ฮ่าๆๆ ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง”
เป็นเวเนซ่าที่กอดอกและหัวเราะออกมาอย่างกวนประสาท
“อธิบายมาสิว่าทำไม”
“ก็เพราะตำแหน่งจอมมารไม่ได้คัดเลือกเพราะคนคนนั้นมีสกิลมารน่ะสิ จะว่าไงดี สกิลมารเป็นเหมือนอุปกรณ์ปรับแต่งให้คนผู้นั้น สามารถใช้พลังของจอมมารได้อย่างเต็มที่มากกว่า พอสกิลหายไปนายถึงเรียกใช้สถานะจอมมารไม่ได้ เพราะถ้าใช้ ร่างกายนายจะโดนพลังด้านลบกลืนกินจนต้องตายในที่สุด”
“จะบอกว่าผมมีคุณสมบัติเป็นจอมมารเหรอ คนธรรมดาอย่างผมเนี่ยนะ”
“ถูกต้องแล้ว มงกุฎราชาปีศาจน่ะไม่ได้เหลือคนที่แข็งแกร่งหรือมีพลังเหนือมนุษย์หรอกนะ เหตุผลที่จอมมารถือกำเนิดจากมนุษย์ เพราะเป็นมนุษย์เป็นเผ่าที่สามารถลองรับสกิลมารทั้ง 7 ได้ดีที่สุด แต่ส่วนคุณสมบัติ จะถูกตัดสินจากความเป็นไปได้สูงสุด”
“ความเป็นไปได้สูงสุด?”
“ความเป็นไปได้ที่คนผู้นั้นจะนำพาเผ่าปีศาจไปสู่จุดที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน จะบอกว่ามงกุฎราชาปีศาจมีพลังในการมองเห็นอนาคตของคนผู้นั้นก็ว่าได้นะ เพราะทันทีที่มันส่วมลงบนศีรษะของใคร มันจะตัดสินคนคนนั้นได้ทันที แต่ฉันได้ยินว่านายแค่ส่วมครั้งเดียวก็ได้เป็นจอมมารเลยเหรอ”
“ใช่ มันทำไมเหรอ?”
“จะทำไมน่ะเหรอ ก็มันแปลกน่ะสิ จอมมารรุ่นอื่นๆ ที่ผ่านมาจนถึงตัวฉันเอง ตอนส่วนมงกุฎราชาปีศาจครั้งแรก มันเอาแต่ปฏิเสธทุกคน จะต้องใช้วิธีเจรจาต่อรองหรือบังคับขู่เข็นเช่นจะทำลายมันถ้ามันไม่ยอมยกตำแหน่งให้ พวกฉันถึงได้ตำแหน่งกันมา”
“ใช้วิธีได้สมกับเป็นจอมมารจริงๆ”
“ตามที่ว่ามา ตอนนี้นายยังคงเป็นจอมมารอยู่ เพียงแต่ไม่สามารถดึงเอาสถานะจอมมารมาใช้ได้ จะบอกว่ามงกุฎราชาปีศาจกำลังปกป้องนายอยู่ก็ว่าได้นะ เพราะงั้นลองไปส่วมมงกุฎราชาปีศาจดูอีกสักครั้ง มันคงช่วยอะไรได้นิดหน่อย”
“แล้วเธอล่ะ ไม่คิดจะเอาตำแหน่งจอมมารกลับไปเหรอ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ล่ะ ฉันเกษียณแล้ว เพราะงั้นถึงหาคนมาแทนอย่างนายไงล่ะ ส่วนฉันแค่จะทำหน้าที่เป็นคนแนะนำให้ฐานะรุ่นพี่เท่านั้น”
“อย่ามาโกหก ไม่มีใครหรอกที่จะทำอะไรให้กันฟรีๆ เธออยากจะได้อะไรบอกมาตามตรงดีกว่า เพราะถ้ารู้จักผมดี คงรู้นะว่าผมไม่ชอบการโดนทรยศ ยิ่ง
พึ่งผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมา ความเชื่อใจคนของผมมันติดลบไปแล้ว”
“นั้นสินะ งั้นจะบอกตามตรงนะ สิ่งที่ฉันอยากจะได้ก็คือ…มอบประสบการณ์เสียวมาให้ฉันซะ”
“หา!?”
“โธ่! ก็ที่โลกนี้มันมีแต่พวกน่าเบื่อ ชีวิตก่อนฉันเคยหลับนอนกับทุกเผ่ามาแล้วนับพันชีวิต แต่หาได้มีใครที่สร้างความพึงพอใจให้ได้เลยสักคนเดียว”
“ข้าเข้าใจเจ้า!”
เจ้าหญิงโชลุกขึ้นพร้อมกับทุบโต๊ะเสียงดังสนั่น
“การต้องทนอยู่อย่างเบื่อหน่ายไร้ซึ่งความสุข ต้องปล่อยให้หอยน้อยนอนร้องไห้อย่างเหงาหงอยทุกคืน เป็นชีวิตที่เหมือนตกนรกไม่มีผิด!”
“เห็นด้วยค่ะ!”
มอเรียก็ลุกขึ้นมาชูมือด้วยอีกคน
“โอ่ ขนาดเจ้าหญิงโชยังพูดแบบนี้ แปลว่าฉันเลือกคนมาผิดสินะ”
“สุดๆ ไปเลย ไว้ท่านได้ลองดูแล้วจะแทบสำลักความสุขตายเลยล่ะ”
“งั้นอย่าให้เสียเวลามาจัดกันเลยดีกว่า”
“ช้าก่อน! ผมยังไม่ได้สกิลมารราคะคืนมาเลย ขืนเธอโดนผมเสียบในสภาพนี้ มีหวังตายคาทีจริงๆ แน่”
“อย่าห่วงเลย Hp ฉันมีเหลือเฟื่อ ถึงโดนลึงค์ของนายเสียบจนร่างกายฉีกขาด ฉันก็ไม่มีทางตายได้หรอก อย่างมากก็แค่โดนวาปร์กลับไปจำศีลอีกรอบเท่านั้น”
“แล้วแบบนั้นจะทำให้เธอมีความสุขได้อย่างไงล่ะเฟ้ย! เป็นสายกูโระเหรอเธอน่ะ!”
“ฮุๆๆ ฉันแต่ชอบอะไรที่แปลกใหม่ ถึงแม้จะมีเจ็บตัวบ้างนิดๆ หน่อยๆ หรือเสียแขนเสียขาไปก็ไม่ถือหรอก”
“…ถึงเธอจะโอเค แต่ทางนี้ไม่อ่ะ อย่างไงก็ตาม จนกว่าจะได้สกิลมารราคะคืนมา ผมจะไม่มีอะไรกับเธอเด็ดขาด”
“ชิ งกจริงๆ แต่ฉันรอมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว จะรอต่ออีกไม่กี่สิบปีก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“แล้วพอจะแนะนำได้ไหมรุ่นพี่ ว่าจะเอาสกิลมารราคะคืนมาได้อย่างไง”
ใช่ ขาดสกิลนี้ไปสถานะฮาเร็มผมก็ไม่มั่นคงน่ะสิ
“ถ้าจะขโมยสกิลกลับ ไม่มีทางทำได้หรอก เพราะการขโมยสกิลเป็นอัตลักษณ์พิเศษ ที่มีแต่สกิลมารเท่านั้นที่ทำได้ แต่ตอนนี้สกิลมารทั้งหมดมีเจ้าของหมดแล้ว และฉันไม่แนะนำให้ไปตอแยกับเจ้าพวกนี้หรอกนะ”
“แปลว่าไม่มีวิธีได้คืนเลยใช่ไหม”
“เปล่า ไม่ได้พูดแบบนั้น ฉันแค่พูดถึงวิธีง่ายสุดอย่างการขโมยมันจะใช้ไม่ได้เท่านั้น แต่ยังมีวิธีอื่นนอกเหนือจากนั้นอีก เช่นการปลุกสำนึกแห่งศาสตร์”
“สำนึกแห่งศาสตร์!?”
ทั้งห้องต่างทำหน้างง มีเพียงอุเมอะกับเจ้าหญิงโชเท่านั้น ที่ทำเหมือนรู้จักว่ามันคืออะไร
“สำนึกแห่งศาสตร์ ก็คือการเข้าถึงสกิล มันต่างจากความชำนาญที่เป็นระดับมาสเตอร์ โดยต้องเข้าไปให้ถึงแกนแท้ของสกิลนั้น หรือไม่ก็ใช้สกิลนั้นจนกว่ามันจะซึมเข้าไปถึงจิตวิญญาณเลย นั้นแหละถึงจะทำให้ได้สกิลสำนึกแห่งศาสตร์มา”
“แล้วสำนึกแห่งศาสตร์มันดีกว่าสกิลปกติอย่างไงเหรอ”
“สกิลใดที่บรรลุถึงขั้นสำนึกแห่งศาสตร์แล้ว สกิลนั้นจะกลายเป็นของคนผู้นั้นโดยสมบูรณ์ ไม่สามารถแย่งชิงได้ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม และแม้จะเป็นสกิลที่ตัวเองไม่รู้และไม่เคยเรียนรู้มาก่อน แต่ถ้าเข้าถึงเงื่อนไขสำนึกแห่งศาสตร์โดยบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็จะได้สกิลนั้นมาเป็นของตัวเองทันที นายเองก็มีสำนึกแห่งศาสตร์อยู่สองอย่างแล้วนี้”
“แบบนี้เอง สกิลพ่อบ้านสมบูรณ์แบบกับ Dawn of love ถึงไม่ถูกขโมยไป กับสกิลพ่อบ้านนี้พอจะเข้าใจได้อยู่นะ เพราะทำงานบ้านทุกอย่างจนซึมเข้ากระดูกแล้ว แต่ Dawn of love นี้ได้มาอย่างไงยังไม่รู้เลย”
“Dawn of love เหรอ ได้สกิลน่าสนใจมาเหมือนกันนี้ เงื่อนไขการได้สกิลนี้มา คือการ
ได้สร้างความรักอันยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้น จะเรียกว่ารักแท้ก็ได้นะ น่าอิจฉาสาวๆ ในฮาเร็มของนายนะ ทั้งได้รับความรักจากนายและยังรักนายตอบได้จนเกิดเป็นสกิล Dawn of love ขึ้นมาได้ แล้วก็…”
เวเนซ่ายกมือขึ้นข้างหนึ่งเหมือนกำลังเปิดดูอะไรอยู่ ก่อนจะทำหน้าตกใจและหันมาพูดต่อ
“ยินดีด้วยนะ นายเป็นคนที่สามในประวัติศาสตร์ที่ได้สกิลนี้มาครอบครอง ซํ้ายังเป็นสกิลที่ต้องเปิดเงื่อนไขเองถึงจะได้มา เดี๋ยวนะ…”
เวเนซ่าหลับตาลงข้างหนึ่งขณะมองมาที่ผม
“Lv 3!!Dawn of love อัพไปถึง Lv 3 ได้ แบบนี้ก็ถือว่าเป็นคนแรกของประวัติศาสตร์แล้วสิ นี้นายใช้อะไรล่อลวงพวกผู้หญิงเนี่ย ทำไมถึงได้มีคนตกหลุมรักนายเยอะขนาดนี้ได้”
“อาหาร!”
“เซ็กส์!”
“นอนตัก!”
“นํ้าเชื้อ!”
พวกสาวๆ ผลัดกันตอบคำถามของเวเนซ่าให้ แม้แต่มุเอมะยังหัวเราะแห้งๆ ไม่ช่วยผมแก้ตัวเลย
“อะแฮ่ม ยังมีอีกสกิลที่ผมได้มาแบบเปิดเงื่อนไข แต่มันโดนขโมยไปแล้ว”
“หมายถึง Lust Mastery สินะ”
“ใช่”
“ถ้าเป็นสกิลนั้นไม่ได้ถูกขโมยไปหรอก แต่ Lust Mastery คือสกิลรากของ สกิลมารราคะ พอ
ไม่มีสกิลหลัก สกิลรากเลยหยุดทำงานไปด้วย แต่นั้นแหละคือหนทางการเอาสกิลมารราคะคืนมา”
“ได้จริงๆ เหรอ!”
“จริงสิ ที่ต้องทำก็แค่เข้าถึงสำนึกแห่งศาสตร์ของ Lust Mastery ซึ่งน่าจะง่ายกว่าสำนึกแห่งศาสตร์ระดับมารอีก แถมนายเคยเข้าถึงสำนึกแห่งศาสตร์ของมันไปรอบหนึ่งแล้ว ถึงจะหยุดทำงานเพราะสกิลหลักหายไป แต่เพียงกระตุ้นมันก็จะได้กลับมาแน่นอนถึงจะขาดสกิลหลักไปก็เถอะ จากนั้นก็ปลุกอัสโมเดียสขึ้นมาเยิ้บซะ เท่านี้ก็ได้สกิลมารราคะกลับมาแล้ว และเพราะแบบนี้ล่ะ ถึงตัวผู้ใช้สกิลมารคนอื่นได้สกิลมารราคะไปก็ใช้ไม่ได้ เพราะคนที่ใช้ได้มีแต่คนที่อัสโมเดียสเลือกแล้วเท่านั้น”
“ฟังดูง่ายจัง แต่รู้สึกจะมีปัญหาเพียบเลย”
“ไม่หรอกน่า แค่นายอึบสาวให้เต็มเหนี่ยว เดี๋ยวก็ได้กลับมาเอง”
“งั้นเริ่มกันเลย!”
เจ้าหญิงโชลุกขึ้นมาเป็นอาสาสมัครคนแรก แต่มุเอมะยกมือห้ามไว้ก่อน
“ใจเย็นค่ะ ตอนนี้ท่านโรมะควรจะไปหามงกุฎราชาปีศาจก่อนไม่ใช่เหรอคะ แถมฉันรู้สึกว่าพลังงานของปราสาทจอมมารกำลังลดลง ปล่อยไว้แบบนี้มีหวังหยุดทำงานและตกลงไปบนพื้นอีกรอบแน่”
“โอ่ จริงด้วย แต่งานนี้ฉันช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ ก็ฉันไม่มีพลังจอมมารแล้ว”
เวเนซ่ารีบออกตัวก่อน ภาระเลยตกมาที่ผมทันที
“อืม งั้นไปที่ห้องทดสอบกันเลยเถอะ”
ระหว่างที่เดินไป ผมก็ได้ขอให้เวเนซ่าเล่าความสามารถของมารที่เหลือให้ฟังด้วย เพราะไม่อยากเจอกรณีแบบมารริษยาที่ไม่ได้เตรียมวิธีรับมือเอาไว้อีก
ข้อมูลที่สรุปออกมาได้ก็คือ
อันดับหนึ่ง มารแห่งความเย่อหยิ่ง
อันดับสอง มารแห่งราคะ มีลักษณะพิเศษคือการสืบทอดและแพร่พันธุ์ ปราศจากเงื่อนไข เพียงแค่หลับนอนกับเพศตรงกันข้ามก็จะได้สืบทอดสกิลบางอย่างมาแล้ว และไม่มีผลกระทบใดๆ กับเป้าหมาย ข้อเสียมีเพียงเลือกสกิลที่จะสืบทอดไม่ได้และสืบทอดได้เพียงสกิลเดียวเท่านั้น แต่ถูกทดแทนด้วยการใช้งานที่หลากหลาย แถมเป็นสกิลมารเพียงอย่างเดียว ที่มีสกิลราก
อันดับสาม มารแห่งความตะกละ มีลักษณะของการกิน เงื่อนไขในการใช้คือการทำลายสกิลตัวเองและเป้าหมายแบบสุ่มหนึ่งสกิล จากนั้นเลือกขโมยสกิลของเป้าหมายมาได้หนึ่งอย่าง กรณีที่เป้าหมายมีจำนวนสกิลน้อยกว่า สกิลมารแห่งความตะกละจะเลือกทำลายแต่สกิลของตัวเองสองสกิลแทน เพื่อขโมยสกิลของเป้าหมาย ข้อเสียก็คือใช้มาน่าในการทำลายสกิลแต่ละครั้งเยอะมาก
อันดับสี่ มารแห่งความโลภ มีลักษณะของการถือครอง เงื่อนไขในการใช้คือการสัมผัสตัวเป้าหมาย ยิ่งสัมผัสได้นานยิ่งขโมยสกิลได้มาก ข้อเสียก็คือ ไม่สามารถใช้กับเป้าหมายเดิมได้ หลังจากแตะตัวแล้ว ถ้าปล่อยมือออกเมื่อไร จะถือว่าสิ้นสุดการใช้สกิลทันที และ
เป้าหมายนั้นจะไม่ได้รับผลจากสกิลมารแห่งความโลภอีกเลย
อันดันห้า มารแห่งโทสะ มีลักษณะของการใช้กำลัง เงื่อนไขคือเมื่อถูกโจมตีด้วยสกิลใดก็ตาม ก็จะได้สกิลนั้นมาทันที และตราบใดที่สกิลนั้นเป็นของมารแห่งโทสะ เจ้าของสกิลเดิมจะไม่สามารถใช้สกิลนั้นได้อีก ข้อเสียจะรับได้แต่สกิลประเภทโจมตีเท่านั้น และหลังจากที่ใช้สกิลที่ได้รับมาไปแล้ว สกิลจะกลับไปหาเจ้าของเดิมทันที
อันดับหก มารแห่งความเกียจคร้าน มีลักษณะของการไม่ทำอะไรเลย เงื่อนไขยิ่งเลเวลน้อย ยิ่งค่าพลังน้อย ยิ่งสู้น้อย ยิ่งใช้สกิลน้อย ยิ่งขโมยสกิลเป้าหมายได้เยอะขึ้นเท่านั้น สรุปคือ ถ้าเลเวลและค่าพลังน้อยกว่าเป้าหมาย ยิ่งเยอะเท่าไร ก็ยิ่งขโมยสกิลได้เยอะ
ขึ้นตาม และถ้าจบการต่อสู้ได้เร็วและใช้สกิลน้อยเท่าไร จบการต่อสู้แล้วก็จะขโมยได้เพิ่มขึ้นอีก ข้อเสีย ผู้ใช้สกิลแห่งความเกียจคร้าน มักจะเสียชีวิตก่อนจะได้ทันขโมยสกิล
อันดับเจ็ด มารแห่งความริษยา มีลักษณะของการช่วงชิง เป็นสกิลมารที่มีเงื่อนไขมากที่สุดและใช้ยากที่สุด เงื่อนไขมีด้วยกัน 4 อย่าง
1. ต้องรู้สกิลของเป้าหมาย อย่างน้อย 4 สกิล และต้องรู้จักชื่อสกิลที่ตัวเองยังไม่เคยได้รับมาก่อน 1 สกิล
2. ต้องได้ครอบครองบางสิ่งบางอย่างของเป้าหมาย (กรณีของโรมะคือเศษนิ้วที่โดนซารีตัดไป)
3. ต้องกำหนดเงื่อนไขบางอย่างที่แสดงถึงความด้อยของตัวเองออกมา เช่นถ้าเป้าหมายเป็น
ผู้ชายต้องอ้วนกว่าตัวเอง หรือถ้าเป็นหญิงต้องอายุน้อยกว่าตัวเอง
4. เงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อเงื่อนไขข้างต้นครบถ้วนทั้งสามอย่างแล้ว สกิลมารริษยาจะขโมยสกิลเป้าหมายมาทั้งหมดทันที โดยต้องอยู่ในระยะทำการไม่เกิน 5 กิโลเมตร แต่ทุกๆ สกิลที่ขโมยมา จะถูกหัก Hp ในอัตรา X10 ไปเรื่อยๆ เช่น 1 สกิลโดนหัก Hp 10 ถ้า 2 สกิลก็โดนหัก Hp 100 และถ้า 10 สกิลก็โดนหัก Hp 10,000,000,000 ซึ่งเฉลี่ยต่อคน มักจะมีเกิน 10 สกิลอยู่แล้ว ทำให้หลังขโมยสกิลมา ผู้ใช้สกิลมารริษยาก็จะไม่มีชีวิตรอดอยู่ใช้สกิลที่ขโมยมาได้
ตอนที่ 134 เหตุการณ์สงบ
ตอนนี้ผมอยู่ในห้องทดสอบ พอเข้าก็รู้สึกได้ทันทีว่าชุดเกราะจอมมารมีการตอบสนองกับผม ส่วนคนอื่นไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้เลย เพราะเกราะจอมมารปล่อยพลังด้านลบที่รุนแรงออกมา จึงได้แต่ยืนรอกันอยู่ที่ด้านนอก
ผมเดินไปหยิบมงกุฎราชาปีศาจขึ้นมา ซึ่งตอนนี้มันคือส่วนหมวกเกราะของเกราะจอมมาร และพอใส่มันทุกอย่างก็มืดลง พร้อมกับมีเสียงพูดผ่านมาในความมืด
“อยากให้ข้าช่วยอะไรเหรอ ท่านจอมมาร”
“นึกว่านายรู้อนาคตหมดแล้วซะอีก”
“ฮ่าๆๆ ผิดแล้ว ข้าเห็นเฉพาะปลายทางที่ท่านจะไป แต่ข้าไม่อาจจะเห็นทางที่ท่านใช้เดินไปได้”
“แบบนี้เอง…งั้นจนกว่าจะได้สกิลมารคืนมา พอมีวิธีไหนใช้ผมใช้สถานะจอมมารได้บ้างไหม อย่างน้อยก็อยากจะมีพลังไว้เติมให้ปราสาทจอมมารทำงานอยู่ได้น่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ข้าจะมอบฟังชั่นพิเศษให้ โดยท่านจะอยู่ในสถานะจอมมารแบบเดิม เพียงแค่จะโดนลดพลังจนเหลือแค่ 1 ใน 10 และสกิลทั้งหมดจะโดนล็อคเอาไว้ นี้คือมากสุดที่ร่างกายของท่านรับไหวในตอนนี้”
“แล้วจะพอเติมพลังให้ปราสาทไหม”
“เกินพอ แต่จำไว้อย่าง การฟื้นพลังของท่านจะไม่ได้รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน เพราะขาดสกิลมารราคะไป ซํ้ายังจำเป็นต้องพักผ่อนอย่างเพียงพอด้วย และจนกว่าจะได้สกิลมารราคะคืนมา ข้าไม่อาจติดต่อ
ระยะไกลได้แบบเดิม ถ้าท่านต้องการพลังจากเกราะของจอมมาร ต้องมาหาข้าที่นี้เอง”
“เข้าใจแล้ว แค่นี้ก็ช่วยได้มากแล้วล่ะ ขอบใจนะ”
“ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ตัวตนของข้ามีไว้เพื่อท่านอยู่แล้ว ท่านจอมมาร”
หลังจากนั้นผมก็ไปที่ห้องเครื่อง เพื่อเติมพลังงานให้แกนกลาง งานนี้พวกสาวๆ เลยได้เดินทัวร์รอบปราสาทเลย แต่ท่าทางดูผ่อนคลายลง หลังจากได้เห็นชีวิตประจำวันของเผ่าปีศาจอย่างใกล้ชิด แถมการได้เห็นมอนสเตอร์ระดับตำนานเดินกันยั้วเยี้ยแถมยังกระทบไหล่ได้ เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีใครเคยคิดฝันมาก่อน
กินเองเหมือนได้กลับบ้าน เพราะเธอเป็นมอนสเตอร์ดันเจี้ยน และพลังที่แผ่ออกมาจากตัว
ปราสาทจอมมาร มันทำให้เธอรู้สึกสดชื่นและแข็งแรง ตรงกันข้ามกับดอเรีย ที่โดนกลิ่นอายของปราสาทกดดันจนต้องเดินตัวงอ
แต่ผมคุยกับเธอแล้ว ว่าจะไม่บังคับเผ่าเซนทอร์ให้เข้าร่วมหรือสวามิภักดิ์ แต่จะยกที่ดินในแดนปีศาจซึ่งเผ่าเซนทอร์อาศัยอยู่ในปัจจุบัน ให้เป็นพื้นที่ปกครองตัวเองของเผ่าเซนทอร์ไป โดยแลกกับภาษีเนื้อสัตว์หรือผลไม้บางส่วนที่เซนทอร์หามาได้
นั้นให้ดอเรียดีใจจนนํ้าตาไหลเลย เพราะเผ่าเซนทอร์เป็นชนเผ่าเร่ร่อนมาตลอด ปักหลังสร้างเมืองที่ไหนก็อยู่ได้ไม่ค่อยนาน แถมภาษีที่ผมคิด ก็ไม่ได้ลำบากอะไรกับเผ่านักล่าอย่างเซนทอร์อยู่แล้ว พอผมให้เมยอาร่างสัญญาให้แล้ว ดอเรียก็ขอนำมันกลับไปแจ้งข่าวให้ที่หมู่บ้านเธอทันที แถมเธอไม่ได้กลับไปนานแล้วด้วย เลย
จะถือโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ตัวผมเองก็อยากไปด้วยแต่ติดงานหลายอย่าง เลยส่งตัวแทนไปแทน ซึ่งก็คือ หัวหน้าองค์รักษ์โกรมบิม
ส่วนเรื่องของเวเนซ่า ผมต้องการทำให้ชัดเจน เพราะพวกลูกน้องเก่าแก่ของเวเนซ่าจะได้ไม่สับสน เลยเรียกชุมนุมครั้งใหญ่ และประกาศบนบัลลังก์ให้ทุกคนทราบโดยพร้อมกัน ว่าเวเนซ่าเกษียณจากหน้าที่จอมมารแล้ว แต่ยังเป็นผู้อาวุโสของเผ่าปีศาจอยู่ และจะคอยเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำกับผมแทน
และมุเอมะได้เลื่อนตำแหน่ง จากผู้บัญชาการ มาเป็นราชินีเผ่าปีศาจ และมอบอำนาจสิทธิ์ขาดให้กับเธอ ทั้งนี้ผมทำไปเพื่อรักษาความมั่นคงของเผ่าปีศาจไว้ เพราะเกิดวันใดวันหนึ่งโดนเล่นงานจน
เสียชีวิตหรือเสียตำแหน่งจอมมารไป มุเอมะก็ยังจะนำเผ่าปีศาจไปยังเส้นทางที่ควรเดินไปได้
เหตุการณ์ที่ผมโดนเล่นงานในครั้งนี้ ถือเป็นความผิดพลาด แต่ในความผิดพลาด ก็ทำให้ผมได้เห็นรูรั่วที่ต้องเข้าไปอุด
นอกจากนี้ผมยังเริ่มคิดถึงแนวทางในการสร้างหน่วยปฏิบัติการลับขึ้นมา โดยคัดเอาเผ่าปีศาจที่เป็นมนุษย์หรือสายพันธุ์ที่ใกล้เคียง ซึ่งสามารถเข้าออกเมืองของมนุษย์ได้อย่างไม่ผิดสังเกต เข้ามาในหน่วยและทำการฝึกซ้อมการปฏิบัติการณ์พิเศษ เช่นเกิดกรณีที่ผมทำอะไรไม่ได้และโดนตามล่าตัวแบบคราวนี้ ทางเผ่าปีศาจก็จะได้ส่งหน่วยปฏิบัติการลับเข้าไปช่วยเหลือผมออกมาได้ โดยไม่มีผลกระทบมาถึงเผ่าปีศาจโดยตรง
แผนกวิทยาการเองก็เริ่มคิดค้นอุปกรณ์เวท ที่ใช้สำหรับปลอมตัวขึ้นมาแล้วเหมือนกัน พูดถึงแผนกนี้แล้ว ผมก็ไปขอฉกเอาแท่นวาปร์ กับอุปกรณ์ใหม่ๆ ติดไม้ติดมือกลับมาด้วย และยังมีกระซิบบอกให้เริ่มค้นคว้า วิธีเจาะผ่านระบบป้องกันของเมืองกรอซ่าไว้ด้วย เพราะคิดว่าเมืองอื่นๆ ก็น่าจะมีระบบต่อต้านเผ่าปีศาจแบบนี้ติดอยู่เหมือนกัน ถึงจะไม่ได้คิดจะไปบุกเมืองไหน แต่เตรียมการรับมือไว้ก็ไม่เสียหายอะไร
ส่วนเรื่องแหวนสื่อสารผมได้อันใหม่มาจากมุเอมะ โดยที่คราวนี้อัพเกรตขึ้นมาอีกระดับ ทำให้มีสกิลป้องกันการโจมตีระยะไกลแบบกำหนดจำนวนครั้งไว้ด้วย
เรื่องปีเตอร์กับแก็งค์เด็ก ผมต้องเรียกมาคุยกันนอกรอบ และถามความสมัครใจ เพราะอย่างไงปีเตอร์ก็เป็นผู้กล้า แต่คำตอบกลับผิดคาด ปีเตอร์ยังคง
เป็นสมาชิกกิลของผมต่อไป แต่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของเผ่าปีศาจ เขายังคงยืดถือแนวทางของผู้กล้า โดยจะจับตาดูเผ่าปีศาจอย่างใกล้ชิด ถ้าเมื่อไรเห็นว่าเริ่มเป็นภัยต่อโลกใบนี้ เขาก็จะหันดาบมาหาทันที ซึ่งผมตกลงในการตัดสินใจของเขา ดีซะอีกเหมือนมีผู้ตรวจการคอยจับตาดูอยู่ใกล้ๆ ทำให้เหมือนมีคนคอยเตือนสติและเข้ามาห้ามได้ เมื่อผมทำอะไรนอกลู่นอกทางจนเกินไป
พอทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็เตรียมเดินทางกลับ แต่จริงๆ ผมเสนอให้พวกสาวๆ อยู่พักที่นี้ เพราะมันปลอดภัยและมีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะแยะ (มีทั้งสปา บ่อนํ้าพุร้อน เครื่องเล่น จักรยาน) ส่วนเมืองกรอซ่าตอนนี้ถึงกลับไปก็ต้องทนใช้ชีวิตลำบาก
ไปช่วงหนึ่ง กว่าจะฟื้นคืนความสะดวกสบายแบบเดิมมาได้
แต่สาวๆ ทุกคนพร้อมใจจะกลับไปกับผม โดยที่คราวนี้มีเวเนซ่าตามไปด้วย ส่วนอลิซาเบธผมเองก็อยากจะให้ตามไปด้วยนะ แต่สงสัยโดนเวเนซ่าส่งตัวไปไกลสุดขอบโลกเลยล่ะมั่ง เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย
เมื่อกลับมาถึงผมก็เข้าจวนเจ้าเมืองทัน ซึ่งมันตั้งอยู่ในยานบ้านพักเศรษฐี และอย่างที่คิด ปัญหามีให้ตามแก้เพียบ อย่างแรกเลย ผมขาดกำลังคน
ทันทีที่รู้มีเผ่าปีศาจมาเป็นเจ้าเมือง พวกขุนนางกับข้าราชการส่วนใหญ่ก็พากันลาออก และเก็บของเดินทางออกนอกเมืองไปแล้ว แถมยังกวาดเอาเงินกับ
ทรัพย์สินของทางการไปจนหมด งานนี้ผมเก็บชื่อพวกมันไว้ตามไล่เบี้ยทีหลัง
นอกจากนี้ทัพอัศวินเองก็ปิดทำการและย้ายออกไปด้วยเช่นกัน ทัพอัศวินถือได้ว่าเป็นกำลังหลักในการป้องกันเมือง ถ้าขาดทัพอัศวินไปเมืองก็เหมือนไร้การป้องกันและจะไม่มีใครมาดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเมืองด้วย
ยังดีที่มีพวกคนหนุ่มสาว ที่เป็นขุนนางและข้าราชการบางส่วน ตกลงใจอยู่ต่อเพื่อต้องการเสี่ยงดวงกับผมดู คงเพราะเบื่อหน่ายกับระบบเดิมๆ ที่มีแต่ผลิตคนยากจนดูแลตัวเองไม่ได้ออกมา จนแทบจะล้นสลัมอยู่แล้ว
ผมเลยต้องเปิดประชุมเป็นการเร่งด่วน และให้ปีเตอร์ไปเชิญบรรดาขุนนางมา เพราะเขาเองก็เคยเป็นขุนนางมาก่อน ในแวดวงสังคมเลยพอจะรู้จักมักจี่กัน
ส่วนพวกแก็งค์เด็กผมให้ตามพวกมิรินลงดันเจี้ยนไปอีกรอบ เพื่อไปติดตั้งแท่นวาปร์อันใหม่ที่โรงแรม
ขุนนางที่เหลืออยู่ตอนนี้มีแค่สามตระกูลเท่านั้น และยังเป็นพวกขุนนางระดับล่างๆ ด้วย และพอมาถึงผมก็ขอตรวจสอบทรัพย์สินก่อนเลย ซึ่งพวกเขาก็รู้อยู่แล้วซํ้ายังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ที่ต้องทำแบบนี้เพราะต่อไปจะมีเงินจำนวนมากไหลผ่านมือพวกเขาไป เพื่อทำการซ่อมแซมและพัฒนาเมือง ผมไม่ต้องการให้มีการคอรัปชั่น ถ้ามีการรํ่ารวยผิดปกติ มันจะทำให้ตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
แต่ผมก็คุยกันแล้ว ว่าถ้าทำงานกับผมพวกเขาจะได้แค่เงินเดือนตามปกติ จะไม่ได้รํ่ารวยแบบขุนนางทั่วไป และยังจะต้องโดนตรวจสอบบ่อยๆ แต่พวกเขากลับยินดีทำงานร่วมกันผม เหตุผลเพราะพวกเขาทั้งสามตระกูลเป็นคนสร้างเมืองกรอซ่าขึ้นมากับมือ เลยมีความปรารถนาทำเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนอยู่แล้ว
เมื่อได้คนมีใจทำงานมาแบบนี้ ผมจึงมอบหมายตำแหน่งและงานให้ทันที โดยจะแต่งตั้งพวกเขาเป็นหัวหน้ากระทรวงทั้งสามที่ผมจะตั้งขึ้นมาก่อน โดยเลือกเอาที่มีความสำคัญสุดมา ซึ่งก็มีกระทรวงโยธาฯ กระทรวงทรัพยากร และกระทรวงสาธรณสุข
โดยแต่ละกระทรวงจะมีหน้าที่สำคัญที่ต้องทำ กระทรวงโยธาฯ จะรับหน้าที่สร้างกำแพงใหม่รวมถึง
ซ่อมแซมบ้านเรือน และในอนาคตจะต้องวางผังเมืองใหม่กับสร้างถนนด้วย
กระทรวงทรัพยากร ถือว่าเป็นกระทรวงที่งานหนักสุด เพราะต้องดูหลายอย่าง ทั้งพื้นที่การเกษตรและปสุสัตว์ แรงงาน รวมถึงการทำงานของกิลต่างๆ ซึ่งจากนี้ผมจะนับเข้าเป็นทรัพยากรของเมืองด้วย และเมื่อทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยแล้ว ผมจะให้นับมอนสเตอร์รอบเมืองกรอซ่า มาเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน
กระทรวงสาธรณสุข มีงานหลักๆ เลยในตอนนี้ก็คือการดูแลคนเจ็บ จัดหายามารักษา หาที่อยู่ให้คนไร้บ้าน และเยียวยาผู้สูญเสีย กระทรวงนี้ต่อไปจะมีงานอีกมากมายที่ผมจะให้พวกเขาทำ
“ผมประทับใจการวางแผนงานของท่านนะครับ แต่ถ้าทำทุกอย่างนี้พร้อมกันหมด ต่อให้พวกผม
ช่วยกันควักทรัพย์สินที่มีทั้งหมดออกมา ก็ไม่เพียงพอจะทำตามที่ท่านสั่งได้หรอกครับ”
ขุนนางกระทรวงโยธาฯ เอ่ยขึ้น เขามีชื่อว่า ลอร์ด เฮนทรัส เขามีลูกน้องราว 200 คน และยังมีทาสแรงงานอย่างเผ่ายักษ์อยู่อีกร้อยกว่าคน ผมได้ยินจากปีเตอร์ว่า ลอร์ด เฮนทรัสเป็นคนที่ดูแลทาสดี อย่างน้อยก็มีการให้อาหารกินอิ่มท้องและไม่มีการทรมานทาส เขาเป็นคนฉลาดและซื่อตรง แต่เพราะซื่อตรงเกินไปหน่อย เลยมักจะทะเลาะเบาะแว้งกับขุนนางคนอื่นๆ ทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนและเส้นสายเป็นของตัวเอง
“ถ้าเรื่องเงินพวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง”
ผมพยักหน้าให้เดเม่ เธอเลยเดินเข้ามาและเทกระเป๋าลง เหรียญจำนวนมหาศาลไหลออกมาไม่หยุด นี้เป็นเงินส่วนหนึ่งที่ผมหยิบติดมือติดไม้มาจากปราสาท
จอมมาร ปกติก็ไม่คิดจะหยิบยืมเงินของที่นั้นมาใช้หรอก แต่เห็นมุเอมะบอกว่ามันเริ่มจะล้นคลังสมบัติแล้ว
ดันเจี้ยนบางแห่งของเผ่าปีศาจสามารถผลิตเงินเองได้ ในแต่ล่ะวันจะมีเงินเข้ามาเติมในคลังสมบัตินับพันล้านรีล ไม่นับพวกเงินที่ไม่ทราบแหล่งที่มาอีกเพียบ ไม่แปลกที่มันจะล้นคลังสมบัติได้
แถมตอนนี้ทั้งวัตถุดิบและอาหาร ก็ตกอยู่ในมือของเจ้าหญิงโชจนเกือบหมด เพราะงั้นถ้าคิดจะทำอะไร เพียงแต่ชี้นิ้วออกไปก็ทำได้ในทันที
“พวกคุณสามารถเบิกเงินรวมถึงสิ่งของจำเป็นไปใช้ได้เท่าที่ต้องการ แต่ว่าต้องทำบัญชีทุกอย่างมาตามความเป็นจริง และถ้าพวกคุณพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าได้ทำงานกันอย่างจริงจังและซื่อสัตย์ ต่อไปผมจะมอบการดูแลรวมถึงผลประโยชน์จากกิจการต่างๆ ให้ เชื่อเถอะสิ่ง
ที่พวกคุณจะได้จากผม มันมากกว่าเงินที่เห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้ ที่สำคัญมันคือเงินเย็นที่จะนอนกอดได้อย่างเป็นสุข ไม่ใช่เงินร้อนที่ต้องถือไปอย่างกังวลใจ”
พวกขุนนางฟังที่ผมบอกจนอึ้งไปตามๆ กัน
“ขอบคุณที่ท่านเจ้าเมืองคิดถึงพวกเรา แต่ขอเพียงท่านบริหารจัดการเมืองนี้ให้เป็นอย่างที่ควรเป็นได้ พวกเราก็ไม่ต้องการอะไรตอบแทนเลยค่ะ”
ขุนนางกระทรวงสาธรณสุข ก้มหัวลงและกล่าวทั้งนํ้าตา เธอคือ ลอร์ด ซีคารี ตระกูลของเธอเป็นเจ้าเมืองมาแล้วหลายรุ่น จนเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทางเมืองหลวงได้ส่งตระกูลขุนนางใหญ่เข้ามา และให้ดำเนินงานอย่างลับๆ ทำให้ตระกูลของเธอถูกลดถอนกำลังลง จนทุกวันนี้แทบจะไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว เป็นตระกูลขุนนางตกอับก็ว่าได้ เธอมีลูกน้องเพียงแค่สิบกว่า
คน และล้วนแต่เป็นคนรับใช้ ในขุนนางทั้งสามคนเธอมีอายุมากสุดคือราวๆ สามสิบต้นๆ ส่วนอีกสองคนน่าจะพึ่งยี่สิบ สองคนที่เหลือเลยค่อนข้างให้ความเคารพเธอพอสมควร
“แต่ผมไม่รู้ว่างานจัดการทรัพยากรที่ว่า ต้องทำอะไรบ้าง จะไม่เป็นปัญหาเหรอครับ”
ขุนนางกระทรวงทรัพยากรถามขึ้นมาบ้าง เขาคนนี้มียศเป็นถึงท่านเคาท์ มีชื่อว่า เคาท์โอคูลอน เขาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างอ้วนกลม แก้มนี้อย่างกะซาลาเปา ตัวเตี้ยแถมยังมีบุคลิกไม่เชื่อมั่นในตัวเอง แต่ปีเตอร์เอาประวัติของชายคนนี้มาให้อ่านแล้ว ผมประทับใจมากทีเดียว เพราะตระกูลของเขาเกือบล่มสลายไปแล้ว แต่เขาที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงแค่นักเรียนอยู่ กลับเข้ามาจัดการบริหารทรัพย์สินและหนี้สินภายในบ้านด้วยตัวเอง
จนรอดพ้นวิกฤตมาได้ ความสามารถด้านการจัดการของเขาเหมาะสมกับตำแหน่งเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่มีปัญหา ช่วงแรกผมจะบอกให้ว่าต้องทำอะไรและทำอย่างไง แต่พวกคุณต้องลงพื้นที่ให้มากๆ การเรียนรู้จากการทำงานจริง จะเป็นประสบการณ์ที่สอนให้คุณทำงานเป็น เชื่อว่าไม่นานพวกคุณจะบริหารงานในกระทรวงของตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งผมอีก”
พอผมบอกแบบนี้ไปพวกเขาต่างขานรับกันอย่างจริงจัง เพราะคงอยากได้โอกาสพิสูจน์ความสามารถของตัวเองมานานแล้ว
นอกจากนี้ผมยังคืนยศให้กับปีเตอร์ ตอนนี้เขากลับมาเป็นขุนนางอีกครั้งโดยมียศเป็นลอร์ด ที่จริงผมจะให้เขานั่งเก้าอี้กระทรวงกลาโหม คอยจัดการเรื่องกองทัพ แต่เจ้าตัวดันปฏิเสธ บอกว่ายังอยากเป็นนักผจญ
ภัยอย่างเดิม ซึ่งผมก็ค่อนข้างชื่นชมปีเตอร์ ที่เขาไม่หลงไปกับอำนาจและเงินทองแบบเมื่อก่อนแล้ว คนที่ทำผิดแล้วสำนึกได้ และยังพยายามปรับปรุงตัว เป็นคนที่น่ายกย่องที่สุด
ผมเลยต้องมองหาคนใหม่ที่จะมารับหน้าที่ จริงๆ ดาเซสน่าจะเหมาะ แต่ผมอยากจะให้เธอรับผิดชอบเรื่องการสร้างกองอัศวินขึ้นมาใหม่ เพราะอาชีพเธอมาสายนี้อยู่แล้ว หลังจากมองซ้ายมองขวาไปก็ไม่เห็นว่าใครจะเหมาะ ไม่สิ มีอยู่คนหนึ่ง…อลิซาเบธไง ไว้เดี๋ยวถ้าเธอหาทางกลับมาได้แล้ว ค่อยว่ากันอีกที
ส่วนเมยอาก็แน่นอนว่าต้องดูแลกระทรวงการคลัง เพราะผมไม่ไว้ใจใครให้ถือเงินให้เท่ากับเธอและเดเม่อีกแล้ว และจากที่โดนแฮ็ปเงินไปคราวก่อนจากร้านแลกเปลี่ยนเงิน ผมเลยเขียนแผนการ
สร้างธนาคารให้เธอไปจัดการด้วย จริงๆ ถ้าใช้อำนาจไปขู่ ก็คงได้เงินคืนมาหรอก แต่ผมมันเป็นประเภทชอบบู๊ล้างพล่าน ถ้าโดนชกมาหนึ่งหมัด ต้องชกคืนสองหมัด งานนี้ผมเลยกะทำลายระบบของร้านแลกเปลี่ยนเงินด้วยระบบธนาคาร เอาแบบให้ย่อยยับจนไม่สามารถกลับมาเปิดกิจการได้อีกเลย
แต่ตำแหน่งที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งใหญ่กว่าผมที่เป็นเจ้าเมือง ก็คือตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมยกให้อาเดไลท์ไป ตำแหน่งนี้ไม่เคยมีมาก่อน ผมเลยอธิบายไปสั้นๆ ว่า ถ้าเจ้าเมืองคือเจ้าของเมือง นายกรัฐมนตรี คือตำแหน่งผู้บริหารจัดการเมือง มีสิทธิในการตัดสินใจได้ทุกเรื่อง กระทั่งสั่งงานกับเจ้าเมืองก็ได้ หัวหน้าทุกกระทรวงต้องขึ้นตรงกับเธอ
อาเดไลท์เข้าใจความสำคัญของหน้าที่นี้ดี เธอจึงรับมันไว้อย่างเต็มใจ เพราะด้วยอำนาจที่มีในตอนนี้ เธอสามารถช่วยงานและแบ่งเบาภาระของผมไปได้เยอะเลยทีเดียว ที่สำคัญเธอรู้ว่าผมต้องการปูอำนาจให้ จากนี้ไปต่อให้เธอจะไม่ใช่สายเลือดกษัตริย์ ก็จะมีคนจำนวนมากที่หนุนหลังเธอ
ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ ยังคงทำหน้าที่ตามปกติของตัวเองไป
เจ้าหญิงโชเธอไม่ชอบบรรยากาศในเมือง เลยไปเรียกลูกน้องมาและให้ก่อสร้างคฤหาสน์ขึ้นมาใหม่ ส่วนวังมังกรของเธอถึงจะโดนไฟไหม้ไปแค่บางส่วน แต่เธอก็สั่งให้ทุบทิ้งและสร้างใหม่เหมือนกัน ถ้าสร้างเสร็จเมื่อไร ผมก็ว่าจะย้ายกลับไปอยู่ที่คฤหาสน์เหมือนเดิม
ส่วนเอร่า…ผมลงโทษเธอด้วยการให้ไปนั่งที่ใจกลางเมือง เพราะถ้าเธอสาปได้ ก็ต้องล้างคำสาปได้ ผมเลยสั่งให้เธอไปนั่งล้างคำสาปจนกว่าเมืองจะกลับมาเป็นปกติ และส่งทหารที่จ้างมาชั่วคราวไปเฝ้าไว้ด้วยสี่คนเพื่อไม่ให้เธอหนีได้
เพียงแค่นั่งเฉยๆ นํ้าที่เน่าเสียในเมืองก็ค่อยๆ กลับมาใส แต่ยังต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะกลับสู่สภาพปกติได้ ระหว่างนั้นก็มีคนเอาของมาถวายให้เอร่า พร้อมกับสมาชิกลัทธิบูชาเทพได้เพิ่มจำนวนขึ้น เอร่าถูกเรียกว่าเทพธิดาแห่งภัยพิบัติและการชำระล้าง
แต่การถวายของให้และมาคุกเข่าสวดมนต์ต่อหน้าเอร่า ทำให้พลังของเธอเพิ่มขึ้น เห็นว่าพวกเทพจะดูดซับพลังแห่งศรัทธาได้ เพราะงั้นเทพบางคนเลยมา
ช่วยงานเปลี่ยนอาชีพให้กับกิลนักผจญภัย เพื่อสร้างแรงศรัทธาของตัวเองในหมู่นักผจญภัย
เห็นท่าทางสบายอกสบายใจของเอร่าแล้ว ถึงจะทำให้ผมโมโหเพราะมันดูไม่เหมือนการลงโทษ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องดีผมก็ไม่รู้จะไปห้ามทำไม
ในวันถัดมาแท่นวาปร์ก็ถูกติดตั้งและกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ผมเลยเดินทางไปที่โรงแรมยูโทเปียด้วยตัวเอง โดยมีแค่ฟรานกับเดเม่ตามไปแค่สองคน
แต่พอมาถึงผมก็ต้องแปลกใจ เพราะโรงแรมยังคงเปิดให้บริการตามปกติ และยังคงมีนักผจญภัยมาใช้บริการแน่นเหมือนเคย มีบางส่วนของตัวโรงแรมที่กำลังมีการซ่อมแซม แต่เพียงแค่พื้นที่เล็กๆ เท่านั้น
ก่อนจะเรียกประชุมพนักงาน ผมเรียกอานูบิส กับพวกสาวๆ มาคุยกันก่อน
ทีแรกผมนึกว่าอานูบิสจะเป็นคนจัดการปัญหาให้ แต่เจ้าตัวบอกว่าแทบไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากตามจับเจ้าพวกคนร้ายที่หนีไปกลับมา แต่เหตุการณ์ส่วนใหญ่สงบลงได้อย่างรวดเร็ว ด้วยฝีมือนักผจญภัยที่พักที่นี้ และบรรดาพนักงานทุกคน ซึ่งพวกเขามองที่นี้เหมือนเป็นบ้านของตัวเอง เวลาเกิดเรื่องเลยร่วมมือกันจัดการได้อย่างรวดเร็ว
การก่อเหตุที่เกิดขึ้น ก็มีวางเพลิงสองจุด ซึ่งไหม้ห้องพักไปเพียงสามสี่ห้อง ตอนนี้กำลังซ้อมอยู่ แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต มีแต่สำลักควันนิดหน่อย แต่แขกส่วนใหญ่ก็เป็นนักผจญภัย พวกนี้อึดอยู่แล้วเลยไม่เป็นไรกันมาก
นอกจากนี้ก็มีพวกคนร้ายที่รวมกลุ่มกันบริเวณลานอาหาร และบุกเข้าโจมตี แต่โดนพวกโกร่าอัดซะจนพิการกันไปเลย และยังมีพวกที่แฝงตัวเข้ามาเป็นแขกพยายามจะจับแขกคนอื่นเป็นตัวประกันแต่ก็ได้พวกยามกับพนักงานช่วยกันจัดการหมด เพราะส่วนใหญ่เป็นแขกประจำที่คุ้นๆ หน้ากันอยู่แล้ว และพนักงานเองก็ต้องจดจำนิสัยของลูกค้าแต่ละคนไว้ คนไหนที่มีพิรุษเลยโดนจับตามองตั้งแต่แรก เรียกได้ว่าทำงานกันดีจนไม่มีช่องให้คนร้ายก่อเหตุได้เลย
ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นนักผจญภัยวาปร์มาจากกิลนักผจญภัย พวกนี้เข้ามาบุกโจมตีเพื่อจะจับตัวคนเป็นหลัก แต่แม้ในกลุ่มนักผจญภัยเองก็มีเสียงแตก พวกที่มาด้วยกันบางส่วนกับเล่นงานพวกเดียวกันเอง และยังมีพวกนักผจญภัยที่เป็นลูกค้าเข้าร่วมวงด้วย ถึง
จะมั่วได้ใจ แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็สงบและจับตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้หมด
“ข้าได้สอบสวนพวกมันทุกคนแล้ว ได้ทั้งชื่อคนอยู่เบื้องหลังและกิลที่คอยบงการด้วย”
“ส่งชื่อพวกนั้นให้ผม เดี๋ยวทางนี้จัดการเอง”
อานูบิสพยักหน้ารับพร้อมกับส่งกระดาษที่จดรายชื่อไว้มาให้
“แล้วจะทำอย่างไงกับพวกที่จับมา”
“…ปล่อยพวกนักผจญภัยไป พวกนี้รับเงินมาทำตามหน้าที่ ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับพวกเรา ส่วนพวกที่เหลือพอแยกได้ใช่ไหมว่าคนไหนมีเจตตาร้าย”
“ของถนัดของข้าเลย”
“งั้นยกให้ จะเอาไปทำอะไรก็ตามสบายเลย”
อานูบิสแสยะยิ้มที่มีเขี้ยวเต็มปาก ก่อนจะหายตัวไป
ต่อไปเนี่ยล่ะงานยาก ผมหันไปมองพวกสาวๆ พลางคิดว่าพวกเธอจะยอมรับได้หรือเปล่า ดาเซสเองก็เป็นอัศวินและนักผจญภัย เป็นศัตรูกับเผ่าปีศาจตั้งแต่แรก ส่วนของซาคุยะก็เป็นผู้กล้า และผมก็เป็นเป้าหมายหลักของเธอ ยูรินเป็นเผ่าดวาฟ ซึ่งเผ่าดวาฟเคยถูกเผ่าปีศาจทำลายบ้านเกิด จนต้องหนีมาอยู่ร่วมกับมนุษย์ ฉะนั้นมีความแค้นฝั่งใจกับเผ่าปีศาจแน่ๆ อยู่แล้ว พวกโกร่ากับพวกเนปฟ่าก็เหมือนกัน โดยจุดยืนแล้วพวกเราเป็นศัตรูกัน ยิ่งลุงออกัสยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเราเป็น
แค่คู่ค้ากันเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจนจะยอมย้ายข้างเลย
คริสติน่าสบตาผม เหมือนจะบอกใบ้ว่าจะให้เตรียมการรับมือไว้ไหม เผื่อกรณีที่มีคนโกรธแล้วเข้ามาทำร้ายผม แต่ผมส่ายหน้าและให้คริสติน่ารออยู่เฉยๆ เหมือนกับพวกมิรินและคนอื่นๆ ที่รู้เรื่องแล้ว
พวกสาวๆ รู้แล้วว่าผมกำลังจะพูดเรื่องซีเรียส เลยพากันเงียบและตั้งใจฟัง ผมกลั้นใจเหมือนกำลังจะกระโดดลงนํ้า ก่อนจะเล่าความจริงไปทั้งหมด
ยูรินเป็นคนแรกที่ยกมือขึ้นปิดหูเหมือนไม่อยากจะได้ยิน ผมหยุดเล่าลงและรอเธอทำใจให้ได้ซะก่อนค่อยเล่าต่อ ดาเซสนั่งฟังเฉยๆ ไม่มีการตอบสนองอะไร ส่วนซาคุยะหน้าเปลี่ยนสีไปมาตลอดเวลาที่ผมเล่า
พอเล่าจบดาเซสก็ลุกขึ้นมาเป็นคนแรก เธอตรงมาหาผมอย่างรวดเร็ว ตอนแรกคิดจะโดนต่อยเข้าให้สักหมัดสองหมัด แต่ที่ดาเซสทำคือกอดผมเอาไว้
“คำตอบของฉันชัดเจนพอไหม”
“อืม ขอบคุณนะ แต่จะดีเหรอแบบนี้”
“ฉันรู้แต่แรกแล้วล่ะว่าโรมะน่าจะเกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นถึงจอมมาร แต่ไม่เห็นเป็นไรเลย โรมะจะเป็นอะไรก็ตาม ก็ยังคงเป็นคนที่ฉันสาบานว่าจะรักและภักดีไปชั่วชีวิต”
ระหว่างที่ผมกับดาเซสกอดกันกลม ยูรินก็เดินมากระตุกชายเสื้อ
“ความแค้น…ล้างแค้นไปก็ไม่ได้อะไรคืนกลับมา ขออยู่กับนายท่านเหมือนเดิม”
“ดีใจจังที่ยูรินคิดแบบนี้ และไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเธอต้องการผมจะสร้างเมืองของชาวดวาฟขึ้นมาใหม่”
“จริงเหรอ!”
ไม่ใช่แค่ยูรินแต่บลูมเองก็ดีดตัวลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ภูมิลำเนาเดิมของเผ่าดวาฟอยู่ในหุบเขากะโหลกเหล็ก ซึ่งตอนนี้กลายเป็นดันเจี้ยนและเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนปีศาจ เรื่องปิดดันเจี้ยนและฟื้นฟูพื้นที่ให้ไม่ใช่งานที่ยากหรอก แต่ที่นั้นอยู่ในดินแดนเผ่าปีศาจ พวกดวาฟจะยอมกลับไปอยู่ไหม”
“…นายท่านจะทำร้ายพวกเราไหม”
“นอกจากคนที่ผมต้องไปคิดบัญชีสองสามรายแล้ว เผ่าดวาฟที่เหลือผมไม่มีเหตุผลต้องไปทำร้ายเลย ไม่สิ จะอนุรักษ์ไว้เลยล่ะ”
พวกสาวๆ รู้ดีว่าผมหมายถึงอะไร สำหรับโลลิค่อนอย่างผม สาวๆ เผ่าดวาฟคือสมบัติของโลกใบนี้ ผมจะไม่ยอมให้สูญเสียไปแม้แต่คนเดียว! แต่ความคิดผมที่ถูกสาวๆ มองทะลุ ทำให้พวกเธอมองผมอย่างเอือมระอาอีกครั้ง
“พวกเราจะได้แผ่นดินแม่คืนมาแล้ว!”
ยูรินหันไปกอดกันกับบลูมทั้งนํ้าตา ที่พวกเธอดีใจผมก็ดีใจด้วย แต่งานนี้มุเอมะคงดีใจด้วยไม่ไหว เพราะนี้เท่ากับต้องสูญเสียดันเจี้ยนใต้ปกครองรวมถึงแหล่งรายได้ไปแห่งหนึ่ง แต่ไว้พอได้เปิดการค้ากับพวกด
วาฟแล้ว น่าจะทำเงินได้พอๆ กับที่ได้จากดันเจี้ยนเดิมนั้นแหละ
พอยูรินตัดสินใจได้แล้ว ผมเลยหันไปมองที่ซาคุยะ เธอทำหน้าครุ่นคิดมาตลอด แต่พอสบตากับผม เธอก็ถอนหายใจออกมา
“ฉันนี้โชคร้ายจริงๆ”
“เอ๋?”
ผมทำเสียงประหลาดใจออกมา
“ก็นอกจากจะโดนขโมยสกิลไปแล้ว ยังจะมาโดนนายขโมยทั้งความบริสุทธิ์และหัวใจไปอีก รับผิดชอบด้วยล่ะนายท่าน”
“แน่นอนอยู่แล้ว ผมจะดูแลเธอไปชั่วชีวิตเลย”
“บ บ้า! อย่ามาพูดแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นสิ!”
ซาคุยะอายจนหน้าแดง และหนีไปหลบหลังดาเซส
เอาล่ะตอนนี้ผมได้สาวๆ คืนมาครบแล้ว มาดูคนที่เหลือกันว่าจะเอาอย่างไง
กลุ่มของโกร่า มีคายุนกับทีโมที ที่ตัดสินใจทันทีว่าจะอยู่ข้างผม ส่วนโกร่าทีแรกทำท่ารับไม่ได้และเดินออกไปจากห้อง แต่สักพักเธอก็เดินกลับมาและตรงมาลูบเป้าผม ก่อนจะร้องไห้โฮออกมา
คือผมว่าผมเข้าใจโกร่านะ ใจเธอไม่อยากยอมรับผม แต่ร่างกายเธอมันโหยหาดุ้นของผม เมื่อเป็นแบบนี้ผมเลยแนะนำโกร่าไปว่าให้วางตัวเป็นกลาง ไม่ต้องช่วยผม แต่ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับผม คบกับแบบคู่นอน
และคู่ค้า โกร่าเลยยอมตกลงตามนั้นด้วยความเต็มใจ และผมค่อนข้างเชื่อใจโกร่า เพราะเธอเป็นคนตรงไปตรงมาและทำตามที่ตัวเองรู้สึก ถ้าเธอคิดจะทำร้ายผม เธอจะไม่ใช่วิธีลอบกัด แต่จะออกมาบอกซึ่งๆ หน้าแทน เพราะงั้นผมถึงอยากจะคบกับเธอต่อไป
ส่วนพวกเนปฟ่าดูจะลังเลยิ่งกว่าใคร เพราะเทียบกันแล้วพวกเราไม่ค่อยสนิทกันเท่าไร ยิ่งหลังจากที่หลับนอนด้วยกันในคืนนั้น เนปฟ่าก็เหมือนพยายามหลบหน้าผมอยู่
แต่เป็นซีเอ้ที่ยกมือขึ้นเพื่อถามอะไรผม ซึ่งที่ซีเอ้สนใจคือการเปลี่ยนฝ่าย ว่าถ้ามนุษย์อย่างเธอไปเข้าเผ่าปีศาจแล้ว จะต้องทำตัวอย่างไงและมีอะไรเปลี่ยนไปไหม
หลักๆ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไรหรอก แต่ที่จะลำบากใจหน่อยก็คือบางครั้งต้องสู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง แต่ผมว่ามันก็ไม่ต่างจากปกติหรอก เพราะมนุษย์เองก็ขัดแย้งและฆ่ากันเองอยู่ทุกวัน ซีเอ้เลยขอสมัครเข้าเผ่าปีศาจทันที แถมยังพูดแทนส่วนของเนปฟ่าด้วย
ว่าเผ่าเอลฟ์ถ้าเข้ากับเผ่าปีศาจจะถูกสาปให้กลายเป็นดาร์คเอลฟ์แบบมุเอมะทันที ซึ่งทำให้วิญญาณจะไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป จะใช้เวทมนต์และสิ่งของของเอลฟ์ไม่ได้อีก จะไม่ได้รับการปกปักษ์จากวิญญาณในป่า พอตายไปก็จะไม่สามารถชุบชีวิตได้ และต้องกลายเป็นมอนสเตอร์ที่แสนน่าเกลียดน่ากลัวแทน นั่นคือสิ่งที่เนปฟ่ากำลังกลัวอยู่
แต่ผมว่าเนปฟ่าคิดเยอะเกินไป ผมไม่ได้ต้องการให้เธอทรยศเผ่าพันธุ์ตัวเอง แค่อยากให้ยอมรับผมและอยู่ด้วยกันไปเหมือนเดิม ใครจะอยู่เผ่าไหนก็ช่าง ผมไม่ได้อยากจะเปลี่ยนให้ทุกคนย้ายมาอยู่เผ่าปีศาจสักหน่อย
พอได้ยินที่ผมบอก เนปฟ่าก็ถอนหายใจโล่งอก แต่สักพักก็ทำหน้าโกรธใส่ เป็นคนที่ผมเดาความคิดไม่ออกจริงๆ แต่ดูจากที่เธอไม่วิ่งหนีเตลิดไป คงอนุมานได้ว่าเธอตัดสินใจอยู่กับผมต่อ
ส่วนลุงออกัส…แอบขี้โกงเล็กน้อย เพราะเขาขอเป็นหุ่นส่วนของโรงแรมแทนค่าปิดปาก แต่จากที่ขอแค่ไม่กี่ % ทำให้คิดได้ว่าแค่ทำกันไปแบบขำๆ แต่เป้าหมายจริงๆ น่าจะเพื่อยกระดับจากคู่ค้ามาเป็นหุ้นส่วนมากกว่า หัวหมอใช่เล่น
ปัญหาคลี่คลายได้ง่ายกว่าที่คิดไว้ซะอีก จากที่คิดไว้ว่าคงมีมากกว่าครึ่งที่แยกตัวไป แต่ตอนนี้ทุกคนตัดสินใจอยู่กับผมต่อไป มันทำให้ผมรู้สึกดีใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา
จากนั้นผมก็เรียกพวกพนักงานเข้ามา จริงๆ ผมตั้งใจจะบอกเรื่องที่ผมเป็นจอมมารให้พวกเขารู้ด้วย แต่พวกสาวๆ ช่วยกันลงความเห็น ว่าบอกไปแค่เป็นเผ่าปีศาจก็พอ เพราะพวกทาสค่อนข้างจริงจังกันมากทุกเรื่องที่เกี่ยวกับตัวผม ขืนบอกว่าเป็นจอมมาร มีหวังทาสทั่วโลกได้แห่กันเปลี่ยนไปเข้าเผ่าปีศาจกันหมด ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจะสร้างปัญหาระดับโลกเลย เพราะทาสมีความสำคัญต่อสังคม มากกว่าที่ตัวทาสเองจะรู้ซะอีก แค่ทุกวันนี้พวกทาสหันมาเข้าลัทธิเมฆาสวรรค์ ก็ทำให้หลายต่อหลายคนกุมขมับแล้ว
ซึ่งพวกทาสเกือบทุกคนรู้ข่าวแล้ว ว่าผมเป็นเผ่าปีศาจ เลยไม่มีการตอบสนองอะไรเป็นพิเศษ มีเพียงแต่แสดงความสนใจอยากเข้าร่วมเผ่าปีศาจด้วย…เป็นไปตามที่พวกสาวๆ คาดการณ์ไว้เลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น