ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 144 - 146 By Kumao






ตอนที่ 144 หมายเตือน

สกิลใหม่ ผู้บวงสรวงวิญญาณ จะว่าไงดีล่ะ เป็นสกิลที่ดีนะ แต่ผมใช้ไม่ได้ล่ะ เพราะผลของสกิลนี้คือการสังเวยวิญญาณที่ควบคุมไว้ ให้กลายเป็นมาน่า สรุปคือผมมีถังมาน่าแบบพกพา แต่กลับไม่มีสกิลเวทไว้ใช้เลย

[ใช้พลังของข้าสิ]

คราวนี้มีเสียงที่ไม่คุ้นเข้ามาในหัวของผม พร้อมกับข้อมูลบางอย่าง เลยทำให้รู้ว่านั้นเป็นเสียงของลุง Baphomet เมื่อคิดถึงข้อเสียถ้าทำตามที่อีกฝ่ายบอกแล้ว…ไม่มีล่ะ ถ้าให้เดาฝ่ายนั้นคงอยากยืดเส้นยืดสายบ้าง ผมเลยลองใช้ตามที่อีกฝ่ายขอทันที

“เริ่มใช้งานสกิล Hell Magic”

จากนั้นก็มีเสียงแข็งๆ ดังในหัวผมอีกครั้ง

Hell Magic ติดตั้งเสร็จสมบูรณ์

สกิลที่ใช้ ไม่ใช่ของผม แต่เป็นของลุง Baphomet แต่เพราะผมใช้ค่าสถานะร่วมกัน ทำให้ผมสามารถใช้สกิลของลุงได้ในระยะเวลาชั่วคราว และยังต้องเสียเวลาติดตั้งพักหนึ่งด้วย

พอติดตั้ง Hell Magic แล้ว รายชื่อเวทมนต์นับสิบๆ ชนิดก็โผล่ขึ้นมา แต่ดูท่าจะอันตรายทุกอันเลย แถม Hell magic ไม่มีระบบระดับไว้ด้วยว่าเป็นเวทระดับไหน…เลือกใช้อันที่ดูอันตรายน้อยสุดล่ะกัน

“Tower Hell-Fire!”

พอใช้ออกไป ที่ด้านหลังผมก็ปรากฏเงาของลุง Baphomet ขึ้นมา ผมอยากจะวิ่งไปถามเวเนซ่าจริงๆ ว่าไอ้มนุษย์ลุงหัวแพะที่ยืนโชว์เจ้าโลกแบบไม่อายฟ้าดินนี้มันน่ารักไหนกัน!

แต่ตอนนี้เวทมนต์เริ่มทำงานแล้ว ที่ใต้เท้าของข้าศึกก็มีเสาไฟพุ่งขึ้นมา เสาไฟลอยสูงขึ้นไปในอากาศพร้อมกับเผาไหม้ร่างของเหยื่อจนเป็นเถ้า และจำนวนของเสาไฟก็มีมากกว่าพัน พริบตาเดียวคนนับพันก็ต้องตายและกลายมาเป็นวิญญาณให้ผมควบคุมต่อ

แถมมาน่าผมลดไปเพียงแค่ครึ่งเดียว หลังจากทดลองใช้ผู้บวงสรวงวิญญาณดู มาน่าผมเพิ่มขึ้นมาอย่างเยอะ คิดว่าสละดวงวิญญาณ 3-4 ดวงก็น่าจะเพิ่มมาน่าผมเต็มแล้ว แต่นี้เรากำลังถูกถึงการทำลายวิญญาณของมนุษย์อยู่นะ มันไม่ใช่แค่ตาย แต่เขาคนนั้นจะหายไปเลย มันให้อารมณ์ที่แย่ยิ่งกว่าฆ่าคนจริงๆ ซะอีก ผมเลยจะไม่ใช้มันถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แถมเวทของตาลุงแพะ มันจะโหดเกินไปแล้ว แค่ใช้ครั้งเดียวก็ฆ่าคนเป็นพันได้ในพริบตา แถมยังเป็นการฆ่าแบบ Over kill ด้วย

เหมือนตาลุงแพะจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ มันเลยหัวเราะเสียงแปลกๆ ออกมา ก่อนจะหายตัวไป พอใจแล้วสินะ แต่เล่นทิ้งกันดื้อๆ แบบนี้เลยเหรอ โหดร้ายจริงๆ

หลังจากที่โดนฆ่าล้างไปทีเดียวเป็นพันศพ พวกข้าศึกเลยออกอาการผวากัน แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ตอนนี้ผมใช้เวทมนต์โหดๆ แบบนั้นไม่ได้แล้วล่ะ นอกจากจะเรียกลุงแพะมาใหม่

ความโกรธผมก็ได้รับการระบายไปแล้วด้วย แบบว่าไม่ได้คิดจะมาทรมานพวกมันหรอก ว่าไงดีล่ะ เหมือนเวลาโกรธมากๆ ก็แค่อยากเหวี่ยงมือเหวี่ยงไม้เป็นการปลดปล่อย หลังจากนั้นก็จะกลับมาอารมณ์แจ่มใสตามเดิม ยังไม่ถึงระดับที่เรียกว่าแค้นจนคิดจะทรมานหรอก เพราะงั้นผมเลยใช้วิธีฆ่าในทันทีแบบไม่ค่อยเจ็บปวด

แต่ถ้าหนีไปก็จบเรื่องแล้ว แต่นี้พวกมันยังไม่เลิกอีกแฮะ คงเพราะเห็นว่าทางผมมีกันแค่สามคน และน่าจะเป็นตัวปลอมด้วย เพราะผมไม่มีสกิลจอมมารนี่น่า ทำให้ปล่อยออร่าแห่งลางร้ายที่เป็นเหมือนกับนามบัตรจอมมารออกมาไม่ได้

เพราะงั้นพวกมันถึงยังฮึดสู้กันอยู่ แต่ถ้าเป็นผมนะ ผมสั่งวิ่งหนีไปนานแล้ว เพราะดูอย่างไงก็ไม่เห็นทางชนะได้ โดยเฉพาะกับเวเนซ่าและซานูน่า ทั้งสองคนเป็นอาวุธทำลายล้างเคลื่อนที่ชัดๆ

สำหรับซานูน่า เธอแทบไม่ทำอะไรเลย แค่ยืนเฉยๆ รอบตัวเธอก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมาแล้ว พวกทหารเริ่มฆ่ากันเอง กินกันเอง กระทั่งอัดถั่วดำกัน…เอ่อ นี้ในสนามรบนะ เอาเป็นว่าทำเป็นไม่เห็นล่ะกัน

แต่พลังของซานูน่าไม่ได้ไร้เทียมทาน เธอหว่านเสน่ห์ควบคุมเป้าหมายได้เฉพาะบางคน แต่เธอควบคุมผู้หญิง พวกกามตายด้าน เซ็กส์เสื่อม หรือพวกที่ยังบริสุทธิ์อยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะพวกหนุ่มซิงเนี่ย เป็นปรปักษ์กับเธอชัดเจน เพราะพวกนี้จะมีพรแห่งเทพพรหมจรรย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบเทพสูงสุดคุ้มครองอยู่ แต่คิดว่าในผู้ชายร้อยคน จะมีคนที่บริสุทธิ์อยู่กี่คนกันล่ะ?

ด้านเวเนซ่านั้น พูดได้คำเดียวว่า โกง เธอเล่นเปิดใช้สกิลบัพตัวเองจนเป็นป้อมปราการเคลื่อนที่ไปแล้ว แค่เข้าใกล้เธอก็จะโดนสกิลเคาเตอร์อัดจนถึงตายทันที พวกสกิลเคาเตอร์อันตรายมาก เพราะมันล้วนแต่เป็นการโจมตีเสริมพลังโดยตรง เช่นสกิลเคาเตอร์กายภาพ ถ้าคุณปาหินใส่คนที่มีเคาเตอร์ชนิดนี้ มันจะถูกดีดกลับมาด้วยความแรงเท่ากับที่คุณปาไปบวกด้วยแรงของค่าพลังเป้าหมายไปอีก

แล้วโดยปกติ คนเราจะมีค่าพลังเฉลี่ยระหว่างการโจมตีและป้องกันไม่ต่างกันมาก เหมือนถ้าคุณต่อยตัวเอง อย่างไงก็ต้องได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว แต่นี้ยังเสริมแรงจากอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นมาด้วย เพราะงั้นสกิลเคาเตอร์ถือเป็นสกิลสังหารในครั้งเดียวได้เลย

แต่นี้เวเนซ่ามีสกิลเคาเตอร์เป็นสิบประเภท แค่ว่าคุณส่งจิตสังหารไปหาเวเนซ่า คุณก็จะต้องฉี่ราดเพราะโดนจิตสังหารที่รุนแรงกว่าโต้กลับมาแล้ว

นอกจากนี้เลเวลของเวเนซ่าเยอะมาก ค่าพลังอย่างเดียวก็น่าจะมากกว่าผมซะอีก ซ้ำยังมีใช้สกิลที่ไม่มีใครออกมาอีก พอเปลี่ยนวิธีสู้เพื่อตั้งรับสกิลที่ใช้ เธอก็จะเปลี่ยนไปใช้สกิลอื่นอีก ด้วยปริมาณสกิลที่เธอมี ผมว่าไม่มีทางรับมือได้เลย เพราะงั้นผมถึงบอกว่าเป็นผมจะวิ่งหนีทันทีเลย กลับศัตรูแบบนี้มันไม่อยู่ในระดับที่จะรับมือได้หรอก

ตอนนี้จำนวนคนตายบวกกับที่โดนควบคุม น่าจะเกือบหมื่นได้แล้ว ส่วนใหญ่มาจากฝีมือเวเนซ่าล่ะนะ

แต่สมแล้วที่เป็นกองทัพที่จัดตั้งมาเพื่อถล่มเผ่าปีศาจ พวกนี้ไม่ได้มาแบบไร้แผนการ เพราะอัศวินระดับพาลาดินล้วนแต่มีสกิลที่น่าหงุดหงิดที่เรียกว่า One Life for All มันเป็นสกิลที่สามารถรับการโจมตีถึงตายได้หนึ่งครั้ง

เพราะงั้นเวลาผมชกใส่พวกอัศวินไป มันก็จะแค่กระเด็นออกไป แต่พลังชีวิตจะไม่ลดลง ก่อนจะสลับตัวคนให้อัศวินคนอื่นมารับการโจมตีแทน อีกด้านพวกนักบวชระดับบิชอป ก็มีสกิลลดการคลูดาวน์ด้วย ทำให้พวกอัศวินกลับมาใช้ One Life For All ได้อีกครั้งในเวลาไม่กี่นาที สู้กับเจ้าพวกนี้เหมือนสู้กับโล่ที่ไม่มีวันแตกเลยทีเดียว

แล้วผมก็ยังโดนพวกมันเล่นงานอีก จากนักบวชระดับอาร์คบิชอปและคาร์ดินัล ที่จะใช้สกิลประเภทเวทแสงโจมตีเข้ามา ซึ่งมันส่งผลกับผมเป็นอย่างมาก เพราะผมเป็นเผ่าปีศาจ ซึ่งมีข้อดีตรงที่เสริมพลังเวทมืดให้มีอานุภาพเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกับก็จะอ่อนด้อยในการใช้เวทแสงรวมถึงพลังป้องกันธาตุแสงด้วย งานนี้ผมเลยโดนรุมยิงจน Hp …ไม่ลดแฮะ เจ็บก็จริง แต่ Hp ผมมันติดบั๊กอยู่ ค่าตัวเลขเลยยังเป็น XXX ไม่กระดิก

…แบบนี้จะถือว่าโกงหรือเปล่านะ

แต่อย่างเวเนซ่าบอก มันไม่ลดไม่ได้แปลว่ามันจะไม่มีทางลด ตอนนี้เหมือนตัวเลขมันทบเกินสเกลอยู่ แต่พอมันลดมาถึงระดับสเกลปกติแล้ว มันก็จะเริ่มแสดงค่าแบบเดิม ความเจ็บปวดที่ผมได้รับเป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องนี้ได้ เพราะงั้นจะมาประมาณไม่ได้

ผมเลยต้องใช้ไพ่ตายออกไปบ้าง เลยหยิบเอาอาวุธออกมากระเป๋า อาวุธที่ผมใช้ก็คือ…หัวของยัยแก่ เอ่อ นี้เป็นอาวุธจริงๆ นะ! ผมไปเจอมันอยู่ในหีบของห้องเก็บสมบัติที่ปราสาทจอมมาร พอถามเวเนซ่าดู เธอบอกว่ามันของจอมมารรุ่นก่อนๆ เธอเองก็ไม่รู้วิธีใช้ ผมเลยลองศึกษาดูจนพบว่ามันเป็นอาวุธที่น่าเหลือเชื่อมาก

ผมต้องถือหัวนั้นด้วยการจิกผมที่แข็งและยิกงอเหมือนเส้นลวด ดวงตาของยัยแก่เลยเปิดออก มันอ้าปากส่งเสียงกรีดร้องแสบหูออกมา จังหวะนั้นผมก็รีบหันหัวของยัยแก่ไปที่เป้าหมาย ซึ่งเป็นพวกนักบวชที่คอยยิงเวทแสงถล่มใส่ผม

พริบตานั้น ไร้ซึ่งการโจมตีใดๆ แต่กลับมีอาร์คบิชอปคนหนึ่งสิ้นใจไปแล้ว ส่วนคนที่เหลือถึงจะรอด แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจน Hp แทบหมดหลอด

ระหว่างนี้ผมขออธิบาย อาวุธที่ชื่อว่า หัวยัยแก่ ก่อนนะครับ

อาวุธ หัวยัยแก่ พลังโจมตีเท่ากับศูนย์ พลังป้องกันเท่ากับศูนย์ เป็นอาวุธที่แสนเปราะบาง ไม่ควรเอาไปเหวี่ยงใส่ใคร แต่มันเป็นอาวุธที่มีสกิลมหาโหดอยู่ นั้นก็คือ Damage shooter

คำอธิบายง่ายๆ ของสกิลนี้ก็คือ อาวุธจะนำค่าความเสียหายที่ผมได้รับระหว่างการต่อสู้ทั้งหมด ส่งผ่านไปยังหัวยัยแก่ และยิงมันออกไปใส่เป้าหมาย มันไม่ใช่การโจมตีในรูปแบบกายภาพหรือเวทมนต์ แต่มันคือการลด Hp อีกฝ่ายโดยตรง

สมมุติ Hp ผมลดไปหนึ่งล้าน ผมก็สามารถใช้หัวยัยแก่ลด Hp อีกฝ่ายได้หนึ่งล้านเช่นกัน…เป็นอาวุธที่ว่า ถ้าคุณมี Hp มากกว่าเป้าหมาย อย่างไงคุณก็ไม่มีวันแพ้แน่ๆ…ไอ้จอมมารที่สร้างอาวุธบัดซบนี้ขึ้นมามันเป็นใครกันฟ่ะ! แกมีอะไรไม่พอใจกับพลังของจอมมารหรือไง ถึงได้สร้างของพรรณนี้ขึ้นมาอีก!

แล้วตอนนี้ถึงไม่นับที่ติดบั๊กอยู่ Hp ของผมก็มีเกือบจะ 50ล้านเลยนะเฟ้ย!

เอ่อ แล้วผมมีเรื่องจะสารภาพอีกอย่าง…คือผมได้ให้แผนกวิทยาการอัพเกรตหัวยัยแก่ เปลี่ยนจากเวอร์ชั่นโกง ให้กลายเป็นเวอร์ชั่นโคตรโกงไปแล้วล่ะ ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์เวท ที่มีผลของสกิล…Drain ติดอยู่

ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อผมได้รับค่าความเสียหาย หนึ่งล้าน ผมยิงกลับออกไปหนึ่งล้าน และดูดกลับมาอีกหนึ่งล้าน…เอ่อ ผมว่าได้สร้างของอันตรายที่ส่งกลิ่นเรียกหาผู้คุมระบบขึ้นมาแล้วสิ

ตอนนี้ผมเลยไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ยืนรับการโจมตี และยื่นหัวยัยแก่ออกไป จัดการเป้าหมายพร้อมรับ Hp คืนมา นี้มัน Loop นรกชัดๆ แต่ด้วยวิธีนี้ทำให้กองทัพของโบสถ์ใหญ่ ตายกันเป็นใบไม้ล่วงเลย โดยเฉพาะพวกระดับสูงๆ ที่เริ่มถอยหนีไปจนอยู่นอกระยะยิงของเวทแล้ว และปล่อยให้พวกอัศวินรับหน้าฝ่ายเดียว

แต่เวเนซ่านี้สิ พอเห็นผมใช้หัวยัยแก่ ก็ส่งสายตาวิบวับมาให้ ถึงไม่ต้องพูดผมก็รู้เลยว่าสายตาเธอกำลังสื่ออะไร มันประมาณว่า ‘อาวุธนั้นน่าสนุกจัง ส่งมาให้ฉันเล่นเดี๋ยวนี้เลยนะ’

ผมเลยโยนหัวยัยแก่ข้ามฟากไปให้เวเนซ่า แต่ผมไม่คิดว่าเธอจะใช้มันได้ดีหรอก เพราะเธอมีระบบป้องกันตัวที่สมบูรณ์แบบ Hp เธอเลยแทบไม่ลดลงระหว่างการต่อสู้ ต่างจากผมที่รับไปถูกดอกแบบเต็มๆ หัวยัยแก่เลยเหมาะกับผมมากกว่า แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวพอเวเนซ่าเบื่อแล้วก็ส่งคืนมันมาเอง

ตอนนี้ผมหันกลับมาอัดพวกอัศวินด้วยหมัดแบบเดิม เพราะไม่มีพวกนักบวชที่น่ารำคาญมายิงเวทถล่มใส่แล้ว จึงสู้ในระยะประชิดได้อย่างเบาใจหน่อย

ทว่าระหว่างที่สร้างแรงบันดาลใจว่ามนุษย์บินได้ให้กับพวกอัศวิน ก็มีเงาหนึ่งพุ่งฝ่าเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว ผมรีบยกมือขึ้นรับดาบที่ฟันมาอย่างโจงแจ้ง ดาบนี้ไม่ได้เป็นดาบที่ใช้โจมตีโดยหวังผล แต่เป็นดาบที่ฟันมาเพื่อให้ผมหันไปสนใจอีกฝ่าย

“อ้าว จ…”

ผมเกือบหลุดปากออกไป เมื่อเห็นคนคุ้นหน้าอยู่ในสนามรบด้วย คนที่อยู่ตรงหน้าผมก็คือผู้กล้า และยังเป็นเหมือนหัวหน้าของผู้กล้าด้วย เขามีชื่อว่าจิน

“นี้มันหมายความว่าไงกันครับท่านโรมะ”

“เฮ้ย เรียกจอมมารสิ เดี๋ยวความก็แตกหรอก”

“อ่า ก็ได้ครับท่านจอมมาร แต่ช่วยอธิบายมาด่วนเลยนะ”

พวกผมกระซิบคุยกัน และทำเป็นเพิ่มแรงโจมตีให้กลายเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด เพื่อไล่ให้พวกอัศวินที่อยู่ใกล้ๆ ตีวงถอยห่างออกไป

ระหว่างที่พวกเราทำทีว่าจะฆ่าแกงกันแบบหลอกๆ ผมก็ได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดไป

อย่างแรกเลย นี้ไม่ใช่การบุกรุก ตรงกันข้ามกันเลย ผมต่างหากที่โดนพวกมันบุกมา เพราะงั้นผมไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญาสันติภาพที่ทำไว้

ส่วนจินเองเพราะรู้ว่าพวกเลนคานจะจับมือโบสถ์ใหญ่ เพื่อไปบุกเมืองที่มีเผ่าปีศาจปกครองอยู่ เขาเลยขอตามมาด้วย ตอนแรกกะจะค่อยๆ กล่อมให้พวกฝ่ายมนุษย์ยกเลิกการบุก แต่เขาทำไม่สำเร็จ ส่วนอีกทางก็สืบข่าวหาข้อมูลไปด้วย แต่ข่าวที่ได้รับจากพวกมนุษย์ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นแบบไหน พวกมันใส่ร้ายผมจนไม่เหลือชิ้นดี แต่จินเคยเห็นเผ่าปีศาจมาแล้วกับตา เขาเชื่อว่ามันต้องไม่ตรงอย่างที่ข้อมูลว่าไงจริงๆ แถมยังมีชื่อเจ้าเมืองที่ดูคุ้นหูหลุดมาอีก

ยิ่งพอรู้ว่าเป็นผม จินไม่คิดว่าที่กรอซ่าจะถูกปกครองด้วยความโหดเหี้ยมอย่างที่เป็นข่าว แต่ทางที่ดีที่สุดคือการไปเห็นด้วยตาตัวเอง ถ้าเป็นฝ่ายมนุษย์ที่ผิด เขาก็จะหาทางยับยั้งถึงแม้จะดูเป็นการปกป้องเผ่าปีศาจ แต่เขาก็อ้างได้ว่าทำไปเพื่อปกป้องชาวเมืองที่เป็นมนุษย์ได้อยู่

แต่พอได้รู้ความจริงจากทางผมแบบนี้แล้ว มันยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก โดยเฉพาะที่ผมแฉ่ความชั่วของโบสถ์ใหญ่ให้ฟัง ว่ามันทำอะไรกับพวกเด็กสาวบ้าง จินนี้เปลี่ยนจากใบหน้าที่สงบนิ่งกลายเป็นหน้ายักษ์ไปในทันที…สยองจริงๆ ไอ้หมอนี้

“ท่านผู้กล้าเอาจริงแล้ว!”

พวกโบสถ์ใหญ่ที่มุงดูอยู่เห็นเป็นแบบนั้น แต่หารู้ไหม ที่ทำให้จินต้องทำหน้าแบบนี้ ก็เป็นเพราะพวกมันนั้นแหละ และถ้าไม่มีผมห้ามไว้ ดาบของจินคงไล่เด็ดหัวพวกมันไปทั่วสนามรบแล้ว

แต่แย่แล้วล่ะ สถานการณ์เริ่มเลวร้าย เพราะตอนนี้เวเนซ่ากระโดดเข้ามาร่วมวงด้วยแล้ว คงเพราะเห็นว่าผมโดนผู้กล้ากดดันอยู่ และอาจจะเป็นอันตรายได้ จึงเข้ามาช่วย และทั้งสองคนยังไม่รู้จักกัน แถมเวเนซ่าเองก็ไม่รู้เรื่องสนธิสัญญาที่ผมทำกับกลุ่มผู้กล้าด้วย ถ้าปล่อยไว้มีหวังเธอฆ่าจินตายคามือแน่

“โทษทีนะ แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่นายต้องเผ่นแล้ว”

ผมเลยรีบคว้าคอของจินไว้ แล้วปาเขาออกไปแบบสุดแรงเกิด ร่างของจินพุ่งเป็นจรวดหายวับไปที่ขอบฟ้า โชคดีนะจิน นายเป็นถึงผู้กล้าเลยนะ แค่นี้คงไม่ตายหรอกใช่ไหม

แต่การที่ผู้กล้าถูกจับโยนออกไปจากสนามรบแบบนี้ เล่นเอาฝ่ายกองทัพผสมถึงกับพากันทำหน้าสิ้นหวังออกมา และเริ่มมีบางคนทิ้งอาวุธ และหันหลังวิ่งหนีกันแล้ว

และตามที่ตกลงกันไว้ ว่าจะปล่อยคนที่หนีไป พวกผมเลยไม่ตามไปโจมตี แต่ปักหลักอยู่กับที่ พวกอัศวินที่อยู่รั้งท้าย ก็เห็นว่าผมไม่ลงมือแล้วพวกมันเลยไม่โจมตีเข้ามา เพียงแต่ตั้งแถวเป็นกำแพง รอให้ทุกคนหนีกันไปก่อน และทุกอย่างก็จบลงในสภาพนี้

“แล้วจะเอาไงดีกับพวกศพ”

“ผมติดต่ออานูบิสไว้แล้ว เดี๋ยวเขาจะส่งลูกน้องมาเก็บกวาดพวกนี้ เอาไปทิ้งเป็นอาหารให้ดันเจี้ยนเอง”

ผมตอบเวเนซ่าพลางมองดูซากศพที่กองสูงเป็นภูเขา งานนี้กองทัพผสมสูญเสียไปกว่าครึ่ง เละเทะกว่าที่คิดไว้ แต่ยังอยู่ในผลลัพธุ์ที่ผมต้องการอยู่

เพราะเพียงเท่านี้ พวกมันก็ได้รับหมายเตือนจากผมไปแล้ว

แผนของผมไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแต่ใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีเท่านั้นเอง

พวกเลนคานไม่รู้ข้อมูลของทางสมาพันธรัฐ พวกมันรู้แค่ว่าเลนคานยกทัพไปบุกเผ่าปีศาจ และคิดกันไปเองว่าสูญเสียกันหนัก แต่จริงๆ แล้วสมาพันธรัฐนั้นไม่เสียทหารไปสักคน หรือก็คือยังอยู่ในสภาพพร้อมรบ

ตรงกันข้าม พวกเลนคานเอาทหารมาตายอย่างเปล่าประโยชน์ที่นี้ไปเป็นจำนวนมาก และผมก็ให้ซารีใช้เครือข่ายของกิลนักผจญภัย ในการปล่อยข่าวเรื่องการสูญเสียของทัพเลนคานอกไปให้สมาพันธรัฐรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ แล้ว

เอาล่ะ ที่นี้เรามาคิดถึงเรื่องพื้นฐานกัน คุณจะทำอย่างไงถ้าเจอเหยื่อแบบนี้ ระหว่างเสือจอมโหดที่ฆ่าคุณทิ้งได้ในพริบตา กับกวางน้อยเนื้อหวานช่ำซึ่งกำลังบาดเจ็บไร้ทางตอบโต้

ฮุๆๆ หลังจากนี้เลนคานคงได้สนุกสนานกับการโดนรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน จนไม่มีเวลามายุ่งกับผมอีกต่อไปแล้ว และผมยังมีไพ่ตายเก็บไว้ด้วย กรณีถ้าเลนคานยังไม่เลิกมาตอแยกับผม ผมก็จะติดต่อประเทศทางใต้ และทำการเปิดพรมแดน ปล่อยให้กรีฑาทัพผ่านไปกระทืบเลนคานโดยตรง และยังจะแถมเสบียงไปให้ฟรีๆ อีก

ส่วนพวกโบสถ์ใหญ่ ที่เกิดการสูญเสียอย่างต่อเนื่อง นับจากโดนเรโมริก้าถล่ม และยังจะมาโดนผมถล่มไปคราวนี้อีก ถึงจะไม่นับตอนที่เรเดียแพ้ไปด้วย เพราะครั้งนั้นมีคนตายไม่เยอะเท่าไร แต่ก็ถือว่าโดนสั่นคลอนรากฐานไปพอสมควร ด้านการทหารแล้ว ถือว่าโบสถ์ใหญ่อยู่ในสถานะบอบช้ำสาหัสเลย

นอกจากนี้พวกนักบวชระดับสูงๆ ก็โดนผมฆ่าไปตั้งเยอะ ซึ่งคนระดับนี้ไม่ใช่จะหามาแทนกันได้ในปีสองปี ซ้ำการโดนถล่มแหลกแบบนี้ คงทำให้พวกตาแก่นั้นรู้ตัวแล้ว ว่าพวกมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมมาร นั้นคือเหตุผลที่ผมใช้สถานะจอมมารเล่นงานมัน เพราะจะทำให้พวกมันรู้ว่า ถ้าคิดจะไปยุ่งกับที่ไหนที่มีเผ่าปีศาจอยู่ มันจะต้องเจอตีนผมแน่

เท่านี้น่าจะทำให้พวกมันไม่กล้ามาเล่นงานกรอซ่าตรงๆ ได้แล้ว ถึงหลังจากนั้นมันคิดจะแก้แค้นคืน ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะการพัฒนาของกรอซ่าเร็วกว่า ในอนาคตถึงจะมีกำลังทหารไม่มาก แต่สามารถใช้ระบบเศรษฐกิจและการเงินกดดันประเทศใหญ่ได้

และผมยังมีข้อมูลดีๆ ที่ได้มาจากทาฮากริม เช่นว่า วิธีทำให้โบสถ์ใหญ่กุมอำนาจได้ และถ้าผมจะแทรกเข้าไปในเส้นทางการกุมอำนาจนั้นแทนล่ะ?

…………

ในอีกด้านหนึ่ง ที่ขอบอาณาเขตของเมืองซาโร กองทัพจำนวนสี่พันนายจากป้อมราเซเวียสได้เดินทัพผ่านเข้ามา เป้าหมายของพวกมันคือการยึดเมืองซาโรเพื่อใช้เป็นที่มั่นในการล้อมกรอบเมืองกรอซ่า จริงๆ แล้วตามข่าวที่ได้รับมา ลำพังแค่กองทัพผสมก็สามารถบดขยี้เมืองกรอซ่าได้สบายๆ

ทั้งนี้เป็นเพราะทางเมืองหลวงได้เตือนไปทางกิลนักผจญภัยแล้ว ซึ่งคำตอบของทางนั้นคือจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยทุกกรณี เพียงแต่นั้นเป็นการสื่อสารที่ผิดไปจากความหมายจริงๆ ที่ซารีต้องการจะบอกก็คือ ‘ถ้าอยากจะตายก็เชิญไปตายคนเดียว อย่ามาลากฉันกับนักผจญภัยไปตายด้วย’

แต่ด้วยข้อความนี้ ทำให้ทางเมืองหลวงสบายใจขึ้น เพราะถ้าตัดเอานักผจญภัยในกรอซ่าออกไป ทั้งเมืองก็แทบไม่เหลือกำลังรบอะไรแล้ว ยิ่งข้อมูลจากพวกขุนนางที่หลบหนีออกมา ก็บอกไว้ชัดเจนว่าที่เมืองไม่เหลือทหารสักกะคน กระทั่งกองอัศวินยังอพยพออกมาด้วย

และข้อมูลจากโบสถ์ใหญ่ก็ช่วยยืนยันว่า คนที่เป็นเผ่าปีศาจมีเพียงแค่คนเดียว ทำให้ทุกคนคิดว่านี้เป็นภารกิจแทรกซึมของเผ่าปีศาจ เจ้านั้นจะต้องไม่มีกองทัพปีศาจคอยช่วยเหลือแน่ ที่ต้องระวังก็มีเพียงยอดฝีมือไม่กี่คนที่เคยจัดการกองทัพของอาร์คบิชอปมาก่อน แต่ทางโบสถ์ใหญ่ก็ได้ส่งเอานักบวชระดับสูงอย่างคาร์ดินัลมาช่วยแล้ว แถมยังพากองอัศวินพาลาดินหน่วยที่เก่งที่สุดมาด้วย ต่อให้เจอยอดฝีมือที่ว่า ก็สามารถจัดการได้แน่ๆ

เพราะงั้นทางพวกทหารจากป้อมราเซเวียสต้องทำ ก็คือปิดทางหนีเอาไว้ และใช้โอกาสนี้ปล้นสะดมเมืองซาโรไปในตัว ถือว่าเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของกองทัพไป เพราะอย่างไงภาษีที่ได้จากเมืองซาโรก็ไม่ได้มากอะไรอยู่แล้ว ทางเมืองหลวงเลยไม่ได้ให้ความสำคัญกับซาโรมากนัก แต่พวกทหารของป้อมราเซเวียสกลับมองต่างไป เพราะที่ซาโรถึงจะเป็นเมืองยากจน แต่ที่ไม่จนตามไปด้วยก็คือสาวงาม

ที่บอกว่าเมื่อไปที่ซาโรคุณจะหลงใหลไปกับความงาม เป็นเรื่องจริง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลงใหลนั้นไม่ใช่ธรรมชาติโดยรอบเพียงอย่างเดียว แต่เพราะมันยังเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยสาวงามระดับที่หาดูได้ยากในโลกนี้ พวกทหารเลยวาดฝันอยากจะได้ลองบุกปล้นสะดมจริงๆ กับเมืองซาโรสักครั้งในชีวิต เพราะพวกเขาจะได้จับเหล่าสาวงามพวกนั้นมาข่มขืนได้ตามใจอยาก

เพราะถ้าใช้วิธีเข้าไปจีบตามปกติ พวกทหารจากป้อมราเซเวียสไม่มีกระทั่งโอกาสได้พูดคุยด้วย เพราะชาวเมืองซาโรเกลียดพวกทหารจากป้อมราเซเวียส ขนาดใช่คำว่าเกลียดเข้าไส้ได้เลย เพราะที่ชาวเมืองยากจนและอดอยากแบบนี้ ก็เป็นเพราะพวกมันนั่นเอง ทุกครั้งที่มีทหารจากป้อมเข้ามาในเมือง ชาวเมืองจะรีบวิ่งเข้าบ้านและปิดตาย กลายสภาพเป็นเมืองร้างในพริบตา นั้นคือการแสดงออกถึงความเกลียดชังที่ชาวเมืองมีให้กับพวกทหาร

คราวนี้พวกทหารจากป้อมราเซเวียส เลยเดินทัพมาด้วยใจที่ลุกไหม้ด้วยแรงปรารถนา ถึงแม้คราวนี้จะโดนตำหนิจากเบื้องบนมาบ้าง แต่มันก็เพียงเรื่องเล็กน้อย กลับมาที่พวกมันกำลังจะได้เมียติดมือกลับมา

ทว่าทันทีที่พวกมันก้าวเท้าผ่านขอบอาณาเขตเข้ามา การเคลื่อนทัพก็ถูกหยุดลง เพราะตรงหน้ากองทัพสี่พันนาย มีหญิงสาวแสนสวยที่ลักษณะเหมือนชนชั้นสูงยืนขวางทางอยู่

เธอยิ้มอย่างยั่วยวน ก่อนจะหยิบเอาธงของประเทศเลนคานออกมาเผาต่อหน้า นี้เป็นการยั่วยุเพื่อให้อีกฝ่ายโจมตีเธอก่อน

“อย่าฆ่ามันนะ ข้าจะเย็ดอีนี้ให้แมร่งสติแตกเลย”

“ฮ่าๆๆ ใครดีใครได้เฟ้ย”

“ใครจับได้ก่อน ได้เย็ดก่อนโว้ย!”

พวกทหารที่อยู่ด้านหน้านับสิบคนพุ่งตัวออกไป โดยไม่รอฟังคำสั่งของหัวหน้า แต่ถึงจะรอคำสั่งก็คงไม่ต่างจากที่พวกมันคิดและทำอยู่ตอนนี้หรอก ทว่าพอเข้าไปใกล้ พวกมันก็ได้ยินเสียงที่หญิงสาวเอ่ยขึ้นมา

“อุ๊ ข้าก็ชอบเล่นเซ็กส์หมู่อยู่หรอกนะ แต่ต่อให้ใช้พวกนายทั้งกองทัพ ก็ยังเทียบกับโรมะไม่ได้”

ใช่แล้วตั้งแต่โดนโรมะย่ำยี่มา รสนิยมทางเพศของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จริงอยู่ว่าการมีเซ็กส์กับผู้ชายหลายคนพร้อมกัน มันให้ความรู้สึกสนุกตื่นเต้นอยู่ แต่เทียบไม่ได้กับความรู้สึกตอนที่กำลังมีเช็กส์กับโรมะ

ขนาดของเขามันใหญ่ถึงใจก็จริง แต่ที่สำคัญคือรสสัมผัสทางอารมณ์ต่างหาก อย่างเช่นเวลาถูกโรมะเลีย มันไม่ใช่แค่รู้สึกว่าโดนเขาเลียร่างกายอยู่ แต่เหมือนโดนเลียที่จิตใจด้วย เขารู้จักร่างกายของเธอดีกว่าตัวเธอเองซะอีก เพราะงั้นเลยควบคุมความสุขสมของเธอได้ตามใจปรารถนา อลิซาเบธคิดว่านี้คือพรสวรรค์ที่น่ากลัวมาก

สิ่งหนึ่งที่ชี้ชัดได้ ว่ามันไม่ได้เป็นผลมาจากสกิล ก็เพราะตอนนี้โรมะไม่มีสกิลมารราคะแล้ว แต่เธอก็ยังตกเป็นทาสดุ้นของเขาอยู่ดี แค่มองตาหรือพูดคุยเรื่องงานที่สำคัญ มันก็เพียงพอทำให้เธอแฉะและพร้อมมีเซ็กส์กับเขาแล้ว ยิ่งตอนมีเซ็กส์กัน มันทำให้เธอลืมโลกไปได้เลย จริงอยู่ที่ว่าเขาชอบทำเหมือนย่ำยีเธอบ่อยๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าสิ่งนั้นมันทำให้เธอเสียวไปถึงสมองเลย

“มาคิดๆ ดูแล้ว กับพวกนายที่รุมจ้องจะมีอะไรกับข้า ยังไม่ทำให้รู้สึกเสียวแม้แต่น้อย เทียบกับตอนที่โดนโรมะด่ายังไม่ได้เลย อ่า นี้ข้าควรรีบๆ จัดการพวกแกให้เสร็จแล้วกลับไปรับรางวัลจากโรมะดีกว่า”

อลิซาเบธฉีกยิ้มราวกับคนเสียสติ จริงอยู่ว่าปกติเธอรักษาสีหน้าแบบปกติไว้ได้ แต่จิตใจเธอนั้นได้ตกเป็นทาสเนื้อของโรมะแบบโงหัวไม่ขึ้นแล้ว และเมื่อด้านนั้นของเธอโผล่ออกมาเมื่อไร สีหน้าแบบผู้ดีมีสกุลก็จะเปลี่ยนโฉมกลายเป็นยัยผู้หญิงร่านสวาทไปทันที

และด้วยคำพูดและสีหน้าของเธอ มันก็เพียงพอทำให้พวกทหารหยุดชะงัก พร้อมกับเกิดความรู้สึกรังเกลียดขึ้นมา

“อะ อ้าว โจมตีเข้ามาสิ ไม่งั้นข้าก็เริ่มไม่ได้สักที”

“ยัยนี้แม้เพี้ยนว่ะ ถึงจะสวยก็เถอะ”

“แบบนี้เขาเรียกว่าสวยเสียของ”

“เฮ้ย แต่เวลาเย็ดกันนิสัยมันไม่เกี่ยวนี่หว่า”

“เอ่อ นั้นดิ”

หลังจากปรึกษากันแล้ว พวกทหารก็เข้ามาโจมตีต่อ

ด้วยที่อลิซาเบธใส่เกราะเอาไว้ ทำให้เธอดูเหมือนอัศวิน นั้นเป็นเหตุให้พวกทหารไม่ประมาท ถ้าจะจับคนที่มีฝีมือแบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องตัดแขนหรือขาสักข้างก่อน

ทหารคนหนึ่งเลยพุ่งเข้าไปฟันใส่ต้นแขนของอลิซาเบธเข้าเต็มแรง โดยที่เธอไม่ขยับตัว เพียงแค่ยืนเป็นเป้านิ่งให้อีกฝ่ายฟันเฉยเลย

แต่ดาบนั้นไม่อาจสร้างบาดแผลแม้แต่รอยข่วนขึ้นมาได้ ขนาดที่แขนนั้นไม่มีเกราะป้องกันเลยสักชิ้น อลิซาเบธมองดูทหารด้วยสายตาผิดหวังอย่างรุนแรง ก่อนจะยื่นมือไปจับดาบนั้นไว้ และขยับมันเองเพื่อให้ดาบปาดเข้าไปในเนื้อจนทำให้เธอได้แผล

“ท่านเจ้าเมือง ท่านเห็นแล้วใช่ไหม ข้าโดนพวกมันโจมตีจนได้รับบาดเจ็บล่ะ!”

อธิซาเบธรีบหันไปตะโกนบอกชายหนุ่มที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างหลัง พลางโชว์ต้นแขนที่มีรอยบาดเล็กๆ อยู่ ท่านเจ้าเมืองซาโรที่โดนลากมาเป็นพยาน พยักหน้ารับแบบสลด เพราะเห็นๆ อยู่ว่าเธอจงใจทำมัน ตั้งแต่เผาธงเพื่อยั่วยุ ทั้งเปิดช่องให้อีกฝ่ายโจมตี กระทั่งทำให้ตัวเองได้แผล แต่เอาเถอะแบบนี้ก็เรียกความชอบธรรมให้เกิดการต่อสู้ได้แล้ว

ทว่าเขาไม่รู้ตัวเลย ว่าการพยักหน้ารับนั้น จะเป็นสัญญาณที่ก่อนให้เกิดการสังหารหมู่…การสังหารหมู่ ไม่นับเป็นการต่อสู้หรือการรบ เพราะมันคือการฆ่าอยู่ฝ่ายเดียวโดยหมายจะล้างบางเป้าหมายให้สิ้นซาก

อลิซาเบธกวัดแกว่งหอกของเธอ ฉีกขยี้ร่างของเหล่าทหารกลายเป็นเศษเนื้อปลิวกระจายไปเต็มท้องฟ้า เหตุที่ทำให้อลิซาเบธใช้ Fall of Troll เป็นไม้ตายของตัวเอง ไม่ใช่เพราะมันจะทำให้เธอได้เปรียบเรื่องสกิล แต่สำหรับตัวเธอแล้ว ถ้าสู้กับแบบไม่มีสกิล เธอแทบจะไม่มีทางแพ้ใครได้ เนื่องจากค่าพลังพื้นฐานของเธอมันสูงจนผิดปกติ แถมไม่ได้สูงแค่ค่าใดค่าหนึ่ง ทั้งพลังโจมตี ป้องกัน ความเร็ว กระทั่งเวทมนต์ เธอก็อยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติของผู้กล้าซะอีก เหตุผลนั้นมาจากอาชีพหนึ่งที่เธอมี

Pedigree of king (สายเลือดขัตติย)

อาชีพนี้เป็นอาชีพประเภทสายเลือดเผ่าพันธุ์ เช่นเดียวกับอาชีพแวมไพร์ของพวกฟราน และมันส่งผลให้ค่าพลังของเธอสูงจนอยู่จุดสูงสุดของเผ่ามนุษย์ ซึ่งมุเอมะเรียกมันว่า ‘พลังบ้าเหนือมนุษย์ของยัยผู้หญิงไร้ยางอาย’

มุเอมะเคยพูดไว้ว่า ถ้าสู้กับตรงๆ กับอลิซาเบธ คงไม่พ้นตกตายตามกันแน่ๆ แต่ที่เธอชนะมาได้ เพราะเธอมีการเตรียมพร้อมและรู้ความสามารถของอลิซาเบธมาก่อน การเตรียมพร้อมที่ว่าก็คือ การใช้อาวุธกับไอเท็มเพิ่มพลังให้กับตัวเอง รวมถึงการใช้กับดักต่างๆ เพื่อเล่นงานลดถอนพลังของอีกฝ่ายไปด้วย นอกจากนี้ยังเรียนพวกสกิลที่มีค่าคลูดาวน์ที่น้อย เพื่อใช้รับมือกับ Fall of Troll โดยเฉพาะ ถ้าไม่ทำขนาดนี้ล่ะก็ไม่มีทางเอาอลิซาเบธลงได้ ไม่สิ ขนาดนั้นแล้วครั้งล่าสุดเธอก็รอดไปได้

ระดับมุเอมะยังบอกแบบนั้น แล้วกลับมนุษย์ที่อยู่ในเผ่าพันธุ์เดียวกับอลิซาเบธล่ะ...สภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็น

“หนีเร็ว! ยัยนี้มันเป็นอสูรกาย!”

“สัตว์ประหลาดโรคจิต!”

“สัตว์กินเนื้อบุกแล้ว!”

พอได้ยินคำตะโกนด่า บนขมับของอธิซาเบธก็มีเส้นเลือดปูดขึ้นมา

“ว่าใครเป็นอสูรกายย่ะ! แล้วใคร ไหนไอ้หน้ามันเรียกฉันว่าสัตว์กินเนื้อ!”

อลิซาเบธตะโกนถามอย่างดุดัน พลางลุกไล่เข่นฆ่าด้วยความโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม จริงๆ แล้ว ไม่ได้โหดหรอก เธอแค่เหวี่ยงหอกเพื่อปัดพวกที่ขวางทางออกไป เพียงแต่ค่าพลังมันต่างกันเกินไป หอกของเธอเลยฉีกร่างของพวกมันจนแหลกแทน

แถมอลิซาเบธไม่รู้ตัวด้วยว่า ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน เหตุเพราะเธอมีสกิลอันหนึ่ง ที่ได้รับมาจากเวเนซ่า เอ่อ ต้องบอกว่ายัดเยียดให้มาแบบที่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ สกิลที่ว่าก็คือ Pride

เวเนซ่าวางแผนจะยัดสกิลนี้ให้กับอลิซาเบธทันที เมื่อรู้ว่าเธอกลายมาเป็นคนของผมไปแล้ว เหตุเพราะ Pride นั้นเหมาะกับอลิซาเบธมาก โดยสกิลนี้จะทำงานแบบแปลกๆ และการแสดงก็แปลกยิ่งกว่า แต่คำว่าแปลกนั้นก็เหมาะกับอลิซาเบธจริงๆ

Pride นั้นเป็นสกิลเดียวที่แถมมาให้ ตอนที่เวเนซ่าได้รับสกิลมารแห่งความเย่อหยิ่งมา นอกจากความสามารถในการสร้างสกิลเอง โดยสกิล Pride เวเนซ่าไม่สามารถใช้ได้ เธอทำได้เพียงแค่ยกมันให้คนอื่น แต่เธอจะได้รับข้อดีเมื่อส่งผ่านมันไปให้คนอื่น

เมื่อเวเนซ่าตายหรือถูกทำลาย ขโมย แย่งชิง หรืออะไรก็ตามที่เป็นเหตุให้สกิลของเธอหายไป สกิลทั้งหมดของเธอก็ถูกโอนไปหาผู้ที่มี Pride ติดตัวอยู่ทันที นั้นเลยเห็นเหตุที่เธอเลือกอลิซาเบธ เพราะเธอคนนี้มันถึกตายยากแถมโง่ด้วย ถึงจะได้รับโอนสกิลไปก็ไม่รู้ตัว และเวเนซ่าสามารถเรียกสกิลตัวเองกลับคืนมาเมื่อไรก็ได้

เรียกได้ว่าอลิซาเบธถูกใช้เป็นที่แบ็คอัพสกิลของเวเนซ่าไปแล้ว แต่ใช่ว่าอลิซาเบธจะไม่ได้รับข้อดีจากสกิลนี้เลย

เพราะ Pride จะช่วยเพิ่มค่าพลังให้กับอลิซาเบธอย่างมหาศาล แต่มันจะแสดงผลก็ต่อเมื่ออลิซาเบธมีความภูมิใจในการต่อสู้ โดยค่าที่เพิ่มขึ้นมาจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่ความยโสโอหังของเธอเอง ซึ่งจุดนี้เวเนซ่าคิดว่าคงไม่มีใครมีสิ่งนี้มากไปกว่าอลิซาเบธแล้ว ถึงมันจะทำงานแบบแปลกๆ อย่างที่ว่า แต่เพราะแบบนี้ล่ะมันถึงได้เหมาะกับอลิซาเบธมาก และอย่างที่ว่าไป...จนถึงตอนนี้เจ้าตัวก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย เธอไม่เคยเช็คดูค่าพลังหรือสกิลตัวเองเลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นพวกทหารที่ถูกอลิซาเบธฆ่าตายไปนั้น ช่างน่าสงสารจริงๆ

“พวกแกรีบๆ ส่งแม่ทัพออกมาสักทีสิ! หรืออยากจะตายกันหมดนี้!”

อลิซาเบธร้องท้า เพราะเธออยากจะสู้กับคนที่เก่งที่สุดของอีกฝ่าย โดยหาไม่รู้ไหมว่า แม่ทัพที่ว่าโดนเธอผ่าร่างขาดเป็นสองฉีก และโดนทิ้งศพที่ดูน่าสะพรึงนั้นไว้ข้างหลังแล้ว

พวกทหารของป้อมราเซเวียสต่างวิ่งตายกันอลม่าน หลังจากเห็นพวกพ้องตายลงอย่างไร้ค่า ภายใต้คมหอกของสัตว์ประหลาดตัวนี้ แต่เพราะการหนีแบบไร้ระเบียบ ทำให้พวกมันถูกทหารของทัพพันธมิตรของกรอซ่า ซึ่งล้อมกรอบไว้ตั้งแต่แรกแล้วสังหารหรือจับกุมตัวเอาไว้ ทหารกว่าสี่พัน เหลือรอดในฐานะเชลยศึกแค่ 900 กว่าคน ส่วนที่เหลือถูกสังหารเรียบ

มีเพียงไม่ถึงสิบคนที่ตะเกียดตะกายจนหนีรอไปได้ แต่พอกลับไปถึงป้อมราเซเวียส พวกมันก็พบว่าป้อมถูกยึดไปแล้ว เพราะธงที่อยู่บนกำแพง ถูกเปลี่ยนเป็นธงของสามเมืองคือกรอซ่า วิลเฟนเฮ และซาโร ไม่ใช่ธงของประเทศเลนคานที่อยู่คู่กับธงกองทัพแล้ว และหลังจากนั้นพวกมันก็ยอมจำนนแต่โดยดี

กองทัพผสมถูกถล่ม ป้อมราเซเวียสถูกยึด ข่าวร้ายทั้งสองข่าวนี้ ไปถึงหูพระราชาพร้อมกันๆ เล่นเอาพระราชาถึงกับกระอักเลือดออกมา แต่นั้นยังไม่เท่ากับตอนที่ได้ยินข่าว เรื่องที่กรอซ่า วิลเฟนเฮ และซาโร ประกาศจับมือกันและแยกตัวอย่างเป็นทางการ นั้นทำให้พระราชาของเลนคานแทบเสียสติไปเลย

ตอนที่ 145 ชิงตัว

สงครามจบลงแบบมึนๆ เพราะชาวเมืองของกรอซ่า ไม่รู้เรื่องสงครามที่ไอ้คุณเจ้าเมืองไปทำเลยแม้แต่น้อย แถมไม่ใช่สงครามเล็กๆ แต่นี้ทำศึกกับทัพผสมที่มาจากเมืองหลวงและโบสถ์ใหญ่ ซ้ำยังมีข่าวเรื่องจอมมารเป็นคนมาไล่ตะเพิดพวกมันไปเอง ทำให้ทุกคนเริ่มคิดว่า ฐานะของโรมะไม่ธรรมดา เพราะขนาดทำให้จอมมารออกโรงมาปกป้องด้วยตัวเอง นั้นทำให้ชาวเมืองรู้สึกให้ความเคารพขึ้นมานิดหนึ่ง

ตอนนี้ความรู้สึกเหม็นขี้หน้า เลยลดลงมาเหลือไม่ชอบขี้หน้าแล้ว

ส่วนเรื่องการแยกตัวออกจากประเทศเลนคาน...เฉยกว่าเรื่องสงครามอีก เพราะกรอซ่าจะสังกัดประเทศไหนก็ไม่เห็นจะต่างกันเลย เพราะพวกเขายังคงหากินกับดันเจี้ยนโดยไม่ต้องไปง้อใคร แถมสินค้าส่วนใหญ่ก็รับมาจากทางใต้ ส่วนที่ได้จากประเทศเลนคานนั้น...มีเพียงภาษีมหาโหดและพวกทหารที่เอาแต่กินเหล้าเมายา

เพราะงั้นวิถีชีวิตของชาวกรอซ่า ก็ยังคงเดินต่อไป และคิดว่าการประกาศตั้งประเทศใหม่ เป็นเพียงแค่งานเทศกาลอย่างหนึ่งเท่านั้น

“พวกชาาวเมืองกรอซ่ามันโง่เง่ากันขนาดนี้เลยเหรอ!”

ผมทนไม่ไหวเลยต้องตะโกนขึ้นมา เพราะนี้มันจะชิวกันเกินไปแล้ว ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าชาวเมืองกรอซ่าส่วนใหญ่เป็นพวกบ้าๆ บอๆ และหน้าหนา แต่นี้คือการตั้งประเทศใหม่เลยนะ ตัวเองกำลังอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้สัมผัสมันได้ แต่พวกแกกลับไม่สนใจอะไรกันเลย!

“ไม่แปลกหรอกค่ะนายท่าน ชาวเมืองกรอซ่าส่วนใหญ่ ก็มีรากฐานมาจากการเป็นนักผจญภัยมาก่อน พวกเขาต้องใช้ชีวิตแบบแขวนไว้บนเส้นดาย และพบเห็นผ่านประสบการณ์เฉียดตายกันมาทั้งชีวิต เรื่องการปรับตัวคิดว่าไม่มีใครเกินชาวเมืองนี้ไปแล้วล่ะ”

เมยอาบอกราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ไม่สิ เธอเองก็นับอยู่ในประเภทเดียวกับชาวเมืองด้วยนะ!

เอ๋? หรือว่านี้จะมีผมเพียงคนเดียวที่รู้สึกตื่นเต้น…

ส่วนเรื่องการตั้งชื่อประเทศ อาเดไลท์จัดการเสร็จไปแล้ว ในการประชุมร่วมกันของทั้งสามเมือง ที่จัดขึ้นมาทันทีหลังจากจบศึก

ประเทศอินเวสก้า นี้ไม่ใช่ชื่อประเทศใหม่ แต่มันเคยเป็นชื่อของประเทศโบราณ ซึ่งเป็นรากเหง้าที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศเลนคาน ซึ่งในสมัยก่อนมันมีอาณาเขตมากกว่าครึ่งหนึ่งของทวีปนี้ ส่วนเจ้าเมืองซาโรและลอร์ดวินเฟนเฮ ต่างก็สืบเชื้อสายของสายเลือดโบราณนั้นมา เลยมีสิทธิ์ชอบธรรมที่นำชื่อประเทศนี้มาใช้อีกครั้ง

...ขอโทษด้วยนะครับท่านบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งอินเวสก้า หนึ่งในสายเลือดของท่านกำลังจะสาปสูญไปแล้วล่ะ

แถมผมเองยังถูกยกให้เป็นราชาไปแล้วล่ะ ตลกไหมล่ะ ทั้งๆ ที่เมืองหลวงคือวิลเฟนเฮ แต่ราชาดันเป็นเจ้าเมืองกรอซ่า...เจ้าพวกนี้มันไม่รู้ความสำคัญของเมืองหลวงเลยสินะ!

แต่ช่างเถอะ ผมเป็นราชาแค่ในนามเท่านั้น แต่คนที่มีอำนาจจริงๆ น่ะ คืออาเดไลท์ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าเมืองทั้งสาม ให้เป็นนายกเทศรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจจัดการบริหารเมืองทุกเมือง ในส่วนเจ้าเมืองก็มีอำนาจเท่าเดิม เพียงแต่เรื่องนโยบายหรือแนวทางพัฒนาจะต้องปรึกษาและขอมนุมัติจากอาเดไลท์ก่อน สรุปก็คือ อาเดไลท์เป็นผู้จัดการใหญ่ ส่วนเจ้าเมืองคือหัวหน้าแผนกนั้นแหละ

ด้วยเหตุนี้ทั้งสามเมืองจะใช้กฎหมายเหมือนกัน เพื่อสะดวกในการค้าขายและการให้ความช่วยเหลือด้วย

กฎหมายนั้น ผมได้ให้แนวทางไป ส่วนอาเดไลท์เป็นคนเขียนในส่วนรายละเอียดปลีกย่อยร่วมกับเจ้าเมืองอีกสองคน

แนวทางที่ผมให้ไปนั้น อย่างแรกคือ การอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือปีศาจ รวมถึงเผ่าครึ่งสัตว์ด้วย ทุกคนจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ภายใต้กฎหมายตัวเดียวกัน มีสิทธิเท่ากัน รับโทษเท่ากัน

อย่างที่สอง นโยบายทาส โดยผมจะให้มีการลงทะเบียนทาสทั้งหมดที่ผ่านแดนมา ซึ่งพ่อค้าทาสหรือเจ้าของทาสคนใด มีทาสที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้ครอบครองถึงว่ามีความผิด ส่วนทาสที่ทำการลงทะเบียนแล้ว จะมีสิทธิในการได้รับการดูแลขั้นพื้นฐาน กรณีที่ได้รับการทารุณกรรม สามารถมาฟ้องร้องได้ที่กรมแรงงาน ส่วนภาษีทาสผมจะปรับลดลง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่พ่อค้าทาส ซึ่งต้องมอบการดูแลขั้นพื้นฐานให้กับทาส ซ้ำยังจะให้การยกเว้นภาษีทาสปีแรกให้ด้วย

อย่างที่สาม นโยบายด้านเศรษฐกิจ โดยจะให้มีการแข่งขันเรื่องการค้ากันอย่างอิสระ โดยไม่ถูกผูกมัดด้วยระบบกิล ทั้งนี้เพื่อให้มีการกระจายตัวของสินค้ามากขึ้น ส่วนกิลต่างๆ ให้พลันตัวเองเป็นโรงเรียนฝึกสอนอาชีพแทน เพราะกิลคือสถานที่ซึ่งร่วมเอาความรู้แขนงตัวเอง เอาไว้อย่างครบถ้วน หรือจะยังคงดำเนินงานของกิลต่อไปก็ได้ แต่ห้ามไปรบกวนหรือกดดันผู้ค้ารายใหม่ ให้แข่งขันกันอย่างถูกต้องยุติธรรม กรณีที่พบเห็นการเอาเปรียบ หรือใช้อำนาจกิลในทางมิชอบ จะโดนลงโทษอย่างหนัก

แน่นอนว่านโยบายทั้งสามที่ผมให้ไป ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างมหาศาล

แค่อย่างแรกก็แทบจะทำให้เกิดการจารจลกันแล้ว เพราะเหมือนจู่ๆ เหมือนจะนับชั้นชนล่างให้ขึ้นมาเสมอกับชนชั้นสูง ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ไม่ได้จะไปบังคับให้ปรับเปลี่ยนค่านิยมกันแบบทันทีทันใดหรอก ใครจะคิดแบบเดิมก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อย เพียงแค่ลองคุณทำผิดกฎหมายดิ ได้เจอเรียกไปปรับทัศนคติแน่

ทว่าในทางกลับกัน นโยบายข้อแรก ได้เรียกฝูงชนมาจากทั่วสารทิศ ทั้งกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่เห็นช่องทางทำมาหากินกับนโยบายนี้ ทั้งกลุ่มมนุษย์ที่เบื่อหน่ายการกดขี่และเหยียดเผ่าพันธุ์ ทั้งกลุ่มเผ่าครึ่งสัตว์ที่มาพร้อมกับความหวังอันบริสุทธิ์ กระทั่งพวกเผ่าปีศาจที่เฮโลกันมาด้วยความสนุกสนาน การเติบโตของประชากรในเมืองพุ่งพรวดๆ จนน่าตกใจเลยทีเดียว

นโยบายที่สองถึงจะดูยุ่งยากในการทำ และส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง พ่อค้าทาสบางคนถึงกับรีบขนทาสปิดกิจการหนีออกนอกประเทศกันแทบไม่ทันเลย ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนทาส เพราะอย่างไงซะทาสก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ในสังคม

แต่ก็อีก เมื่อมีผลเสีย ก็ต้องมีผลดี ซึ่งผลดีที่ว่าก็คือทาสขายได้ง่ายขึ้น และทำเงินได้ดีกว่าเดิม ผู้ซื้อก็พอใจได้ที่ได้ทาสซึ่งสุขภาพดีและดูสะอาด ที่สำคัญคือเต็มใจทำงาน ส่วนพ่อค้าทาสก็ยิ้มออก เพราะรายได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมจนเทียบไม่ติด ซ้ำด้วยนโยบายเดิมที่ผมทำไว้ ทำให้พ่อค้าเริ่มส่งทาสบางคนไปเรียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่เสริมความสามารถให้สูงขึ้น เพราะยิ่งทาสทำประโยชน์ได้เยอะ ก็ยิ่งขายได้ราคาดีขึ้น

นอกจากนี้พวกทาสที่ได้ยินเรื่องนี้ ต่างพยายามหนีมาที่นี้กันหมด หรือถ้าต้องโทษจนกลายเป็นทาส ก็ขอมารับโทษที่ประเทศอิสเวสก้าดีกว่า นั้นทำให้ภาวะขาดแคลนทาสหมดไปในเวลาอันสั้น ตรงกันข้าม ทาสกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของประเทศไปเลยด้วยซ้ำ จนภายหลังต้องออกกฏหมายเพิ่ม ไม่ให้นำทาสออกนอกประเทศ

ส่วนนโยบายที่สาม ดูจะมีปัญหาที่สุด เพราะกิลส่วนใหญ่พากันต่อต้าน จนถึงขั้นใช้ความรุนแรงกันขึ้นมาเลย ผมเลยส่งลูกน้องไปเยี่ยมบ้านพวกหัวหน้ากิลเหล่านั้น และพูดจาภาษาดอกไม้กันอย่างสุภาพชน โดยมีไม้เบสบอลแทนช่อดอกไม้มอบให้กับลูกเมียพวกเขา

“ลูกพี่กูฝากมาบอก พวกมึงจะทำตามดีๆ หรือให้กูเปิดกิลที่ไม่แสวงหาผลกำไรแข่งกะมึง จะยอมลดผลประโยชน์ลงและอยู่รอดต่อไป หรือจะยอมฉิบหายย่อยยับไปเลย มึงเลือกเอง”

จากนั้นกิลกว่าครึ่งก็ยอมตกลง ส่วนอีกครึ่ง...บางกิลหายไปกับเงามืดอย่างเงียบๆ ส่วนบางกิลหนีหัวซุกหัวซุนออกนอกประเทศไป แต่กิลที่ได้รับผลกระทบก็มีแต่พวกกิลการค้าซะส่วนใหญ่ ส่วนกิลที่ตั้งมาจากพวกนักผจญภัยกลับชอบนโยบายใหม่ เพราะทำให้พวกเขาสามารถจัดหาอุปกรณ์และเสบียงได้ง่ายขึ้นในราคาที่ถูกลง เสียงสนับสนุนจึงมีมากกว่าเสียงค้าน

ส่วนพวกที่มุดลงดิน ผมก็มุดเป็น องค์กรมืดก็ต้องเจอองค์กรปีศาจ เมื่อมีอาเดไลท์ยืนอยู่ในด้านแสงสว่างแล้ว ตัวผมก็ยืนอยู่ในด้านเงามืดได้อย่างสบายใจ จะว่าไปผมก็ชอบงานในเงามืดมากกว่าแฮะ

แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง เจ็ดวันหลังจากสงครามที่นักประวัติศาสตร์ตั้งชื่อมันว่า ‘สงครามแห่งความอัปยศ’

ผู้ที่มานั่งอยู่ในห้องรับแขกของผมตอนนี้ก็คือ นักบวชกรอเรีย และท่านอาร์คบิชอปเรเดีย

…………….

ย้อนกลับไปเมื่อเจ็ดวันก่อน ในขณะที่กองทัพผสมกำลังโดนบดขยี้อย่างน่าอดสู และทางโบสถ์ใหญ่สาขาหลัก กำลังดูภาพสดๆ ผ่านทางอุปกรณ์เวทมนต์ ก็เกิดเสียงตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว

ถึงการปรากฎตัวของจอมมาจะอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ไว้ แต่พลังของจอมมารยังอยู่ในการคำนวณอยู่ วิธีการที่ใช้ก็ได้ผล เวทมนต์แห่งแสงใช้โจมตีจอมมารได้ผลอย่างน่าพอใจ แต่หลังจากที่จอมมารหยิบเอาหัวยัยแก่ขึ้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เหล่านักบวชอาวุโสถูกสังหารเป็นใบไม้ล่วง ภาพของตาแก่หนีตายวิ่งเหยียบกันดูน่าขายขี้หน้า

“หัวนั้นอะไรกันอาวุธเหรอ? มันคืออะไรกันแน่! ทำไมพวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน”

“หัวนั้นต้องเป็นร่างแยกอวตารของมันแน่ๆ”

“เอ่อ งั้นเจ้าจอมมารอีกคนที่ไล่ฆ่าคนอยู่ใกล้ๆ นั้นก็เป็นร่างแยกของมันด้วยสินะ”

“ตัวไหนตัวจริงกันแน่?”

“หรือพวกมันไม่ใช่ตัวจริงเลยสักคน!”

ยิ่งเห็นก็ยิ่งมีคำถามที่ไม่มีคำตอบปรากฎขึ้นมามากมายเป็นไปหมด พวกเขาอยู่ดูจนกันถึงตอนที่กองทัพทั้งหมดถอนทัพกลับ และภาพก็ดับไป ในห้องตกอยู่ในความเงียบ เพราะนี้คือความพ่ายแพ้แก่จอมมารแบบที่ไม่มีอะไรจะให้แก้ตัว

แต่พวกโบสถ์ใหญ่ประเมินพลังของฝ่ายเผ่าปีศาจผิดไปอย่างมหาศาล แต่จะโทษพวกเขาไมไ่ด้หรอก เพราะไม่ใช่แค่โบสถ์ใหญ่ แต่โลกใบนี้ถูกลดระดับลงมาก จากน้ำมือของเวเนซ่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทำให้พวกคนเก่งๆ ที่มีเลเวลสูงถูกสังหารเรียบ ซ้ำในสงครามแต่ละครั้งก็มีผู้รอดชีวิตมาน้อย พวกที่รอดมาก็เป็นพวกอยู่แนวหลัง ไม่ได้เห็นการต่อสู้ด้วยตาตัวเอง บันทึกและข้อมูลจึงผิดไปจากความเป็นจริงอยู่มาก

นอกจากนี้สกิลส่วนใหญ่หายสาปสูญไปตามกาลเวลา และผู้ครอบครองถูกสังหารก่อนจะได้ทันส่งมอบให้ลูกศิษย์ โดยเฉพาะสกิลที่ใช้ต่อต้านเผ่าปีศาจ ถูกมุเอมะทำลายกระทั่งเอกสารและบันทึกจนไม่มีเหลือ ส่วนมุเอมะก็วางตัวเองอยู่ในแนวหลังตลอด หลังจากที่เวเนซ่าตายไป เธอทำงานในฐานะผู้บริหารเพื่อให้เผ่าปีศาจอยู่รอดต่อไป และจัดการเฉพาะปัญหาใหญ่พร้อมเก็บรวบรวมหลักฐานที่สำคัญเอาไว้ ไม่แปลกเลย ที่ฝ่ายมนุษย์จะไม่เคยรู้ถึงระดับความสามารถจริงๆ ของเผ่าปีศาจ เพราะเคยสู้แต่กับพวกปีศาจระดับล่างๆ ที่ยังเป็นโนวิทไม่มีงานทำกัน

ปัจจุบันระดับของมนุษย์ถูกลดลงเป็นอย่างมาก เลเวลที่เกินระดับหนึ่งร้อยมีเพียงแค่หยิบมือ ส่วนพวกที่ไปถึงระดับสองร้อยได้ยิ่งน้อยจนนับนิ้วได้ ส่วนพวกดันเจี้ยนระดับ Hell ล้วนแต่ปิดตัวลง เนื่องจากไม่มีคนที่เก่งพอจะเข้าไปทำการท้าทายได้แล้ว พอไม่มีการต่อสู้ ดันเจี้ยนก็ขาดแคลนพลังงาน มุเอมะเลยปิดมันโดยการไล่มอนสเตอร์ออกไปเพื่อรักษาระดับมาน่าในดันเจี้ยนไว้ ส่วนพวกมอนสเตอร์ที่ถูกไล่ออกมา ก็พากันไปหาที่สงบและจำศีล รอเวลาที่ดันเจี้ยนจะเรียกหาพวกมันอีกครั้ง

ดันเจี้ยนที่ยังเปิดบริการอยู่ในปัจจุบัน จึงมีแต่ดันเจี้ยนมือใหม่ ที่ให้ผู้เริ่มต้นเก็บเลเวลกัน แต่มนุษย์ดันคิดกันไปเอง ว่าระดับของดันเจี้ยนในปัจจุบันคือค่าสูงสุดแล้ว เลยไม่คิดจะพัฒนาตัวเองให้สูงขึ้นไปกว่านั้น แถมนักผจญภัยถูกยึดเป็นอาชีพหาเลี้ยงตัวเอง แทนที่จะทำเพื่ออุดมการณ์แบบเมื่อก่อน ซึ่งขอมีเลเวลอยู่ที่ 20-30 ก็มีหาเงินในดันเจี้ยนได้สบายแล้ว จึงไม่คิดจะเสี่ยงตายเก็บเลเวลกันแบบจริงจัง

ถึงจะมีพวกบ้าๆ ที่รวมตัวกันตั้งกิลสำหรับพัฒนาตัวเอง มีเป้าหมาายที่ความแข็งแกร่ง แต่ก็ไปได้อย่างช้าๆ เพราะจำนวนคนมีไม่พอ แต่เหตุผลหลักๆ ต้องโทษเวเนซ่า เพราะเธอใช้ลูกเล่นของสกิลมารแห่งความเย่อหยิ่ง ทำให้พวกสกิลที่เพิ่มอัตราการเจริญเติบโต อย่างพวกสกิล exp 2 เท่า ถูกลบออกไปจากระบบ

งานนี้ความซวยตกอยู่ที่มนุษย์เต็มๆ เพราะมนุษย์มีอายุขัยที่สั้นมาก ถ้าเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่น เลยมีขีดจำกัดเรื่องเวลาในการเพิ่มเลเวลให้ตัวเอง ซึ่งต่างจากเผ่าปีศาจซึ่งส่วนใหญ่มีอายุยืนยาวกว่าหลายเท่า นี้คือความชั่วร้ายของจอมมารเวเนซ่าที่โลกยังไม่รู้

แต่พวกเทพก็แลเห็นจุดด้อยข้อนี้ของเผ่ามนุษย์ เลยถึงสติแตกอันเชิญคนมาจากต่างโลกกันอย่างบ้าคลั่งเลย เพราะมนุษย์ต่างโลกมีอัตราในการเก็บเลเวลที่ไวกว่า และยังมีความรู้สึกร่วมและแรงจูงใจ แบบแปลกๆ เหมาะในการหลอกใช้งาน

สำหรับโรมะที่มีสถานะจอมมารแล้ว ที่นี้คือโลกที่อยู่ในโหมดง่ายสุดล่ะ ภัยคุกคามของโรมะมีอยู่ไม่กี่อย่าง เช่นพวกผู้ใช้สกิลมาร พวกผู้กล้า(ซึ่งปัจจุบันไม่นับแล้ว) พวกมังกร(ไม่นับแล้วเช่นกัน) พวกเทพ และพวกที่อยู่จุดสูงสุดของแต่ละเผ่าพันธุ์ แต่ใช่ว่ามนุษย์จะหมดพิษสงไป เพราะมนุษย์เป็นพวกเจ้าเล่ห์ ถึงสู้ซึ่งๆ หน้าไม่ได้ ก็จะเล่นลอบกัดแทน แถมยังได้เรื่องปริมาณของจำนวนประชากรด้วย

แต่จากที่เห็นความสามารถของโรมะแล้ว เวเนซ่าก็ไม่คิดว่าเผ่ามนุษย์จะมีใครดักตีหัวได้เก่งเท่าโรมะอีกแล้ว เพราะโรมะคิดว่าตัวเองไม่เก่งด้านต่อสู้ เพราะงั้นจึงมักจะคิดถึงวิธีเล่นงานศัตรูแบบที่เรียกว่า ‘เล่นไม่ซื่อ’ และถึงโรมะจะไม่ชอบใช้อำนาจของจอมมาร แต่ใช่ว่าเขาจะใช้ไม่เป็น ตรงกันข้ามเพราะเขาตระหนักถึงอำนาจนี้ดีกว่าใคร เขาเลยพยายามใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น และผลลัพธ์ของการทำเช่นนั้นก็ออกมาแล้ว ด้วยการที่ทำให้ฝ่ายมนุษย์และโบสถ์ใหญ่ตีค่าความสามารถของจอมมารผิดไปอย่างมหันต์

แถมตอนนี้เขายังใช้อำนาจของจอมมาร ฝั่งเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวลงในจิตใจของทุกคน เพื่อตรึงการเคลื่อนไหวเอาไว้ เพื่อเขาจะได้ใช้ฐานะโรมะเคลื่อนไหวในเงามืดได้สะดวกยิ่งขึ้น เขาใช้เทคนิกของนักมายากล ที่ดึงสายตาของคนดูไปไว้ที่การเคลื่อนไหวหลอก ในขณะที่กลของจริงเริ่มในอีกที่หนึ่ง

เช่นในตอนนี้ ขณะที่พวกนักบวชเฒ่าทั้งหลาย กำลังอลม่านไปกับการปรากฎตัวของจอมมาร ก็ไม่ทันไปสนใจกับการหายตัวไปของบรรดานักบวชสาวหรือนักบวชหนุ่มที่ถูกใช้ในการบำเรอพวกมัน กระทั่งในคุกหรือหอคอยที่ใช้ขังใครบางคนเอาไว้ ตอนนี้ก็กลายเป็นสถานที่ว่างเปล่าไปแล้ว และกว่าพวกเขาจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็ผ่านไปนานเป็นอาทิตย์แล้ว

เรเดียฟื้นขึ้นมาในขบวนรถม้า ที่ตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปตามถนน โดยทิ้งเมืองไว้ด้านหลัง เธอจำได้ว่าถูกเผ่าปีศาจลักพาตัวมา ตอนแรกเธอพยายามขัดขืน แต่เผ่าปีศาจตัวนั้น ไม่ยอมให้แม้กระทั่งเธอส่งเสียงออกมา แต่ทำให้เธอสลบไปทันที

“พวกแกจะทำอะไรกับฉัน!”

เธอลุกขึ้นมาตะโกนถามทันที ในรถม้าแบบขนส่งสินค้านั้น นอกจากเธอแล้วยังมีนักบวชอยู่อีกหลายคน โดยมีเผ่าปีศาจที่ลักพาตัวเธอมานั่งอยู่ด้วย

“พาเธอไปยังที่ปลอดภัย”

ปีศาจตนนั้นตอบ แต่เรเดียไม่สามารถเห็นสีหน้าอีกฝ่ายได้ เพราะมันใส่เกราะสีดำทั้งตัว

“ที่ปลอดภัยอะไรกัน พวกแกลักพาตัวฉันมาไม่ใช่เหรอ”

“...เรื่องนั้น ให้พวกเธออธิบายจะเข้าใจได้ง่ายกว่านะ”

ปีศาจใส่เกราะโยนไปให้พวกนักบวชที่นั่งอยู่เป็นคนตอบแทน

“พวกเธอร่วมมือกับพวกเผ่าปีศาจเหรอ!”

เรเดียตะวาดใส่อย่างโมโห แต่นักบวชสาวคนหนึ่งหันไปคุกเข่าลงตรงหน้าเรเดีย และกล่าวอย่างเคารพออกมา

“ถ้าท่านเรเดียยังคงอยู่ที่โบสถ์ใหญ่ต่อไป จะถูกวางยาและล้างสมองให้กลายเป็นของเล่นของของคาร์ดินัลค่ะ”

“ม ไม่จริง”

“ตอนนี้ครอบครัวของท่านเรเดียกำลังเจอปัญหาอยู่ครับ ทางโบสถ์ใหญ่เลยรอจังหวะที่จะยื่นมือเข้าไป และใช้เงินอุปถัมภ์อย่างลับๆ โดยแลกกับทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องของท่านเรเดียไป”

นักบวชชายอีกคนบอกต่อ

“ท ทำไมกัน ก ก็ฉันสร้างผลงานให้กับโบสถ์ใหญ่ตั้งเยอะ แล้วทำไมพวกเขา”

“...”

ทุกคนปิดปากเงียบ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเนื้อแท้ของโบสถ์ใหญ่ก็เป็นอย่างไง

“ขอโทษที่ต้องบอกตรงๆ แต่โบสถ์ใหญ่มันก็แค่ที่สุ่มหัวกันของพวกตาแก่ตัฒหากลับเท่านั้นแหละ”

ปีศาจใส่ชุดเกราะสีดำเอ่ยขึ้นมา

“หุบปาก! แกมันจะไปรู้อะไร”

เรเดียตรงเข้าไปหาเรื่องอีกฝ่าย จนมือของเธอปัดโดนหมวกเกราะของปีศาจจนหลุดลงพื้น แต่พอได้เห็นใบหน้าที่อยู่ภายในหมวกเกราะนั้น เรเดียก็ถึงกับทรุดและหลั่งน้ำตาออกมา

“เรื่องจริงใช่ไหม นี้นาย...เอนันโด้ นายยังไม่ตาย!”

แต่ว่าสิ่งที่หล่นตามหมวกไปก็คือหัวของเอนันโด้ แล้วความตื่นตันของรเดียก็เปลี่ยนเป็นเสียงกรี๊ด

“อย่างที่เห็นครับ ผมตายไปแล้ว ตอนนี้ผมได้รับความเมตตาจากท่านจอมมาร และคืนชีพขึ้นมาเป็นดูราฮาน”

เอนันโด้บอกพร้อมกับหยิบหัวตัวเองมาใส่เข้าที่

“นี้นาย...เป็นเผ่าปีศาจไปแล้ว”

“ครับ และเรื่องการพาท่านเรเดียหลบหนี ทั้งหมดก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากเผ่าปีศาจครับ”

“ไม่จริงใช่ไหม”

“...เป็นผมเมื่อก่อนก็คงไม่อยากจะยอมรับเมหมือน แต่ขณะที่ผมสิ้นชีวิตลงในฐานะมนุษย์ ผมก็คิดได้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตนั้นเอง ว่าตัวเองจะเป็นอะไรไม่เห็นสำคัญเลย ถ้ายังอยู่ใต้ฝ่าเท้าไอ้พวกชั่ว ชีวิตของเรามันก็ไร้ค่าทั้งนั้น”

“แล้วที่นายรับใช้จอมมาร แบบนี้ไม่ยิ่งไร้ค่ากวา่าเหรอ

“ไม่ครับ ทั้งจอมมารและเผ่าปีศาจ ไม่ได้เป็นอย่างที่โบสถ์ใหญ่ล้างสมองพวกเรา ผมเไปเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว สำหรับท่านจอมมาร...ไว้ท่านเรเดียได้พบเขาแล้วก็จะเข้าใจเอง”

“จะพาฉันไปส่งให้จอมมารสินะ”

“เรียกว่าพาไปพบดีกว่าครับ ส่วนหลังจากพบแล้ว ท่านเรเดียคิดจะทำอะไรต่อไป เป็นสิทธิ์ของท่านที่จะทำได้ครับ นั้นสิสิ่งที่ทา่นจอมมารบอกกับผมมา”

แต่ยังไม่ทันจะได้พูดต่อ เสียงจากสารถีก็ดังแทรกเข้ามา

“ข้างหน้ามีด่านขนาดใหญ่ มีอัศวินไม่ต่ำกวา่า 20 คน จะให้อ้อมไปไหม”

“ไม่ต้องฝ่าไปเลย พวกเราต้องไปรับคนอื่นอีก จะให้ท่านจอมมารรอมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

เอนันโด้ออกไปยืนข้างสารถี พร้อมกับใส่หมวกเกราะสีดำและชักดาบออกมา

พวกฮัศวินเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะหยุด เลยชักอาวุธอกอกมา และตั้งขบวนขวางทางรถม้าไว้ด้วยหอกยาว

ทว่าเพียงพริบตาเดียว เอนันโด้ก็หายไปจากข้างสารถี และมาโผล่กลางวงของเหล่าอัศวิน ดาบของเขาฟันด้วยการเหวี่ยงเต็มวง ชุดเกราะของเหล่าอัศวินก็ถูกฟันขาดราวกับเป็นกระดาษ ถึงจะไม่มีใครตาย แต่ก็มีคนได้รับบาดเจ็บสาหัสไปเหมือนกัน แถมตรงลอยแผล มันเหมือนมีอะไรกลับฉีกปากแผลเพื่ออกมาจากข้างใน มือขนาดเหล็กเท่าหัวดินสอจำนวนมากกำลังรุมฉีกบาดแผลอยู่ เล่นเอาพวกอัศวินกรีดร้องด้วยความตกใจ

“ถ้ารีบกลับไปรักษาที่โบสถ์ใหญ่ในตอนนี้พวกเจ้ายังมีโอกาศรอด รีบไปซะ”

เอนันโด้เก็บดาบ และกระโดดขึ้นรถม้าที่แล่นผ่านมาอย่างได้จังหวะ

“อย่าปล่อยให้ไป!”

แต่ยังมีพวกอัศวินและทหารที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ กระโดดขึ้นหลังม้าเพื่อตามขบวนมา

“ดื้อด้านเกินไปมันจะนำความตายมาหานะ”

เอนันโด้บอกพร้อมกับปล่อยออร่าออกมา เพียงแค่เข้าใกล้ ม้าของพวกที่ตามมา ก็เกิดคลุ้งคลั่งและกำลังกลายสภาพเป็นม้าปีศาจแห่งความมืด พวกมันหยุดวิ่งและสบัดเอาคนขี่ให้ตกลงมา ก่อนจะเข้าไปขย้ำกินเป็นอาหาร

“นี่นาย!”

เรเดียแทบไม่อยากเชื่อสายตา จริงอยู่ว่าเมื่อตอนมีชีวิตเอนันโด้มีฝีมือและทักษะสูงมาก แต่เทียบไม่ได้กับตอนนี้เลย เขาทำเหมือนกับว่าอัศวินและทหารเป็นเพียงแค่แมลง ที่เพียงต้องปัดให้พ้นทางด้วยการโบกมือไล่เท่านั้น

“...น่าเสียดายพลังของข้ามีเพียงเท่านี้ มันเทียบไม่ได้เลยกับพลังของเหล่านักรบที่แท้จริงของเผ่าปีศาจ แต่ถึงกระนั่นท่านจอมมารก็ไว้ใจข้า ให้มาทำงาน นี้สินะความภาคภูมิของเผ่าปีศาจ”

สิ่งที่เอนันโด้เอ่ยขึ้นมา เล่นเอาทุกคนนั่งตัวแข็งทื่อในหลายๆ ความหมาย ตอนนี้เอนันโด้ไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่เลย จิตใจเขากลายเป็นเผ่าปีศาจโดยสมบูรณ์ แถมฝีมือระดับนี้ยังเป็นเพียงได้แค่ระดับล่าง ความน่ากลัวของเผ่าปีศาจมันยิ่งกว่าที่ทุกคนคิดเอาไว้ซะอีก

“ไม่ต้องกลัวหรอกครับท่านเรเดีย ข้ายังปกติดี เพียงแต่ข้าได้เห็นและรู้จักโลกนี้มากขึ้น จะเรียกว่าตาสว่างขึ้นมาแล้วก็ว่าได้ แถมท่านจอมมารเองก็อนุญาตให้ข้าได้ติดตามปกป้องท่านเรเดียเหมือนเมื่อก่อนได้ เช่นนั้นโปรดเรียกใช้ข้าตามที่ท่านประสงค์ เพียงแต่อย่าลืมว่า ดาบของข้าได้มอบให้กับท่านจอมมารไปแล้ว โปรดระวังในเรื่องนี้ด้วย”

เอนันโด้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจน เขาตั้งใจจะทำตามหน้าที่เดิมต่อไป เพื่อรักษาเกียรติ์และศักดิ์ศรีความเป็นอัศวินเอาไว้ แต่ว่าความภักดีของเขาตอนนี้ถูกมอบให้เจ้านายใหม่ไปแล้ว ซึ่งโชคดีของเขาที่เจ้านายใหม่ให้อิสระและเข้าใจในเกียรติ์ของอัศวิน

“...งั้นขอถามนาย จอมมารต้องการอะไรกันแน่”

เรเดียคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามออกมา ซึ่งเอนันโด้ขยับหัวขึ้นลงเบาๆ ก่อนจะตอบ

“ความคิดของท่านจอมมารค่อนข้างซับซ่อน แต่ความต้องการของท่านเรียบง่าย...ท่านจอมมารเพียงต้องการความสบายใจครับ”

คำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างอะไรขึ้นมาเลย แต่เรเดียก็ต้องอดใจรอ เพราะเอนันโด้บอกว่าถ้าอยากรู้มากกว่านี้ ก็ต้องไปคุยกับจอมมารเอง เขาเพียงแต่รับคำสั่งมาช่วยเหลือเธอและเหล่าเหยื่อที่น่าสงสารให้พ้นเงื้อมือของโบสถ์ใหญ่ และตามอารักษ์ขาไปจนกว่าจะถึงสถานที่ปลอดภัยซึ่งมีจอมมารรออยู่

ระหว่างทางเอนันโด้ได้ไปแวะกับคนอีกกลุ่มมา พวกนี้เป็นบักบวชและอัศวินระดับล่าง ที่หนีออกมาจากโบสถ์ใหญ่และกำลังถูกตามล่าตัวอยู่

“จอมมารให้คุณมาพาพวกเราไปเหรอ”

หัวหน้ากลุ่มที่ชื่อกรอเรียถามกับเอนันโด้ สีหน้าเธอซีดลงเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินชื่อจอมมาร

“ครับ แต่จะให้ถูก คือท่านให้พวกเรามาเชิญคุณไปด้วยกัน แต่ถ้าคุณไม่ต้องการ พวกเราก็จะไม่บังคับ แต่ขอเตือนว่าที่อยู่ของพวกคุณตอนนี้ไม่ปลอดภัยแล้ว ควรย้ายไปที่อื่นอย่างเร่งด่วน”

“คุณหนูกรอเรีย ขอโทษที่ต้องเสียมารยาทครับ แต่พวกเราคิดว่า มันคงจะเป็นการดีกว่า ถ้าจะกลับไปหาจอมมารนะครับ”

อัศวินคนหนึ่งในกลุ่มแสดงความเห็นออกมา ซึ่งคนอื่นๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน

“แต่พวกเราเป็คนทิ้งเขามาเอง...เขาคงโกรธฉันอยู่”

“ท่านจอมมารไม่ได้โกรธอะไรหรอกครับ ท่านเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณ ซ้ำยังเป็นห่วงจากใจจริงด้วย”

“เขายังห่วงพวกเราอยู่อีกเหรอ!”

กรอเรียพอได้ยินดังนั้น ก็กลั่นน้ำตาไว้ไม่อยู่ จนคนอื่นๆ ต้องเข้ามาช่วยกันปลอบ จากนั้นเธอก็ตกลงร่วมเดินทางไปกับขบวน เพื่อไปพบจอมมารด้วย

“พวกเธอรู้จักกับจอมมารมาก่อนเหรอ”

เรเดียถามกับกรอเรียขณะที่เดินทางไปด้วยรถม้าคันเดียวกัน

“ค่ะ ฉันเลยร่วมเดินทางและอยู่ใต้การดูแลของจอมมารมาพักหนึ่ง”

“...แล้วมันเป็นคนอย่างไง”

“เอ๋?? ไม่ใช่ว่าท่านเรเดียเองก็เคยเจอกับเขามาก่อนแล้ว...อ้อ ท่านยังไม่ทราบ”

กรอเรียท่าหน้าประหลาดใจขึ้นมา แต่ก็คิดขึ้นได้ซะก่อน เลยปรับสีหน้ามาเป็นปกติ

“เขาเป็นคนอ่อนโยนมากค่ะ และถึงจะใจดีแต่กลับศัตรูแล้ว เขาจะกลายเป็นคนที่ไร้ความเมตตาไปทันที”

“...มีคนแบบนั้นด้วยเหรอ?”

พอได้ยินเรเดียพูดแบบนั้น คณะของกรอเรียก็ขำออกมาเบาๆ พลางคิดว่าตอนที่เจอหน้าจอมมาร เรเดียจะมีสีหน้าแบบไหนออกมา

ทว่าเอาเข้าจริง เรเดียก็เริ่มรู้สึกตัวตั้งแต่เห็นเส้นทางการเดินทางแล้ว เพราะมันตรงดิ่งไปที่เมืองกรอซ่า

ยิ่งพอเข้าใกล้เขตกรอซ่าก็ยิ่งมีขบวนรถม้ามาร่วมด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มาจากโบสถ์ใหญ่สาขาต่างๆ แน่นอนว่าทุกคนเต็มใจมา ไม่ได้ถูกลักพาตัวมาอย่างที่โบสถ์ใหญ่กล่าวอ้าง

เมื่อมาถึงเมืองกรอซ่า ทุกอย่างก็ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว ทุกคนที่หนีมาได้รับการปกป้องด้วยชื่อเจ้าเมืองแห่งกรอซ่า และได้ที่พักชั่วคราวอยู่ในเมือง มีเพียงแต่เรเดียและกรอเรีย ที่ถูกเชิญไปพบกับจอมมาร

เอนันโด้เป็นคนนำทางไปจนถึงแค่กำแพงของคฤหาสน์ ซึ่งมันดูแข็งแกร่งกวา่กำแพงเมืองซะอีก และเอนันโด้ก็มาส่งถึงแค่ตรงนี้

“หลังกำแพงนี้ไปเป็นเขตปลอดภัยแล้วครับ เขตหลังกำแพงนี้ เป็นเพื้นที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยร่วมกันของ กิลนักผจญภัย เผ่าปีศาจ และเผ่ามังกร ตอนนี้มันกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดในโลกไปแล้วครับ”

หลังจากเอนันโด้อธิบายเสร็จ เขาก็ยืนรออยู่ที่ข้างประตู และพูดคุยกับพวกมอนสเตอร์ ที่ทำหน้าที่เฝ้ากำแพงอย่างเป็นกันเอง ส่วนพวกเรเดีย พอเข้ามาด้านในแล้ว ก็เจอเมดคนหนึ่งมายืนรออยู่ แต่สายตาเธอเย็นชามาก ยิ่งตอนจ้องไปที่กรอเรีย ซึ่งสายตานั้นก็ทำให้กรอเรียทำท่ากระอักกระอ่วนขึ้นมาเหมือนกัน

“เชิญทางนี้ค่ะ”

“เดเม่ ทุกคนสบายดีไหมคะ”

กรอเรียพยายามชวนเมดคุย แต่อีกฝ่ายแสดงท่าทางรำคาญใจออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

“ทุกคนปลอดภัยดี แต่นอกจากคนที่มีหน้าที่การงานสำคัญแล้ว ที่เหลือก็กำลังลงดันเจี้ยนเพื่อเก็บเลเวลกันอยู่”

“แล้ว…”

“นายท่านสบายดีค่ะ ถึงเพราะจะมีเรื่องวุ่นวายมาตลอด เลยทำให้นายท่านไม่ค่อยได้พักผ่อน แต่พวกเราทุกคนก็ช่วยกันดูแลให้นายท่านมีความสุขอยู่เสมอ”

ถึงจะเป็นการพูดคุยธรรมดา แต่น้ำเสียงของเดเม่เหมือนกำลังแดกดันกรอเรียอยู่

ส่วนเรเดียไม่รู้ว่าควรจะวิตกเรื่องที่พวกเธอคุยกันดี หรือจะวิตกกับสถานที่แห่งนี้ดี เพราะตั้งแต่กำแพงที่เหมือนป้อมปราการสุดแกร่งแล้ว ยังมีพวกมอนสเตอร์อยู่กันเต็มไปหมด ระหว่างทางที่เดินมานี้ก็ยิ่งทำให้น่าประหลาดใจ เพราะมีทั้งเผ่าปีศาจ เผ่ามังกร กระทั่งมนุษย์เดินสวนกันไปส่วนกันมา ราวกับเป็นเรื่องปกติ และนอกจากนั้นถึงตัวเธอจะเคยเห็นคฤหาสน์ของขุนนางที่สวยงามและใหญ่โตมามาก แต่เทียบกับที่นี้ไม่ได้เลย

ผิดกับป้อมปราการด้านหน้าที่ดูใหญ่โตน่าเกรงขาม แต่ข้างในนี้ราวกับสวนสวรรค์ มีสวนดอกไม้นานาพันธุ์จนเปลี่ยนพื้นหญ็าให้กลายเป็นสายรุ้ง และมียังพวกแฟรี่ที่นอนพุงกางอยู่บนดอกไม้ด้วย ลานนน้ำพุที่จากเดิมเป็นแบบธรรมดา ตอนนี้ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นรูปปั้นสูงกว่าห้าเมตร ที่มีการแกะสลักแสนวิจิตร พร้อมกับกลไกที่ทำให้น้ำพุมีการแปรรูปอยู่ตลอดเวลา และที่ฐานของรูปปั้นกลางบ่อน้ำพุ กำลังมีนางเงือกนอนอาบแดดอยู่ มองไปทางไหนก็มีแต่ความสงบสุขและสวยงาม จนเรเดียไม่มั่นใจว่านี้คือที่อยู่ของจอมมารจริงๆ เหรอ

ข้างในคฤหาสน์มีอากาศที่เย็นสบายและกลิ่นหอม ถึงจะไม่มีการตบแต่งให้ดูหรูหรา แต่มันสะอาดตาและให้ความรู้สึกที่ภูมิฐานอยู่

เดเม่พาทั้งสองไปทิ้งไว้ในห้องรับแขก ก่อนจะเดินออกไปตามจอมมารเข้ามา

กรอเรียหันไปมอเรเดียเพื่อสังเกตพฤติกรรม แต่เรเดียไม่ได้ใส่ใจสายตาที่จ้องมอง เพราะเธอกำลังสนใจจานซึ่งใส่ขนมที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

“สิ่งนั้นเรียกว่าเค้กค่ะ หวานอร่อยมาก ลองชิมดูสิคะ”

กรอเรียแนะนำ

“เธอเคยกินมาแล้วเหรอ!?”

“ค่ะ ตอนอยู่ที่นี้ได้ทานของหวานทุกวันเลย”

“ของหวาน?”

“ค่ะเป็นของกินที่ไว้ทานหลังมื้ออาหารหลัก หรือทานเล่นช่วงดื่มชา”

“...ไม่พิษใช่ไหม”

“ไม่มีแน่นอนค่ะ เอ่อ แต่ว่าระวังติดนะคะ มีลูกน้องฉันบางคนถึงกับลงแดงไปเลยพอไม่ได้ทานอีก”

พอได้ยินเรเดียก็ถึงกับกลืนน้ำลายดังเฮือก เพราะเธอไม่เคยเจออาหารที่อร่อยขนาดทำให้คนลงแดงได้มาก่อน มาถึงขั้นนี้แล้วถึงน่าจะกลัว แต่ก็น่าลองเหมือนกัน เธอเลยตักมันเข้าปากเพื่อเป็นการชิม

จากนั้น...น้ำลายไหลท่วมออกมาราวกับน้ำตก เพราะต่อมกระตุ้นการต้องการอาหาร มันเรียกร้องให้รีบยัดเค้กเข้าไปเพิ่มอีก เค้กหนึ่งชิ้นอันตรธานหายเข้าไปในปากของเรเดียในพริบตาเดียว ซึ่งกรอเรียเองก็เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน เลยไม่แปลกใจอะไร และส่งเค้กของตัวเองให้เรเดียไปด้วย

“อ อร่อย! ฉันไม่เคยทานอะไรอร่อยแบบนี้มาก่อนเลย ความหวานกับความนุ่มที่ลงตัวนี้มันอะไรกัน!”

“ที่อร่อยกว่านี้ก็มีอีกนะคะ”

“มีอร่อยกว่านี้อีกเหรอ! น น่ากลัว จอมมารช่างเป็นคนที่น่ากลัวอะไรแบบนี้”

กรอเรียถอนหายใจออกมา เพราะไม่ทันไรเรเดียก็โดนขนมหวานล้างสมองไปซะแล้ว แต่ก็โทษไม่ได้หรอก เนื่องจากมันอร่อยจริงๆ

แต่ขณะนั้นเอง ก็มีคนเดินเข้ามาในห้องรับแขก เป็นโรมะกับเมยอา

กรอเรียก้มหน้าลงทันที หน้าของเธอแดงจนถึงใบหู ส่วนเรเดียรีบเช็ดปากและกลับมานั่งตัวตรง แต่เธอสัมผัสได้เลยว่า คนที่เข้ามาเป็นผ่าปีศาจระดับสูง

“พวกเธอมาถึงแล้ว ดีจังที่ปลอดภัยกันดีอยู่”

“ข ขอบคุณค่ะ”

กรอเรียตอบแบบตะกุกตะกัก ส่วนเรเดียขมวดคิ้วและถามออกมา

“นายเหรอจอมมาร...ว่ามา นายต้องการอะไรจากพวกฉัน”

เรเดียยังไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของโรมะ เลยจำไม่ได้ว่าเป็นเขา แต่อีกฝ่ายเพียงหยิบตอบ ก่อนจะยื่นมือออกมาดึงเอาริบบิ้นที่คอเธอออก มันคือไอเท็มต้องคำสาปที่ทำให้เธอทรมานอยู่พักใหญ่ พึ่งมีช่วงหลังๆ เนี่ยล่ะ ที่เธอเริ่มปลงแล้ว จึงหลุดจากการทรมานมาได้ ทว่าคนที่จะถอดมันออกได้มีเพียงแต่คนเดียวเท่านั้น

“จำผมไม่ได้แล้วเหรอ ท่านอาร์คบิชอป”

เสียงนี้ยิ่งทำให้เธอมั่นใจ เรเดียเลยลุกขึ้นยืนและชี้หน้าจอมมาร

“แก! ไอ้โรมะ!”

“ครับ โรมะเองครับ”


ตอนที่ 146 ทำลายสิ่งที่มองไม่เห็น


“เอ๋? จะลงดันเจี้ยนเหรอครับ”

โคเฮย์ถามขึ้น เมื่อเห็นริกะที่พึ่งกลับมา สั่งลูกน้องส่วนตัวของเธอ จัดเตรียมข้าวของสำหรับการลงดันเจี้ยนให้

“ใช่แล้ว ฝากเรื่องกิลให้นายดูแลไปก่อนนะ ฉันจะใช้เวลานานหน่อย”

“ทำไมปุ๊บปั๊บจังครับ แถมพึ่งกลับมาเอง”

“...ฉันจะเก็บเเลเวลเพิ่ม”

“งั้นให้”

“ไม่ต้อง ฉันเก็บเลเวลคนเดียวจะเร็วกว่า และคราวนี้ฉันไปดันเจี้ยนโลกใต้บาดาล มาเซยิส”

“นั้นมัน!”

ดันเจี้ยนโลกใต้บาดาล ถือเป็นดันเจี้ยนที่ใหญ่ติดหนึ่งในสามของโลก มันกินพื้นที่ใต้ท้องมหาสมุทรไปกว่าหนึ่งในสิบ และทางเข้าจะต้องลงไปตามล่องเหวลึกที่ไร้แสง เดินทางไปอีกเป็นเดือนเพื่อเข้าสู่ดันเจี้ยนมาเซยิส

ปัจจุบันการสำรวจไม่คืบหน้า เพราะเส้นทางส่วนใหญ่ถูกน้ำท่วมทำให้ไปต่อไม่ได้ มอนสเตอร์เองก็มีเลเวลค่อนข้างสูง ขนาดปาร์ตี้ผู้กล้าเอง ยังแทบเอาตัวไม่รอดในดันเจี้ยนแห่งนี้

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันมีสกิลที่ไว้ใช้ในดันเจี้ยนนั้นพร้อมแล้ว แถมยังได้สกิลดีๆ มาจากเจ้าโรมะตัวปลอมตัว”

“เช่นนั้น จะทำอย่างไงดีกับมารที่เหลือครับ”

“ปล่อยไปก่อน พวกเราจัดการไปได้แล้วสอง ตอนนี้พวกมันที่เหลือคงยิ่งระวังกว่าเดิม ทิ้งเวลาให้มันประมาทและออกมาเคลื่อนไหวเอง ช่วงนี้นายกับฮิเดกิก็ให้ลูกนเ้องเก็บเลเวลซะ พวกเผ่าปีศาจท่าจะมีตัวอันตรายอยู่เยอะกว่าที่คิดไว้”

“รับทราบครับ”

“ว่าแต่เจ้าฮิเดกิหายหัวไปไหน?”

“มันกำลังสะสมพลังอยู่ครับ เห็นว่าคราวก่อนเพราะพลังไม่พอ เลยจำเป็นต้องปล่อยมารแห่งความเกียจคล้านไป แต่รอบหน้าที่เจอกัน คงกะเอาจริงเต็มที่แน่”

“...ถ้าเจอตัวแล้ว บอกให้รอฉันกลับมาก่อนค่อยลงมือ เพราะเราจะพลาดไม่ได้อีก มารแห่งความเกียจคร้านเป็นคนฉลาด ถ้าจะจัดการต้องรวบรัดในครั้งเดียว”

“ครับ แล้วผมจะจัดการเรื่องฮิเดกิเอง”

“แล้วห้ามลืมล่ะ ถ้าเจอตัวคนที่ชื่อโรมะ ให้จับกุมตัวเอาไว้ ไม่ต้องสนใจว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม เจอคนชื่อนี้เมื่อไร จับมาให้หมด แล้วรอฉันกลับมายืนยันตัว”

“เข้าใจแล้วครับ เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของกิล”

“...คนมีชื่อเสียง ให้จับตาพวกคนที่มีชื่อเสียงเอาไว้ ด้วยความสามารถของโรมะ ต่อให้เขาพยายามหลบซ่อนตัว แต่ความสามารถของเขาอย่างไงก็ต้องเปร่งประกายออกมาให้เห็นแน่ๆ อาจจะไม่ได้ทางตรง เพราะงั้นให้สืบลึกเข้าไปถึงคนที่อยู่เบื้องหลังด้วย”

“พูดถึงเรื่องคนมีชื่อเสียง ท่านริกะได้ยินข่าวเรื่องเจ้าเมืองกรอซ่าคนใหม่บ้างไหมครับ”

“ไม่เลย ทำไมเหรอ”

“เห็นว่าเป็นคนจากเผ่าปีศาจ และเมื่อไม่กี่วันมานี้ พึ่งประกาศแยกตัวและตั้งประเทศใหม่ของตัวเองด้วยครับ”

“เหรอ แย่หน่อยที่ตอนนั้นฉันรีบออกมา เลยไม่ได้ตามข่าวที่นั้น เป็นไปได้ว่าเจ้าโรมะตัวปลอมเป็นแค่เหยื่อล่อ เพื่อสร้างสถานการณ์ จากนั้นก็มีอีกทีมหนึ่งค่อยจัดการรวบอำนาจอยู่เบื้องหลัง”

“คงจะเป็นแบบนั้นล่ะครับ จะให้พวกเราเข้าไปจัดการไหมครับ”

“ไม่ต้อง ปล่อยให้เป็นงานของพวกผู้กล้าไป”

พอบอกเสร็จริกะก็ออกจากห้องไปทันที ส่วนโคเฮย์ก็ได้แต่เกาหัว เพราะมีปัญหาให้ต้องจัดการหลายอย่าง แต่โดยส่วนตัว เขาเริ่มรู้สึกติดใจเมื่อกรอซ่าขึ้นมา เพราะในช่วยไม่นานมานี้ มันกลายเป็นแหล่งที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น เบื้องหลังเมืองนี้ จะต้องมีสิ่งที่ทรงอำนาจมากเคลื่อนไหวอยู่แน่ๆ

“...รอฮิเดกิกลับมาแล้วแอบย่องไปดูดีกว่า”

………………

ตรงหน้าผมตอนนี้คือกรอเรียและเรเดีย ทางฝ่ายกรอเรียดูท่าจะใจเย็นลงแล้ว และยอมรับสภาพได้ในระดับหนึ่ง ไม่สิ ดูจากสีหน้า เธอคงรู้สึกผิดกับผมเอามากๆ ส่วนของเรเดียนี้สิ ปรับตัวตามไม่ทัน เลยได้แต่อ้าปากค้าง

“การเดินทางราบรื่นดีนะ”

“ค่ะ คุณเอนันโด้ดูแลพวกเราดีมาก แต่พอบอกได้ไหมคะ ว่าทำไมถึงรู้ว่าพวกฉันซ่อนตัวที่ไหน”

กรอเรียถามผมกลับ ท่าทางเหมือนชวนคุยกันตามปกติ

“รู้แล้วเงียบไว้นะครับ...ตอนนี้ผมได้เส้นสายด้านการข่าวของกิลนักผจญภัยมาไว้ในมือแล้ว”

“กิลนักผจญภัย แบบนี้เอง”

“แต่ข่าวที่กิลนักผจญภัยหามาได้ ทางโบสถ์ใหญ่ก็สามารถเข้าถึงได้เหมือนกัน ผมเลยต้องรีบส่งเอนันโด้ไปเตือน”

“ขอบคุณมากค่ะท่านโรมะ”

“อย่าขอบคุณเลย ทางนี้ต่างหากที่ต้องขอโทษ เพราะผมแท้ๆ พวกเธอถึงซวยไปด้วยเลย”

“ไม่ค่ะ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันตาสว่างขึ้นมาแล้ว”

“งั้นขอฟังความคิดเห็นของเธอหน่อยล่ะกัน”

“ค่ะ ที่ฉันเห็นกับตาตัวเอง ฉันคิดว่าโบสถ์ใหญ่ไม่เคารพหลักคำสอนเลย พวกเขาหาได้มีจิตใจเมตตาและความดีงาม แต่กลับอ้างพระเจ้าบังหน้าเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง ผิดกับท่านโรมะ ถึงท่านจะเป็นจอมมารและถูกคนอื่น...รวมทั้งฉันประนามหยามเหยียด แต่ท่านก็แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมน้ำมิตร ความมีเมตตาและโอบอ้อมอารีที่ทำอยู่เป็นนิจ ฉันเลยได้เข้าใจแล้วว่า ความดีหรือความชั่ว หาได้แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลที่นำพาไปใช้ต่างหาก”

“คิดได้เช่นนั้นก็ประเสริฐแท้ แต่ขอบอกก่อนนะครับ ผมไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้นหรอก”

“ที่บอกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี นั้นเพราะท่านโรมะไม่อยากให้คนอื่นผิดหวังในตัวเองสินะคะ แต่แม้จะเป็นด้านที่โหดร้ายของท่าน ฉันเองก็คิดว่ามันเป็นความโหดร้ายที่บริสุทธิ์ค่ะ เพราะตั้งแต่รู้จักกับท่านโรมะ ฉันไม่เคยเห็นท่านโรมะโกรธและทำร้ายคนอื่นเพื่อตัวเองเลย”

“อุ๊ เล่นพูดแบบนี้เดี๋ยวผมก็เหลิงหรอกครับ”

“ถึงตอนนั้นฉันจะเป็นคนเตือนท่านโรมะเองค่ะ”

“เตือนแรงๆ ได้เลยครับ แต่ว่า….ได้คิดไว้หรือยังครับว่า จะเอาอย่างไงต่อ”

กรอเรียส่ายหน้า พลางก้มหน้าอย่าสำนึกผิด

“ฉันยังคงศรัทธาในพระเจ้า แต่ไม่ได้ศรัทธาในโบสถ์ใหญ่ นั้นมันเป็นปัญหามากทีเดียว อีกอย่างฉันทำลายน้ำใจของท่านโรมะ และหันหลังให้ท่านไปแล้วครัั้งหนึ่ง ฉันไม่ควรได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากท่านอีก”

“พอแค่นั้นครับ อย่าโทษตัวเองอีกเลย ผมไม่โกรธเรื่องนั้นหรอก ส่วนเรื่องทางออกผมพอมีแนวทางจะเสนอ แต่เดี๋ยวขอคุยกับทางท่านเรเดียก่อน ว่าเธอคิดเห็นเป็นเช่นไร ว่าไงครับท่านเรเดีย หายอึ้งหรือยังครับ”

“แกว่าใครอึ้ง! ฉันแค่สับสนเรื่องหน้าตาของแกที่เปลี่ยนไปเท่านั้นแหละ”

“ดูเหมือนว่าริบบิ้นนี้จะแก้นิสัยท่านเรเดียไม่ได้สินะ หรือผมจะเปลี่ยนไปใช้อันที่แรงกว่านี้ดี”

“หยุดเลยนะ! ฉันไม่ใช่ของเล่นของแกสักหน่อย”

“ไม่เล่นก็ได้ งั้นมาเข้าเรื่องกันเลยล่ะกัน ท่านเรเดียคิดจะเอาอย่างไงต่อครับ จะกลับโบสถ์ใหญ่ จะให้ผมปกป้อง หรือคิดทางเลือกอื่นออกอีกว่ามาได้เลยครับ”

“...ทำไมถึงช่วยฉันไว้ล่ะ”

“เสียของ”

“เสียของ?”

“ก็ขืนทิ้งท่านเรเดียไว้ที่โบสถ์ใหญ่ มีหวังโดนตาแก่พวกนั้นงาบไปกินแน่ แบบนั้นแหละที่เรียกว่าเสียของ”

“นี้แกพูดจริงเหรอ”

“จริง แค่นั้นแหละเหตุผล แล้วมีอะไรอยากจะถามอีกไหมครับ”

“มีเยอะเลย”

“งั้นก็สรุปว่าท่านเรเดียจะอยู่ที่นี้”

“เดี๋ยวสิ! ทำไมจู่ๆ สรุปออกมาเองแบบนั้น แล้วก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะให้ถามก่อนเหรอ”

“ก็ท่านเรเดียถามแต่เรื่องไร้สาระแน่ๆ และถ้าคิดจะกลับไปโบสถ์ใหญ่ ก็คงกระโดดลงจากรถม้าไปแล้วตั้งแต่กลางทาง ที่ผมพูดว่านี้ถูกต้องไหมครับ”

“น หน่อย”

เรเดียเถียงไม่ออก ได้แต่ทำท่าเจ็บใจ

“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมไม่บังคับสักหน่อยนะ ถ้าคิดจะหลบไปอยู่ที่อื่น เดี่ยวจะช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายกับเรื่องการปลอมตัวให้ แต่แบบนั้นไม่แนะนำหรอกนะ”

“ทำไม?”

“ก็เพราะท่านเรเดียน่ะไม่เหมือนกับคุณกรอเรีย ท่านเป็นถึงอาร์คบิชอป ย่อมต้องรู้ความรับของโบสถ์ใหญ่พอสมควร พวกมันจะตามล่าจนสุดขอบฟ้าแน่ๆ เพราะฉะนั้นถึงจะไปอยู่ที่อื่น ก็ไม่รับประกันว่าพวกนั้นจะหาไม่เจอ ตรงกันข้าม ถ้าอยู่ที่นี้ถึงพวกมันรู้ก็เอื้อมมือมาไม่ถึง และก็นะ เรื่องคิดจะติดต่อทางบ้านให้เลิกคิดเถอะ ถึงตอนนี้พวกนั้นจะแค่ดูเฉยๆ แต่ถ้าดึงทางบ้านเข้ามาเกี่ยวด้วยเมื่อไร พวกเธอได้โดนฆ่าล้างตระกูลแน่”

“ไม่มีทาง โบสถ์ใหญ่ไม่ทำเรื่องชั่วช้าแบบนั้น”

“ไม่ค่ะ ถ้าโบสถ์ใหญ่ล่ะก็ ทำแบบนั้นแน่นอนค่ะ”

กรอเรียช่วยยืนยันแทน

“ทางครอบครัวฉันก็โดนเล่นงานเหมือนกัน ถึงต้องแยกย้ายกันหนีแบบหัวซุกหัวซุนแบบนี้”

“ร เรื่องนั้น”

“อ่ะ เรื่องครอบครัวของคุณกรอเรียปลอดภัยดีครับ พวกเขาไม่ยอมเชื่อใจคนของผมเลย ถ้าเป็นไปได้คุณกรอเรียช่วยไปกล่อมพวกเขาให้มาอยู่ที่นี้ได้ไหมครับ ผมยังต้องการขุนนางที่มีความสามารถมาช่วยบริหารเมืองด้วย”

“จะได้เหรอคะ!”

“อืม เรื่องยศนี้คงถูกราชาของเลนคานยึดคืนไปแน่ๆ ล่ะนะ แต่ตอนนี้เป็นผมราชาของอินเวสก้าแล้ว สามารถมอบยศให้ใหม่ได้ แต่คงต้องให้ไปเริ่มจากระดับล่างก่อนล่ะนะ”

“ถึงจะโดนลดยศลงก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ไม่ต้องหลบหนีเยี่ยงนักโทษก่อความผิด ท่านพ่อและท่านแม่ก็น่าจะดีใจแล้ว”

“อืม งั้นไว้เดี๋ยวหลังคุยกันจบแล้ว ผมจะให้คนของผมพาไปนะ”

“ด เดี๋ยวสิ นี้ลืมฉันไปแล้วเหรอ”

“หา? ยังมีอะไรต้องคุยอีกล่ะ”

ผมหันไปถามเรเดียกลับ อีกฝ่ายก็นั่งทำหน้าอึกอักก่อนจะพูดขึ้นมา

“แล้วนายจะให้ฉันทำอะไรที่นี้”

“สรุปคือจะอยู่ใช่ไหมครับ”

“รู้แล้วยังจะถามอีก! เล่นพูดมาซะแบบนั้นฉันยังจะกล้าไปที่ไหนได้อีกล่ะ”

“อย่าโกรธสิครับ งั้นถ้าตัดสินใจอยู่แล้ว งั้นผมขอถามคำถามเดียวกับคุณกรอเรีย ท่านเรเดียยังศรัทธาในโบสถ์ใหญ่อยู่หรือเปล่าครับ”

“ฉัน...ไม่รู้”

“...”

ผมยังเงียบเพื่อรอคำตอบจากใจจริงของเธอ

“แกจะให้ฉันพูดว่าอย่างไง! ว่าฉันเกลียดโบสถ์ใหญ่ และอยากฆ่าพวกมันให้หมดเหรอ”

“เปล่า แค่อยากฟังความในใจจริงๆ”

“บอกแล้วไง ฉันไม่รู้”

“งั้นมาเล่นเกมส์กันหน่อยไหม”

ผมหยิบเอาเกมส์หมากขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ สีหน้าของเรเดียเปลี่ยนไปทันที เธอยิ้มที่มุมปาก

“รู้ใจฉันเหมือนกันนี้ คราวนี้แหละฉันจะได้แก้มือจากคราวก่อน”

“เอาเป็นว่า คนชนะจะถามอะไรคนแพ้ก็ได้ แต่คนแพ้จะต้องตอบแต่ความจริง เป็นไงข้อเสนอนี้”

“ตกลง!”

แล้วยัยโง่นี้ก็มาติดกับอีกจนได้ ไม่ขัดเลยจริงๆ

เรเดียถึงจะฝึกมาหนัก และเปลี่ยนวิธีเล่นแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังแก้นิสัยไม่ได้ อย่างตอนนี้ถึงเธอจะพยายามเดิมอย่างรอบคอบ และไม่บุกโหมแบบบ้าเลือดเหมือนคราวก่อน แต่ก็ยังมีความใจร้อน ที่พอโดนผมจงใจทิ้งเหยื่อล่อไว้ เธอก็จะไล่งับทันที

“ทำไมกัน! เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่นั้นฉันก็ฝึกมาตลอด ไม่มีทางแพ้ได้หรอก!”

“ก็ครั้งก่อนผมยังไม่ได้เอาจริงนี้”

“ว ว่าไงนะ!”

ว่าไปนั้น เรเดียนี้แกล้งสนุกดี ถึงจะหัวแข็งแต่ก็เชื่อคนง่าย ผิดกับกรอเรียเลยแฮะ ที่ถึงท่าทางจะหัวอ่อน แต่เป็นคนระวังตัวสูงทีเดียว

“เอาล่ะ ทำตามข้อตกลงซะ ตอบคำถามมาด้วยความสัตย์จริง เธอรู้อย่างไงกับโบสถ์ใหญ่กันแน่”

“ชิ ก็ได้ เข้าใจแล้ว! ถ้าอยากรู้มากนั้นก็จะบอกให้ ฉันไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก มันก็แค่สถานที่ที่ทำให้ฉนมีอำนาจ และได้เรียนรู้เวทมนต์มันก็เท่านั้นเอง คำสอนเหรอ พระเจ้าแล้วไง ของแบบนั้นฉันไม่แคร์สักหน่อย”

“ท่านเรเดีย!”

คำพูดของใจจริงของเรเดีย เล่นเอาผู้ศรัทธาตัวจริงอย่างกรอเรียถึงกับหน้าซีด ก็อีกฝ่ายเป็นถึงอาร์คบิชอป เล่นมาพูดแบบนี้ซะเอง ไม่แปลกคนที่อื่นจะพากันรู้สึกหดหู่

“สรุปคือ ต่อให้ไม่ได้สังกดโบสถ์ใหญ่แล้วก็จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“ถึงจะเสียดายตำแหน่ง แต่ใช่ ถ้ามันอันตรายต่อตัวฉันแบบนี้ ฉันก็ไม่อยากจะกลับไปแล้วล่ะ”

“เข้าใจล่ะ งั้นผมขอเสนอแนวทางเลยนะครับ”

ผมมองไปที่กรอเรีย ซึ่งยังไม่หายช็อค แต่ก็พยายามตั้งสติกลับมาเพื่อฟังผมต่อ

“คุณกรอเรีย อยากจะตั้งศาสนาใหม่ขึ้นมาไหมครับ”

“ว ว่าไงนะคะ!”

“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ ก็ในเมื่อความเห็นในเรื่องนแวทางมันไม่ตรงกัน ก็แค่แยกนิกายออกมา แต่ยังคงนับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน”

“แยกนิกาย!?”

“ครับ ถ้าโบสถ์ใหญ่ใช้เพียงคำสอนมาแสวงหาผลประโยชน์ และใช้บังหน้าทำเรื่องชั่วร้าย คุณกรอเรียที่ยังยึดมั่นคำสอน ก็ตั้งนิกายขึ้นมาเพื่อแยกเป็นอิสระจากโบสถ์ใหญ่ และบัญยัติแนวทางขึ้นมาใหม่ โดยยึดหลักคำสอนดังเดิ่ม เช่นว่า เป็นนิกายที่เคร่งต่อการปฏิบัติตน และเผยแพร่คำสอนอย่างมีสติ ไม่อ้างพระเจ้าในการกระทำสิ่งใด นี้แค่ยกตัวอย่างนะครับ เพราะเพียงแต่ทำสิ่งที่แตกต่างจากที่โบสถ์ใหญ่ทำ ก็จะถือว่าแตกต่างนิกายกันแล้ว และแน่นอนว่า ถ้าคิดจะทำ ผมจะให้อาเดไลท์ช่วยสนับสนุนด้วยอีกแรง ถึงรายนั้นจะนับถือลัทธิเทพก็เถอะ แต่เธอเป็นคนเปิดกว้างและไม่แบ่งแยก”

“ไหนๆ ถ้าจะทำเรื่องศาสนา ช่วยจัดระเบียบลัทธิเทพเมฆาสวรรค์ของนายท่านด้วยสิ”

เมยอาได้จังหวะจิกกัดผม

“เอ่อ ลัทธินั้นพวกทาสกับเผ่าครึ่งสัตว์สร้างกันขึ้นมาเอง อย่าเอาผมไปเกี่ยวด้วยสิ”

“ถึงจะบอกว่าไม่เกี่ยว ก็สายไปแล้วล่ะ ก็นายท่านกลายเป็นเทพในสายตาของผู้ศรัทธาไปแล้ว”

“ย อย่าพึ่งนอกเรื่องสิ ผมกำลังคุยเรื่องสำคัญกับคุณกรอเรียอยู่นะ”


“...”

เมยอารู้ว่าผมหนีปัญหาอยู่ แต่เธอก็ยอมปล่อยผมไป

“ว่าไงครับ คุณกรอเรีย สนใจจะทำนิกายใหม่ไหมครับ”

“...ถ้าเป็นอย่างที่ท่านโรมะว่า มันจะกลายเป็นปัญหานะคะ โบสถ์ใหญ่ไม่ยอมปล่อยไว้แน่”

“เรื่องนั้นไม่ต้องไปสนครับ ที่ประเทศอินเวสก้าแห่งนี้ เปิดอิสระด้านศาสนา ทั้งจะให้การสนับสนุนและปกป้องด้วย ถ้าโบสถ์ใหญ่จะมาหาเรื่อง ก็เท่ากับหาเรื่องกับนโยบายประเทศอินเวสก้า ซึ่งเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะถือว่าฝ่ายนั้นก้าวก่ายกิจการภายใน และจะนำมาซึ่งความชอบธรรมของผมที่จะทำสงครามกับพวกเขา”

“นี้เป็นเป้าหมายของท่านโรมะเหรอคะ”

“ผิดแล้วครับ ผมแค่อธิบายถึงจุดที่แย่ที่สุดให้ฟังเฉยๆ ถ้าโบสถ์ใหญ่ไม่มายุ่งกับผม ทางนี้ก็จะไม่ทำอะไรเช่นกัน ส่วนเป้าหมายจริงๆ ของผมก็คือ การคานอำนาจของศาสนาเท่านั้น ศาสนาไม่ใช่สิ่งไม่ดี และเพราะมันเป็นสิ่งที่ประชาชนเข้าถึงได้มากที่สุด ถ้าเรามีศาสนาที่ดี มีการเผยแพร่ที่ถูกต้องตามหลักคำสอนจริงๆ สามัญสำนึกรู้ดีรู้ชั่วของประชาชนก็จะพัฒนาขึ้นตาม และเมื่อประชาชนเริ่มมีทั้งศรัทธาและความรู้ เขาจะเข้าใจกันเองว่าสิ่งที่โบสถ์ใหญ่ทำอยู่มันไม่ถูกต้อง”

“ถ้าทำอย่างที่คุณโรมะบอกได้ ฉันว่ามันจะเป็นเรื่องที่วิเศษมากเลยค่ะ!”

“นั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะ อยากจะลองทำดูไหมครับ”

“ฉันจะทำค่ะ!”

กรอเรียรับปากผมแล้ว

จริงๆ ผมบอกเธอไม่หมด ว่าถ้าทำสำเร็จมันไม่ใช่แค่การพัฒนาจิตใจของผู้คนหรอก แต่นี้คือวิธีการทำลายล้างโบสถ์ใหญ่อย่างถาวรต่างหาก ที่เวเนซ่าบอกว่า เราทำลายสิ่งที่ไม่มีตัวตนไม่ได้ ผมไม่เห็นด้วยนะ เพราะต่อให้มันจับต้องไม่ได้ ผมก็มีวิธีทำลายมันอยู่ดี

ในเมื่อศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อ ผมก็จะใช้ความเชื่อเข้าต่อสู้เหมือนกัน ศรัทธาเจอกับศรัทธา ส่วนผลของการต่อสู้จะออกมาเป็นแบบไหน ผมพอจะเอาได้ไม่ยาก นอกจากพวกโบสถ์ใหญ่บรรลุถึงธรรมและตาสว่างขึ้นมาจริงๆ แบบนั้นอาจจะพอมีทางรอดได้อยู่บ้าง แต่ผลจะออกมาเป็นแบบไหนผมก็ไม่เสียอะไรทั้งสิ้น

สงครามเงียบครั้งนี้ผมไม่มีทางแพ้ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะศาสนาคือการต่อสู้ด้วยจำนวน ตอนนี้ถ้าคิดตามอัตราส่วน โบสถ์ใหญ่ครองความนิยมประมาณ 7/10 ส่วนอีก 3 ส่วนเป็นลัทธิเทพ และตอนนี้ผมกำลังจะแยก 7 ส่วนของโบสถ์ใหญ่ออกมาอีก ด้วยการตั้งนิกายใหม่

ในขณะเดียวกับเผ่าครึ่งสัตร์และเผ่าปีศาจ ที่รวมกันแล้วมีประชากรเป็น 1 ใน 3 ของมนุษย์ ซึ่งพวกนี้ไม่มีทางหันไปนับถือโบสถ์ใหญ่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้นอัตราส่วนของผู้นับถือ จะเอียงเอนไปทางตรงกันข้ามกับโบสถ์ใหญ่

ฉะนั้นคำว่าแพ้ไม่มี มีแต่จะจบอย่างไง แต่ฉากจบผมให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดเอง โดยคราวนี้ผมจะเป็นเพียงแค่คนที่นั่งดู ถึงแม้ผมจะเป็นคนโยนคบไฟลงบนบ่อน้ำมันเองก็ตามที

“แล้วฉันล่ะ”

เรเดียที่รู้สึกตัวว่าไม่มีส่วนร่วม ถามออกมา

“ก็ถ้าอยากจะช่วยคุณกรอเรียก็ไม่มีปัญหาอะไร และผมก็ว่าดีเหมือนกัน คราวนี้เริ่มต้นใหม่โดยไม่ต้องสร้างกรอบให้ตัวเองดู ท่านเรเดียอาจจะได้พบเส้นทางของตัวเองจริงๆ ก็ได้”

“เริ่มต้นใหม่เหรอ”

เรเดียครุ่นคิดกับคำพูดของผม ถ้าเธอคิดได้จะเป็นการดีมาก เพราะเรเดียเป็นอัจฉริยะ ความสามารถของเธอสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ตอนนี้เธอต้องไปเริ่มใหม่ เพื่อเรียนรู้การไม่ยึดติดกับอำนาจ

“ถ้าไม่ตกลงก็ได้นะ ผมไม่บังคับ”

ผมลองใจเธอดู แต่เรเดียรีบส่ายหน้า

“ก็ได้ ฉันจะช่วยงานกรอเรียสร้างนิกายใหม่ขึ้นมา และตัวฉันจะเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ขั้นนักบวชอีกครั้ง”

เกินคาดแฮะ นึกว่าจะต้องใช้ไม้แข็ง แต่เรเดียเริ่มรู้สึกสงบใจและมีสติแล้ว จากเดิมเธอก็ไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่หน้ามืดไปกับอำนาจเท่านั้น แต่ขณะที่ผมยิ้มอย่าโล่งอกอยู่นั้น เรเดียก็หลุกขึ้นยืนและชี้นิ้วมาที่ผม

“แต่เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ทว่าเรื่องที่แกเป็นจอมมาร ฉันจะไม่ปล่อยผ่านไปแน่!”

“....งั้นเห็นที่ผมก็คงต้องปิดปากคุณหนูอวดนี้คนนี้ซะแล้ว”

“ห่ะ?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...