ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 141 - 143 By Kumao






ขอโทษคับ ติดองเมียวอยุ่ (-_-)

ตอนที่ 141 ยินดีต้อนรับกลับมา

ปรับค่าพลังให้เหลือน้อยกว่า ช่วงชิงแรงขัดขืน และป้องกันการโจมตีขั้นสูง
นั้นคือผลลัพธ์ส่วนหนึ่งของ Sex Master ซึ่งขนาดอดีตจอมมารอย่างเวเนซ่าถึงกับหมดท่า…และเกือบตาย
ค่าพลังอันมหาศาลของเธอโดนปรับลดจนเหลือตํ่ากว่าของผม และพอจะขันขืนก็ไม่มีแรงอีก พอเดเม่กับซานูน่าจะเข้ามาช่วย ก็แตะต้องตัวผมไม่ได้ เพราะมีการป้องกันการโจมตีที่เหมือนบาเรียทำให้สัมผัสถูกตัวไม่ได้
ระหว่างนั้นผมมีสติรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ห้ามตัวเองไม่ได้…ไม่คิดจะห้ามด้วย บางสิ่งบางอย่างที่มันมีหน้าที่คอยหยุดความคลั่งของผม มันกระเด็นหายไปไหนแล้วไม่รู้
แต่ยังดีที่ถึงแม้จะไร้สามัญสำนึกไปแล้ว แต่ตัวตนของผมไม่มีเจตนาของการฆ่า พอเห็นว่า Hp ของเวเนซ่าลดจนเหลือแค่ 1/10 ตัวผมก็หยุดทำการข่มขืนเธออย่างป่าเถื่อนและรุนแรง ขนาดที่ว่าถ้าเป็นที่โลกเก่า ผมคงโดนจับประหารชีวิตไปแล้ว
แต่แค่นั้นยังไม่พอ ผมยังหันไปข่มขืนซานูน่าต่อ ซึ่งร่างที่เกิดใหม่ยังคงเป็นสาวบริสุทธิ์ จึงมีอาการสาหัสไปเหมือนกัน ตอนแรกเธอพยายามจะยกเลิกสกิลที่ใช้ควบคุมจิตใจผมไว้ แต่ Sex Master มันป้องกันกระทั่งการโจมตีของสกิล
ซานูน่าเลยกัดฟันทนรอจังหวะที่ผมเสร็จ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่สกิล Sex Master หยุดทำงาน และใช้แรงเฮือกสุดท้าย ยกเลิกสกิลสำเร็จ
แต่นั้นทำให้ผมได้รับรู้ถึงความผิดชอบชั่วดีอีกครั้ง แน่นอนผมเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป จนจิตใจผมแทบแตกสลาย ส่วนหนึ่งเพราะช็อค ไม่คิดว่าตัวตนจริงๆ ของตัวเองจะเลวได้ถึงขนาดนั้น จิตใจผมรับภาระหนักเกินไป จนมันตัดการรับรู้เพื่อปกป้องตัวเองอาไว้ ผมสลบไปในสภาพนั้น
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ข้างนอกก็มืดแล้ว นี้ผมหลับไปทั้งวันเลย แต่พอได้พักเต็มอิ่ม จิตใจผมก็เริ่มฟื้นฟูขึ้นมา ในเลยเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำก่อนในเวลานี้ ใช่ ผมต้องรีบไปขอโทษเวเนซ่ากับซานูน่า จากนั้นค่อยเยียวยาจิตใจพวกเธอ
พอลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปเปิดประตู ผมก็ได้ยินเสียงดังมาจากชั้นล่าง เลยรีบลงมาดู แต่ที่เห็นคือพวกเวเนซ่ากำลังจัดปาร์ตี้กันจนเมาปลิ้น
“ดื่มอีกๆ ช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ต้องฉลอง!”
เวเนซ่าบอกพร้อมกับเติมเหล้าให้อาเดไลท์ ที่ออกอาการเมาแล้เวหมือนกัน
“เหล้า! เอาเหล้ามาอีก”
ซานูน่าตะโกนสั่ง เดเม่ได้แต่ถอนหายใจ และหยิบขวดเหล้าออกมาเพิ่ม
ที่พื้นยังมีเมยอากับโมอา แต่ทั้งคู่หมดสภาพไปเพราะฤทธิ์เหล้าแล้ว
ทันทีที่เห็นผม เวเนซ่าก็ต้องเข้ามาลากผมไปร่วมวงด้วยทันที
“นายนี้สุดยอดกว่าที่คิดไว้อีกนะ! กลับเวลาที่ต้องรอคอย มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย!”
“ใช่ค่ะ ขนาดซักคิวบัสอย่างข้ายังขอยอมแพ้ ท่านเป็นจอมมารที่อยู่เหนือเผ่าปีศาจทั้งปวงจริงๆ ขอรับการคารวะจากข้า”
ซานูน่าบอกพร้อมกับเทเหล้าใส่แก้วให้กับผม ดูพวกเธอสนุกกันมาก แต่เดี๋ยวก่อน ลืมไปอะไรไปหรือเปล่า ในสกิล Sex Master มันมีของอันตรายปนอยู่ด้วยนะ อย่างสภาพทรุดโทรม สถานะทรุดโทรม เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการโจมตีทางจิตใจโดยตรง เป็นอารมณ์ที่ยิ่งกว่าจิตตกหรือเป็นแผลใจจากการโดนข่มขืนซะอีก ถึงสถานะนี้จะหายไปเองเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง แต่ยังไงมันก็จะทิ้งรอยแผลไว้ที่จิตใจแน่นอน
“นี้พวกเธอฝืนอยู่หรือเปล่า?”
“อ้อ นายเป็นกังวลเรื่องผลของสถานะทรุดโทรมสินะ”
เดาได้ถูกเผงเลย สีหน้าผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ
“เป็นสถานะที่น่ากลัวจริงๆ นั้นแหละค่ะ เกือบร้องไห้ออกมาหลายครั้งเลย”
“ฮ่าๆๆ ฉันสิถึงกับหมดสภาพเป็นปลาตายเลย”
“…เท่าที่ฟังดู มันก็ส่งผลกับพวกเธอเต็มๆ เลยไม่ใช่เหรอ!”
ผมควรจะจิตตกนะเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่พวกเธอยิ้มและหัวเราะกันหน้าระรื่นเลยเนี่ยสิ ที่ทำให้ผมทำตัวไม่ถูก
“น่าๆ ถึงตอนนั้นมันออกจะน่ากลัว…ไม่สิ นึกว่าจิตใจจะแหลกสลายไปแล้วซะอีก แต่พอมาย้อนดู ประสบการณ์การโดนข่มขืนนี้ก็ไม่เลวนะ”
…ผมไม่เข้าใจคุณอดีตจอมมารท่านนี้เลยจริงๆ โดนข่มขืนมันจะไปสนุกได้อย่างไง…ไม่สิ ยังมีพวกที่แฮปปี้กับการโดนทำร้ายจิตใจอยู่นี่น่า
แต่พอฟังๆ ที่เวเนซ่ากับซานูน่าพูดมา ผมก็เริ่มเข้าใจในตัวพวกเธอขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะผมไปยึดติดกับรูปลักษณ์พวกเธอมากเกินไป แต่เนื้อในพวกเธอมันไม่ต่างไปจากตาแก่หื่นกามเลย ในร่างก่อนพวกเธอผ่านผู้ชายมาแล้วเป็นพัน แทบมันไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย ขนาดพวกเธอลองอะไรที่วิตถารสุดๆ อย่างมีอะไรกับม้ามันก็ไม่สามารถเติมเต็มให้ได้ เพราะอย่างไงมันก็เป็นสัตว์ สัตว์จะใช้เวลาในการ
ผสมพันธุ์เร็วมาก เพราะยิ่งทำนานมันจะยิ่งเสี่ยงต่อชีวิตจากผู้ล่า ที่ลอบมาตอนปฏิบัติกิจกาม เพราะงั้นสัตว์จะใช้เวลาในการผสมพันธุ์เพียง 10-60 วินาที ม้าเองก็เป็นเช่นนั้น ถึงมันยาวสะใจได้มันก็หลั่งเร็ว แถมพอบรรลุหน้าทีแล้วก็จะหนีไปนอนทันที
กับพวกมอนสเตอร์ที่ว่ามีขนาดเจ้าโลกใหญ่ที่สุด และหื่นที่สุดในโลกอย่างพวกออร์ค ก็ยังใช้การไม่ได้ พวกออร์คน่ะมีอารมณ์ทางเพศตลอดเวลาและอวัยวะเพศใหญ่ก็จริง แต่ก็มีองค์ประกอบแย่ๆ อยู่เยอะ เช่นว่าพวกมันไม่ได้มองเซ็กส์เป็นเซ็กส์ แต่มองเป็นการผสมพันธุ์แบบสัตว์ เลยไม่สามารถไปคาดหวังให้พวกมันมีลีล่าเร้าร้อนได้เลย ที่สำคัญพวกมันมีกลิ่นตัวที่เหม็นมาก ยิ่งตอนเหงื่อออกขณะผสมพันธุ์ มันเหม็นจนแทบสลบเลย นั้น
ทำให้พวกเธอหมดอารมณ์กัน และไม่ขอไปยุ่งกับพวกออร์คอีกเป็นครั้งที่สอง
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเธอไม่เคยมีประสบการณ์โดนข่มขืนมาก่อน มันเลยเป็นความรู้สึกที่สดใหม่และแปลกไปจากเดิม หรือในอีกนัยหนึ่ง มันสร้างความตื่นเต้นเร้าใจได้ ซึ่งมันมีผลต่อคนที่เหยียบยํ่าและอยู่เหนือผู้อื่นมาโดยตลอดอย่างทั้งสองคน ประสบการณ์ที่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไงก็ถูกอีกฝ่ายข่มเหง มันดูรุนแรงกว่าปกติเป็นหลายเท่า แต่ความสุขสันต์ที่ได้รับ ก็มากเป็นหลายเท่าด้วยเช่นกัน
แต่ว่าเพราะเป็นสองคนนี้เท่านั้นแหละ ถึงคิดแบบนั้นได้ ลองผมไปทำแบบที่ผมทำกับพวกเธอกับคนอื่นดูสิ มันเป็นคงเป็นการฆาตกรรมในรูปแบบใหม่ที่โคตรสยองเลยล่ะ
ระหว่างที่ทั้งคู่นั่งพรรณนาถึงความสุขสันต์เปรมปรีดิ์ ที่ในสายตาคนอื่นมันคืออาชญากรรมที่ไร้มนุษยธรรม ผมก็ตรวจสอบ Sex Master ที่รับมาอีกครั้ง โชคดีที่มันไม่ใช่สกิลติดตัว (Passive skill) แต่ก็ไม่ใช่สกิลสั่งการ (Active Skill) มันแสดงสถานะเป็นตัวหนังสือสีแดง หรือเป็นสกิลที่ไม่พร้อมใช้งาน
โชคร้ายที่ผมไม่มีสกิลตรวจสอบแล้ว ทำให้ดูข้อมูลโดยละเอียดไม่ได้ แต่เดาได้ไม่ยาก ว่าสกิลนี้จะทำงานก็ต่อเมื่อผมมีเซ็กส์ และคงไม่ใช่สกิลที่ทำงานเองแน่ๆ แต่ต้องใช้การออกคำสั่ง ไม่งั้นมันดูจะโหดร้ายเกินไป เพราะอย่าลืมว่ามันทำให้เกิดสถานะทรุดโทรมด้วย ผมไม่เคยเห็นสถานะอะไรโหดร้ายเท่านี้มาก่อนเลย ถ้าให้บอกตรงๆ ก็คือ ไม่ใช่แค่โดนผมข่มขืนร่างกาย แต่ยังรวมไปถึงการข่มขืนทางจิตใจด้วย
ผมตัดสินใจว่าจะไม่ใช้งานมันอีก เลยลืมมันไปซะ และตรวจดูอย่างอื่นต่อ อีกสกิลหนึ่งที่ผมได้มา…มันกลับมาแล้วล่ะ ยินดีต้อนรับกลับมา Lust Mastery ถึงจะเป็นวิธีการที่โหดร้าย แต่มันได้ผลจริงๆ ด้วย แถมถึงมันจะไม่ได้แสดงออกมา แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันยังคงเก็บสะสมแต้มให้ผมล่ะ ตอนนี้ Lust Point ของผมสูงถึง 601,999 แต้มแล้ว
ผมรีบรายงานเรื่องนี้ให้เวเนซ่าฟังทันที ถึงเธอจะเมาแล้วก็เถอะ แต่ยังอยู่ในสภาพรับรู้และพูดคุยได้ในระดับหนึ่งอยู่
“มันก็แน่อยู่แล้วล่ะ นายเกือบใช้ดุ้นฉีกร่างฉันเป็นชิ้นๆ เลยนะ แถมถล่มไม่ยั้งจนมดลูกฉันพัง”
“พอๆ ไม่ต้องอธิบายย้อนหลัง!”
“ฮุๆๆ ไร้เดียงสาซะจริง เอาเป็นว่า ดีแล้วล่ะที่ได้คืนมาแล้ว เพราะนอกจากวิธีนี้แล้วฉันเองก็ไม่รู้จะหาวิธีอะไรที่โหดร้ายกว่านี้ได้อีก”
“ยอมรับมาแล้วสินะว่าพึ่งให้ฉันทำเรื่องโหดร้ายลงไป”
“หุบปากไปซะเจ้าโจรข่มขืนเด็ก”
“!!!”
ได้รับแผลทางใจอีกแผลแล้ว! ไม่สิ สมควรเรียกว่าเป็นตราบาปไปชั่วชีวิตเลยมากกว่าผมพยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยการกลับมาคุยถึงสกิลต่อ
“แต่มันแปลกๆ นะ Lust Mastery ตอนนี้มันกลายเป็นระดับมาสเตอร์ไปแล้วล่ะ”
“แปลกตรงไหนสำนึกแห่งศาสตร์ส่วนใหญ่ก็เป็นระดับมาสเตอร์หรือไร้ระดับทั้งนั้นแหละ”
“เอ๋? แล้วทำไม Dawn of Love เป็นแค่ระดับ 3 อยู่เลยล่ะ อ่ะ ไม่สิ อัพมาเป็นระดับ 4 แล้ว”
“อ้อ นั้นเพราะมันเป็นสกิลที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เพียงคนเดียวนะสิ แต่เป็นสกิลที่ได้รับมอบมาจากคนที่รักนายอีกที ขอบอกว่านายมันโชคดีสุดๆ เลยนะ ปกติมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยล่ะ ก็เพราะความรักมันเป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้ และไม่มีคำอธิบายที่ถูกต้องด้วย ปกติเปิดเงื่อนไขสกิลนี้ได้มาก็ถือว่าสุดยอดล่ะ แต่นี้นายได้มาเพราะสำนึกแห่งศาสตร์ จะว่าไงดีล่ะ นายนี้มันนักรักขั้นเทพเลยไม่ใช่เหรอไง?”
ไม่ปฏิเสธหรอก เพราะผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ความรักเป็นอะไรที่ใช้ตรรกะมาทำความเข้าใจไม่ได้ การบรรลุถึงสกิลนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
ในทางทฤษฏี ถึงแม้จะใช้คำว่าบรรลุแล้ว แต่ผมเองก็ไม่ได้เข้าใจความรักอย่างลึกซึ้งเลย ที่ผมมอบให้กับพวกสาวๆ ก็มีแค่ความห่วงใยและความปรารถนาดีเท่านั้น แบบนั้นเพียงพอจะเรียกว่ารักแล้วเหรอ?… ช่างเถอะ บางเรื่องคิดไปก็ใช่ว่าจะหาคำตอบได้
กลับมาเรื่องสกิล Lust Mastery เพราะมันขึ้นไปเป็นระดับมาสเตอร์แล้ว ทำให้มีตัวเลือกให้เรียนสกิลย่อยอีกเพียบเลย ซึ่งเวเนซ่าบังคับให้ผมเรียนมันทั้งหมด เพราะนี้จะทำให้ผมมีโอกาสรอดจากอัสโมเดียสเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง
นอกจากอ่านใจขณะมีเช็กส์กับควบคุมความรักแล้ว ที่เพิ่มขึ้นมาก็มี
-เสริมพลังหื่น มันคือการอัดความหื่นสู่เป้าหมายโดยตรง ต่างจากสัมผัสแห่งราคะ เพราะไม่ใช่การกระตุ้นความต้องการทางเพศ แต่เป็นการยัดความ
หื่นเข้าไปแทน (สรุปคือเปลี่ยนให้สาวน้อยบริสุทธิ์กลายเป็นสาววิตถารในพริบตา)
-กรงขัง ใช้ในการกักขังหน่วงเหนี่ยวจิตใจ มีเวลาให้ 1 วันในการปรับเปลี่ยนจิตใจที่กักขังไว้ กักขังได้เพียงหนึ่งเป้าหมาย
สองอันนี้น่ากลัวเป็นบ้า โดยเฉพาะกรงขัง นี้มันยิ่งกว่าล้างสมองอีกนะ แต่สามารถเปลี่ยนไปถึงโครงสร้างจิตใจได้เลย! เช่นว่า เปลี่ยนไปให้เกลียดหรือแค้นจนอยากจะฆ่าคน หรือเปลี่ยนให้คนเข้มแข็ง กลายเป็นคนขี้กลัวจนเป็นโรควิตกจริตได้ มันมีวิธีใช้มากมายซึ่งเป็นทั้งคุณและโทษ แต่ไม่ว่าแบบไหนมันก็อันตรายอยู่ดี
นอกจากนี้ยังมีอย่างอื่นอีก แต่ขอละไว้ เพราะมันมีแต่แบบว่า…เพิ่มความแรงในการปล่อย
นํ้าเชื้อ เพิ่มระบบสั่นให้ดุ้น ปรับเปลี่ยนผิวของดุ้น อะไรทำนองนั้น ใช่ต้องไม่ลืมว่านี้คือสกิลรากของมารราคะ มันก็ต้องมีแต่อะไรพวกนี้อยู่แล้วล่ะนะ
และผมต้องเสีย Lust Point ในการเรียนทั้งหมดไปถึง 400,000 แต้ม ส่วนความคุ้มค่านั้น…ไม่รู้ ที่รู้คือหนทางในการเรียกอัสโมเดียสออกมา ห่างไกลออกไปแล้ว รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“ทดลองใช้งานซะ”
นั้นคือคำสั่งของเวเนซ่า แต่พอได้ยินแบบนั้น เดเม่วิ่งหนีไปเลย ส่วนเมยอากับโมอาก็หลับอยู่ เวเนซ่ากับซานูน่าเองยังไม่หายดี เพราะงั้นเป้าในการทดลอง เลยเหลือเพียงแค่คนเดียว
“ก ก็ได้ แต่อย่ารุนแรงนักนะ พรุ่งนี้ฉันต้องรีบตื่นไปสะสางงานแต่เช้า”
อาเดไลท์บอก นํ้าเสียงเธอดูสั่นเล็กน้อย
จากนั้นผมได้ใช้ประตูหลังเธอในการทดสอบสกิลย่อยของ Lust mastery แต่ว่าพวกของอันตรายอย่าง ควบคุมความรัก เสริมพลังหื่น หรือกรงขัง ผมไม่ได้ใช้กับเธอหรอกนะ
ส่วนใหญ่ผมทดสอบพวกออฟชั่นเสริมของดุ้นน่ะ ผลปรากฏว่า…ดุ้นผมกลายเป็นอาวุธสังหารไปแล้ว! ขนาดอสูรกายที่อึดและทนทายาดที่สุดในบ้าน ยังล้มลงในยกเดียว แม้แต่เวเนซ่าที่สั่งให้ผมเป็นคนทดสอบ ยังตกอยู่ในอาการหวาดกลัว
“อ อืม ก็ราวๆ นี้ล่ะ”
เวเนซ่าทำเฉไฉและหันไปกินเหล้าต่อราวกับไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ส่วนผมเองก็ไม่อยากจะพูดถึงมัน
เหมือนกัน เลยเปลี่ยนเรื่องไปถามสิ่งที่สงสัยอยู่เป็นอย่างสุดท้าย
“เวเนซ่า ไอ้สถานะเทพอสูรนี้มันอะไรอ่ะ?”
………………
ในตอนนี้ ค่าพลังของผมมันแปลกๆ ล่ะ
เพราะมันมีแถวตัวเลขที่บวกต่อๆ กันหลายชุด เช่น Hp ของผมตอนนี้มันแสดงขึ้นมาเป็น
Hp XXX /2,470 + 10,000,000 + 30,000,000 +XXX
หลังจากบีบคอถามเวเนซ่ามา ถึงรู้ว่าสิบล้านนั้นมาจากพลังจอมมารที่ตอนนี้โดนลดมาเหลือแค่ 1/10 และอีกสามสิบล้าน มาจากการที่ผมได้รวมสถานะเข้ากับอสูรตัวหนึ่งที่ชื่อ Baphomet ด้วยการ
รวมสถานะเข้ากับอสูรนั้น จะทำให้ได้รับค่าพลังของอีกฝ่ายมาครึ่งหนึ่ง แต่ไอ้ที่น่าวิตกคือไอ้ XXX นั้นต่างหากล่ะ
ซึ่งไอ้คุณ XXX นั้นมาจากสถานะที่โชว์หลาอยู่ใต้ชื่อของผม มันไม่ใช่ไอคอนโมเอะๆ อย่างหัวกะโหลกไขว้แล้วมีควันลอยขึ้นมา ซึ่งแสดงถึงสถานะติดพิษหรอก แต่มันเป็นไอคอนตัวหนังสือที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘เทพอสูรนะจ๊ะ’
“เอ่อ น่าจะเป็นเวอร์ชั่นอัพเดตของสถานะร่างอสูรน่ะ ปกติคนที่สามารถรวมสถานเข้ากับอสูรจะได้สถานะร่างอสูรมา เพราะนายมีสถานะจอมมารอยู่ เลยผนวกเข้าด้วยกันเป็นสถานะที่สูงขึ้น จนกลายเป็นเทพอสูรล่ะมั่ง”
“มั่งเหรอ!”
“ก็ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนนี่น่า! แถมอสูรระดับที่ถึงกับให้สถานะร่างอสูรได้น่ะ สูญพันธุ์ไปเป็นพันๆ ปีแล้ว”
“ถ้าสูญพันธุ์แล้วฉันจะได้สถานะนี้มาได้อย่างไงล่ะเฟ้ย!”
“ไม่หรอก พอมีทางเป็นไปได้อยู่ อสูรบางตัวมันไม่ได้ตายจริงๆ สักหน่อย พวกที่แข็งแกร่งมากๆ จะยังสามารถคงสภาพวิญญาณไว้ได้ในโลกต่างมิติ”
“จะบอกว่านี้ผมโดนสิงเหรอ”
“บอกว่าถูกใช้เป็นสื่อกลางดีกว่านะ เพราะพวกนั้นไม่มีร่างแล้ว แต่ยังมีเจตจำนงค์ที่จะแสดงตัวในโลกนี้ต่อไปอีก พวกมันเลยใช้ร่างกายนายเป็นสื่อโดยการมอบพลังให้ กรณีนี้แบบนี้หายากมากเลยนะ ว่าแต่นายได้มาตอนไหน”
“…ตอนที่เยิบกับเธอนั้นแหละ”
“หือ งั้นก็เป็นไปได้ว่าคลื่นความหื่นของพวกนายมันจูนตรงกันพอดี งั้นก็ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก เรียกได้ว่ามีผู้ร่วมอุดมการณ์ความหื่นเพิ่มมาอีกหนึ่งเท่านั้นเอง”
“ฮ่าๆๆ แบบนั้นเอง…ไม่ได้ช่วยให้สบายใจขึ้นมาเลยล่ะ”
“น่าๆ ไม่ได้มีอันตรายสักหน่อย อย่างมากเจ้านั้นก็จะปรากฏตัวให้เห็นเป็นบางครั้งบางคราว”
“น่ากลัวเกินไปแล้วเฟ้ย! แล้วเธอรู้ไหม Bephomet มันเป็นตัวแบบไหนน่ะ!”
“ก็คุณแพะแสนน่ารักไง”
“รสนิยมเธอมันเพี้ยนไปแล้วที่เห็นไอ้ตัวแบบนั้นน่ารักได้เนี่ย!”
“ฮุๆๆ นายไม่ควรจะมาวิพากษ์วิจารณ์รสนิยมของผู้หญิงนะ”
“ชิ งั้นคำถามสุดท้าย ไอ้ค่าพลังที่เป็น XXX นี้มันคืออะไรอ่ะ”
“อืม…บั๊กล่ะมั่ง ก็สถานะเทพอสูรยังไม่เคยมีมาก่อน มันเลยยังไม่ได้ตั้งค่าในระบบ จึงยังเป็น XXX อยู่”
“สะเพร่าโคตร! เดี๋ยวนะ แบบนี้จะไม่เป็นอะไรเหรอ ไม่ใช่ว่าพวกผู้คุมระบบจะโผล่มาเป่าผมทิ้งหรอกนะ”
“ไม่หรอก มันเป็นความผิดพลาดของทางนู้นเอง ไม่เกี่ยวกับนายสักหน่อย ไว้เดี๋ยวพอพวกมันตรวจเจอเมื่อไร ก็คงแก้ไขค่าพลังให้เองล่ะ”
“แล้วไป…แต่แบบนี้ก็แปลว่าค่าพลังของผมวัดไม่ได้เลยสิ”
“ก็นะ แต่ระบบน่าจะตั้งค่าให้อยู่ในระดับปลอดภัยไว้ก่อน เช่นว่า ถึงนายจะมีพลังที่วัดค่าไม่ได้
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอมตะหรือเพียงแค่โดนสะกิดทีเดียวตาย มันยังคงคิดตามค่าพลังเดิมของนายอยู่แบบโดยประมาณ แต่เป็นค่าประมาณไหนก็ยังไม่รู้ อาจจะเป็นสองหรือสามเท่าจากปกติก็ได้มั่ง แต่ไม่ใช่ไร้ขีดจำกัดแน่นอน ไม่งั้นนายคงไม่สามารถคงความเป็นมนุษย์ไว้ได้อีกต่อไปแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ”
“ไม่ขำนะเฟ้ย!”
ผมเกลียดยัยนี้จริงๆ เห็นความลำบากใจของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกไปได้!
แต่อย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ความรู้ของเวเนซ่านั้นมีประโยชน์จริงๆ เธอตอบได้ทุกคำถาม ถึงแม้บางอย่างจะอยู่นอกเหนือความรู้ของเธอ ก็ยังสามารถใช้การคาดคะเนที่มีความน่าจะเป็นสูงได้
หลังจากนั้นพวกผมก็คุยกันอีกสองสามเรื่อง แน่นอนว่าเวเนซ่ามีแผนการเก็บแต้ม Lust Point แล้ว
แต่นั้นทำให้ผมรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา แผนของเธอไม่ใช่ไม่ดีหรอกนะ แต่วิธีการต่างหากที่ผมว่ามันน่ากังวล อีกจุดที่น่ากลัวก็คือ เธอรู้วิธีที่จะโน้มน้าวผม
แต่ส่วนหนึ่งที่เธอโน้มน้าวผมได้ เพราะผมไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูของเธอเลย ว่าไงดีล่ะ จุดประสงค์ของเธอตรงไปตรงมา แล้วนิสัยเธอไม่ใช่คนที่ซับซ้อนอะไร ออกจะเป็นแนวสมองกล้ามด้วยซํ้า ทำให้ผมเชื่อใจได้เธอได้ง่ายกว่า
ถ้าเธอคิดจะเล่นงานผม คงทำไปตั้งแต่ตอนที่ผมอ่อนแอที่สุดแล้ว หรือถึงแม้เธอจะใช้ผมเพื่อสู้กับพวกผู้ใช้สกิลมารคนอื่นๆ ผมก็ว่ายังโอเคอยู่ เพราะนั้นถือว่าพวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน และเธอก็ไม่ได้ใช้ผลเปล่าๆ แต่ช่วยทำให้ผมเก่งขึ้นด้วย เรียกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบ Give and Take ก็ว่าได้ ถ้าตัดเรื่องที่เธอเป็นคนที่ชอบใช้วิธีการเถื่อนๆ แล้ว ก็ถือว่าเป็นคนน่าคบคนหนึ่งทีเดียว
หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว ผมก็กลับขึ้นไปนอน ส่วนเวเนซ่าก็ยังนั่งดวลเหล้าต่อกับซานูน่า พลางรำลึกความหลังกันไปด้วย แต่ความหลังที่มีแต่เลือดและความรุนแรงแบบนั้น ผมไม่ขออยู่ฟังด้วยจะดีกว่า
และเช้าวันรุ่งขึ้นก็มาถึงพร้อมกับผู้มาแจ้งข่าว

ตอนที่ 142 แยกตัว

คนที่มาหาผมแต่เช้าก็คือ ครีเรน่า
แต่กว่าผมจะนึกชื่อเธอออก ต้องใช้เวลาอยู่นาน เธอคือใครน่ะเหรอ ในความทรงจำของผมเธอคือนักบวชสาว ที่มีขนหอยยาวรกและเป็นสาวน้อยที่มีหน้าบ้านนอก ซึ่งผมต้องใช้…ยาชุบชีวิตของเจ้าหญิงโชไปถึงสองขวด ว่าแต่ผมจะบอกดีไหมนะว่ายาชุบชีวิตที่เธอดื่มไป มันทำมาจากอะไร
ทว่าไม่ใช่แค่ครีเรน่า แต่มีอีกคนกลุ่มหนึ่งที่มาแทบจะในเวลาเดียวกัน นำมาโดยทาฮากริม กลุ่มของเธอมีกันกว่าสิบคน ผมเลยให้เดเม่พากลุ่มของทาฮากริมไปรอที่ห้องรับแขก ก่อนจะให้ไปตามอาเดไลท์กับอลิซาเบธมาด้วย ส่วนเมยอายังไม่ได้ออกไปทำงาน ผมเลยให้เธอเข้ามาฟังด้วย
ผมพาครีเรน่ามาที่ห้องนั่งเล่น และเริ่มให้เธอแจ้งข่าว เพราะเธอทำงานเป็นสายให้กับผม
ข่าวของครีเรน่าทำให้ผมรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน เพราะหลายๆ อย่างไม่เป็นไปอย่างที่ผมคิดไว้ อย่างแรกเลย เอนันโด้โดนตัดสินประหารชีวิตแล้ว ทีแรกเขาแค่โดนสั่งลดขั้นและขังไว้ในคุก แต่พอเรื่องที่ผมกลายเป็นเจ้าเมือง และยังเป็นเผ่าปีศาจอีก ทำให้เอนันโด้ได้รับขอหาเพิ่ม และถูกตรีตราว่าหาคบหากับพวกนอกรีต นั้นเลยทำให้เขาถูกประหารไปเมื่อวานนี้
เรื่องนี้ผมรู้สึกผิดมาก เพราะตัวเองเป็นสาเหตุให้เอนันโด้ต้องตาย และบอกตามตรง ผมเสียดายฝีมือของเขา คนแบบนั้นถ้ารู้จักใช้งาน จะกลายเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่ามากทีเดียว
ส่วนเรื่องของอาร์คบิชอปเรเดีย เธอมีความผิดในฐานะปฏิบัติงานผิดพลาด และเป็นเหตุให้คนมากมายต้องเสียชีวิต เลยถูกออกจากตำแหน่งกลับไปเป็น High Priest และยังถูกขังไว้ให้หอคอยสำนึกตน แต่พอมีข่าวที่ผมเป็นเผ่าปีศาจ โทษของเรเดียก็ลดลง เพราะสิ่งที่เธอทำคือการต่อต้านเผ่าปีศาจอย่างถึงที่สุด เธอจึงได้รับการคืนตำแหน่งกลับไปเป็นอาร์คบิชอป แต่ยังต้องโดนขังไว้ในหอคอยเป็นเวลาอีกหนึ่งปี ที่แย่ก็คือกองทัพที่เธอรวบรวมมา ตอนนี้ถูกพวกนักบวชเฒ่าแย่งชิงไปหมดแล้ว ถึงกลับมาทำงานได้ เธอก็ไม่เหลืออะไรอยู่ดี
แต่คนที่โดนโทษหนักสุดก็คือพวกกรอเรีย หลังจากแยกกับผมแล้ว กรอเรียไม่ได้กลับไปที่โบสถ์ใหญ่ แต่กลับไปที่บ้านเกิดแทน เนื่องจากศรัทธาของเธอเกิดรอยร้าวขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าจะเชื่อในคำสอน หรือจะเชื่อในสิ่งที่ตาตัวเองเห็นดี เธอจึงอยากจะใช้เวลาคบคิดในเรื่องนี้ แต่ทางโบสถ์ใหญ่ไม่ยอม และกล่าวหาเธอหนักมาก จนถึงขั้นให้ความร่วมมือกับเผ่าปีศาจ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกรอเรียไม่ยอมบอกข้อมูลของผมออกไปด้วย ทำให้โบสถ์ใหญ่โกรธมาก ตอนนี้เธอได้หลบหนีไปกับกลุ่มของเธอ ยังไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปไหน
นอกจากนี้ทางโบสถ์ใหญ่ได้ประกาศว่าผมเป็นคนนอกรีตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันมีผลอย่างไงน่ะเหรอ…ก็ประมาณว่า ผมเป็นบุคคลที่ใครๆ ก็สามารถฆ่าได้โดยไม่ผิดกฎหมายไงล่ะ เจอที่ไหนฆ่าที่
นั้น แล้วคุณจะได้รับการยกย่องในฐานะนักบุญ…ศาสนานี้เป็นเรื่องเข้าใจยากจริงๆ
แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเท่าไร เพราะได้คุยกับทางซารีแล้ว ว่าถ้าเกิดผมกลายเป็นพวกนอกรีต ทางกิลนักผจญภัยจะมีการปฏิบัติอย่างไร โดยที่ซารีบอกว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ผมยังใช้บริการและติดต่อเรื่องธุรกิจกับทางกิลได้ตามปกติ เพียงแต่เธอจะไม่สามารถช่วยส่งคนมาอารักษ์ขาผมได้ ไม่งั้นจะเป็นการช่วยเหลือแบบออกนอกจาก จนคนอื่นๆ จะกล่าวหาได้ว่ากิลนักผจญภัยอยู่ฝ่ายเดียวกับเผ่าปีศาจ
ส่วนชาวเมืองก็ไม่ได้นับถือโบสถ์ใหญ่เป็นศาสนาหลัก ตรงกันข้ามยิ่งช่วงนี้ได้เอร่าไปสำแดงเดชให้เห็น เลยยิ่งเรียกเรตติ้งทะลุเพดาน จุดที่เคยให้เอร่าไปนั่งล้างคำสาป ตอนนี้ก็มีชาวเมืองช่วยกันสร้างเป็น
รูปปั้นเสมือนจริงสูงห้าเมตร เพื่อไว้คอยสักการะอีกต่างหาก
อนึ่ง รูปภาพที่เอร่าเคยวาดและส่งเข้าประมูล จากเดิมที่เป็นสิ้นค้าหลุดประมูลขายไปในราคาไม่กี่รีล มาตอนนี้มันถูกนำกลับมาประมูลใหม่ ราคาก็พุ่งสูงขึ้นไปเป็นหลายสิบหลายรีลเลยทีเดียว แต่เพราะมันเปลี่ยนมือเจ้าของไปแล้ว เอร่าเลยไม่ได้สักรีลจากงานนี้ นั้นทำให้เธอแทบจะร้องไห้ออกมาเป็นเลือด
และเพราะตัวอาเดไลท์นับถือลัทธิเทพอยู่แล้ว จึงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ จนทำให้ลัทธิเทพกลับมาเฟืองฟู และกลายเป็นศาสนาหลักของในเมืองกรอซ่าไป แถมทุกคนยังหันมานับถือสายเทพเอร่าอีก ว่าไงดีล่ะ ชื่อเสียงของอาเดไลท์กับเอร่า สองคนนี้ชาวเมืองรู้จักมากกว่าเจ้าเมืองที่เป็นเผ่าปีศาจซะอีก เพราะงั้นถ้ามีใครถามเรื่องผม ชาวเมืองก็ทำท่าไม่ค่อยสนใจ และจะบอกไปเพียงว่า ‘แล้วทำไมล่ะ?’
อย่าร้องไห้เลยตัวเรา! นี้แหละงานของผู้อยู่เบื้องหลัง…
เอาเป็นว่าในกรอซ่าชีวิตผมค่อนข้างปลอดภัย ถึงจะมีพวกเกลียดขี้หน้าผมอยู่เยอะ โดยเฉพาะถนนการค้า แต่เขาก็เกลียดผมในฐานะเจ้าของโรงแรมยูโทเปีย หรือในฉายาพ่อครัวหมาบ้า ทว่าในฐานะเจ้าเมืองผมเป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่ง
เรื่องที่ผมถูกโบสถ์ใหญ่ประกาศให้เป็นคนนอกรีต เลยไม่ได้อยู่ในหัวข้อความสนใจของชาวเมืองกรอซ่า ข่าวเรื่องนักผจญภัยหนุ่มโดนสไลม์พรากพรหมจรรย์ไป ยังเป็นข่าวที่ได้รับความสนใจกว่าเลย
ทว่าข่าวที่ครีเรน่านำมาบอกยังไม่หมดแค่นั้น เพราะตอนนี้โบสถ์ใหญ่ได้ตั้งกองทัพเตรียมมาบุกโจมตีผมแล้ว แถมยังเป็นกองทัพผสม ที่ได้รับความ
ช่วยเหลือจากเมืองหลวงด้วย จำนวนไม่แน่ชัด ทว่ามีชื่อหนึ่งที่หลุดออกมา ซึ่งเป็นชื่อที่ผมยังจำได้
คุราร่า นักบวชที่เป็นเพื่อนของมิริน ซึ่งพวกเธอเคยอยู่ในปาร์ตี้ผู้กล้ามาก่อน
ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว แถมยังมาในฐานะรองแม่ทัพของโบสถ์ใหญ่ด้วย คุราร่าเองไม่ได้สกิลกับสายของคุราร่า เลยไม่ทราบรายละเอียดมากนัก
แต่จากที่ได้ยินมา หลังจากที่ปาร์ตี้ผู้กล้าถูกทำลาย(ด้วยนํ้ามือผม) ทางโบสถ์ใหญ่ก็โยนความผิดไปให้คุราร่ารับผิดชอบ เธอถูกลงโทษสถานหนักถึงขั้นถูกทรมานนานเกือบเดือน และจากมุมมองของครีเรน่า เธอค่อนข้างมั่นใจว่าคุราร่าถูกทางโบสถ์ใหญ่ล้างสมองแล้ว เพราะท่าทางเธอดูแปลกๆ ไปอย่างเห็นได้ชัด
ผมไม่แปลกใจอะไร เพราะจากที่ลองเชิงเธอดูคราวก่อน ก็พอรู้แล้วว่าคุราร่าเป็นคนหัวอ่อน แต่ยึดมั่น
อุดมการณ์ในการเสียสละตัวเอง ซึ่งนั้นมันผิดมหันต์ แต่พวกโบสถ์ใหญ่คงใช้จุดอ่อนตรงนั้นในการควบคุมเธอเอาไว้…จะว่าไปนี้ก็เป็นความผิดของผมเช่นกัน ก็ผมเป็นคนทุบปาร์ตี้ผู้กล้าของเธอทิ้ง ทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับตัวเธอ
“สงสัยต้องกวาดล้างโบสถ์ใหญ่จริงๆ ซะแล้วล่ะมั่ง”
ผมพึมพำออกมา แต่คำพูดของทำให้ครีเรน่าถึงกับยืนตัวแข็ง เพราะการทำลายโบสถ์ใหญ่ ก็หมายถึงผมพร้อมจะสละชีวิตคนนับหมื่นนับแสนแล้ว
อ้อ ใช่ ว่าจะไปมาตรวจดูก่อนดีกว่าว่ายัยนี้โกหกอะไรผมหรือเปล่า
ว่าแล้วผมก็จับครีเรน่าถอดเสื้อผ้าออก ตอนแรกเธอขัดขืนผมมอยู่หรอก แต่พอคิดได้เธอก็เลิกขัดขืนไป เพราะตอนนี้ผมมไม่ใช่แค่กุมความลับของเธอ
เอาไว้ แต่เธอไม่มีที่ไปแล้ว ถ้าผมเริ่มสงครามกับโบสถ์ใหญ่ ตัวเธอจะหมดทางเลือกทันที มีแต่ต้องมายืนอยู่ข้างผมเท่านั้น
ผมเริ่มใช้อ่านใจขณะมีเช็กส์ สกิลนี้เหมาะใช้กับการตรวจหาความจริงมาก อย่างเมื่อวานที่ลองใช้กับอาเดไลท์แล้ว ก็ทำให้ผมรู้อะไรหลายๆ อย่าง เช่นว่า…อาเดไลท์เป็นผู้หญิงหื่นกามแบบสุดๆ แต่เธอก็รักผมมากด้วยเช่นกัน ผมฟังความในใจของเธอไปยังรู้สึกเขินขึ้นมาเอง และยังรู้ด้วยว่าเธอมีแผนจะอุ้มท้องลูกของผม ถึงแม้จะต้องต่างงานกับคนอื่นก็ตาม
กับครีเรน่าสิ่งที่อ่านในใจเธอมาได้ก็คือ
‘เยส! สุดยอดพะยะค่ะ!’
‘แรงอีกสิ! ฉันเป็นของเล่นของแกไม่ใช่เหรอ เอาฉันแรงๆ สิ!’
‘พระเจ้าคะ นี้เป็นรางวัลของฉันสินะ โอย! เสียวสุดๆ ไปเลยเจ้าค่า!’
นั้นคือสิ่งที่อยู่ในใจ ขณะที่ครีเรน่านอนนิ่งเป็นปลาตายไร้การตอบสนอง
…เอาเถอะ ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นล่ะกัน
จากนั้นผมก็เริ่มยิงคำถามใส่เธอ และรอฟัง
คำตอบที่อยู่ในใจเธอไปด้วย อืม เหลือเชื่อนิดหน่อย เธอไม่ได้โกหกผมแม้แต่คำเดียว จะว่าไงดีล่ะ ผมว่าครีเรน่าเป็นผู้หญิงที่น่าสนุกดีเหมือนกันนะ ถึงการแสดงออกของเธอจะดูน่ากระโดดถีบ แต่ในใจเธอเป็นอีกคนหนึ่งเลย เช่นว่า
‘โธ่เอ่ย ทำไมโง่แบบนี้ เราน่าจะปากแข็งแล้วให้เขาทำโทษ เราก็จะโดน XXX แล้วก็ OOO และยัง #$@^ อีก อ่า! อ๊า! แค่คิดก็ฟินแล้วเจ้าค่ะ!’
ผมเกือบหลุดหัวเราะออกมาหลายครั้งขณะแอบอ่านใจของครีเรน่า
เอาล่ะๆ จริงจังล่ะ ข้อมูลที่ได้มา สรุปคือยัยนี้ไม่มีเจตนาร้ายกับผมเลยแม้แต่น้อย มีแต่เจตนาไปทางเสื่อมอย่างบริสุทธิ์ใจ
หลังจากเสร็จการสอบปากคำของครีเรน่าแล้ว ผมก็รีบไปพบพวกทาฮากริมต่อ เพราะปล่อยให้พวกเธอรอมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ดีที่โมอาค่อยรับแขกให้ขณะที่เดเม่ไปตามพวกอาเดไลท์มา ตอนนี้ความสามารถด้านรับแขกของโมอา เทียบเท่ากับเดเม่แล้ว นอกจากเรื่องทำอาหารแล้ว ที่เหลือเธอสามารถทำหน้าที่แทนเดเม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จริงๆ ผมจะเลื่อนให้เธอเป็นเมด แต่เธอชอบหน้าที่เดิมอยู่แล้ว เลยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร
พอผมเข้ามาในห้อง สายตาทุกคนก็ละจากโมอา และหันมาทางผมพร้อมกับลุกขึ้นพร้อมกัน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยกลางคน ทำให้ผมรู้สึกตึงเครียดนิดหน่อย
“ขอโทษที่ให้รอนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ! พวกเรามารบกวนเวลาของท่านโรมะ โดยไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อน เป็นความผิดของทางเราเองค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันแบบนั้นก็ได้ครับ ทำตัวตามสบายเถอะ ว่าแต่ท่านเหล่านี้คือ”
ผมหันไปยังกลุ่มผู้ติดตามของเธอ ทาฮากริมเลยทำท่าเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ เลยรีบแนะนำให้ผมรู้จัก ซึ่งผมเดาถูกอยู่สองคน ซึ่งก็คือพ่อและแม่ของฮาทากริม
พ่อของทาฮากริม ลอร์ดแห่งวิลเฟนเฮ มีลักษณะให้ความรู้สึกเหมือนทหารมากกว่าอัศวิน ท่าทางน่ากลัวแต่ก็แฝงไว้ด้วยท่าทางเฉลียวฉลาด ตรงกันข้ามกับแม่ของทาฮากริม เธอเป็นหญิงสาวที่ดูสุภาพเรียบร้อย แต่แววตาเธอค่อนข้างแข็งกร้าว และท่าทางเธอเป็นพวกข่มสามีอย่างชัดเจน
พอแนะนำตัวเสร็จ ผมก็เชิญทุกคนนั่งลง ถึงทุกคนจะมีอายุมากกว่าผม แต่พวกเขาให้ความเคารพผมมากทีเดียว
จังหวะนั้นเองที่อาเดไลท์กับอลิซาเบธเข้ามาพอดี ผมเลยแนะนำสองคนนี้ให้ทุกคนรู้จัก พวกเขาค่อนข้างประหลาดใจกับตำแหน่งหน้าที่ของทั้งสองคน เพราะไม่คุ้นเคยกับชื่อตำแหน่งแบบนี้ ผมเลยต้องอธิบายน่าที่การทำงานแบบย่อๆ ที่แต่ละคนดูแลรับผิดชอบให้ฟัง ทุกคนเลยพยักหน้าทำความเข้าใจได้
โดยเฉพาะลอร์ดแห่งวิลเฟนเฮ เขาขอให้ผมอธิบายเพิ่มอีก เพราะดูจะสนใจการจัดสรรตำแหน่งแบบใหม่นี้มาก
อย่างอลิซาเบธที่รับหน้าที่หัวหน้ากระทรวงกลาโหม ถ้าในโลกนี้ก็จะตรงกับตำแหน่งแม่ทัพ แต่การทำงานค่อนข้างต่างกัน เพราะอลิซาเบธสามารถคิดได้เองว่าจะบริหารจัดการกองทัพอย่างไง โดยทำเรื่องเสนอไปยังเมยอาเพื่อคำนวณงบประมาณ ถ้าผ่านก็ถึงจะส่งไปให้อาเดไลท์อนุมัติอีกที
ซึ่งถ้าเป็นแม่ทัพของโลกนี้ จะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ การติดสินใจและการวางแนวทางของกองทัพ เป็นหน้าที่ของราชาเท่านั้น แม่ทัพมีหน้าที่แค่สั่งการและนำรบเท่านั้น หน้าที่บำรุงดูแลกองทัพก็เป็นหน้าที่ของทหารพลาธิการ ซึ่งก็มีขอบเขตทำได้เพียงแค่เท่าที่ราชากำหนดไว้
ถึงจะดูว่าไม่ต่างกัน เพราะสุดท้ายก็ต้องให้ผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นคนตัดสินใจ แต่ต่างกันที่เนื้อหาสาระและคุณภาพของการบริหาร เนื่องจากไม่มีใครรู้เรื่องทหารดีกว่าทหาร คนนั่งเก้าอี้ไม่เคยเห็นสนามรบ จะไปคิดแทนคนที่ออกไปตายไม่ได้ เพราะงั้นการที่ผู้นำสายตรงของแต่ละกระทรวงจะรู้ ว่าในหน่วยของตัวเองต้องการอะไร
ส่วนแผนกการคลังมีหน้าที่ในการตรวจสอบ ไม่ให้มีการใช้เงินเกินความจำเป็น และหาจุดที่บกพร่องเพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุด ก่อนจะส่งแผนงานที่ถือว่าสมบูรณ์แล้วไปให้ผู้มีอำนาจใหญ่สุดตัดสินใจ แบบนี้นอกจากคุณภาพแล้วยังสามารถทำให้งานเร็วขึ้นอีก
พออธิบายไปแบบนี้พ่อของทาฮากริมก็หายใจฟืดฟาดด้วยความตื่นเต้น จนทาฮากริมต้องสะกิดเตือน เพราะที่มาไม่ใช่เพื่อจะมานั่งเรียนการบูรณาการจัดการด้านการบริหาร
เมื่อตั้งสติได้แล้ว พ่อของทาฮากริมก็กระแอ่ม และถามผมออกมาตรงๆ
“ท่านโรมะเป็นคนของเผ่าปีศาจจริงๆ เหรอครับ”
ตรงตามที่คาดไว้ เขามาเพราะเรื่องนี้เอง
“ใช่ครับ”
ผมเลยให้คำตอบที่เตรียมไว้ออกไป ถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ต้องโกหกกันอีก ที่เหลือก็ให้พวกเขาตัดสินใจเองว่าจะเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจกันต่อ หรือจะยกเลิกสัญญาและหันมาเป็นศัตรูกับผม
“ผมก็คิดไว้แล้วว่าเรื่องนี้อาจทำให้พวกคุณลำบากใจ เพราะฉะนั้นถ้าจะยกเลิกสัญญาที่ทำไว้ ทางผมก็จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายอะไร ถือซะว่าเป็นการฉีกสัญญาที่มีความเห็นพ้องตรงกันของทั้งสองฝ่าย”
พอผมพูดเรื่องฉีกสัญญาพวกทาฮากริมก็พากันหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมา และรีบลุกขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
“อย่ายกเลิกสัญญานะ!”
“ไม่ๆ พวกเราไม่ได้จะมาเพื่อยกเลิกสัญญาครับ”
ทุกคนรีบปฏิเสธกันใหญ่ ผมเลยได้แต่พยักหน้ารับและรอให้ทุกคนสงบลง พ่อของทาฮากริมเลยเป็นตัวแทนพูดขึ้นมา
“คือที่ถามเพราะต้องการยืนยันเฉยๆ ครับ แต่ไม่ว่าจะเป็นคำตอบแบบไหน พวกเราก็ไม่มีความคิดที่จะตีจากท่านโรมะเลยครับ คือพูดแบบนี้ท่านอาจจะตกใจ แต่ผมอยากให้ท่านไปเห็นประชาชนของวิลเฟนเฮในเวลานี้เหลือเกิน เพราะทุกคนล้วนแต่มีความสุขที่
ไม่ต้องส่งคนในครอบครัวไปแทนภาษี ซํ้าภาวะอดอยากก็กำลังหายไป
สีหน้าแบบนั้นของประชาชน คนที่เป็นผู้ปกครองแบบผมยังแทบจะลืมไปแล้วเลยครับ ทุกคนเลยพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าถ้าต้องโดนช่วงชิงสัญญานี้ไปจนต้องกลับไปเป็นแบบเดิม จะขอสู้ตายไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครเลยครับ”
“นั้นผมถือว่าเป็นมติของวิลเฟนเฮได้เลยใช่ไหมครับ”
“ถูกต้องแล้วครับ!”
พ่อของทาฮากริมยิ้มตอบทันที
ผิดคาดแฮะ ผิดไปไกลเลย แบบนี้สภาพความเป็นอยู่ของวิลเฟนเฮ อาจจะแย่กว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก ถึงกับกล้าทำสงครามเพื่อรักษาสถานะความเป็นอยู่ใน
ปัจจุบัน แต่ก็ดีแล้ว แบบนี้ผมจะได้ไม่ต้องทำศึกหลายด้าน
“ที่พวกผมมากันวันนี้ เพื่อจะมายืนยันสถานะของท่านโรมะให้ชัดเจน และจะได้บอกการดำเนินการของพวกเราที่ได้เตรียมเอาไว้ให้ทราบครับ”
“…การดำเนินการ?”
“ครับ กรณีถ้าเป็นแค่ข่าวลื่อ พวกเราจะได้ช่วยแก้ไขให้ถูกต้อง แต่กรณีที่ท่านโรมะเป็นเผ่าปีศาจก็จะขอแยกตัวจากประเทศเลนคานครับ”
“แยกตัว! คิดดีแล้วเหรอครับ นั้นเป็นเรื่องใหญ่เลยนะครับ”
“เรื่องนี้ขออนุญาตให้ผมเป็นอธิบายได้ไหมครับ”
ชายชราที่นั่งอยู่ด้านหลังเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างสุภาพ ผมเลยปล่อยให้เขาได้อธิบายโดยไม่ขัด เขาเลย
ลุกขึ้นมาเอาแผนที่มาวางลงตรงหน้าผม ซึ่งในแผนที่มีการวงจุดสำคัญไว้หมดแล้ว
จากนั้นเขาก็อธิบายถึงผลดีของการแยกตัวออกมา อย่างแรกวิลเฟนเฮใกล้กับประเทศทางตอนใต้ แต่ปัจจุบันยังไม่มีเส้นทางการค้าระหว่างประเทศ ส่วนหนึ่งเพราะประเทศทางใต้ไม่ถูกกับประเทศเลนคาน ส่วนอย่างที่สองเพราะไม่มีถนนการเดินทางเลยลำบาก แต่ปัญหาทั้งสองกำลังจะหมดไป เพราะพอแยกตัวออกมาก็เป็นประเทศใหม่ และไม่มีเหตุให้ประเทศทางใต้ปฏิเสธการทำการค้า ส่วนถนนก็อยู่ในโครงการพัฒนาที่อยู่ในสัญญาของผมอยู่แล้ว
ส่วนข้อเสียในการแยกตัว…นอกจากกลายเป็นศัตรูกันแล้ว ก็ไม่เห็นจะต้องเสียอะไรเลย สิ่งที่ได้กลับมาเนี่ยสิ เยอะแยะมหาศาล
ทว่ายังมีอุปสรรคอยู่ เพราะระหว่างกรอซ่ากับวิลเฟนเฮ ยังมีเมืองซาโรขวางกลางอยู่ นอกจากนี้ทางใต้ลงไปซึ่งติดกับชายแดน ยังมีป้อมปราการที่เรียกได้ว่าเป็นเมืองอีกเมืองอยู่ แต่ชายชราที่บอกว่าตัวเองเป็นเสนาธิการของวิลเฟนเฮ ได้รีบอธิบายให้ผมฟังอย่างตื่นเต้น
“เมืองซาโรตกลงเข้าร่วมกับพวกเราด้วยครับ จริงๆ ท่านเจ้าเมืองอยากจะมาด้วยตัวเอง แต่ถ้ามีคนรู้ จะโดนสงสัยได้ว่าพวกเราเตรียมแยกตัว เขาเลยเก็บตัวเงียบๆ รอฟังคำสั่งจากท่านโรมะครับ”
“เมืองซาโรก็เอาด้วยเหรอ!”
“ครับ ถึงพวกเขาจะไม่ได้อยู่ในขั้นสิ้นหวังแบบพวกเรา แต่ก็ถือว่ามีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ซาโรเป็นเมืองที่อาศัยการเกษตรเป็นหลัก แต่ประชาชนกับอดอยาก เหตุเพราะโดนเก็บภาษีเป็นจำนวนมาก ซํ้ายัง
โดนป้อมราเซเวียสที่อยู่ทางใต้ส่งทหารเข้ามาขูดรีดเป็นประจำ โดยอ้างว่าจะเอาไปใช้เป็นเสบียงเพื่อต่อต้านพวกดินแดนทางใต้ แต่ประชาชนในซาโรก็รู้ดี ว่าเลนคานกับแดนใต้ไม่มีสงครามมาตั้งหลายสิบปีแล้ว พวกมันก็แค่ใช้เป็นข้ออ้างมาปล้นสะดมเท่านั้นเอง เพราะงั้นทั้งเจ้าเมืองและประชาชนต่างอยากปลดแอกจากพวกเลนคานเต็มทนแล้ว ส่วนขอเรียกร้องท่านเจ้าเมืองซาโรมีเพียงข้อเดียว คือหลังจากตั้งประเทศแล้ว อยากให้ท่านโรมะผ่อนปรนภาษีให้ซาโรหนึ่งปี และลดภาษีลงครึ่งหนึ่งอีกสองปี ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนของซาโรได้ฟื้นตัว แต่ถึงท่านโรมะไม่ตกลง เขาก็จะยังให้ความร่วมมืออยู่ดี โดยหวังว่าจะใช้ผลงานในสนามรบเพื่อให้ท่านโรมะได้เห็นใจเขาบ้าง”
“ข้อเรียกร้องของทางท่านเจ้าเมืองซาโรผมเห็นดีด้วยครับ แต่ที่ผมอยากรู้ตอนนี้…พวกคุณคิดไปถึงขั้นไหนกันแล้วครับเนี่ย”
“เอ่อ ก็”
คุณลุงเสนาธิการหันไปมองทางพ่อของทาฮากริม เพื่อให้ตอบคำถามนี้แทนเขา
“ขาดแค่เรื่องชื่อประเทศ กับเรื่องการปกครองครับ พวกเราว่าจะยกให้ท่านโรมะเป็นคนจัดการ”
ผมแทบตกเก้าอี้ นี้พวกเขาคิดจริงจังกันถึงขั้นนั้นเลยเหรอ ไม่ใช่แค่ยอมรับการทำสงคราม แต่มองไปถึงขั้นประกาศตั้งประเทศใหม่กันแล้ว แบบนี้ผมก็ไม่เหลือช่องให้ปฏิเสธได้สิ
“เช่นนั้น ทางเราจะทำสำเนาร่างกฎหมายต่างๆ ไปให้นะคะ แต่คิดว่าควรปรับตามสภาพสังคมและความเป็นอยู่ของชาวเมืองเป็นหลักดีกว่า ไม่ต้องใช้ตามพวกเราทั้งหมดหรอกค่ะ”
อาเดไลท์ดำเนินการไปซะแล้ว…เฮ้ๆ นี้ผมยังไม่ทันได้ตัดสินใจเลยนะ!
“ข้าขอทราบจำนวนทหารที่พวกท่านจะส่งเข้าร่วมสงครามด้วย”
ส่วนอลิซาเบธนี้ก็เตรียมรบแล้วให้ตายเถอะ ไม่มีใครคิดจะค้านสักคนเลยเหรอ
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
มาแล้ว! เมยอาคงไม่เห็นด้วยสินะ ค้านเลย!
“กองเสบียงฉันขอเป็นคนจัดการด้วยตัวเองนะคะ”
เมยอา! ถ้าจะงกให้ถึงที่สุดก็ไม่ควรทำสงครามเซ่!
แย่ล่ะ ทุกคนโดนบรรยากาศพาไปหมดแล้ว จะให้ทำลายบรรยากาศก็คงไม่ดี แถมผมเองก็เห็นด้วยกับการแยกตัวนะ ก็ในเมื่อโดนกดขี่อย่างไม่เป็นธรรม ก็คงจะดิ้นรนเพื่อตัวเองบ้าง แถมโอกาสนี้ก็เหมาะแล้ว ส่วนหนึ่งผมว่าที่พวกเขากล้าแยกตัว คง
เป็นเพราะคำนวณเรื่องที่ผมเป็นเผ่าปีศาจเข้าไปด้วย ซึ่งมันหมายความว่า ถ้าเกิดการรบขึ้น ผมยังสามารถดึงเอาเผ่าปีศาจเข้ามาช่วยได้ ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่พวกเขาคิดหรอก แต่เพราะนั้นแหละ ถึงได้อันตรายในหลายๆ ความหมายเลย
“เดี๋ยวก่อนนะทุกคน เรื่องที่ว่าผมเห็นด้วยทุกอย่างก็จริง แต่ช่วยคิดถึงผลลัพธ์ด้วยนะครับ ว่าถ้าทำแบบนี้แล้วผลสุดท้ายพวกคุณจะต้องเกี่ยวข้องเผ่าปีศาจนะครับ”
“ถ้าเรื่องนั้น…พวกเราขอเรียนถามท่านโรมะตามตรงเผ่าปีศาจคิดจะทำอย่างไงกับพวกเราเหรอครับ”
พ่อของทาฮากริมเป็นตัวแทนถามขึ้นมา สีหน้าเขาจริงจังทีเดียว เหมือนเตรียมใจรับกับคำตอบไว้แล้ว
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้นแหละครับ นโยบายของเผ่าปีศาจก็คือ การอยู่ร่วมกัน ในเร็วๆ นี้ดินแดนปีศาจก็จะมีการตั้งประเทศขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ที่นี้ยังอยู่ห่างไกลจากดินแดนปีศาจ คงเอาไปรวมกันไม่ได้เพราะงั้นสบายใจได้เรื่องการโดนกลืนประเทศไม่มีแน่ และผมคิดจะให้ที่นี้เป็นประเทศเป็นกลางซึ่งเปิดเสรีให้กับทุกเผ่าพันธุ์ แต่นั้นแหละครับ ต้องถามพวกคุณ ยอมรับได้ไหมที่ต้องอยู่ร่วมกับเผ่าปีศาจ”
“ตกลงครับ”
“เอ่อ ตัดสินใจเร็วไปไหมครับ”
“ไม่เลยครับ พวกเราคุยกันมาก่อนหน้านี้แล้ว และคิดถึงความเป็นไปได้ในหลายๆ ทาง รวมถึงที่ท่านโรมะพูดมาด้วยครับ แต่ค่อนข้างประหลาดใจเหมือนกันครับ ที่ทางเผ่าปีศาจมีนโยบายเช่นนั้น พวกผมนึกว่าจะต้องเหนื่อยในการเจรจาต่อรองกันมากกว่านี้ซะอีก”
เป็นงั้นไป ถ้าเป็นแบบนี้ผมก็จะถือว่าปล่อยเลยตามเลยล่ะกัน
ผมเลยให้ประชุมต่อ แต่ยิ่งฟังผมยิ่งตะลึง เพราะพวกวิลเฟนเฮเตรียมการไปไกลแล้วจริงๆ ถึงขั้นเดินทัพเอาทหารไปซ่อนไว้ที่เมืองซาโรแบบลับๆ ร่วมกับกองทหารของซาโรที่จัดตั้งไว้แล้วเหมือนกัน การเดินทัพจากซาโรมาที่กรอเรีย ใช้เวลาเพียงแค่สองถึงสามวันเท่านั้น
ทหารมีประมาณ 2,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารของเมืองซาโร ก็นะเขตการปกครองวิลเฟนเฮไม่ได้มีกำลังทรัพย์ที่จะมีกองทัพใหญ่ๆ ได้ ส่วนซาโรเองก็ไม่ใช่เมืองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการทหาร จำนวน 2,000 นี้ ผมถือว่าเยอะแล้ว แต่ทางผมสิที่น่าอนาถ เพราะทหารของกรอซ่ามีเพียงแค่ 300 คน แถมเกินกว่าครึ่งเป็นทาสที่ไม่เคยได้รับการฝึกมาก่อน
ส่วนทางกองทัพผสมของเลนคานกับโบสถ์ใหญ่ ถึงจะไม่รู้จำนวนแน่นอน แต่ผมว่าไม่ตํ่ากว่าหมื่นแน่ เพราะพวกนั้นต้องการประกาศศักดาว่าตัวเองเหนือกว่าเผ่าปีศาจ เรียกได้ว่ากะมาบดขยี้ไม่ให้เหลือซากเลย
เท่าที่ฟังจากครีเรน่า กองทัพผสมน่าจะถึงเขตแดนของกรอซ่าให้อีก 6 วันให้หลัง
“6 วันน่าจะอพยพคนได้ทันแบบเฉียวฉิวพอดี”
พ่อของทาฮากริมแสดงความคิดเห็นออกมา แต่ผมส่ายหน้า
“ไม่ต้องอพยพหรอกครับ”
“เอ๋? แต่ว่า”
“ผมจะจบสงครามก่อนจะถึงเมืองน่ะครับ”
“แต่ว่าคนพวกเราน้อยกว่า ใช้แผนป้องกันอยู่หลังกำแพงเมืองน่าจะเหมาะกว่านะครับ”
“ครับ ถ้าเป็นการรบตามปกติก็คงต้องทำแบบนั้น แต่คราวนี้ผมขี้เกียจมาเสียเวลากับเจ้าพวกนั้น เลยว่าจะใช้วิธีที่ต่างออกไปนิดหน่อย”
“วิธีอะไรเหรอครับ?”
“ก็เช่นว่า…เอาหายนะไปปล่อยทิ้งไว้กลางกองทัพพวกมัน”
“…”
“เฮ้! แบบนี้ข้าก็อดสนุกสิ”
ผมอยากหันไปเขกกะโหลกอลิซาเบธจริงๆ แต่มันก็สมกับเป็นเธอดี ผมเลยเพียงแค่หันไปค้อนใส่และพูดต่อ
“ส่วนเธอต้องพาทหารของกรอซ่าไปที่ซาโร”
“เอ๋?”
ทุกคนมีแต่เครื่องหมายคำถามบนใบหน้า
“เพราะทันทีที่สงครามเริ่มต้นขึ้น ทหารจากป้อมราเซเวียสจะต้องบุกเมืองซาโรแน่ และพวกมันจะใช้ที่นั้นเป็นฐานในการบุกกรอซ่า”
“แบบนี้เอง พวกเราเลยต้องป้องกันซาโรไว้สินะครับ”
“เปล่า ไม่ได้จะให้ป้องกันครับ”
ผมปฏิเสธก่อนจะหันไปบอกกับอลิซาเบธ
“อลิซาเบธ เธอถล่มพวกมันได้ตามใจชอบเลยนะ แต่ว่าห้ามเป็นฝ่ายบุกก่อน รอให้มันเคลื่อนทัพมาเอง พวกเราต้องทำให้ประชาชนเห็นว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มสงคราม”
“เข้าใจแล้ว หวังว่าพวกมันจะทำให้ข้าได้สนุกกว่าการทำสงครามกับเผ่าปีศาจนะ”
“ค คนเดียวเหรอครับ!?”
ทุกคนมีสีหน้าตกใจขณะหันไปมองที่อลิซาเบธ
“อ้อ เห็นแบบนี้แต่ยัยนี้เป็นถึงผู้กล้าวีรชนเลยนะครับ แถมเป็นคนที่ปราบจอมมารคนก่อนด้วย”
“…”
ไม่มีใครมีคำถามอีกเลย ถึงจะสงสัยว่าทำไมผู้กล้าในตำนานคนนั้น ถึงได้กลายมาเป็นคนของเผ่าปีศาจได้ แต่พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่ถามต่อดีกว่า
“แล้วก็ผมอยากให้พวกคุณแบ่งทหารออกเป็นสองส่วน กลุ่มหนึ่งกระจายกำลังออกคุมพื้นที่กวาดล้างของยัยนี้ และคอยเก็บกวาดพวกที่แตกทัพมา ถ้าเป็นไปได้ก็จับเป็นนะครับ เพราะฆ่าทิ้งไปก็เสียของ จับมาเป็นทาสหรือดองเป็นเชลยศึกไว้เรียกเงินจากพวกเลนคานให้กระอักไปเลยดีกว่า ส่วนอีกกลุ่มก็รอให้ทหารในป้อมราเซเวียสออกมาให้หมด แล้วค่อยเข้าไป
ยึดป้อม ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามส่งสายเข้าไปข้างในก่อน อย่างน้อยจะได้มีคนเปิดประตูให้”
“ค ครับ พวกเราจะจัดการตามนั้นครับ”
พ่อของทาฮากริมยังดูอึ้งๆ อยู่ แต่ก็ยังพอมีสติรับคำผมได้
“ส่วนของแผนการรบมีเพียงเท่านี้ครับ เรื่องการประกาศแยกตัวตั้งประเทศ ไว้หลังจากจบศึกแล้วผมจะขอเชิญทุกคนมาประชุมร่วมกันอีกที เพราะถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้ตั้งเมืองหลวงที่เขตปกครองวิลเฟนเฮ”
“หา! ไม่ใช่กรอซ่าเหรอครับ เมืองนี้เจริญและพร้อมกว่า จนเขตของผมจนเทียบไม่ติดเลยนะครับ”
“กรอซ่าเหมาะจะเป็นเมืองหน้าด่านมากกว่าครับ ทั้งตำแหน่งที่ตั้งและลักษณะของเมือง ส่วนที่ซาโรเองก็เมืองเกษตรกรรม ไม่เหมาะใช้เป็นเมืองหลวงอยู่
แล้ว แต่ที่วิลเฟนเฮมีพื้นที่กว้างใหญ่ และถ้าวางผังเมืองให้ครอบคลุมเมืองกับหมู่บ้านในเขตทั้งหมด ก็จะได้เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่รองรับการเติบโตได้แล้วครับ”
“จ จริงเหรอครับเนี่ย!?”
เพื่อพิสูจน์ให้พวกเขาเห็น ผมเลยลากเส้นบนแผนที่เชื่อมโยงหมู่บ้านในเขตของวิลเฟนเฮเข้าด้วยกัน และชี้จุดที่จะสร้างกำแพงเมืองขึ้นมา ถ้าทำตามนี้ล่ะก็ เมืองวิลเฟนเฮจะมีขนาดใหญ่กว่ากรอซ่าถึงสิบเท่าได้ ไม่สิ น่าจะใหญ่กว่าเมืองหลวงของเลนคานด้วย
ถึงจะมีพื้นที่ว่างมากมาย แต่นั้นถ้าได้รับการบุกเบิกแล้ว จะสร้างเป็นรายได้อย่างมหาศาลในอนาคต ที่สำคัญคือการวางผังเมืองและเชื่อมหมู่บ้านทุกแห่งเข้าด้วยกัน จากนั้นค่อยขยายเมืองโดยใช้หมู่บ้านแต่ล่ะแห่งเป็นศูนย์กลาง ยิ่งตอนนี้กิลนักผจญภัยก่อสร้างแล้ว ซํ้ายังมีกิลใหญ่ไปปักหลักอยู่ ในอนาคตก็จะเปิด
เส้นทางค้าขายกับทางใต้ พื้นที่ว่างทุกตารางนิ้วในวิลเฟนเฮจะกลายเป็นทองขึ้นมาในทันที
แต่ผมว่าอย่าพึ่งบอกตัวเลขของรายได้ที่พวกเขาจะได้เลยดีกว่า ไม่งั้นคงมีหัวใจวายตายกันบ้างล่ะ ตอนนี้ผมอยากให้พวกเรามีสมาธิกับการรบ และการจัดตั้งประเทศมากกว่า
หลังจากประชุม กลุ่มของวิลเฟนเฮ ก็แยกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นพวกเสนาธิการพวกเขาตามอลิซาเบธไป เพื่อคุยเรื่องรายละเอียดของกองทัพร่วม ส่วนกลุ่มที่สองเป็นพวกขุนนางที่มีความรู้โดยเฉพาะเรื่องการปกครองกับเรื่องกฎหมาย พวกนี้ก็จะตามอาเดไลท์กับเมยอาไปที่จวนเจ้าเมือง เมื่อปรึกษากันในเรื่องการร่างสัญญาเป็นพันธมิตรกัน และกลุ่มสุดท้ายก็คือครอบครัวของทาฮากริมสามคน ที่ยังอยู่คุยกับผมต่อ
“ผมขอพูดตรงๆ เลยนะครับ”
“ที่ผ่านมานี้ยังไม่ตรงอีกเหรอครับ”
ผมยิ้มแห้งๆ เพราะพวกเขาเล่นคิดเองเสร็จสรรพ จนผมแทบตามไม่ทันเลยด้วยซํ้า คราวนี้ไม่รู้จะมีเรื่องอะไรอีก แต่ผมก็คงได้แต่รับฟังล่ะนะ
“ท่านโรมะ…ช่วยรับยัยหนูของพวกเราไปด้วยเถอะครับ”
“…หา!?”
“คือเรื่องนี้พวกเราไม่ได้ต้องการจะใช้การผูกสัมพันธ์ เพื่อเอาเปรียบในตัวสัญญาหรอกนะครับ แต่พวกเราได้ยินมาว่าท่านโรมะเป็นคนที่คบหาคนอื่นด้วยความจริงใจ พวกเราเลยอยากจะแสดงให้ท่านเห็นถึงความตั้งใจจริงของพวกเรา”
“เอ่อ แต่ว่าทางนี้ไม่ค่อยสะดวกน่ะครับ”
ใช่ ผมมีฮาเร็มอยู่ เพราะงั้นเรื่องแต่งงานเป็นไปได้ยาก เพราะการแต่งงานจะเป็นชนวนทำให้
เกิดความแตกแยกในฮาเร็ม ฮาเร็มคงอยู่ได้เพราะไม่มีที่หนึ่ง แต่ถ้าผมแต่งงานก็จะมีคนที่เป็นที่หนึ่งขึ้น พวกสาวๆ ต้องไม่พอใจแน่ๆ และถ้าให้เลือก ผมเลือกฮาเร็มของผมดีกว่าอ่ะ
“เรื่องฮาเร็มของท่านโรมะพวกเราทราบดีอยู่แล้วครับ ยัยหนูเป็นคนเล่าให้พวกเราฟังหมดแล้ว ท่านโรมะไม่จำเป็นต้องตบแต่งอะไรหรอกครับ แค่รับยัยหนูไปเป็นหนึ่งในฮาเร็มก็พอครับ”
“ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิครับ ว่าไงดีล่ะ…ถึงผมจะเจ้าชู้ แต่ผมไม่ฝืนใจผู้หญิงนะครับ”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นยิ่งไม่ต้องห่วงครับ ตั้งแต่กลับบ้านไปยัยหนูพูดถึงแต่ท่านโรมะไม่หยุด จนภรรยาผมเองยังเกือบโดนล้างสมองไปด้วยเลยครับ”
“พ่อค่ะ!/คุณค่ะ!”
ผมหันไปสบตากับทาฮากริม ซึ่งเธอหน้าแดงขึ้นมาทันทีและหันหลบตาผมไป คือผมก็ดูออกหรอกนะว่าเธอมีใจให้ผม แต่ถึงขนาดยอมมาเข้าฮาเร็มผมนี้เกินคาดไปหน่อย เพราะอย่างไงเธอก็เป็นถึงลูกสาวของลอร์ด ซึ่งมีทั้งหน้าตาและศักดิ์ศรี ทว่ามันก็ทำให้ผมเข้าใจความตั้งใจได้จริงๆ นั้นแหละ ถึงขนาดยอมยกลูกสาวให้มาเข้าฮาเร็ม ซึ่งนั้นจะทำให้เธอไม่ได้รับสิทธิพิเศษอะไรเลยงานนี้เลยได้ใจผมไปเต็มๆ
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าทาฮากริมเต็มใจ ทางผมจะดูแลเธอเอง รับรองว่าเธอจะไม่ลำบากแน่นอนครับ”
“ได้ยินเช่นนั้นแล้วพวกเราก็เบาใจครับ”
คนพ่อน่ะโล่งใจ แต่คนลูกนี้สิ นั่งอายม้วนจนบีบที่วางแขนแตกละเอียดเลย
“….”
แต่ว่าถึงจะตกลงกับเรียบร้อยแล้ว ทางครอบครัวของทาฮากริมก็ยังไม่มีท่าทีจากไป เหมือนพวกเขามีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้บอก
“มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะครับ ถึงขั้นนี้แล้วก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วล่ะครับ”
“อ่า ถ้าท่านโรมะกล่าวเช่นนั้น งั้นผมก็ไม่เกรงใจนะครับ”
เอ๋ หรือว่าจะมีเรียกร้องอะไรจากการมอบทาฮากริมให้ผมล่ะเนี่ย
“ท่านโรมะทราบใช่ไหมครับว่าผมมีเพียงแค่ลูกสาวเพียงคนเดียว”
“ครับ ทาฮากริมเคยเล่าให้ฟังแล้ว”
“แล้วแบบว่า…ผมอยากได้ลูกชายไว้สืบทอดตระกูลน่ะครับ”
“อ้อ ครับ”
“…”
“…”
…อึดอัดเฟ้ย! จะอยากบอกอะไรกันแน่เนี่ย
“ค คือว่า ความจริงแล้ว…ผมเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศน่ะครับ”
“...”
“หมอบอกว่าเพราะผมเครียดมากเกินไป”
“ง งั้นพักผ่อนจากงานสักระยะ น่าจะดีขึ้นนะครับ”
ผมพยายามให้คำแนะนำที่ดีที่สุด แต่เขาก็ส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย
“ผมเคยลองแล้วครับ ขนาดหลบไปอยู่ในป่ากับภรรยากันสองต่อสอง มันก็ยังไม่สู้เลยครับ ไม่ใช่แค่กับภรรยานะครับ แต่ลองกับคนอื่นแล้วก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
แย่ล่ะสิ เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้ว แต่ก่อนจะพูดอะไรต่อ ผมก็รีบยกมือห้ามไว้
“ผมว่าผมมีตัวช่วยนะครับ”
แล้วผมก็รีบให้เดเม่ไปปลุกซานูน่าลงมา สักพักคุณซักคิวบัสที่ยังมีท่าทางเมาค้าง ก็เดินโซเซลงมาไม่เหลือสภาพขุนพลปีศาจเลยนะเฮ้ย!
พอผมอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง ซานูน่าก็เดินไปถอดกางเกงของลอร์ดวิลเฟนเฮออกทันที แถมยังจับนกเขาของเขาพลิกไปพลิกมาต่อหน้าลูกเมียเขาอีก เอ่อ แต่จะห้ามก็ไม่ทันแล้วล่ะ
“อืม ไม่ไหวหรอก มันหมดสภาพแล้วล่ะ ถึงจะใช้สกิลทำให้แข็งขึ้นมาได้ ก็ไม่สามารถเสร็จได้อยู่ดี”
“ไม่ไหวจริงๆ ด้วยสินะ”
ค่าความหื่นของลอร์ดที่ผมวัดได้ มันเกือบจะเป็นศูนย์อยู่แล้ว
“แล้วถ้าใช้สกิลยัดความหื่นเข้าไปล่ะ?”
ผมลองถามดูแต่ก็พอเดาผลได้อยู่หรอก
“อย่าดีกว่าค่ะ ถึงมันจะได้ผลแต่คุณภรรยาคงไม่ชอบแน่ และเผลอๆ จะมีผลกระทบระยะยาวกับบุคลิกภาพอีก”
“นั้นสินะ…ขอโทษด้วยนะครับ ผมเองก็ช่วยไม่ไหว”
“…ไม่หรอกครับ ยังมีอีกวิธี”
ท่านลอร์ดกล่าวอย่างมั่นใจ ขณะมองมาที่ผม
“ยัยหนูบอกว่าขนาดมังกรท่านโรมะยังทำให้ท้องได้เลยใช่ไหมครับ”
“เอ่อ นี้คงไม่ใช่”
“ใช่ครับ”
ตอบตัดหน้าผมอีก!
“ถึงจะทำแบบนั้นได้ แต่ลูกก็ไม่ใช่สายเลือดของท่านลอร์ดนะครับ”
“ลูกของภรรยาผมก็ต้องเป็นลูกของผมสิครับ”
…ยอมแพ้กับตรรกะของคนโลกนี้จริงๆ เลย เอาสมองส่วนไหนคิดฟ่ะ!
“แล้วทาฮากริมโอเคเหรอแบบนี้”
“…ขอให้ได้เด็กผู้ชายนะคะ”
นั้นเหรอคือคำตอบ…เดี๋ยวนะ นี้คงไม่ได้จะบอกใช่ไหม ว่าถ้าไม่ได้ลูกชายก็จะต้องให้ผมทำให้จนกว่าจะได้น่ะ
“งั้นมาเริ่มกันเลยเถอะครับ วันนี้เป็นวันตกไข่ของภรรยาผมพอดี”
“…เอาจริงเหรอครับ”
“จริงสิครับ!”
“งั้นก็ได้ครับ แต่ผมไม่รับผิดชอบผลที่ตามมานะครับ”
“ตกลงครับ”
จากนั้นทุกคนก็พากันออกไปรอนอกห้อง แต่พอได้อยู่กันสองต่อสองเท่านั้นแหละ ท่าทางที่เหนียมอายก็หายไปหมด แม่ของทาฮากริมเป็นฝ่ายโจมตีผม!
พวกเราเปิดฉากการรบทันทีโดยไม่มีการเล้าโลม หรือต้องบอกว่าเธอแฉะอยู่ก่อนแล้ว
“ใหญ่จัง! นี้มันยิ่งกว่าที่ยัยหนูบอกซะอีก ข้างในฉันมันจะรับไหวไหมนะ”
ถึงเธอจะบอกเช่นนั้น แต่เธอก็ดันมันเข้าไปในถํ้าของเธอ เพราะเธออายุมากและผ่านมามีบุตรมาแล้ว ข้างในเธอจึงค่อนข้างหลวม แต่สำหรับผมก็ยังถือว่าแน่นอยู่ดีล่ะ อุ๊ ใส่ไปได้ตั้ง 2/3 แนะ แต่เพียงแต่เสียบก็แม่ของทาฮากริมก็ไปถึงสวรรค์ซะแล้ว
ผมปล่อยให้เธอพักแปบหนึ่งก่อนจะเริ่มยกสอง ระหว่างนี้ผมก็ใช้อ่านใจไปด้วย อย่างแรกเลยที่รู้ ข้างในเธอเป็นคนหยาบคายชนิดที่ไม่สามารถนำออกมาบอกเล่าได้เลย แต่เป็นการหยาบคายที่มาจากการเก็บกด ไหนๆ แล้วผมก็ใช้ประโยชน์จากจุดนี้หน่อยล่ะกัน
“มึงนี้ร่านอย่างกะหรี่เลยว่ะ”
แค่นั้นแหละ ข้างในของเธอก็ตอดรัดผมอย่างบ้าคลั่ง อ่ะ เสร็จไปอีกรอบซะแล้ว...กระตุ้นแรงไปหน่อยมั่ง
หลังจากไปเยี่ยมชมสวรรค์สองรอบ สติสตังของแม่ทาฮากริมก็เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และเริ่มเผยความในใจที่แสนน่ากลัวออกมาเรื่อยๆ
ในใจของเธอใช้สรรพนามเรียกผมว่า ผัวรัก…นั้นทำให้ผมอึดอัดมาก นอกจากนี้เธอยังมีคิดแผน ที่จะ
ไม่ตั้งท้องกับผม เพราะถ้ายังไม่ท้องเธอก็จะยังสามารถมามีอะไรกับผมได้อีกเรื่อยๆ แต่จิตใจเธอต่อสู้กันหนักมาก เนื่องจากใจหนึ่งเธออยากโดนผมแตกในจนแทบขาดใจ แต่ใจหนึ่งก็อยากเลี่ยงการตั้งท้องเพื่อทำตามแผน ตอนนี้มีเช็กส์นี้ในใจคนเรานี้มันก็คิดกันหลายเรื่องเลยนะ
แต่ผมตัดสินใจแล้วล่ะ ว่าจะแตกในให้เธอท้องไปซะ ไม่งั้นขืนลากยากไป มีหวังเธอได้เอาผมเป็นผัวจริงๆ แน่
นอกจากนั้นผมก็ลองถามคำถามบางอย่างไป เพื่อตรวจดูว่าฝ่ายวิลเฟนเฮมีซ่อนแผนอะไรไว้ไหม แต่สรุปว่าไม่มีอะไรเลย พวกเธอจริงใจกว่าที่ผมคิดไว้ด้วยซํ้า
ตอนผมจะเสร็จเลยบริการเธอเป็นการตอบแทนซะหน่อย ด้วยการใช้สกิลเพิ่มแรงฉีดของนํ้าเชื้อ
ความแรงนั้นประมาณปืนฉีดนํ้าได้ ถึงจะไม่เคยวัดระยะจริงๆ แต่นํ้าเชื้อผมคงพุ่งไปได้ไกลถึงห้าเมตรแน่ นํ้าเชื้อถูกฉีดใส่ผนังมดลูกด้านในโดยตรง เพราะผมแทงส่วนหัวประมาณครึ่งหนึ่งเข้าไปในมดลูก เธอถึงกับตาเหลือกและกรีดร้องอย่างเสียสติ เธอเสร็จถี่ๆ จนร่างกายเกร็งค้างขณะที่ท้องเธอบวมขึ้นมานิดหน่อย เพราะนํ้าเชื้อผมอัดแน่นจนเต็มมดลูก แถมผมยังปักดุ้นคาไว้เพื่อปิดมดลูกไว้ไม่ให้นํ้าเชื้อไหลกลับออกมา งานนี้ถึงไม่มีสกิลแต่รับรองว่าท้องแน่ๆ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ผมก็ทำความสะอาดและแต่งตัวให้เธอ และจับมานั่งที่เก้าอี้เหมือนกับตอนแรก เพียงแต่ตาเธอลอยแบบไม่มีสติอยู่กับตัว พอทุกคนกลับเข้ามาก็ประหลาดใจที่เห็นสภาพแบบนั้น และไม่ว่าจะถามอะไรไปก็จะไร้การตอบสนอง ผมเลยบอก
ว่าต้องให้เธอพักสักหน่อยถึงจะกลับมาเป็นปกติ แน่นอนว่าต้องถึงกับช่วยกันหิ้วปีกเธอไปกันเลย

ตอนที่ 143 จอมมารมาแล้วจ้า

หลังจากวันนั้น กิจกรรมหลักๆ ของผมก็วนเวียนอยู่แต่กับ…การผลิตลูก
เพราะเรื่องการท้องของเจ้าหญิงโช ทำให้เกิดกระแสขึ้นมาในหมู่มังกร สุดท้ายมังกรตัวเมียทั้งหมดต่างมุ่งหน้ามาหาผม และขอร้องแบบบังคับให้ผมมีอะไรด้วย เกือบหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ผมก็ได้มีอะไรกับมังกรตัวเมียทุกตัวที่อยู่บนโลกนี้ แต่ผมก็ได้ประโยชน์กับเรื่องนี้มาเต็มๆ เพราะได้ค่า Lust Point มาเพียบเลย
เวเนซ่าบอกว่า จำนวนการได้ Lust Point ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ทำ เช่น ถ้าผมหลับนอนกับคนเดิมซํ้าๆ ถึงจะเป็นคนที่ชอบมากแค่ไหน แต้มที่ได้ก็จะลดลง แต่ถ้าเป็นผู้หญิงที่ผมไม่เคยมีอะไรด้วย จะได้
แต้มมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ก็มีพวกแต้มเปิดบริสุทธิ์และอื่นๆ อีกมาก สรุปก็คือ วิธีเก็บแต้มที่เวเนซ่าวางแผนไว้ก็คือ ให้ผมมีอะไรกับผู้หญิงแบบไม่ซํ้าหน้าไปเรื่อยๆ นั้นเอง
ส่วนเผ่ามังกรนี้อยู่นอกแผน แต่ก็ถือว่าได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน เวเนซ่าเลยพึงพอใจกับเรื่องนี้สุดๆ
แต่ผมมีปัญหาอีกอย่าง เพราะคุณมังกรสาวบางตัวมาแล้วไม่ยอมกลับ พวกเธอพากันใช้บริเวณด้านบนของดันเจี้ยนนํ้าตก สร้างเป็นรังมังกรขึ้นมาที่ว่ามีปัญหาเพราะมันกลายเป็นจุดที่ดึงดูดความสนใจไปแล้ว แต่พวกมังกรเป็นพวกห่วงอาณาเขต และอาณาเขตที่ว่าก็รวมถึงเขตคฤหาสน์ของผมด้วย ถ้ามีใครเข้ามากวน มันจะตรงเข้าไปทำร้ายทันที แถมถ้าตั้งท้องกันแล้วจะยิ่งดุร้ายกว่านี้อีก นั้นเลยเป็นเหตุให้ผมกลุ้มใจ
แต่ตอนนี้ต้องพักเรื่องนั้นไว้ก่อน เพราะมันได้เวลาแล้ว กองทัพผสมเคลื่อนทัพมาใกล้ และหยุดพักอยู่ที่เมืองซึ่งอยู่ทางเหนือของกรอซ่า จากเมืองนั้นใช้เวลาเคลื่อนทัพอีกวันครึ่ง ก็จะเข้าเขตพื้นที่ของกรอซ่า ผมดูจากที่พวกนั้นล่าช้ากว่ากำหนด คิดว่าต้องเป็นกองทัพใหญ่แน่ และตามที่พวกลูกน้องจากเผ่าปีศาจแอบไปสืบมา เห็นว่ามีกันถึงสามหมื่น
โดยแบ่งเป็นทัพของโบสถ์ใหญ่ 5,000 ทัพจากเมืองหลวง 20,000 ทัพอาสาของผู้ศรัทธา 2,000 และทัพทหารรับจ้างที่ได้มาจากตามเมืองต่างๆ ระหว่างทางอีก 3,000
ถือว่าเป็นจำนวนที่มากอยู่ แต่อย่างไงก็เป็นทัพผสมล่ะนะ ความน่าเกรงขามผมว่า สู้พวกสมาพันธรัฐที่มีจำนวนเท่าๆ กันไม่ได้หรอก
แต่คราวนี้ผมไม่คิดแค่จะไล่พวกมันไปหน่อยนะ แต่ผมจะกวาดล้างซะ ถึงจะมีผลเสียมากมายตามมา แต่ก็มีผลดีที่ผมเล็งเห็นไว้ ซึ่งมันคุ้มค่ากว่ากันเยอะ
ผมจึงเริ่มการเคลื่อนไหวในทันที จริงๆ ผมกะไปแค่คนเดียว แต่เวเนซ่ากับซานูน่าขอตามไปด้วย เพราะจะได้ระวังหลังให้ผมได้ ซึ่งผมก็ว่าดีเหมือนกัน ถึงคิดว่าจะระวังตัวแค่ไหน แต่ข้อผิดพลาดมันมักจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวเสมอ
พวกผมลอบเข้าไปในเมืองเพนเนต ที่พวกกองทัพผสมใช้พัก กองทหารส่วนใหญ่ตั้งค่ายอยู่รอบๆ นอกเมือง จะมีแต่พวกแม่ทัพนายกองที่จะพักโรงแรมในเมือง แต่ก็มีอาการอารักษ์ขาที่แน่นหนา พร้อมกับปิดเมืองไม่ให้ใครเข้าออกด้วย ชาวเมืองที่เดือดร้อนก็ได้แต่ปิดบ้านเงียบกันไป
ผมใช้ใบวาปร์มาโผล่ที่กลางเมือง ซึ่งมีพลพรรคเผ่าปีศาจรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขามีกันห้าคน และล้วนแต่ปลอมตัวเป็นทหารของโบสถ์ใหญ่ จริงๆ พวกนี้ไม่ได้ปลอมตัวหรอก แต่เป็นทหารของโบสถ์ใหญ่จริงๆ เป็นเผ่าปีศาจที่มุเอมะส่งไปแทรกซึมไว้นานแล้ว
พอได้เห็นหน้าผม พวกเขาก็แทบจะก้มลงจูบเท้ากันเลยทีเดียว แต่ผมรีบห้ามไว้ และให้นำทางไป เป้าหมายที่ผมเล็งไว้คือ คุราร่า
พวกคุราร่าและนักบวชระดับคาร์ดินัล ซึ่งเป็นหัวหน้าพักอยู่ที่โบสถ์ใหญ่สาขาเพนเนต นอกจากนั้นยังมีระดับบิชอปและอาร์คบิชอปมาด้วยหลายคน แต่ผมสนแค่คุราร่าเท่านั้น
ด้วยเส้นทางที่ทางสายเตรียมไว้ให้ ทำให้พวกผมเข้าไปในโบสถ์ใหญ่ได้โดยไม่ต้องปะทะ แถมพวก
เขายังพาไปถึงห้องของคุราร่าได้เลย โดยเพียงแค่จัดการยามที่เฝ้าประตูไว้เพียงสองคนไปแบบเงียบๆ
แล้วผมก็ดึงเอาหมวกราชาปีศาจขึ้นมาใส่ เพราะผมจะพบเธอในฐานะของจอมมาร แบบนั้นน่าจะกล่อมเธอได้ง่ายกว่า
แต่พอเปิดประตูเข้าไปผมก็เห็นภาพที่ชวนหัวเสีย ร่างของคุราร่านอนอยู่บนเตียง ในสภาพเปลือยเปล่าและร่างกายเต็มไปด้วยนํ้ากาม ตาของเธอลอยไร้สติ เธอไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยเมื่อเห็นผม เธอเพียงอ้าขาให้
“ดูจากสภาพแล้ว เธอคงโดนล้างสมองให้กลายเป็นตุ๊กตาใช้ระบายความใคร่ ให้พวกตาแก่ในโบสถ์ใหญ่ไปแล้วล่ะ เผลอๆ คงโดนมาตั้งแต่ตอนที่ถูกทรมานแล้ว”
เวเนซ่าบอกขณะเข้าไปตรวจดูตรงช่องคลอดของคุราร่า ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกคลื่นไส้ ถ้าเป็นแบบนี้ถึงต้องใช้กำลังบังคับ ผมคงไม่ปล่อยเธอกลับไปแน่
“ถ้าใช้กรงขังจะรักษาเธอได้ไหม”
นั้นคือสิ่งที่ผมอยากรู้
“ได้สิ แต่ต้องทำระวังหน่อยนะ เพราะถึงรักษาหายแล้ว แต่จิตใจของเธอจะรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่าไม่รู้ เผลอๆ จะคิดฆ่าตัวตายเอาได้”
เวเนซ่าเตือนขึ้นมา ซึ่งผมก็พยักหน้ารับ ก่อนจะคลีนนิ่งเธอและอุ้มเธอขึ้นมา พวกเราวาปร์กลับมาที่คฤหาสน์ทันที
ผมวางคุราร่าลงบนเตียงนอนในห้อง ซึ่งผมต้องมีอะไรกับเธอก่อน ถึงจะเปิดใช้กรงขังได้ เป็นครั้งแรกที่ผมไม่เต็มใจจะมีอะไร แต่ถึงอย่างนั้นร่างกายผม
ไม่เคยสนใจอะไรอยู่แล้ว เพราะมันแข็งโด่สู้ชีวิตมาตั้งแต่ตะกี้แล้ว
สภาพของคุราร่าตอบได้ยากว่ารู้สึกตัวอยู่หรือเปล่า เธอเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมเอาไว้มากกว่า เพราะงั้นถึงผมจะเสียบเข้าไป ร่างกายของเธอก็ไม่ได้ตอบสนองอะไร และเพราะในถํ้าเธอแห้งสนิท ผมเลยต้องใช้เจลล่อลื่นช่วย
และถึงสภาพปากถํ้าจะเยิ่นไปแล้ว แต่ข้างในไม่ต่างจากเด็กสาวบริสุทธิ์ มันบีบรัดแน่นซะจนเจ้าน้องชายผมมันอึดอัด
จะว่าไปฟิลลิ่งแบบนี้คุ้นๆ แฮะ…อ้อ นึกออกล่ะ เหมือนตอนทำกับศพเลยไงล่ะ แต่คิดซะว่าเธอเป็นตุ๊กตายางแสนน่ารักจะดีกว่าแฮะ
ถึงข้างในถํ้าของคุราร่ามันชวนให้เพลิดเพลินก็เถอะ แต่นี้ไม่ใช่เวลาจะมาลืมเป้าหมายนะ ผมรีบเปิด
ใช้กรงขังทันทีพร้อมกับอ่านใจไปด้วย แต่อ่านไม่ได้…ไม่สิ เพราะไม่คิดอะไรอยู่เลย ถึงอ่านไม่ได้สินะ
พอใช้กรงขังแล้ว ผมก็ได้รับหน้าต่างสำหรับการปรับแต่ง ซึ่งพอมองเข้าไป ผมก็เห็นวิหารล่ะ มันเป็นเหมือนวิหารที่ใช้สำหรับพิธีบูชา โดยที่มีคุราร่านั่งคุกเข่าสวดภาวนาอยู่ตรงกลาง ภาพนั้นสามารถเลื่อนไปจุดต่างๆ ได้โดยเพียงแค่ใช้ความคิด นอกจากนั้นยังมีแถบเครื่องมือให้ใช้อีก ส่วนด้านข้างก็มีการแสดงค่าต่างๆ ของจิตใจคุราร่า ซึ่งตอนนี้มันมีแต่ค่าที่เป็นลบขึ้นมา
ผมจึงทำการลบค่าจิตใจที่เป็นลบออก ซึ่งเกือบทั้งหมดมาจากตอนที่เธอถูกทรมานและข่มขืน แต่ว่ามีอันหนึ่งซึ่งมาจากตัวผมเอง มันเป็นตอนที่ผมลองใจเธอเมื่อครั้งแรกที่เจอกัน ถึงจะคาดไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจเธอขนาดนี้…ผมไม่ได้ลบค่านั้นออกไป
เพราะจิตใจที่เป็นลบ บางอย่างก็ยังเป็นผลดีอยู่บ้าง อย่างผลลบอันนี้เปลี่ยนให้คุราร่าเป็นคนที่เริ่มตั้งคำถามกับทุกสิ่ง เธอเริ่มสงสัยว่าการเสียสละของเธอนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่ ซึ่งผมปล่อยไว้แบบนี้น่าจะดีกว่า
นอกจากนี้ผมยังเพิ่มค่าของจิตใจด้านต่างๆ ให้ เช่นให้เป็นคนเข้มแข็งเพื่อป้องกันไม่ให้เธอคิดฆ่าตัวตาย แต่ที่สำคัญที่สุดคือให้มีจิตใจที่เข้มแข็งพอจะเอาชนะการล้างสมองได้ แต่ผมพยายามไม่ยุ่งกับจิตใจของคุราร่าให้มากเกินไป ไม่งั้นเธอจะไม่ใช่เธออีกต่อไป เป้าหมายผมคือช่วยเธอให้พ้นจากสภาพปัจจุบันเท่านั้น
แต่เพื่อจะเป็นหลักประกัน ผมจึงใช้เครื่องมือสร้างสิ่งที่เรียกว่า ตัวตายตัวแทนเอาไว้ในจิตใจคุราร่าด้วย กรณีถ้าเกิดมีเรื่องอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจเธออย่างรุนแรง จนเกิดขีดจำกัดที่จิตใจจะรับได้ ตัวตายตัวแทนจะรับไปแทนและทำการปิดตัวเองทันที ซึ่งนี้ยังส่งผลต่อการควบคุมจิตใจด้วยเวทมนต์หรือการ
สะกดจิตด้วย อ่า ดูเหมือนผมจะสร้างสิ่งที่เหมือนอยู่นอกระบบขึ้นมาเลยแฮะ….ไม่มั่ง ก็ผมใช้เครื่องมือในระบบสร้างขึ้นมา เพราะงั้นมันต้องอยู่ในระบบสิ
และพอทำเสร็จ สถานะของคุราร่าก็เพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง คือ การโจมตีทางจิตใจและความคิดไร้ผล
ตอนนี้คุราร่ากลับมามีสติอีกครั้ง ดวงตาของเธอเริ่มกลับมาฉายแวว จะว่าไปตอนนี้ผมยังไม่ได้ถอดหมวกออกเลย ในสายตาของเธอที่พึ่งได้สติ สิ่งที่เห็นสิ่งแรกก็คือจอมมารล่ะ
“จอมมาร!?”
“อ่า ข้าเองล่ะ”
แต่หลังจากนั้นเธอก็เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ กับตัวเอง เอ่อ จะไม่แปลกได้ไงก็เธอโดนดุ้นผมยัดอยู่ในตัว จนท้องนูนขึ้นมาเป็นลูก
“อุ๊! เดี๋ยวถ้ารัดแน่นแบบนี้จะแย่นะ”
ผมเตือนไม่ทันแล้ว เพราะจู่ๆ ในถํ้าของคุราร่าก็รัดแน่นขึ้นมากว่าเดิม จนผมทนไม่ไหวต้องฉีดนํ้าเข้าไปในมดลูกของเธอ อ่า…น่าขายหน้าจริงๆ แต่ช่วยไม่ได้ ก็ถํ้าของคุราร่าเปรียบได้กับดันเจี้ยนไฮเลเวล ลำพังนักผจญภัยเลเวลตํ่าอย่างผม ก็ต้องเสร็จคาดันเจี้ยนอยู่แล้วล่ะ
“ข ข้างใน นี้นายปล่อยข้างในฉันเหรอ!”
“อา ทำไปแล้วล่ะ”
ว่าแล้วตัวตายตัวแทนก็ทำงานขึ้นมา จากทีแรกที่ทำท่าช็อคจนเกือบสลบเหมือดไป ก็กลับมาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับรีบผลักผมออกไป
แต่พอดุ้นผมหลุดออกมาและตั้งตะหง่านตรงหน้าเธอ หน้าของคุราร่าก็ซีดลงไปทันที เธอตกใจกลัวมากที่วัตถุใหญ่ยักษ์นี้วิ่งเข้าวิ่งออกตัวเธอมา
“พระเจ้า! สัตว์ประหลาดแบบไหนถึงกับถึงได้มีองคชาติแบบนี้!”
“ของมนุษย์เนี่ยล่ะ ไม่ใช่ของสัตว์ประหลาด”
ว่าแล้วผมก็ถอดหมวกจอมมารออก เพื่อให้เธอเห็นว่าผมเป็นมนุษย์
“มนุษย์!”
“ใช่ มนุษย์เองครับ”
คุราร่าสีหน้าเปลี่ยนไปมาดูตลกดี แต่เธอยังปรับอารมณ์ไม่ถูก เลยผมลุกไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับเธอพร้อมกับคลีนนิ่งให้อีกรอบ
“เราลงไปคุยกันข้างล่างดีกว่าไหม คิดว่าเธอคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”
คุราร่ามองไปรอบๆ ตัว เธอกำลังอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย และที่สำคัญอยู่ในเงื้อมือของจอมมาร เธอจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับผมเท่านั้น
แต่พอลงมาที่ห้องรับแขก คุราร่าก็เห็นใครคนหนึ่งนั่งรออยู่ พอได้เห็นหน้าเธอก็ร้องไห้ออกมา และพุ่งเข้าไปกอดทันที เพราะคนนั้นคือเพื่อนรักของเธอ ที่มีชื่อว่ามิริน
ตอนที่พาคุราร่ามา ผมได้ติดต่อไปหามิรินที่กำลังเก็บเลเวลในดันเจี้ยนจำลองอยู่ ผมอยากให้เธอมาช่วย เพราะสถานการณ์ของคุราร่ามันหนักกว่าที่ผมคิดเอาไว้
ผมปล่อยให้ทั้งคู่พูดคุยกัน โดยผลัดกันเล่าเรื่องของตนให้อีกฝ่ายฟัง แต่จะว่าไงดี สมเป็นเพื่อนกันเลยแฮะ มีประสบการณ์แทนจะเหมือนกันเลย
เพราะขณะที่มิรินโดนพวกนักผจญภัยรุมข่มขืนในดันเจี้ยน ตัวคุราร่าเองโดนพวกนักบวชรุมข่มขืนเฉยกัน โดยพวกนั้นอ้างว่าเป็นบทลงโทษจากพระเจ้า หลังจากนั้นยังถูกพวกมันใช้จิตใจที่แหลกสลาย
ของเธอ มาทำการล้างสมองเธออีก ถึงจากนั้นเธอจะพอจำอะไรได้บ้าง หรือพอทำท่าจะได้สติขึ้นมา พวกมันก็จะให้เธอดื่มยาบางอย่างเข้าไป
จากที่ฟังมา ยาที่พวกโบสถ์ใหญ่ให้กับคุราร่า น่าจะมีผลเหมือนยาเสพติด ผมเลยรีบกลับขึ้นไปบนห้อง เพื่อปรุงยาบางอย่างออกมา ถึงตอนนี้ผมจะไม่มีสกิลปรุงยาแล้วก็เถอะ แต่ในหัวผมมันยังจดจำมันได้อยู่ เพียงแต่เสียเวลาทำมากขึ้นเท่านั้น
ยาที่ผมทำคือการล้างพิษขั้นสูง ถึงสามารถล้างสารเสพติดออกจากร่างกายได้ด้วย หลังจากทำเสร็จแล้ว ผมก็นำกลับลงไปและให้คุราร่าดื่มมันทันที ถึงทีแรกเธอจะไม่กล้ารับไป เพราะอย่างไงนี้คือยาที่จอมมารส่งให้เชียวนะ! ผมมันไม่ใช่นํ้าหวานแสนอร่อยแน่ๆ อ่ะ แต่ถ้าจะเอานํ้าหวานผมก็มีให้นะ
แต่มิรินก็กล่อมจนคุราร่ายอมรับไปดื่ม ซึ่งพวกเธอคุยกันจบพอดี เลยทำท่าทางของคุราร่าดูดีขึ้นมามาก
“สรุปก็คือ มิรินถูกจอมมารขืนใจและบังคับให้เข้าฮาเร็มสินะ”
“…คุราร่านี้เธอฟังภาษาอะไรของเธอน่ะ มีตรงไหนที่ฉันพูดเหรอว่าโดนท่านโรมะขืนใจน่ะ”
“แต่นี้เป็นจอมมารนะมิริน!”
“จอมมาร? แล้วไงล่ะ เทียบกับพวกที่อ้างตัวเป็นคนดีที่ทำกับเธอสิ ถ้าไม่ยึดติดชื่อที่ใช้เรียก ดูอย่างไงพวกมันนั้นแหละที่เป็นมารร้าย แล้วก็นะ ถึงไม่มีเรื่องพวกนี้ ฉันก็รักท่านโรมะอยู่ดี เพราะท่านโรมะเป็นคนอ่อนโยนและเข้าใจใส่ทุกคนมาก ตั้งแต่ฉันอยู่กับท่านโรมะมา ฉันมีความสุขมากๆ เลยล่ะ”
“จริงเหรอ”
“อืม ที่ฉันพูดจริงทุกคำ”
“แต่ว่า…”
“เดี๋ยวๆ เธอไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ในตอนนี้หรอก จะคิดว่าผมเป็นศัตรูไปก่อนก็ได้ ที่สำคัญเธอควรจะหยุดคิดว่าต่อไปจะเอาอย่างไงดีกับชีวิตนะ แต่ถ้าคิดจะกลับโบสถ์ใหญ่ไปผมคงไม่ยอม จะไม่พูดหรอกนะว่าจะใช้กำลังกักขังเอาไว้ เอาเป็นว่าลองไปลงดันเจี้ยนเก็บเลเวลกับมิรินดูก่อนไหม บางทีการได้ขยับร่างกายจะทำให้ลืมเรื่องร้ายๆ และคิดอะไรได้ดีขึ้นนะ”
“ใช่ๆ ไปด้วยกันเถอะนะคุราร่า ที่ดันเจี้ยนจำลองน่ะสนุกมากเลยนะ”
สนุก? เอ๋ นั้นมันตันเจี้ยนไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงสนุกล่ะเฮ้ย!
“…ฉันคงไม่มีทางเลือก ขอรบกวนด้วยค่ะ”
เธอก้มหัวให้กับผม และตามมิรินไปที่ปราสาทจอมมาร เพราะยังต้องไปเตรียมต่อก่อนเข้าดันเจี้ยนก่อน แต่ฝากคุราร่าไว้กับมิรินนั้นแหละดีที่สุด เพราะอย่างไงทั้งสองก็เป็นเพื่อนกัน หลังจากนี้ถ้าคุราร่าจะตัดสินใจอย่างไง ผมก็จะสนับสนุนเธอ ยกเว้นแต่เรื่องจะส่งเธอคืนโบสถ์ใหญ่อ่ะนะ
“เอาล่ะ พวกเราก็กลับไปจัดการเรื่องที่ค้างคาให้เสร็จกันดีกว่า”
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ และพริบตานั้นผมก็ปลดปล่อยจิตสังหารที่รุนแรงออกมา จนเวเนซ่ากับซานูน่าถึงกับผงะ เพราะนี้ต่างจากสกิล มันคือสิ่งที่สัมผัสได้จากความรู้สึกโดยตรง ความรู้สึกถึงความกระหายเลือด
ตั้งแต่เจอคุราร่า ผมก็เก็บงำความรู้สึกนี้ไว้มาตลอด และมันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ฟังเรื่องราวของเธอ และตอนนี้ผมต้องการปลดปล่อยมันออกไปแล้ว
ตอนนี้ยังดึกอยู่ ถึงจะเหมาะแก่การลงมือ แต่ถ้าเล่นงานตอนนี้มันก็ไม่สนุกน่ะสิ ผมเลยยืนรออยู่บนถนนตรงเส้นแบบเขตพอดี ผมใส่เกราะจอมมารเต็มยศ ถึงจะใช้สกิลอะไรไม่ได้ แต่เกราะนี้มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูพลัง และป้องกันการโจมตีได้ดีมาก ที่สำคัญ ผมจะโจมตีพวกมันในฐานะจอมมาร ไม่ใช่เจ้าเมืองโรมะ
และแล้วรุ่งเช้าก็มาถึง แสงแดดอ่อนๆ ทำให้รู้สึกดี ขณะที่เสียงการเดินทัพของกองทัพผสมกำลังใกล้เข้ามา
“ถ้าพวกเธอสองคนจะสู้ด้วย ก็ลงมือได้เต็มที่เลยล่ะ แต่ปล่อยพวกที่คิดจะหนีไป ไม่ต้องตาม”
“เต็มที่ได้จริงเหรอ?”
เวเนซ่าถามอย่างตื่นเต้น
“อ่า ผมต้องการแสดงกำลังรบของพวกเราให้พวกมันได้เห็น เพราะงั้นเอาแบบให้โอเวอร์ได้เลย”
พอได้ยินคำตอบของผม รอยยิ้มของเวเนซ่าก็บิดเบี้ยวไปด้วยความยินดี
“งั้นแบบนี้ก็ได้สินะ เปิดใช้สกิลจอมารจำแลง!”
พอใช้สกิลออกมา ร่างของเวเนซ่าที่เป็นเด็กสามขวบก็เปลี่ยนสภาพไปทันที ถ้าถามว่าเปลี่ยนไปอย่างไง ตอนนี้เธอมีสภาพเหมือนกับจอมมารในสภาพใส่เกราะเต็มยศ หรือก็คือเหมือนมีผมอีกคนยืนอยู่ตรงนี้
“เอ๋! มีสกิลแบบนี้ด้วยเหรอ”
“อืม เป็นสกิลไพ่ตายเลยนะ แต่ว่านี้น่ะ เพียงแค่เพิ่มเลเวลขึ้นมาอีกแค่ 200 เท่านั้นแหละ”
“เยอะอยู่นะนั้น…แล้วซานูน่าล่ะ”
“ฉันอยากจะสร้างกองทัพขึ้นมาใหม่ เพราะงั้นขอพวกมันให้ฉันสักหมื่นคนได้ไหมคะ”
“แล้วดูแลไหวเหรอ”
“พวกที่ไม่ไหวก็ปล่อยให้มันหิวตายไปแล้วโยนลงดันเจี้ยน ให้กลายเป็นซอมบี้มาใช้งานได้อีกต่อค่ะ”
“โอ๋ แบบนี้เอง งั้นเอาตามนั้นเลย”
ความคิดโหดเหี้ยมสมเป็นระดับขุนพลปีศาจ แต่เรื่องที่เธอสร้างกองทัพเท่าไรและเมื่อไรก็ได้ตามที่ต้องการ ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงแฮะ
“งั้นก็มาเริ่มกันเลยล่ะกัน”
ว่าแล้วผมก็ออกแรงกระโดดแบบสุดตัว ตัวผมพุ่งเป็นกระสุนลอยสูงขึ้นไปในอากาศ สูงขนาดถึงระดับก้อนเมฆเลย จากนั้นตัวผมก็ค่อยๆ ตกลงมาตามแรงดึงดูดของโลก ผมเล็งตำแหน่งลงจอดจากด้านบน โดยจุดที่ผมเลือกคือการกองทัพผสม ซึ่งเป็นจุดที่กองทัพของพวกโบสถ์ใหญ่อยู่
ผมลงถึงพื้น โดยเหยียบเอากระโจมเคลื่อนที่ซึ่งอยู่บนหลังของช้าง แหลกไปหมดทั้งกระโจมทั้งช้างและทั้งคนที่อยู่ข้างใน หรือก็คือคาร์ดินัลที่เป็นผู้นำทัพของพวกโบสถ์ใหญ่ ร่างของเขาเป็นแค่เศษเนื้อที่ติดรองเท้าผมไปแล้ว
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่อยู่ใกล้ๆ ตายไปเพราะแรงระเบิดตอนที่ผมลงถึงพื้น กองทัพหยุดเคลื่อนไหวในทันที และสายตาโดยรอบก็จับจ้องมาที่ผม หลังจากได้ลงมือไปแล้ว ผมก็เริ่มสบายใจขึ้นมาหน่อย เลยยกมือขึ้นและชูสองนิ้ว
“จอมมารมาแล้วจ้า”
ผมประกาศตัวออกไปอย่างกล้าหาญ…ล่ะมั่ง
“จอมมาร!!!”
ราวกับเสียงกรีดร้องของเด็กทารก เสียงนั้นดังขึ้นมาเรื่อยๆ จากปากสู่ปาก จนทำให้กองทัพตกอยู่
ในความโกลาหลทันที แต่ท่ามกลางเสียงกรีดร้องนั้น ก็มีเสียงของวัตถุหนักๆ ตกกระทบ และเสียงเนื้อแตกกระจายดัง ‘โผละ’
ผมพุ่งเข้าไปต่อยคนที่อยู่ใกล้ที่สุดแบบดื้อๆ เพราะไม่มีสกิลต่อสู้ให้ใช้เลยนี่น่า เลยต้องใช้หมัดเปล่าๆ เนี่ยล่ะ และเพราะค่าพลังมันต่างกันคนละมิติ ทำให้ร่างของผู้เคราะห์ร้ายแตกกระจายเหมือนแตงโมถูกทุบ เอ่อ นี้แค่พลัง 1 ใน 10 เองนะ
การเดินหน้าระเบิดร่างเหยื่อยังดำเนินต่อไป โดยที่พวกนั้นพยายามต่อต้าน แต่ก็ไร้ผล เพราะเวเนซ่าใช้สกิลบางอย่าง ทำให้เวทมนต์ระเบิด! ใช่ระเบิดเลยล่ะ ใครก็ตามที่พยายามใช้สกิลประเภทเวทมนต์ ร่างกายของคนนั้นก็จะระเบิดออก เหมือนกับลูกโป่งที่สูบลมเข้าไปเกินความจุ
เป็นสกิลที่ประหลาดมาก เพราะเท่าที่ผมดู การทำงานของมันตรงกันข้ามกับการโจมตี แต่เป็นการมอบให้ต่างหาก โดยมันทำงานทันทีเมื่อตรวจพบการใช้มาน่า ด้วยการอัดมาน่าเข้าไปเพิ่มให้เป็นหลายสิบเท่า ซึ่งมากเกินร่างกายมนุษย์จะรับไหว
นอกจากนี้แล้ว ยังได้เห็นอะไรประหลาดๆ อย่างเช่นคนที่โดนชุดเกราะตัวเองบีบจนร่างแหลกเหลว…อันนี้ก็เป็นสกิลที่คาดไม่ถึง ที่ใช้ลดขนาดของวัตถุลงเท่านั้น แต่พอมาใช้กับพวกทหารใส่เกราะ มันกลายเป็นสกิลสังหารหมู่สุดโหดไปเลย
นี้สินะพลังของมารแห่งความเย่อหยิ่งที่สามารถสร้างสกิลเองได้ตามใจชอบ โหดแบบไร้เทียมทานจริงๆ ส่วนผมยังคงสนุกกับการไล่ระเบิดร่างพวกโบสถ์ใหญ่ด้วยหมัด ทุกหมัดคือตัวแทนความโกรธสำหรับสิ่งที่พวกมันทำ ไม่ใช่แค่กับคุราร่า แต่ยังกับ
พวกเด็กสาวผู้โชคร้ายอีกมากมายที่ตกเป็นเหยื่อของพวกมัน
และมนุษย์ที่ถูกจอมมารฆ่า ดวงวิญญาณจะไม่ได้ถูกส่งไปในโลกวิญญาณ แต่วิญญาณของพวกมันจะถูกผูกติดและกลายเป็นทาสของจอมมาร วิญญาณที่รายล้อมผมมีมากถึงหลักร้อย จนมีเสียงขึ้นมาในหัวผมอีกครั้ง
>>เงื่อนไขครบถ้วน ได้รับสกิล ผู้บวงสรวงวิญญาณ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...