ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 138 - 140 By Kumao






ตอนที่ 138 งานประมูลเนื้อ

ดยุควินซ์ซอร์ คือคนที่ชื่นชอบในการสะสมของเก่าที่มีค่า เขาจึงชื่นชอบในการไปงานประมูล เพียงแต่พวกของเก่า เป็นแค่งานอดิเรกบังหน้า แต่จริงๆ
แล้วใต้ที่จัดงานประมูล คือแหล่งมั่วสุมของกลุ่มผู้มีรสนิยมในการแลกคู่นอน
คนในกลุ่มล้วนแต่เคยเป็นผู้ที่อยู่ในลัทธินอกลีตมาก่อน แต่หลังจากถูกบุกถล่ม พวกเขาก็ซ่อนตัวเงียบๆ เพื่อไม่ให้ถูกเพ่งเล็งอีก อาสัยที่สมาชิกแต่ล่ะคน เป็นมีหน้าและฐานะในสังคม จึงสามารถไม่ให้ใครเข้ามารบกวนกิจกรรมของกลุ่มได้
วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ทุกที ที่สมาชิกในสมาคมจะมารวมตัวกันที่งานประมูล
“ท่านวินซ์ซอร์ ท่านมาแล้ว”
วินซ์ซอร์คือชายชราร่างอ้วน ถ้ามองด้วยตาโดยไม่ได้ตรวจสอบ DNA อยากจะบอกได้ว่าเขาเป็นหมูหรือคางคก หรืออาจจะสองอย่างรวมกัน ซึ่งไม่เหมือน
เด็กสาวรุ่นลูกที่มีหน้าตาสะสวยซึ่งเดินตามมาด้วยสีหน้าอมทุกข์
ซึ่งภรรยาของสมาชิกกลุ่มนี้ จะเปลี่ยนหน้ากันไปเรื่อย ใครที่ถูกใช้งานจนโทรมหรือมีอายุมากแล้ว ก็จะถูกหย่าร้าง หรือทิ้งขว้างไปเลย ก่อนจะหาหญิงสาวหน้าตาดีมาแทนที่ ซึ่งส่วนมากใช้เส้นสายอำนาจของตัวเองข่มขู่มา
คนที่มีภรรยาหน้าตาดี เป็นที่สนใจอยากเยิ่บมากเท่าไร ยิ่งได้รับคำชมเชยและได้หน้ามากขึ้นเท่านั้น พวกสมาชิกเลยแข่งกันเอาเป็นเอาตายเพื่อหาภรรยาหน้าตาดี มาให้บรรดาสมาชิกคนอื่นรุมโทรมกัน คนที่ไม่ยอมหรือมีปัญหามากก็จะโดนมอมยาแทน
“เห็นว่ามีสมาชิกใหม่มาเพิ่มด้วยเหรอ”
“ใช่ๆ รางวัลความยอดนิยมคราวนี้เป็นของเขาแน่ ท่านลองดูภรรยาของเขาสิ”
สมาชิกที่นั่งข้างๆ วินซ์ซอร์ชี้ไปยังชายที่นั่งอยู่ริมสุด เขาเป็นคนหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางดูอ่อนโยนและสุภาพ แถมมีสีผมดำด้วย ซึ่งวินซ์ซอร์ทำหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที เพราะบรรดาเมียๆ ทั้งหลาย หันไปจ้องเขาพลางเลียปากไปด้วย แต่ความไม่พอใจนั้นหมดไปทันที เมื่อได้เห็นสาวสวยที่เขาพามาด้วย
สาวร่างเล็กเหมือนเด็ก ใบหน้าสวยแบบไร้ที่ติและมีเสน่ห์ที่ปลุกเร้าอารมณ์
“สาวสวยคนนั้น…ข้าว่าคุ้นๆ หน้าอยู่นะ”
“ใช่ ข้าก็ว่าเช่นนั้น เธอดูเหมือนท่านซารีเลย”
“หา!? ไม่ล่ะมั่ง ถึงจะดูเหมือน แต่ไม่มีทางเป็นยัยบอดหน้าเลือดคนนั้นได้หรอก”
“ใช่ไม่ใช่ข้าไม่รู้ แต่คืนนี้ข้าของจองเธอเป็นคนแรก”
“อย่าหักโหมนัก ถึงพวกเราจะใช้ยา แต่เสร็จได้อย่างมากก็แค่สองครั้ง ท่านควรค่อยๆ ชิมรสชาติให้ครบนะ”
“ข้าเห็นด้วย แต่ยอมรับเลย เจ้าหน้าใหม่นี้สรรหาของดีมาจริงๆ”
“หรือข้าจะแลกเมียกับมันเลยดี”
หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ พอได้ยินก็ทำหน้ายินดีขึ้นมาทันที แต่เพราะการแสดงออกแบบนั้น ทำให้พวกเขาเลิกคุยกันเรื่องนี้
แต่ว่าพองานประมูลเริ่ม และแสงไฟในห้องเริ่มหรี่ลง เพื่อโฟกัสแสงไปยังสินค้าบนเวที ภรรยาของสมาชิกหน้าใหม่ ก็เริ่มขยับตัว เธอเลื่อนตัวไปอยู่ตรงหว่างขาของสามี และรูดซิบงัดเอาดุ้นออกมา
พอได้เห็นดุ้นแท่งยักษ์เข้าไป ทั้งชายหญิงต่างร้องอุทานกันออกมา จนห้องประมูลหันไปมอง ทุกคนก็รีบทำตัวกลับไปเป็นปกติ แต่ยังมีบางคนโดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่หันไปจ้องตาไม่กระพริบ
“โอ่ นั้นเธอกำลังทำอะไร!?”
พวกสมาชิกเริ่มหันมากระซิบคุยกัน เมื่อเห็นภรรยาของสมาชิกใหม่ เริ่มเลียดุ้นแท่งยักษ์นั้นด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
“ข้าไม่รู้ แต่ข้าอยากให้เธอทำแบบนั้นให้ข้าบ้าง”
“นี้มันสุดยอดไปเลย แค่เห็นข้าก็มีอารมณ์ขึ้นมาแล้ว”
“ว่าพวกแกไม่คิดเหรอว่าเจ้าหน้าใหม่มันเล่นโกง นั้นมันต้องไม่ใช่ของจริงอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยิน มีก็ภรรยาสาวคนหนึ่งทำท่าจะลุกขึ้น และหันมาบอกว่าขออาสาไปพิสูจน์เอง เลยถูกสามีกระชากกลับลงมานั่งด้วยท่าทางหงุดหงิด คือปกติถึงจะชอบแลกคู่กันอย่างไง แต่แบบที่รีบกระดิกหางไปหาคนอื่นนี้มันไม่เหมือนกัน
แต่จากนั้นทุกคนก็มองตาไม่กระพริบ หลังจากภรรยาสาวหน้าใหม่ นำดุ้นนั้นเข้าไปในปาก เธออมดุ้นยักษ์เข้าไปครึ่งหนึ่ง จนเห็นชัดว่ามันเข้าไปถึงในลำคอของเธอ มันขยายออกขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่แทนที่จะทำสีหน้าอึดอัดเพราะหายใจไม่ออก แต่เธอกลับทำ
หน้าลามกแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จนนั้นก็เริ่มโยกหัวตัวเองขึ้นลงเป็นจังหวะ ขณะในริมฝีปากรูดดุ้นนั้นจนเกือบสุดปลาย
ตอนนี้ในกลุ่มสมาชิกไม่มีใครมองขึ้นไปบนเวทีและสนใจการประมูลเลย เอาแต่จับจ้องมองดูการ Blow job อย่างตื่นเต้น และเพราะสงสัยจะตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย เลยมีคนหนึ่งถึงกับเสร็จโดยที่แค่ดูเฉยๆ
“บ้าฉิบ!”
เขาตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ เพราะนอกจากจะเลอะกางเกงแล้ว ดุ้นของเขายังเหี่ยวลงไป ในสภาพหลับลึกข้ามวัน
แต่คนอื่นไม่ตำหนิหรือดูถูกอะไรออกมา เพราะพวกเขาก็แทบแย่เหมือนกัน ภาพที่เห็นมันเร้า
อารมณ์เกินไป จนต้องหลับตาหรือหันหน้าหนีเป็นบางครั้ง เพื่อไม่ให้ตัวเองเสร็จแบบหน้าขายหน้าเช่นนี้ แต่บรรดาพวกภรรยาเนี่ยสิ ต่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เลยพากันนั่งล้วงสนุกสนานเลย
“เขาอึดมาก”
“ใช่ โดนทำแบบนั้นตั้งนานแล้ว ไม่เห็นทีท่าว่าจะเสร็จเลย”
“ฉันอยากทำแบบนั้นกับเขาบ้างจัง ถึงแม้มันจะทำให้ปากฉันฉีกก็ตาม”
“ว่าแต่ถ้าปากยังฉีก…แล้วตรงนั้นของพวกเราจะเหลือเหรอ”
คำพูดสุดท้ายนั้น ทำให้พวกภรรยาออกอาการหน้าซีดกัน แต่ถึงแม้จะรู้ว่าต้องโดนฉีกเละแน่ พวก
เธอก็ยังอยากจะให้มันเข้าในตัวอยู่ดี แล้วพวกเธอก็รู้ตัวว่าเพียงแค่นั่งล้วงอย่างเดียวไม่พอแน่ สิ่งที่พวกเธอต้องการคือดุ้นอันนั้น
แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับพวกภรรเมีย ได้สร้างความไม่พึ่งพอใจให้กับบรรดาผัวๆ แต่ถึงโกรธแต่พูดอะไรไม่ได้ จึงได้แต่นั่งกัดฟันกรอด และคิดว่าจะเอาความโกรธนี้ไปลงกับภรรยาของเจ้าหน้าใหม่แทน
ทว่าก่อนที่งานประมูลจะจบลง สมาชิกใหม่ก็ได้พ่นนํ้าใส่เข้าไปในคอของภรรยา มันเยอะและแรงมาก จนทะลักออกมาจากจมูกแถมยังได้ยินเสียงกลืนดังอึกๆ อยู่หลายครั้ง ถึงจะน่าตะลึงที่ปล่อยออกมาได้เยอะราวกับท่อแตก แต่พวกสมาชิกพากันยิ้มอย่างสะใจ เพราะเท่านี้พวกภรรเมียก็จะได้ผิดหวังกันแล้ว แต่ว่า…ดุ้นที่ถูกคายออกมาจากปาก มันยังคงแข็งเป็นเสาธง
ภรรยาของเขาเปลี่ยนท่า เหมือนพยายามจะนำสิ่งนั้นเข้าไปในปากล่าง แต่เขาห้ามไว้ และพยายามนำดุ้นยักษ์กลับเข้าไปในกางเกงอย่างยากลำบาก และต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ กว่ามันจะสงบลงได้
พวกภรรยาต่างพากันอ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพดังกล่าว ความต้องการทางเพศของพวกเธอเพิ่มถึงขีดสุด ถํ้าที่เคยแห้งผากมาตลอด กลับเริ่มแฉะและหนองไปด้วยนํ้า พวกเธอแทบรอให้จบการประมูลไม่ไหวพวกผัวๆ ก็เหมือนกัน
พอสินค้าชิ้นสุดท้ายถูกประมูลออกไป สมาชิกใหม่ก็หันไปคุยกับภรรยาที่ถามเขาขึ้นมา
“ไม่เห็นประมูลอะไรเลย ไม่มีอะไรถูกใจเลยเหรอคะ?”
“อืม ค่อนข้างผิดหวังเหมือนกัน เห็นเป็นเมืองหลวงคิดว่าจะมีของดีๆ ซะอีก แบบนี้ร้านประมูลที่กรอซ่ายังดีกว่าเลย”
“ไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะกรอซ่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยดันเจี้ยน สินค้าก็เลยเยอะและคุณภาพดีกว่า”
“งั้นที่เมืองหลวงมีอะไรน่าสนใจบ้างล่ะ”
“ถ้าตามที่ท่านโรมะสนใจ น่าจะเป็นทาสสาวๆ นะคะ ทาสที่นี้ค่อนข้างสะอาด หน้าตาดี และได้รับการฝึกมารยาทมาแล้ว”
“งั้นอย่าดีกว่า แค่นี้ก็ดูแลได้ไม่ทั่วถึงแล้ว”
ผมถอนหายใจให้กับซารี ตอนนี้พวกผมเข้ามาอยู่ในงานประมูลของทางสมาคมเป้าหมาย ซึ่งตั้งอยู่
ในเมืองหลวงของประเทศ หลังจากได้ข้อมูลพวกมันมา ผมก็ใช้เวลาเตรียมแผนและดำเนินการอีกหนึ่งวัน ส่วนการเดินทางก็ใช้ยันต์วาปร์ของมุเอมะแทน
ส่วนวิธีเข้ามาเป็นสมาชิกนั้นง่ายกว่าที่คิดไว้ซะอีก แค่เอ่ยชื่อของสมาชิกคนหนึ่งในสมาคมในฐานะคำแนะนำออกมา และจ่ายเงินค่าบริหารสมาคม และลงนามในหนังสือสาบานเก็บความลับ เท่านี้ก็สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งได้แล้ว ยิ่งตอนที่ผมจับซารีแต่งองค์ทรงเครื่องและนำมาอวดให้พวกมันดู พวกมันก็รีบเชิญผมมางานในวันนี้ทันที แถมยังจำซารีไม่ได้ด้วย ทั้งๆ ที่บางคนเคยติดต่อเรื่องงานกับเธอมาก่อน
แต่ผมมาในงานนี้แค่เป็นผู้ช่วยเท่านั้นแหละ ทว่าฝ่ายลงมือจริงๆ คือซารี ซึ่งจนถึงตอนนี้เธอเก็บ
อารมณ์ได้ดีมาก แต่ผมรู้ว่าเธอกำลังตื่นเต้นมากจากลักษณะการ Blow job ของเธอเมื่อครู่
พองานประมูลจบลง สมาชิกของสมาคมก็ลุกขึ้น ผมเดินตามพวกเขาไปด้านหลังเวทีประมูล ซึ่งมีพนักงานยืนรออยู่ก่อนแล้ว
ด้านหลังเวทีมีบันไดลับลงไปลึกพอสมควร คงเพราะต้องการจะเก็บเสียงไม่ให้ใครได้ยิน เพราะได้ยินว่าบางครั้งก็มีลากเด็กสาวหรือพวกทาสมารุมโทรมกันในนี้ด้วย
จำนวนสมาชิกของสมาคม วันนี้มากันครบ ซึ่งมีกันราวยี่สิบคน แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะพาภรรยามาด้วย บางคนที่ยังไม่มีภรรยาก็จะจ้างเอาคนอื่นมาแทน ขอให้หน้าตาดีก็พอแล้ว เพียงแต่เห็นพวกมันว่า ถ้าเป็นภรรยาตัวเองจริงๆ มันจะได้อารมณ์กว่า แต่ผมเองไม่ไหว
ล่ะ อะไรก็ได้แต่สวิ้งกิ้งแบบแลกคู่นอน ผมรับไม่ได้จริงๆ เพราะผมถือเป็นผู้หญิงของผมแล้ว ห้ามให้ใครแตะอีกเด็ดขาด แต่ว่าเป็นแค่คู่ขาอย่างพวกโกร่า ผมก็ยอมให้สวิ้งกิ้งได้ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในความสมัครใจของฝ่ายหญิงเท่านั้น
เรื่องนี้ทำให้ผมหยุดคิดไปเหมือนกัน ว่าถ้าอย่างซารีล่ะ ผมจะรับได้ไหมเธอยังไม่ใช่สาวในฮาเร็มผม เป็นแค่คู่ค้าคนสำคัญสำหรับธุรกิจ และผมก็ยังไม่ไหวใจเธอ…แต่ไม่ไหวแฮะ แค่คิดตอนที่เธอไปถางขาให้เจ้าหมูสกปรกนั้น ผมยังโกรธไม่หายเลย ถึงมันจะให้ความรู้สึกตื่นเต้นและเร้าอารมณ์ก็เถอะ แต่อารมณ์แบบนั้นที่แลกมาด้วยการทำลายจิตใจตัวเองและคนที่ตัวเองห่วงใย มีแต่ไอ้คนสารเลวเท่านั้นแหละที่ทำกัน
ซารีเหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เธอเลยหันมายิ้มให้ และสอดมือเข้ามาควงแขนผมไว้ จนตัวเธอแนบชิดไปกับแขน
เธอไม่ได้พูดอะไร แต่จมูกผมได้กลิ่นหื่นกามออกมาจากเธอ กางเกงในเธอคงเปียกไปแล้วแน่ๆ
พนักงานถือตะเกียงพาลงมาจนถึงด้านล่าง ซึ่งปกติจะเป็นที่นอนขนาดใหญ่ปูไว้กลางลานกว้าง แต่คราวนี้ไม่มีที่นอน มีเพียงกรงเหล็กสองกรง
“โห!? มีเปลี่ยนบรรยากาศด้วย ความคิดใครเนี่ย”
“แต่แบบนี้ถูกใจข้าเลย คงมีโซ่ด้วยสินะ ข้าจะได้ล่ามติดกับกรงแบบพวกทาสซะเลย ฮ่าๆ”
พวกสมาชิกที่เป็นผู้ชายทำท่าชอบใจกันน่าดู แต่พวกสาวๆ นี้สิ ทำให้บิดเบี้ยวแบบเหมือนได้กลิ่นอะไรเหม็นสุดขีด ถ้าถามว่าอะไรที่เหม็น ก็คงจิตใจของพวกจัญไรนี้ที่เน่าจนส่งกลิ่นออกมา
“ทางนี้ครับ”
พวกพนักงานเข้ามาประกบเรียงคน และพาไปยังกรงทั้งสอง
“เฮ้ ใช้วิธีอะไรแบ่งกรงเนี่ย”
คำถามนั้นถูกเมิน และถูกตอบด้วยการผลักเข้าไปในกรงแทน
“เฮ้ย! บังอาจมากไปแล้ว!”
แต่พอจะหันมาเอาเรื่อง ประตูกรงก็ถูกปิดและล็อคกุญแจซะแล้ว
คนที่ไม่ได้เข้าไปในกรงก็คือผมกับซารี และบรรดาพวกภรรยาส่วนพวกที่โดนขังอยู่ในกรง เริ่มรู้ตัวแล้วว่าโดนหลอกเลยตะโกนเสียงดังโวยวาย แต่อย่างว่าล่ะ ต่อให้เป็นเสียงกรีดร้องปานใจจะขาด ก็ไม่มีใครได้ยินเด็ดขาด
“เรียบร้อยแล้วครับท่านโรมะ ส่วนตัวแทนที่เตรียมเอาไว้ ก็พร้อมอยู่ที่ทางออกแล้ว”
งานนี้เพื่อไม่ให้มีปัญหาบานปลาย ผมเลยให้พวกปีศาจที่เก่งเรื่องการปลอมตัว ปลอมเป็นพวกหมูกลายพันธุ์พวกนี้ และเข้าไปส่วมรอยแทน ส่วนพวกพนักงานก็โดนสับเปลี่ยนเป็นคนของผมหมดแล้ว การเตรียมการทั้งหมดนี้ก็ได้พวกนี้เป็นคนช่วยทำให้
“พาพวกสาวๆ พวกนี้ไปส่งให้ถึงบ้าน แล้วอย่าลืมลบความทรงจำพวกเธอด้วย”
“รับทราบครับ”
แต่ก่อนที่พนักงานจะเริ่มต้อนเอาพวกสาวๆ กลับขึ้นไป ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาคว้าแขนผมไว้
“คุณจะทำอะไรกับพวกมันเหรอ!”
“…บางสิ่งบางอย่าง ที่น่ากลัวมากๆ เพื่อชดใช้สิ่งที่มันก่อไว้ แต่งานนี้พวกเธอไม่เกี่ยว กลับบ้านไปซะเถอะ พรุ่งนี้เช้าตื่นมาทุกอย่างก็จะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
พอได้ยินที่ผมบอก เธอก็บีบแขนผมแน่นกว่าเดิม
“ให้ฉันอยู่ด้วยเถอะ ถ้าคุณจะฆ่ามัน หรือทรมานมัน ฉันอยากจะอยู่ดูด้วย รับรองว่าจะไม่บอกใครเด็ดขาด ไม่สิ ต่อให้คุณจะฆ่าปิดปากฉันก็ยอม! เพราะมัน…มันขู่ให้ฉันทำเรื่องนี้ ถ้าไม่ทำมันจะจับครอบครัวฉันไป ฉันต้องทนทุกข์ทรมานเพราะไอ้พวกระยำพวกนี้เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น ฉะนั้นฉันอยากจะเห็นพวกมันตายกับตาย!”
ผมได้ฟังแล้วก็พอจะเข้าใจพวกเธอ เพียงแต่นี้ไม่ใช่การล้างแค้นของผม เลยหันไปมองซารี
“เอาสิ พวกเธออยู่ดูได้”
งานนี้เลยไม่มีใครยอมกลับเลย สาวๆ ทั้งยี่สิบคนเดินไปที่กรงและสบถด่าใส่พวกในกรง ราวกับระเบิดความรู้สึกที่เก็บกดทั้งหมดออกมา ซึ่งมันหยาบคายมาก แต่บางคำผมก็อดตลกไม่ได้ อย่างคุณผู้หญิง
ท่านหนึ่ง ที่หันไปด่าชายตัวเตี้ยคนหนึ่ง ซึ่งไม่น่าจะใช่ผัวของเธอ
“แกไอ้เตี้ย อยากรู้นักใช่ไหมว่าของแกใหญ่ไหม งั้นจะบอกให้ ของแกมันเล็กโคตรเลย! เอาจู๋แกสองอันมาประกบกัน ยังไม่สนุกเท่าใช้นิ้วก้อยตัวเองตกเบ็ดเลยไอ้เตี้ย!”
คำด่าท่อประเภทนี้เยอะมาก จนผมกลัวว่าจะเป็นงานประชันตลกขึ้นมา เลยเข้าไปหยุดพวกผู้หญิงเอาไว้ และถอยออกมาดู ส่วนผมมีเก้าอี้ประจำตำแหน่ง เลยนั่งดูไปด้วยดื่มนํ้าและกินของคบเคี้ยวไปด้วย อารมณ์เหมือนอยู่ในโรงหนังเลย แต่รับรองหนังเรื่องนี้ไม่สามารถเข้าฉายตามโรงได้แน่
เมื่อได้เวลา ซารีก็เดินเข้าไปยืนระหว่างกรงทั้งสอง และมองหน้าพวกมัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
“พวกแกจำแม่ของฉันได้ไหม”
“แกเป็นใคร ข้ายังจำไม่ได้เลยโว้ย พวกเรามีเรื่องอะไรบาดหมางกันจนถึงต้องทำแบบนี้!”
“จำฉันไม่ได้สินะ งั้นแบบนี้ล่ะ”
ซารีหยิบผ้าคาดตาขึ้นมาใส่ และมัดผมไว้แบบเดิม ถึงจะต่างจากเดิม แต่บางคนเริ่มจำได้ขึ้นมาแล้ว
“หัวหน้ากิลนักผจญภัยซารี!”
“ถ้าจำฉันได้ งั้นพวกแกก็คงจำแม่ฉันได้แล้วสินะ”
พวกมันพากันก้มหน้าเงียบ ไม่ใช่จำไม่ได้ แต่เพราะจำได้แต่ไม่กล้าพูดต่างหาก พวกมันรู้ตัวแล้วว่ากำลังจะโดนล้างแค้นเรื่องอะไร
“เงิน! ข้ามีเงินเยอะแยะเลย ข้าจะยกให้ทั้งหมด เธอเองก็ต้องการเงินใช่ไหมล่ะ!”
“ใช่ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันต้องการเงิน แต่ตอนนี้ฉันได้ตัวพวกแกแล้ว เพราะงั้นเงินหรืออำนาจ ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการอีกต่อไป”
“ข ข้าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนั้นด้วยเลยนะ!”
เริ่มมีคนแก้ตัวออกมา แต่ไม่ได้ผลหรอก เพราะทางนี้มีหลักฐานแน่นหนา ต่อให้จ้างทนายโคตรจัญไรมา ก็ช่วยพวกมันไม่ได้
“อย่าพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เพราะฉันรู้ว่าพวกแกทำอะไรมาบ้าง”
ซารีจ้องพวกมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยจิตฆ่าฟัน พวกมันบางคนกลัวจนฉี่ราดออกมาแล้ว
“แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะเปิดช่องให้พวกแกรอดชีวิต”
ซารีบอกพร้อมกับโยนมีดจำนวนมากเข้าไปในทั้งสองกรง จากนั้นก็มีพนักงานยกตาชั่งออกมาตั้งไว้ที่หน้ากรงทั้งสอง
“พวกแกชอบประมูลกันใช่ไหม งั้นฉันจะให้พวกแกประมูลกัน สิ่งที่จะประมูลก็คือโอกาสอยู่รอดของพวกแก ส่วนของมีค่าที่แกต้องจ่ายก็คือเลือดและเนื้อของพวกแก”
“ว ว่าไงนะ!”
ซารีไม่ได้ฟังเสียงโวยวายและอธิบายต่อ
“เริ่มต้นที่ 20 กิโลกรัม พวกแกใครจะเริ่มประมูลก่อนล่ะ”
ซารีเริ่มจับเวลา โดยหยิบเอานาฬิกาทรายออกมาตั้งตรงกลางระหว่างตาชั่งทั้งสอง โดยมันจะมีเวลาให้เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น
พวกในกรงยังไม่มีใครขยับตัวทำอะไร จนผ่านไปสามนาที ซารีเลยพูดขึ้นมาว่า
“กรณีที่ไม่มีใครเสนอประมูล แปลว่าของชิ้นนี้ไม่มีใครต้องการแล้ว นั้นเท่ากับพวกแกทุกคนทิ้งชีวิตตัวเองไปด้วย และเชื่อเถอะ พวกแกไม่ได้ตายสบายแน่”
ซารีบอกพร้อมกับโยนห่อผ้าให้คลี่ออกไปบนพื้น ซึ่งมันล้วนแต่ใส่อุปกรณ์ทรมานด้วยมือแบบต่างๆ เอาไว้
ก่อนจะหมดเวลาหนึ่งนาที ในที่สุดก็เริ่มมีคนเคลื่อนไหว มันวิ่งไปหยิบมีดขึ้นมา แต่ไม่ได้จะเฉือน
เนื้อตัวเอง แต่มันกลับแท่งเข้าขั้วหัวใจของเพื่อนมันคนหนึ่ง ก่อนจะรีบแล่ตัดเนื้อส่งผ่านลูกกรงออกไปว่างไว้บนตาชั่งจนครบ 20 กิโลกรัม
คนอื่นที่มองดูอยู่พากันอาเจียนออกมา และเริ่มด่าทอที่ฆ่าพวกเดียวกันเอง
“หนวกหูน่า! อย่างไงฉันก็ไม่ยอมตายไปพร้อมกับแกแน่!”
เขาร้องด่า พร้อมกับชี้มีดขู่ไปที่คนอื่น
ซารียิ้มอย่าพึ่งพอใจกับภาพที่เห็น ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนนาฬิกาทรายเป็นอันใหม่ และเริ่มจับเวลาอีกครั้ง
“เริ่มเคาะราคาได้!”
ทันใดนั้นในอีกกรงก็เกิดความชุลมุนขึ้นมาทันที ต่างคนต่างรีบคว้ามีดขึ้นมา และหันไปทางคนใกล้ๆ ไม่มีใครยอมเฉือนเนื้อตัวเองเลยสักคน เอาแต่จ้องฆ่าคนอื่นสุดท้ายก็เจ็บตัวกันไปถ้วนหน้า จริงๆ แล้วตามกฎของสัตว์กินเนื้อ ผู้อ่อนแอจะตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง แต่บังเอิญในกรงมันเป็นศูนย์รวมของพวกอ่อนแอเนี่ยสิ คนดวงซวยเลยตายเพราะถูกรุมมากกว่า
แถมพวกมันหั่นร่างของคนดวงซวย แล้วส่งไปขึ้นตาชั่งจนหมด ทำให้นํ้าหนักประมูลขึ้นไปสูงถึง 89 กิโลกรัมแล้ว เล่นเอาคนที่อยู่ในอีกกรงพากันหน้าซีด เพราะถึงเอาชิ้นส่วนที่เหลือของเหยื่อรายแรกไปวาง นํ้าหนักก็ยังสู้ไม่ได้ และยังไม่ทันทีซารีจะเดินไปเปลี่ยนนาฬิกาทราย พวกมันก็เริ่มฆ่ากันเองแล้ว
การต่อสู้ของเดรัจฉานดำเนินต่อไปในรูปแบบนี้ แต่ขณะที่ดูไปด้วย พวกหญิงสาว ก็คลานสี่เท้ามาหาผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คนดู และเริ่มงัดเอาดุ้นผมออกมาโดยไม่ถามสักคำ จากนั้นพวกเธอก็พยายามทำเลียนแบบซารี ด้วยการเลียและพยายามอมมันเข้าไป แต่อย่างไงพวกเธอก็เป็นมือใหม่ แถมเทคนิกการ Blow job ของซารีนั้นเรียกได้ว่าเข้าขั้นเอกอุไปแล้วทำให้ผมรู้สึกเฉยๆ เลยต้องเปลี่ยนมาทำให้พวกเธอแทน
ผมใช้นิ้วช่วยพวกเธอสองคนพร้อมกัน และส่งเธอไปสวรรค์ในเวลาเพียบพริบตาเดียว คนที่เหลือต่างตะลึงตาค้าง เพราะสีหน้าคนที่ไปสวรรค์นั้นดูมีความสุขมาก ต่างจากตอนที่โดนพวกเดรัจฉานในกรงกระทำใส่
พวกเธอเริ่มทนไม่ไหว และแย่งกันเข้ามาแย่งตำแหน่งเพื่อครอบครองดุ้นหรือมือทั้งสองข้างของ
ผม เสียงกรีดร้องดังขึ้นทุกครั้ง เมื่อมีใครพยายามยัดเอาดุ้นผมเข้าไปในตัว
แต่พอพวกเธอเริ่มชินกันแล้ว ก็เปลี่ยนมาเป็นการแข่งกัน ว่าใครจะเอาดุ้นของผมเข้าไปได้ลึกกว่า พวกเธอพยายามดันดุ้นผมจนทะลุเข้าไปในมดลูก แถมยังพยายามดันเข้าไปอีก แต่สีหน้าพวกเธอกลับไม่แสดงความเจ็บปวดอะไรออกมา แต่เป็นการสุขปนสยิวแบบที่จิตใจเตลิดเปิดเปิงกันไปหมดแล้วแต่ถึงอย่างนั้นสถิติสูงสุดที่พวกเธอทำได้ ก็เพียงยัดดุ้นผมเข้าไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียว ด้วยสภาพดุ้นของผมที่ไม่มีสกิลมารราคะช่วย มีแต่ดอเรียเท่านั้นแหละที่ผมใส่เข้าไปสุดลำ และสอยได้สุดแรง
ภาพในตอนนี้ที่มีผู้หญิงนับสิบคนกอดก่ายบนตัวผม ถ้าเอาหัวแพะมาส่วมบนหัว ผมคงเหมือนจ้าว
ลัทธิซาตานแน่ๆ แต่ภาพที่พวกเธอร่วมเพศกับผมแบบไร้ศีลธรรมนี้ ก็ยังดีกว่าทนนั่งดูพวกหมูกลายพันธุ์ในกรงฆ่ากัน
การทรมานนี้จริงๆ ไม่ค่อยถูกใจผมเท่าไร แต่วิธีการเป็นซารีที่เลือกเอง ผมเลยไม่ได้โต้แย้งอะไรไป แต่การทรมานนี้ใช่ว่าจะน่าเบื่อไปจนจบ เพราะยิ่งคนเหลือน้อยเท่าไร ความสนุกก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น จากตอนแรกที่พอจะแบ่งฝ่ายๆ หรือเป็นกลุ่มๆ ได้ มาตอนนี้ทุกคนต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด สิ่งที่อยู่ในกรงเลยไม่เหลือความเป็นคนอีกแล้ว แต่ลอกคราบออกจนกลายเป็นเดรัจฉานเต็มตัว
จนกระทั่งมาถึงจุดไครแม็กซ์ ซึ่งในกรงเหลือเพียงฝังละคนเท่านั้น และน่าตกใจจริงๆ ที่เจ้าหมูคางคกมันยังรอดมาได้จนอยู่ในคนสุดท้ายในกรงด้าน
หนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันก็ถูกกรีดเอาเนื้อตรงพุงออกไปเยอะ จนทั้งเลือดไหลนองออกมา
ส่วนอีกกรงก็ใช่ว่าจะดีเท่าไร มันถึงขั้นตัดแขนของตัวเอง เพื่อเคาะราคาครั้งสุดท้าย เพราะการตัดแขนทำให้เสียเลือดมาก และไม่มีแรงจะเฉือนเนื้อตัวเองต่อแล้ว
แต่ปัญหาตกไปอยู่ที่เจ้าหมูคางคก เพราะการเคาะราคาครั้งนี้ต่อให้มันรวมเอาเศษเนื้อและเลือดบนพื้นทั้งหมดไปวางบนตาชั่งแล้ว ก็ยังขาดไปกว่า 18 กิโลกรัม เจ้าหมูคางคกหน้าซีดเผือก สติของมันกํ่ากึ่งระหว่างบ้ากับแหลกสลาย ยิ่งตอนที่ซารีหยิบอุปกรณ์ทรมานขึ้นมา เจ้าหมูคางคงถึงกับร้องอี๊ดออกมา ขนาดเสียงร้องยังเหมือนหมูเลยแฮะ
จริงๆ แล้วเจ้าหมูคางคกยังมีวิธีชนะอยู่ เพราะมันได้เปรียบเรื่องความอ้วนเนี่ยล่ะ เพียงแต่เฉือนเนื้อบริเวณหน้าท้องออกมาทั้งหมด ก็สามารถได้เกินกว่า 20 กิโลกรัมซะอีก แต่นั้นคือการต่อสู้กับความเจ็บปวดทรมานอย่างสาหัส ไม่รวมถึงอาการช็อคจากสภาวะจิตใจอีก
เจ้าหมูคางคกเหมือนจะรู้วิธีรอดของตัวเองเหมือนกัน มันเลยจ่อมีดแล่เนื้อไปที่ท้องตัวเอง แต่มันก็ค้างอยู่แบบนั้น เพราะไม่กล้าจะขยับไปมากกว่านี้ จนสุดท้ายเวลาก็หมดลง ซารีไม่รอช้า ให้พนักงานรีบเปิดกรง และตรงเข้าไปลากเจ้าหมูคางคกออกมา โดยเธอจับมันโยนขึ้นไปบนแท่นหินที่เตรียมไว้ และมัดแขนขามันด้วยโซ่ เจ้าหมูคางคกพยายามดิ้นรนเพื่อหนี แต่ทุกครั้งที่มันทำแบบนั้น ซารีก็จะเริ่มตัดบางอย่างในร่างกายของ
มันออก เช่นนิ้วเท้า หู จมูก จนมันได้แต่นอนดิ้นและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
แต่นั้นยังไม่เท่ากับที่ซารีจะทำต่อไป เธอใช้วิธีที่เรียนรู้ไปจากผม ด้วยการกรอกยาฟื้นฟูขั้นสูงให้ และเริ่มแล่มันอย่างประณีต โดยเฉพาะส่วนอวัยวะเพศ เธอค่อยๆ ปลอกส่วนหนังออกราวกับปลอกกล้วย จากก่อนจะทำการชำแหละดุ้นออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตลอดขั้นตอนนั้นเจ้าหมูคางคกกรีดร้องและสลบไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ทุกครั้งที่มันสลบซารีก็จะใช้ยาบางอย่างให้มันดม จากนั้นมันก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
ซารีสนุกกับการแล่เจ้าหมูคางคกนั้น และรักษาชีวิตมันไว้ด้วยยาฟื้นฟูนับสิบๆ ขวด เป็นเวลาหลายชั่วโมง ขณะที่ผมเองก็สนุกไปกับพวกผู้หญิงเหมือนกัน
“ซารี ใกล้เช้าแล้วนะ”
ผมเตือนเธอขึ้นมา พร้อมกับอ้าปากหาวและขยับตัวผู้หญิงคนสุดท้าย ที่สลบคาดุ้นผมออกไป ซารีหันมายิ้มให้ผม ขณะหวดค้อนใส่ลิ่มที่ปักไว้บนท้องของเจ้าหมูคางคก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีเสียงร้องอะไรออกมาแล้ว เพราะที่อยู่ตรงนั้น คือร่างเปล่าๆ ที่จิตใจและวิญญาณได้แตกสลายไปแล้ว
“งั้นกลับกันเลยเถอะค่ะ ฉันเองก็เล่นจนเบื่อแล้ว”
“เอ่อ ไม่ใช่ว่าเธอเล่นซะจนของเล่นพังไปแล้วหรอกเหรอ”
“แหมๆ ก็เป็นของเล่นตัวโปรด เลยต้องแสดงความรักให้มากหน่อยสิคะ”
“เธอเนี่ยนะ นิสัยแย่จริงๆ แล้วจะเอาไงต่อ จะฆ่าเลยไหม”
“ไม่ดีกว่าค่ะ แต่ก็ไม่อยากให้มันกลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม ท่านโรมะมีวิธีอะไรจะนำเสนอไหมคะ”
“อืม งั้นส่งไปอยู่ที่ปราสาทจอมมารล่ะกัน แผนกวิทยาการยังต้องการวัตถุดิบในการทดลอง ที่ยังสดๆ อยู่ด้วย”
“ฉันอยากจะไปเยี่ยมชมปราสาทจอมมารซะแล้วสิคะ”
“เรื่องสิ”
ใช่แล้วล่ะ ขืนซารีไปเห็นปราสาทจอมมารแล้วเอาข้อมูลไปปล่อย หรือใช้ในการวางแผนบุกโจมตี
ปราสาทจอมมารก็แย่น่ะสิ เพราะอย่างไงเธอก็ยังเป็นหัวหน้ากิลนักผจญภัยอยู่
“ล้อเล่นน่ะคะ”
ซารีอมยิ้ม ขณะนั้น คนที่รอดชีวิตก็รีบร้องขึ้นมาเหมือนคนเสียสติ
“ฉันชนะ ฉันคือผู้รอดชีวิต รีบๆ ปล่อยฉันออกไป!”
น่าแปลกที่เขายังรอดชีวิตอยู่ หลังจากที่เสียเลือดไปมากขนาดนั้น แต่ผมกับซารีหาได้สนใจเสียงนั้นแม้แต่น้อย และหันไปบอกกับพวกพนักงานให้จัดการนำตัวผู้หญิงกลับออกไป พร้อมกับลบความทรงจำด้วย
จนเหมือนพวกผมกลับออกมา และทิ้งผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวไว้ในกรงใต้ดิน ที่ทางเข้าออกถูกปิดตาย มันถึงได้รู้ตัว
ว่าซารีบอกจะให้โอกาสในการรอดชีวิต แต่ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยมันออกไป สุดท้ายเขาก็ต้องอดตายอย่างสุดทรมานในกรงนี้
การล้างแค้นของซารีจบลงแล้ว สิ่งที่ค้างคามาหลายสิบปี ได้ถูกจัดการแก้ไขจนหมดแล้ว สีหน้าซารีดูผ่อนคลายแต่ก็ดูไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา
“ฉันเตือนแล้วนะ ว่าการแก้แค้นน่ะ มันทำให้สบายใจก็จริง แต่หลังจากนั้นมันจะทำให้เธอสูญเสียเป้าหมายในชีวิตไป”
“ค่ะ ฉันเข้าใจ และก็ได้ตัดสินใจเลือกทางนี้ไว้แล้ว จากนี้ไปขอฝากชีวิตที่เหลือไว้กับท่านโรมะแล้วนะคะ”
“อย่าคาดหวังอะไรให้มากนักเลย”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันเองก็จะพยายามด้วย…งั้นฉันขอเริ่มจากการกู้ความเชื่อใจกับมาจากท่านโรมะก่อน”
ว่าแล้วซารีก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาให้ผม แต่กวาดตามองผมก็รู้ทันทีว่ามันคือสัญญาทาส
“ท่านโรมะจะเชื่อใจพวกทาสใช่ไหมล่ะคะ เพราะถ้าเป็นทาสก็จะไม่มีทางทรยศเด็ดขาด ฉะนั้นฉันจะขอเป็นทาสของท่านโรมะ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าจากนี้ไปฉันจะไม่มีวันทรยศท่านอีกแล้ว”
“…งี่เง่า”
ผมทำลายสัญญาทาสทิ้งทันที ทำเอาซารีตกใจขึ้นมา
“ท ทำไมล่ะคะ”
“การเป็นทาสน่ะไม่ใช่สิ่งที่แสดงถึงความเชื่อใจ เอาเข้าจริงมีอีกหลายวิธีที่จะใช้บิดเบี้ยวเพื่อให้ทาสหักหลังเจ้านายได้ ที่ฉันเชื่อใจพวกฟรานและทาสคนอื่นๆ เพราะฉันสร้างพื้นฐานความเชื่อของพวกนั้นมาด้วยมือตัวเอง(หรือด้วยอาหาร) เพราะงั้นถึงเธอจะเป็นทาส ฉันก็ไม่มีความเชื่อใจให้หรอก ที่สำคัญถ้าเธอเป็นทาส ประโยชน์ที่เธอมีก็จะหมดไป เพราะหัวหน้ากิลนักผจญภัยที่กลายเป็นทาสของเผ่าปีศาจ มันจะมีใครให้ความเชื่อถืออีก และประโยชน์ของเธอที่ฉันสามารถเอามาใช้งานได้ ก็คือตำแหน่งหัวหน้ากิลเท่านั้น”
พอได้ฟังที่ผมบอก ซารีก็ก้มหน้าลงและสิ้นหวัง พร้อมกับหลั่งนํ้าตาออกมา
“…เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะตั้งใจทำงานเพื่อท่านโรมะ”
“เพราะอย่างนั้นฉันถึงบอกว่าเธองี่เง่าไง เหตุที่ฉันยอมอภัยให้กับการทรยศของเธอ ไม่ใช่เพราะเพียงว่ายังใช้ประโยชน์จากเธอได้ แต่ฉันนับถือในความตั้งใจจริงของเธอ ในการยึดมั่นแนวทางของกิลนักผจญภัยเอาไว้ได้ เพราะเป็นเธอกิลนักผจญภัยถึงยังไม่โดนกลืนเข้าไปเป็นของพวกขุนนาง หรือตกอยู่ใต้อำนาจของประเทศใดประเทศหนึ่ง เธอจะมาทิ้งสิ่งเดียวที่ยังทำให้ฉันศรัทธาในตัวเธอไปเหรอ แล้วก็…ฉันไม่ได้พูดว่าจะไม่มีวันเชื่อใจเธอสักหน่อย ความเชื่อใจมันต้องอาศัยเวลาในการค่อยๆ สร้างขึ้นมาไม่ใช่หรือไง”
สุดท้ายแล้ว ผมก็ใจอ่อนให้กับซารี แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้โกหกตัวเอง
ซารีเว้นช่วยเพื่อขบคิดคำพูดของผม จนเมื่อเธอเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว เลยเงยหน้ากลับขึ้นมา เธอเช็ดนํ้าตาออกไปและแสดงสีหน้าที่อ่านยากเหมือนครั้งแรกที่ผมเจอเธอ
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันรู้แล้วว่าจากนี้ไปควรจะเดินหน้าไปในทิศทางไหนดี”
“คิดได้แบบนั้นก็ดี งั้นกลับกันเถอะ ป่านี้พวกสาวๆ คงตื่นมารอกินข้าวเช้ากันแล้ว”
ซารีพยักหน้าให้ แต่แววตาที่เธอใช้มองผม มันแฝงไว้ด้วยความเสน่หาอย่างชัดเจน ซึ่งมันเป็นแววตาที่แสดงความมุ่งมั่นซะจนผมขนลุก
จากนี้ไปผมคงต้องระวังเวลาต้องอยู่กับซารีตามลำพังซะแล้ว

ตอนที 139 เส้นทางต่อไป

พอกลับมาถึงคฤหาสน์ ก็เจอบรรยากาศมาคุทันที สาเหตุนั้นเป็นเพราะเวเนซ่าได้กลับมาแล้ว ไม่ใช่แค่เธอแต่อลิซาเบธเองก็หาทางกลับมาได้แล้วเหมือนกัน เห็นว่าโดนส่งไปถึงดินแดนนํ้าแข็งเหนือสุดของโลก ขนาดกรินฟินยังบินไปรับเธอไม่ได้ เธอเองก็เกือบจะตายที่นั้นแล้วเหมือนกัน แต่ถึงจะไม่ใช้เหตุนี้ทั้งคู่ก็เป็นอริที่จ้องจะฆ่ากันอยู่แล้ว
“…อลิซาเบธ นั่ง”
ผมเข้าไปแยกทั้งสองคนด้วยการสั่งอลิซาเบธ พอได้ยินคำสั่งผม อลิซาเบธนั่งแผละลงไปกับพื้นทันที เธอทำหน้างงๆ แบบไม่รู้ตัว นี้ล่ะผลของการเป็น
ทาสเซ็กส์ ร่างกายของเธอจะตอบสนองต่อคำพูดของผมโดยไม่รู้ตัว
“ด เดี๋ยวสิ!”
อลิซาเบธยังตั้งท่าไปหาเรื่องกับเวเนซ่าทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่ ผมเลยต้องจัดการเธอ
“ถอดเสื้อผ้าออกซะ”
ในไม่กี่วินาทีอลิซาเบธก็เหลือแต่กางเกงในฝักทองแล้ว
“เดเม่ฝากเรื่องอาหารเช้าทีนะ ผมต้องจัดการยัยนี้ก่อน”
“ค่ะ นายท่าน”
แล้วเดเม่กับโมอาก็เดินเข้าไปในครัว แตคนที่เหลืออยู่ดูต่อ จะว่าไปอลิซาเบธเองก็ขาดการมีเช็กส์กับ
ผมมาพักใหญ่แล้ว ที่ยังไม่คลั่งเพราะสัญชาตญาณการอยู่รอดมันคอยกดดันไว้อยู่ ผมเองก็อยากหาที่ระบายอยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อคืนถ้าไม่นับที่ซารีดูดให้ ผมเสร็จไปรอบเดียวเอง เพราะผู้หญิงพวกนั้นทำกันไม่ค่อยเป็นแถมเสร็จกันเร็วมาก
“เมยอาช่วยหน่อยสิ”
ผมเรียกเมยอา เพราะเธอมีดิลโด้เก็บไว้ แน่นอนเธอใช้มันเล่นกับโมอาบ่อยๆ
เมยอาถอนหายใจ ก่อนจะหยิบดิลโด้ออกมาจากกระเป๋า และจัดการติดตั้งไว้อย่างชำนาญ โดยไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออก
ส่วนผมจองประตูหลังไว้ เพราะผมสามารถใส่เข้าไปได้สุด ส่วนอลิซาเบธนั้นถึงจะทำหน้าขัดขืน แต่กลับตั้งท่ารอพร้อมรบก่อนใครเพื่อนเลย ทั้งหอยทั้งตูด
ปล่อยนํ้าหล่อลื่นออกมาจนเยิ้ม ผมเลยเสียบเข้าไปก่อน หูรูดก็ยังคงรัดแน่นเช่นเคย ส่วนภายในนิ่มและอุ่นสบาย ผมยังดันดุ้นเข้าไปต่อจนสุด ก่อนจะกดเอวของอลิซาเบธลงไป เพื่อให้ดุ้นปลอมของเมยอาที่นอนรออยู่เข้าไปบ้างจากด้านหน้า
ผมรู้ว่าอลิซาเบธเป็นพวกชอบเร่งเครื่องตั้งแต่ต้น เลยไม่มีการค่อยๆ มาสอย แต่ผมยัดเต็มเหนี่ยวสาวสุดลำตั้งแต่เริ่ม เสียงดังป๊าบๆ เหมือนโดนตีก้น อลิซาเบธร้องเสียงหลงแบบไม่เป็นภาษาออกมา และถึงแม้เธอจะเสร็จพวกผมก็ยังไม่หยุด แต่เมยอาพึ่งเคยทำกับอลิซาเบธครั้งแรก ก็แสดงสีหน้ายับยู่ยี๋ออกมา
“เบาๆ หน่อยสิคะนายท่าน นี้มัน…เสียวเกินไปแล้ว!”
แค่ปกติหอยของอลิซาเบธก็เป็นหอยคุณภาพดีอยู่แล้ว แต่เพราะดุ้นผมที่เสียบตูดอยู่ ยิ่งบีบพื้นที่หน้าด้านทำให้ถํ้ากระซับบีบแน่นกว่าเดิม แถมยังรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของดุ้นผมด้วย เมยอาเลยทนไม่ไหวเสร็จตามอลิซาเบธไปอย่างรวดเร็ว
แต่หลังจากเมยอาเสร็จรอบสองไป เธอก็ถอยออกมาพลางบอกว่าไม่ไหวแล้ว ก่อนจะส่งไม้ต่อให้คนอื่นทำแทน คราวนี้ดาเซสขอลองบ้าง เพราะเธอไม่เคยใช้ดุ้นเทียมมาก่อน อ้อ แต่อันนี้เป็นรุ่นตัวสมบูรณ์แล้วนะ เพราะงั้นไม่ต้องกลัวว่าจะเสพติดความรู้สึกของเพศชายจนเบี่ยงเบน
ระหว่างที่ทำกับอลิซาเบธอยู่ วาเนซ่าก็เดินเข้ามาหาผม พร้อมกับพาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาด้วย ผมไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน อายุประมาณ 16-17 การ
แต่งตัวก็เหมือนกับเจ้าหญิงจากประเทศไหนสักที่เลย แต่ผมรู้ว่าเธอคือเผ่าปีศาจจากสัมผัสพิเศษ
เด็กสาวคนนั้นยืนหน้าซีด ขณะจ้องดุ้นผมที่กำลังสอยตูดของอลิซาเบธด้วยความเร็วสูง พอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นแบบนั้นไปแล้ว เวเนซ่าเลยถอนหายใจและแนะนำตัวให้แทน
“เธอคนนี้ชื่อ ซานูน่า.เวก้า”
“ซานูน่า…เวก้า”
ผมว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ อยู่ แต่พอคิดว่ามีสายสัมผัสกับเผ่าปีศาจ มันก็ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ทันที
“ขุนพลปีศาจ ซานูน่า.เวก้าคนนั้นน่ะเหรอ!”
“ค ค่ะฉันเองค่ะ ด ได้โปรดเรียกฉันว่าซานูน่าด้วยเถอะค่ะท่านจอมมารที่เคารพยิ่ง”
ซานูน่าพอตั้งสติได้ ก็รีบก้มลงกราบพร้อมกับกล่าวออกมา ท่าทางเธอขี้กลัวหน่อยๆ แฮะ ต่างจากที่ได้อ่านมาในบันทึกลิบลับเลย พูดกันตามตรง ทีแรกผมคิดว่าเธอเนี่ยล่ะ ที่มีโอกาสจะก่อกบฏได้มากสุดแล้วในบรรดาขุนพลปีศาจ
เพราะในบันทึกจากทุกแหล่งกล่าวตรงกัน ว่าขุนพลเวก้า คือปีศาจที่โหดเหี้ยมที่สุด จำนวนคนที่ถูกเธอฆ่ามีมากจนสร้างภูเขาได้ เธอเป็นเหมือนมือขวาของจอมมารเวเนซ่า นอกจากนั้นไม่ยอมฟังคำสั่งหรือเข้าพวกกับใครแล้ว แม้แต่ในบรรดาขุนพลปีศาจ ยังไม่มีใครกล้ายุ่งกับเธอ
ตอนที่เธอถูกรุมสังหารด้วยกับดักของมนุษย์ ไม่มีขุนพลปีศาจคนไหนไปช่วยเหลือเธอเลย เพราะเธอเป็นอันตรายแม้แต่กลับพวกเดียวกัน
เนื่องจากเธอเป็นราชินีซักคิวบัส อำนาจของเธอใช้สะกดเพศชายให้ลุ่มหลงได้ เอาแค่อำนาจในการสะกดของเธอก็มากกว่าเผ่าแวมไพร์อย่างเรโมริก้าซะอีก เธอสร้างกองทหารจากทาสที่เธอสะกด และรบเฉกเช่นทหารเดนตายที่ไม่กลัวเกรงสิ่งใด ขนาดที่ว่าโดนตัดแขนขาดทั้งสองข้างยังสามารถกระโดดงับคอหอยอีกฝ่ายได้ คนใดที่ตกอยู่ใต้อำนาจสะกด จะไม่มีทางหลุดพ้นไปได้ แม้แต่กลายเป็นวิญญาณไปแล้ว เพราะงั้นยิ่งมีลูกน้องที่โดนสะกดตายมากเท่าไร เธอจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น จากการสูบวิญญาณที่เป็นทาสเธอ
ขุนพลเวก้า สามารถสร้างกองทัพจากศูนย์ ไปถึงหลักหมื่นหลักแสนได้ในวันเดียว ถึงจะเป็นในเขตแดนศัตรู นั้นทำให้เธอไม่ต้องพึ่งพาเผ่าปีศาจเลยสักนิด
แต่พลังของเธอก็มีจุดอ่อนอยู่ เพราะพลังสะกดของเธอใช้กับผู้หญิง หรือผู้ชายที่ถูกตอนไม่ได้ เพราะงั้นมนุษย์เลยใช้จุดนี้สร้างกับดักไว้เล่นงาน ด้วยการส่งกลุ่มผู้ชายที่ถูกตอนเข้าไปในเมืองที่ขุนพลเวก้าใช้เป็นฐาน ทำทีว่าโดนสะกดจิตอยู่ และรอโอกาสเล่นงานตอนเธออ่อนแอที่สุด
ทว่าก่อนตายเธอก็ได้สร้างตำนานไว้ ด้วยการเปลี่ยนทั้งเมืองให้กลายเป็นดันเจี้ยน และสาปผู้คนและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในรัศมีโดยรอบ ให้กลายเป็นมอนสเตอร์ ดันเจี้ยนแห่งนั้นถูกเรียกว่า มหาดันเจี้ยนเวก้า ความยากไม่ทราบ เพราะไม่เคยมีคนรอดชีวิตออกมาได้ ว่ากันว่า
เพียงแค่ก้าวเข้าไปก็จะถูกสาปแล้ว และถ้าไม่กลับออกมาก่อนครบวัน จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นมอนสเตอร์ไปทันที ด้วยเหตุนี้มันเลยถูกทิ้งร้างในฐานะดันเจี้ยนที่ห้ามทำการสำรวจ
สรุปคือ ถึงแม้เธอจะไม่ได้เป็นหัวหน้าหรือมีอันดับสูงนักในบรรดาขุนพลปีศาจ แต่ความน่ากลัวของเธอคืออันดับหนึ่งเลย…แค่คิดถึงชื่อเสียงของเธอก็แทบทำให้ผมหดเลย
“อ อืม ลุกขึ้นเถอะ”
ผมรีบให้เธอลุกขึ้นขณะหันไปทางเวเนซ่า
“นี้เหรอคนที่เธอบอกว่าจะไปพามา”
“ถูกต้องแล้ว ยัยนี้น่ะเหมาะสำหรับการฝึกสำนึกแห่งศาสตร์สายราคะ นอกจากนี้ยังมีฝีมือใช้เป็นบอดี้การ์ดให้นายได้ด้วย”
“เรื่องฝึกพอเข้าใจได้ แต่เรื่องบอดี้การ์ดนี้ไม่ต้องหรอก ผมมีของผมอยู่แล้ว”
พอผมบอกไปเวเนซ่าก็ทำหน้าประหลาดใจขึ้นมา
“เอ๋? หรือว่ามุเอมะยังไม่ได้บอกนาย”
“บอกเรื่อง?”
“ตอนนี้เธอกำลังจะเปิดดันเจี้ยนจำลองขึ้นมา”
“ดันเจี้ยนจำลอง?”
“เป็นดันเจี้ยนที่จอมมารรุ่นแรกสร้างไว้น่ะ มันเป็นต้นแบบของดันเจี้ยนของโลกนี้เลยก็ว่าได้ แต่ที่ถูกเรียกว่าดันเจี้ยนจำลอง เพราะวิธีทำงานมันต่างจากดันเจี้ยนทั่วไป”
“ต่างกันตรงไหนเหรอ?”
“ตรงที่มันไม่มีคอร์ และจะเริ่มทำงานเมื่อบรรจุพลังเวทลงไปจนเพียงพอแล้ว เพราะไม่มีคอร์ มันจึงไม่มีการดูดซับพลังงานใดๆ ทั้งสิ่ง ค่าประสบการณ์ในการอัพเลเวลจากมอนสเตอร์ในนั้น จึงให้มากกว่าดันเจี้ยนปกติหลายเท่าตัว มันเป็นสถานที่ไว้อัพเลเวลแบบโกงๆ ของเผ่าปีศาจน่ะ”
“แบบนี้เอง…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องบอดี้การ์ด?”
“เจ้าโง่นี้ หลังจากเกือบตายมาแล้ว ยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอ ว่าพวกสาวๆ ของนายน่ะไร้ความสามารถแค่ไหน”
ทุกคนมีการตอบสนองต่อคำดูถูกของเวเนซ่าทันที แต่ก็ไม่มีใครเถียงออกมา เพราะที่เธอว่ามามันคือความจริง
“จริงอยู่ว่ายุคนี้ไม่ค่อยเหลือพวกเหนือมนุษย์แบบยุคฉันแล้ว แต่มนุษย์น่ะไม่ชอบสู้แบบซึ่งๆ หน้าอยู่แล้ว แถมยังมีเวทมนต์อันเชิญผู้กล้าอีก ฉันบอกไม่ได้หรอกนะ ว่าจะไม่มีการอันเชิญคนที่เก่งกว่าอลิซาเบธออกมา แล้วพวกเทพก็ยังประมาทไม่ได้ พวกนั้นยังมีเก็บไพ่ตายที่นายยังไม่รู้ไว้อีก ที่สำคัญ…นายยังไม่เคยเจอพวกผู้คุมระบบ”
“ผู้คุมระบบ!”
ผมเจอคำใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ไม่คิดเหรอว่าโลกนี้มันแปลกๆ เหมือนที่ผู้กล้าจากต่างโลกชอบเรียกว่าอะไรนะ…ระบบเกมส์เหรอ?”
“จะว่าไปก็ใช่นะ”
“แล้วคิดไหมว่าใครเป็นสร้างระบบนี้ขึ้นมา”
“…”
“ตัวตนของผู้คุมระบบนะ อยู่เหนือทุกสิ่งในโลกนี้ และจะปรากฏตัวออกมา เมื่อมีสิ่งที่จะหักล้างหรือทำลายระบบ ฉันเคยเจอพวกนั้นครั้งหนึ่ง ตอนที่คิดค้นสกิลใหม่ขึ้นมา ซึ่งมันมีพลังขนาดที่เรียกผู้คุมระบบออกมาทันทีเลยล่ะ แต่พวกนั้นเพียงแค่ทำลายสกิลนั้นทิ้งและ
จากไปทันที ถึงจะแค่พริบตาเดียวฉันก็รู้ทันทีว่า ตัวตนของพวกนั้นน่ะอยู่เหนือกว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ จากนั้นฉันเลยไม่สร้างสกิลที่ทำลายระบบอีกเลย”
“เดี๋ยวสิ ถ้าพูดถึงสกิลที่ส่งผลต่อระบบ มันอยู่อยู่ไม่ใช่เหรอ ทั้งสกิลของจอมมาร หรือกระทั่งสกิลมารทั้ง 7 น่ะ”
ผมแย้งขึ้นมาทันที แต่เวเนซ่ายิ้มแบบขมขืนออกมา
“ที่นายคิดแบบนั้นแปลว่ายังไม่เคยใช้สกิลระดับทำลายล้างขอจอมมารมาก่อน ซึ่งฉันดีใจนะที่นายคิดได้ก่อนจะใช้”
“…ว่าแล้วเชี่ยว มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ”
“ถูกแล้ว เวทมนต์ทำลายของจอมมาร ล้วนแต่เป็นเวทมนต์ทำลายตัวเอง เมื่อนายใช้ สิ่งแรกที่เวทมนต์จะทำลายก็คือนาย จริงที่ว่าสกิลบางอย่างอาจส่งผลวงกว้าง แต่นั้นก็หนีไม่พ้นการทำลายตัวเองอยู่ดี ส่วนสกิลมารทั้ง 7 ถึงจะดูอิสระและมีพลังทำลายสมดุลของระบบได้ แต่ก็ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขมากมาย หรือไม่ถ้าไปถึงระดับนั้นได้สุดท้ายก็โดนแบบฉัน ที่เจอผู้คุมระบบออกมาขัดขวางอยู่ดี”
“แบบนี้สถานะจอมมารก็แทบไม่มีอะไรดีเลยสิ”
“ไม่หรอก ถึงสกิลส่วนใหญ่จะมีไว้แค่โชว์ แต่นายก็รู้ข้อดีของจอมมารแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อืม สกิลโจมตีค่าพลังโดยตรง ซํ้ายังเพิ่มพลังตัวเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด”
เรียกได้ว่าคุณสมบัติของจอมมารถูกตั้งขึ้นมาด้วยแนวคิดที่ว่า มีพลังเหนือกว่าทุกคนในทุกกรณี
“ฮุๆๆ นอกเรื่องไปซะไกล เรื่องผู้คุมระบบไม่ต้องไปคิดถึงให้มากนักหรอก ทางนั้นไม่ใช่ทั้งมิตรหรือศัตรู แต่เราไม่เข้าไปยุ่งกับระบบของโลกนี้ ทางนั้นก็เพียงแค่เฝ้าดูเงียบๆ แต่ที่น่าห่วงคือการคงอยู่ของพวกเทพ กับสิ่งที่ระบบสร้างขึ้นมาต่างหาก”
“ผมเคยไปสวรรค์มาแล้ว พวกนั้นไม่น่าจะใช้ปัญหาหรอก”
ผมบอกไปตามตรง แต่เวเนซ่าส่ายหน้า
“เทพน่ะ เป็นผู้ใช้งานระบบได้อย่างเสรีที่สุดนะ ถึงเจ้าพวกนั้นจะกากเกรียน แต่สามารถใช้ระบบสร้างอะไรแปลกๆ ออกมาได้เสมอ อย่างการอันเชิญคน
จากโลกเนี่ย เริ่มต้นก็มาจากพวกเทพที่ใช้ระบบสร้างขึ้นมา”
“…พอจะเข้าใจแล้ว งั้นแบบนี้การกวาดล้างพวกนั้นน่าจะเหมาะสมสุดสินะ”
“เจ้าโง่นี้ ไม่ได้ฟังเลยเหรอ ถ้านายไปยุ่งกับระบบแล้วจะเจอกับอะไร พวกเทพน่ะได้เป็นถึงผู้ใช้งานระบบเชี่ยวนะ จะเล็กน้อยแค่ไหน แต่คิดว่ามีความสัมพันธ์กับผู้คุมระบบอยู่บ้างล่ะ”
“ไม่มั่ง คราวก่อนผมก็ไปขู่ไว้ซะเยอะ ไม่สิ หลายๆ อย่างที่ไม่สมควรก็ทำไปแล้ว แต่ก็ไม่เห็นผู้คุมระบบโผล่มาเลยนะ”
“นั้นเพราะทางนู้นประเมินแล้วว่านายไม่ใช่ภัยคุกคามไงล่ะ ที่นายว่าจัดการพวกเทพได้เนี่ย จัดการ
ได้แค่ไหน พวกนั้นมีสกิล Immortal of heaven อยู่นะ หรือก็คือตราบใดที่ยังอยู่บนสวรรค์ พวกนั้นก็ฆ่าไม่ตาย”
“ยุ่งยากจังแฮะ แต่เท่านี้ก็ชัดเลย ถึงว่าพวกนั้นไม่ยอมลงมาจากสวรรค์เพื่อเก็บเลเวลกัน”
“เรื่องเก็บเลเวลส่วนหนึ่งฉันว่าเป็นเพราะเผ่าเทพเป็นพวกขี้ขลาดโดยกำเนิดด้วยล่ะ”
แต่จะว่าไปเอร่านี้ก็ถือเป็นพวกนอกคอกแล้วสินะ นอกจากพลังแล้วไม่มีอะไรเหมือนเทพเลยสักนิด ไม่แปลกใจเลยทำไมแม้แต่เทพด้วยกันเองยังพากันรังเกียจ
“กว่าจะไปกังวลถึงขั้นนั้น มาห่วงเรื่องใกล้ตัวอย่างผู้ใช้สกิลมารกันก่อนดีกว่า ถึงปกติผู้ใช้สกิลมารจะชอบแบบต่างคนต่างอยู่ก็เถอะ แต่ใช่ว่าจะไม่เคย
ปะทะกันมาก่อน แถมกรณีนี้อีกฝ่ายรวมกลุ่มกัน เพื่อล่าผู้ใช้สกิลมารคนอื่นอย่างชัดเจน ซํ้ายังขยายออกไปเป็นกิลแล้วด้วย คราวนี้คงไม่มาคนเดียวแน่”
“ก็เลยจะให้พวกเราไปเก็บเลเวลในดันเจี้ยนจำลองสินะ”
“นั้นแหละ อธิบายมายืดยาวก็เพื่อวัตถุประสงค์นี้ อย่างตํ่าทุกคนต้องมีเลเวลให้ถึงระดับเหนือขีดจำกัด นั้นก็คือระดับ 500 ขึ้นไป แล้วก็ต้องทำให้ได้ภายในหนึ่งปีด้วย เพราะดันเจี้ยนจำลองจะปิดตัวลงหลังจากครบหนึ่งปี เพื่อซ่อมแซมตัวเองไปอีกนานเลย และถ้าใครไปไม่ถึงระดับเหนือขีดจำกัดล่ะก็ ฉันคงอนุญาตให้มาทำหน้าที่บอดี้การ์ดนายไม่ได้หรอก”
“Lv 500 ในหนึ่งปีเหรอ งานยากใช่เล่นนะเนี่ย”
“เดี๋ยว คนที่จะเข้าไปในดันเจี้ยนจำลองน่ะ มีแต่พวกสาวๆ ไม่เกี่ยวกับนายนะ”
“หา!”
“ในหนึ่งปีนี้มีสามสิ่งที่นายต้องทำ”
“…อะไรบ้างล่ะ”
ถึงผมจะไม่ชอบที่เวเนซ่าเป็นคนทำกำหนดการให้ แต่เธอเป็นรุ่นพี่ที่มากประสบการณ์ ผมควรจะฟังเธอให้มาก
“อย่างแรกคือฝึกสำนึกแห่งศาสตร์ ซึ่งนอกจากต้องเอามารราคะกลับมาแล้ว ยังมีอีกสามสกิลที่นายต้องฝึกเอามาได้ให้ อย่างที่สองนายต้องผ่านเงื่อนไขผู้พิชิตเผ่าพันธุ์ เพื่อเปิดทางไปสู่ระบบคลังแสงแห่งเทพศาสตรา และอย่างที่สามนายต้องเพิ่มแต้ม Lust
Mastery โดยอย่างตํ่าสุด นายต้องเรียกอัสโมเดียสออกมาให้ได้สองครั้ง”
“อย่างแรกพอเข้าใจได้ แต่อย่างที่สองนี้เงื่อนไขไม่ยากไปหน่อยเหรอ”
“ปกติแทบจะเป็นเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้เลยล่ะ แต่โชคดีที่นายได้กุญแจนำทางมาแล้ว”
“กุญแจ? ผมได้มาตอนไหน”
“มีอยู่ไม่ใช่เหรอ การ์ด High orc warrior”
“…อ่ะ!”
ผมนึกอยู่พักหนึ่ง เกือบลืมไปแล้วว่ามีมันอยู่ด้วย
“การ์ดที่นายมีอยู่คือกุญแจในการพิชิตเผ่าออร์ค ส่วนรายละเอียดไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
“งั้นคำถามสุดท้าย ทำไมผมต้องเรียกตัวอันตรายอย่างอัสโมเดียสออกมาสองรอบด้วยล่ะ รอบแรกยังพอเข้าใจได้ว่าเพื่อเอาสกิลมารราคะคืนมา แต่รอบสองทำไปเพื่อ?”
“เอ่อ เรื่องนี้ถึงฉันจะไม่มั่นใจว่านายจะพิชิตอัสโมเดียสได้หรือเปล่า แต่ถ้าทำได้ ในรอบสองนายจะสามารถขอพรจากเธอได้”
“ขอพร?”
“ใช่ ขอพร ถึงจะเป็นพรจากจ้าวปีศาจก็เถอะ แต่มันจะมีประโยชน์กับนายแน่นอน”
“แล้วเดี๋ยวนะ เหมือนจะข้ามอะไรไป…ใช่ ไม่เห็นได้ยินมาก่อนเลยว่าต้องพิชิตอัสโมเดียสด้วย”
“ขืนบอกก่อนนายก็ไม่ยอมทำน่ะสิ”
“…โอเค ตัดออกจากรายกายไปได้เลย”
เวเนซ่าพึ่งทำหน้านึกขึ้นได้ว่าหลุดปากไปแล้ว เลยรีบร้อนรนอธิบายใหญ่
“พรนะสุดยอดเลยนะ ดีกว่าเก็บเลเวลอีก ไม่สิ ดีกว่าทุกอย่างเลย”
“งั้นขอคำถามเดียว…เคยมีใครพิชิตจ้าวปีศาจได้ไหม ตัวไหนก็ได้”
“…”
เวเนซ่าหันหน้าไปทางอื่นทันที
“นี้เธอ! แม้แต่ตัวเองก็ยังทำไม่ได้ใช่ไหม!”
“ไม่ใช่นะ แค่ไม่อยากลองเฉยๆ ก็ตัวที่ฉันจะเรียกออกมาน่ะ ลูซิเฟอร์เลยนะ! ถ้าแพ้นี้ฉันโดยขยี้เละแน่”
“อ้อ แล้วอัสโมเดียสนี้ ปลอดภัยสินะ”
“ไม่หรอก ถ้านายแพ้ นายจะโดนเธอควบคุมไปตลอดกาล”
“มันแย่กว่าอีกไม่ใช่เหรอฟ่ะ!”
ระหว่างที่ผมเถียงอยู่กับเวเนซ่า ซานูน่าก็ยกมือขึ้นมาแบบสั่นกลัว
“ข ขอโทษที่ต้องแทรกการสนทนาของท่านจอมมารทั้งสองค่ะ ต แต่ว่าขืนไม่หยุดเธอได้ตายแน่ค่ะ”
ซานูน่าชี้นิ้วไปที่อลิซาเบธที่สลบไปในสภาพน่าเวทนา ทั้งตาเหลือกทั้งทั้งนํ้าฟูมปากทั้งฉี่ราด
ผมเองก็ลืมไปเลย ระหว่างที่คุยไปก็สอยไม่หยุดจนเสร็จไปสองรอบแล้ว
ไม่ไหวจริงๆ ด้วยแฮะ พอไม่มีสกิลมารราคะแล้วควบคุมตัวเองลำบาก ถึงจะเสี่ยงไปสักหน่อย แต่อย่างไงก็ต้องเรียกอัสโมเดียสออกมาแล้ว

ตอนที่ 140 สิ่งที่อยู่ข้างในนั้น

หลังมือเย็นผมเรียกประชุม สาวๆ ทุกคนมากันพร้อมหน้า ยกเว้นเจ้าหญิงโช
“หัวข้อการประชุม…”
“วิกฤต! จะทำอย่างไงดีเมื่อต้องงดมีเซ็กส์หนึ่งปี!”
ตอนผมกำลังจะประกาศหัวข้อ มิรินลุกขึ้นพูดตัดหน้าราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
“คิดว่าไอ้นี้ใช้แทนได้ไหม”
อาเดไลท์หยิบดิลโด้ขึ้นมาพลางหันไปถามผู้ชำนาญการอย่างเมยอา
“อืม มันก็โอเคนะ แต่อย่างไงเทียบกับของนายท่านไม่ได้หรอก อาจจะใช้แก้ขัดได้สองสามวัน แต่มากกว่านั้นก็ไม่ค่อยถึงแล้วล่ะ”
“เมยอา แม่ขอโทษ! ทำกับแม่มันคงไม่รู้สึกดีเลยสินะ!”
“ม ไม่ใช่ค่ะ บ แบบว่า แค่บางครั้ง หนูชอบโดนเสียบมากกว่าเป็นฝ่ายเสียบน่ะ”
“ยัยผู้หญิงลามก”
ฟรานกับเดเม่ประสานเสียงกันออกมา ขณะที่เรโมริก้านั่งหัวเราะคิกคัก
“เดี๋ยวๆ ทุกคนอย่างหลงประเด็นสิ”
ผมเห็นว่าเริ่มออกทะเลแล้ว เลยจะดึงทุกคนกลับมา
“ใช่แล้วค่ะ ทุกคนคนหลงประเด็นไปแล้ว”
มอเรียลุกขึ้นมาทำท่าจริงจัง อืม เป็นคนที่พึ่งพาได้จริงๆ
“เรื่องเช็กส์ถึงจะขาดแคลนไปก็กัดฟันฝืนทนไปได้อย่างเฉียดฉิว แต่ถ้าไม่ได้กลิ่นอายของท่านโรมะ แค่เดือนเดียวก็สิ้นใจแล้ว!”
ผมแทบตกเก้าอี้ เพราะหลงคิดไปว่ามอเรียจะช่วยลากทุกคนกลับเข้าฝัง แต่ที่ไหนได้กลับพาลงไปลึกกว่าเดิมอีก
“ถ้าเรื่องนั้นฉันก็คิดไว้แล้ว เลยขอเสนอให้ทุกคนพกสิ่งนี้ติดตัวไว้”
อาเดไลท์พูดด้วยสีหน้าซีเรียสพร้อมกับชูกางเกงบ็อกเซอร์ของผมขึ้นมา
ผมรีบลูบไปที่ก้นทันที ถึงว่ารู้สึกขาดอะไรไปอย่าง ว่าแต่นั้นฉกไปตอนไหนฟ่ะ!
“น นี้มันสดๆ เลยนี้คะ!”
ฟรานที่จมูกดียื่นหน้าไปจนติดแล้ว ผมนี้อายแทนจนต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าไว้ ระหว่างที่ทุกคนจ้องชิงกางเกงในผมในมือของอาเดไลท์ เอสเตอร์นี้นั่ง
เงียบมาตลอด ก็ยิ้มแห้งๆ แหละหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาโชว์
“ส่วนฉันแค่ได้เห็นหน้านายท่านทุกคนก็พอใจแล้วล่ะ ถึงจะเป็นแค่รูปวาดก็เถอะ”
พริบตานั้นทุกสายตาก็หันไปทางเอสเตอร์ทันที
“ขายต่อฉันเถอะเอสจัง”
มิรินไวกว่าใคร พุ่งเข้าไปหาเป็นคนแรก
“ม มีแค่อันเดียวค่ะ ขายไม่ได้”
ระหว่างที่เอสเตอร์ปฏิเสธเป็นพัลวัน จามิร่ากับโรสลินก็หันมาพยักหน้าให้กัน ก่อนจะย่องมาจับผมมัดไว้ ทำท่าเหมือนจะจับผมยัดใส่กระเป๋าแอบพาไปด้วย จนเวเนซ่าทนไม่ไหว ต้องหันไปเตือน
“แบบนั้นมันใช่วิธีแก้ปัญหาซะทีไหนล่ะ”
เหตุการณ์ยังวุ่นวายและออกทะเลลึกไปเรื่อยๆ แต่ในสุดท้ายก็ได้กลับฝังจนได้ หลังจากพูดคุยกันแล้ว ทุกคนเต็มใจเข้าไปในดันเจี้ยนจำลอง เพราะเห็นด้วยว่าถ้ายังเลเวลน้อยแบบนี้ นอกจากจะช่วยปกป้องผมไม่ได้แล้ว ยังจะกลายเป็นภาระให้อีก แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้ไป
เช่นอาเดไลท์ที่ต้องอยู่ทำงานบริหารเมือง ยิ่งช่วงผมไม่อยู่แบบนี้ ต้องยิ่งพึ่งเธอมากกว่าเดิม ส่วนเมยอากับโมอา สองคนนี้ไม่ถนัดเรื่องต่อสู้อยู่แล้วเลยอยู่นอกประเด็นไป แต่มีคนที่จะไม่ได้ไปด้วย นั้นก็คือเดเม่ เพราะสกิลของเธอจะทำงานก็ต่อเมื่อมีผมอยู่ด้วย กรณีที่สกิลไม่ทำงานเธอก็แทบไม่ต่างจากคนทั่วไปเลย จึงไม่จำเป็นต้องเก็บเลเวลเลยด้วยซํ้า แต่เพิ่มค่าภักดีเดี๋ยวก็
เก่งขึ้นมาได้เอง แถมเพราะข้อจำกัดของอาชีพเธอทำให้เรียนรู้สกิลอื่นไม่ได้เลย แต่เธอไม่คิดมากกลับทำให้ทุกคนต้องอิจฉาซะอีก เนื่องจากเดเม่จะได้ไปกับผมด้วย
ยังมีอีกคนที่จะไม่ได้ไปนั้นก็คืออลิซาเบธ เพราะผมให้เธอเป็นแม่ทัพดูแลเรื่องกองทหาร หรือก็คือให้ดูแลกระทรวงกลาโหมไป ซึ่งเจ้าตัวเต็มใจรับอย่างยินดี แถมผมยังให้เธอควบงานสร้างกองอัศวินขึ้นมาด้วย พอรอจนดาเซสกลับมาไม่ได้
กองทหาร กับ กองอัศวิน ผมแบ่งหน้าที่ให้อย่างชัดเจน กองทหารมีหน้าที่รับมือกับศัตรูภายนอกเมือง กองอัศวินมีหน้าที่จัดการศัตรูที่อยู่ในเมือง หรือก็คือทหารเป็นรั้วป้องกันเมือง ส่วนอัศวินดูแลความเรียบร้อยภายในเมืองคล้ายๆ ตำรวจ ซึ่งเมื่อก่อนสองกองนี้มีหน้าที่ทับซ้อนกันมากเกินไป จนเกินกว่าทะเลาะเบาะ
แว้งกันบ่อยๆ เจ้าเมืองก็ไม่คิดจะจัดการแก้ปัญหาอะไร ผมเลยต้องมาจัดการเองแบบนี้
ส่วนเรื่องการคุ้มกันคนที่อยู่ที่นี้ ก็ได้ทั้งเพนกวินจากเผ่ามังกร และโกรมบิมจากเผ่าปีศาจ มาช่วยดูแลความปลอดภัยให้ โกรมบิมผมไม่ห่วงหรอก เพราะเขาเก่งมาก เป็นเผ่าวิญญาณประเภทสิงเกราะที่เลเวลสูงถึง 400 เอาพวกผู้กล้ามารุม ยังเอาไม่ลงเลย พลังป้องกันเขาเป็นลองแค่มุเอมะ และด้วยที่เป็นเผ่าวิญญาณ ต่อให้ร่างกายที่เป็นชุดเกราะถูกทำลายไป ก็ยังย้ายไปสิ่งร่างสำรองที่เตรียมไว้ได้ทันที ถ้าไม่โดนสาดด้วยเวทแสงหรือเวทศักดิ์สิทธิ์ระหว่างย้ายร่าง เขาไม่มีทางตายโดยเด็ดขาด นอกจากนี้ยังมีสกิลที่เหมาะกับการอารักขาด้วย แต่เจ้าเพนกวินเนี่ยสิ
เพนกวินที่เป็นลูกน้องของเจ้าหญิงโช มีเลเวลเฉลี่ยอยู่ที่ 10 เท่านั้นเอง ถึงจะฉลาดและช่วยงานทั่วไปได้ แต่จะให้มาสู้นี้ผมว่ามันไม่น่าจะไหว แต่เวเนซ่าหัวเราะ และบอกว่าถ้าผมประมาทแบบนี้ จะโดนพวกเพนกวินฆ่าเอาได้ เพราะเพนกวินเองถูกนับเข้าวงศ์วานอารักษ์ของเผ่ามังกร ทำให้มันได้รับความสกิลพิเศษที่เรียก ร่างที่แท้จริง สรุปคือตอนนี้มันเป็นร่างที่ใช้ทำงานเอกสารและรับใช้ แต่เวลาสู้เพนกวินจะใช้สกิล ร่างที่แท้จริง ซึ่งรูปร่างมันไม่ต่างจากอสูรกายยักษ์ เพียงแค่ตัวเองก็ถล่มเมืองได้สบายๆ แล้ว แถมนี้อยู่กันเป็นโขยง คนที่มาหาเรื่องพวกเพนกวินก็เท่ากับมารนหาที่ตายชัดๆ
ส่วนคนที่ไปฝึก ในนั้นมีคนที่ตั้งท้องลูกของผมอยู่ ผมเลยจะห้าม แต่เวเนซ่าเองก็บอกต่อว่าไม่ต้องเป็นห่วง มุเอมะเตรียมจัดการเรื่องนั้นไว้แล้ว คนที่ท้องอยู่
จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ แถมในดันเจี้ยนเองก็เข้าออกได้ตลอด ถึงคนที่ต้องคลอดลูกจะไม่สามารถไปถึงระดับ 500 ได้ แต่ก็น่าจะได้อะไรกลับมาบ้างจากดันเจี้ยนจำลอง
ด้านสาวๆ ที่ผมไปทำให้ท้องไปทั่ว เมยอาเองก็เตรียมรับเรื่องนี้ไว้แล้ว ด้วยการไปสอบถามความสมัครใจ ซึ่งจะแบ่งเป็นกรณีๆ ไป แต่ทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด และถ้าใครอยากให้ผมรับผิดชอบ ผมก็พร้อมจะเลี้ยงดูทั้งแม่และลูก เพียงแต่คิดว่าไม่มีหรอก เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงโยนลูกตัวเองเข้าเป็นเผ่าปีศาจ
กำหนดการเดินทางนั้นเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ เพราะมันคือพรุ่งนี้เช้าเลย เหตุที่ต้องให้รีบไป เพราะว่าทุกคนจะต้องไปเตรียมความพร้อม ที่ปราสาทจอมมาร
ก่อนประมาณหนึ่งอาทิตย์ โดยระหว่างนั้นมุเอมะจะคอยฝึกให้กับทุกคนด้วยตัวเอง
ถึงแม้ผมจะเป็นกังวลหลายอย่าง แต่เวเนซ่าบอกว่าให้ผมวางใจ เพราะทุกอย่างเตรียมการไว้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะที่ไปอยู่ที่ปราสาทจอมมาร จะมีมุเอมะกับปีศาจระดับสูงคอยดูแลใกล้ชิด ถ้าไม่ใช่หายนะระดับที่เหนือกว่าอลิซาเบธ ไม่มีทางที่จะทำอันตรายพวกเธอได้ และถึงเกิดมีจริงๆ เธอก็จะกลับไปช่วยได้ในทันที
“ส่วนพวกเราก็ต้องออกเดินทางเหมือนกัน ฉันจะฝึกสำนึกแห่งศาสตร์ให้ระหว่างที่เดินทางไปตามล่าพวกออร์คเผ่าต่างๆ”
“…เวเนซ่า ผมขอเวลาสักเดือนหนึ่งได้ไหม ไม่สิ แค่ครึ่งเดือนก็พอ”
“ทำไมเหรอ?”
“มีปัญหาที่ผมยังจัดการไม่เสร็จ”
“…อ้อ เจ้าพวกนั้นสินะ”
“รู้ด้วยเหรอ”
“ไม่รู้ก็แปลกล่ะ เอาเถอะจะให้ช่วยอะไรก็บอกล่ะกัน แต่บอกไว้ก่อนนะ ฉันเคยขยี้เจ้าพวกนั้นไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ตัวตนของศัตรูจริงๆ มันจับต้องหรือทำลายไม่ได้ด้วยสิ ลำบากหน่อยนะ”
“เรื่องนั้นคิดไว้แล้วล่ะ ผมเลยขี้เกียจไปยุ่งกับพวกมันไง”
“ฮ่าๆๆ แต่จะหนีก็หนีไม่พ้นสินะ”
เจ้าพวกนั้นที่ผมกับเวเนซ่ากำลังพูดถึงกันอยู่ ก็คือพวกโบสถ์ใหญ่ เพราะป่านี้พวกกรอเรียคงไปแจ้งให้ทางนั้นรู้แล้ว ไม่สิเผลอๆ ข่าวทางนี้น่าจะไปถึงไหวกว่า
ซะอีก บวกกับคดีเก่าที่ผมทำไว้กับอาร์คบิชอปเรเดีย ผมว่าทางโบสถ์ใหญ่จะต้องมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่แน่ และผมก็กำลังรอดูการเคลื่อนไหวนั้นอยู่
เหตุที่ผมช่วยซารีพัฒนากิลนักผจญภัย เพราะผมเสียเกราะป้องกันตัวอย่างโบสถ์ของกรอเรียไป ทำให้ต้องทิ้งแผนเก่าและเริ่มหาทางอื่นแทน ซึ่งที่พอจะใช้แทนกันได้ก็คือกิลนักผจญภัย
และนี้จะเป็นเกราะที่ต่างขั้วกว่าเดิม จากที่ใช้กรอเรียเป็นเกราะขั้วบวกเพื่อชนกับโบสถ์ใหญ่ที่เป็นขั้วบวกเหมือนกัน ทำให้ไม่เกิดการปะทะกัน แต่คราวนี้ผมใช้ซารีและกิลของเธอ ซึ่งเป็นขั้นลบ เมื่อมันมาเจอกับขั้วบอกของโบสถ์ใหญ่ มันจะพุ่งชนกันจนแหลกลาญ
จากเดิมที่กิลนักผจญภัยไม่อยากยุ่งกับโบสถ์ใหญ่ ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นองค์กรที่ใหญ่กว่า และ
กลัวตัวเองจะพ่ายแพ้แต่อย่างใด เพียงแต่กิลนักผจญภัยมองโบสถ์ใหญ่เป็นลูกค้ารายหนึ่ง เลยพยายามรักษาระดับความสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์เอาไว้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
เพราะผมคือถังผลิตเงินเดินได้ กิลผจญภัยไม่ต้องการเสียผมไปอย่างแน่นอน ซํ้าเควสเกินกว่าครึ่งในตอนนี้ ก็มาจากนโยบายที่ให้การสนับสนุนที่ผมตั้งขึ้นมา เกิดผมหลุดออกจากตำแหน่งเจ้าเมือง นโยบายก็ต้องยกเลิก และเควสก็จะหายไปจากกิลครึ่งหนึ่งในพริบตาเดียว เพราะงั้นต่อให้ต้องเสียอะไร กิลนักผจญภัยก็ต้องทำทุกวิถีทางที่จะรักษาเก้าอี้ผมเอาไว้
นอกจากนี้ผมยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเอาไว้ ด้วยการออกทุนและวางแผนจัดสร้างโรงเรียนนักผจญภัยขึ้นมา ซึ่งตัวผมที่เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งไม่ได้รับ
ผลประโยชน์อะไรเลย รายได้และผลประโยชน์ทั้งหมดจากโรงเรียนจะตกไปที่กิลนักผจญภัยทั้งหมด การกระทำที่ไม่แสวงหากำไร มันช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผมในสายตานักผจญภัย นั้นทำให้พวกเขาเต็มใจช่วยเหลือผม
นักวางแผนที่ดีต้องไม่เอาอารมณ์เข้ามาเป็นบรรทัดฐานในการคิด นั้นคือเหตุที่ผมเลือกจะให้อภัยกับซารี ถึงแม้เธอจะทรยศผม เพราะเธอยังมีประโยชน์ ไม่เหมือนพวกหัวหน้ากิลคนอื่นๆ ที่จะมีหรือไม่มี ก็ไม่ต่างกันเท่าไร ถึงขาดไปก็หาคนใหม่มาแทนได้ ตรงกันข้ามกับซารี ความสามารถ ประสบการณ์ ชื่อเสียง กระทั่งร่างกาย ทุกอย่างของซารีมีประโยชน์เอามาใช้ได้หมดเลย และผลของการตัดสินใจเลือกของผมครั้งนี้ มันกำลังจะผลิดอกออกผลแล้วในไม่ช้านี้
วันรุ่งขึ้นหลังจากส่งพวกสาวๆ ไปปราสาทจอมมาร ในสภาพที่ลํ่าลากันจนนํ้าตาท่วมทุ่งแล้ว ผมก็รอประจำการที่คฤหาสน์ ส่วนซารีก็กลับไปทำงานที่กิลตามปกติ
“ตอนนี้ว่างๆ อยู่มาเริ่มกันเลยดีกว่า”
“เริ่มอะไรเหรอ?”
“ก็เริ่มทำให้ Lust mastery ของนายกลับมาไง”
“…พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมว่ามันแปลกล่ะ ช่วงนี้ผมก็มีอะไรพวกสาวๆ ทุกวันเลยนะ แถมจำนวนครั้งที่ทำต่อวันก็ค่อนข้างเยอะ แต่ไม่เห็น Lust mastery จะกลับมาเลย”
“เจ้าโง่ มันไม่เกี่ยวกับจำนวนครั้งที่ทำสักหน่อย”
“เอ๋? แล้วมันเกี่ยวกับอะไรล่ะ”
“…ความพึงพอใจ”
“???”
ผมทำหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เพราะสำหรับผมก็ต้องพึงพอใจที่ได้ทำกับพวกสาวๆ อยู่แล้ว
“อธิบายไปก็เสียเวลา ฉันเลยไปตามตัวช่วยมาให้แล้ว”
เวเนซ่าพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีแขกมาหา เดเม่เลยเป็นคนเดินอออกไปรับแขกให้ ซึ่งคนที่มาก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นชีเอ้
“เอ่อ ทำไมต้องเป็นชีเอ้ด้วย”
ผมถามขณะที่ชี้ไปที่ชีเอ้ที่ทำหน้างงเหมือนกัน นี้คงโดนเรียกมาแบบไม่ได้ถูกบอกอะไรไว้เลยล่ะมั่ง
“ฉันมีสกิลวิเคราะห์โครงสร้างจิตใจอยู่นะ แค่เรื่องอะไรที่ทำให้นายพึงพอใจได้ ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ”
“ด เดี๋ยวก่อน”
“โฮะๆๆ ไม่ต้องอายไปหน่อยน่า เพราะฉันเข้าใจนาย เลยรู้ว่านี้ไม่ใช่การเบี่ยงเบนทางเพศหรือรักร่วมเพศ แต่เพราะจิตใจของนายตอบสนองต่อความเย้ายวน ในแบบเพศตรงข้ามที่มาจากอีกฝ่าย สรุปก็คือ ในสายตาของนาย ชีเอ้น่ะดูน่ารักน่าอึบเหมือนผู้หญิงไงล่ะ”
ผมเถียงเวเนซ่าไม่ออกเลย นี้เธอวิเคราะห์โครงสร้างจิตใจผมได้จริงๆ เหรอเนี่ย รู้สึกเหมือนโดนแอบเข้ามาดูความลับอย่างไงไม่รู้สิ
ส่วนชีเอ้พอได้ยินที่เวเนซ่าพูด ตรงชายกระโปรงบริเวณหว่างขาก็นูนออกมาเล็กน้อย…นี้ถึงกับพร้อมรบเลยเหรอ
“เอา อีกฝ่ายก็พร้อมแล้ว จะรอช้าอยู่ทำไม”
เวเนซ่าสั่งพร้อมกับจับผมแก้ผ้าทันที ส่วนซานูน่าก็ทำงานเข้าขากับเวเนซ่ามาก ตอนนี้เธอไปเลื่อนเก้าอี้อีกตัวมา ให้ชีเอ้นั่งลง โดยเธอจับขาทั้งสองข้างยกขึ้นโน้มไปทางด้านหลัง ทำให้ผมเห็นส่วนล่างของชีเอ้ชัดถนัดตา
ดุ้นเล็กๆ น่ารักของชีเอ้กำลังสั่นกระตุกอยู่ในกางเกงในสีชมพูแบบซีทรู ถึงวันนี้จะเป็นแบบเอวตํ่า แต่ดุ้นก็ยังซ่อนตัวอยู่ในกางเกงในได้อย่างมิดชิด แต่เพราะมันค่อนข้างรัดและเป็นแบบซีทรูเลยเห็นรูปทรงได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกับเดเม่ก็ไปดึงเสื้อคลุมที่เหมือนชุดวันพีชออก จนเหลือแต่บราที่เข้าชุดกับกางเกงใน ถึงแม้ชีเอ้จะไร้ซึ่งหน้าอก แต่บราก็ดูเข้ากับตัวเธอดี ถึงเธอจะมีส่วนที่เป็นผู้ชายที่กำลังแข็งตุงอยู่ในกางเกงใน แต่มันยิ่งทำให้ดูอีโรติกเอามากๆ
ผมเดินเข้าไปหาพร้อมกับวางดุ้นที่ขนาดต่างกัน ราวเหมือนไม้จิ้มฟันกับกระบอกไฟฉาย ผมเริ่มถูดุ้นไปเบาๆ ทว่าชีเอ้กับเกร็งกระตุก และพ่นนํ้าจนซึมผ่านกางเกงในออกมา กางเกงในซีทรูที่เปียกยิ่งทำให้เห็นดุ้นสีชมพูอ่อนๆ เหมือนผิวเด็กของซีเอ้ชัดขึ้น ซึ่งตอนนี้มัน
กำลังอ่อนตัวลง ซีเอ้ทำหน้าเสียใจออกมาทันที เพราะเธอตื่นเต้นเกินเลยเสร็จเร็วไปหน่อย แถมยังไงก็หนีพ้นความเป็นชายไม่ได้ ทำให้เธอไม่สามารถทำให้มันกลับมาแข็งได้ และผมเองก็ไม่อยากทำให้สภาพที่ชีเอ้ไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย
“ฮุฟุๆๆ ไม่ต้องห่วง มีซานูน่าอยู่ด้วยซะอย่าง”
เวเนซ่าหัวเราะพร้อมกับส่งสายตาไปให้ซานูน่า แต่เธอก็ไม่ได้ขยับตัวทำอะไร ที่ขยับมีเพียงดุ้นของชีเอ้ที่กำลังมาแข็งได้อีกครั้ง แต่ผมรู้ว่าซานูน่าทำอะไร เพราะผมได้กลิ่นฟีโรโมน ซึ่งกลิ่นนี้คงจะไปกระตุ้นชีเอ้โดยตรง แถมยังจะดูแรงไปหน่อยด้วยซํ้า เพราะชีเอ้ทำหน้าเหมือนเสี้ยนจัด และรีบแหวกขอบกางเกงในออกโชว์รูก้นของเธอให้ผมเห็นทันที
จากนั้นผมก็ปฏิบัติการทะลวงก้นชีเอ้ จนทำให้ร่างกายเล็กๆ และแสนบอบบางนั้นบิดเบี้ยวไปมา เสียงร้องน่ารักราวกับดารา AV ซึ่งดังในช่วงแรกค่อยๆ เบาเสียงลงไปทุกครั้งที่เธอเสร็จ จนสุดท้ายกลายเป็นแค่เสียงหอบหายใจ จำนวนครั้งที่ชีเอ้เสร็จนั้นมากกว่าสิบครั้งไปแล้ว ปริมาณอสุจิที่หลั่งออกมาตอนครั้งล่าสุดนับเป็นหยดได้ คงพ่นออกมาจนหมดไข่แล้วแน่ๆ ส่วนผมเสร็จไปแล้วรอบหนึ่ง และนํ้าเชื้อก็ลงไปอยู่ในท้องชีเอ้ทุกหยด
“เอ่อ คิดว่ามากกว่านี้จะเป็นอันตรายต่อร่างกายแล้วล่ะค่ะ”
ซานูน่าเตือนขึ้นมาขณะมองสำรวจตัวชีเอ้ ที่ถึงจะยังมีสติอยู่แต่จิตใจถูกเผาไหม้ไปด้วยไฟราคะแล้ว
“เป็นไง ได้ Lust mastery คืนมาหรือยัง”
เวเนซ่าถามขึ้นขณะที่ผมถอนดุ้นออกมาจากตูดของซีเอ้ จนเกิดเสียงที่ฟังดูน่ากลัวขึ้นมา รูตูดของชีเอ้บานออกจนหุบไม่ลง เดเม่รีบเข้ามาเช็ดทำความสะอาดให้ทันที ถึงจริงๆ ผมจะใช้คลีนนิ่งทำความสะอาดได้ แต่เดเน่ชอบทำความสะอาดให้ผมด้วยมือเธอเองมากกว่า โดยเฉพาะตอนได้ขัดถูจรวดของผม สีหน้าเธอจะเคลิ้มไปเลย ส่วนสำหรับคำถามของเวเนซ่า ผมได้เพียงแค่ส่ายหน้าแทนคำตอบ
“อืม…ยังไม่พอสินะ ซานูน่าเจ้าหนูนี้ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานไหม”
“เอ่อ จากสภาพแบบนี้คงเป็นเดือนๆ น่ะค่ะ กว่าจะกลับมามีเช็กส์ได้ แต่นั้นไม่น่าห่วงเท่ากับสภาพ
ของทวารหนักหรอกค่ะ จากนี้ไปคงควบคุมการขับถ่ายไม่ได้แน่ ต้องใส่ผ้าอ้อมไปอีกนานเลย น่าสงสารจริงๆ”
ซานูน่าที่เป็นซักคิวบัสยังรู้สึกขนลุกกับภาพที่ได้เห็น ขณะที่พูดไปยังใช้มือปิดก้นตัวเองไปด้วยเลย
“ไอ้เจ้าบ้านี้เล่นซะพังเลยเหรอ ดุ้นของแกมันเป็นสัตว์ประหลาดหรือไงห่ะ!”
เวเนซ่าบอกพร้อมกับหันมาตบใส่ดุ้นผม แต่เพราะแรงเหวี่ยงกับทำให้ดุ้นผมสะบัดกลับมาฟาดเข้าเต็มหน้าของเวเนซ่าจนทรุดลงไปกับพื้น…แล้วทำไมต้องทำสีหน้าฟินขนาดนั้นด้วยฟ่ะ!
งานนี้ไม่ใช่แค่ผมทำชีเอ้พังหรอก แต่ผมทำเธอเกือบตายด้วย เพราะพลัง Hp ของเธอลดลงไป
ตลอดระหว่างที่โดนผมกระแทกใส่ ดีที่เวเนซ่าสังเกตเห็นและใช้สกิลรักษาเธอไว้ให้เป็นระยะ
“จะหาพวกผู้ชายที่จิตใจเป็นผู้หญิง แถมรูปร่างแบบนี้ก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ซะด้วย เผลอๆ เจ้านี้จะมีตัวเดียวในโลกด้วยซํ้านะคะ”
ผมเห็นด้วยกับที่ซานูน่าบอก เพราะระดับความเป็นสาวดุ้นของชีเอ้เกิดระดับสูงสุดไปแล้ว รูปร่างของเธอทั้งนุ่มนิ่มขาวใสและมีส่วนเว้าส่วนโค้งเหมือนผู้หญิง แถมขนก็ไม่มีจนเรียกได้ว่าไม่มีฮอโมนของเพศชายอยู่เลย ที่สำคัญเสียงของเธอก็ฟังดูไพเราะเร้าอารมณ์ยิ่งกว่าผู้หญิงจริงๆ ซะอีก และถ้าเกิดไม่มีไข่สองฟองนั้นอยู่ มองผิวเผินอาจทำให้คิดว่าเธอแค่เป็นผู้หญิงที่ปุ่มคริใหญ่กว่าปกติเท่านั้น ขนาดผ่าตัดแปรงเพศยัง
ไม่ได้เท่านี้เลย พอคิดแบบนั้นแล้วผมกับซานูน่าก็พากันถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“…ช่วยไม่ได้แฮะ สงสัยต้องใช้วิธีสุดท้ายแล้ว”
“ยังมีอีกเหรอ!”
“มี แต่เป็นวิธีที่ไม่ค่อยดีเท่าไร และนายอาจจะไม่ชอบใจด้วย”
“งั้นขอปฏิเสธ”
“เฮ้ย! ยังไม่ทันบอกเลยว่าวิธีอะไร”
“ก็เห็นชัดๆ ว่าเป็นวิธีที่เป็นมลภาวะต่อจิตใจของผม”
“แค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า”
“…งั้นว่ามา จะใช้วิธีไหน”
“ให้ซานูน่าระงับการทำงานบางส่วนของนาย”
“ส่วนไหน”
ผมเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วสิ
“ความรัก”
“หา!? แล้วนั้นมันเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย ผมงงแล้วนะ”
“เจ้าเด็กไร้เดียงสา ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ว่านายน่ะชอบใส่ความรักลงไปในการมีเซ็กส์!”
“!!!”
“ความรักจะสร้างกำแพงขวางสัญชาตญาณดิบของนายเอาไว้ และจะมีเซ็กส์โดยใช้ความพึ่งพอใจของอีกฝ่ายเป็นที่ตั้ง เข้าใจไหม คำว่าของ
อีกฝ่ายน่ะ ไม่ใช่ของนาย ตะกี้ก็เหมือนกันถึงจะเหมือนว่านายใส่แบบเต็มที่จนไม่สนใจอีกฝ่ายก็เถอะ แต่นายก็ยังปรับแรงและชะลอเป็นบางครั้งอยู่ และยังเก็บงำความต้องการส่วนลึกสุดของตัวเองเอาไว้ เพราะนายกลัวว่านายปล่อยมันออกมาจะเป็นการทำร้ายคนที่นายรักหรือทำให้คนอื่นเกลียด”
อีกครั้งที่ผมเถียงไม่ออก
“เข้าใจแล้วหรือยังล่ะ ว่าความรักไม่ใช่เซ็กส์ บางครั้งความรักนอกจากจะไม่ช่วยเติมเต็มความต้องการทางเพศแล้ว มันยังเป็นเครื่องกีดขวางทำให้นายรู้สึกเก็บกดด้วย อ้อ แต่บางครั้งความรักมันก็จะเพิ่มความอร่อยในการมีเซ็กส์ได้เหมือนกันนะ ถ้านายโชคดีพอจะเจอคนที่มีรสนิยมทางเพศตรงกัน เพียงแต่สำหรับ
นายฉันว่ายาก ไม่สิ ไม่มีใครรับเซ็กส์ดิบๆ ที่นายซ่อนเอาไว้ได้หรอก”
“…ถ้ารู้แล้วยังจะใช้วิธีนี้อีกเหรอ”
“ฮุๆๆ ต้องบอกว่าใช้วิธีนี้ได้ เพราะมีฉันอยู่ล่ะนะ”
“เหอะๆ ไม่ไหวหรอกน่า”
“เรื่องนั้นฉันเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่ใช่นาย ถ้าเกิดไม่ไหวจริงๆ ฉันยังใช้กำลังหยุดนายได้อยู่นะลืมแล้วเหรอ”
“…ก็จริงนะ แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรรุนแรงกับเธอบ้าง”
“นั้นแหละที่ต้องการ ใส่มาเต็มที่เลย ให้สมกับที่ฉันรอคอยมานานแสนนานทีเถอะ”
…ผมพยักหน้ารับ ทั้งๆ ที่ใจหนึ่งก็ร้องห้ามตัวเองเอาไว้ แต่อีกใจมันก็คึกคะนองราวกับกำลังรอช่วงเวลานี้อยู่เช่นกัน สุดท้ายผมเลือกที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากกรง
พอเห็นผมตกลงซานูน่าก็เริ่มลงมือทันที แต่พอผมถูกสกิลของเธอแทรกแซงเข้ามาในตัว สถานะจอมมารก็เริ่มทำงานเพื่อต่อต้านทันที แต่ผมสั่งปิดมันเพราะนี้คือความสมัครใจของผมเอง
ตัวผมค่อยๆ รู้สึกว่าบางอย่างกำลังหายไปจากตัวเอง ความรู้สึกบางอย่างหยุดทำงาน สมองผมคิดน้อยลง ผมรู้สึกตัวแต่ควบคุมตัวเองไม่ได้…ไม่สิ ไม่เหลือเจตจำนงในการควบคุมตัวเองอยู่แม้แต่เศษเสี้ยว ดูเหมือนซานูน่าจะไม่ใช่แค่หยุดความรู้สึกรักของผม แต่
เป็นการหยุดการทำงานของความมีเหตุมีผล ความชั่งใจ ศีลธรรม รวมถึงความเป็นมนุษย์ด้วย
ผมรู้แล้วว่าอะไรที่อยู่ข้างในตัวผม มันคือสัตว์ รากฐานของสิ่งมีชีวิตทีมีความต้องการอันแรงกล้า วิญญาณที่สะท้อนถึงความต้องการในมีการมีชีวิตและความรุนแรง
ร่างกายผมเริ่มขยับ มันพุ่งตรงเข้าไปหาเวเนซ่าทันที ราวกับเธอเป็นอาหารที่ดูน่าอร่อยที่สุด ในแววตาของผมเห็นสีหน้าที่ดูตกใจและหวาดกลัวของเธอขึ้นมา รอยยิ้มที่ดูเฉิดฉายและมั่นใจในตัวเอง…หายไปแล้ว
เสียงร้องของเวเนซ่าดังสะนั่น แต่เสียงนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกดีและยิ่งบ้าคลั่งกว่าเดิม แต่ถามกลาง
เสียงร้องนั้น ก็มีเสียงที่น่ารำคาญมาคอยขัดจังหวะเป็นพักๆ
--เงื่อนไขครบถ้วน ได้รับสกิล Adjust Sex Power--
--เงื่อนไขครบถ้วน ได้รับสกิล Absorb Sex Energy--
--เงื่อนไขครบถ้วน ได้รับสกิล Protection of Sex--
--เงื่อนไขครบถ้วน ทำการรวมสกิล Adjust Sex Power-Absorb Sex Energy-Protection of Sex ได้รับสกิล Sex Master--
--เงื่อนไขครบถ้วน ได้รับสถานะร่วมกับมหาบรรพกาลอสูร Baphomet--
....

ความคิดเห็น

  1. ขอบคุณจ้า อาทิตย์ที่แล้วอดอ่านเบย

    ตอบลบ
  2. เมื่อเช้านั่งอ่านเพลินจนเกือบลืมเวลาออกจากบ้านไปทำงานกันเลยทีเดียว

    ตอบลบ
  3. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  4. อาทิตย์นี้จะมาไหมเนี้ย

    ตอบลบ
  5. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

      ลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...