ตอนที่ 102 จุดปะทะครั้งแรก
ช่วงที่ทุกคนหลับ ผมก็ลุกออกไปจากค่าย เพราะยังมีเวลาอีกพอสมควรกว่าจะเช้า ผมเลยว่าจะไปดูสถานการณ์ที่ชั้น 11 ก่อน ถ้ามันเลวร้ายมาก ผมอาจไม่พาพวกสาวๆ ลงไป
ส่วนห้องบอสก็ไม่ได้กว้างมาก เดินแค่สิบนาทีก็ไปถึงทางลงชั้นต่อไปแล้ว
ที่ชั้น 11 ตามข้อมูลของมอเรีย มันสุสานแบบขั้นบันได จะต้องไต่ไปทีละขั้นจนไปถึงยอด ทางลงชั้นต่อไปจะเป็นทางลับที่ซ่อนอยู่ในหลุมศพขนาดใหญ่
แต่เพราะมันเป็นพื้นที่แบบนี้ พอใครเข้ามาที่ชั้นนี้ พวกยามรักษาการณ์จะรู้ทันที แค่พอโผล่ไปแปบเดียวก็มีอัศวินของโบสถ์ใหญ่กับนักผจญภัยกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามาหาแล้ว
“พื้นที่ในชั้นนี้ไม่ว่างแล้ว กลับไปซะ!”
โห เล่นไล่กันเลยเหรอ แบบนี้สินะพวกที่ชั้น 9 ถึงได้แน่นกันเป็นปลากระป๋อง แต่พอไปรอบๆ แนวสุสานมันยาวมาก จนมองไม่เห็นปลายสุดของด้านเลย
“เอ่อ ชั้นนี้มันก็กว้างนะครับ ต่อให้มีคนเป็นพันๆ คนก็เฝ้าจุดเกิดได้ไม่ครบหรอก แบ่งให้ผมหน่อยไม่ได้เหรอ”
“พวกเราไม่ได้เฝ้า แต่ใช้วิธีคลุมพื้นที่หนึ่งแถวต่อหนึ่งทีม เพราะงั้นถึงนายจะเดินหาก็ไม่เจอมอนสเตอร์หรอก”
นักผจญภัยอธิบายให้ฟัง นํ้าเสียงน่าฟังกว่าอัศวินของโบสถ์ใหญ่ที่เห่าออกมาตอนแรกซะอีก
แต่แบบนี้เอง ใช้นักผจญภัยหนึ่งทีม เดินไล่เก็บมอนสเตอร์ตามขั้นบันไดที่ตัวเองอยู่ ไม่ต้องเดินขึ้น
ลงให้เสียแรง และวิธีนี้ยังเก็บพวกมอนสเตอร์ได้เร็วและเป็นระเบียบกว่าด้วย
“แบบนั้น ผมขอผ่านทางเฉยๆ ล่ะกันครับ”
“ผ่านไปก็เท่านั้นแหละ ที่ชั้น 12 มีปาร์ตี้หลักของอาร์คบิชอปอยู่ มอนสเตอร์ทั้งชั้นก็ถูกจองไว้หมดแล้ว”
“แต่ชั้น 12 ยังสำรวจไม่ครบนะครับ ทางลงไปชั้นต่อไปก็ยังหากันไม่เจอ”
“มันก็ใช่แต่ว่า”
นักผจญภัยทำท่าลำบากใจที่จะอธิบาย อัศวินเลยแทรกขึ้นมา
“ห้ามแกไปรบกวนท่านอาร์คบิชอป ถ้าไม่ได้เข้าปาร์ตี้เพื่อสู้ให้ท่านอาร์คบิชอปแล้วจงไสหัวไปซะ”
“…ดันเจี้ยนเป็นพื้นที่ส่วนรวมนะครับ ถึงจะเป็นเรื่องที่ยอมรับกันว่า ใครมาก่อนได้ก่อน แต่พื้นที่ชั้น 12 ยังสำรวจไม่ครบ พวกผมเองก็มีสิทธิ์จะเข้าไปสำรวจพื้นที่นั้น”
ผมพยายามจะใช้เหตุผลอย่างสุภาพที่สุดแล้วนะ แต่ไม่รู้ทำไมเจ้าอัศวินถึงถอดหมวกออก แสดงใบหน้าที่มีหนวดยาวรุงรังด้วยความโกรธจัดก็ไม่รู้
“แกอ้างสิทธิ์อะไรของแก! ที่ที่ท่านอาร์คบิชอปสถิตอยู่ คือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ที่หมาสกปรกอย่างแกจะเหยียบเข้าไปได้! นี้เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย ไสหัวไปซะ!”
อัศวินหนวดตะคอกใส่ จนผมต้องโยกหัวหลบนํ้าลายที่กระเด็นมา จากนั้นก็ค่อยๆ บรรจงหยิบเอาบัตรประจำตัวนักผจญภัยออกมา ผมเลื่อนนิ้วไปบนบัตร และมันก็ส่องแสงเป็นตัวอักษรลอยขึ้นมา นี้คือกฎของกิลนักผจญภัยที่ถือว่าเป็นกฎเหล็กที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
“กฎข้อที่ 9 พื้นที่ของดันเจี้ยน ถือเป็นพื้นที่อิสระไม่ว่าใครก็สามารถเข้าไปได้ แม้จะทำการยึดพื้นที่เป็นของตัว ก็ห้ามมิให้เหนี่ยวรั้งหรือขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นผ่านทางไป”
ผมยังอ่านไม่ทันจบ อัศวินหนวดก็ชักดาบออกมาฟันใส่ผมแล้ว แต่ผมไม่ได้หลบเพราะเห็นว่านักผจญภัยที่มาด้วยพยายามหยุดให้
“อย่าลงมือครับ! ถ้าเขาตาย ถึงคุณจะเป็นอัศวินจากโบสถ์ใหญ่ แต่ก็จะถูกกิลตั้งค่าหัวอย่างแน่นอน”
ไม่ๆ ไม่ต้องถึงกิลหรอก แค่พวกสาวๆ รู้ โบสถ์ใหญ่ก็โบสถ์ใหญ่เถอะ โดนถล่มราบแน่
“นายเองก็ช่วยกลับไปก่อนเถอะ อย่ามีปัญหากับพวกนี้เลย”
“ไม่ได้หรอกครับ ถ้ายอมให้ครั้งหนึ่งก็ต้องยอมให้ตลอดไป ผมไม่ใช่คนประเภทนั้นซะด้วย แต่ว่าวันนี้ผมจะเห็นแก่ความสุภาพของพวกคุณ จะกลับไปก่อน แต่พรุ่งนี้เช้าผมจะพาปาร์ตี้กลับมา ช่วยกรุณาอย่าขวางทางด้วย พวกผมแค่จะผ่านไปชั้น 12 และไม่อยากมีปัญหาด้วย ทว่าถ้ายังไม่ยอม ผมก็ขอทำตามกฎพิเศษของนักผจญภัยแล้ว”
พอบอกเสร็จผมก็หันหลังกลับทันที ไม่ได้ฟังที่อัศวินหนวดมันเห่าหอนอยู่ข้างหลังหรอก
ส่วนกฎพิเศษของนักผจญภัยที่ว่า ก็ไม่มีอะไร เป็นแค่มาตรการลองรับกรณีที่มีใครละเมิดกฎ โดยที่นักผจญภัยจะสามารถใช้กำลังตัดสินปัญหากับคนที่ละเมิดกฎได้ และถึงแม้จะพลาดพลั้งถึงขั้นเสียชีวิต ทางกิลก็จะไม่รับการฟ้องร้องทุกรูปแบบต่อผู้ละเมิดกฎ
สรุปคือ พรุ่งนี้ถ้าผมมาแล้วยังโดนขวางอีก ได้มีนองเลือดกันล่ะ
ผมไม่ใช่คนรุนแรงอะไรหรอกนะ แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะลังเลที่จะใช้ความรุนแรงเช่นกัน เพราะที่โลกเก่าของผม สอนให้รู้ว่าบางครั้งปัญหาก็แก้ได้ด้วยกำลัง ยิ่งกลับโลกนี้แล้วยิ่งชัดเลยว่า ปัญหาแทบทุกอย่างแก้ได้ด้วยกำลัง ถ้าผมไม่ทำอะไรเลย และปล่อยไว้แบบนี้
ต่อไปพวกโบสถ์ใหญ่ก็จะยิ่งได้ใจ และทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถึงเวลาจะต้องจัดระเบียบสถานที่แห่งนี้ใหม่แล้ว
เมื่อกลับมาถึงค่ายพักก็ยังมีเวลาเหลืออีกนานกว่าจะเช้า ผมเลยเอาหนังสือออกมาอ่านฆ่าเวลา พอใกล้จะเช้าก็ลุกไปทำมื้อเช้ารอ โดยที่ผมเอาของกินที่เหลือจากเมื่อคืน มาทำเป็นอาหารสูตรเฉพาะ โดยใช้เทคนิกการปรุงแบบอาหารอิตาเลี่ยนและฝรั่งมาประยุกต์เข้าด้วยกัน ส่วนจะเรียกว่าอะไรผมยังไม่ได้ตั้งชื่อหรอก แต่ที่บ้านเรียกว่า ซีฟู๊ดซีส
วิธีทำก็ไม่ยาก เอาเปลือกหอยจากเมื่อคืนมาล้างให้สะอาด แล้วเอาเนื้อปลา ปลาหมึก หอย กุ้ง มาผัดรวมกัน ปรุงรสด้วยเครื่องเทศ ให้มีรสและกลิ่นหอมพอประมาณ จากนั้นก็นำไปจัดวางบนเปลือกหอยที่ล้างแล้ว และวางทับด้วยซีส ใช้ไฟเบาๆ ให้ซีสอ่อนตัวแต่อย่า
ให้ละลาย ราดทับด้วยซอสเพิ่มความสวยงามกับรสชาติอีกหน่อย เท่านี้ก็พร้อมเสริฟสามารถกินได้แบบพอดีคำ
นอกจากนี้ยังมีขนมปังกระเทียมกับซุปเห็ดอยู่ในชุดด้วย
พอทุกคนตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นหอมของซีส ก็สะลืมสะลือมานั่งกันที่โต๊ะ แต่พอเห็นอาหารรูปร่างแปลกตาเท่านั้นแหละ ตาสว่างกันหมดเลย
ผมสอนวิธีกินให้ ซึ่งก็ไม่ยากอะไร จะใช้ช้อนตักหรือหยิบเอาเข้าปากเลยก็ได้ เพราะมันเป็นกึ่งอาหารกินเล่นอยู่เหมือนกัน
พวกสาวๆ ชื่นชอบซุปเห็ดกันมาก เพราะทั้งความข้นและรสชาติต่างจากซุปแบบของญี่ปุ่น ถ้าให้เทียบแล้ว ซุปแบบญี่ปุ่นเหมาะกับการกินคู่ไปกับข้าว แต่ซุปเห็ดเหมาะจะเป็นอาหารจานเดียวมากกว่า เพราะมี
รสชาติเข้มข้นมากเกินไปจนทำลายรสชาติอาหารจานหลักที่กินคู่กัน ในภัตรตาคารหลังจากเสริฟซุปสไตล์ตะวันตกแล้ว เลยจะต้องเว้นระยะก่อนจะเสริฟจานต่อไป
แต่พวกโกร่านี้กินล้างกินพล่านอย่างที่คิด ผมเลยเตรียมพวกอาหารที่เน้นปริมาณเอาไว้แล้ว นั้นก็คือข้าวพัด แต่คราวนี้ใช้ปลากับกุ้งแทนไก่หรือเนื้อ แต่ขนาดทำไว้ตั้งสองหม้อ ทุกคนก็ยังกินกันหมด แต่ดีแล้วเพราะวันนี้คงต้องใช้แรงกันเยอะหน่อย
หลังมื้อเช้าผมก็เล่าสถานการณ์ที่ไปเจอมาเมื่อคืน แน่นอนว่าพวกโกร่าไม่แปลกใจอะไร เพราะคิดว่าต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
“ผมจะกลับลงไปอีก ถึงจะหวังไว้ลึกๆ ว่าพวกนั้นจะไม่มาขวางทาง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นผมก็จะลงมือ
กับพวกนั้น เพราะงั้นถ้าใครไม่อยากจะไป ก็ให้รออยู่ที่นี้นะ อีกสองสามวันผมจะกลับมารับ”
พอผมบอกออกไปก็ไม่มีใครคิดจะถอนตัวเลย ไม่ถามเหตุผลหรือพยายามกล่อมผมด้วย พวกเธอเชื่อสนิทใจเลย ว่าถ้าเป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจจะทำ ต้องเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ ที่ต้องทำเพียงก็แค่เชื่อใจเท่านั้น
กรอเรียที่เป็นคนของโบสถ์ใหญ่ ที่ผมคิดว่าพวกเธอต้องกระโดดขึ้นมาต่อว่าอะไรผมแน่ๆ แต่กลับผิดคาด เธอเพียงลุกขึ้นมาบอกอย่างเป็นห่วง
“ระวังนะคะคุณโรมะ ถ้าไปทำอันตรายคนจากโบสถ์ใหญ่ จะถูกหน่วยเบื้องหลังตามลอบสังหารเอาได้”
“หน่วยเบื้องหลัง?”
“เป็นหน่วยนักฆ่าที่ทางโบสถ์ใหญ่เลี้ยงเอาไว้ และจะใช้ทำงานสกปรกเบื้องหลังให้ เช่นลอบสังหารหัวหน้าลัทธิที่จะขึ้นมาเทียบชั้นด้วย”
ครีเรน่าเป็นคนบอกขึ้นเอง ช่วงหลังๆ มานี้ถึงเธอจะทำท่าไม่เป็นมิตรกับผมเท่าไร แต่ก็ทำตามที่ผมบอกเป็นอย่างดี
“ฉันเองเคยถูกทาบทามให้เข้าหน่วยเบื้องหลัง เลยรู้เรื่องพวกนี้ดี”
ครีเรน่าพูดต่อเมื่อเห็นสายตาของพวกเดียวกันมองมาที่เธออย่างแปลกใจ เพราะเรื่องหน่วยเบื้องหลังเป็นความลับระดับสูงสุดของโบสถ์ใหญ่เลย ส่วนที่กรอเรียรู้ เพราะเธอเป็นขุนนางทำให้มีเส้นสายอยู่เยอะ
“ถ้าเป็นพวกมือสังหาร ผมไม่ห่วงหรอก”
มือสังหารโลกนี้จะเป็นแบบไหนก็ไม่รู้หรอกนะ แต่คงไม่เท่ากับพวกมือสังหารในเกมส์กับหนังที่โลกเก่าผมแน่ๆ เรื่องการระวังตัวผมก็ทำอยู่เป็นปกติ อาหารการกินก็จัดการเองหมด เรื่องถูกวางยาตัดทิ้งไปได้ ยิ่งถ้าแอบย่องมาแทงหลัง แบบนั้นเข้าทางผมเลย เพราะงั้นเลยไม่มีอะไรต้องห่วง
“แต่จะดีเหรอ พวกคุณเป็นคนของโบสถ์ใหญ่นะ”
“ไม่ค่ะ พวกเราเข้าใจกฎของนักผจญภัยดี จริงๆ แล้ว พวกฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมต้องปิดกั้นทั้งชั้นเอาไว้ ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย”
ดูเหมือนว่าพวกกรอเรียจะเข้าใจเหตุผลของผม อาจเพราะเริ่มสนิทกันแล้วก็ได้ แต่ถ้าลองเป็นตอนแรกที่เจอหน้ากันนี้ รับรองเข้าข้างพวกตัวเองแน่ๆ
จริงๆ ผมคิดแผนขึ้นมาทันที ตอนฟังเรื่องหน่วยเบื้องหลัง จะเป็นอย่างไงกันนะ ถ้าผมจับตัวพวกนั้นมาได้ แล้วเอามาใช้ข่มขู่พวกโบสถ์ใหญ่…ฮุๆๆ
“โรมะ นายทำหน้าชั่วร้ายแล้ว”
อาเดไลท์ถอนหายใจหลังเตือนผม ไม่ไหวๆ เดี๋ยวนี้เก็บสีหน้าลำบากจังแฮะ
แต่เอาเถอะ ตอนนี้ยังไม่แน่สักหน่อยว่าต้องปะทะกับพวกนั้น บางทีอาจจะเก่งแต่ปาก พอเห็นพวกผมเอาจริงขึ้นมา ก็ทำเป็นหลบหน้าไปก็ได้ ผมเองก็ไม่ใจร้ายขนาดจะปิดทางหนีหรอกนะ
“งั้นก็เก็บของแล้วเดินทางกันเลยเถอะ”
“ค่ะ!”
ทุกคนขานรับเป็นเสียงเดียวกัน จริงๆ พวกโกร่าจะตามไปด้วย แต่ผมห้ามไว้ เพราะปัญหานี้ผมไม่อยากให้ลามไปจนถึงคนนอก ถ้าจบแค่ตัวผมได้ก็ดี ไม่ใช่อะไรหรอก มันป้องกันง่ายกว่าถ้าศัตรูจะมุ่งเป้ามาที่ตัวเอง
ก่อนออกเดินทางก็ไม่ได้ลำลาอะไรกันมาก เพราะอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับมาทางนี้อีก และใช้เวลาแค่สิบนาทีก็มาถึงทางลงแล้ว
“ฟราน เดเม่ พวกเธอไปหลบข้างหลังก่อน”
“เอ๋!? ทำไมล่ะค่ะนายท่าน?”
“ก็พวกเธอชอบนอตหลุด เกิดโมโหแล้วลงมือเอง มันควบคุมลำบากน่ะ งานนี้ถึงผมบอกว่าอาจจะ
ต้องฆ่าพวกนั้น แต่ขอให้มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำเถอะ”
“ไม่ค่ะ! พวกหนูควบคุมตัวเองได้แล้ว ไม่ทำให้นายท่านลำบากใจแน่นอน”
“แน่ใจนะ”
“ค่ะ!”
พวกเธอขานรับอย่างจริงจังทำให้ผมปฏิเสธไม่ลง เลยปล่อยให้เดเม่เดินตามประกบข้าง ส่วนฟรานขึ้นไปเดินนำหน้าแบบเดิม
พอออกมาจากทางลง ผมก็เห็นเงาคนเคลื่อนไหวตัดเข้าหาฟรานที่อยู่หน้าสุด แต่ยังไม่ทันได้ตะโกนเตือนออกไป ฟรานก็ตอบรับได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการเหวี่ยงง้าวใส่ จนร่างเงานั้นแขนขาดทั้งสองข้าง
ตามปกติฟรานคงฝ่าขาดตัวขาดกลางไปแล้ว แต่ลงมือแค่นี้แปลว่าเข้าใจความตั้งใจของผม ที่ไม่อยากฆ่าแบบไม่จำเป็น
แต่อีกฝ่ายเล่นมาดักโจมตีตรงทางเข้าเลยเหรอ? นี้กะไม่เจรจาอะไรกันสักหน่อยเลยหรือไงเนี่ย งี่เง่าอย่างไงก็ให้มีลิมิตบ้างสิเฟ้ย
ทุกคนพอเห็นว่าโดนเล่นงานก่อน ก็ไม่ต้องรอให้ผมบอก ต่างพากันเข้าสู่โหมดรบแบบเต็มอัตราศึกกันเลย
ดอเรียกับดาเซสวิ่งนำออกไปก่อน ที่ทางเข้า มีอัศวินจากโบสถ์ใหญ่ประมาณสิบคนล้อมเอาไว้ แถมพวกนี้เก่งเอาเรื่อง Lv 50+ กันหมด เลยสามารถรับมือกับดอเรียและดาเซสได้ โดยไม่โดนชนกระเด็นแบบพวกมอนสเตอร์
ฟราน ซาคุยะกับจามิร่าเลยเข้าไปช่วยด้วย แต่ก็อยู่ในสภาพสองต่อหนึ่งอยู่ แถมด้านพลังพวกมันมีนักบวชระดับสูง ค่อยร่ายเวทสกัดการใช้สกิลเอาไว้ ทำให้ฟรานที่เป็นพวกปล่อยไม้ตายหนักๆ เป็นหลัก เกิดความเสียเปรียบขึ้นมาทันที แต่ขนาดเลเวลห่างกันเธอก็ยังใช้ความเร็วที่เหนือกว่าสู้ได้อย่างเท่าเทียมกัน
แต่ฝ่ายที่ต้องประหลาดใจกลับเป็นทางโบสถ์ใหญ่ เพราะคิดว่าจะกำจัดพวกผมได้ในทันที แต่นี้กลับกลายเป็นกำลังปะทะกันอย่างสูสี พวกอัศวินต่างรู้ตัวว่าถ้าต้องสู้ตัวต่อตัวกับคนใดคนหนึ่งของทางนี้ จะต้องแพ้อย่างแน่ๆ เลยรีบตะโกนเรียกให้ไปตามคนอื่นๆ มาช่วย
เดเม่ที่ดูสถานการณ์แล้ว ก็หยิบเอาหัวลูกศรออกมา เตรียมจะปาใส่นักบวชที่คอยสกัดการใช้ส
กิลของทางนี้อยู่ ถ้าจัดการได้ มิรินก็จะใช้เวทช่วยสนับสนุนทุกคนได้ แต่ผมยกมือห้ามไว้ เพราะนักบวชอยู่กันหลายคน ถ้าโจมตีไปคนหนึ่ง อีกคนก็จะรักษาให้ และยิ่งเพิ่มความระวังมาทางแนวหลัง
“อย่าพึ่งเดเม่ รอผมให้สัญญาณก่อน”
พอดีมีสกิลใหม่ที่อยากจะลองใช้อยู่พอดีเลย
“ยูริน พอผมใช้สกิลออกไปแล้ว ก็ตรงเข้าไปจัดการพวกอัศวินเลยนะ”
ใช่เลย ยูรินน่ะเป็นหน่วยทะลวงเกราะอยู่แล้ว กับพวกอัศวินเกราะหนาๆ น่ะ อาวุธของเธอได้ผลมากที่สุด
“เอาเลย เดเม่”
พอผมสั่ง เดเม่ก็ซัดหัวลูกศรออกไปด้วยความเร็วชนิดมองตามไม่ทัน และเข้าเป้าตรงหัวไหล่ แต่พลังทำลายได้ฉีกเอาแขนของนักบวชผู้โชคร้ายรายนั้นขาดไปเลย ผมสะอึกกับผลลัพธ์ที่เกินคาดไปหน่อย แต่ก็ไม่พลาดจังหวะที่จะใช้สกิลออกไป
“Fall of Troll”
สกิลนี้เป็นอันที่พึ่งได้มาจากอลิซาเบธ แถมเป็นสกิลขี้โกงด้วย โกงอย่างไงน่ะเหรอ สกิลนี้ส่งผลกับเป้าหมายในระยะ 200 เมตรทุกคน มีผลทำให้ทุกสกิลอยู่ในสภาพคูลดาวน์ มาน่าเองก็จะลดลงตามสกิลทั้งหมดที่ติดคูลดาวน์ สรุปคือบังคับใช้สกิลแต่ไม่เกิดผลของสกิลขึ้นมา ยังไม่พอ สกิลประเภท Passive ทั้งหมดจะอยู่ในสภาพถูกผนึกเป็นเวลาห้านาที
เพราะแบบนี้มุเอมะถึงสู้กับอลิซาเบธได้ลำบาก เพราะสกิลทั้งหมดใช้งานไม่ได้ ต้องใช้ค่าพลังเพียงอย่างเดียวฟาดฟันกับอีกฝ่าย แต่มาคิดๆ ดู สภาพแบบนั้นยังเอาชนะมาได้อีก มุเอมะนี้ก็เก่งสุดๆ เลยไปเหมือนกัน
ส่วนตอนนี้พอใช้สกิลไม่ได้จังหวะการสู้ก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะพวกนักบวชที่ตกอยู่ในสภาพมาน่าแทบจะหมด เพราะสกิลของนักบวชมีเยอะกว่า แถมแต่ละอันกินมาน่าค่อนข้างเยอะด้วย พอโดน Fall of Troll เข้าไป ก็ถึงขั้นทำอะไรไม่เป็นกันเลย
จังหวะนั้นเองยูรินก็มุดเข้าไปใกล้แล้ว การที่เธอตัวเล็กกลับมีประโยชน์อย่างมหาศาล สำหรับการสู้กับอัศวิน เพราะพวกอัศวินจะใส่หมวกเกราะ ทำให้ทัศนวิสัยแคบลง ถ้าจะมองสิ่งที่เตี้ยกว่าระดับอกของตัวเอง
ต้องก้มหน้าลงไปมอง เลยไม่มีทางที่จะเห็นยูรินที่มุดเข้าประชิดได้
และแค่หมัดเดียว หมุดเหล็กก็ยิงเจาะเกราะเข้าไปถึงภายใน นอกจากจะโดนโจมตีเข้าจุดอันตรายแล้ว แรงปะทะยังรุนแรงขนาดทำลายเกราะจนแตก ถึง Hp ไม่เยอะ แต่ก็ไม่ต่างจากการโดนโจมตีด้วย Critical Hit แถมยังโดนลดพลังป้องกันจนแทบจะเหลือศูนย์
ยูรินไม่ต้องซํ้าเป้าหมายเดิม เพราะอัศวินที่โดนเธอเจาะเกราะไปแล้ว สามารถทิ้งให้คนอื่นๆ ช่วยจัดการแทนได้ เธอเลยหันไปทางเป้าหมายใหม่ และกว่าพวกอัศวินจะรู้ถึงการมีอยู่ของสัตว์ประหลาดทลายเกราะ พวกตัวเองก็โดนเล่นงานไปกว่าครึ่งแล้ว
“ยูรินพอแล้ว”
ผมให้ยูรินถอยกลับมา เพราะอย่างไงเลเวลเธอยังน้อยเกินไป เกิดโดนพวกนั้นโจมตีขึ้นมา เธอจะบาดเจ็บหนักได้ แถมตอนนี้พวกนั้นก็โดนลดจำนวนไปมากแล้ว ไม่อาจต้านทานพวกฟรานแบบตัวต่อตัวได้ พวกนักบวชเองก็แตกแถวหนีไปตั้งแต่โดน Fall of Troll แล้ว การปะทะครั้งแรก พวกผมชนะแบบแทบจะไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น
ตอนที่ 103 สงครามศักดิ์สิทธิ์
“รู้ไหม ปกติเชลยศึกในสงครามจะต้องโดนอะไร”
ผมถามกับเชลยศึกที่จับมาได้ ซึ่งก็เป็นอัศวินทั้งสิบคน กับนักบวชอีกสองคน ที่ตอนนี้นั่งทำหน้าซีดกันหมด
“อย่าคิดว่าพวกข้าจะกลัวแกนะ! ถ้าโบสถ์ใหญ่รู้เรื่องนี้ จะต้องตามเอาเรื่องแกจนถึงที่สุดแน่”
“ก็เอาสิ ผมน่ะแทบไม่มีอะไรต้องเสีย ถ้าต้องแลกกับโบสถ์ใหญ่ที่มีอะไรต้องรักษาเยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะรักษาหน้าเนี่ย ถ้ากล้าแลกก็เอาเลย ฮ่าๆๆ”
พูดไปงั้นแหละ เกิดปัญหาบานปลายขึ้นมา คงต้องใช้อิทธิพลเล่นงานในที่ลับกันสักหน่อย เพราะผมไม่อยากให้สาวๆ ต้องเป็นอันตรายขึ้นมาเหมือนกัน
“ไอ้สารเลว!”
สงสัยพวกนี้ไม่เคยเจอคนแบบผม คนที่ไม่กลัวอำนาจบาตรใหญ่ของใคร ไม่กลัวอิทธิพลและกล้าชนทุกรูปแบบ และบอกได้เลยถึงผมไม่ใช่จอมมาร ไม่มีเผ่าปีศาจหนุนหลัง ผมก็ยังตัดสินใจทำแบบนี้อยู่ดี
ผมล่ะไม่โกรธหรอกเรื่องโดนด่า กลับสนุกด้วยซํ้า เพราะการที่อีกฝ่ายด่าแปลว่าอารมณ์เริ่มไม่ดีแล้ว พวกที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ง่ายต่อการปั่นหัวนักแล แต่ในที่นี้มีแค่ผมเท่านั้นแหละที่คิดแบบนั้น กลับพวกสาวๆ พอเห็นผมโดนด่า ก็พากันของขึ้น
เดเม่เดินตรงเข้าไปหา พร้อมกับชักอีโต้ออกมาจ่อที่ไปปาก และพูดด้วยนํ้าเสียงเย็นชาจนผมยังรู้สึกหนาวแทน
“นายท่านคะ มีเมนูอะไรที่ใช้ลิ้นเป็นวัตถุดิบไหมคะ”
“ถึงมีผมก็ไม่อยากจะกินลิ้นโสโครกของเจ้าพวกนี้หรอก เพราะงั้นวางมีดลงก่อนเถอะเดเม่ ผมยังต้องใช้ประโยชน์จากพวกนี้อีก”
ถึงเดเม่จะเก็บอีโต้ไปตามที่ผมสั่ง แต่ก็ได้ทิ้งความหวาดกลัวไว้กับพวกเชลย จนไม่มีใครกล้าปริปากอีก
จังหวะเดียวกับที่มอเรียและฟรานวิ่งกลับเข้ามาตรงทางขึ้นลงระหว่างชั้น ซึ่งพวกผมใช้เป็นที่พักชั่วคราว
“มากันแล้วค่ะ ยกกันมาเพียบเลย”
มอเรียรีบรายงานให้ฟัง
“ประมาณกี่คนเหรอ”
“พวกโบสถ์ใหญ่ประมาณ 120 คน นักผจญภัยอีกเกือบ 200 ค่ะ”
ฟรานที่มีสายตาดีเลยสามารถบอกจำนวนได้อย่างแม่นยำ
“พวกนักผจญภัยก็เอาด้วยเหรอเนี่ย อย่างว่าล่ะนะ ถ้ามีเงินให้ เป็นงานอะไรนักผจญภัยก็ทำให้อยู่แล้ว”
ผมถอนหายใจ เพราะไม่อยากทำอันตรายเพื่อนร่วมอาชีพสักเท่าไร พวกเชลยทำหน้ายิ้มขึ้นมาทันที คงเพราะคิดว่าเพื่อนมาช่วย แล้วคงรอดแน่ ไม่อยากให้พวกนี้ผิดหวังเลย แต่เหตุที่ผมยังเลี้ยงลมหายใจของพวกนี้เอาไว้ ก็เพื่อกรณีแบบนี้แหละ
“ทุกคนเตรียมพร้อมไว้นะ งานนี้ถ้าโชคไม่ดี พวกเราต้องเจอศึกหนักหน่อย”
“ค่ะ!”
ทุกคนขานรับพร้อมกับแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วนทันที ส่วนหนึ่งคุมตัวประกันตามผมออกไป อีกส่วนปักหลักดูสถานการณ์
ผมดึงตัวนักบวชคนหนึ่งมาไว้เป็นโล่ส่วนตัว และเดินนำออกไป
ด้านนอกอีกฝ่ายตั้งแนวรบได้น่าเกรงขามมาก โดยใช้พื้นที่ที่ได้เปรียบให้เป็นประโยชน์ ซึ่งแบ่งกำลังคนไปยืนตามขั้นเนิน พวกที่ใช้ธนูจะอยู่แถวบนสุด ถัดมาก็เป็นนักบวชกับนักเวท และด้านล่างสุดที่เผชิญหน้ากับผมเป็นกองอัศวินผสมกับนักผจญภัยที่สู้ระยะประชิด
แต่พวกนั้นยังไม่ได้ลงมือ เพราะเห็นผมเอาตัวประกันออกมาด้วย
“เปิดทางซะ แล้วเราจะปล่อยคนของพวกคุณไป”
ผมชิงเปิดฉากต่อรองก่อน เพราะคนที่ยื่นเงื่อนไขก่อนจะได้เปรียบ
“ไม่มีทาง คนของพวกแกน้อยกว่า อย่างไงพวกข้าก็ชนะ รีบปล่อยคนของเรามาแล้วยอมแพ้ซะ”
“ให้ตายเถอะ จะดื้อกันไปทำไมเนี่ย ผมแค่จะผ่านทางไปเฉยๆ ไม่ได้จะไปรบกวนอะไรสักหน่อย”
“งั้นทำไมแกถึงไม่เข้ามาในปาร์ตี้กับพวกข้า การอุทิศตนให้กับผู้รับใช้พระเจ้าเป็นสิ่งที่พวกแกสมควรจะทำอยู่แล้ว”
“แล้วทำไมผมต้องอุทิศตนให้ด้วยล่ะ? มีกฎหมายข้อไหนบังคับไว้เหรอ”
“มันเป็นศรัทธาและหน้าที่!”
“ผมก็มีศรัทธากับพระเจ้านะ แต่ผมไม่ศรัทธาคนที่อ้างชื่อพระเจ้า ส่วนหน้าที่ผมมีอยู่แล้ว ไม่ต้องยัดเหยียดเพิ่มงานให้เลย”
“พอแล้ว แกมันมารศาสนา! คงคิดร้ายกับท่านอาร์คบิชอปแน่ พวกเราภายใต้สงครามศักดิ์สิทธิ์จงสังหารคนบาปซะ แล้วพระเจ้าจะอ้าแขนรับพวกเราสู่ทรวงสวรรค์!”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นมา จนคำพูดของผมส่งไปไม่ถึงแล้ว จริงๆ ผมจะบอกไปว่า ถ้าอยากจะไปสวรรค์เดี๋ยวผมพาไปก็ได้นะ แต่ช่างเถอะ ก็กะไว้แล้วว่าคุยกันไม่รู้เรื่องแน่
แต่ทันทีที่อีกฝ่ายประกาศสงคราม ผมก็ต้องสมบททหาร และลบความเมตตาไปจากจิตใจ ผมหยิบเอาดาบศิลาเย็นออกมา พร้อมกับตัดหัวนักบวชที่จับเป็นเชลยทันที และก็โดยหัวที่ตัดไปทางฝังพวกศัตรู
วิธีนี้เป็นวิธีข่มขวัญข้าศึกที่พวกนักรบมองโกเรียชอบใช้ เป็นการประกาศให้ข้าศึกรู้ว่า ถ้าลื้อกล้าจับ
อาวุธหันมาหาอั๊ว ลื้อจะมีสภาพเช่นนี้ ในยุโรปก็มีการข่มขวัญทำนองนี้เช่นกัน ด้วยการจับเชลยมาเสียบเหล็กปักประจานหน้าเมือง
และมันได้ผล เสียงโห่ร้องเงียบหายไป ท่ามกลางความเงียบ มีแต่เสียงหลุดอาเจียนออกมา
ไร้คำกล่าว เมื่อเป็นสงคราม ก็ให้อาวุธ เลือด กระดูก และเครื่องใน มันพูดแทน
ผมใช้ Wall สร้างกำแพงออกมาเป็นรูปครึ่งวงกลม เป็นกำบังตรงทางเข้าไว้ ถึงพวกนั้นจะได้เปรียบเรื่องชัยภูมิ แต่ผมก็ได้เปรียบเรื่องที่มั่น เพราะผมยึดทางเข้าออกเพียงทางเดียวไว้ กรณีที่สู้ไม่ได้ ผมก็มีทางให้ถอยกลับ และยังใช้แผนถ่วงเวลาทำให้เสบียงข้าศึกหมดได้อีก
แต่ผมไม่อยากจะเสียเวลากับพวกงี่เง่า มันมีอะไรที่ยังมีประโยชน์ให้ทำอีกตั้งมากมาย ผมเลยใช้แผนเชิงรุก เพื่อจะตัดสินผลของสงครามครั้งนี้ให้เร็วที่สุด
“ฟรานเริ่มได้เลย”
พอผมให้สัญญาณ ฟรานก็ยิ้มรับและหันไปทางพวกเชลย
“Mind control”
พวกเชลยถูกควบคุมจิตใจ พร้อมกับติดสถานะสวามิภักดิ์ทันที จากนั้นผมก็ให้ฟรานสั่งการพวกมันตามแผนที่ผมเตรียมไว้
“อย่าพึ่งโจมตี นี้พวกข้าเอง!”
เชลยรีบตะโกนบอกขณะวิ่งหลบหนีกันออกไป ตรงรอยแยกของกำแพง ที่ผมตั้งใจทำทิ้งไว้ ทาง
ฝ่ายศัตรูที่กำลังจะโจมตีด้วยธนูและเวทมนต์ เลยชะงักไปและรีบตั้งขบวนเพื่อมารับพวกเดียวกันกลับไป
พอได้พวกคืนไป มันเลยคิดว่าผมจะยอมแพ้ แถมยังแค้นที่ผมไปตัดหัวนักบวชด้วย เลยสั่งยิงถล่มแบบไม่เลี้ยง
โดยที่ระหว่างนั้นทางผมก็…
“วันนี้ชาอร่อยจัง”
อาเดไลท์ยกมือขึ้นมาทาบที่แก้ม พลางดื่มดํ่าไปกับรสชาติ ส่วนคนอื่นก็กำลังกินของว่างกันอย่างเพลิดเพลิน
“ได้ชาดีๆ มาจากพวกพ่อค้าที่ชั้น 9 น่ะ รสชาติถูกปากสินะ”
“อืม อร่อยกว่าที่เคยดื่มเป็นประจำซะอีก”
“นายท่านๆ อะ ไอ้นี้มันเรียกว่าอะไรเหรอ!”
โลสลินชี้ไปที่คุกกี้ที่กองอยู่พูนถาด
“คุกกี้ อร่อยนะชิมดูสิ”
ผมเห็นพวกเธอไม่กล้าหยิบ เลยต้องบอกยํ้าไป เพราะไม่มีแม่พิมพ์ ผมเลยใช้เปลือกหอยแทน แต่ก็ออกมาดูน่ากินใช้ได้
พวกสาวๆ นั่งเป็นกลุ่มๆ ดื่มชากินคุกกี้ โดยไม่ได้สนใจเสียงดังโครมครามจากด้านนอกเลย
กำแพงผมสร้างไว้เป็นชั้นๆ คงอีกสักพักใหญ่ กว่าพวกนั้นจะพังได้หมด
Wall เป็นเวทที่มีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ กินมาน่าก็น้อย คลูดาวน์ก็สั้น เทียบกับอีกฝ่ายที่ต้องเสีย
ทั้งลูกธนูและพลังมาน่าไปเป็นจำนวนมากแล้ว มันเกินคำว่าคุ้มค่าซะอีก
ส่วนผมแค่ฟังเสียงก็รู้ว่ากำแพงโดนเจาะมาถึงตรงไหนแล้ว และระหว่างยิงถล่มมาแบบนี้ ทางนั้นก็ส่งหน่วยรบแนวหน้าเข้ามาไม่ได้ ผมถึงไม่ต้องกังวลอะไร และด้วยความคิดที่ว่าทางผมยอมแพ้แล้ว ทางนั้นเลยไม่ได้เอะใจสักนิดเลย ว่าทำไมทางผมถึงไม่มีการโต้ตอบกลับไปบ้าง
“นายท่านคะ ได้เวลาแล้วค่ะ”
เดเม่เตือนผมที่กำลังเพลินไปกับสวนดอกไม้งามตรงหน้า พวกสาวๆ เองก็รู้ว่าหมดเวลาอาหารว่างแล้ว เลยลุกขึ้นและช่วยกันเก็บข้าวของอย่างเร็ว จากนั้นพวกผมก็…
กลับขึ้นมาที่ชั้น 10
พอกำแพงพังลงมา พวกอัศวินและนักผจญภัยก็วิ่งกรูกันเข้ามา แต่ว่าไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกผม
“มันหนีไปแล้ว! รีบตามไปเร็ว”
พวกมันติดกับดักผมเข้าอย่างจัง ถ้าไม่ประมาทก็คงไหวตัวกันตั้งแต่เรื่องกำแพงแล้ว แต่นี้คงคิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายไล่บี้ข้างเดียว
พอพวกมันเข้ากันในทางขึ้น ผมก็ให้มิรินใช้เวทไฟอัดใส่เข้าไปเลย ทางเชื่อมระหว่างชั้น มันเป็นแค่บันไดในพื้นที่ปิด ไฟหรือนํ้าจะทำให้ได้ผลดีกว่ามากปกติ พวกด้านหน้าที่เห็นเปลวไฟพุ่งเข้ามา ก็วิ่งหนีจนไปดันพวกข้างหลังจนล้มทับกัน
พวกผมเดินลงมาก็พบศพตามทางมากมาย ต้องบอกอย่างเศร้าแทน ว่าส่วนใหญ่ถูกเหยียบกันตายมากกว่าโดนไฟครอกซะอีก ใช้สถานที่ที่มีคนอยู่เยอะๆ
สิ่งที่น่ากลัวสุดคือภาวะตื่นตระหนกและเหยียบกันตายเนี่ยล่ะ
สาวๆ รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ เลยหยิบอาวุธกันออกมา และออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้แนวหน้าของอีกฝ่ายกำลังเสียขบวน และตกอยู่ในความอลหม่านอยู่ ยิ่งโดนบุกเข้าตีซํ้า ก็ยิ่งทำให้แตกตื่นกันยิ่งกว่าเดิม
แทนที่จะจับกลุ่มช่วยกันสู้ พวกมันเลยเป็นต่างคนต่างสู้ บางคนก็วิ่งหนี ขาดความเป็นระเบียบและเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน
ตรงกันข้ามกับพวกสาวๆ ของผม ที่ดาหน้าบุกอย่างเป็นพร้อมเพรียง จากระบบที่ผมใช้ตอนสู้กับมอนสเตอร์ ทำให้ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง และเข้าใจการเคลื่อนไหวของคนอื่นด้วย
ถึงจะเสียเปรียบเรื่องจำนวน แต่การเคลื่อนไหวกลับเหนือกว่าอย่าเห็นได้ชัด
ถ้ามีใครพุ่งเข้าไปชน ก็จะมีอีกคนตามเข้าไปสังหารเป้าหมายที่มือไม่ว่างอยู่ทันที เป็นแบบใช้สองรุมหนึ่ง เพื่อความเร็วในการเคลื่อนที่มาชดเชยจำนวนคนที่ต่างกัน
พวกที่รอดออกมาจากทางเชื่อมระหว่างชั้นได้ ก็เหลือเพียงไม่กี่สิบคน จากจำนวนคนเป็นร้อย แถมพอหันกลับมาแทนที่จะได้เห็นพวกตัวเอง ที่ตามหลังมากลับเป็นพวกผมแทน
แนวหลังที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว เลยสั่งโจมตีไปโดยไม่สนใจคนที่ยังติดอยู่แนวหน้า ทว่าการโจมตีด้วยธนูและเวทมนต์ไม่อาจเกิดขึ้นได้
เพราะตอนนี้พวกเชลยที่ตกอยู่ใต้การสะกดจิตของฟราน ได้เริ่มลงมือแล้ว ผมส่งพวกมันแทรกซึมเข้าไป และรอจังหวะโจมตีจากแนวหลังข้าศึกโดยตรง ศัตรูขาดการระวังหลัง เลยล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วง
ตอนนี้ทั้งแนวหน้าและแนวหลัง ถูกแผนของผมป่วนจนเละไปหมดแล้ว กับศัตรูที่กระจัดกระจายแบบนี้ ทำให้ทางพวกผมสู้ได้ง่ายขึ้นเยอะ โดยไม่ต้องงัดเอาไม้ตายมาใช้ให้เสียแรง ชัยชนะก็ตกเป็นของพวกผมในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
หลังจบศึก กว่าครึ่งตกเป็นเชลยของผม ส่วนที่เหลือเสียชีวิตระหว่างต่อสู้
ถึงตอนนี้พวกมันยังทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ทางผมมีจำนวนคนเพียงแค่สิบกว่าคน น้อยกว่าเป็นสิบเท่า ไม่นับเลเวลที่โดยเฉลี่ยก็น้อยกว่าด้วย
กับพวกคนจากโบสถ์ใหญ่ ผมเก็บไว้ใช้งานต่อได้ เลยให้ฟรานจัดการใส่ Mind control ไป ส่วนพวกนักผจญภัย ทีแรกผมว่าจะไม่เอาเรื่อง เพราะพวกนี้แค่ทำตามหน้าที่ เงินมางานเดิน ทว่าพอให้ฟราน Mind control นักผจญภัยคนหนึ่ง และให้บอกความจริงออกมา ผมก็เปลี่ยนใจทันที
เพราะที่ไอ้เจ้าพวกนี้อึดสู้ ไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน แต่เพราะพวกมันอยากได้สาวๆ เลยใช้โอกาสนี้สังหารผมและจับตัวสาวๆ ไปเป็นของเล่นของพวกมัน
ผมเลยจะให้พวกผมได้สมใจอยาก โดยการให้เป็นของเล่นของฟรานไป เธอจัดการพวกมันให้สวามิภักดิ์ทันที และเพราะเลเวลที่สูงขึ้นกับผลของการเปลี่ยนอาชีพ ทำให้ตอนนี้จำนวนคนที่ฟรานควบคุมได้
เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เห็นว่าตอนนี้ถ้าควบคุมสักร้อยคนเป็นเรื่องที่สบายมาก
มีแต่พวกผู้หญิงกับอีกแค่บางคนที่ไม่รู้เรื่องด้วย และทำตามหน้าที่เพราะถูกจ้างมา พวกนี้ผมปล่อยไป แต่อย่างไงเรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้ พวกเธอก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายบานเลย ไหนจะทำเควสไม่สำเร็จ ไหนจะผิดกฎของกิลนักผจญภัย น่าจะโดนทั้งปรับเงินและปรับลด Rank กันเยอะ
ตัวผมเองไม่ดีใจกับชัยชนะครั้งนี้เท่าไร เพราะอย่างไงก็มีคนตาย ถึงจะเป็นศัตรูก็เถอะ แถมยังมีพวกที่หนีไปได้ ป่านี้พวกที่ชั้น 12 คงรู้เรื่องหมดแล้ว ถ้าต้องสู้อีก คงจะเป็นศึกที่ยากกว่านี้แน่
แถมตอนนี้เหมือนจะหลุดจากเป้าหมายไปอย่างไงไม่รู้สิ จริงๆ แค่จะลงมาเก็บเลเวล และถ้าไหวผม
ก็ว่าจะไปช่วยสำรวจชั้น 12 ให้ เพราะผมเป็น Treasure hunter สามารถสำรวจดันเจี้ยนได้ดีกว่าคนอื่น แต่ตอนนี้เหมือนลงมาทำสงครามที่ไร้ซึ่งผลประโยชน์ใดๆ เลยแฮะ
แต่ผมก็เข้าใจขึ้นมาล่ะ ว่าทำไมยุคกลางสมัยก่อน ถึงได้มีแต่สงคราม ก็เพราะคนพูดกันไม่รู้เรื่องนี้เอง
จะกลับขึ้นไปเลย โดยทำเป็นไม่สนใจก็ได้อยู่นะ แต่ถ้าทิ้งไว้ ปัญหามันก็ไม่ได้หมดไปอยู่ดี ไหนๆ มาถลำตัวลงมาแล้ว เดินไปให้มันสุดทางเลยดีกว่า
ผมหันไปมองพวกสาวๆ เผื่อว่าใครจะค้านผม พวกเธอก็ราวกับนัดแนะกันมาแล้ว เลยตอบออกมาพร้อมกันเลย
“ไปตีก้นสั่งสอนอาร์ดบิชอปกันเถอะค่ะ!”
ตอนที่ 104 เข้าถํ้าเสือ
ผมออกเดินทางไปต่อทันที โดยมีพวกเชลยที่ตอนนี้ขอเรียกว่าลูกน้อง…ไม่สิ ตุ๊กตาที่เตรียาโละทิ้งน่าจะเหมาะกว่า คอยเดินนำทางไปให้ ผมไม่เห็นมอนสเตอร์ตามทาง เพราะคงโดนจัดการหมดไปก่อนพวกผมจะมากันแล้ว
ระหว่างทางผมก็ปรึกษากับพวกสาวๆ ในหลายๆ เรื่อง เพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงต้องถือว่าเป็นศัตรูกับทางโบสถ์ใหญ่อย่างเต็มตัว
จริงๆ มีเรื่องน่าตกใจอยู่ เช่นว่า เอสเตอร์จริงๆ นับถือโบสถ์ใหญ่ แต่ไม่ถึงขั้นเป็นสานุศิษย์ เหตุผลเคยได้รับการทำทานด้วยการเลี้ยงอาหารมาก่อน เรื่องดีๆ ที่โบสถ์ใหญ่ทำมันก็พอดี แต่นั้นก็แค่หน้าฉาก เพราะมา
เห็นเนื้อแท้ของคนระดับผู้บริหาร เอสเตอร์ก็รู้ทำใจรับได้ลำบาก
“ต้องแบ่งเป็นเรื่องๆ ไป เรื่องดีก็ส่วนเรื่องดี ควรเก็บเอาไว้”
ผมพยายามปลอบเอสเตอร์ แต่ผมพูดได้ไม่เก่งเท่าไร และผมไม่ใช่คนใจกว้างหรือยุติธรรม ขนาดพูดแบบคนอื่นได้หรอกว่า ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งฝูง เพราะจริงๆ ถ้าเป็นองค์กรที่ดีจริง คงไม่ปล่อยพวกเนื้อร้ายเหล่านี้ไว้หรอก แถมจากการฟังที่พวกโบสถ์ใหญ่พูดกันมา พวกนี้มีสามัญสำนึกที่ผิดๆ อยู่เยอะ มันคงไม่เกิดขึ้น ถ้าองค์กรมีนโยบายหรือการอบรมที่ดี
ส่วนอีกเรื่องที่ต้องตกใจก็คือ เรื่องความเป็นมาของโบสถ์ใหญ่ ซาคุยะเคยส่วนใจในเรื่องนี้ เลยสืบไปสืบมาจนค่อนข้างมั่นใจ ว่าต้นกำเนิดของลัทธิ
โบสถ์ใหญ่ เป็นผู้กล้าที่ถูกอันเชิญมาจากต่างโลกที่สร้างลัทธินี้ขึ้นมา เพราะดูจากคำสอนและการกล่าวอ้างถึงพระเจ้าแล้ว มันคล้ายกับของโลกพวกผมมาก
ซึ่งถ้าดูจากความเป็นไปได้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไร ในบรรดาคนที่ถูกพาตัวมาโลกนี้ ก็ต้องมีพวกคลั่งศาสนาแบบเข้าเส้นอยู่บ้างล่ะ แต่ว่าโบสถ์ใหญ่มีประวัติศาสตร์มากว่าเกือบสี่ร้อยปี ป่านี้คนที่ตั้งลัทธิขึ้นมาคงกลายเป็นฟรอสซิลไปแล้ว
ผมตั้งหยุดพักกินอาหารกลางวันกัน เพราะพวกตุ๊กตาของฟรานหมดแรงแล้ว พวกผมเองก็ค่อนข้างเหนื่อย แต่ไม่ถึงกับหมดแรง การต้องเดินขึ้นทางชันแบบขั้นบันไดเนี่ย กินแรงเอากว่าที่คิดไว้ซะอีก เจ้าอานูบิสออกแบบดันเจี้ยนได้หฤโหดจริงๆ
แต่เพราะมอนสเตอร์เริ่มกลับมาเกิดแล้ว ผมเลยต้องทำอาหารแบบง่ายๆ และสลับกันมากิน ความโหดของชั้นนี้ค่อนข้างตึงมือทีเดียว โดยเฉพาะอันไลท์เจเนอรัล มันเป็นซอมบี้ส่วมเกราะเหล็กทั้งตัว นั่งอยู่บนหลังศพหมาป่าตัวใหญ่กว่าสองเมตร เจ้านี้ต้องให้ดอเรียหรือมอเรียเป็นคนจัดการเท่านั้น ถึงฟรานจะพอสู้ได้ แต่มันค่อนข้างกินแรงเธอ ส่วนเดเม่เองก็จัดการได้ แต่ต้องใช้โจมตีแบบสุดแรงของเธอ ซึ่งมันรุนแรงเกินไป เลยจะเป็นการเรียกมอนสเตอร์ตัวอื่นให้รุมเข้ามา ผมจึงห้ามไม่ให้เธอสู้
หลังมื้อเที่ยงพวกผมเดินขึ้นบันไดกันต่อ ระหว่างเดิมผมก็เริ่มคิดอะไรไปเรื่อย เช่นสภาพของพื้นที่ที่เป็นแบบนี้ ทำให้การขนเสบียงเป็นไปได้ยาก แถมกว่า
จะมาถึงชั้นนี้ต้องใช้เวลามาก ถึงจะวิ่งอย่างเดียวไม่แวะข้างทางเลย อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาวันครึ่ง
ถึงปาร์ตี้ขนาดเล็กหรือแบบปกติของนักผจญภัยจะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ก็เถอะ เพราะส่วนใหญ่สามารถนำอาหารใช้กระเป๋านักผจญภัยมากันได้ ซึ่งโดยประมาณแล้วจะกันได้สิบวันเป็นอย่างตํ่า แต่กับกองทัพที่มากันเยอะ แบบพวกโบสถ์ใหญ่ แน่ล่ะไม่ได้ทุกคนที่จะมีกระเป๋านักผจญภัย
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่เข้าใจว่าเกิดปัญหาเรื่องขาดเสบียงได้อย่างไง ถ้ามากับนักผจญภัย ทุกคนล้วนแต่เป็นมืออาชีพ ต้องรู้อยู่แล้วว่าต้องขนเสบียงกันไปเท่าไรถึงจะพอ
ผมพับเก็บเรื่องไร้สาระนี้ไปจากหัว และเริ่มคิดวางแผนรับมือแทน เพราะเกือบจะถึงทางลงชั้นต่อไป
แล้ว ถึงจะบอกว่าคิดก็เถอะ แต่ยังไม่ได้ไปเห็นสถานที่จริง ก็เลยยังบอกอะไรได้ไม่มาก จึงว่าจะใช้แผนป้องกันตัวเป็นหลักไว้ก่อน ผมไม่ชอบการสูญเสียน่ะ โดยเฉพาะสาวๆ พวกเธอมีค่าสำหรับผมมาก เกินกว่าจะให้ใครเป็นอะไรไปได้
พอมาถึงชั้นบนสุด ก็เจอบันไดทางลง ซึ่งกว้างทีเดียว แบบเดินเรียงหน้ากระดานได้ประมาณ 25-30 คนได้เลย แบบนี้คงใช้แผนหลอกเข้ามาเผาแบบคราวก่อนไม่ได้แล้ว
แต่พอเดินลงมาไม่ถึงสิบนาที ผมก็มองเห็นทางออกของชั้นต่อไปแล้ว เลยรีบหันกลับขึ้นไปมองทางที่ลงมา
“มีอะไรเหรอค่ะนายท่าน?”
เดเม่เห็นผมหันไปหันมาและหยุดเดิน เลยถามขึ้น คนอื่นๆ เองก็หยุดเดินตามผมไปแล้ว
“…เปล่าหรอก สงสัยคิดไปเอง”
ผมปฏิเสธก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ทางออกต่อ แต่พอมาถึงกลับผิดคาด เพราะไม่ได้มีกองทัพของอาร์คบิชอปตั้งหลักรออยู่ แต่มีเพียงแค่ตัวแทนซึ่งเป็นแค่นักบวชฝึกหัดสาวคนหนึ่งรออยู่
“ปะ ปาร์ตี้ของ ทะ ท่านโรมะใช่ไหมค่ะ”
“ใช่ พวกผมเอง”
ผมเป็นตัวแทนออกไปคุยกับเธอ โดยให้พวกสาวๆ อยู่ห่างออกไปพอสมควร เผื่อนี้จะเป็นกับดัก และยังให้ตุ๊กตาของฟรานซ่อนตัวอยู่ในระยะนอกสายตาด้วย
“ท่านอาร์คบิชอปให้ฉันมาเชิญคุณไปพูดคุยกันค่ะ”
“…”
อึ้งเลยแฮะ บอกตามตรง การเจรจาแบบนี้ไม่มีอยู่ในตัวเลือกของผมทีแรกเลย เนื่องจากผมประเมินเอาจากท่าทีของอาร์คบิชอปตอนเจอกันครั้งแรก กับมารยาทและแนวความคิดของพวกโบสถ์ใหญ่ การเจรจาเลยเป็นอะไรที่อยู่นอกเหนือจากตัวเลือกทั้งหมดเลย
“…ตกลง”
ผมหยุดคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะให้คำตอบออกไป
“เดี๋ยวก่อน!”
อาเดไลท์พยายามจะห้าม เพราะดูอย่างไงนี้ก็เป็นกับดักแน่ๆ แต่ผมพูดเสียงดังขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ยิน
“ไม่เป็นไร และผมจะไปคนเดียว ไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ”
“ค ค่ะ! ไม่มีปัญหาค่ะ”
“ได้ยินแล้วนะทุกคน ถ้าผมไม่กลับมาภายในสองชั่วโมง ให้ทำตามใจชอบได้เลย ถ้ากรณีผมถูกจับเป็นตัวประกัน ก็รู้นะต้องทำอย่างไง”
“ทำตามใจชอบที่ว่านี้…ได้ถึงระดับไหนคะนายท่าน”
ฟรานถามขึ้นโดยที่ดวงตาเธอไร้แวว เป็นดวงตาที่น่ากลัวมาก ผมเองก็ยังขนลุกขึ้นมา
“ก็อาละวาดได้ในระดับที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนล่ะกันนะ”
“รับทราบค่ะ”
ฟรานตอบนํ้าเสียงจริงจังสุดๆ พร้อมกับปักง้าวของเธอลงบนพื้น ราวกับประกาศว่าถ้าผมไม่ได้กลับมา ใครหน้าไหนก็หวังจะก้าวผ่านตรงนี้ไปได้เลย
บางคนมองส่งผมด้วยสายตาเป็นห่วง บางคนมองด้วยสายตาจริงจังแบบฟราน แต่ถึงจะรู้ว่าอันตราย แต่ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นกับดักแบบไหน
พื้นที่ของชั้น 12 เป็นหุบเขา ถ้าให้อธิบายคงเหมือนแกรนแคนย่อนล่ะมั่ง และตอนนี้พวกเรากำลังเดินอยู่ตรงพื้นล่างสุด พอมองขึ้นไปแล้ว ไม่เห็นทางที่จะปีนขึ้นไปได้เลย เพราะมันตั้งชัน 90 องศา แถมสูงมาก
ทางเดินก็มีทางแยกสลับซับซ้อนพอสมควร ถ้าไม่มีแผนที่ก็ได้หลงแน่ๆ เหมือนเขาวงกตไม่มีผิด
นักบวชฝึกหัดพาผมเดินทะลุออกมาที่ลานกว้างเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีนักผจญภัยอยู่ที่นี้แบบปาร์ตี้ 4-5 คน ดูจากที่พักและกองไฟแล้ว คงเป็นหน่วยยามรักษาการณ์ล่ะมั่ง
เธอพาผมเดินไปพอ โดยที่พวกนักผจญภัยเพียงแค่หันมามองผมเท่านั้น หลังเดินลัดเลาะมาตามทางได้เกือบสิบห้านาที ผมก็มาถึงจุดตั้งค่ายของอาร์คบิชอป ตรงนี้เป็นลานกว้างทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอล 4 เท่าได้
ที่ตรงกลางซึ่งเห็นเด่นชัดมาแค่ไกล คือกระโจมแบบสองชั้น แต่การตั้งกระโจมของคนโลกนี้ ค่อนข้างล้าสมัย เพียงแค่ปักเสาสี่มุม แล้วขึงผ้าเอาไว้
เท่านั้น ส่วนกระโจมแบบสองชั้น ข้างในก็เสริมไม้เข้าไป ทำเป็นแบบนั่งร้าน
พวกอัศวินยืนจับกลุ่มตั้งแถวเป็นระเบียงอยู่ที่ด้านหนึ่งของค่าย ดูแล้วทางนี้เองก็พร้อมรบอยู่เหมือนกัน ดูท่าการจะกลับออกไป ไม่ใช่เรื่องง่ายซะแล้ว
ผมเดินตามนักบวชฝึกหัดมาจนถึงกระโจมสองชั้น ด้านหน้ามีพวกนักบวชระดับสูงกับพาลาดินยืนเฝ้าอยู่ประมาณสิบคน ทุกคนมองมาที่ผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แต่ผมไม่สนใจ
จริงๆ อยากจะตรวจสอบเก็บข้อมูลพวกนี้เอาไว้ แต่ก็เหมือนกับอาร์คบิชอป ทุกคนใส่อุปกรณ์ป้องกันสกิลตรวจสอบเอาไว้ เลยทำให้เห็นแค่ชื่อกับเลเวลเท่านั้น เฉลี่ยอยู่ที่ 70-80 แฮะ เก่งกว่าพวกที่ชั้น 11 ลิบลับเลย
โดยเฉพาะพาลาดินคนหนึ่งซึ่งดูอายุ 26-27 ใส่เกราะเบาไม่เหมือนพาลาดินคนอื่น ที่ใส่เกราะหนักเต็มยศ มีโล่กลมห้อยไว้ด้านหลัง ที่เอวคาดดาบกับค้อนเอาไว้…เอาเรื่องแฮะคนนี้ ท่าทางบอกให้รู้ได้เลยว่ามีประสบการณ์การต่อสู้ที่สูง อาจจะเป็นนักผจญภัยมาก่อนด้วย
ส่วนเขามองกลับมาที่ผม และแสยะยิ้มที่มุมปาก ดวงตาสื่อออกมาให้เห็นความคิดเลย คงคิดประมาณว่า ไอ้นี้ไม่เท่าไรเลยนี่น่า และเขาคงไม่ได้ประเมินผมจากด้านหน้าหรือท่าทางหรอก แต่เพราะตัวผมมีกลิ่นหอม เป็นเหมือนพวกสำอาง และทำอาหารบ่อยจนมีกลิ่นเครื่องเทศติดตัวอยู่ ถ้ามองจากคนภายนอก ผมเหมือนพ่อครัวมากกว่านักผจญภัยล่ะนะ
“เชิญค่ะ”
นักบวชฝึกหัดแหวกผ้าตรงทางเข้าให้ ผมเลยเดินเข้าไป พร้อมกับเปิดประสาทสัมผัสให้ตื่นตัวเต็มที่
สิ่งที่รอผมอยู่ คืออาร์คบิชอปเรเดีย เธอนั่งอยู่หลังโต๊ะที่มีอาหารจัดเรียงกันจนแน่น…ไขปริศนาได้แล้วว่าทำไมเสบียงถึงขาด เล่นกินทิ้งกินขว้างแบบนี้ เอามาเท่าไรก็ไม่พอหรอก
เธออยู่ในชุดนักบวชเต็มยศสีขาว เพียงแต่ไม่ได้ใส่หัวผ้าแบบที่มีแทบผ้าบางๆ ปิดหน้าไว้ ผมสีทองยาวถึงกลางหลัง เส้นผมเธอตรงอย่างกับเอาเตารีดมารีดเลย แต่ผมชอบผมของคายุนมากกว่าแฮะ เพราะผมนุ่มนิ่มและให้สัมผัสที่ลื่นมือ
“นั่งสิ”
เธอเชิญผมนั่งลงที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับเธอ ท่าทีดูสงบผิดกับตอนแรกที่พุ่งเข้ามาสาดนํ้ามนต์ใส่ผมเลย แต่ข้างหลังเธอยังมีอีกคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นเจ้าอัศวินหนวดที่ผมเจอที่ชั้น 11 นั้นเอง ถึงว่าไม่เห็นตัวตอนทำสงครามเลย ที่แท้เผ่นมาก่อนเพื่อนนี้เอง
“นายออกไปก่อน”
ส่วนอัศวินหนวด โดนให้ออกไปข้างนอก ตอนเดินสวนกันผมเห็นแววตาที่จ้องมาทางผม มันแสดงให้เห็นทั้งความกลัวและความแค้น ไม่ว่าจะความรู้สึกแบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น
ผมนั่งลงตามที่ได้รับเชิญ ส่วนเรื่องจะโดนวางยาพิษ ก็ไม่ต้องห่วงเลย เพราะผมเชี่ยวชาญการใช้สกิลตรวจสอบแล้ว แค่มองก็บอกได้ว่าอาหารอันไหนมีพิษหรือไม่มีพิษ ถึงจะเป็นพิษที่ไร้กลิ่นไร้สีไร้รส แต่ก็หนีการ
ตรวจสอบจากระบบของโลกนี้ไปไม่ได้ ผมทดสอบมาแล้วเลยมั่นใจสุดๆ
ขอขยายอีกหน่อย ตรงพิษเนี่ย มันรวมถึงสิ่งที่ไม่ได้เป็นพิษ แต่ถ้าเอาเข้าไปในร่างกายแล้วจะส่งผลเสียด้วย เช่น กินยา A ที่มีสรรพคุณเสริมพลัง แล้วกินยา B ที่มีสรรพคุณทำให้สดชื่นเข้าไป ยาทั้งสองตัวให้คุณเหมือนกัน ทว่าพอไปผสมในท้องมันจะกลายเป็นพิษถึงตายได้ เพราะงั้นถ้ากินยา A ไปแล้ว เวลาตรวจสอบยา B มันจะขึ้นผลแสดงว่าเป็นพิษทันที
และดูเหมือนพวกโบสถ์ใหญ่ จะไม่ได้วางยาในอาหารไว้ แต่อย่างไงผมก็ไม่ได้หิวจนอยู่แล้ว
แต่สายตาของเรเดียนี้สิ จ้องผมแบบเหมือนจ้องจับผิดอยู่ คงยังสงสัยว่าผมเป็นปีศาจอยู่ล่ะมั่ง แต่ไม่มีทางที่จะจับกลิ่นอายแบบครั้งก่อนได้หรอก เพราะผม
ได้สกิลอำพรางมาแล้ว แม้แต่มุเอมะกับพวกปีศาจที่ประสาทจอมมาร ยังจับสัมผัสผมไม่ได้เลย
“เรียกผมมา มีอะไรจะคุยเหรอครับ”
เมื่อเห็นเธอเอาแต่จ้อง ผมเลยถามขึ้นมาเอง เธอทำท่าเหมือนพึ่งรู้สึกตัว เลยเลิกจ้องและกระแอ่มขึ้นมา
“ขอพูดตรงๆ เลยนะ พวกเราไม่อยากทำศึกกับเจ้าให้เสียเวลาหรอก”
…โกหกเหรอ? ไม่สิ แค่ไม่มั่นใจ ผมสั่งเกตท่าทางภาษากายของเธอแล้วสรุปออกมา นํ้าเสียงเธอมีขึ้นมีลงมากเกินไป สายตาก็กรอกไปกรอกมา โดยเพราะตอนพูดว่า ของพูดตรงๆ แปลโกหกตั้งแต่เริ่มเลย ส่วนตรงบอก ไม่อยากทำศึก มือของเธอกำแน่นขึ้น แสดงให้เห็นว่าไม่มีความมั่นใจ
หรือบางทีเธอจะกลัวพวกผม ปาร์ตี้ที่มีกับสิบกว่าคน แต่ถล่มกองอัศวินผสมที่มีกันกว่าสามร้อยคนได้ นั้นก็เป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ และสมเหตุสมผลแล้วที่เธอเรียกผมให้มาเจรจากัน
“แล้วจะเอาอย่างไงครับ”
ถึงผมจะพูดสุภาพ แต่นํ้าเสียงผมหนักแน่น ไม่แสดงออกว่ากลัวบารมีอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“เรื่องที่เกิดไปแล้ว ถือซะว่าเป็นความเข้าใจผิดกันไป ฉันจะไม่เอาเรื่องอะไร กลับกัน พอได้เห็นความสามารถของพวกเจ้าแล้ว ฉันเองก็อยากจะทำธุรกิจด้วย”
อาร์คบิชอบเรเดียถึงจะมีอายุมากกว่าผม แต่ไม่น่าเกิน 21-22 ถึงการพูดการจาจะดูเกินตัวไปสักหน่อย เธอค่อนข้างสวยอยู่ แต่ชอบทำหน้าดุอยู่ตลอด
ท่าทางเป็นคนที่เข้าหายากน่าดู แต่ขอบอกก่อน ถึงเธอจะสวยแต่ไม่ใช่สเปกผมหรอกนะ
“ธุรกิจ…หมายถึงจะจ้างพวกผมเก็บเลเวลให้น่ะเหรอครับ”
“ใช่แล้วนะ ฉันจะให้ค่าจ้างมากกว่าที่ให้กับคนอื่นๆ ด้วย ว่าไงสนใจไหม”
“คงต้องขอปฏิเสธ ผมไม่ชอบเควสแบบนี้ ถ้าอยากจะให้ผมช่วยเก็บเลเวลให้ ก็ต้องสู้ไปด้วยกัน ไม่ใช่มานั่งดูดแบบนี้”
ผมตอบไปอย่างชัดเจน ถึงจะฟังดูเอาแต่ใจ แต่นี้คือสิ่งที่ผมไม่ชอบมาก เหมือนตอนอยู่บ้าน เวลาผมต้องทำงานบ้านเหนื่อยๆ คนเดียว ผมก็จะไม่ชอบให้พวกพี่ๆ มานั่งมอง มันเหมือนกำลังถูกเอาเปรียบอยู่ ผมเลย
จะไล่ทุกคนออกนอกบ้านไปก่อนค่อยลงมือทำ หรือไม่ก็รอจังหวะที่ไม่มีใครอยู่บ้าน ค่อยลงมือทำงานบ้าน
“อย่างที่ได้ยินมาเลย ดูเหมือนเจ้าจะไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องเงินสินะ”
“เงินน่ะสน แต่มีสิ่งอื่นที่สนมากกว่าครับ”
“หมายถึงสิ่งนี้สินะ”
เธอยิ้มขึ้นที่มุมปาก เหมือนกำลังคิดว่าตัวเองปิดจ็อปได้แล้ว พร้อมรับหยิบกระดิ่งขึ้นมาสั่น
แทบจะในทันที ก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจม กลุ่มคนที่เข้ามาคือเหล่านักบวชและอัศวินที่ล้วนแต่เป็นหญิง พวกเธอใส่แค่เสื้อซับในบางๆ บางจนเห็นจุกชัดเลยล่ะ กับกางเกงในฝักทองแบบมาตรฐาน
“…ดูเหมือนจะสืบเรื่องรสนิยมผมมาแล้วสินะครับ”
“แค่ถามเอาจากพวกนักผจญภัยนะ แต่เจ้าเองก็มีชื่อเสียงพอตัวนี้ ขนาดมีฉายาส่วนตัวเลย”
ผมสะอึกขึ้นมาทันที เมื่อเธอพูดถึงฉายาผมขึ้นมา ดูเหมือนจะกลายเป็นแผลใจไปแล้วแฮะ
“ว่าไง ถ้าตกลงรับเควส ฉันจะจ่ายให้ด้วยร่างกายพวกเธอ ระหว่างทำเควสเจ้าสามารถทำได้ตามใจชอบเลย”
“เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจนะครับ”
ผมลุกขึ้นไปดูพวกสาวๆ ที่กลายเป็นค่าจ้างไปแล้ว พวกเธอมีกันสิบเอ็ดคน ทุกคนล้วนแต่หน้าตาดี ทว่าบางคนก็ร้องไห้ บางคนก็ทำหน้าโกรธจัด
“นี่น่ะเป็นค่าจ้างที่แพงมากเลยนะ เพราะพวกเธอล้วนแต่บริสุทธิ์ทุกคน”
เรเดียที่คิดว่ากำจุดอ่อนผมอยู่ ยํ้าออกมาอีกครั้งราวกับจะอวดอ้า
…ไม่สบอารมณ์แฮะ ถึงจะเป็นค่าจ้างที่น่าหมํ่าก็เถอะ แต่แบบนี้ไม่ใช่แนวผมแค่เห็นก็รู้แล้วว่าพวกเธอโดนบังคับมา
“เหดีจังครับ ว่าแต่…แล้วคุณล่ะ ยังบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่า”
ผมย้อนถามไปที่อาร์คบิชอปเรเดีย ถามแบบนี้มันกึ่งๆ ลวนลามทางเพศเลยนะ แถมยังหยาบคายมาก ต่อให้เป็นถึงอาร์คบิชอปก็โกรธได้เช่นกัน
ปัง!
เธอทุบโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นมาในสภาพตัวสั่นด้วยความโกรธ แต่เธอยังรู้จักควบคุมตัวเอง ไม่ตะโกนด่าออกมาจนทำให้การเจรจาล้มเหลว และกลับลงมานั่งอย่างสงบ และหลับตาตอบคำถามผม
“แน่นอนสิ”
เธอตอบสั้นๆ โดยไม่อธิบายอะไรให้มาก เพื่อเลี่ยงการสนทนาในเรื่องนี้
“เช่นนั้นแล้ว ช่วยจ่ายค่าจ้างผมด้วยร่างกายและความบริสุทธิ์ของคุณแทนได้ไหมครับ”
ผึง!
ผมเหมือนได้ยินเสียงอะไรขาด ใบหน้าที่นิ่งๆ ของเรเดีย กำลังปั้นยิ้มที่ฝืนอารมณ์ตัวเองอย่างสุดชีวิต จนเป็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวจนหมดสวย
“มะ ไม่ได้หรอก ฉะ ฉันอุทิศตัวให้กับพระเจ้าแล้ว”
เธอยังกัดฟันตอบได้อย่างปกติอยู่ แต่เสียงสั่นใหญ่แล้วนะนั้น
“เห…แล้วพวกเธอเหล่านี้ไม่ได้อุทิศตัวด้วยเหรอครับ?”
ผมแกล้งตีหน้าซื่อถามไป พอเจอย้อนใส่แบบนี้ เธอก็ทำตาเหมือนอยากจะพุ่งเข้ามาบีบคอผมให้ได้เลย
“ถะ ถึงอย่างไงก็ตาม ข้อเสนอมีให้ได้เพียงเท่านี้ จงตกลงและรับตัวพวกเธอไปเถอะ”
“ไม่ครับ ผมไม่ได้สนใจพวกเธอ”
“เอ่อ ไม่ได้หมายถึงพวกเธอไม่สวยไม่น่ารักหรอกนะ”
ผมรีบหันไปบอกพวกสาวๆ เพื่อไม่ให้พวกเธอต้องเสียนํ้าใจ ถ้าพวกเธอเต็มใจล่ะก็ ผมคงไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้แน่
“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไง!”
คงมาถึงขีดจำกัดแล้ว เรเดียเลยลุกขึ้นมาทุบอีกครั้งและตะคอกใส่ผมอย่างโกรธจัด
“ข้อเสนอผมบอกไปแล้ว ถ้าจะใช้พวกผม ก็ต้องจ่ายมาอย่างสมนํ้าสมเนื้อ ด้วยร่างกายและความบริสุทธิ์ของคุณเอง”
“มันจะมากเกินไปแล้ว!”
เรเดียสั่นกระดิกอีกครั้ง คราวนี้ที่วิ่งเข้ามา ไม่ใช่สาวๆ ในชุดวาบหวิวแล้ว แต่เป็นพวกชายหนุ่มที่ยืนดักอยู่ตรงทางเข้านั้นเอง
โดยเฉพาะคนที่ใส่เกราะเบา พุ่งเข้ามาเร็วกว่าใครเพื่อน ว่าแล้วเชี่ยวเขาคนนี้ฝีมือดีมาก
ดูจากที่รีบเข้ามาประชิดตัวผม เจ้าอัศวินหนวดคงมารายงานที่ผมใช้เวทมนต์ไป ทำให้ทุกคนคิดว่าผมเป็นผู้ใช้เวทสินะ
ตอนนี้ถ้าผมชักดาบศิลาเย็นออกมาสู้ น่าจะพอรับมือพี่ชายเกราะเบาได้สักสองถึงสาบดาบ ไม่สิ ถ้าจังหวะดีๆ ผมใช้ดาบศิลาเย็นทำลายอาวุธของเขาก็ได้ แถมพื้นที่การต่อสู้ยังแคบ ทำให้ผมที่มีเพียงคนเดียวลงมือได้สะดวกกว่า
ทว่าสุดท้ายผมก็ไม่ได้จับดาบขึ้นมาสู้ และยอมโดนอีกฝ่ายทุบจนล่วงไปนอนที่พื้น
“อย่าพึ่งฆ่ามัน จับไว้เป็นตัวประกันก่อน!”
เรเดียตะโกนสั่ง คนอื่นๆ ก็รุมเข้ามาจับผมมัดด้วยเชือกทันที
ที่ผมไม่สู้ หรือไม่แม้จะต่อต้านการจับกุม เพราะผมรู้ว่าถ้าทำแบบนั้น จะต้องเจ็บตัวมาก
จริงอยู่ผมสู้กับพี่ชายเกราะเบาได้ แต่นั้นหมายถึงการสู้ตัวต่อตัวนะ แต่ที่ตามหลังเขามา ยังมีอัศวินอีกถึงสามคนที่เลเวลเลย 80 แล้ว ข้างหลังผมยังมีอาร์คบิชอปอีก ถึงเธอจะไร้ประสบการณ์ แต่เลเวล 100 ก็ประมาทไม่ได้และต้องไม่ลืมว่าข้างนอกคือค่ายหลักของพวกโบสถ์ใหญ่ ที่มีกันเกือบพันคน นอกจากใช้สถานะจอมมารแล้ว ผมไม่เห็นทางที่ตัวเองจะรอด
ออกไปได้เลย จะใช้วิธีนั้นก็ได้อยู่ แต่ถ้าเกิดมีใครรอดไปได้คนหนึ่งก็แย่เลย แถมถ้าลงมือถึงขนาดนั้น แต่งเรื่องหลอกพวกสาวๆ ไม่ได้แล้วแน่
เมื่อคิดถึงผลลัพธ์จนถึงตอนสุดท้ายแล้ว ผมคิดว่าการที่ไม่สู้น่าจะเจ็บตัวน้อยที่สุด เพราะงั้นมันเลยจบโดยที่ผมโดนทุบด้วยสันดาบไปแค่ทีเดียว
“ลากตัวมันออกไป! ไว้จบเรื่องนี้แล้ว ฉันจะเป็นคนลงทัณฑ์มันด้วยตัวเอง!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น