ตอนที่ 87 ดวลตัดสิน
ผมกลับมาที่โต๊ะและเริ่มมื้อเช้าพร้อมกับทุกคน
ตอนที่เห็นซีเรียลทุกคนก็ทำหน้าประหลาดใจ เพราะไม่รู้ว่าในจานมันคืออะไร แถมผมยังเทนมราดใส่ไปอีก
“กินพร้อมกับนมเหรอคะนายท่าน”
ฟรานเป็นตัวแทนทุกคนถามผมขึ้นมา
“ใช่แล้วล่ะ จะใส่มากใส่น้อยก็ได้ตามความชอบเลย แต่ถ้าชอบกินแบบกรอบๆ ก็ให้ใส่น้อยๆ แล้วรีบกินเลย แต่ถ้าชอบแบบนิ่มๆ ก็ให้ใส่นมเยอะๆ แล้วแช่ทิ้งไว้สักพักก่อน”
พอผมอธิบายให้ฟัง ทุกคนก็เริ่มลงมือทำตาม ส่วนใหญ่ชอบแบบกรอบๆ เลยเทนมใส่แล้วเริ่มกินกันเลย
“วะ หวาน! นี้มันของหวานเหรอโรมะ”
อาเดไลท์รีบหันมาถามผม
“เปล่า ไม่ใช่หรอก มันเรียกว่าซีเรียลเป็นอาหารเช้าแบบสำเร็จรูปน่ะ ทำมาจากพวกธัญพืชอบแห้ง ส่วนความหวานเป็นการทำปฏิกิริยากันของคาโบไฮ
เดรต…เอ่อ เอาเป็นว่ามันมีรสหวานแต่ไม่ใช่ของหวานหรอกนะ เป็นอาหารทั่วๆ ไปนี้ล่ะ”
พอเห็นหน้าที่เริ่มงงของทุกคน ผมก็เลิกใช้คำที่เข้าใจยาก และหันมาพูดภาษาบ้านๆ แบบที่อธิบายให้เด็กฟังแทน
งานนี้ทุกคนขอเติมรอบสองกันหมด พวกโบสถ์ใหญ่กินกันไปก็คุยกันไป เพราะไม่เคยมีใครเห็นการใช้นมกินร่วมกับอาหารมาก่อน ถึงกับมีการจดสูตรอาหารกันไปเลย แต่ผมก็ไม่ได้ห้ามหรอกนะ เพียงแต่ผมไม่ได้บอกถึงกระขบวนการทำหรอก เช่นวิธีการอบธัญพืช
ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากให้อาหารที่ผมทำ กระจายไปถึงนอกเมือง เพราะมันอาจทำลายสมดุลด้านอุปสงค์การบริโภคอาหารของโลกใบนี้เลยก็ได้ เช่นถ้าทุกคนหันมากินแต่ซีเรียล ราคาธัญพืชและนม ก็จะถีบตัว
สูงขึ้นทันที เพราะโลกนี้ยังไม่มีกฎหมายการควบคุมราคาสินค้า ระบบเศรษฐกิจเลยบอบบางมาก ทำอะไรต้องระวังเป็นพิเศษ
เมาลอยล์ที่เคยเข้าพวกที่หาว่าอาหารที่ผมทำเป็นของปีศาจ ยังยอมนั่งกินไปเงียบๆ ส่วนครีเรน่าถึงมองผมแบบไม่สบอารมณ์แต่ก็ยอมกิน แต่พอกินเสร็จแล้วต้องมานั่งสวดขอบคุณพระเจ้า เล่นเอาผมเซ็งไปเหมือนกัน ก็คนทำอาหารให้กินน่ะผมนะ แล้วก็ไม่ได้ขอเยอะขนาดต้องมาสวดให้หรอก แค่ขอบคุณสักคำก็พอแล้ว
ก่อนจะออกไปเก็บเลเวล ผมก็ต้องเข้าไปคุยกับอาโกทัส เพื่อทำความเข้าใจกันก่อน เพราะตอนนี้เขาไม่ใช่คนของโบสถ์ใหญ่แล้ว เพราะงั้นเลยไม่อยู่ในเงื่อนไขของสัญญาในการพาเก็บเลเวล ผมให้เขาพักอยู่ด้วยได้
จนกว่าพวกผมจะกลับออกไป หรือว่ามีนักผจญภัยคนอื่นผ่านมา แล้วขอติดออกไป
ส่วนระหว่างที่อยู่ในค่ายพัก ก็ยังต้องทำตามกฎของผม แนะนอนว่าผมให้คำสั่งทุกคนไว้แล้ว ว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้ลงมือขั้นเด็ดขาดได้เลย หรือแปลกันตามตรงก็คือ ถ้ามันก่อปัญหาก็ฆ่าทิ้ง แล้วลากศพไปหมกไว้ในดันเจี้ยนเนี่ยล่ะ
ทีมรอบเช้าที่จะออกไปเก็บเลเวลกันก็มี ดอเรีย ซาคุยะ กิน มิริน ชีเอ้ เอร่า อาเดไลท์ ผม และก็พวกโบสถ์ใหญ่ห้าคน โดยพวกเธอทิ้งให้อัศวินที่ชื่อ ลอร์ คอยอยู่เฝ้าอาโกทัสไว้
ทีมนี้ไม่มีปัญหาเรื่องการเก็บเลเวลหรอก เพราะเป็นทีมที่มีเลเวลและความสมดุลสูงที่สุด ผมไม่ต้องสั่งการอะไรเลย สมาชิกส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้มี
ประสบการณ์ ดอเรียไม่ต้องพูดถึงเธอออกผจญภัยไปทั่ว รู้วิธีต่อสู้และการทำงานกับทีมเป็นอย่างดี
ซาคุยะเองก็เป็นถึงผู้นำกลุ่มผู้กล้ามาก่อน เธอสามารถสั่งการได้แทนผม และมีการตัดสินใจที่เป็นระบบระเบียบ ถึงจะตึงๆ ไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็ถือว่ามีความเป็นผู้นำอยู่เต็มตัว ส่วนมิรินเองก็เคยเป็นสมาชิกปาร์ตี้ผู้กล้า เลยทำงานเข้ากับซาคุยะได้ดี แถมเธอใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในดันเจี้ยนจนมีความคุ้นเคยมากกว่าใคร
ส่วนผมก็มีหน้าที่แค่คอยชี้ทางไปหามอนสเตอร์ให้ และคอยแจ้งเตือนตอนที่ถูกบุกล้อม สบายจริงๆ เหมือนมาเดินย่อยอาหารเลย พอว่างๆ อาเดไลท์เลยมาปรึกษาผมเรื่องสกิลของพัดพายุวารี
ปัญหาไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่เลเวลเธอน้อยเกินไปสำหรับมัน ดูจากการกินมาน่าและพลังชีวิตไปเมื่อวาน ผมว่าอย่างตํ่าๆ ต้องเลเวลสิบสี่ถึงสิบห้าถึงจะใช้มันได้ ส่วนสกิลที่สามคือเวททอนาโด ยังคงเป็นสีแดงเหมือนกับเวท Waterfall ของผม คงมีเงื่อนไขในการใช้ เช่นต้องให้มาน่าเพียงพอหรือไม่ก็จำกัดพื้นที่ใช้งานไว้ล่ะมั่ง
แต่แนวโน้มที่ดีคืออาเดไลท์เริ่มสนุกกับการได้ต่อสู้ แถมยังพยายามเรียนรู้การสั่งการปาร์ตี้ ทั้งจากผมและซาคุยะ ถึงแม้จะไม่ได้บอกไปตรงๆ แต่เธอเหมือนจะอ่านวัตถุประสงค์ของผมออก
ด้านกินไม่มีปัญหาอะไร เธอขึ้นไปขี่หลังดอเรียและคอยฝึกใช้เวทมนต์ใหม่ๆ ที่ได้มาตอนเปลี่ยนอาชีพชาแมน อย่างที่เคยบอกไป อาชีพชาแมนค่อนข้างขี้
โกงเพราะใช้เวทได้แทบทุกแบบทุกสาย ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เวทขั้น 1 เท่านั้น แต่ความหลากหลายและประโยชน์ในการใช้งาน ครอบคลุมทุกส่วนเลย
แถมสกิลพ่นไฟเลเวลอัพแล้วด้วย ทำให้พ่นไฟได้วงกว้างกว่าเดิม แถมยังทำให้ติดพิษด้วย สมเป็นสกิลระดับบอสดันเจี้ยนแฮะ แค่อัพเลเวลสกิลขึ้นแค่หนึ่งความโหดเพิ่มขึ้นลิบลับเลย ซํ้าค่าพลังต่างๆ ที่เพิ่มตอนเลเวลอัพ ก็เพิ่มมากกว่าคนอื่นด้วย เลเวลหนึ่งของกินเท่ากับของคนอื่นสี่ถึงห้าเลเวลเลย แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือความฉลาดของเธอนี้ล่ะ
เมื่อตอนมื้อเช้า ผมเห็นกินนั่งพูดภาษายักษ์กับจามิร่าได้แล้ว ซํ้าตะกี้ถ้าหูผมไม่ฝาด ผมได้ยินกินถามเรื่องเวทมนต์จากมิริน และพอฟังจบกินก็ใช้เวทนั้นออกมาได้ทันที…ระดับการเรียนรู้เข้าขั้นอันตรายเลย
แต่สัตว์ประหลาดตัวจริง ต้องยกให้เอร่า ถึงแม้ฝีมือการยิงธนูจะห่วยขั้นเทพสมตัว เพราะโอกาสยิงโดนมีแค่ 50/50 ครึ่งๆ ที่ว่าเนี่ย คือโอกาสยิงโดนเป้าหมายครึ่งหนึ่ง และโอกาสโดนพวกเดียวกันเองอีกครึ่งนะ
สงสัยผมจะเลือกอาวุธให้เธอผิด แต่ความเป็นสัตว์ประหลาดของเอร่าอยู่ตรงค่าพลัง เพราะพอเลเวลอัพทีค่าพลังเธอเพิ่มพรวดๆ มากกว่าของกินซะอีก สมเป็นเผ่าเทพจริงๆ ค่าพลังเกินมนุษย์มนาไปแล้ว ผมเลยเปลี่ยนเอาค้อนเหล็กอันเดิมของจามิร่าที่ไม่ได้ใช้แล้ว ให้เอร่าไปแล้วยึดเอาธนูกลับมาก่อนจะไปยิงถูกใครตาย
คราวนี้เข้าท่าแฮะ ถึงตอนแรกจะกลัวๆ แต่พอฆ่าได้ตัวหนึ่งแล้ว เอร่าก็ไล่หวดพวกศพอย่างมันส์มือเลย เธอดูทั้งสนุกและตั้งใจ เพราะตอนนี้เธอเป็นเทพที่มี
เลเวลมากที่สุดในสวรรค์ ก้าวข้ามระดับของสิบเทพสูงสุดไปแล้ว เธอเลยภูมิใจกับสถานะของตัวเองตอนนี้มาก
พวกเทพเนี่ยควรจะเก่งจริงๆ นั้นแหละ เสียแต่นิสัย ทั้งขี้เกียจ ขี้ขลาด ไร้นํ้ายา ชอบนั่งชี้นิ้วสั่งมากกว่ามาลงมือทำเอง ไม่งั้นป่านี้ไม่ต้องเสียเวลาอันเชิญพวกผู้กล้า มายัดใส่ในโลกนี้เพื่อปราบจอมมารหรอก แค่ตัวเองเก็บเลเวลกันก็น่าจะปราบจอมมารได้แล้ว อ้อ ไม่สิ เพราะมีสกิลสั่งตายจอมมารได้อยู่ เลยไม่มีความจำเป็นต้องมาเสียเวลาเก็บเลเวลสินะ
“…นี้เอร่า ทำไมพวกเทพไม่ไปฆ่าจอมมารซะเองล่ะ มีสกิลสั่งตายจอมมารอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“เอ๋! รู้ได้อย่างไงอ่ะ นั้นความลับสูงสุดของสวรรค์เลยนะ”
“เอ่อ อ่านเจอมา”
โม้ไม่เนียนเลยแฮะ แต่ก็พอจะหลอกสมองกลวงๆ ของเอร่าได้
“โรมะนี้ขยันอ่านหนังสือจัง เหตุผลที่พวกเราไม่ไปกำจัดจอมมารเองด้วยสกิลนั้น เพราะว่ามันใช้ได้แต่บนสวรรค์น่ะสิ แถมมันยังเป็นการแชร์พลังกันของเทพ แค่มีใครใช้ไปครั้งเดียว พวกเราก็จะโดนลดพลังลง จนแทบจะใช้สกิลอื่นไม่ได้เลย”
“แบบนี้เอง”
เข้าใจล่ะเหตุผลที่พวกเทพไม่ลงจากสวรรค์กันมาเลย จะว่าเพราะกลัวจอมมารจนขี้หดตดหายกันดีไหมล่ะเนี่ย ถึงได้นั่งกอดไม้ตายตัวเองไว้จนไม่ยอมไปไหนเลย
ระหว่างที่คุยๆ กันอยู่เนี่ย พวกดอเรียเองก็ฆ่าศพไปจนหมดสุสานแล้ว เพราะในเรดาร์ของผมมันโล่งเลย
“เอาเป็นว่าพักกินของว่างรอมอนสเตอร์เกิดใหม่กันเถอะ”
พอได้ยินผมบอกแบบนั้น พวกสาวๆ ก็เฮกันออกมาทันที มีแต่พวกโบสถ์ใหญ่ทำหน้างงๆ จะว่าไปพวกนี้ก็งงมาตั้งแต่ตะกี้แล้ว เพราะพวกเขาไม่ได้สู้เลย ได้แต่ยืนดูพวกสาวๆ กวาดล้างสุสานกันอย่างสนุกสนาน
การมีจอมเวทแบบมิรินอยู่ในปาร์ตี้ ทำให้การทำลายล้างเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นเยอะเลย โดยเฉพาะเวลาโดนบุกล้อม ก็ไม่ต้องเสียเวลาตั้งแนวป้องกัน แต่เธอยิงเวททำลายวงกว้างใส่ทีเดียวก็จบ
ผมเอาชุดโต๊ะนำชาของอาเดไลท์ออกมา เพราะเธอขอให้ผมแบกมาด้วย แต่จำนวนคนถ้ารวมพวกโบสถ์ใหญ่ไป โต๊ะจะไม่พอนั่ง ผมเลยเอาโต๊ะสำรองออกมาอีกตัว เพราะต้องพกของเยอะแยะแบบนี้แหละ ผมถึงต้องทำกระเป๋าจอมโกงออกมา
ส่วนของว่างผมเสริฟเค้กให้ นั่งกินสลับกับจิบชา ถึงแม้บรรยากาศจะไม่ให้ เพราะเป็นกลางสุสาน แต่รสชาติความหวานของเค้ก ก็ทำให้วงนํ้าชาดูครึกครื้นขึ้นมาได้
พวกโบสถ์ใหญ่ไม่เคยกินเค้กมาก่อน เลยเกือบมีพวกประสาทหลอนออกมาให้เห็น เมาลอย์ลเกือบตะโกนอย่างกับคนบ้า แต่ยังดีตั้งสติได้ทัน และกลับลงมานั่งกินต่อ
ส่วนพวกนักบวชสาวๆ นี้ทำหน้าเหมือนอยากจะกินอีก แต่กระดากไม่อยากขอตรงๆ แต่ผมก็ดูภาษากายออก เลยเข้าไปเสริฟเพิ่มให้พวกเธอ
กินเองก็เริ่มทานอาหารแบบมนุษย์ได้แล้ว เพียงแต่อาหารพวกนี้ไม่มีประโยชน์ด้านสารอาหารกับเธอเลย ไม่อิ่มท้องด้วย คือทานเพียงแค่เอารสชาติอาหารอย่างเดียวเท่านั้น
“อะ เอ่อ คุณโรมะไม่มานั่งทานด้วยล่ะคะ”
หัวหน้านักบวชหญิงกรอเรียถามกับผม ที่เดินคอยเสริฟเค้กและเติมชาให้กับทุกคน เธอยังรู้จักรักษานํ้าใจ ไม่พูดมาตรงๆ ว่า ทำไมผมถึงต้องมาบริการทาสหรือลูกน้องตัวเองด้วย
“บางครั้งผมก็จะเป็นพ่อบ้านคอยบริการพวกเธอน่ะครับ เพราะการได้เห็นทุกคนมีความสุข ผมเองก็จะรู้สึกมีความสุขไปด้วย”
กรอเรียทำหน้าเหมือนโดนตบใส่แรงๆ ผมแสดงให้เธอเห็นหลายครั้งแล้ว ว่าใครจะเป็นอะไรไม่สำคัญ แต่เราปฏิบัติกับใครอย่างไงต่างหากที่สำคัญ
“โรมะจะดูแลทุกคนแบบนี้เป็นประจำค่ะ ไม่ใช่การรับใช้แต่นี้คือการบริการ พวกเราอยู่กับแบบนี้ค่ะ ทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้และช่วยกันดูแลซึ่งกันและกัน แล้วก็…มีความสุขไปด้วยกัน”
อาเดไลท์ช่วยอธิบายให้กรอเรียฟัง ราวกับกำลังเล่าเรื่อง โลกในอุดมคติตัวเองให้ฟังอยู่อย่างไงอย่างงั้น
แต่จริงๆ แล้ว ที่ผมต้องดูแลทุกคนมีเหตุผลที่ลึกกว่านั้นอีก เพราะผมต้องคอยควบคุมความเครียดของกลุ่มเอาไว้ ความเครียดจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ถ้าทำงานด้วยความสุขก็จะได้ชิ้นงานที่ออกมาดี ที่สำคัญความเครียดมีผลต่อผิวพรรณด้วย! ผมไม่ยอมให้พวกเธอมีรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยหรอก!
หลังพักกินของว่างเสร็จ ก็ได้เวลาที่พวกศพจะกลับมาเกิดใหม่พอดี
ดอเรียขอยืมดาบศิลาเย็นของผมไปลองใช้ดู ก็นะขนาดคนอ่อนหัดอย่างผมยังใช้ได้ขนาดนั้น พอไปอยู่ในมือดอเรียเลยไม่ต่างไปจากอาวุธสงครามเลย ไม่ว่าเธอจะวิ่งควบไปทางไหน ศพก็ถูกสับขาดเป็นชิ้นๆ พวกเธอทำความเร็วได้ยิ่งกว่ารอบแรกซะอีก
แต่จู่ๆ ดอเรียก็หยุดมือลง และหันมาเรียกผม
“ท่านโรมะ เจอ Raid ล่ะจะให้สู้ไหม”
พอดอเรียถามผมก็มองตามที่เธอชี้ไป บนนั้นที่แท่นหลุดศพขนาดใหญ่ มีศพออร์คที่พันผ้าพันแผลไว้นั่งกอดอกเหมือนกำลังรออะไรอยู่
ใช่ตัวเดียวกับเมื่อวานแน่ๆ และถึงไม่ต้องบอก ก็รู้ทันทีว่ามันมารอผมอยู่
“ดอเรียขอดาบคืน”
ผมรับดาบมาและให้ทุกคนถอยออกไป เพราะนี้เป็นการตัดสินของผมกับมัน
ขณะที่เดินเข้าไปหาผมก็ถอดเกราะมังกรขั้นต้นออก เพราะไม่อยากเอาเปรียบมันเกินไป แต่ถ้า
ถามความมั่นใจ ผมไม่ค่อยมั่นใจหรอก เพราะเลเวลไม่ได้เพิ่มขึ้นมาเลย
สิ่งเดียวที่ผมมีคือวิธีรับมือ แต่จะได้ผลมากน้อยอย่างไงนั้น ต้องวัดดวงเอา
พวกโบสถ์ใหญ่ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเข้าไปสู้คนเดียว กับ Raid ปกติแล้วต้องช่วยกันรุมถึงจะถูก แต่พวกสาวๆ กลับเข้าใจผม โดยเฉพาะดอเรียเธอรู้ว่านี้คือวิถีของนักรบ กับคนที่ตัวเองนับถือว่าเป็นศัตรู อย่างไงก็ต้องเอาชนะด้วยตัวเองให้ได้
Raid ศพออร์คก็เหมือนจะคิดแบบนั้นเช่นกัน เลยแผดเสียงร้องเพื่อไล่พวกศพตัวอื่นๆ ออกไปให้ไกล
มันจับดาบและลุกขึ้นเดินตรงมา ผมเองก็จับดาบในท่าเตรียมพร้อม ฝีเท้าของพวกเราเร่งขึ้นพร้อมๆ กัน
แต่ก่อนที่จะเข้าระยะปะทะดาบกัน ออร์คก็ใช้สกิล Flash slash ออกมา และเสียววินาทีนั้นผมก็ปาโล่ออกไปข้างหน้าตรงๆ
โล่กระแทกใส่เต็มหน้าของศพออร์ค บวกกับความเร็วที่พุ่งเข้ามา เลยเล่นเอาร่างใหญ่โตของมันถึงกับลอยหงายหลังล้มลงไป จมูกที่บี้อยู่แล้วของมันจมหายเข้าไปบนใบหน้า ดีที่เป็นศพเลยไม่ต้องหายใจ มันรีบลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ช้าไปแล้วเพราะผมเข้ามาประชิดตัวแล้ว
ออร์คยอมแลกแขนข้างหนึ่งของมันเพื่อใช้รับดาบศิลาเย็น แต่ดาบของมันฟันใส่มาเหมือนกัน ผม
เลยโดนมันฟันเข้าที่ท้องเป็นแผลลึก ยังดีที่ไม่ลึกพอจะทำให้ไส้ไหลออกมา แต่ Hp ผมสิลดฮวบ เอาแค่โดนมันสะกิดอีกทีก็ตายแล้ว
แต่ศึกนี้ไม่มีการหยุดพัก พอออร์คตั้งหลักได้มันก็เป็นฝ่ายคุมเกมแทน มันมั่นใจว่า Slash ของมันยังป่วนผมได้ ทว่านั้นมันก่อนที่ผมจะได้ฝึกกับดาเซส
Slash ถูกใช้ออกมาสองทีติดๆ แต่ผมกันได้หมด จังหวะที่มันตกใจนั้นเอง ผมก็รุกกลับใช้ Wall ตรงเท้าให้มันเสียสมดุล พร้อมกับโจมตีด้วยดาบศิลาเย็น แต่มันกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย เหวี่ยงดาบแลกกลับมาโดยไม่คิดจะป้องกัน
จริงๆ ผมควรจะตายตกตามกันไป ซึ่งก็ตรงตามที่ผมคำนวณไว้ เลยเอายาชุบชีวิตฝากไว้กับมิรินขวดหนึ่ง กรณีที่ผมพลาดจะได้ชุบชีวิตทัน แต่ผมยังมีดวง
เหลืออยู่ เพราะการเหวี่ยงดาบขณะที่ร่างกายเสียสมดุลนั้นเอง ทำให้ดาบคลาดเคลื่อนจากตำแหน่งจุดตาย และเฉียดหางคิ้วไปแทน ขณะที่ดาบของผมเข้าเป้าและตัดร่างของออร์คจนลำตัวขาด
ผลการต่อสู้ออกมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนศพออร์คมันจะปรับ Hp ตัวเองลงให้เหลือเพียงแค่ 1 ใน 10 เพื่อความยุติธรรมในการดวลกันตัวต่อตัวครั้งนี้ ไม่งั้นผมคงไม่สามารถจัดการมันได้ในสองดาบแบบนี้หรอก แต่ชนะก็คือชนะ ศพออร์คก็พอใจกับผลการดวลที่ออกมา เพราะพวกเราสู้กันอย่างยุติธรรมที่สุดแล้ว
ไร้ซึ่งคำพูด มันยื่นมือมาทางผม และผมก็จับมือนั้นไว้พร้อมกับที่ร่างของศพออร์คสลายไปพอดี บนมือผมคือไอเท็มดรอปที่ได้มา นอกจากเหรียญทองมาตรฐานสามเหรียญแล้ว ก็ยังมีการ์ด High Orc
Warrior แหวนหัวหน้าเผ่าหนึ่งวง และคริสตัลวิญญาณอีกสองก้อน ซึ่งมันเป็นไอเท็มดรอปทั้งหมดที่ศพออร์คมี แถมมันยังกลายเป็นไอเท็มผูกมัด ที่มีแต่ผมเท่านั้นที่ใช้ได้
การ์ด High Orc Warrior เป็นการ์ดประหลาด เพราะไม่สามารถใช้งานได้ แต่เป็นประเภทการ์ดสะสม มิรินบอกว่าต้องเก็บให้ครบชุด มันถึงจะใช้งานได้ แต่เพราะโอกาสได้ครบชุดมันยากมาก โดยเฉพาะเป็นเผ่าออร์คที่ไม่ค่อยมีใครล่า เลยไม่รู้ว่าสะสมครบแล้วจะได้อะไร
แหวนหัวหน้าเผ่า เป็นไอเท็มที่เหมือนตั้งใจให้ผมมาโดยเฉพาะ เนื่องจากมันให้ผลของการได้รับ Exp เพิ่มขึ้น แถมยังเพิ่มให้ตามระดับค่าเฉลี่ยของ Exp ที่คนในปาร์ตี้ได้ด้วย สรุปคือ ถ้าสกิลเทรนเนอร์ผม
ยิ่งเลเวลเยอะ แล้วทำให้คนในปาร์ตี้ได้ Exp เยอะขึ้น ผมก็จะได้ Exp เยอะขึ้นตาม
และคริสตัลวิญญาณสองก้อน ในเมื่อมันเอาให้คนอื่นใช้ไม่ได้เพราะถูกผูกมัดไว้ ผมเลยใช้มันทันทีกับดาบศิลาเย็น
Hell Ice Field (Active skill) Dissect Earth (Active skill)
เป็นสกิลโจมตีทั้งคู่เลย! แต่ว่า…Mp ไม่พอที่จะใช้อีกแล้ว
ตอนที่ 88 การอันเชิญสุดสยอง
ผมให้ทีมรอบเช้าล่าต่ออีกรอบ ก่อนจะพากันกลับค่ายพัก แต่ผมก็สั่งห้ามบอกเรื่องที่ผมบาดเจ็บให้คนอื่นรู้ ไม่งั้นมีหวังได้คลั่งกันขึ้นมาแน่ แค่พวกมิรินผม
ยังโดนบ่นใส่ตลอดทาง แถมพวกเธอยังโกรธจนไประบายใส่พวกศพ จนสภาพเละเทะดูไม่จืด
แต่ดีอย่าง พอทุกคนลงมือด้วยความโกรธให้เห็น ท่าทางของพวกโบสถ์ใหญ่ก็ให้ความเคารพพวกเธอขึ้นมาทันที คงไม่อยากมีสภาพแบบพวกศพหรอกจริงไหม เพราะงั้นอย่าทำให้พวกเธอโกรธเลยเป็นดี
สรุปผลในรอบเช้า ออกมาดีเลยแฮะ
เลเวลของพวกโบสถ์ใหญ่อัพกันเป็น 24 กันแล้ว ยกเว้นเมาลอย์ลกับครีเรน่า ที่พึ่งเลเวล 23
ส่วนกลุ่มผมมีกินเนี่ยล่ะที่เลเวลพุ่งกระฉูดเพราะขึ้นมา 5 เลเวลเลย ตอนนี้จึงมีเลเวล 15 แล้ว
เอร่าเนี่ยสิ พอเลเวลอัพเป็น 10 แล้วความเร็วในการอัพก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้เลยพึ่งเลเวล 11 เอง
อาเดไลท์ก็ขึ้นมาพอๆ กับกิน แต่รู้สึกจะช้ากว่าหน่อย เลเวลเพิ่มจาก 9 มาเป็น 13
ส่วนผมกับชีเอ้ขึ้นมาคนละหนึ่งเลเวล ชีเอ้เลเวล 24 ส่วนผม 17 พอใส่แหวนแล้วเลเวลขึ้นเร็วทันตาเห็นเลย
แต่พวกเลเวลแถวบนนี้สิ นิ่งไม่ขยับเลย เลเวลเพิ่มยากจริงๆ ด้วยแฮะ แต่ผมพึ่งรู้จากมอเรียตอนที่กลับถึงค่าย ว่าสกิลเทรนเนอร์มีผลเฉพาะกับคนที่เลเวลห่างกันไม่เกิน 10 เพราะงั้นพวกดอเรียถึงไม่ได้รับผลจากสกิลเทรนเนอร์
ไอเท็มที่ได้มาก็มีเหรียญเงินรวมๆ กับที่ได้มาเมื่อวาน ก็เยอะเอาเรื่องนะเนี่ยเกือบพันเหรียญได้แล้วมั่ง นอกจากนั้นก็มี
คริสตัลวิญญาณ 2 ก้อน
การ์ดศพ 2 ใบ(ได้เบิ้ล)
การ์ดศพผมเก็บไว้ก่อน ขืนใช้ตอนนี้เกิดได้แจตพอตแตกแบบครั้งแรก เดี๋ยวได้เกิดเรื่องอีก
ส่วนอาโกทัสไมได้ก่อปัญหาอะไร เอาแต่นอนหลับอยู่ในเต็นท์ของพวกผู้ชาย ก่อนจะเตรียมมื้อเที่ยงผมก็เรียกอาเดไลท์กับเอร่ามาเปลี่ยนอาชีพก่อน
แต่ผมอดขำไม่ได้ เพราะยัยเอร่าดันไม่มีสกิลเปลี่ยนอาชีพ คือเทพส่วนใหญ่เนี่ย สกิลเปลี่ยนอาชีพ
เป็นสกิลพื้นฐานติดตัวเลยก็ว่าได้ ทว่าในทางตรงกันข้าม เอร่าก็มีสกิลอื่นที่เทพคนอื่นไม่มีเหมือนกัน
“ให้ฉันเลือกเองเลยเหรอ”
อาเดไลท์หันมาถามผม เธอคงคิดว่าผมเตรียมอาชีพเหมาะๆ ให้กับเธอไว้แล้ว แต่ไม่ล่ะผมอยากให้เธอสนุกกับสิ่งที่ตัวเองเลือกมากกว่า
ส่วนของเอร่านี้สิ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะเลือกให้จริงๆ แต่สมเป็นเทพ เพราะหน้าต่างอาชีพที่เปลี่ยนได้มีเยอะจนน่าตกใจ เท่าที่เห็นก็เกินร้อยอาชีพแล้วล่ะ
ผมหันกลับมาดูทางอาเดไลท์ ซึ่งเธอค่อยๆ ปิดหน้าต่างอาชีพอันที่ไม่ต้องการออกไปก่อน เลือกได้รอบคอบดีจริงๆ
อ่ะ! อาชีพที่ผมเล็งไว้โดนปิดไปซะแล้ว หนึ่งในอาชีพที่ผมแอบลุ้นไว้ก็คือ อาชีพคอมมานเดอร์ จะเหมือนกับโลกเก่าผมเปล่าไม่รู้ เพียงแค่คิดว่ามันน่าจะเป็นสายบัญชาการ ซึ่งในปาร์ตี้ผมไม่มีใครมีอาชีพสายนั้นเลย
อ่ะ! มีอาชีพเจ้าหญิงด้วย ฮ่าดีจริงๆ แบบนี้ถ้าเอาสาวชาวบ้านมาเปลี่ยนอาชีพเป็นเจ้าหญิง แล้วจะเดินเข้าวังไปได้เลยหรือเปล่านะ อ้อ ไม่ได้สินะ ที่อาเดไลท์มีอาชีพนี้โผล่ขึ้นมา เพราะเธอมีศักดิ์เป็นเจ้าหญิงอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ทางสายเลือด แต่ไม่สำคัญหรอกเพราะอาเดไลท์ปิดมันไปแล้ว
หลังจากเลือกอยู่กว่าสิบนาที ในที่สุดอาเดไลท์ก็เหลือตัวเลือกอยู่เพียงสาม ซึ่งแต่ละอันนี้เล่นเอา
ผมถึงกับกุมขมับ ถึงขั้นต้องอธิษฐานกันเลยว่าอย่าให้เธอเลือกอาชีพตัวตลก
“อันนี้ล่ะ”
อาเดไลท์วางมือลงไปบนหน้าต่างอาชีพ ซึ่งอาชีพที่เธอเลือกก็คือ…นักเต้น (Dancer)
ผมนี้ถอนหายใจดังเฮือกเลย เพราะอันนี้ดูดีสุดในสามอันที่เธอคัดแยกมาเลย อีกสองอาชีพที่ว่าก็คือ ตัวตลก กับ นางโลมขั้นสูง ส่วนเหตุผลที่เธอเลือกก็แสนธรรมดา เพราะว่ามันเป็นอาชีพที่ใช้คู่กับอาวุธประเภทพัดได้ ซํ้ายังมีสกิลน่าสนใจหลายอย่าง ส่วนที่เธอเลือกตัวตลกกับนางโลมขั้นสูง ก็ด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน
อาเดไลท์บอกว่า ตัวตลกดีตรงมีสกิลสนับสนุนการใช้อาวุธทุกประเภท เพียงแต่มันไม่ได้ใช้เป็นอาวุธเนี่ยสิ ส่วนใหญ่จะใช้อาวุธเป็นอุปกรณ์สำหรับการ
แสดงตลกซะมากกว่า ส่วนนางโลมมีสกิลเยอะ แต่ส่วนใหญ่หนักไปทางสกิลประเภทสายศิลปะ เธอเลยเลือกนักเต้นมาแทน
มีเหตุมีผลดีแฮะ
ส่วนสกิลที่ได้มาตอนเปลี่ยนอาชีพก็คือ
ระบำพัด Lv1 (Active skill)สกิลนี้ส่งผลค่อนข้างประหลาด คือทำให้เป้าหมายทั้งหมดหันมาสนใจ และระหว่างที่ใช้สกิลนี้ ผู้ใช้จะไม่ตกเป้าหมายโจมตี แถมมันยังทำให้เป้าหมายเสียสมาธิด้วย
งงๆ เหมือนกัน ไว้คงต้องลองใช้ดูถึงจะเข้าใจผลของมัน แต่ระหว่างที่ผมสนใจอยู่กับอาเดไลท์ ทางเอร่าเองก็เปลี่ยนอาชีพไปแล้ว
ผมเห็นแล้วล่ะ แต่หันไปห้ามไม่ทัน เห็นเอร่าก้มๆ เงยๆ อยู่พักหนึ่ง ไม่คิดว่าจะเลือกจริงๆ อาชีพที่เธอเลือกก็คือ Summoners
ผมกุมขมับอีกรอบ อาชีพนี้ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันมีจุดอ่อนที่ยิ่งส่งผลเสียกับเผ่าเทพอยู่ เพราะอาชีพนี้จะไม่เพิ่มค่าพลังให้ตอนเปลี่ยนอาชีพ และจะไม่มีโบนัสค่าพลังให้ตอนเลเวลอัพ จุดเด่นของเผ่าเทพคือค่าพลังที่สูงผิดมนุษย์ การที่ได้อาชีพที่ไม่เพิ่มค่าพลังให้เนี่ย ถือว่าเสียหายที่สุดเลย
แต่เปลี่ยนไปแล้วก็ช่วยไม่ได้
“แล้วได้สกิลอะไรมาเหรอเอร่า”
“อ้อ สกิลอันเชิญขั้น 1 น่ะ”
“…น่าสนุกดีแฮะไหนลองใช้ดูสิ”
“ได้เลย”
เอร่ายิ้มอย่างมั่นใจและเริ่มการอันเชิญ ดูเหมือนว่าจนกว่าจะเป็นอันเชิญขั้น 4 จะยังระบุตัวที่จะเรียกออกมาไม่ได้ เลยต้องลุ้นกันอย่างเดียวว่าตัวอะไรจะออกมา
“ทุกคนพร้อมนะ เชิญดูอสูรอันเชิญอันแสนยิ่งใหญ่ของฉันได้เลย!”
ปัง! ตูม!
เสียงเอฟเฟกดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มควัน และการไหลทะลักออกมาของอสูร…ใช่ ไหลทะลักถูกแล้ว เพราะที่ออกมาจากกลุ่มควันก็คือกองทัพแมงสาป ไม่ใช่แค่สองสามตัว แต่เป็นกองทัพนับล้าน!
เอร่ายืนตัวแข็งเพราะช็อคไปแล้ว แต่นั้นเลยทำให้พวกแมงสาปหลุดการควบคุม วิ่งไปทั่วค่ายพัก เล่นเอาแตกตื่นกันยกใหญ่ มีแค่เดเม่กับกินเท่านั้นแหละที่ไม่กลัวแมงสาป แต่ดอเรียนี้ก็กลัวแมงสาปเหมือนกันเหรอ! เพราะเธอเป็นคนแรกที่วิ่งหนีเตลิดไป
ผมต้องให้กินพ่นไฟจัดการแมงสาป กว่าความสงบสุขจะกลับคืนมาสู่ค่ายพัก และผมก็ได้สั่งห้ามเอร่าทำการอันเชิญอสูรอีกเป็นครั้งที่สอง
เพื่อให้ลืมเหตุการณ์อันน่าสยดสยอง ที่ถึงขั้นทำให้เกิดแผลใจได้ ผมเลยต้องทำมื้อเที่ยงที่ดึงดูดความสนใจทุกคนสักหน่อย
“ช่วยไม่ได้แฮะ สงสัยต้องใช้ไม้ตายออกมาแล้ว”
ผมถอนหายใจก่อนจะเดินไปหายูริน เพื่อให้ช่วยทำอะไรให้หน่อย พออธิบายให้ฟัง เธอก็เข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องเขียนแปลนให้ดูเลย
ส่วนไม้ที่จะเอามาทำ ยูรินได้เก็บต้นไม้ในป่าที่โดนพวกฟรานตัดมาพอสมควร เห็นว่าเป็นไม้เนื้อดีที่มีราคาพอสมควร แต่เพราะนํ้าหนักมันเยอะ เลยไม่คุ้มที่จะลงมาตัดเอากลับไป
ที่ผมให้ยูรินทำก็คือ โต๊ะกลมติดสายพานลำเลี้ยง แต่ตัวกลไกลต้องใช้เวทมนต์ของมิริน สร้างอุปกรณ์เวทมาช่วย ผมแจ้งทุกคนแล้วว่ามื้อเที่ยงวันนี้จะช้าหน่อย แต่ทุกคนรอได้ไม่มีบ่น เพราะรู้ว่าอาหารที่ผมทำต้องอร่อยแน่นอน ที่สำคัญทุกคนต้องการเวลาพักให้ลืมภาพกองทัพแมงสาปไปก่อนด้วย
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าโต๊ะและการเตรียมวัตถุดิบจะเสร็จ ผมเรียกทุกคนมากินข้าวได้ แต่พอเห็นโต๊ะตัวใหม่ ทุกคนก็ทำหน้างงกันหมด มีแต่ซาคุยะเท่านั้นแหละที่เดาออกว่าอาหารมื้อนี้คืออะไร
“นะ นี้อย่าบอกนะว่า!”
“ใช่อย่างที่เธอคิดนั้นแหละ เอารีบๆ นั่งเถอะ”
ทุกคนเดินมานั่งกันรอบโต๊ะกลม โดยที่มีผมยืนอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นที่ว่างสำหรับพ่อครัว ตรงหน้าทุกคนคือจานเปล่า ถ้วยนํ้าจิ่ม สายพานลำเลี้ยง และยังมีวัตถุดิบต่างๆ ใส่ไว้ในตู้กระจกให้ดูด้วย
“ใครอยากจะกินอะไรสั่งได้เลยครับ”
“ปลา! ขอปลาก่อน”
ซาคุยะรีบยกมือขึ้นขอทันที และผมก็ทำซูซิปลาดิบที่ทำมาจากเนื้อปลาสายรุ้ง ซึ่งมีชั้นไขมันคล้ายๆ กับปลาแซลมอน จัดเรียงใส่จานสองชิ้น และวางลงบนสายพาน พอสายพานขยับเท่านั้นแหละ ทุกคนก็พากันตกใจจนลุกขึ้นจากเก้าอี้กันหมด
แต่พอเห็นซาคุยะหยิบจานจากสายพาน และมาจิ่มกับนํ้าจิ่มแล้วเอาเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ทุกคนก็กลับมานั่งตามเดิม และเริ่มขอแบบกล้าๆ กลัวๆ
“นะ หนูขอไก่ค่ะ”
เดเม่ลองดูบ้าง และผมก็ทำซูชิหน้าไก่ย่างทาซอสส่งไปให้ คราวนี้แหละทุกคนเลยขอกันใหญ่ จนผมทำแทบไม่ทัน ด้วยที่ทุกคนอาจไม่คุ้นกับการกินแบบดิบๆ แบบคนญี่ปุ่น ผมเลยเตรียมพวกวัตดุดิบที่ปรุงสุกแล้วไว้ด้วย อย่างซูซิหน้าสเต็กยังมีเลย
ทุกคนกินกันอย่างสนุกสนาน เพราะไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน อาหารก็อร่อย แถมได้เห็นขั้นตอนการทำไปจนถึงขั้นตอนเสริฟลงจานเลย โดยเฉพาะสายพานที่จะนำจานเคลื่อนไปรอบๆ โต๊ะได้เนี่ย ดึงดูดความสนใจได้ยิ่งกว่าที่คิดซะอีก
ส่วนเดเม่เห็นตอนผมปั้นข้าวไม่ชัด คือเห็นผมเอาข้าวใส่มือแล้วขยับสองสามครั้ง ก็ออกมาเป็นซูซิแล้ว เธอเลยขอเข้ามาดูข้างใน ผมก็ให้เธอเข้ามาและทำให้ดูอย่างช้าๆ ซึ่งพอเห็นเทคนิกปั้นซูซิแล้ว เดเม่ก็ถึงกับส่ายหน้า ก็ไม่แปลกหรอก เทคนิกนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนซํ้าๆ ถึงจะทำได้
“ซาคุยะเอานี้ไหม”
ผมส่งจานเล็กๆ ที่ใส่วาซาบิไว้ให้
“วาซาบิ! นี้นายไปหามาจากไหน”
ซาคุยะตกใจมากที่เห็นวาซาบิ
“ร้านยาไง พอดีผมเห็นในตำราปรุงยา มีส่วนผสมของยาบางอย่าง ที่มันเหมือนกับวาซาบิ ผมเลยลองไปถามดู แล้วก็มีอย่างที่คิดไว้จริงๆ”
“นายนี้มันสรรหาของกินได้เก่งจริงๆ รู้ตัวไหม”
“ชมหรือหลอกด่าล่ะนั้น”
จะอย่างไหนก็ไม่รู้ล่ะ แต่ซาคุยะคว้าจานใส่วาซาบิไปแล้ว คนอื่นๆ พอเห็นซาคุยะผสมวาซาบิใส่นํ้าจิ้ม เลยขอเอาไปลองบ้าง แต่ผมห้ามไม่ทัน ฟรานเลยตักใส่ไปซะเยอะ แล้วพอจิ่มกินเธอก็นํ้าหูนํ้าตาไหลพรากทันที
ผมเลยต้องสอนวิธีใช้วาซาบิให้ทุกคนฟัง โดยต้องใส่แต่น้อยๆ โดยเฉพาะนี้เป็นวาซาบิสด ซึ่งมีความเผ็ดขึ้นจมูกมากกว่าแบบอื่น
แน่นอนว่าบางคนไม่ชอบวาซาบิ อย่างฟรานกับเดเม่เนี่ย ไม่ยอมแตะอีกเลย แต่มอเรียกับยูรินกลับชอบวาซาบิจนตักใส่เป็นช้อนๆ เลย สายฮาร์ดคอร์สินะพวกนี้
แต่ผลตอบรับดีจริงๆ ทุกคนดูมีความสุขในการกินมาก โดยเฉพาะซาคุยะเนี่ย กินซะจนไปแข่งกินจุได้เลย เสียดายวัตถุดิบมีให้เลือกน้อยไปหน่อย เพราะงั้นผมถึงได้ถามหาพวกกุ้งกับปลาหมึกไง
อ้อ มีคนหนึ่งที่ไม่ยอมมากินด้วยเหมือนเดิม อาโกทัสเจ้าเก่า เจ้านี้ยังดื้อไม่ยอมนั่งร่วม
โต๊ะกับทาส ก็เอาตามที่สบายใจเถอะ ผมไม่ชอบบังคับใครอยู่แล้ว
ถึงทุกคนจะอิ่มจนยิ้มแก้มเผละและนั่งซดชากันแล้ว แต่ผมยังมีของหวานตบท้ายให้อีก วันนี้เป็นพุดดิ้งล่ะ ซาคุยะที่พอเห็นพุดดิ้ง ก็รีบตะโกนห้ามทันที
“ดะ เดี๋ยว! นี้นายคิดจะให้ทุกคนกินไอ้นี้จริงๆ เหรอ!”
“ก็ใช่น่ะสิ ทำไมเหรอ?”
“ไม่คิดว่ามันจะอันตรายเกินไปหน่อยเหรอ นายไม่รู้เหรอผู้หญิงน่ะลองได้กินไอ้นี้ไปแล้ว ก็จะขาดมันอีกไม่ได้เชี่ยวนะ”
“งั้นเดี๋ยวผมทำให้กินทุกวันก็ได้”
ใช่ตู้เย็นที่บ้านผมนะอัดแน่นไว้ด้วยพุดดิ้งล่ะ เรื่องที่ผู้หญิงชอบพุดดิ้งน่ะผมรู้อยู่แล้ว อย่างพวกพี่ๆ ผมก็คลั่งพุดดิ้งกันจนต้องเติมให้เต็มตู้เย็นอยู่ตลอดเวลา ไม่งั้นพออาบนํ้าเสร็จแล้วไม่มีพุดดิ้งเย็นๆ ให้กิน ได้มีงอแงให้เห็นกันเลยล่ะ
“อะ อันตรายขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
ฟรานเข้ามาถามอย่างหวาดๆ
“ใช่ ยิ่งกว่าของหวานทุกชนิดที่เคยกินกันมาเลยล่ะ”
ซาคุยะทำหน้าซีเรียสตอบ เล่นเอาทุกคนต้องกลืนต้องกลืนนํ้าลายดังเฮือก
“งั้นฉันขอตายเป็นคนแรก!”
ดาเซสออกมาเป็นหน่วยกล้าตาย และตักพุดดิ้งเข้าปาก แล้วเธอก็…ได้สิ้นชีพอย่างงดงาม ไม่ถึงกับตายจริงๆ หรอก แค่เหมือนกับวิญญาณหลุดออกจากร่างเท่านั้นเอง
“ฉันเตือนแล้วไง!”
ซาคุยะหันมาโวยผมทันที
“น่าๆ ใจเย็นๆ ดูนี้สิ”
ผมเอื้อมมือไปดึงถ้วยใส่พุดดิ้งกลับ แต่ดาเซสเด้งตัวขึ้นมาแย่งมันไปทันที
“เห็นไหม แค่ช็อคไปเพราะความตกใจเท่านั้นแหละ”
“ฉันว่าสักวันนายต้องทำใครตายเพราะของกินแน่”
ซาคุยะว่าผมทีหนึ่ง ก็จะรับเอาพุดดิ้งของตัวเองไปกิน ทุกคนพอรับไปกินอย่างหวาดๆ ก็มีอาการวิญญาณหลุดออกจากร่างเป็นแถว แต่พอเริ่มตั้งสติได้แล้ว ทุกคนก็กินกันไป ยิ้มกันไปแล้วต้องเอามือขึ้นมาบีบหน้าไว้ด้วย เพราะไม่งั้นคงได้ฉีกยิ้มกันจนถึงหูแน่
ทันทีทันใดนั้น ทุกคนก็พร้อมใจกันรีเควส ให้มีพุดดิ้งเป็นของหวานทุกวัน เอาเถอะ เดี๋ยวไว้ทำอย่างอื่นมาล่อทีหลังล่ะกัน ให้กินซํ้าๆ กันทุกวันมันไม่ค่อยดีด้วย
ส่วนของเจ้าโฮ่งผมก็เอาเนื้อกับไก่คลุกข้าวให้มันกิน แถมด้วยกระดูกให้ไปแทะเล่น ถึงผมจะไม่เคยเลี้ยงสุนัขเพราะที่บ้านมีคนแพ้ขนสัตว์ แต่อย่างที่เขาว่านั้นแหละ ใครให้ข้าวให้นํ้า สัตว์เลี้ยงมันจะรู้และจะเชื่องกับคนนั้นมากกว่าเจ้าของซะอีก
ตอนนี้ผมเลยไม่ต้องสั่งเจ้าโฮ่งผ่านเอร่าล่ะ แต่สั่งมันได้ตรงๆ เลย
ตอนนั่งพักเพื่อเตรียมตัวออกไปเก็บเลเวลรอบบ่าย ผมก็เดินไปดูอ่างอาบนํ้าที่ยูรินทำ ซึ่งมันยิ่งกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก เพราะเล่นสร้างเป็นห้องนํ้าอาบขึ้นมาเลย ยูรินมารีเควสให้ผมทำชักโครกให้ด้วย เพราะสาวๆ ทุกคนติดการใช้ชักโครกไปแล้ว
แต่นี้เป็นของเฉพาะสาวๆ ของพวกผู้ชายยังไม่มี ผมเลยขอให้ยูรินทำถังเหล็กให้ เธอก็งงๆ ว่าจะเอาถังไปทำอะไร
“ไว้ให้พวกผู้ชายอาบนํ้าน่ะ”
ยูรินพอจะทำหน้าเข้าใจ เลยพยักหน้ารับงานไป
แต่ตอนกำลังเดินไปรวมกับทีมรอบบ่าย อาโกทัสก็รีบเข้ามาประกบผมจากด้านหลัง และใช้มีดมาจ่อคอไว้
“อย่าขยับนะโว้ย! ข้าเอาจริงนะ”
ตอนที่ 89 ทัณฑ์นรกอเวจี
ทุกคนหันควับมาทันที โดยเฉพาะพวกสาวๆ นี้ตาลุกเป็นไฟด้วยความโกรธเลย
“ถ้าใครเข้ามาข้าปาดคอมันแน่!”
“ถามจริง นี้แน่ใจแล้วเหรอ”
“หุบปากโว้ย! เพราะแก! ทั้งหมดเป็นเพราะแก!”
“ผม? ผมไปทำอะไรให้เหรอ”
“หุบปาก! ข้าบอกให้หุบปากไง”
“มามุกนี้เพลียเลยแฮะ พอเถียงสู้ไม่ได้ก็ให้หุบปากสินะ”
“แก! อย่าคิดว่าข้าไม่เอาจริงนะ”
“เอ่อ รู้ว่าเอาจริง แล้วจะเอาอย่างไงดีล่ะ”
“แกเอาเงินข้าไป รีบส่งมันคืนมาเดี๋ยวนี้เลย!”
“แย่จังความแตกซะแล้ว แต่ไม่คืนให้หรอก ก็แกบอกว่าทำหล่นไว้ ส่วนผมเก็บได้ มันก็ต้องเป็นของผมสิ”
“ไม่! เอาเงินมาให้ข้า!”
อาโกทัสกดมีดลงบนคอผม จนมีเลือดไหลซึมออกมา ผมเลยต้องรีบยกมือขึ้น เพื่อห้ามฟรานที่กำลังจะพุ่งเข้ามา เอ่อ ผมไม่ได้กลัวตายหรอก เพราะผมจงใจ
ให้มันจับตัวไว้เองล่ะ เพื่อนำไปสู่การลงทัณฑ์ที่แสนสิ้นหวัง
“เอ่อนี้ รู้อะไรไหม การจับตัวประกันน่ะ มีข้อเสียอยู่นะ”
“หุบปากโว้ย! ส่งเงินมาให้ข้าก็พอ แกไม่อยากตายใช่ไหมล่ะ แค่ส่งเงินมาจบแล้ว!”
“เฮ้ยๆ ผมไม่โง่นะ ตัวประกันยังมีค่าอยู่ ตราบใดที่คนร้ายยังไม่ได้ของที่ตัวเองต้องการไป นี้น่ะเรื่องพื้นฐานเลยนะ”
“ข้าจะฆ่าแก! ฆ่าแน่ๆ ไอ้ลูกหมา!”
“ฟังให้ดีๆ นะ ข้อเสียของการจับตัวประกันก็คือ ถ้าแกเจอตัวประกันที่เป็นหมูสู้บังตอ แบบชนิดไม่กลัวตาย แกก็จะเจอแบบนี้ไงไอ้โง่”
ผมกดคอเข้ากับมีดเองจนเส้นเลือดใหญ่โดนตัด เลือดพุ่งออกมาเป็นสาย เอาล่ะ เริ่มนับถอยหลังกันได้แล้ว ผมมีเวลา 10-15 วินาทีก่อนที่ร่างกายจะเกิดอาการช็อค และอีก 80 วินาที ก่อนที่จะเสียเลือดจนเข้าขีดอันตราย
แต่ผมจับมือของอาโกทัสไว้แน่น ไม่ให้มันหนีได้ แค่นี้ทุกอย่างก็จบแล้ว เพราะเพียงแค่วินาทีเดียว ทุกคนก็กรูเข้ามาถึงตัวมัน และจากนั้นคงต้องขอเซ็นเซอร์เอาไว้ เพราะไม่สามารถบรรยายออกอากาศได้
ส่วนผมไม่ซีเรียสหรอก จริงอยู่ถ้าเป็นโลกเก่าโอกาสรอดผมคงน้อย แต่โลกนี้ถูกควบคุมอยู่ด้วยข้อกำหนด เช่น Hp Mp ต่อให้ผมติดอาการเลือดออกอย่างรุนแรง แต่ Hp ผมก็จะค่อยลดไปตามเวลาที่แน่นอน และมีเวลาให้ผมทำอะไรอีกมากมายเพื่อยื้อชีวิต
เช่นหยิบยาฟื้นพลังออกมากระดก หรือจะรอลุ้นกับชีเอ้และเหล่านักบวชที่เริ่มร่ายเวทรักษากันแล้ว แต่ถ้าอยากเสียวสุดๆ ก็ปล่อยให้ตายไปเลยก็ยังได้ เพราะที่มิรินยังมียาชุบชีวิตอยู่
ด้วยการเตรียมการหลายชั้นของผม ทำให้ไม่กลัวการถูกจับเป็นตัวประกัน และพร้อมจะสู้ตายด้วย ว่ากันตรงๆ นะ การจับตัวประกันของโลกนี้มันโคตรโง่เลย
อ่ะ เลือดหยุดไหลแล้ว เป็นมิรินที่ใช้เวทนํ้าแข็งเพื่อหยุดเลือดเป็นอันดับแรก และผมยังไม่ทันได้หยิบยาฟื้นพลังขึ้นมากระดก ทั้งชีเอ้และพวกนักบวชก็ระดมเพิ่มพลังให้จน Hp แทบทะลุหลอด ผมหายเป็นปกติก่อนจะทันรู้สึกเจ็บซะอีก
แต่สภาพของอาโกทัสเนี่ยสิ อะไรกันล่ะนั้นเนื้อสับเหรอ? ไม่เหลือสภาพที่พอจะระบุได้ว่าเป็นร่างกายมนุษย์เลย
“นายท่าน!”
ทุกคนกรูเข้ามาหาผม สีหน้าต่างซีดเผือก ถึงแผลจะหายแล้ว แต่ชุดที่เปื้อนเลือดทำให้ดูเป็นเรื่องที่น่ากลัว ผมเลยต้องคลีนนิ่งตัวเองซะก่อน
“เดี๋ยวก่อนนะ ใจเย็นๆ แล้วฟังก่อน ตะกี้ทุกคนเห็นแล้วใช่ไหม กรณีที่โดนจับเป็นตัวประกัน ให้สู้ได้เลยถึงแม้พลาดอย่างไง ก็ยังมีเวลาดื่มยาฟื้นพลังอยู่ หรือถ้ามีพรรคพวกอยู่ด้วย ก็จะมีคนช่วยรักษา อย่ายอมต่อคนร้ายเด็ดขาดเข้าใจแล้วใช่ไหม”
นี้คือสถานการณ์ที่ผมสร้างขึ้น เพื่อสอนให้ทุกคนรู้จักการรับมือกับการถูกจับเป็นตัวประกัน เพราะในอนาคตอาจจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับพวกเธอก็ได้
“โรมะ นี้นายตั้งใจเหรอ”
“ก็นะ ถ้าหลบเลี่ยงต่อไป ผมกลัวว่าคนที่จะโดนจับจะเป็นพวกเธอน่ะ เลยเร่งให้เหตุการณ์เกิดเร็วขึ้น โดยใช้ตัวเองเป็นเหยื่อแทน”
ผมตอบอาเดไลท์ไปตามตรง เพราะไงเธอก็อ่านผมออกอยู่แล้ว
แต่ผลไม่ดีเลยแฮะ ทุกคนโกรธผมใหญ่ ฟรานกับเดเม่ถึงกับร้องไห้ออกมาเลย มิรินหน้าซีดไปเหมือนกัน แต่เพราะเธอตั้งสติได้เร็วกว่าใคร ผมเลยไม่ต้องเสียเลือดเยอะ
แม้จะอธิบายไป ว่ามีการเตรียมรองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว แต่ทุกคนยังไม่ยอมอยู่ดี และให้ผมสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก แถมปฏิเสธไม่ได้ด้วย เพราะทุกคนบังคับกันเลย
หลังจากโดนด่าเสร็จแล้ว ผมก็มาจัดการกับศพของอาโกทัส ซึ่งพวกโบสถ์ใหญ่ก็เข้ามาขอโทษผมยกใหญ่ ที่ละสายตาจนอาโกทัสมาก่อเรื่องได้ แต่ก็ไม่ได้โกรธเรื่องที่พวกสาวๆ ลงมือฆ่าอาโกทัสนะ ดีแล้วๆ
พอมายืนอยู่ตรงศพของอาโกทัส ผมก็หยิบเอาขวดยาออกมา แต่เป็นขวดที่ใส่นํ้าเชื้อผมเอาไว้
“…นั้นใช่สิ่งที่ข้าคิดไว้หรือเปล่า”
ราก้าถามทันทีที่เห็น ตาไวจริงๆ แฮะ
“ใช่แล้วล่ะ”
“งั้นทำไมตอนนั้น!!”
“ก็ตอนนั้นถ้าไม่ทำกับพวกเธอมันก็ไม่สนุกสิ”
ผมเข้าไปกระซิบบอกเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน แต่ราก้าก็โกรธได้แปบเดียว ก่อนจะปลงตกเพราะผลอย่างไงก็คือผมช่วยคืนชีพให้เธอล่ะนะ แถมผมยังเลี้ยงอาหารอร่อยๆ ให้เธอกินด้วย
“งั้นเอาไอ้นี้ออกมาทำไม”
“ทำไมเหรอ ก็ไว้ลงทัณฑ์คนบางคนไงล่ะ”
อะไรก็ตามที่มาตายหรือถูกนำเอาศพมาทิ้งไว้ที่ลูปัน ไม่ว่าจะชั้นไหนก็ตาม จะถูกทำให้กลายเป็นศพมาเก็บไว้ที่ชั้น 8 นี้ทั้งหมด เจ้าอาโกทัสก็ด้วย แต่ก่อนที่
เศษเนื้อของมันจะถูกดันเจี้ยนดูดกลืนเข้าไป ผมก็เทนํ้าเชื้อใส่ซะก่อน
ทำไมน่ะเหรอ ก็นํ้าเชื้อผมน่ะ มันอัดแน่นไว้ด้วยพลังชีวิต แม้ไม่ถึงขั้นคืนชีพให้ได้ แต่มันจะดึงเอาความรู้สึกกลับมา ผมถามทั้งราก้าและครีเรน่ามาแล้ว ทั้งคู่ตอบเหมือนกัน ว่าเริ่มมีสติและกลับมารับรู้ได้อีกครั้ง ก็ตอนที่ดื่มนํ้าเชื้อผมลงไป จากนั้นภาพความทรงจำต่างๆ ก็จะเริ่มกลับมาชัดเจนอีกครั้ง
สรุปก็คือ จากนี้ไปเวลาอาโกทัสฟื้นคืนชีพขึ้นมาในฐานะมอนสเตอร์ศพของลูปันชั้น 8 มันจะรับรู้ทุกอย่าง เวลาโดนฆ่าก็จะรู้สึกเจ็บปวด จะหนีออกไปก็ไม่ได้เพราะมันถูกผูกมัดไว้แล้ว ถ้าก้าวเท้าออกไปจากชั้น 8 มันก็จะตายทันที เพราะไม่มีพลังของดันเจี้ยนคอย
หล่อเลี้ยง แต่ก็จะกลับมาเกิดใหม่ที่ชั้น 8 ด้วยกฎการเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ ของมอนสเตอร์ดันเจี้ยน
ผมถึงได้ถามไง ว่าระหว่างตายไปแล้วจบเรื่อง กับมีชีวิตอย่างทุกข์เข็น จะเลือกแบบไหน ตอนนี้ผมให้ชีวิตตามที่อาโกทัสเลือกแล้ว เชิญรับทัณฑ์นรกอเวจีให้เต็มอิ่มเลย
ในภายหลัง ได้มีนักผจญภัยลํ่าลือกัน ว่าได้พบเห็นศพประหลาดที่ร้องไห้เป็นสายเลือด อยู่ที่ลูปันชั้น 8 เลยพากันเรียกมันว่า ตัวแทนความโศกเศร้าของคนตาย
หลังจากเสร็จเรื่อง ผมก็จะออกไปเก็บเลเวลกันต่อ แต่ทุกคนห้ามผมไว้ เพราะผมพึ่งบาดเจ็บมาถึงจะรักษาหายแล้ว แต่ก็เสียเลือดไปมาก
ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงแขนขาสั่นไม่มีแรง แต่ผมไม่รู้สึกแบบนั้นสักนิด ขีดจำกัดร่างกายของผม มันเริ่มเพี้ยนไปตั้งแต่เป็นจอมมารแล้วล่ะ
สุดท้ายผมก็ดื้อจะออกไปจนได้ ไม่ใช่เพราะว่าไม่ไว้ใจทุกคนหรอกนะ แต่มีผมอยู่ด้วย มันก็เหมือนมีหลักประกันความปลอดภัยของทุกคนอยู่อีกชั้นนั้นแหละ
รอบนี้เอร่าเลยขอตามออกไปอีก และถึงไม่บอกผมก็รู้ ว่าเธอกำลังแอบใส่บัพประเภทพรต่างๆ ให้ผมอยู่
“เอร่าไม่ต้องบัพให้ผมหรอก เธอไม่มี Mp regen แบบนักเวท เพราะงั้นเก็บมาน่าไว้ใช้ตอนจำเป็นเถอะ”
พอโดนรู้ว่าถูกผมจับได้แล้ว เอร่าก็ผิวปากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และเดินไปรวมกับพวกจามิร่า
รอบนี้ผมจับทีมกันสามคนเป็นหลัก ของเอร่าก็มีเธอ จามิร่าและโรสลิน ส่วนผมจะมีเนปฟ่ากับอาเดไลท์อยู่ในทีม ส่วนมอเรียกับดาเซสให้จับคู่กันเอง เป็นตัวหลักในการล่าเก็บเลเวลคราวนี้
พูดถึงประสิทธิภาพการโจมตีแล้ว ยังเทียบกับทีมรอบเช้าไม่ได้ แต่ทีมรอบเที่ยงมีจุดเด่นที่ประสบการณ์ ทั้งมอเรียและดาเซสล้วนแต่เป็นนักผจญภัยมือดี พวกเธอรู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์แบบไหนอย่างไง หรือก็คือมีความปลอดภัยโดยที่ผมไม่ต้องดูแลอะไรมาก
พวกโบสถ์ใหญ่ก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว แถมยิ่งนานไปก็จะยิ่งเชื่อฟังพวกผมมากขึ้น และยังเริ่มให้ความเคารพกับพวกทาสแล้ว
การล่ารอบบ่ายราบรื่นดี มีได้รับบาดเจ็บกันบ้าง แต่เป็นแผลเล็กน้อยที่ไม่ต้องใช้เวทรักษาเลยด้วยซํ้า
ทว่าผมเริ่มรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ ไม่ใช่ว่าการล่าง่ายขึ้นหรอก แต่ศัตรูน้อยลงต่างหาก แค่นับเอาจากเหรียญเงินที่เก็บได้ก็รู้แล้ว เพราะขนาดล่าแบบสามชั่วโมงติดไม่มีพัก ยังได้ไม่ถึงครึ่งของรอบเช้าเลย
“มอเรีย คิดว่ามอนสเตอร์มันน้อยลงหรือเปล่า”
“เอ๋! น้อยลงจริงๆ ด้วยเหรอเนี่ย นึกว่าคิดไปเองคนเดียวซะอีกค่ะ”
“จะว่าพวกเราฆ่าเร็วไปจนมอนสเตอร์เกิดใหม่ไม่ทัน ก็ไม่น่าจะใช่นะ เพราะพวกเราขยับไปรอบๆ สุสาน ไม่ได้ปักหลักอยู่ที่เดิมเลย”
ดาเซสเองก็คิดว่ามันแปลก พวกผมสามคนเลยกอดอกทำท่าคิดหนักกัน
“แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอคะ? ด้วยจำนวนศพเท่านี้ มันทำให้พวกเราสู้ง่ายขึ้นนะ”
กรอเรียเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย
“เอ่อ นั้นแหละครับปัญหา เพราะในดันเจี้ยนไม่มีเรื่องดีๆ แบบนั้นหรอก ระบบของดันเจี้ยนเป็นอะไรที่แน่นอนมาก มันจะทำซํ้ากับสิ่งที่ตั้งเอาไว้ไปเรื่อยๆ อย่างเที่ยงตรงและสมํ่าเสมอ ถึงบอกว่าจะสุ่มจุดเกิดก็เถอะ แต่มอนสเตอร์ในพื้นที่จะคงมีเท่าเดิมตลอด
แค่สลับตำแหน่งกันเท่านั้น ฉะนั้นเวลามีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้น ก็หมายความว่า…”
“มีเรื่องอันตรายกำลังจะตามมา”
มอเรียบอกออกมา พร้อมกับความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น
“อย่างไงตอนนี้พวกเรารีบกลับค่ายพักกันก่อนเถอะ”
ดาเซสเสนอ ซึ่งผมก็ไม่มีอะไรจะโต้แย้ง ถึงจะยังเหลือเวลา ก่อนจะถึงมื้อเย็นอีกเป็นชั่วโมก็เถอะ
ตอนนี้เรดาร์ผมเลเวลอัพเป็น 3 แล้วระยะตรวจจับเลยเพิ่มเป็นสามร้อยเมตร ซึ่งกว้างเอาเรื่อง
ผมเลยเปิดเรดาร์ทิ้งไว้ตลอด เพื่อเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของพวกศพ และก็จริงๆ มีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้น
ปกติแล้วศพจะไม่เคลื่อนออกจากตำแหน่งตัวเองมาก นอกเสียจากตอนเจอกับศัตรู แต่ตอนนี้หนึ่งในสามตัว มีการเคลื่อนไหวที่ต่างออกไป เหมือนพวกมันกำลังมุ่งหน้าไปในทางเดียวกันด้วย
ผมกลับมาถึงค่าย และเล่าเรื่องสิ่งผิดปกติให้ทุกคนฟัง จากนั้นก็ตกลงกันไว้ว่ารอบคํ่าจะยังไม่ออกไปล่า แต่จะเฝ้าดูสถานการณ์ไปก่อน แถมพวกโบสถ์ใหญ่เองก็ล้ากันเต็มทีแล้ว ก็เล่นตามพวกผมออกไปทุกรอบเลย ถึงไม่งดทีมรอบคํ่า พวกนี้ก็คงตามผมออกไปไม่ไหวอยู่ดี
มื้อเย็นผมเตรียมทำเนื้อซี่โครงย่างราดซอสไวน์ แต่มอเรียก็เข้ามาคุยกับผม ขณะนั่งดูผมย่างเนื้อซี่โครงที่ได้จาก Raid ศพมิโนทอร์ไปด้วย
“ท่านโรมะ ตอนที่ออกไปกับคนอื่น ระหว่างทางได้เจอกับนักผจญภัยคนอื่นบ้างไหมคะ”
“ไม่เลย ทำไมเหรอ?”
“งั้นก็แปลกแล้วล่ะค่ะ เพราะปกติชั้นนี้จะมีปาร์ตี้นักผจญภัยลงมาค่อนข้างเยอะ ถึงส่วนใหญ่จะไปรับเควสของอาร์ชบิชอปกัน แต่นั้นก็แค่พวกระดับสูง ที่เก็บเลเวลอยู่ที่ชั้น 11-12 กันอยู่แล้ว”
พอได้ยินที่มอเรียพูดดาเซสเองก็เข้ามาแจมด้วยทันที
“ใช่ๆ ฉันเองเมื่อก่อนก็เคยมาปักหลักที่ชั้นนี้เหมือนกัน ตอนนั้นขนาดในสุสานยังแทบจะเดินชนกันเลย”
“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ!?”
ผมล่ะคิดภาพไม่ออกเลย แต่มอเรียก็รีบบอกต่อ
“เลเวลเฉลี่ยของนักผจญภัยสวนใหญ่จะอยู่ที่ 20-25 ค่ะ ถ้ามากันเป็นปาร์ตี้ใหญ่มากกว่าสิบคน จะเหมาะกับการเก็บเลเวลที่นี้มาก เลยมีนักผจญภัยไม่ตํ่ากว่าพันคนในแต่ละวัน ที่มาเก็บเลเวลกันอยู่ที่นี้”
ถ้าเป็นอย่างที่มอเรียว่าจริง ก็แน่แปลกจริงๆ ที่ผมยังไม่เจอใครเลย
“แล้วมีสมมุติฐานไหมว่าคนหายไปไหนกัน”
ผมลองถามดู แล้วก็เป็นดาเซสที่นึกขึ้นออกก่อน
“Mini Boss ไง! เวลามินิบอสเกิด ทุกคนจะอพยพกันออกไป ปล่อยให้ปาร์ตี้พวกเลเวลสูงลงมากำจัด แล้วค่อยกลับลงมาล่าต่อ”
“งั้นแปลว่า ตอนนี้กำลังมี Mini Boss กำลังเดินเล่นอยู่ในชั้นนี้สินะ”
“มีความเป็นไปได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อธิบายเรื่องจำนวนศพได้ด้วย เพราะเนโครแมนเซอร์ที่เป็น Mini Boss มีพลังในการคืนชีพและควบคุมศพได้”
มอเรียพยักหน้าให้ ราวกับว่าไขปริศนาออกแล้ว
“แล้วมันจะรวบรวมศพไปทำไมล่ะ?”
“คือว่าเรื่องนั้น…”
มอเรียก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะปกติเนโครแมนเซอร์จะไม่ใช้ศพในชั้นนี้ แต่มันจะซัมมอนเอากองทัพโครงกระดูกออกมาสู้
“ถึงจะไม่สมเหตุสมผล แต่คิดได้อย่างเดียวค่ะ คือมันกำลังสร้างกองทัพอยู่”
มอเรียสรุปเอาจากข้อมูลที่มีตอนนี้ แต่นี้เป็นเหตุการณ์ที่เธอไม่เคยเจอมาก่อนเหมือนกัน เลยได้แต่คาดเดาเอา แต่ผมก็เห็นด้วยกับความคิดนี้
“งั้นคำถามสุดท้าย…พวกเราในตอนนี้จะสู้กองทัพที่นำโดยเนโครแมนเซอร์ไหวไหม”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น