ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 123 - 125 By Kumao






ตอนที่ 123 แพร่ระบาด

จนถึงตอนเที่ยง โรงแรมยูโทเปียก็ยังไม่มีลูกค้าสักคน แถมยังมีคนเอาข่าวไปปล่อยในหมู่นักผจญภัย เรื่องกฎสามข้อ ทำให้กลุ่มหลังๆ ที่มา ไม่แวะเข้ามา
ด้วยซํ้า แต่เดินผ่านไปพร้อมกับหัวเราะเยาะใส่ แต่ถึงอย่างนั้นพวกพนักงานก็ยังยิ้มหวานให้กับทุกคนที่ผ่านไป
“…นี้ ไม่เห็นมีแขกมาพักเลย ทำไมถึงยังยิ้มได้อีกล่ะ”
ซารีที่ลงมากินมื้อเที่ยง พอเห็นว่าไม่มีแขกเข้าพักเลยเข้ามาถามกระต่ายสาวดู
“พนักงานต้อนรับคือหน้าตาของโรงแรมค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็ต้องยิ้มเอาไว้ และที่พวกเรายิ้มได้เพราะพวกเรามั่นใจในตัวนายท่านโรมะและโรงแรมแห่งนี้ค่ะ”
“แบบนี้เอง สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นทาสของโรมะ”
“ค่ะ พวกเราภูมิใจที่ได้เป็นทาสของนายท่านค่ะ
กระต่ายสาวยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปทักทายนักผจญภัยที่ผ่านเข้ามาทางแท่นวาปร์ แต่พวกเขาก็เดินจากไปเช่นเคย
ถึงจะกะไว้แล้วว่าคงมีปัญหาแบบนี้แน่ แต่ไม่คิดว่าจะหาลูกค้าไม่ได้สักคน แบบนี้ผิดคาดจริงๆ ว่างแบบนี้หรือว่าจะชวนพวกสาวๆ ไปเก็บเลเวลฆ่าเวลาดี
ระหว่างที่ผมคิดแบบนั้น แท่นวาปร์ก็ทำงานอีกครั้ง คราวนี้มาเป็นคณะใหญ่เลย แต่คุ้นๆ หน้าแฮะ
“หัวหน้า พวกเรามาแล้วค่า!”
พวกที่มาตรงเข้ามาทักทายกับซารีทันที ที่แท้ก็เป็นพวกพนักงานกิลนี้เอง จะว่าไปก็เป็นช่วงพักเที่ยงพอดีนี่น่า
“โอ๋ มากันแล้วเหรอกำลังรออยู่เลย”
“นัดกันไว้เหรอ”
“ใช่แล้ว วันนี้ฉันจะเลี้ยงมื้อเที่ยงพนักงานสักหน่อย แนะนำร้านหน่อยสิคุณเจ้าของโรงแรม”
“ฮ่าๆๆ ได้ครับ เดี๋ยวผมจะให้พนักงานพาไปนะ”
แล้วผมก็พยักหน้าให้กระต่ายสาวเข้ามารับแขก ซึ่งเธอดีใจมากและแนะนำร้านอาหารต่างๆ ให้ทุกคนฟัง
ร้านที่พนักงานกิลเลือกคือร้านยากิโซบะ เพราะจากท่าทางของกระต่ายสาว ที่อธิบายไปพยายามกลืนนํ้าลายตัวเองไป
เมื่อซารีนำทัพพวกพนักงานไปถึงร้านก็ต้องตกใจ เพราะคนที่กล่าวต้อนรับกลับเป็นเด็กสาวสองคน ใช่ คนครัวประจำร้านยากิโซบะในรอบเช้าก็คือเด็กสองคนนี้แหละ
นอกจากนี้ในร้านก็จะมีพนักงานเสริฟอยู่คนหนึ่ง คอยเสริฟนํ้าและอธิบายเรื่องเมนูให้ฟัง
แค่เห็นโต๊ะที่ใช้กิน ซึ่งเป็นแบบบาร์หันหน้าเข้าหาพ่อครัว พวกซารีก็ตื่นอกตื่นใจกันแล้ว แถมยังมีอุปกรณ์และการปรุงกันตรงหน้า ทำให้เกิดเสียงพูดคุยดังออกมาจากในร้าน ยิ่งตอนได้กิน เสียงนี้ดังจนร้านแทบแตก แถมตอนกินเสร็จแล้ว ยังมีขอกอดพวกคนครัวด้วย
เพราะทนความน่ารักของเด็กทั้งสองไม่ไหว ที่ทั้งทำอาหารเก่งและน่ารักแบบนี้
แต่ตอนจ่ายเงิน ทุกคนถึงกับพากันหน้าซีด ไม่ใช่เพราะมันแพงจนตกใจหรอก แต่เพราะมันถูกจนไม่น่าเชื่อ
“หัวหน้าซารี ได้ส่วนลดมาเหรอคะ”
พนักงานสาวคนหนึ่งรีบถามทันทีเมื่อออกจากร้านมา
“เปล่าเลย แต่ที่นี้มันถูกตั้งแต่ค่าห้องพักจนถึงอาหารเลยล่ะ ก็เจ้าของเล่นสร้างเพื่อความสะใจอย่างเดียวไม่คิดจะเอากำไรเลย”
“แบบนี้พวกเราไปถล่มร้านต่อไปกันเถอะ!”
“เรื่องเงินน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ฉันมีร้านจะแนะนำ ตามมาสิ”
แล้วซารีก็กลายเป็นคนนำทางไปแทน พาพวกพนักงานไปโซนร้านขายของ
“นี้มัน…ร้านอะไรกันคะเนี่ย?”
พวกพนักงานทำหน้างงไปหมด เพราะดูจากข้างนอก เหมือนร้านขายเฟอนิเจอร์ เพราะเห็นมีแต่ชั้นวางของกับตู้
“ฮุๆๆ เข้าไปแล้วจะตกใจ”
แล้วซารีก็เดินนำเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ส่วนคนที่มาเฝ้าร้านตอนนี้ก็คือเมยอา
“เชิญค่า”
เมยอากล่าวทักทายด้วยนํ้าเสียงเรียบๆ และหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ
ส่วนพวกพนักงานกิลก็เดินไปรอบๆ ร้านด้วยความสงสัย จนเห็นซารีเดินไปหยิบนํ้าขวดหนึ่งออกมาจากในตู้แช่ และหยิบถุงที่เหมือนใส่อะไรไว้ข้างในมาถุงหนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่เคาเตอร์เพื่อจ่ายเงิน
พวกพนักงานกิลเลยลองทำตามดู ทุกคนหยิบขนมมาคนละถุงและนํ้าคนละขวด และออกมายืนกินที่นอกร้าน
“นี้มันอะไรเหรอคะ?”
“โรมะเรียกมันว่า มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ ส่วนนํ้า อันนี้เรียกว่าโซดาเลม่อน แต่มันมีหลายแบบฉันเองก็จำได้ไม่หมด”
“อืม…รสชาติก็”
พวกพนักงานเริ่มฉีกถุงและหยิบขึ้นมาชิม แต่จากนั้นก็ไม่มีความคิดเห็นอีกเลย เพราะต่างพากันหยิบขนมเข้าปากจนหมดถุงไปแบบไม่รู้ตัว
“เย็น!”
พอกินมันฝรั่งทอดไปก็เริ่มกระหายนํ้า พนักงานคนหนึ่งเลยกระดกนํ้าขวดเข้าไป แต่ก็ต้องตกใจอีกเพราะนํ้าในขวดเย็นมาก
“แต่อร่อยดีนะ ทั้งมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ ทั้งนํ้าขวดเนี่ย”
“ใช่ พูดแล้วอยากกินอีกเลย”
“หัวหน้า!”
ทุกคนพากันส่งสายตาอ้อนมาให้
“ก็ได้ๆ แต่ฉันเลี้ยงแค่วันนี้วันเดียวนะ”
พอซารีอนุญาตพวกพนักงานกิลก็รุมกันเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ และโกยเอาขนมมาจนหมดชั้นพร้อมกับนํ้าดื่ม
“ไอ้นี้ก็อร่อย!”
พนักงานกิลที่ฉีกถุงข้าวโพดคั่วขึ้นมากินถึงกับทำตาโต จนคนอื่นๆ ต้องรีบชิมดูบ้าง เสียงเคี้ยวกรุบกรับดังไปถึงในร้าน จนเมยอาต้องหันมามอง ก่อนจะหยิบที่ซ่อนไว้ใต้เคาเตอร์ขึ้นมากินบ้าง
มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบกับข้าวโพดคั่วมันเป็นอะไรที่พอได้กินแล้วจะหยุดไม่ได้ กว่าจะรู้ถึงความน่าสะพรึงนี้พวกพนักงานกิลก็กินกันไปคนละหลายถุงแล้ว
“ไม่ได้ๆ ให้กินหมดทีเดียวแบบนี้เสียดายแย่”
คนที่ตั้งสติได้รีบเก็บที่เหลือใส่กระเป๋าทันที
แต่ก็มีบางคนที่ฝืนห้ามใจตัวเองไม่ไหว เลยต้องกินต่อทั้งนํ้าตาเพราะความเสียดาย
“นี้ใกล้จะหมดเวลาพักแล้ว รีบกลับไปทำงานซะ”
“ค่า”
พวกพนักงานตอบเสียงอ่อยๆ กันเพราะยังอยากจะเที่ยวไปรอบๆ โรงแรมต่อ เพราะยังอีกหลายร้านเลยที่น่าเข้าไปดู
“นี้ๆ ตอนเลิกงานพวกเรามากันอีกเถอะ”
“เห็นด้วยๆ”
“พวกเราดูนี้สิ ค่าห้องพักถูกมากเลย!”
“ห้องเดียวคืนล่ะ 800! ขอจ่ายล่วงหน้าสักปีหนึ่งเลยได้ไหม!”
พวกพนักงานกิลรีบไปขอรับแผ่นพับ ที่เป็นรายละเอียดข้อมูลของโรงแรมกันทุกคนเลย ซึ่งจะมีแนะนำทั้งร้านค้าต่างๆ และอัตราค่าบริการรวมถึงค่าห้องพักด้วย แถมมีรูปตัวอย่างของห้องพักแบบต่างๆ ให้ดูอีก
ทุกคนกลับออกไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวเหมือนนกแตกรัง จนพวกนักผจญภัยที่ผ่านไปหันมามองด้วยความสงสัย
“เฮ้ โรงแรมนี้น่าสนนะ ลองเข้าไปดูไหม”
“อย่าเลย หรูแบบนี้ราคาต้องแพงแน่ แถมได้ยินข่าวลือเรื่องกฎประหลาดๆ มาด้วย”
“อ้อ เนี่ยนะเหรอโรงแรมที่ต้องพักกับพวกครึ่งสัตว์น่ะ”
“ใช่ มีที่เดียวแหละโรงแรมที่ตั้งอยู่ในดันเจี้ยน”
“…งั้นข้าขอเข้าไปลองดูเอง”
“จะบ้าเหรอ!”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว แถมรอบนี้กะจะมาสำรวจที่ชั้น 12 ใหม่หลายวันกันอยู่ มีที่พักใกล้ๆ แบบนี้ก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ”
“ตามใจ ข้ารออยู่ตรงนี้ล่ะกัน เดี๋ยวเจอค่าที่พักแพงบรรลัยแล้วอย่าวิ่งมาขอเงินข้าล่ะ”
นักผจญภัยที่สนใจแยกตัวออกมาคนเดียว และตรงไปที่ทางเข้า ซึ่งมีกระต่ายสาวรอต้อนรับอยู่ หลังจากฟังกฎแล้ว เขาก็พยักหน้ายอมรับ กระต่ายสาวเลยนำทางเขาเข้าไปข้างใน และไม่ถึงสามนาทีก็ต้องวิ่งหน้าตื่นออกมา
“ฮ่าๆๆ ข้าบอกแล้ว เป็นไงล่ะ เจอขูดไปถึงกระดูกเลยไหมล่ะเพื่อน”
“พ พ พันเดียว!”
“แพงจนถึงกับลิ้นพันกันเลยเหรอ”
“ไม่ใช่โว้ย! ห้องเตียงคู่ราคาแค่พันรีลเอง!”
“…ตลกแหละมึง โรงแรมกากๆ ในเมืองห้องเดียวยังราคาแพงกว่าอีก”
“แกมาดูเองสิโว้ย แต่ถ้าไม่สนใจ ข้าก็ไม่สนแล้ว ข้าจะพักที่นี้!”
“เดี๋ยวสิ! ข้าไปด้วย”
จากนั้นทั้งคู่ก็เข้าไปในโรงแรม และได้ขอเช็คอินห้องพักเตียงคู่เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งทั้งคู่เป็นลูกค้าอย่างเป็นทางการรายแรกของโรงแรมยูโทเปีย และเป็นลูกค้าที่ไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่อื่นอีกเลย
ในขณะเดียวกับ ด้วยขนมมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบเพียงถุงเดียว ก็ก่อให้เกิดพายุลูกใหญ่ขึ้นกลางกิลนักผจญภัย
หลังจากกลับมาจากโรงแรมยูโทเปีย พนักงานกิลคนหนึ่งที่ได้เดินสะดุดพื้นจนล้ม ทำให้ขนมที่ถืออยู่ตกกระจายเต็มพื้น คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้กลิ่นหอมเข้าจมูก เลยก้มลงหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจ แถม
เพราะกลิ่นที่น่ากินของมันทำให้ไม่สนใจว่าเป็นของตกพื้น และพากันใส่เข้าปาก เท่านั้นแหละ ก็เกิดการแย่งชิงกันชุลมุนราวกับเกิดการจารจลขึ้นมา
พอไม่เหลือเศษซากขนมนั้นบนพื้น ทุกคนก็หันไปทางพวกพนักงานกิลที่ต่างถือถุงขนมแบบเดียวกันอยู่ แต่พวกพนักงานกิลก็ไม่ยอม ต่างรีบนำไปซ่อนไว้ข้างหลังทันที
จนเกิดการต่อรองซื้อขายราวกับเปลี่ยนกิลนักผจญภัย ให้กลายเป็นร้านประมูลไปแล้ว จนพนักงานคนหนึ่งทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาตะโกนบอก
“ถ้าใครอยากจะได้มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบก็ไปซื้อที่โรงแรมยูโทเปียเอง!”
พริบตาเดียวทุกคนก็หายไปหมดจนกลายเป็นกิลร้างที่เหลือแค่พนักงานกิล
กรุบ!
และเสียงเคี้ยวมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ
เหล่านักผจญภัยที่แห่กันมาเป็นขบวน มุ่งหน้าสู่โรงแรมยูโทเปียทันที ตอนนี้อย่าว่าแต่กฎสามข้อเลย จะสิบข้อร้อยข้อก็ยอม ขอแค่เข้าไปข้างในเพื่อซื้อมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบได้ก็พอ
เพียบพริบตาเดียวร้านสะดวกซื้อก็แน่นเอียดจนไม่มีที่เดิน ผมต้องให้พนักงานมาช่วยกันจัดแถวตามคิว และปล่อยเข้าไปซื้อทีละสิบคน แต่ว่าสิบคนที่ซื้อแล้วกลับไป ก็จะมีอีกห้าสิบคนที่รู้และตามมาซื้อ จากห้าสิบคน ก็จะเป็นร้อยคน และมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
สินค้าที่ตุนไว้สำหรับหนึ่งเดือนหมดเกลี้ยงในหนึ่งวัน
‘สินค้าหมด ขอบคุณที่มาใช้บริการค่ะ’
นั้นคือข้อความที่แสนสิ้นหวังของพวกที่มาไม่ทัน ซึ่งติดไว้หน้าร้านสะดวกซื้อ
แต่ไม่ใช่แค่นั้น สำหรับคนที่เข้ามาแล้ว ก็เดินชมโรงแรมจนถูกใจและเข้าไปถามราคาห้องพัก ยิ่งได้รู้ราคาก็เริ่มมีการขอเช็คอิน บางส่วนก็เดินไปตามร้านอาหาร และกลับออกมาราวกับพวกตื่นทอง ต่างไปเป่าประกาศระดมพรรคพวกพามากินกันอีกรอบ
พอตกเย็นโรงแรมก็แน่นขนัดไปด้วยลูกค้า โดยเฉพาะโซนร้านอาหาร ไม่เหลือโต๊ะว่างเลย แถมยังมีคนที่ยอมยืนต่อแถวรอเป็นชั่วโมง แต่พวกพนักงานก็แก้ไขปัญหาได้ดี ด้วยการไปขนโต๊ะเสริมมา และให้แม่บ้านกับพนักงานต้อนรับที่ว่างอยู่ มาช่วยกันเสริฟอาหาร
ไม่ถึงสองทุ่ม คนครัวคนหนึ่งก็วิ่งมาแจ้งผม ว่าวัตถุดิบสำหรับสามวันหมดไปแล้ว ถ้าลูกค้ายังมาเรื่อยๆ แบบนี้ กลัวว่าวัตถุดิบจะไม่พอได้ ผมเลยต้องรีบกลับไปที่เมือง และหาซื้อวัตถุดิบมาเพิ่มอย่างเร่งด่วน
เนื่องจากเป็นโรงแรมที่เปิดบริการ 24 ชั่วโมง ทำให้ดึกดื่นแค่ไหน ก็ยังมีลูกค้ามาใช้บริการร้านอาหารอยู่ ผมไปถามยอดคนที่เข้ามากินอาหารดูจากเมยอา ปรากฏว่ายอดคนที่มานั่นสูงเกินหลักหมื่นคนไปแล้ว แถมเกือบทั้งหมด มาเพื่อกินเพียงอย่างเดียว จนยอมเสียค่าบริการแท่นวาปร์
แต่ส่วนของห้องพักนั้น มีคนเข้าพักเพียงแค่ 10% เท่านั้น
“นายท่านดีใจด้วยนะ แค่กำไรจากร้านอาหารวันนี้วันเดียว ก็เท่ากับค่าใช้จ่ายทั้งเดือนเลย ไม่สิ น่าจะเกินแล้วมั่ง”
เมยอาบอกผมพร้อมกับหยิบมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบขึ้นมาเข้าปาก
กรุบ!

ตอนที่ 124 ผลตอบรับที่คาดไม่ถึง

วันแรกผ่านพ้นไปด้วยดี ถึงจะติดขัดเรื่องการลองรับแขกที่มาทานอาหาร แต่หลังเที่ยงคืนไป จำนวนก็ลดลงจนกลับมาควบคุมได้ แต่เชื่อได้ว่าในวันพรุ่งนี้จะต้องมีคลื่นมหาชนมาถล่มอีกแน่ๆ ผมเลยเรียกพนักงานมาประชุมตั้งแต่เช้ามืดโดยปล่อยให้พวกเขาปรึกษากันเอง
“ตอนนี้พวกเรามีปัญหาเรื่องการลองรับลูกค้าที่มาทานอาหาร ยิ่งในช่วงเย็นคนจะเยอะมากค่ะ”
“พวกโต๊ะกับเก้าอี้ ไปถามมาทุกร้านแล้ว ไม่มีร้านไหนเหลือเลย”
“ตอนนี้ให้พวกคุณไรโมดอลช่วยกันสร้างให้อยู่ แต่คงได้เพิ่มมาไม่กี่ตัวหรอกน่อ”
“วัตถุดิบก็เริ่มขาดตลาดแล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะเครื่องปรุงครับ”
“คนเยอะเกินไปแล้วก๊าบ ควบคุมลำบากก๊าบ”
“ย แย่แล้วๆ ลูกค้าเริ่มมารอกินมื้อเช้าแล้วล่ะ!”
บรรยากาศชวนอึดอัดน่าดู แต่นี้ล่ะบททดสอบของการทำธุรกิจ มันจะมีปัญหามาให้ตลอด แต่ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรหรอก ปัญหานี้จะแก้ได้ไม่ได้ กิจการก็ยังจะดำเนินต่อไปอยู่ดี แต่ผมอยากจะฝึกให้พนักงานทุกคนสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่มีความกดดันได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้บริหารงานที่นี้กันได้เอง ถึงแม้จะไม่มีผมอยู่ด้วย
“…บุฟเฟ่”
“อะไรน่ะ”
ทุกคนหันไปมองแม่ครัวตัวจิ๋ว ซึ่งเป็นหนึ่งในสองเด็กสาวที่เป็นคนครัว
“บุฟเฟ่แบบยืนกินที่นายท่านเคยบอกไงคะ แบบนี้เราก็ไม่ต้องใช้โต๊ะกับเก้าอี้ แต่ให้แขกยืน
รับประทานได้ แถมเมนูอาหารก็ยังใช้ได้หลากหลายด้วยค่ะ”
“จริงด้วย!”
“รีบไปเตรียมการเลย แจ้งให้แขกที่มารอทราบด้วยนะ!”
“เรื่องจัดโต๊ะให้แผนกแม่บ้านของเราจัดการเอง”
“งั้นแยกย้ายกันเถอะ พวกเรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว”
พอตกลงกันได้ ทุกคนก็รีบแยกย้ายกันไปทำงานต่อทันที แต่ผมก็ลุกขึ้นและปรบมือให้ ไม่ใช่แค่ผม แต่พวกสาวๆ ที่นั่งฟังอยู่ด้วย ก็พากันปรบมือให้
“แก้ปัญหากันได้ดีมาก โดยเฉพาะเธอ”
ผมเดินไปลูบหัวแม่ครัวตัวน้อย ซึ่งเป็นคนที่คิดเรื่องบุฟเฟ่ออกเป็นคนแรก
“ข ขอบคุณค่ะ”
เธอเขินจนแทบจะมุดเข้าไปในหมวกแล้ว
“จำไว้นะทุกคน เมื่อใดที่เจอปัญหา ก็ให้มาช่วยกันคิดหาทางออกแบบนี้ ลำพังเราคนเดียวอาจจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ถ้าหลายคนช่วยกันคิด ก็จะหาคำตอบเจอเอง เอาล่ะ ไปลุยกันต่อได้แล้ว”
“ครับ/ค่ะ/ก๊าบ!”
เสียงขานรับดังกระหึมไปทั้งห้อง
พอหลังจากทุกคนออกไปแล้ว พวกผมก็มาเปิดประชุดโต๊ะเล็กกันต่อ
“ถึงจะแก้ปัญหาได้แล้ว แต่มีแนวโน้มว่าลูกค้าจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นะคะ”
อาเดไลท์ชี้ตรงประเด็น
“ขนาดมีพวกที่ยอมมายืนรอเลยนะ เรื่องที่คิดว่าเดี๋ยวพอนานๆ ไปคนจะลดไปเอง เลิกคิดได้เลย”
ดาเซสบอกด้วยความรู้สึกกลัว เพราะเธอไม่เคยเห็นคนนับพันมายืนต่อแถวแบบนี้มาก่อน
“ที่สำคัญพวกพนักงานจะหมดแรงซะก่อนนะคะ ต้องรับลูกค้าจำนวนมากแบบนี้ทุกวัน”
มิรินก็ออกอาการเป็นห่วง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่หลายๆ คนกังวลอยู่ไม่ใช่น้อย
“ผมเข้าใจเรื่องที่ทุกคนเป็นห่วงแล้วล่ะ แต่สบายใจได้ ภายในวันนี้ทุกอย่างจะลงตัวเอง”
ผมบอกไปอย่างมั่นใจ
“เอ๋? หรือว่าโรมะมีวิธีจัดการเหรอ”
อาเดไลท์ทำหน้าประหลาดใจ เพราะตั้งแต่เมื่อวานผมก็อยู่แต่ในเขตโรงแรม ไม่น่าจะมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้
“ไม่หรอก ไม่เรียกว่าวิธีจัดการ แต่ทุกอย่างมันถูกกำหนดมาแบบนั้น”
“พูดวกไปวนมาอีกแล้ว รีบๆ อธิบายมาสักทีค่ะ”
เมยอาบ่นใส่จนได้ ผมถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะอธิบายให้ฟัง
“จำนวนของลูกค้าน่ะ ไม่มีทางมากไปกว่าเมื่อวานนี้แล้วล่ะ เพราะมันคือลิมิตของแท่นวาปร์ ที่
สำคัญเมื่อวานเพราะลูกค้าอัดมาแต่ช่วงเวลาเดียวพร้อมกัน มันเลยดูเหมือนคนเยอะจนรับไม่ไหว แต่เดี๋ยววันนี้ ลูกค้าจะทยอยกันมาเป็นช่วงๆ พอถึงช่วงเย็น คนก็จะลงกว่าเมื่อวานเอง”
“แบบนี้เอง แต่เดี๋ยวนะ ถ้าแบบนั้นจะไม่แน่นทั้งสามช่วงเลยเหรอ บางคนก็กะมากินทั้งสามมื้ออยู่แล้วใช่ไหม โดยเฉพาะนักผจญภัย”
อาเดไลท์มองภาพรวมได้เร็วจริงๆ
“เรื่องนั้นก็คิดไว้เหมือนกัน แต่ไม่สาหัสเท่าเมื่อวานหรอก เพราะลูกค้าเก่าจะเริ่มรู้แล้วว่าคนเยอะ บางคนน่าจะเลือกมากินเร็วขึ้น หรือรอให้คนน้อยลงแล้วค่อยเข้ามา แต่อย่างไงผมก็พลาดตรงที่คำนวณจำนวนคนที่มาผิดไปเยอะ อย่างไงก็ต้องขยายพื้นที่ร้านอาหารออกอีก อย่างน้อยต้องรับให้ได้ 7000-8000 คน
ส่วนพนักงานคิดว่าน่าจะเพียงพอ เพราะขนาดผ่านช่วงหนักสุดมาแล้ว ทุกคนยังดูไหวอยู่ แต่คนครัวคงต้องใช้วิธีหมุนกะให้เร็วขึ้น เปลี่ยนจาก 8 ชั่วโมงให้เหลือ 3 ชั่วโมงแทน”
“แต่เป็นจำนวนคนที่เหลือเชื่อจริงๆ นะคะ หนูไม่เคยเห็นคนเยอะแบบนนี้มาก่อนเลย”
ฟรานเองเมื่อวานแอบหลบมุมทั้งวัน เพราะเธอไม่ค่อยชอบที่คนเยอะๆ แบบนั้น
“ใช่เยอะจนผิดคาด แต่เพราะแบบนี้ล่ะซารีคงจะเริ่มจัดการอะไรบางอย่างแล้ว”
“เอ๋? หัวหน้าซารีมาเกี่ยวอะไรด้วยคะ”
มอเรียเอียงคอสงสัย
“ก็แท่นวาปร์มันมีลิมิตใช้งานใช่ไหมล่ะ แต่คนที่มากินน่ะ มีนักผจญภัยไม่ถึงครึ่งเลย ส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองซะมากกว่า แบบนี้นักผจญภัยจะต้องโวยวายแน่ และวัตถุประสงค์เดิมก็เพื่อให้นักผจญภัยได้เดินทางลงดันเจี้ยนได้เร็วขึ้น ซารีเลยน่าจะเริ่มกันคนที่ไม่ใช่นักผจญภัยออก หรือไม่ก็ให้โควตาในสัดส่วนที่น้อยกว่านักผจญภัย”
“แบบนี้เอง”
“แต่นั้นแหละปัญหา เดี๋ยววันนี้นักผจญภัยจำนวนมากจะต้องมาที่นี้แน่ และถ้าเป็นนักผจญภัยจะต้องเข้าพักด้วย มันจะวุ่นกว่าเมื่อวานก็ตรงนี้แหละ”
“คิดว่าห้องจะไม่เพียงพอจะลองรับเหรอ?”
“อืม ไม่แน่ใจ แต่จากที่ถามพวกที่มาพักเมื่อวาน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันเลย ว่าพึ่งพอใจกับ
ราคาและบริการมาก ต่อให้ตั้งแพงกว่านี้ก็สู้ราคาไหว ขนาดมีพวกที่จ่ายเงินล่วงหน้าอยู่เป็นรายปีเลยนะ ถ้านักผจญภัยส่วนใหญ่คิดว่ามันถูก คงแห่มาพักแน่ๆ ถึงจะกรอกพวกที่รับกฎสามข้อไม่ได้แล้วก็เถอะ”
ผมเองก็กะไม่ถูก เพราะที่นี้สามารถไปเช้าเย็นกลับได้ นักผจญภัยส่วนใหญ่อาจจะเลือกกลับไปพักที่คุ้นเคยมากกว่า แถมต้องไม่ลืมว่าส่วนใหญ่มนุษย์จะมีอคติกับพวกครึ่งสัตว์ จนอยู่ในระดับเดียวกับทาสเลย ที่สำคัญที่นี้พนักงานแทบทุกคนเป็นทาส จะต้องมีกลุ่มที่ต่อต้านอยู่แน่ๆ
“เอาเป็นว่าวันนี้ก็จับตาดูความเปลี่ยนไปก่อน แต่อย่างไงก็ไปปลุกพวกโกร่ามาคุมเชิงไปก่อนก็ดี เดี๋ยวเองก็จะไปบอกอานูบิสให้เตรียมรับมือเหตุวุ่นวายเหมือนกัน”
เรื่องห้องพักนั้น ต่างจากการแพร่ระบายข่าวลือเรื่องร้านอาหาร เพราะคนที่รู้เรื่องนี้ต่างเก็บเงียบหมด บางส่วนเพราะมาอยู่แล้วไม่ยอมออกไปไหน บางส่วนก็กลัวคนจะรู้เยอะจนมาแย่งที่พักไปหมด
ใน 10% ที่มีคนเขาพักในตอนนี้ 6% เป็นพวกพนักงานกิลนักผจญภัย ที่เมื่อวานเย็นแห่ย้ายของกันมาหมดกิลเลย อีก 3% เป็นพวกลูกค้าที่มากินอาหารแล้วบังเอิญสนใจห้องพัก พวกที่มาเพื่อจะเข้าพักโดยเฉพาะมีเพียงแค่ 1% เท่านั้น แต่วันนี้แหละพวกแบบ 1% จะมากันเยอะแน่
และก็เป็นตามที่ห่วงไว้จริงๆ เพราะตั้งแต่ตอนสายๆ ก็เริ่มมีนักผจญภัยทยอยกันเข้ามาพัก แผ่นพับก็หมดในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เพราะพวกที่ผ่านแท่น
วาปร์มาล้วนแต่เป็นนักผจญภัยทั้งนั้น ผมเลยไปสอบถามพนักงานกิลที่ผ่านมาพอดี เลยได้ความว่า
ในช่วงเวลาปกติจะมีแต่นักผจญภัยที่ใช้แท่นวาปร์ได้ ส่วนคนทั่วไปจะเปิดให้ใช้ได้ในช่วงเวลาหกโมงเช้า เที่ยงตรง และหกโมงเย็นรอบล่ะร้อยคนเท่านั้น ข้างบนเองก็วุ่นวายกันอยู่ เพราะมีคนไม่พอใจเยอะมาก บางส่วนก็จะขอจองคิวกันเลยด้วยซํ้า ตอนนี้ซารีกำลังพยายามแก้ปัญหาอยู่ แต่คิดว่าคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
แถมเพราะกฎสามข้อของผมมันแพร่กระจายไป ถึงจะเป็นในลักษณะข่าวลือด้านลบ แต่ในบรรดาคนที่ได้ยิน ก็ไม่ใช่มีแค่มนุษย์ พวกนักผจญภัยเผ่าครึ่งสัตว์ที่ได้ยินเรื่องนี้ ต่างก็มุ่งตรงมาที่โรงแรมยูโทเปียทันที ขนาดพวกที่อยู่เมืองข้างๆ ยังเดินทางมาทั้งคืน
เพื่อจะมาพักที่นี้เลย แขกเข้าพักส่วนใหญ่เลยเป็นพวกเผ่าครึ่งสัตว์
แต่มนุษย์ที่เลือกจะมองข้ามความอคติและเลือกจะพักที่นี้ก็มีอยู่เยอะเหมือนกัน
ตลอดทั้งวันจำนวนคนหลั่งไหลเข้ามาในโรงแรมยูโทเปียแบบไม่ขาดสาย ห้องพักเดียวเต็มไปตั้งแต่ช่วงเที่ยง ห้องแบบครวบครัวก็โดนพวกนักผจญภัยที่มาแบบปาร์ตี้ใหญ่เหมาไปหมดเหมือนกัน ส่วนที่เหลือก็มาเต็มกันในช่วงเย็น…เต็มหมดทุกห้องแล้ว
แต่เพราะห้องเต็มนั้นแหละ ปัญหาเลยได้เกิดขึ้นทันที เพราะเริ่มมีการทะเลาะเพื่อแช่งชิงห้องพักกัน ถึงจะห้ามและส่งตัวออกไปข้างนอกได้ แต่มันเกิดขึ้นบ่อยจนยามถึงกับหอบ
และยังมีพวกพ่อค้าเลวๆ ที่แฝงตัวมาเข้าพัก แล้วแอบเอาไปปล่อยให้นักผจญภัยอื่นในราคาที่แพงเป็นหลายเท่าตัว แต่เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าต้องมีพวกแบบนี้ แบบเดียวกับที่ดันเจี้ยนชั้น 9 ผมเลยต้องเข้มงวดเรื่องรายชื่อคนเข้าพัก ถ้าเกิดมีการสลับคนกันเกิดขึ้น ก็จะตามไปเล่นงานคนที่ปล่อยห้องทันที ส่วนเล่นงานอย่างไงน่ะเหรอ
“ไอ้หมอนั้นแหละที่กันห้องพักไว้จนเต็ม!”
แค่ตะโกนออกไปและชี้ไปที่เป้า คนคนนั้นก็จะเป้าหมายถึงตีนนับร้อยๆ คู่ ส่วนผมก็ทำเป็นชวนยามคุย รอให้มันกระอักเลือดปางตายซะก่อน ค่อยปล่อยยามไปห้าม
นอกจากนี้ในบริเวณฮอล์ก็ยังมีคนมานั่งรอ เพื่อรอห้องว่าง พอเห็นใครเช็คเอาส์ ก็จะพุ่งเข้ามาเสียบ
ทันที แต่คนที่จะเช็คเอาส์หายากมาก เพราะส่วนใหญ่ล้วนแต่มาอยู่ยาวกัน โดยเฉพาะห้องเดียวคิวเต็มยาวไปตลอดทั้งเดือนเลย
ตอนนี้เลยมีข่าวลือมากดทับกฎสามข้อไปแล้ว ว่าห้องพักของโรงแรมยูโทเปียสุดยอดอลังการแค่ไหน ราวกับกำลังพูดถึงแดนสวรรค์กันอยู่เลย ซํ้ายังเป็นโรงแรมที่มีทั้งร้านอาหารและร้านอาวุธรวมถึงร้านไอเท็มในตัว เรียกว่าครบวงจร ชนิดที่นักผจญภัยไม่ต้องออกไปไหนเลย แถมเร็วๆ นี้กิลนักผจญภัยจะยังไปเปิดโต๊ะรับเควสถึงโรงแรมเลยด้วย
ขนาดผมเปิดให้มีการจองห้องล่วงหน้า คิวจองห้องก็เต็มไปจนถึงปีหน้าแล้ว…
“ขยายโรงแรมเพิ่มเถอะค่ะนายท่าน”
เดเม่บอกหลังจากเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้น
ส่วนเรื่องรายได้ไม่ใช่แค่กำไร แต่มันคือเม็ดเงินจำนวนมหาศาลแตะหลักร้อยล้านต่อวัน ชนิดที่ว่าพวกนักผจญภัยหาเงินมาได้เท่าไร ก็เอามาลงที่โรงแรมกันหมด ลุงออกัสก็ยิ้มแก้มปริเลย เพราะกิจการไปได้ด้วยดี มีลูกค้าเข้าออกร้านตลอด สินค้าแทบจะไม่พอกับความต้องการ
ขณะที่ร้านกำปั้นเหล็กของพวกยูริน ก็มีออเดอร์เข้ามาจนทำไม่ทันเหมือนกัน โดยเฉพาะการซ่อมอุปกรณ์และการเสริมความแกร่ง ซึ่งเป็นงานถนัดของยูริน เป็นที่เลื่องลือในหมู่นักผจญภัยในชั่วข้ามคืนเลย ขนาดยูรินกับบรูมต้องมาบอกผมเลยว่า ไม่ไหว ต้องหานายช่างใหญ่มาเพิ่มอีก
ส่วนพวกเนปฟ่าก็ต้องปิดร้านแต่หัววัน เนื่องจากสินค้าหมด เช่นเดียวกับร้านสะดวกซื้อที่เปิดได้ไม่ถึงสิบนาทีก็ต้องปิดแล้ว เพราะไม่ว่าจะวางสินค้าไปเยอะแค่ไหน มันก็จะหมดในพริบตาเดียว โดยเฉพาะพวกพนักงานกิลนักผจญภัยจมูกไวมาก พอเห็นพวกสาวๆ ของผมเดินไปเปิดร้านก็ตามไปเป็นขบวนเลย
แต่ที่ฮิตสุดๆ กลับเป็นร้านตัดเสื้อคริสติน่า ถึงช่วงแรกจะมีแต่คนกลัว เพราะเป็นร้านของมอนสเตอร์ แต่พอเห็นชุดที่โชว์อยู่หน้าร้าน พวกผู้หญิงก็อดใจไม่ไหวเลยยอมเข้าไปเสี่ยงดู แต่พอกลับออกมาด้วยชุดสุดสวย เท่านั้นแหละ ประตูหน้าร้านตัดเสื้อคริสติน่าก็ไม่เคยปิดอีกเลย
พื้นที่ที่เคยว่างตรงชั้นหนึ่ง ตอนนี้ก็มีคนมาจับจองและจัดแต่งร้านเพื่อเตรียมเปิดแล้ว มีพ่อค้า
จำนวนมากติดต่อผ่านกิลนักผจญภัยเพื่อขอมาเช่าพื้นที่เปิดร้าน แต่มีจำนวนเยอะมาก จนผมต้องคัดเองโดยเลือกดูว่าจะเอาอะไรมาขาย เหมาะกับโรงแรมหรือเปล่า กรณีที่เป็นสินค้าแบบเดียวกัน ผมก็จะให้ประมูลแข่งกัน แต่งานนี้พวกพ่อค้าต่างทุ่มสุดตัวเพื่อจะได้มาเปิดร้านในโรงแรมยูโทเปีย ตอนนี้ลุงออกัสรู้แล้วว่าตัวเองได้รับสิทธิพิเศษมากแค่ไหน
ด้านวัตถุดิบก็ได้ราก้าช่วยติดต่อจัดซื้อมาจากเมืองอื่น และได้ซารีช่วยอีกแรง ด้วยการเพิ่มเควสในการรวบรวมวัตถุดิบให้แบบฟรีๆ ทำให้ปัญหานี้หมดไป ซํ้ายังขยายการลองรับลูกค้าได้อีกด้วย ส่วนคนครัวเองเริ่มชินกับการทำงานเวียนกะสามชั่วโมงแล้ว เลยรับมือกับลูกค้าได้สบายมาก
ภายในสามวัน ทุกอย่างก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอย แต่ยังดูเป็นโรงแรมที่คึกคักเกินเหตุ เช่นตรงฮอล์ไม่เคยร้างผู้คน ร้านอาหารด้านนอกก็มีคนมานั่งทานอาหารดื่มเบียร์ตลอดทั้งวันทั้งคืน ภายในชั้นหนึ่งมีคนเดินพลุกพล่านไม่ต่างจากใจกลางเมือง ส่วนพอดันเจี้ยนเริ่มมืด ทุกคนก็จะเงยหน้าขึ้น เพื่อรอดูแสงไฟจากโรงแรมที่จะสว่างไสวขึ้นมา พร้อมกับชูแก้วนํ้าในมือขึ้นและโห่ร้องออกมาด้วยความประทับใจ
แต่ก็อีก ในสามวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในหมู่ทาสของผม เพราะตอนนี้ผมรับทุกคนเข้ากิลเมฆาต้องแสงตะวันมาแล้ว ทำให้ถึงจะเป็นทาสแต่ก็จะได้รับการคุ้มครองมากกว่าเดิม แต่ที่ทำให้พวกนี้ดีใจก็เพราะมันเป็นกิลของผม
ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ พวกทาสต่างมาขอให้มิรินช่วยย้ายพันธะทาสที่อยู่ตรงคอไปไว้ที่อื่นแทน เช่นหลังมือหรือบนใบหน้าเพื่อให้เห็นได้ชัดขึ้น พวกเขาต่างภูมิใจกับความเป็นทาสของผม เลยไม่พอใจที่พันธะทาสจะถูกปกปิดไว้ใต้คอเสื้อ แต่พวกพนักงานต้อนรับหรือพนักงานเสริฟจะต้องให้หน้าตาดูดี เลยย้ายไปไว้ได้แค่ที่หลังมือเท่านั้น แต่คนครัวหรือยามล้วนแต่ย้ายมาไว้ที่ใบหน้าหรือบนหน้าผากกันหมด ซํ้ายังเพิ่มรอยสักที่เป็นสัญลักษณ์ของกิลลงไปอีก
แต่ถึงจะย้ายตำแหน่งแต่การแสดงผลของพันธะทาสยังเหมือนเดิม โดยเฉพาะการลงโทษขั้นรุนแรงยังคงระเบิดคอให้ขาดได้ และถึงแม้จะตัดมือที่มีพันธะทาสออกไป มันก็จะย้ายตำแหน่งกลับไปที่คอเหมือนเดิม แต่ผมไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอก เพราะพวกทาสทำเพราะ
ต้องการแสดงออก ไม่ใช่ทำเพื่อหาลู่ทางหลบเลี่ยงพันธะทาสสักหน่อย
ทว่าการที่เห็นคนจำนวนนับร้อย ใส่เครื่องแบบเดียวกัน มีรอยสักแบบเดียวกัน ทำให้พวกนักผจญภัยต่างเรียกพวกทาสของผมว่า คนของเมฆาสวรรค์
แต่มีส่วนที่ผมไม่ชอบใจเอามากๆ อยู่ เพราะทุกช่วงที่มีการเปลี่ยนกะทำงาน พวกพนักงานทุกคนจะมารวมตัวกัน และนำรูปวาดเหมือนของผมมาตั้งบนโต๊ะ ก่อนเริ่มพากันคุกเข่าลงทำท่าสวดพึมพำอะไรก็ไม่รู้ บรรยากาศมันเหมือนงานเคารพศพเลยนะทั้งๆ ที่ผมยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้!

ตอนที่ 125 สัมภาษณ์

หลังเปิดโรงแรมมาได้หนึ่งอาทิตย์ ผมก็เปิดประชุมอีกครั้ง แต่ไม่ได้มาถกปัญหากันแบบคราวก่อน เพราะแค่จะบอกแนวทางของโรงแรมเท่านั้น
อย่างแรกเลยผมไม่คิดจะขยายโรงแรมเพิ่มตามที่หลายคนเรียกร้องมา เพราะว่าถ้าเพิ่มขนาดก็ต้องซื้อทาสมาฝึกเพิ่ม ซึ่งต้องใช้เวลา และยิ่งถ้าโรงแรมใหญ่จนเกินไป การดูแลและการบริการก็จะไม่ทั่วถึง แต่ผมต้องการให้คงมาตรฐานเอาไว้ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความสมดุลของดันเจี้ยนด้วย เพราะถ้าทุกกคนรุมมาอยู่แต่ชั้นนี้ ความสมดุลของสินค้าในตลาดก็จะพังครืนลงมาทันที
อย่างที่สองผมจะปล่อยให้พนักงานบริหารงานกันเอง จริงๆ มันก็เหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้แหละ ที่ผมแทบจะไม่ลงไปมีส่วนอะไรด้วยเลย การที่ให้
พนักงานประชุมและแก้ไขปัญหากันเอง นอกจากเพื่อจะฝึกแล้ว ผมยังพยายามสร้างให้ทุกคนเกิดความรักในองค์กรของตัวเองขึ้นมา ซึ่งผมว่าตอนนี้ทุกคนมีสิ่งนั้นอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมสามารถฝากให้พวกพนักงานบริหารที่นี้ได้อย่างเต็มร้อย
“ไม่ต้องกลัวหรอก แค่ทำเหมือนที่ผ่านมาเท่านั้น ผมเชื่อมั่นในตัวพวกคุณทุกคนนะ”
ผมกล่าวปิดท้ายการประชุม ก่อนที่พนักงานจะลุกขึ้นและก้มหัวลงกล่าวคำขอบคุณผมทั้งนํ้าตา
“เอ่อ ผมไม่ได้จะจากไปตายที่ไหนสักหน่อย ก็ยังจะแวะมาดูอยู่เรื่อยๆ นั้นแหละ แถมยังได้เจอกันที่คฤหาสน์อยู่ทุกวัน”
ความโอเวอร์ของพวกทาสเล่นเอาผมใจไม่ดีทุกทีเลยสิ
ผมเตรียมตัวออกจากโรงแรมเพื่อจะกลับไปที่คฤหาสน์ ยังมีงานที่ต้องไปช่วยทางพวกกรอเรียอีก เพราะมันใกล้ได้เวลาเปิดเรียนแล้ว แถมยังต้องไปดูพวกที่มาขอทุนสนับสนุนในการเรียนด้วย ที่สำคัญผมจะไปดูความเปลี่ยนแปลงภายในเมือง เพราะการเปิดโรงแรมของผมต้องสร้างผลกระทบอย่างวงกว้างแน่
แต่พอมาถึงบริเวณฮอล์ พวกพนักงานก็มาตั้งแถวสองข้าง และโค้งตัวลงได้องศาเท่ากับพอดีเปะ…
“ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพครับ/ค่ะ/ก๊าบ นายท่าน”
“อ อืม ขอบใจ”
ผมเดินผ่านไปแบบสั่นๆ จะทำให้ดูยิ่งใหญ่กันไปฟ่ะเนี่ย ดูสิพวกแขกหันมามองกันใหญ่เลย แต่ก็มีเสียงร้องส่งมาเหมือนกัน
ส่วนใหญ่จะกล่าวขอบคุณผมเหมือนกันแฮะ ที่สร้างโรงแรมน่าอยู่แบบนี้ขึ้นมาให้ และยังพากันเรียกผมว่าโอนเนอร์ด้วย
พอหลุดจากแถวพนักงานได้ ผมก็ค่อยหายใจคล่องหน่อย แต่พอจะเดินไปที่แท่นวาปร์ ก็มีกลุ่มนักผจญภัยอีกกลุ่มผ่านเข้ามาพอดี ซึ่งผมล้วนแต่คุ้นหน้าคนกลุ่มนี้
“อ่ะ พี่ชาย! พี่สาวเมด!”
เป็นเด็กสามคนที่เดเม่เคยช่วยไว้จากพวกวัวนอกเมืองนั้นเอง แต่ไม่ใช่แค่นั้น
“ง ไง”
คนที่กล่าวทักผมเป็นชายชาวตะวันตกผมทอง เจ้าปีเตอร์นี้เอง!
“อืม พวกนายก็จะมาพักที่โรงแรมเหรอ แต่เสียใจด้วยนะมันเต็มหมดแล้ว”
“เปล่าๆ พวกเราจะมาพวกพี่ชายนั้นแหละ”
เด็กที่แต่งตัวเหมือนนักดาบซึ่งดูจะเป็นหัวหน้าบอกออกมา
“มาหาผม? มีธุระอะไรเหรอ”
“พวกเราจะมาขอเข้ากิลพี่ชาย กิลเมฆาต้องแสงตะวันใช่ไหม ให้พวกเราเข้าด้วยนะ”
“เอ๋? แต่กิลนี้มีแต่ทาสเป็นส่วนใหญ่นะ แถมยังไม่ได้กำหนดแนวทางหรือสิทธิผลประโยชน์อะไรเลยสักอย่าง จะบอกว่าเป็นกิลที่ตั้งมาเพื่อหนีภาษีทาสก็ว่าได้”
ใช่ มันเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ นั้นแหละ
“ไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก พวกเราเองก็โตขึ้นมาในสลัม ไม่ได้ดีกว่าทาสสักเท่าไร ไม่สิ ที่อยากเข้ากิลพี่ชายเพราะมันเป็นกิลแบบนี้ต่างหาก อย่างที่ทุกคนพากันเรียก คนของเมฆาสวรรค์ มันเท่ห์สุดๆ ไปเลยอ่ะ! พี่สาวเมดเองก็เก่งมากๆ ด้วย พวกผมอยากเก่งให้ได้แบบเดียวกับพี่สาวเมดเหมือนกัน”
“ทางนี้ก็ไม่ได้เรื่องมากเรื่องรับคนหรอก ถ้าอยากจะเข้าก็จะให้เข้า ว่าแต่นายก็ด้วยเหรอปีเตอร์”
“อืม ฉันเข้าร่วมปาร์ตี้ของเด็กพวกนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว ต้องบอกว่าเพราะเด็กพวกนี้ทำให้ฉันกลับมาจับได้อีกครั้ง เลยอยากจะตามไปด้วยให้ถึงที่สุดน่ะ”
“โอ้ เริ่มมีไฟขึ้นมาแล้วสินะ”
“ไม่หรอก เพราะนายกับท่านเอร่า ช่วยทำให้ฉันตาสว่างได้ ต้องขอบคุณพวกนายเหมือนกัน”
“แล้วจากนี้คิดจะทำอะไรต่อล่ะ”
“ก็ตั้งเป้าว่าจะเก่งกว่านี้ เป็นนักผจญภัยเก็บเลเวล ค่อยๆ เก็บสะสมเงินสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่ แต่ระดับฝีมืออย่างฉันคงไม่กล้าตั้งเป้าสูงอย่างการไปสู้กับจอมมารอย่างผู้กล้าคนอื่นๆ หรอก”
“เป้าหมายจะเล็กจะใหม่ไม่สำคัญหรอก ขอแค่เป็นสิ่งที่ตัวเองเลือกไว้ก็พอ อ่ะ จะเข้ากิลกันใช่ไหม”
ผมใช้คำสั่ง รับสมัคร ขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนตอบรับ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว กรณีที่เป็นนักผจญภัย ที่บัตรกิลจะแสดงชื่อกิลพร้อมกับสัญลักษณ์และรายละเอียดต่างๆ ที่หัวหน้ากิลเป็นผู้กำหนดไว้ด้วย
“ถ้าพวกนายเป็นสมาชิกกิลแล้ว จะสามารถใช้แท่นวาปร์ไปที่คฤหาสน์ได้ด้วยนะ ที่นั้นจะมีหอพักอยู่ ถ้าไม่มีที่พักก็ให้ไปใช้ได้”
“จริงเหรอ!”
ทุกคนทำตาโตขึ้นมาทันที
“จริง แต่มีกฎอยู่เหมือนกัน ให้ทำตามกฎด้วยล่ะ”
“รับทราบ!”
ทุกคนขานรับพร้อมกัน แต่เจ้าปีเตอร์นี้แก่กว่าพวกเด็กพวกนี้ตั้งเยอะ ยังจะมาทำท่าเหมือนกับพวกเด็กอีก
“อ้อ แล้วเอานี้ไป ฉันยกให้เป็นของขวัญสำหรับการตั้งตัวใหม่ของนาย”
ผมหยิบดาบซอมบี้สเลเยอร์ออกมา ดองไว้ในกระเป๋านานแล้ว จะขายก็ไม่คุ้มจะเก็บไว้ก็ไม่มีใครใช้ ยกให้ปีเตอร์ไปนั้นแหละดีที่สุด
“ซ ซะ ซอมบี้สเลเยอร์!!!”
ทุกคนถึงกับแหกปากตะโกนลั่น
“จะดีเหรอ! นี้มันโคตรแพงเลยนะ”
“ก็ใช้ให้คุ้มค่าล่ะกัน แถมหัวหน้ากิลอย่างผมยกให้เอง ก็ต้องดีอยู่แล้วสิ”
“สุดยอด!”
ทุกคนมองดาบในมือปีเตอร์ด้วยตาเป็นประกาย
“งั้นพวกเราไปล่าซอมบี้ที่ชั้น 9 กันเถอะ”
“เห็นด้วย!”
แล้วปาร์ตี้ของพวกปีเตอร์ก็พากันมุ่งหน้าไปที่ชั้น 9 ผมตรวจสอบดูแล้ว เลเวลของพวกเขาเพิ่มจากเมื่อก่อนมาก ในอัตราความเร็วที่เหนือกว่านักผจญภัยทั่วไปเยอะเลย ที่ผ่านมาคงพยายามและตั้งใจกันมากทีเดียว ระดับเลเวลขนาดนี้ที่ชั้น 9 คงไหวล่ะมั่ง
นี้ถ้าเอร่าอยู่ด้วยและรู้ว่าปีเตอร์เปลี่ยนไปขนาดนี้ จะทำหน้าอย่างไงนะตั้งแต่เปิดโรงแรมผมก็ให้เอร่าอยู่เฝ้าบ้าน เพราะพามาด้วยก็มาเกะกะเปล่าๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้บ่นอะไร เพราะผมทำอาหารทิ้งไว้ให้เพียบ กะให้กินจนท้องแตกไปเลย
แต่ว่าเริ่มมีสมาชิกกิลที่ไม่ใช่พวกทาสแล้ว สงสัยต้องเริ่มคิดแนวทางของกิลให้ชัดเจนแล้วสิ
แล้วพวกผมก็กลับออกมา ซึ่งก็ตามคาด กำแพงรอบคฤหาสน์เปลี่ยนไปอีกแล้ว…เอาเลย เอาที่พวกนายสบายใจเลยพวกคุณมอนสเตอร์
ตอนนี้ถ้ายืนอยู่ตรงกลางถนนระหว่างเมืองกรอซ่ากับคฤหาสน์ของผม จะต้องสงสัยแน่ว่าทางไหนที่เป็นเมือง ไม่สิ กำแพงทางนี้ต่างหากที่ดูเหมือนเมืองมากกว่า เพราะมีทั้งคูนํ้ารอบกำแพง แถมยังมีสะพาน
ข้ามแบบยกขึ้นยกลงได้ ประตูก็มีถึงสามชั้น มีหอคอยยิงธนูอีกเกือบร้อย ทำซะอย่างกับจะรบกับใครเลย
แถมมันเริ่มขัดกันแล้วสิ กำแพงที่ดูอลังการยิ่งใหญ่และดูน่าเกรงขาม แต่หลังประตูก็จะกลายเป็นสวนสวรรค์ที่ร่มรื่นทันที
แต่ตอนที่แถวของผมก้าวผ่านประตูเข้ามา ก็มีกลุ่มคนหกคนวิ่งเข้ามาหา ส่วนใหญ่เป็นวัยกลางคนแล้ว
“ท ท่านครับ ท่านเองจะมาที่นี้หรือครับ”
“เปล่า แต่ผมอยู่ที่นี้”
ผมตอบออกไป พลางตรวจดูทุกคนไปด้วย อ้าว พวกทาสนี่น่า? ว่าแต่ทาสของใครล่ะเนี่ย ไม่มีเจ้าของมาด้วย
“ร หรือว่าท่านคือท่านเทพโรมะ!”
พอพวกทาสเรียกผมแบบนั้น พวกสาวๆ ด้านหลังก็กั้นหัวเราะไม่อยู่ส่งเสียงดังพรืดออกเลย
“ไม่ใช่เทพสักหน่อย เป็นมนุษย์แบบพวกนายเนี่ยล่ะ ว่าแต่มีธุระอะไรล่ะ”
“พ พวกเราจะมาขอเข้าเรียนที่นี้ด้วยขอรับท่านเทพ”
…เอาเถอะ ห้ามไม่ฟังแบบนี้อยากจะเรียกอย่างไงก็เชิญเลย
“แล้วเจ้านายของพวกนายอนุญาตแล้วเหรอ”
“ขอรับ นายท่านบอกว่า ถ้ามีไอ้บ้าที่ไหนรับทาสเข้าเรียน ก็เชิญไปได้เลย”
เอ่อ นั้นมันประชดไม่ใช่เหรอ แต่ถ้าออกมาจากปากเจ้าของ ก็ถือว่าเป็นคำสั่งได้เหมือนกัน
“แล้วทำไมพวกนายถึงอยากจะเรียนหนังสือกันล่ะ”
พวกทาสหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าให้ตัวแทน
“พวกเราบังเอิญได้เจอคนของเมฆาสวรรค์ครับ ทั้งๆ ที่เป็นทาสเหมือนกันแต่ดูไม่เหมือนกันเลยสักนิด พวกเราเลยเข้าไปถาม เขาคนนั้นเลยตอบพวกเรา ว่าที่พวกเขาต่างเพราะเขามีความหวังและอนาคตที่ท่านเทพมอบให้ และยังบอกอีกว่า ท่านเทพเคยตรัส ว่าความรู้จะเป็นรากฐานที่พาไปสู่อนาคตได้อย่างมั่นคง พวกเราจึงอยากจะได้ความรู้ เพื่อที่จะได้มีอนาคตเหมือนกันขอรับ”
เยอะไปแล้ว แต่ถ้าไม่นับวิธีพูดแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงความตั้งใจของพวกเขาเลย
“พวกนายผ่าน ฉันจะติดต่อเรื่องสมัครเข้าเรียนให้ และจะให้ทุนสนับสนุนจนกว่าเรียนจบ แต่สภาพของพวกนายมันจะไปรบกวนนักเรียนคนอื่นได้ เพราะงั้นก่อนเข้าเรียนทุกครั้ง พวกนายจะต้องไปอาบนํ้าที่หอพักและเปลี่ยนชุดที่ทางนี้เตรียมให้ทุกครั้ง เข้าใจใช่ไหม”
“ขอบพระคุณมากครับท่านเทพ!”
“เดเม่ วานพาพวกเขาเดินไปดูสถานที่ และพาไปห้องอาบนํ้ากับเตรียมเสื้อผ้าให้หน่อยนะ พอเปิดเรียนแล้วจะได้จัดการกันเองได้”
“ได้ค่ะนายท่าน”
แต่ก่อนเดเม่จะพาพวกทาสไป พวกนั้นก็คุกเข่าลง และแบมือขึ้นมาเหนือหัว บนมือของทุกคนมีสิ่งของวางเอาไว้
“ได้โปรดรับไว้ด้วยเถอะครับ”
ของที่ว่ามีทั้งเหรียญทองแดงเล็กที่บิดเบี้ยว เมล็ดพืช กระทั่งก้อนหิน แต่ผมก็รับมันเอาไว้ ไม่ใช่เพราะมันคือสิ่งของ แต่เพราะผมรับเอาความตั้งใจของพวกเขามาต่างหาก
พอเข้ามาถึงคฤหาสน์แล้ว ผมก็แยกตัวไปหากรอเรียที่โบสถ์ โดยมีดาเลไลท์ มิริน มอเรีย และเมยอาตามมาด้วย เพราะสี่คนนี้อาสาเป็นครูสอนหนังสือให้เหมือนกัน โดยจะสลับกันมาแทนคนที่ไม่ว่าง โดยเฉพาะเมยอาที่เสนอตัวเป็นครูสอนเลขเพียงคนเดียว
โบสถ์ที่สร้างขึ้นมาตรงชายป่า เป็นอาคารสามหลัง มีโบสถ์ที่พวกกรอเรียไว้ทำพิธีอยู่ตรงกลาง คงสภาพตามแบบโบสถ์ใหญ่ไว้ทุกประการ ส่วนอาคารที่สองเป็นอาคารไม้สองชั้น มีห้องเรียนชั้นล่ะห้องหก สามารถรับนักเรียนได้ 240 คนโดยประมาณ ส่วนอาคารหลังสุดท้ายเป็นอาคารชั้นเดียวแต่ค่อนข้างกว้าง ใช้เป็นห้องสมุดซึ่งเก็บตำราเอาไว้มากมาย นอกจากนี้ยังมีลานฝึกดาบและยิงธนูด้วย
ผมเข้าไปหากรอเรียในโบสถ์ ซึ่งเธอพึ่งเสร็จจากการทำพิธีขอพรพอดี แต่พอเห็นหน้าผม เธอก็มีสีหน้าไม่ค่อยดี
“ไม่ค่อยราบรื่นสินะครับ”
“ค่ะ ตั้งแต่วันไปแจกใบปลิวก็มีคนมาสมัครแค่ 10 คนเท่านั้น ทั้งๆ ที่มะรืนนี้ก็จะเปิดเรียนแล้วแท้ๆ”
“ไม่เห็นต้องทำหน้าเศร้าเลยครับ คิดซะว่า ‘แหม ยังมีคนอุตส่าห์มาเรียนด้วย’ จะดีกว่านะครับ”
“โธ่ คุณโรมะล่ะก็!”
กรอเรียทำท่าโกรธใส่ผม แต่ก็ยิ้มออกมาได้แล้ว
“แต่ 10 คนนี้ก็ถือว่าเยอะแล้วนะครับ เพราะถ้าพวกเราสอนพวกเขาได้ดี โตขึ้นมาพอมีลูกมีหลานเดี๋ยวเขาก็ส่งให้มาเรียนที่นี้อีก แค่คิดว่ามีนักเรียนสิบรุ่น รุ่นล่ะสิบคน ก็เป็นร้อยคนแล้วนะครับ”
“ความคิดของคุณโรมะนี้น่าอัศจรรย์เสมอเลยนะคะ”
“ผมแต่มองโลกในความเป็นจริงเท่านั้นแหละครับ”
“อะแฮ่ม”
สงสัยเหมือนเห็นผมกับกรอเรียนั่งจีบกันอยู่มั่ง อาเดไลท์เลยกระแอ่มเตือนออกมา
“เกือบลืมไป ผมหานักเรียนเพิ่มให้ได้อีก 6 คนแล้วนะครับ”
“จริงเหรอคะ!”
“แต่เป็นทาสที่รับทุนสนับสนุนจากผมนะครับ แฮะๆ”
“ดีซะอีกค่ะ ถ้าเป็นทาสที่คุณโรมะรับรองมาล่ะก็ ต้องเป็นคนที่มีความตั้งใจมากแน่ๆ”
“ครับ ผมก็รู้สึกแบบนั้น”
“พูดถึงทุนสนับสนุน วันนี้คุณโรมะว่างไหมคะ ฉันจะได้เรียกคนที่มาขอทุนสนับสนุนมาพบ”
“ว่างครับ เรียกมาได้เลย งั้นขอรบกวนสถานที่หน่อยนะครับ ว่าจะสัมภาษณ์ที่นี้เลยทุกคนจะได้เห็นด้วย”
“ได้ค่ะ จะให้ช่วยเตรียมสถานที่อะไรไว้ไหมคะ”
“ไม่ครับ แค่นี้ก็พอแล้ว”
แล้วกรอเรียก็ให้พวกอัศวินควบม้าออกไปตามคนที่มาขอทุนทันที ส่วนเธอเองก็ออกไปด้วย
เหมือนกัน โดยแยกกันไปตามเพราะเห็นว่ามีหลายคนเลย
ส่วนคนที่มาก่อนผมก็เริ่มสัมภาษณ์ทันที คนที่มาล้วนแต่มีฐานะยากจน ไม่เป็นเด็กในสลัม ก็เป็นพวกข้างถนน กระทั่งโสเภณียังมีเลย
พวกคุณอาจคิดว่าผมเป็นคนใจดี แต่ผิดแล้ว ผมไม่ใช่คนใจดี และไม่ใช่คนที่ชอบให้โอกาสใครอย่างสิ้นเปลื้องด้วย แต่จะให้โอกาสเฉพาะกับคนที่ผมเห็นว่าคู่ควรเท่านั้น ฉะนั้นถ้าเห็นว่าเป็นคนที่มา เพียงเพื่อจะมีข้าวกินฟรีและมีที่อยู่ ผมจะเชิญออกไปทันที
การเรียนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ จะต้องอาศัยความตั้งใจถึงจะประสบผล เพราะงั้นผมไม่เสียเวลากับพวกหวังสบายทางลัดหรอก
ในห้าคนแรกที่สัมภาษณ์มีผ่านแค่คนเดียว เป็นโสเภณีเด็ก เอ่อ ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นผู้หญิงและเป็นเด็กตามสเปกที่ผมชอบหรอกนะ แต่เพราะตั้งแต่เริ่มสัมภาษณ์เธอกลับเป็นฝ่ายถามคำถามผมฝ่ายเดียว เช่นว่า เรียนแล้วจะได้อะไร วิชาที่เรียนจะเอาไปใช้ทำอะไรได้ ซึ่งทุกคำถามแสดงถึงความปรารถนาที่จะแสวงหาอนาคตที่ดีขึ้นของตัวเอง คนแบบนี้แหละที่จะเข้าใจหลักการที่แท้จริง ว่าเรียนหนังสือไปเพื่ออะไร
หลังจากผ่านการสัมภาษณ์ ผมจะอธิบายเงื่อนไขต่างๆ ในสัญญาทุนสนับสนุนให้ฟัง เช่นว่า เธอจะได้อาหารและที่อยู่ รวมถึงเสื้อผ้าและอุปกรณ์การเรียนทุกอย่าง รวมถึงสามารถขอหนังสือหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับการเรียนเพิ่มเติมได้ตามที่ต้องการ พอเรียนจบแล้วก็
จะไม่มีข้อผูกมัดอะไร สามารถเลือกงานที่ต้องการทำได้อย่างอิสระ
พวกอัศวินจากโบสถ์เคยถามผม ว่าทำแบบนี้ไปแล้วจะได้อะไร ผมบอกเลยว่าได้แน่ๆ คนเราเรียนจบไปแล้วก็ต้องทำงาน พอทำงานแล้วก็ต้องมีเงิน และต้องมีสักวันที่เขาเหล่านั้นจะหันกลับมามองสถานที่ที่มอบความรู้ให้ มันไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นแบบนั้น แต่ในร้อยคนจะต้องมีสักคน ที่อยากจะช่วยคํ้าจุนโรงเรียนแห่งนี้ให้อยู่รอดต่อไป
หลังจากที่สัมภาษณ์คนจำนวนเกือบร้อยที่มาขอรับทุน ก็มีเพียง 17 คนเท่านั้นที่ผมเลือก มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ มีทั้งคนและครึ่งสัตว์
ในนี้กว่าครึ่งไม่มีที่ให้กลับ อย่างโสเภณีเด็ก ถ้ากลับไปก็ต้องไปขายตัวอีก เธอเลยอยากจะอยู่ที่นี้เพื่อ
เรียนหนังสืออย่างเดียว ผมเลยให้พวกนี้สามารถเข้าพักที่หอพักได้เลย พร้อมกับให้พวกนักบวชอธิบายกฎการอยู่ที่หอพักให้ฟังด้วย
ถ้ารวมทั้งหมดที่มีในตอนนี้ ก็มีนักเรียนแล้ว 33 คน เยอะเหมือนกันนะ สำหรับก้าวแรก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...