ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 120 - 122 By Kumao






สำหรับใครที่ต้องการจะแต่งต่อ ขอความกรุณาใส่คำว่า Fic หรือ Fanfic ด้วยนะครับผู้อ่านบางคนจะได้ไม่สับสน
ส่วนตัวผมก็อยากให้มีคนแต่งต่อนะ แต่ถ้าเข้าไม่ถึงอารมณ์ตัวละครมันก็อาจดูขัดๆ
อาจจะต้องทำความเข้าใจตัวละครซักนิด แต่ผมก็สนับสนุนนะขอให้ไม่เจอพวกเกรียนรังควาน

ตอนที่ 120 ยูโทเปีย

เมื่อวานทั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงเมื่อเช้า ดุ้นของผมไม่ได้สูดอากาศเลย นอกจากพวกโกร่าและสาวๆ แล้ว ตอนดึกๆ พวกดอเรียที่ไปเปิดแท่นวาปร์ก็กลับมาพอดี ทำสถิติไปชั้น 12 ได้เร็วที่สุดเลย เพราะเพียงไม่ถึงหนึ่งวันก็ไปถึงแล้ว เห็นมิรินบอกว่าขี่หลังดอเรียกัน เลย
ไปได้เร็วกว่าปกติหลายเท่าตัว แถมมอนสเตอร์ไม่ได้เป็นปัญหาสักนิด แต่เพราะพวกเธอกลับมาเร็ว เลยได้เข้าร่วมศึกครั้งนี้ด้วย
แต่เมื่อคืนมันค่อนข้างชุลมุน เพราะพวกสาวๆ จะผลัดกันเข้ามาทีสามถึงสี่คน หน้าของผมไม่โดนทับด้วยนมก็โดนกดให้ชิมหอย บางทีเลยไม่ทันสังเกตว่าใครเป็นคนขย่มตออยู่ เสียงร้องก็ดังระงมไปหมดจนไม่รู้ใครเป็นใคร ตอนเช้าถึงพึ่งรู้ ว่ามีแขกแปลกหน้าเพิ่มเข้ามาด้วย
ทั้งเนปฟ่าและซีเอ้ ตอนนี้กำลังนอนเปลือยกายอยู่ที่ตรงปลายเท้าผม โดยที่ยังมีนํ้าเชื้อไหลเยิ้มออกมาจากหอยและก้นของทั้งคู่ แบบนี้หลักฐานชัดเจนว่ามีอะไรกันแน่นอน แต่การที่ผมไม่รู้ตัวเนี่ยสิ รู้สึกเสียดายจริงๆทว่า…กับเนปฟ่าเนี่ยนะ ถึงจะคุ้นๆ ว่าเธอเคยบอกว่า
พร้อมจะมีอะไรกับผมก็เถอะ แต่ดูจากนิสัยเธอแล้วไม่น่าจะยอมได้ง่ายๆ เลย หวังว่าพอตื่นมาแล้วจะไม่ตรงมาบีบคอผมนะ ส่วนซีเอ้…เอาเถอะ ความลับไม่มีในโลก แถมลองได้เข้ามาในห้องนี้ พวกสาวๆ คงทำการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ยังไม่สว่างดีนัก แต่ก็ถึงเวลาต้องไปทำมื้อเช้าแล้ว ส่วนมื้อเย็นเมื่อวานเพราะติดสงครามอยู่ พวกสาวๆ เลยงดไป ส่วนของพวกที่หอพัก พวกไรโมดอลและแฟรี่ก็จัดการให้แล้ว เพราะมีอาหารสำรองที่ผมทำเผื่อไว้ แค่เอาออกมาจากกระเป๋าก็กินได้เลย
แต่ตอนนี้ผมยังลุกไปทำมื้อเช้าไม่ได้ เพราะแขนทั้งสองข้างของผมโดนอาเดไลท์กับซาคุยะนอนหนุนอยู่ ที่ท้องก็มีฟรานนอนทับ แถมดุ้นผมยังแช่อยู่ในถํ้าของเมยอา เธอหันก้นมาทางผมและกอดขาแทนหมอนข้าง
บนเตียงยังมีเดเม่กับเรโมริก้าที่นอนหงายในสภาพถ่างขาอยู่เลย ส่วนอีกคนผมไม่เห็นหน้าหรอก เพราะนอนพาดตรงขอบเตียง โดยส่วนบนของร่างกายลงไปกองที่พื้น แต่จากที่เห็นหางปลายแหลมก็รู้ทันทีว่าเป็นเจ้าหญิงโช ที่เหลือก็นอนหมดสภาพกับเต็มพื้นห้องจนแทบไม่มีที่เดิน
ผมต้องขยับตัวอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้พวกสาวๆ ตื่น แต่ตอนขยับดุ้นออกมาจากหอยเมยอาเนี่ยสิ เกิดเสียงดังป๊วบขึ้นมา ตัวเมยอากระตุ้นเล็กน้อยและส่งเสียงครางออกมา แต่คงเหนื่อยจากศึกเมื่อคืน ทุกคนเลยยังหลับเป็นตาย
ตรงใกล้ๆ ประตู ผมเห็นยูรินกับบลูมนอนกอดกันกลมแบบขาพันกัน…บ้าชะมัด เมื่อคืนไม่ทันเห็นเลยว่าพวกเธอไปสนิทกันอีท่าไหน อยากเห็นจริงๆ โว้ย!
ผมต้องออกมาจากห้องในสภาพล่อนจ้อน เพราะหาเสื้อผ้าตัวเองไม่เจอ ตู้เสื้อผ้าก็ถูกดอเรียนอนขวางไว้อีก แต่ในคฤหาสน์ นอกจากไรโมดอลแล้วก็ไม่มีใครอยู่ ถึงจะแก้ผ้าเดินไปทั่วคฤหาสน์ก็คงไม่เป็นไรมั่ง
วันนี้ผมว่าสาวๆ คงลุกขึ้นมากินที่โต๊ะไม่ไหว เลยจะจัดใส่ถาดแล้วเอาขึ้นไปให้ข้างบน จากนั้นค่อยออกไปสอนพวกคนครัวทำมื้อเช้า
แต่ตอนที่กำลังทำอาหารอยู่ ผมก็เห็นเดเม่กับโมอาคลานลงบันไดมา
“น นายท่าน ห ให้พวกเราช่วยทำมื้อเช้านะคะ”
“…อย่าฝืนเลย”
ถึงกับคลานมาแบบนี้ แค่แรงตอกไข่ยังไม่มีเลยมั่ง ผมเลยอุ้มทั้งคู่กลับขึ้นไปนอน และจัดการมื้อเช้าด้วยตัวเอง
ทว่าคิดผิดเรื่องแก้ผ้าแฮะ เพราะมันทำให้พวกไรโมดอลกลัวจนไม่กล้าเข้ามาใกล้ผมเลย คงยังฝั่งใจกับเรื่องคราวก่อน ผมเลยต้องเอาผ้าม่านมาพันปิดท่อนล่างเอาไว้
เมนูมื้อเช้าของสาวๆ ผมทำอะไรที่ทานง่ายๆ เพราะพวกเธอคงไม่มีแรงกินกัน เลยทำเป็นไข่คน ซุปแบบมีขนมปังจิ้ม และนม ปริมาณไม่เยอะแค่พออยู่ท้อง เพราะกินเสร็จคงจะหลับต่ออยู่ดี
ผมยกถาดใส่อาหารเดินขึ้นไป โดยมีไรโมดอลที่ช่วยยกถาดที่เหลือ เดินตามมาเป็นแถว
พอเปิดประตูห้องออก ส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่อย่างที่คิดทุกคนยังขยับตัวไม่ไหว ขนาดพวกที่ฟื้นตัวเร็วอย่างฟรานกับเรโมริก้า ยังยืนขาสั่นเดินไม่ไหว ผมเลยจัดการอุ้มพวกเธอขึ้นมาทีละคน และไปจัดท่าให้นั่งที่เก้าอี้กับโซฟา เพราะจะให้นั่งกินกับพื้นมันดูไม่ดี ส่วนพวกที่อยู่บนเตียงแค่ลุกขึ้นมานั่งก็พอ
ตอนที่พวกเธอทานกันผมก็ได้โอกาสแต่งตัวสักที แต่สักพักกินกับเอร่าก็วิ่งเข้ามาในห้อง และรีบถามหามื้อเช้าทันที
กินน่ะอาหารเตรียมไว้ก่อนแล้ว ที่ทำคงเพราะเลียนแบบเอร่ามากกว่า ส่วนของเอร่านี้ผมลืมไปเลยแฮะ แต่เพราะทั้งสองคนไม่ได้เข้าร่วมสงคราม เลยยังดูแข็งแรงคึกคักกันดี โดยเฉพาะเอร่านี้หน้าใสปิ้งเลย สงสัยเมื่อคืนแอบดูไปตกเบ็ดไปหลายรอบแน่ๆ
แต่จะเข้าครัวทำอาหารให้คนเดียวเนี่ย เสียเวลา ผมเลยแค่ให้นมเอร่าดื่ม
“เอร่า มีงานให้ทำ”
“ง งาน ถ้าต้องทำงานรู้สึกเหมือนจะพ่ายแพ้เลย”
“อย่าพูดเหมือนเป็น NEET สิเฟ้ย! ว่าแต่เธอไปรู้คำพูดแบบนี้มาจากไหนกัน”
“มันอยู่ในจิตวิญญาณ”
“บรรลุไปถึงจิตวิญญาณของ NEET แล้วเหรอ!”
ผมไม่อยากมานั่งตบมุกกับเอร่าให้ปวดหัวแล้ว เลยลากเธอออกไปทั้งๆ แบบนั้น งานที่ผมจะให้เธอทำก็คือการชิมอาหาร
ตอนแรกผมกะจะไปเรียกแผนกคนครัวมาจากหอพัก แต่ไม่ต้องเลย แค่เปิดประตูคฤหาสน์ออกมา ทุกคนก็มายืนตั้งแถวรอผมอยู่แล้ว แถมยังกล่าวคำอรุณสวัสดิ์อย่างพร้อมเพรียงกัน
แต่วันนี้คงฝึกแผนกอื่นไม่ได้ เพราะสาวๆ หมดสภาพกันอยู่ ผมเลยปล่อยให้เป็นวันพักไป แต่โทษทีนะ ไม่มีวันหยุดสำหรับคนครัวหรอก ตราบใดที่สิ่งมีชีวิตยังต้องกินอาหารกันอยู่
เมนูมื้อเช้าที่ผมสอน เป็นเมนูที่ใส่ไว้ในเมนูหลักของโรงแรมด้วย หลักๆ ไม่ต่างจากที่ผมทำให้พวกสาวๆ ซึ่งก็มีไข่ดาว+ขนมปังปิ้ง+แยมหรือเนย+นม เมนูนี้ทำง่าย จะยากตรงหัดตอกไข่ไม่ให้ไข่แดงแตก และทอดไข่กับปิ้งขนมปังไม่ให้ไหม้เท่านั้น แน่นอนว่าส่วนที่ทำพลาดก็ให้เอาไปเอร่ากิน…ก็ดีกว่าเอาไปทิ้งล่ะนะ
ส่วนอาหารที่ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบแล้ว ผมจะให้คนทำกินก่อน ก็แบบเดียวกับเมื่อวานล่ะนะ ใครที่ทำเสร็จและกินเรียบร้อยแล้ว ค่อยไปทำส่วนของคนอื่นต่อ อันที่เสร็จแล้วก็ให้พวกไรโมดอลยกไปเสริฟเลย และให้เอร่าออกไปอธิบายวิธีทานให้ฟังด้วย จะว่าไป เดี๋ยวคงทำเขียนวิธีทานไว้คู่กับเมนูอาหารแล้ว ไม่สิ…คนในโลกนี้อัตราการรู้หนังสือน้อย คงอ่านไม่ออกอยู่ดี ถึงอ่านออกก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร…รูป ต้องใช้รูปภาพแทน แต่จะหาคนวาดจากไหนดี ไว้ไปถามโรสลินดูอีกที
ผมที่ดูแลการทำอาหารอยู่ ได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างมีความสุขมาจากทางหอพัก พวกที่ได้ลองกินแล้วคงจะชอบล่ะมั่ง
แต่ยังขาดไปอีกอย่างแฮะ…อ่ะ นึกออกแล้ว เบคอนไงล่ะ ไว้ราก้าฟื้นแล้วค่อยให้เธอออกไปหาให้
ล่ะกัน จะได้ไปหาพร้อมกับเม็ดกาแฟเลย งานหาวัตถุดิบของราก้าเนี่ย แทบจะเป็นงานสำคัญสุดของบ้านไปแล้ว
หลังจากมื้อเช้า ผมก็เรียกพวกทาสมารวมตัวกัน และให้เงินกันไปคนละห้าเหรียญเงินเล็ก เพื่อไปใช้ซื้อของในเมือง เพราะวันนี้เป็นวันหยุด จะให้มานั่งๆ นอนๆ กลัวจะเบื่อกัน หยุดทั้งทีก็ให้ไปเที่ยวในเมืองดีกว่า ส่วนพวกของใช้เห็นว่าเมื่อวานไปซื้อกันมาแล้ว วันนี้ผมเลยให้แค่ค่าขนมพอจะซื้ออะไรกินเล่นได้เท่านั้น ให้ใช้เงินเยอะๆ เดี๋ยวจะเคยตัว แต่ผมคำนวณพลาดไปสองเรื่อง
เรื่องแรก พวกทาสไม่เคยใช้เงิน แค่มีเงิน 10 รีลสำหรับพวกเขาก็ถือว่ามากแล้ว แต่นี้กำลังถือเงินกันถึง 500 รีล มันแทบจะเป็นเงินค่าตัวของใครบางคนได้เลย พวกทาสเลยต่างถือเงินกันแบบมือสั่น
เรื่องที่สอง พวกทาสใส่ชุดเครื่องแบบเหมือนกันหมด พอเข้าเมืองไปก็เลยสร้างความแตกตื่นให้กับผู้พบเห็น แถมไปกันเป็นกลุ่มใหญ่เลยยิ่งดูเด่นสะดุดตา
“ไปกันเป็นกลุ่ม ระวังอย่าให้ผลัดหลง ดูแลพวกเด็กๆ ด้วย แล้วกลับมาตอนมื้อเที่ยงนะ”
ผมสั่งรวดเดียวก่อนจะกลับไปทำงานอย่างอื่นต่อ เพราะวันนี้ผมจะให้พวกสาวๆ นอนพัก เลยจะทำงานบ้านและรดนํ้าต้นไม้แทน แถมไม่ได้คลีนนิ่งรอบบ้านมานานแล้ว ถือเป็นวันทำความสะอาดใหญ่ไปเลยล่ะกัน
ส่วนพวกทาสหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะค่อยๆ เดินขบวนกันเข้าเมือง
ผมแวะขึ้นไปดูสาวๆ รอบหนึ่งก่อน เผื่อมีใครอยากจะได้อะไร แต่พวกเธอแยกย้ายกันไปนอนที่ห้องของตัวเองแล้ว ที่ห้องนอนผมเลยมีแต่พวกโกร่ากับเนปฟ่าที่นอนหลับกันอยู่ ส่วนยัยเอร่าเนียนออกไปกับพวกทาสด้วย แต่ผมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป อย่างไงยัยนั้นก็เลเวลสูงพอป้องกันตัวได้แล้ว คงไม่งี่เง่าจนโดนใครจับไปหรอก…ถึงจะไม่แน่ก็เถอะ
ตอนนี้เลยเหลือผมกับกินแค่สองคน กินพออิ่มท้องแล้ว ก็ปีนขึ้นมาขดตัวนอนบนหัวผม ซึ่งผมก็ปล่อยไว้แบบนั้นและเริ่มทำความสะอาดรอบคฤหาสน์ ตอนที่ไปถึงห้องอาบนํ้าก็พึ่งนึกขึ้นได้ ว่าตอนนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมากแล้ว ถึงเวลาต้องขยายห้องอาบนํ้าสักที และคงต้องเพิ่มห้องส้อมด้วย แต่ตอนนี้ติดงานก่อสร้างหลาย
งาน ไว้เสร็จจากสร้างโรงแรมแล้วค่อยมาจัดการทีหลังล่ะกัน
ไหนๆ ก็ทำความสะอาดห้องอาบนํ้าแล้ว ผมเลยเตรียมนํ้าอุ่นไว้ด้วย เผื่อใครตื่นมาแล้วอยากจะมาแช่นํ้า ตอนที่ลงดันเจี้ยนพวกเธอทำกันได้ดีมาก ไม่มีใครบ่นสักคำและทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผมเลยอยากจะให้ทุกคนได้พักผ่อนอย่างสุขสบายที่สุดตอนอยู่ที่บ้าน
ผมทำงานบ้านต่างๆ จนลืมเวลาไปเลย รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ฟรานกับเรโมริก้า ที่ฟื้นตัวได้ก่อนใครลงมา และพากันไปแช่นํ้าด้วยกัน ทั้งคู่ก็ชวนผมไปด้วย ผมทำงานมาตลอดช่วงเช้าเลยมีเหงื่อออกนิดหน่อย จึงไม่ปฏิเสธคำชวน แต่ลงแช่นํ้าโดยมีสองแม่ลูกที่หน้าตา
เหมือนกับอย่างกับฝาแฝดมาประกบข้างแบบนี้ รู้สึกตื่นเต้นดีแฮะ
“ตายแล้วๆ ของท่านโรมะแข็งอีกแล้ว เมื่อคืนทำไปตั้งขนาดนั้นยังไม่พออีกเหรอคะ”
เรโมริก้าเห็นดุ้นที่โผล่หัวขึ้นมาเหนือนํ้าก็ทำหน้าล้อเลียนใส่ผม
“ท่านแม่ค่ะ สำหรับท่านโรมะแล้ว แค่นี้เป็นเรื่องปกติค่ะ”
ฟรานพูดจบก็เลื่อนตัวไปดูดหัวดุ้นที่โผล่พ้นนํ้าทันที
“อ่ะ ฟรานแบ่งแม่มั่งสิ!”
เรโมริก้าเองก็เข้ามาเลียมาดูดด้วย
“ขอโทษนะคะท่านโรมะ เมื่อคืนกระหนํ่าจนของพวกเราฉีกไปหลายรอบเลย ตอนนี้เลยยังใส่เข้าไปข้างในไม่ไหว”
“ไม่ต้องหรอก วันนี้พักกันให้เต็มที่เถอะ”
เรื่องสภาพร่างกายของทุกคนผมคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะทุกคนกินชูปเปอร์แยมขาวกันไปเต็มคราบแล้ว จะเหลือก็แต่ความเจ็บกับอาการล้าตกค้างเท่านั้น
หลังจากพวกฟรานดูดนํ้าเชื้อผมจนหมดแล้ว พวกเราก็ขึ้นจากนํ้า ซึ่งพอดีกับที่พวกทาสเริ่มกลับมากัน ผมเลยออกไปดูสักหน่อย และพวกให้พวกฟรานไปดูแลสาวๆ คนอื่นแทน เพราะน่าจะใกล้เวลาตื่นกันแล้ว เหตุที่มั่นใจได้ เพราะมันใกล้เวลาเที่ยงไงล่ะ กระเพาะของพวกเธอมันตั้งเวลาปลุกไว้เองแน่ๆ
จากที่เห็นสีหน้าของพวกทาสต่างยิ้มแย้มดูมีความสุขกันดี แปลว่าไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเอร่าก็หอบของกินมาเต็มสองแขนเลย ตะกละจริงๆ ยัยนี้
แต่ผมอยากได้ข้อมูลเชิงลึกมากกว่านี้ เลยสุ่มเข้าไปสอบถามพวกทาสดู
“ตกลงได้ไปซื้ออะไรกันมาบ้าง?”
“ผมไม่ได้ซื้ออะไรเลยครับนายท่าน เพราะนี้เป็นเงินที่นายท่านประทานให้ เลยต้องเก็บดูแลรักษาไว้เป็นสมบัติสำคัญครับ”
…ก็กะไว้แล้วต้องมีแบบนี้แน่ๆ ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะบอกออกไป
“เงินที่ให้ไปเนี่ย เรียกว่าค่าขนม ซึ่งจะเอาไปใช้อะไรก็ได้เพราะมันเป็นของนายแล้ว แต่ถึงจะเก็บ
สะสมไว้ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่อย่าเก็บด้วยเหตุผลแบบนั้น ยิ่งจากนี้ไปพอเริ่มทำงานแล้ว พวกนายก็จะมีเงินเดือนใช้ด้วย”
“นายท่านครับ เงินเดือนที่ว่ามันคืออะไรเหรอครับ?”
พวกทาสมาต่อแถวฟังกันอย่างตั้งใจ เพราะทุกคนก็สงสัยเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“เป็นเงินค่าจ้างไง พวกนายทำงานให้ฉัน ฉันจะก็จ่ายเงินให้”
“ไม่ได้ครับ/ค่ะ! พวกเราไม่กล้ารับเงินจากนายท่านหรอก ท่านทั้งมอบอาหาร ที่อยู่ เสื้อผ้า ซํ้ายังให้อิสระแก่พวกเรา แค่นี้ก็มากเกินไปแล้วครับ/ค่ะ!”
“ฟังนะ ถึงพวกนายจะเป็นทาส แต่ฉันขอแค่ให้พวกนายทำงานอย่างตั้งใจและซื่อสัตย์ แค่นั้นพอ ส่วนที่เหลือมันคือชีวิตของพวกนาย ทั้งความฝัน ทั้งอนาคต มันเป็นสิ่งที่พวกนายมีได้และเงินเดือนที่ให้ก็เพื่อสิ่งนั้น คิดซะว่าเป็นเงินสนับสนุนความฝันและอนาคตของพวกนายล่ะกัน”
ผมพยายามพูดเพื่อให้พวกเขายอมรับได้นะ แต่กลายเป็นคำพูดที่กระตุ้นต่อมนํ้าตาไปซะได้ พวกทาสเลยพากันร้องไห้ และก้มกราบผมพร้อมกล่าวคำสรรเสริญออกมาไม่หยุด
“รีบลุกขึ้นเลย! อันนี้ก็ห้าม พวกนายห้ามกราบใครอีกเด็ดขาด จากนี้ไปพวกนายจะต้องเรียนรู้การให้ความสำคัญกับทุกสิ่ง เริ่มจากศักดิ์ศรีของตัวเองก่อนเลย”
ใช่ เล่นกราบกันตลอดแบบนี้ ผมโคตรอึดอัดเลย แต่ว่า…หลังจากนั้นเป็นต้นมา พวกทาสก็ไม่กราบอีกเลย แต่เปลี่ยนมาคุกเข่าและประสานมือทำท่าสวดภาวนาทุกครั้งที่ผมเดินผ่าน
“เอาล่ะหมดเวลาทำซึ้งแล้ว พวกคนครัว พร้อมจะทำมื้อเที่ยงกันไหม”
“เพื่อนายท่านพวกเราพร้อมเสมอครับ/ค่ะ!”
พวกคนครัวมาเรียงแถวต่อหน้าผม ทั้งรวดเร็วแถมเป็นระเบียบ ไม่เว้นแม้แต่เด็กสาวสองคนนั้นด้วย อืม...มีระเบียบวินัยก็ดีนะ แต่ท่าทางมันดูโอเวอร์อย่างไงไม่รู้สิ
ผมทำเป็นไม่ใส่ใจ และพาพวกคนครัวไปฝึกทำอาหารต่อ
ในช่วงบ่ายหลังได้กินมื้อเที่ยงแล้ว พวกสาวๆ ก็ฟื้นตัวเต็มร้อย และเริ่มลุยงานต่อโดยไม่ฟังคำทัดทานจากผมเลย พวกทาสเองก็มารอรับการฝึกกันแล้วด้วย ส่วนงานก่อสร้างโรงแรมก็เริ่มขึ้นแล้วเหมือนกัน
ส่วนผมหลังจากมื้อเที่ยงก็ปล่อยให้คนครัวไปพัก ซึ่งพวกนี้ดันเอาเวลาพักไปเข้ารับการฝึกกับพวกแผนกอื่นแทน โดยเฉพาะแผนกต้อนรับกับแผนกพนักงานเสริฟ ซึ่งเป็นเหมือนการฝึกมารยาทของชนชั้นสูง
ผมเองก็อยู่กับเมยอาและมอเรีย เพื่อดูบัญชีเพราะวันนี้จะสรุปได้แล้วว่าค่าใช้จ่ายกับต้นทุนหมดไปเท่าไร
“ค่าจ้างของพวกทาสให้เยอะแบบนี้จะดีเหรอ”
เมยอาถามขณะกางตารางค่าจ้างออกมาบนโต๊ะ
“แค่ 5000 รีลเอง นี้มันครึ่งเดียวของค่าจ้างเธอเลยล่ะ”
“แต่ถ้าจ่ายในอัตรานี้ จะต้องหมดเงินไปเกือบล้านต่อเดือนเลยนะ”
“อย่าลืมนับโบนัสประจำปีด้วยนะ”
“ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว!”
เมยอาร้องแว๊ดใส่ผมอีกแล้ว เลยต้องอธิบายให้ฟังว่าเหตุใดต้องให้ทั้งเงินเดือนและมีโบนัสให้อีก แต่ไม่ใช่เมยอาจะคัดค้านอะไรหรอก เธอเห็นด้วยกับ
ผมอยู่แล้ว แต่ในฐานะนักบัญชีมันอดหงุดหงิดไม่ได้ ส่วนมอเรียก็แอบหัวเราะเมื่อเห็นผมสองคนถกเถียงกันไฟแล่บ เพราะในบ้านนี้มีแค่เมยอาเท่านั้นแหละที่กล้าเถียงผมแบบนี้
ส่วนเรื่องต้นทุนในการก่อสร้าง ก็แทบไม่ต้องใช้ แถมไม่ต้องไปกู้เงิน แรงงานก็เป็นคนของตัวเอง พวกแฟรี่กับมอนสเตอร์ก็ไม่ได้ร้องขออะไร จะให้เงินไปพวกนั้นก็ใช้ไม่เป็นอยู่ดี ที่พวกนั้นต้องการก็แค่ที่อยู่ที่ปลอดภัยและสงบสุขเท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งนั้นผมให้ไปแล้วด้วยการให้อาศัยในพื้นที่ของผมได้อย่างเสรี
ส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือนนอกจากเงินเดือนลูกจ้างแล้ว ก็เป็นค่าดูแลและค่าวัตถุดิบในการทำอาหารเป็นหลัก ซึ่งผมเอาเมนูอาหารที่คิดไว้กางให้ดู และ
ช่วยกันคำนวณราคาวัตถุดิบที่ใช้ไปสำหรับแขก 2000-3000 คนต่อวัน
1,750,000 รีล นั้นคือค่าใช้จ่ายโดยประมาณต่อเดือน หมายความว่าเพื่อไม่ให้ขาดทุน ผมต้องทำให้โรงแรมสร้างรายได้มากกว่าค่าใช้จ่ายให้ได้ ซึ่งรายได้ของโรงแรมจะมาจากสองส่วน คือค่าที่พัก กับค่าอาหาร
100 รีลสำหรับค่าที่พัก นั้นคือที่ผมคิดไว้ในตอนแรก เพราะโรงแรมของผมรับแขกที่มาพักได้หนึ่งพันคน กรณีถ้าลูกค้าเต็ม ผมก็จะได้หนึ่งแสนรีลต่อวัน ไม่ถึงเดือนก็ได้กำไรแล้ว แต่อย่าหวังให้ลูกค้าเต็มตลอดจะดีกว่า ไม่สิ หวังได้นะ เพราะนี้ไม่ใช่โรงแรมที่จะมาพักแบบการท่องเที่ยวตามฤดูกาลสักหน่อย นักผจญภัยน่ะลงดันเจี้ยนทุกวันเลยนะ เพราะมันคืองานไงล่ะ
แต่ 100 รีลได้ถูกปฏิเสธไปในทันที ทั้งจากเมยอาและมอเรีย เพราะอะไรน่ะเหรอ ถ้าเป็นในเมือง 100 รีลใช้พักได้แค่คอกม้าเท่านั้นแหละ ระดับ 200 รีลก็จะเป็นห้องพักแบบรวม ต้องระดับ 1000 รีลถึงจะได้ห้องพักเดียว ถ้ามีเตียงด้วยก็ต้อง 1500 ขึ้นไป แต่นี้โรงแรมของผม ห้องก็กว้างกว่า เฟอนิเจอร์ก็มีให้ครบ เตียงก็นุ่ม มีห้องนํ้าในตัวอีก จะคิดแค่ 100 รีล…มีแต่คนประสาทกลับเท่านั้นแหละที่ตั้งราคาแบบนี้ได้
ส่วนอาหาร เอาแต่มื้อเช้าแบบที่กินกันวันนี้ ผมคิดแค่ชุดล่ะ 75 รีลโดยต้นทุนแค่ 30 รีลโดยประมาณ แต่ผมกลับโดนว่าหนักกว่าเรื่องค่าที่พักอีก ทั้งคู่บอกพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ว่าแค่ไข่ดาวที่ผมทำ ก็มีราคาไม่ตํ่ากว่าพันรีลแล้ว…พูดเป็นเล่นไป แค่ไข่ดาวเนี่ยนะ
แต่ผมเถียงไม่ได้ เพราะสามัญสำนึกพื้นฐานผมไม่เหมือนกับคนบนโลกนี้ เรื่องการกำหนดราคาผมเลยต้องให้ทั้งสองเป็นคนจัดการเอง แต่ผมตั้งเงื่อนไขเอาไว้ ว่าจะไม่เอากำไร โรงแรมผมสร้างเพื่อความพอใจ…ไม่สิ แค่ความสะใจมากกว่า ขอแค่มีเงินหมุนเวียนไม่ให้ขาดทุนแค่นั้นพอ และอยากให้เป็นสถานที่ที่ทุกคนเข้ามาใช้บริการได้ ไม่ว่าจะมีฐานะอะไรก็ตาม ฉะนั้นห้ามตั้งราคาแพงเด็ดขาด
มอเรียยกเอาเรื่องรายได้ของนักผจญภัยมาด้วย ว่าระดับพวกที่ไปลุยตั้งแต่ชั้น 8 มีรายได้แค่ไหน หลังจากคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว ราคาเลยออกมาเป็น…
ค่าที่พัก ห้องเดียว 800 รีล ห้องเตียงคู่ 1000 รีล ห้องแบบครอบครัว 2500 ห้องซูพีเรียล
2000 รีล ห้องดีลักซ์ 3000 รีล และห้องสวีท 5000 รีล
คอมเม้นซ์จากผม ‘แพงไปหน่อยนะ จะมีแขกมาพักเหรอ’
“ท่านโรมะน่ะเงียบไปเลย”
โดนดุกลับมาซะได้
ค่าอาหาร เมนูอาหารเช้า 100-500 รีล เมนูอาหารเที่ยง 400-1000 รีล เมนูอาหารคํ่า 500-2000 รีล ส่วนเครื่องดื่มคิดตามราคาเดิม
อยากคอมเม้นซ์ไปว่าแพงเหมือนกัน แต่ไม่กล้าล่ะ เดี๋ยวโดนดุอีก อ้อ จริงสิยังมีวิธีนี้อยู่ด้วย
“นี้ๆ ทุกวันอาทิตย์ผมอยากให้จัดเป็นบุฟเฟ่นะ”
“บุฟเฟ่?”
พวกเธอไม่รู้จักคำนี้ ผมเลยต้องอธิบายให้ฟัง หลังจากนั้นก็คบคิดกันพักหนึ่งก่อนจะตั้งราคาออกมา โดยคิดหัวล่ะ 500 รีล
แต่หลังจากนั้นผมก็ใส่เงื่อนไขไปอีก ว่าสำหรับแขกที่พาทาสมาด้วย จะมีส่วนลดให้สำหรับค่าอาหารในส่วนของทาส
ส่วนราคานี้จะใช้ได้ไหม ก็ต้องลองเปิดกิจการก่อนถึงจะรู้ และก็มาถึงส่วนที่ยากที่สุด…
การตั้งชื่อโรงแรม
แต่ไม่ว่าจะอย่างไงพวกเธอก็จะให้ผมเป็นคนตั้งชื่อให้ได้ ผมเองก็พอมีชื่อที่อยากใช้อยู่ หรือต้อง
บอกว่าเป็นแนวคิดตามอุดมคติตั้งแต่แรกของผม ที่จะสร้างโรงแรมนี้ขึ้นมา ชื่อที่ใช้ก็คือ
โรงแรมยูโทเปีย
ซึ่งประกอบไปด้วยอาคาร 2 หลังไขว้ตัดกันเป็นรูป X เลยจะมีตึกสี่ปีก และตรงกลางจะทำเป็นฮอลทรงกลมขนาดใหญ่ มีประตูเข้าออกสี่ด้าน รีเซฟชั่นก็จะตั้งตรงกลางส่วนฮอลที่ว่า โดยจะมีโซฟาและโต๊ะไว้สำหรับแขกมานั่งเล่นหรือคุยเรื่องงานกันถึงห้าร้อยที่
ตึกแต่ล่ะปีกก็จะสูง 10 ชั้น ส่วนลิฟล์ผมใช้เป็นแบบลอกดึงด้วยอุปกรณ์เวท เพื่อไม่ให้มันดูทันสมัยเกินไป
ห้องพักก็จะมีแบบ ห้องเดียว 500 ห้องเตียงคู่ 300 ห้องแบบครอบครัว 100 ห้องซูพีเรียล 50 ห้องดีลักซ์ 50 และห้องสวีท 10
ร้านอาหารหลักจะอยู่ส่วนนอกของอาคาร เพราะอย่างไงก็ไม่มีแดดกับฝนตกอยู่แล้ว เลยจัดในที่โล่งแจ้งได้ โดยผมจะยึดบรรยากาศแบบเดียวกับลานเบียร์หน้ากิลนักผจญภัยนั้นแหละ แต่นอกจากนี้ ยังมีห้องอาหารภายในตัวอาคารด้วย โดยจะแบ่งเป็นหลายๆ แบบ เช่นบาร์เหล้า ร้านอาหาร ร้านขนมหวาน ร้านปิ้งย่าง
โดยที่สามารถรับลูกค้าที่มากินอาหารเพียงอย่างเดียวได้วันล่ะ 2000-2500 คน
เสร็จจากงานของพวกเมยอาแล้ว ผมก็กลับออกมาจากห้อง และไปช่วยยูรินสร้างชักโครกต่อ และงานตลอดทั้งสัปดาห์ของผมก็จะวนเวียนอยู่แบบนี้

ตอนที่ 121 ความคืบหน้า

10 วันผ่านไปหลังจากเริ่มก่อสร้างโรงแรม
วันนี้เป็นวันที่โรงแรมสร้างเสร็จ และกำลังอยู่ในขั้นตอนการตบแต่งภายใน พวกลุงออกัสก็จะเริ่มย้ายร้านกันตั้งแต่วันนี้ พวกทาสผมก็ให้ไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่ตั้งแต่วันนี้เหมือนกัน ส่วนวันเปิดจริง จะเป็นอีกสองวันให้หลัง
และมีอีกข่าวดีหนึ่งที่ต้องบอก ว่าผมหาผู้จัดการโรงแรมได้แล้วไม่ใช่คนอื่น…แต่เป็นอานูบิส
เจ้าตัวมาขอกับผมเองเลยว่าอยากจะทำงานที่โรงแรมด้วย เจ้าตัวสนใจตั้งแต่ตอนผมไปขออนุญาตทำการก่อสร้างในดันเจี้ยนของเขาแล้ว ส่วนเหตุผลเพราะมันเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำความคุ้นเคยกับสังคมมนุษย์ในโลกนี้
ซึ่งผมเองก็ไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ เพราะอย่างไงเขาก็ทำงานให้ฟรี แถมหน้าที่นี้ก็แทบไม่ต้องทำอะไร เพราะทาสที่ผมฝึกมาเป็นพนักงาน สามารถจัดการงานในแผนกของตัวเองได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง ผมเลยให้ชุดพ่อบ้านกับอานูบิสไปใส่ และให้ท่องจำกฎและระเบียบต่างๆ ในโรงแรม ซึ่งงานง่ายๆ แต่กลับเหมือนยากสำหรับอานูบิสเลย
ด้านโบสถ์เองตอนนี้ก็สร้างเสร็จแล้วเหมือนกัน กำลังอยู่ในขั้นตอนไปเชิญชวนให้คนมาสมัครเรียนกัน ซึ่งผมแบ่งหน้าที่กัน โดยพวกกรอเรียจะไปแจกใบปลิวที่ผมคิดขึ้นมาในเมือง ส่วนผมจะไปติดต่อขอติดประกาศที่กิลนักผจญภัย เพราะอย่างไงก็ย้ายแท่นวาปร์ไปที่ติดกิลวันนี้อยู่แล้ว
วันนี้ทุกคนดูตื่นเต้นกันมากกว่าทุกวัน โดยเฉพาะพวกทาส เพราะสิ่งที่ฝึกมาอย่างหนักตลอดเกือบสองอาทิตย์ กำลังจะได้ใช้แล้ว
ส่วนเรื่องเมนูที่เป็นปัญหาในตอนแรก ผมก็แก้ปัญหาได้แล้ว ด้วยการไปติดเควสรับสมัครคนที่วาดรูปเป็นมาจากกิลนักผจญภัย ซึ่งมีคนมาสมัครหลายสิบคนเลย ทำให้งานเสร็จได้ทันเวลาพอดี
โดยในเมนูอาหารในหนึ่งหน้าจะมีรูปอาหารพร้อมกับชื่ออาหารติดไว้ ซึ่งแค่เห็นรูปก็พอทำให้รู้ได้ว่าเป็นอาหารแบบไหนเลยไม่ต้องเขียนอธิบายไว้ และยังมีติดราคาบอกไว้ด้วย ทั้งเป็นแบบตัวเลข และเป็นรูปเหรียญตามจำนวนเงิน เลยเป็นเมนูที่ใช้ได้ทั้งคนที่อ่านหนังสือออกและอ่านหนังสือไม่ได้
ส่วนเมนูอีกเล่มจะเหมือนสมุดภาพ เพราะมันจะวาดขั้นตอนการกินอาหารแต่ละชนิดเอาไว้อย่างละเอียด ผมตั้งชื่อมันว่า คู่มือการกินอาหาร
พอตรวจดูทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกเดินทางไปที่กิลนักผจญภัยทันที แต่คราวนี้ผมไปแค่คนเดียว เพราะสาวๆ ติดงานของตัวเองอยู่ แถมอาจจะต้องใช้เวลานิดหน่อย แต่ว่าไม่ใช่คนเดียวซะทั้งหมด เพราะเรโมริก้านอกจากเวลากินและกิจกรรมทางเพศแล้ว ก็จะมาสิงในเงาของผมตลอด เคยถามไปเหมือนกันว่าทำไมไม่ไปอยู่ในเงาของฟราน เรโมริก้าเลยบอกว่า
“เป็นคำสั่งของท่านมุเอมะค่ะ เพราะเวลาอยู่ในเงา นอกจากสามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายแล้ว เวลาท่านโรมะเกิดมีอารมณ์ฉันก็จะรู้สึกได้ด้วย จึงสามารถออกมาปรนนิบัติได้ทุกเวลา”
อืม เมื่อวันก่อนก็แวะกลับไปหามุเอมะที่ปราสาทจอมมารมาเหมือนกัน ก็ไปเล่าเรื่องโรงแรมที่จะสร้างให้ฟัง ถึงจะรู้ว่าเธอรู้อยู่แล้วก็เถอะ แต่ไม่เห็นเธอพูดถึงเรื่องนี้เลย
พูดถึงสถานการณ์ที่ปราสาทจอมมาร ตอนผมกลับไปแบบว่าตกใจไปเหมือนกัน เพราะราวกับมีการบุกโจมตีเกิดขึ้น พอไตร่ถามดูถึงได้รู้ว่าเป็นฝีมือของมุเอมะ เพราะตอนที่ผมโดนเรเดียจับตัวไว้และโดนทำอะไรหลายๆ อย่าง มันทำให้มุเอมะถึงกับคลั่ง ทุกคนช่วยกันห้ามเธอไว้จนบาดเจ็บกันไปละนาว แถมปราสาทก็มีสภาพอย่างที่เห็น
ผมเลยต้องเรียกมุเอมะมาลงโทษ ด้วยการใช้ดุ้นกระหนํ่าใส่จนเธอกรีดร้องลั่นปราสาท
แต่มีอีกเรื่องที่น่าปวดหัว ก็คือเรื่องของอลิซาเบธ เนื่องจากเธอกลายเป็นพวกเสพติดการมีเซ็กส์กับผมแล้ว ทำให้เธอไม่สามารถขาดจากการมีเซ็กส์กับผมได้ มุเอมะบอกว่าขีดจำกัดของเธอคือหนึ่งสัปดาห์ มากกว่านี้อาจถึงขั้นทำร้ายตัวเองได้ นี้ก็กะว่าถ้าวันพรุ่งนี้ผมยังไม่กลับมา ก็คงต้องไปตามแล้ว
และนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผมเสียใจ เพราะผมไม่ได้พิศวาสอะไรอลิซาเบธมากนัก แต่ต้องมามีอะไรกับเธอทุกสัปดาห์เป็นเรื่องที่ฝืนความรู้สึกพอประมาณ ทว่าผลกรรมใดใครก่อ คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ
ผมจึงเข้าไปซั่มอลิซาเบธที่รอท่าผมอยู่แล้วจนเธอหายอยากไปเลย
มุเอมะแนะนำให้ผมพาอลิซาเบธไปเข้าฮาเร็ม หรืออย่างน้อยก็พาไปอยู่ที่คฤหาสน์ด้วย แต่ผมยัง
ไม่แน่ใจนัก เพราะจากนิสัยของอลิซาเบธ ผมไม่คิดว่าเธอจะเก็บความลับของผมได้ แถมมีแววจะทะเลาะกับสาวๆ คนอื่น ผมเลยขอดูไปอีกสักระยะก่อน
พูดถึงปัญหาแนวนี้ก็ยังมีอีกสองรายที่ทำให้ผมวิตก คนแรกก็คือซาคุยะ
เพราะถ้าใช้ตรวจสอบดู จะเห็นเลยว่าสถานะของเธอขึ้นมาเป็นทาสเซ็กส์แล้ว ตอนมีเซ็กส์กับผมเธอจะไร้ซึ่งความเขินอายแบบครั้งแรก และไม่ว่าผมจะสั่งอะไรเธอจะปฏิบัติตามทันที ถึงมันจะวิตถารแค่ไหนก็ตาม แต่ยังดีที่ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นเธอจะไม่แสดงด้านนี้ออกมาให้เห็น
ส่วนอีกคนก็คือ เนปฟ่า
คนนี้ผมวิตกเพราะผมอ่านเธอไม่ออก โดยพื้นฐาน เนปฟ่าเป็นคนใจร้อนขี้โวยวาย แต่ก็มีบางมุมที่
เธอจะทำตัวเงียบๆ ไม่แสดงออก ยิ่งตอนหลังจากคืนที่ทำสงครามกันแล้ว เธอไม่คุยแถมไม่มองหน้าผมอีกเลย ไม่สิ พยายามหลบหน้าเลยด้วยซํ้า ทำให้ผมไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไงกันแน่ หรือว่าคืนนั้นผมทำให้เธอไม่ประทับใจ เป็นไปได้สูงเลย เพราะมัวกันขนาดนั้นผมเลยไปใส่ใจรายละเอียดทีละคนไม่ได้ กับคนที่เป็นม้าเคยขี่มาแล้วมันไม่เป็นไรหรอก แต่กับเนปฟ่าเป็นครั้งแรก มันต้องมีอะไรๆ ที่พิเศษหน่อย
มาคิดมุมกลับกัน ครั้งแรกของตัวเองกลับมาเจอมหกรรมเซ็กส์หมู่แบบนี้ ไม่กลัวก็แปลกแล้ว!
กลับอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่มันมีผลกระทบกับจิตใจผมมากๆ เลย เพราะตอนนี้ค่า Lust Mastery ของผมพุ่งกระฉูดเลย ยิ่งในคืนที่เกิดสงครามขึ้น ผมได้ค่า Lust Mastery มาอย่าง
มหาศาล แต่พอกดดูตรง Log เพื่อดูว่าได้มาจากใครเท่าไร ผมแทบร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด เพราะผมได้ค่า Lust Mastery มาจากซีเอ้เยอะสุด เยอะขนาดเอาพวกสาวๆ สามคนมารวมกันยังไม่เท่าเลย
ผมประเมินจากค่า Lust Mastery ที่ได้มาจากแต่ละคนแล้ว สรุปว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ทำหรอก แต่น่าจะขึ้นอยู่กับความวิตถารและความหื่นที่ผมระบายออกไปมากกว่า
ว่าแต่ค่า Lust Mastery ของผมตอนนี้เพียงพอจะเรียก อัสโมเดียสออกมาได้สบายๆ เลย…แต่อย่าดีกว่า ได้กลิ่นไม่ค่อยดี อย่าไปยุ่งด้วยเป็นดีที่สุด
กลับมาที่ปัจจุบัน ตอนนี้ผมกำลังมุ่งหน้าไปที่กิลนักผจญภัย ซึ่งผมส่งจดหมายนัดหมายไปให้ซารีตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว ซึ่งเธอก็ตอบตกลงมา
ส่วนแท่นวาปร์ผมให้สร้างเพิ่มขึ้นมาอีกอัน โดยเบอร์ 1 คืออันที่อยู่หน้าโรงแรม เบอร์ 2 คืออันที่กำลังจะเอาไปติดตั้งให้ที่กิลนักผจญภัย และเบอร์ 3 คืออันที่ติดตั้งไว้นอกกำแพงคฤหาสน์ในจุดที่ลับตาคน จากเบอร์ 1 กับ 2 สามารถใช้งานได้โดยไม่มีเงื่อนไขอะไร แต่สำหรับเบอร์ 3 จะใช้ได้เฉพาะคนที่มีใบผ่านเท่านั้น ซึ่งเป็นอุปกรณ์เวทที่ผมให้ทุกคนในคฤหาสน์พกติดตัวไว้ตลอด
เหตุที่ต้องทำแบบนี้ เพราะว่าต้องป้องกันคนนอกใช้แท่นวาปร์มาบุกคฤหาสน์น่ะสิ ในขณะที่คนของผมสามารถวาปร์ไปที่กิลนักผจญภัยหรือโรงแรมได้
เลย เพราะการทำงานเป็นกะ คนที่ไม่ได้ทำจะได้กลับมาพักที่หอพักได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
ผมเดินเข้ามาในกิลตามปกติ แต่สายตาทุกคู่จ้องมาที่ผมทันที โดยเฉพาะพวกพนักงานกิล รู้สึกขนลุกแฮะ
แต่ผมก็ทำเป็นไม่ใส่ใจสายตาของทุกคน และเดินไปติดต่อพนักงานบอกว่าจะมาติดตั้งแท่นวาปร์
จุดที่จะติดตั้ง ทางกิลได้เตรียมไว้แล้ว โดยใช้พื้นที่มุมหนึ่งของชั้นหนึ่งในการวางแท่นวาปร์ แต่จะกั้นคอกเป็นทางเข้าออกเพื่อเก็บค่าบริการ ส่วนค่าบริการนั้น ตกลงจะอยู่ที่ 50 รีลต่อคนเท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักผจญภัย อัตราค่าบริการจะอยู่ที่ 100 รีล
ผมว่าแค่นี้ทางกิลก็ได้รายได้มหาศาลแล้วนะ เพราะไม่ต้องเสียอะไรเลยนี่น่า
การติดตั้งนั้นแทบไม่ต้องเสียเวลาเลย แค่เอาออกมาจากกระเป๋านักผจญภัย เปิดขาตั้งและตรวจดูการทำงาน จากนั้นก็อธิบายวิธีการใช้งานให้พนักงานกิลฟังอีกครั้ง แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ พวกนักผจญภัยต่างพากันสนใจแท่นวาปร์เป็นอย่างมาก และอยากจะใช้ทันทีเลย แต่ตามที่ผมตกลงกับซารีไว้ คือจะเปิดพร้อมกับที่ผมเปิดโรงแรม หรือในอีกสองวัน เลยบอกทุกคนไปว่าตอนนี้แค่มาเทสระบบเฉยๆ
แต่ว่าหลังติดตั้งเสร็จแล้ว สายตาที่จ้องผมก็ยังไม่ลดลงเลย…แปลกๆ มันต้องมีอะไรแน่
ผมขึ้นไปที่ชั้นสามเพื่อขอติดต่อติดใบประกาศ โดยจะเสียค่าพื้นที่ประกาศคิดเป็นรายวัน ขนาดของใบประกาศที่ผมขอติด ตกวันล่ะ 250 รีล ซึ่งผมขอติดไว้ตลอดทั้งเดือนและจ่ายล่วงหน้าให้เลยทีเดียว
ใบประกาศผมค่อนข้างยาว เพราะในประกาศนั้นจะอธิบายรายละเอียดทั้งหมดไว้ในการสมัครเรียน
แต่เงื่อนไขในการเข้าเรียนไม่มีอะไรมาก เพราะไม่ต้องเสียเงินค่าเรียน และไม่จำกัดอายุผู้มาสมัคร สถานที่ตั้งก็วาดแผนที่ให้ดูด้วย แต่ส่วนที่ยาวก็คือรายละเอียดปลีกย่อย เช่น ถ้าเป็นเด็กในสลัมหรือคนที่ไม่มีที่อยู่ หรือไม่สะดวกในด้านใน ให้ติดต่อมาพูดคุยกันก่อนได้ กรณีที่ผ่านการพิจารณา ทางโบสถ์จะมีการสนับสนุนด้านความเป็นอยู่ให้จนจบการศึกษา
ซึ่งในส่วนการสนับสนุนนั้นมีผมเป็นสปอนเซอร์ให้ แต่ผมจะไม่ยื่นมือเข้าไปในยุ่งในส่วนการบริหาร จะมีเพียงแค่นโยบายเท่านั้นที่ผมจะให้กรอเรียมาปรึกษากับผมก่อน เพราะพื้นที่ของโบสถ์อยู่ในเขตคฤหาสน์ของผม ถ้ามีเรื่องอะไรขึ้นมา ผมต้องรับผิดชอบ
ด้วย แต่เอาเข้าจริงกรอเรียก็ให้ผมช่วยทั้งการบริหารและนโยบายหมดอยู่ดี
หลังเสร็จธุระแล้ว ก็เหลือแต่ขึ้นไปทักทายคุยกับซารี แต่พอผมหันไปทางบันได สายตาที่จ้องมายิ่งทวีความร้อนแรงขึ้น…อะไรกันฟ่ะเนี่ย!?
ผมก้าวขึ้นบันไดพลางเหลียวมองหลังไปด้วย ในแววตาของทุกคนแฝงความปรารถนาบางอย่างไว้ แต่ผมดูไม่ออก ได้แต่เพิ่มการตื่นตัวขึ้นมาเท่านั้น
เมื่อขึ้นมายืนอยู่หน้าประตูเข้าห้องทำงานของซารี ผมก็เกิดความรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา เพราะพอก้าวเข้าห้องนี้แล้ว สกิลผมก็จะใช้ไม่ได้ แถมยังโดนซารีมองทะลุด้วยสกิลปริศนาของเธออีก
เอาน่า คราวก่อนก็รอดออกไปได้ คราวนี้ก็เหมือนกันนั้นแหละ
ผมเคาะประตู และเว้นช่วงก่อนจะเปิดประตูเข้าไปอย่างอาจหาญ ก่อนจะรีบปิดมันลงอย่างขวัญกระเจิง
ถึงจะแค่แวบเดียว แต่ตะกี้หลังประตูมีเด็กสาวแสนสวยยืนยิ้มให้ผมอยู่ ทั้งๆ ที่ตรงสเปกแต่ไม่รู้ทำไม สัญชาตญาณผมมันกรีดร้องราวกับเจอเสือจ้องเขมือบ
“โรมะ มาแล้วทำไมไม่เข้ามาล่ะ”
เสียงของซารี? เอ๋ เสียงเด็กลงมากเลยนะ
ผมเปิดประตูอีกครั้งโดยเก็บความประหลาดใจและสงสัยเอาไว้
คราวนี้เด็กสาวแสนสวยมายืนใกล้กว่าเดิมซะอีก ผมเห็นชัดถนัดตาจนแน่ใจว่าเธอคือซารีแน่ๆ ถึงจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยก็เถอะ
ที่ผมจำได้เพราะโครงหน้ากับสีผม แต่ส่วนอื่นนี้ผมไม่มั่นใจว่าใช่เธอสักนิด ใบหน้าเธอดูเด็กลงสักสิบปี ไม่สิ ยี่สิบปีเลย! หน้าเด้งอย่างกับเด็กทารกไม่มีผิด ผ้าคาดตาก็ไม่ได้ใส่แล้ว ดวงตาของเธอกลับมาเป็นปกติ ผิวที่ค่อนข้างแห้งและหย่อนตามอายุ กลับมาขาวใสนุ่มลื่นไร้ซึ่งรอยแผลเป็น
ส่วนเสื้อผ้าก็ต่างไปจากเดิม จากชุดทำงานแบบผู้ชาย เปลี่ยนมาเป็นชุดโกธิคโลลิต้าสีดำแบบเดียวกับที่ฟรานใส่
“ฉันดูเป็นไงบ้าง”
“จำแทบไม่ได้เลยครับ”
“ดีหรือไม่ดีล่ะ”
“ดีมากๆ เลย ดีเกินไปด้วยซํ้า!”
“ฮุๆๆ ต้องขอบคุณยาที่โรมะให้ไว้น่ะ พอใช้แล้วก็เป็นแบบนี้เลย”
“เอ่อ แล้วชุดนั้น”
“ชอบใช่ไหมล่ะ ฉันให้ลูกน้องไปสืบมาเลยนะ ว่าโรมะชอบผู้หญิงแต่งตัวแบบไหน แรกๆ ก็กลัวจะไม่เข้ากับตัวเองเหมือนกัน”
“เข้าสิ เข้าสุดๆ เลย!”
“ข ขอบใจ แต่อายุปูนนี้แล้ว มาแต่งตัวแบบนี้น่าอายเป็นบ้า”
“งั้นก็ต้องรีบทำให้หายอาย”
ผมไม่รอช้า ตรงเข้าไปจับเธอหันไปกดกับโต๊ะ โดยให้โก้งโค้งก้นมา ผมถกกระโปรงเธอขึ้นและจับดุ้นเขี่ยไปที่ปากถํ้า ซึ่งมันแฉะพร้อมรับทำศึกแล้ว
“อะไรกัน แฉะตั้งแต่ก่อนผมมาอีกเหรอ”
“โธ่ อย่าพูดสิ! ฉันรอมาตั้งหลายวัน พอคิดว่านายจะมาวันนี้ ตรงนั้นมันก็คันตลอดเลย”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะทำให้หายคันเอง”
“ด เดี๋ยววันนี้จะใช้สกิลก็ได้นะ”
ซารีบอกแบบเขินๆ แต่ไม่หันมามองผม แต่หูเธอแดงแล้ว พอตรวจดูพึ่งรู้ตัวว่าสกิลใช้ได้ตามปกติ แบบนี้ก็สนุกสิ
ผมไม่รีรอจะใช้สกิลมารราคะเพื่อปรับขนาดดุ้นทันที และใช้สกิลเพื่อเพิ่มสารหล่อลื่นในช่องคลอดของซารีด้วย
วันนี้ผมเลยสามารถกระหนํ่าได้หนักๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าเธอจะเจ็บ ซารีเองก็รู้ว่าทุกอย่างมันต่างไปจากคราวก่อน ถ้าครั้งก่อนเรียกว่าสุดยอด ครั้งนี้คือที่สุดของยอดแล้ว*
*แอบฮ่าคนแปล ดันแปลมาได้ ที่สุดของแจ้
ซารีเสร็จติดต่อกันจนแทบคลั่ง ยิ่งตอนผมแหย่นิ้วเข้าไปในปากและเขี่ยนิ้วเธอเล่นพร้อมกับใช้กระตุ้นความรู้สึกเล่นน้อย แต่นั้นเธอก็ถึงกับฉี่แตกออกมา
ผมต้องรีบใช้คลีนนิ่งจัดการกับฉี่ของซารีไปด้วย เพราะนี้เป็นพื้นไม้ ปล่อยไว้เดี๋ยวมีซึมลงไปชั้นล่างแน่ แต่ซารีนี้สิไม่สนใจอะไรแล้ว เธอร้องออกมาไม่เป็นภาษา และใช้มือจิกโต๊ะทำงานจนแหลกไปหลายส่วน
ซารีเสร็จถี่จนผมนับไม่ถูกว่าเธอเสร็จไปกี่ครั้ง แต่สกิลแจ้งเตือนว่ามันถึงลิมิตของเธอแล้ว ผมเลยต้องหยุด แต่ก็ยังแช่ดุ้นไว้ในถํ้าของเธอ พวกเรายังกอดก่ายกันในท่านั้น ขณะที่นํ้าเชื้อผมก็ไหลไปตามง่ามขาของเธอ
“การติดตั้งแท่นวาปร์มีปัญหาไหม”
“ไม่มีสักนิด”
“แล้วโรงแรมเป็นอย่างไงบ้าง”
“สร้างเสร็จแล้ว เหลือแต่ตกแต่งภายในและตรวจสอบขั้นสุดท้าย อีกสองวันก็พร้อมเปิด”
“งั้นฉันจะปล่อยข่าวตั้งแต่วันนี้เลยนะ พอวันเปิดจะได้มีแขกเลย”
“ขอบใจมากเลย แต่ซารีเองก็ไปด้วยสิ ผมจองห้องสวีทไว้ให้แล้ว”
“จะดีเหรอ แขกน่าจะเยอะอยู่นะ”
“ไม่เป็นไรๆ ผมสร้างไว้ลองรับคนได้เป็นพัน”
“ถ้างั้นไม่เกรงใจล่ะ อยากลองชิมอาหารที่เขาลํ่าลือกันของโรมะด้วย”
“โอ้ว ได้เลยเดี๋ยวจะทำสุดฝีมือให้กินเอง”
พวกเราคุยกันไปเรื่อยๆ ทั้งสภาพแบบนั้น ทั้งเรื่องานเรื่องส่วนตัว จนผมนึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องที่น่าสงสัย
“ตั้งแต่เดินเข้ามาก็โดนจ้องแปลกๆ ซารีพอรู้ไหมว่าทำไม”
“โดนจ้องเหรอ…สงสัยจะเพราะเรื่องนั้นล่ะมั่ง”
ซารียิ้มแข็งๆ ออกมา
“เรื่องนั้น?”
“ก็เรื่องที่ฉันใช้ยาของโรมะแล้วตัวเองกลับมาเป็นสาวไง พอพวกพนักงานกิลเห็นก็ดันรู้ทันทีเลยว่าฉันมีอะไรกับนายแล้ว ซํ้ายังพูดกันปากต่อปากจนรู้กันไปหมด ว่าถ้าได้หลับนอนกับโรมะแล้ว จะทำให้
กลับมาเป็นสาวได้ ไม่แปลกล่ะที่ตอนนี้พวกสาวๆ ในเมืองจะจ้องนายแบบนั้น ระวังอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวตอนกลางคืนล่ะ โดนฉุดไปข่มขืนข้างทางฉันไม่รู้ด้วยนะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“โธ่ มีใครไม่อยากกลับไปสาวบ้าง ไม่สิ สำคัญกว่านั้นคือไอ้นี้ต่างหาก อร๊างงงง!”
ซารีบอกพร้อมกับเริ่มโยกเอวเพื่อขยับดุ้นผมในช่องคลอดของเธอ เพียงแค่ขยับเบาๆ เธอก็เสียวจนนํ้าตาไหลเลย
“ผู้หญิงคนไหนถ้าต้องตายโดยยังไม่โดนดุ้นของนายเสียบ มีหวังไม่ได้ไปสู่สุขคติแน่”
“ล้อเล่นแรงไปแล้วนะ”
“ฉันพูดจริงๆนะ อ๊า!”
ผมเห็นว่าซารีเริ่มมีอารมณ์อีกแล้ว เลยเริ่มโยกต่อ แต่รอบนี้ทำแบบช้าๆ ให้ได้ลิ่มรสเธอนานๆ
“ก็ขนาดฉันเป็นคนใจแข็ง ยังโดนดุ้นนายทิ่มซะสติกระเจิดกระเจิง อา! เชื่อเถอะที่พูดไปไม่ได้เกินจริงหรอก อี๊!!!”
อืม…ไม่ใช่แค่ใจแข็งหรอก แต่เพราะซารีไม่มีจุดจีแถมจุดกระตุ้นยังอยู่ในที่แปลกๆ เธอเลยไม่เคยได้สัมผัสรสสวาทอย่างแท้จริง จากนี้ไปผมคงต้องเสียบเธอบ่อยๆ เพื่อชดเชยอดีตที่เสียไป ส่วนผู้หญิงคนอื่น ไม่รู้สิ ถ้าเสนอตัวมาผมก็ไม่เกี่ยงหรอก แต่ต้องดูด้วยว่าจะมีผลกระทบอะไรกับสาวๆ ในฮาเร็มผมไหม ก็ความสุขของสาวๆ ของผมต้องมาก่อน
ผมคิดอะไรเพลินๆ จนกระแทกจนซารีนํ้าแตกไปอีกรอบ กะจะสอยนานๆ สักหน่อย แย่เลย
ก่อนจะกลับ ซารีก็ได้เตือนผมเรื่องสำคัญ
“โรมะระวังตัวไว้ด้วยนะ ถ้ากิจการของนายไปได้ดี พวกกิลการโรงแรมจะต้องยื่นมือเข้ามาแน่”
“ผมเองก็คิดอยู่เหมือนกัน…ตอนแรกก็ว่าจะไปเข้ากิลนั้นอยู่หรอก แต่พอถามข้อมูลจากมอเรียดูแล้ว ไม่ค่อยถูกใจเท่าไร”
ก็กิลการโรงแรมบริหารงานแบบนักธุรกิจหน้าเลือดชัดๆ คิดค่าบริการแพง แถมคุณภาพไม่ดี ขนาดพวกโรงแรมเล็กๆ แบบกิจการครอบครัวก็ยังไปละลาน
“งั้นเอาแบบนี้ไหม”
ซารีดึงกระดาษออกมาอีกแผ่น แต่มันดูเหมือนใบสมัครแฮะ
“นายก็ตั้งกิลของตัวเองขึ้นมาเลยสิ”
ข้อแนะนำของซารีก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่ผมไม่มั่นใจว่าจะบริหารกิลได้ดีน่ะสิ ที่ดูแลเผ่าปีศาจได้ก็เพราะมีมุเอมะกับลูกน้องเก่งๆ ค่อยจัดการให้ทั้งหมด ผมแค่นั่งๆ นอนๆ กลิ้งไปกลิ้งมา…ไม่ๆ แบบนั้นก็เหมือนเอร่าสิ เอาแค่นั่งเฉยๆ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เคารพบูชาเท่านั้น
“ถ้านายมีองค์กรเป็นของตัวเอง ก็เท่ากับมีกำลังหนุน ซํ้ายังสร้างเครือข่ายพันธมิตรขึ้นมาได้ เช่นว่า มาจับมือกับกิลนักผจญภัยของฉัน”
“โอ๋! แบบนี้เอง น่าสนแฮะ แต่รู้สึกว่าจะต้องเสียภาษีด้วยนี้ใช่ไหม”
“ใช่แล้วล่ะ กิลจะต้องจ่ายภาษีรายปีให้กับเจ้าเมืองผ่านทางกิลนักผจญภัย ซึ่งทางกิลนักผจญภัยจะได้ส่วนแบ่งมานิดหน่อย แลกกับการตรวจสอบสภาพการเงินของกิลต่างๆ ให้”
“แล้วต้องจ่ายมากจ่ายน้อยอย่างไงเหรอ”
“ขึ้นอยู่กับการประเมินน่ะ เช่นฐานที่มั่น จำนวนสมาชิก Rank ของกิล รายได้ต่อปี กะแค่คราวๆ แล้วจัดเจ็บตามสมควร แต่ฉันแนะนำให้โรมะตั้งกิล เพราะอย่างไงนายต้องเสียภาษีทาสอยู่แล้ว แต่ถ้านายเอาทาสมาเข้ากิล ก็จะไม่ต้องจ่ายภาษีทาสอีก และจะบอกให้นะ ทาสของโรมะน่ะถูกประเมินไว้สูงมาก ภาษีทาสก็จะมากตามไปด้วย เพราะงั้นจ่ายภาษีกิลถูกกว่าเยอะ”
“จะว่าไปเมยอาก็เตือนๆ ผมเรื่องภาษีทาสอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้ งั้นคงต้องตั้งกิลจริงๆ แล้วแฮะ เพราะในอนาคตผมอาจจะซื้อทาสเพิ่มอีก”
“งั้นก็ไปคิดชื่อกิลกับสัญลักษณ์มาซะ เรื่องอื่นฉันจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนฐานกิลจะใช้ที่คฤหาสน์หรือที่โรงแรมล่ะ”
“เอาที่คฤหาสน์ดีกว่า เวลามีเรื่องได้จัดการศพสะดวกหน่อย”
“ฮะๆ อย่าลงมือให้เกินเลยไปนักล่ะ ไม่งั้นเรื่องมาถึงฉันแน่”
“เอาไปบอกพวกที่ชอบมาหาเรื่องผมดีกว่า แต่คนละที่มาเนี่ย มีแต่พวกหยาบคายพูดไม่รู้เรื่อง”
“ไม่หรอก ก็โรมะน่ะสุภาพอ่อนโยนเกินไปต่างหาก”
“ม มั่งนะ”
พอโดนชมต่อหน้าแบบนี้ เล่นเอาเขินเหมือนกันแฮะ
จากนั้นผมขอตัวกลับออกมา แต่เรื่องชื่อกิลกับสัญลักษณ์นี้คงต้องเอาไปปรึกษากับทุกคนก่อน
ตอนเดินผ่านมาชั้นล่างก็โดนมองอีกแล้ว จริงๆ ด้วยแฮะ สายตานี้ราวกับจ้องเหยื่ออันโอชะไม่มีผิด รีบกลับบ้านก่อนมืดดีกว่า ถึงการโดนสาวๆ ข่มขืนจะไม่เลวก็เถอะ แต่การมีเซ็กส์กับคนแปลกหน้ามันมักจะตามมาด้วยปัญหาเสมอ

ตอนที่ 122 ตั้งกิลเปิดโรงแรม

“กิลเหรอ?”
ผมเรียกประชุมบ้าน พร้อมเล่าให้ฟังว่าไปคุยอะไรกับซารีมาบ้าง
“ใช่แล้ว ถ้าตั้งกิลแล้วเอาทาสเข้ากิลก็จะไม่ต้องจ่ายภาษีทาส”
“เห็นด้วยค่ะ”
เมยอาเห็นด้วยเป็นคนแรกสมกับเป็นนักบัญชีผู้ดูแลเรื่องเงินๆ ทองๆ
“ช้าก่อน”
ดาเซสยกมือห้ามไว้ เธอไม่เห็นด้วยเหรอเนี่ย
“ก่อนจะไปพูดถึงเรื่องนั้น”
ว่าแล้วก็เข้ามาดมฟุดฟิดรอบตัวผมอีกแล้ว
“โรมะไปอึบหัวหน้าซารีมาอีกแล้วใช่ไหม!”
“อ่า ก็ใช่”
ดาเซสไม่ถูกกับซารีเหรอ?
“ท่านโรมะ หัวหน้าซารีน่ะเป็นหญิงแกร่งน่ะคะ ระหว่างจะคุมเธอไม่อยู่”
มอเรียเองก็เตือนผมด้วย
“เรื่องนั้นผมรู้แล้วล่ะ ครั้งแรกที่คุยกันผมเจอเธอกดดันจนไปไม่ถูกเลย เรื่องการเจรจาเธอเก่งกว่าผมซะอีก แถมดูคนเก่งอีกต่างหาก”
“ค่ะ เรื่องนั้นก็ด้วย แต่หัวหน้าซารีนะ มีอีกฉายาว่า มังกรไร้ใจ เธอไม่เคยรักหรือใส่ใจในชีวิตใครเลย”
“เอ่อ ผิดแล้วล่ะมอเรีย เรื่องนั้นผมยืนยันได้”
ผิดมากเลยล่ะ ก็ซารีน่ะแอบหลงรักมอเรียอยู่ ถึงตอนนี้จะเอียงมาทางผมแล้วก็เถอะ แต่คงเพราะตำแหน่งหน้าที่ทำให้เธอต้องวางตัวเป็นหัวหน้าที่น่าเคารพ
“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“อืม ก็ประมาณหนึ่ง”
ผมอธิบายมากไปกว่านี้ไม่ได้ด้วย ไม่งั้นเกิดมอเรียรู้ความจริงแล้วแสดงท่าทีรังเกียจออกมา มีหวังซารีเศร้าจนผูกคอตายแน่ แต่แล้วเรโมริก้าก็กระโดดออกมาจากเงาผม ด้วยเสียงหัวเราะจ้า
“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นฉันก็ยืนยันได้ ก็ซารีน่ะร้องเป็นหมูเลยตอนโดนโรมะจิ้ม แถมร้องขอไม่หยุด อย่างกับคนรักก็ปาน ฉันเองยังเกือบทนไม่ไหว ว่าจะโผล่ออกไปร่วมวงด้วยแล้วตั้งหลายครั้ง”
“ส สมกับเป็นท่านโรมะ แม้แต่มังกรไร้ใจอย่างหัวหน้าซารียังสยบได้”
มอเรียยิ่งมองผมเคารพมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก…อืม เป็นแบบนี้สินะ ผมพิชิตหัวหน้าเธอได้ ก็เท่ากับว่าเป็นบุคคลทีเหนือกว่าหัวหน้า ตระกะเพี้ยนไปใหญ่แล้วผม
“นั้นไม่ใช่ปัญหาหรอก”
ดาเซสยังทำท่าจริงจัง
“บอกมาตรงๆ ก็ได้ ว่ามีตรงไหนไม่พอใจ ปัญหาแบบนี้ทิ้งไว้มันไม่ดี”
ผมอยากจะเคลียร์ให้รู้เรื่องไปเลย ถ้าดาเซสมีเหตุผลพอ ผมจะรับฟังและทำตาม ถึงแม้จะต้องเลิกคบหากับซารีก็ตาม
“ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือ…ขืนโรมะเอาหัวหน้าซารีเข้าฮาเร็ม พวกเราก็โดนเขี่ยทิ้งหมดน่ะสิ”
“จ จริงด้วย!”
พวกสาวๆ ทำหน้าแตกตื่นกันขึ้นมาทันที
“เดี๋ยวก่อนเลย ซารีน่ะอายุเยอะแล้วนะ แถมผมไม่เขี่ยใครทิ้งเด็ดขาด”
แต่สาวๆ ไม่ฟังที่ผมพูดเลยแฮะ
“ใช่ โรมะน่ะชอบผู้หญิงที่มีความสามารถ หัวหน้าซารีเองก็เป็นถึงหัวหน้ากิลใหญ่สุดของโลกนี้ มีอำนาจเท่ากับราชินีของประเทศหนึ่งเลย ถ้าผู้หญิงคนนี้เข้ามา พวกเราก็หมดประโยชน์ทันที”
อาเดไลท์ถึงกับกัดเล็บเลยแฮะ จะจริงจังไปไหนเนี่ย
“ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ เมื่อวานซืนตอนหนูเอาจดหมายไปส่ง ได้ไปเจอตัวหัวหน้าซารีที่ว่าด้วย เธอดูเด็กไม่ต่างจากหนูเลย แถมแต่งตัวดีมีเสน่ห์มาก”
ฟรานเองก็ร่วมวงกับเขาด้วย
“ไม่ได้การแล้ว จุดยืนของพวกเรากำลังถูกสั่นคลอน”
มิรินยืนขึ้นแล้วกำหมัดเหมือนจะมีไฟลุกพรึบขึ้นมาเลยแฮะ
“พวกเราขอต่อต้านซารี!”
เอาแล้วไง พวกสาวๆ รวมกลุ่มประท้วงแล้ว
ผมเลยใช้สัมผัสราคะกระตุ้นอารมณ์พวกเธอจนเสร็จไปพร้อมกัน
“ใจเย็นลงแล้วยัง”
“ท่านโรมะเล่นแรงอ่ะ”
มิรินบ่นพลางตะกายกลับขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ แต่นํ้านี้ไหลเยิ้มมาถึงเท้าเลย
“ก็พวกเธอไม่ฟังผมพูดเลย ฟังให้ชัดๆ ตรงนี้เลยนะ ต่อให้ซารีเก่งหรือมีอำนาจแค่ไหน ถ้าผมพาเธอเข้าฮาเร็มมา เธอก็จะเทียบเท่ากับทุกคน ผมรักพวกเธอ
ทุกคนเท่ากัน ให้ความสำคัญเท่ากัน ไม่มีที่หนึ่งแต่ก็ไม่มีสอง ไม่มีการเขี่ยใครทิ้งโดยเด็ดขาด”
“ท่านโรมะ!”
พวกสาวๆ รุมเข้ามากอดผมทันที น หนักแฮะ
กว่าจะกลับเข้ามาคุยประเด็นหลักได้ก็เสียเวลาไปนานเลยผมเลยต้องลงโทษดาเซสที่เป็นคนพาออกนอกเรื่องสักหน่อย ด้วยการใส่ปลอกคอและติดสายจูง และให้นั่งแบบหมาไปจนกว่าผมจะบอกให้พอ
“กลับมาเรื่องตั้งกิล มีใครจะค้านไหม”
“ไม่มีค่า”
ทุกคนตอบประสานเสียงกัน
“งั้นก็มาคิดชื่อกิลกับสัญลักษณ์ ใครมีอะไรจะเสนอว่ามาเลย”
“ชื่อกิลก็เอาชื่อท่านโรมะไปเลยสิคะ”
มอเรียเสนอเป็นคนแรก
“ก็ดีนะ”
อาเดไลท์พยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ถ้าใช้ชื่อยูโทเปียจะเป็นการช่วยโฆษณาไปในตัวด้วยนะ”
ความคิดของเมยอาก็เข้าท่าเหมือนกัน
พวกสาวๆ ยังเสนออีกหลายชื่อเลย ส่วนผมก็มีคิดในใจ แต่ยังหาคำที่เหมาะไม่ได้ เพราะไม่รู้จะใช้คำอะไรที่ใช้แทนคำว่า อิสระกับความหวัง เพราะพวกผมไม่ใช่กิลที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสายอาชีพ อย่างกิลนักผจญภัย
หรือกิลการค้า แต่เป็นกิลที่มีหลักการเพียงแค่การใช้ชีวิตอย่างอิสระตามความชอบส่วนตัว
“อิสระ…เมฆล่ะมั่ง อืม…ส่วนความหวังก็…แสงอาทิตย์? ดวงตะวัน…เมฆาต้องแสงตะวัน อุ เวอร์ไปหน่อยแฮะ”
“นั้นแหละ!”
ผมที่จมไปกับความคิดตัวเองสะดุ้งโหยงเพราะพวกสาวๆ ตะโกนขึ้นมา ผมเลยพึ่งรู้ว่าตัวโดนจ้องแถมทุกคนยื่นหน้ามาใกล้จนแทบจะติดหน้าผมอยู่แล้ว เอ่อ ที่คิดตะกี้หลุดปากออกมาหมดเลยเหรอ?
“เอาชื่อนั้นเลยค่ะท่านโรมะ! เมฆาต้องแสงตะวัน”
“อืม เป็นชื่อที่ดีมากเลย”
ฟรานเชียร์อย่างตื่นเต้น ส่วนอาเดไลท์พยักหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ดะ เดี๋ยว มันไม่ดูน่าขำไปหน่อยเหรอ”
“น่าขำอะไรกันคะ ชื่อนี้เหมาะจะเป็นชื่อกิลที่สุดแล้ว แถมยังสื่อความหมายดีอีกด้วย”
โมอาที่ปกติจะเงียบๆ ไม่ค่อยออกความเห็น ยังเห็นด้วยเลย
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่พอได้ยินแล้วรู้สึกชอบเหมือนกัน”
ดอเรียที่ตามบทสนทนาไม่ค่อยทัน ก็เอากับเขาด้วย
“งั้นเอาตามนี้นะคะทุกคน”
เมยอาถามออกมาแต่เธอก็เขียนชื่อลงไปในใบสมัครก่อนทุกคนจะตอบอีก
“มติเป็นเอกฉันฑ์ค่ะ นายท่าน”
เดเม่ยิ้มบอกผม ทำให้ผมต้องยอมให้ใช้ชื่อนี้ไป เมฆาต้องแสงตะวัน…น่าอายจริงๆ ด้วย!
ส่วนสัญลักษณ์หลังจากตกลงกันอยู่พักหนึ่ง ก็เลือกจะใช้เป็นรูปสัญลักษณ์แทนที่จะเป็นรูปภาพ
สัญลักษณ์เลยเป็นขีดสามขีดและตวัดตรงปลายขึ้น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมฆ กลับรูปวงกลมและมีตาอยู่ตรงกลาง เป็นสัญลักษณ์แทนพระอาทิตย์
พอเสร็จแล้ว ดาเซสก็ขี่ม้าเร็วเอาไปส่งให้ที่กิลนักผจญภัยทันที
ตอนที่ผมตั้งกิลขึ้นมา ผมก็ไม่คาดคิดหรอก ว่ามันจะเป็นจุดศูนย์กลางที่จะดึงดูดมวลมหาปัญหามาให้
วันรุ่งขึ้น ผมออกเดินทางไปที่โรงแรมพร้อมกับพวกสาวๆ ตั้งแต่เช้า ส่วนพวกทาสผมให้ค้างที่โรงแรมตั้งแต่เมื่อคืน เพื่อเช็คระบบต่างๆ ดูว่าพร้อมใช้งานไหม และมีส่วนไหนที่บกพร่องอยู่
แต่พอผมไปถึง พวกเขาก็ท่าทางเหมือนอดนอนมาทั้งคืน แถมพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าที่นี้หรูจนไม่กล้าหลับตา คิดว่าที่หอพักหรูแล้ว มาเจอที่นี้ยังจะหรูกว่าได้อีก พวกทาสเลยทำตัวกันไม่ถูกเลย เพราะงั้นแหละผมถึงให้มานอนค้าง จะได้มีเวลาปรับตัว
วันนี้ทั้งวัน ผมเดินตรวจทุกจุดของโรงแรม เพื่อเป็นการตรวจเช็ครอบสุดท้าย ก่อนจะเปิดทำการใน
วันพรุ่งนี้ สภาพห้องพักไม่มีปัญหา ผ้าปูเตียงรวมถึงผ้าเช็ดตัวถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย กระจกทุกบานใสไม่มีรอยนิ้วมือ พรมในห้องก็ไม่มีฝุ่น
ลิฟล์ทำงานได้ดีกรณีที่เสียก็จะมีเวทมนต์ป้องกันไว้อีกชั้นหนึ่ง รีเซฟชั่นประจำที่และยิ้มแย้มอยู่ตลอด ร้านอาวุธของลุงออกัสเหลือแค่จัดร้านนิดหน่อย คืนนี้น่าจะเสร็จ ส่วน Workshop ของยูรินและบลูมใช้ชื่อว่า ร้านกำปั้นเหล็ก ซึ่งก็พร้อมเปิดให้บริการแล้ว
ในโซนร้านอาหารด้านนอกจัดโต๊ะไว้พร้อม พวกแผนกพนักงานเสริฟกำลังซ้อมจัดเรียงจานและจำลองการเสริฟอยู่ ในครัวก็กำลังตรวจเช็ควัตถุดิบกันอยู่ และเตรียมจะทำมื้อเที่ยงสำหรับพนักงาน ส่วนร้านอาหารอื่นๆ ก็พร้อมแล้วเหมือนกัน
จะมีก็แต่บาร์เท่านั้น ซึ่งพิเศษหน่อย เพราะรอบร้านจะถูกสร้างเป็นเหมือนตู้ปลาขนาดใหญ่ เพื่อให้เงือกสาวว่ายไปมารอบๆ ร้านได้ และจะมีการร้องเพลงสร้างบรรยากาศไปด้วย เท่าที่ฟังความคิดเห็นจากเงือกสาวดู เธอบอกว่าให้ตายก็ไม่ยอมออกจากร้านนี้เด็ดขาด เพราะเธอถูกใจมันมาก
นอกจากนี้ยังมีร้านเสื้อผ้าที่มีคริสติน่าและเหล่าไรโมดอลคอยดูแล ร้านขายไอเท็มกับอุปกรณ์เวทที่ผมให้เนปฟ่ากับซีเอ้ช่วยกันดูแล โดยที่ของส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ผมผลิตเอง ทั้งยาฟื้นพลังทั้งอุปกรณ์เวท เป็นของทำมือทั้งนั้นต้นทุนเลยถูก ส่วนรายได้ผมแบ่งกันสามส่วน โดยมีผม เนปฟ่า และซีเอ้
แถมยังมีร้านสะดวกซื้อ ซึ่งถือว่าเป็นของใหม่สำหรับโลกนี้ โดยในร้านจะมีทั้งตู้แช่เครื่องดื่มเย็นๆ และขนม
แบบถุงขาย ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงทดลองเลยมีแต่มันฝรั่งแผ่นทอด กับข้าวโพดคั่ว อ้อ ทั้งสองอย่างเนี่ย ตอนให้พวกสาวๆ ชิมดู ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันเลย ว่ามันเป็นอาหารของปีศาจชัดๆ พอได้กินแล้วก็หยุดไม่ได้เลย ส่วนคนที่ดูแลพวกสาวๆ อาสาผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลให้เอง…คงไม่ใช่จะมาแอบจิกของซื้อของขายกินกันหรอกนะ โดยเฉพาะเอร่าเนี่ย ผมอยากให้อยู่ห่างๆ ร้านมากที่สุดเลย
และผมก็ไม่ลืมจะสร้างสถานพยาบาลขึ้นมาด้วย แต่จุดนี้ผมเปิดเป็นพื้นที่ส่วนรวม ไว้สำหรับพวกนักบวชที่ต้องการหารายได้ ก็ให้มานั่งที่จุดนี้และทำการรักษาและเก็บเงินตามสมควร
ซึ่งร้านทั้งหมดผมจัดให้อยู่ที่ชั้นหนึ่งของทุกตึก และยังมีพื้นที่ว่างอีกเยอะ ไว้สำหรับใครที่คิดจะมาขอเปิดร้าน ผมก็จะคิดค่าเช่าพื้นที่ไป
ส่วนชั้นสองเป็นต้นไปจะเป็นส่วนของห้องพักแขก คนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าพักจะไม่อนุญาตให้ขึ้นไป โดยที่พนักงานจะสามารถตรวจดูได้ว่าใครเป็นแขกเข้าพัก จากบัตรพิเศษที่ผมทำให้ เพราะตอนลงชื่อเข้าพักในสมุด ชื่อและหน้าของแขกก็จะไปโผล่บนบัตรทันที
พอออกไปด้านนอก ตอนนี้ก็มีพวกแฟรี่กำลังช่วยขึ้นป้ายชื่อโรงแรมอยู่ ส่วนรอบๆ ก็จะมีสวนดอกไม้ต้นไม้ที่โมอามาทำให้จนดูร่มรื่นไม่เหมือนอยู่ในดันเจี้ยนเลย ส่วนสระว่ายนํ้า ผมยกไปไว้ที่ชั้นลอย ซึ่งอยู่ตรงชั้นสาม เป็นสระว่ายนํ้าขนาดใหญ่ กึ่งๆ สวนนํ้าเลย แต่ไม่มีเครื่อง
เล่นอะไร เพราะกลัวจะมีอันตราย น่าจะพอรับแขกได้ 100-200 คน
ด้านข้างก็สร้างโรงยิม เพื่อเอาไว้ให้นักผจญภัยฝึกซ้อมได้ แต่จริงๆ ผมสร้างไว้กรณีเกิดมีเรื่องกันขึ้นมา ก็ให้ลากมาฟัดกันในนี้ จะได้ไม่ไปรบกวนแขกคนอื่น
จากนั้นพอตกกลางคืน ผมก็ตรวจเช็คระบบไฟต่อ ระบบไฟที่ว่าไม่ใช่ไฟฟ้านะ แต่หมายถึงอุปกรณ์เวทที่ให้แสงสว่าง ดูว่ามีจุดไหนที่มืดเกินไปหรือสว่างเกินไป ซึ่งยูรินไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ เธอจัดวางตำแหน่งได้อย่างแม่นยำจนไม่มีที่ติ พอผมเรียกทุกคนออกมาดูข้างนอก ก็พากันอ้าปากค้าง เพราะแสงจากโรงแรมสว่างและสวยงามมาก
โรงแรมตอนนี้พร้อมเปิดให้บริการแล้ว
และแล้ววันเปิดให้บริการก็มาถึง
แท่นวาร์ปเริ่มทำงานตั้งแต่ช่วงประมาณเจ็ดโมงเช้า คนที่มาคนแรกกลับไม่ใช่นักผจญภัย แต่เป็นซารี
“เนี่ยเหรอโรงแรม!”
เธอยืนมองดูโรงแรมของผมในสภาพตะลึงงัน เพราะจากมุมมองของคนในโลกนี้ มันน่าจะเรียกว่าปราสาทมากกว่า
“อย่ามัวแต่ยืนดูเลย เข้าไปข้างในเถอะ ผมให้พนักงานเตรียมต้อนรับไว้แล้ว”
ผมพาซารีเข้าไปด้านในโรงแรม ซึ่งประตูก็เป็นกระจก…แค่ประตูซารีก็ยืนจ้องอยู่หลายนาทีเลย มีบ่นพึมพำด้วยว่าน่าจะเอาไปใช้ที่กิลดูบ้าง แถมยังมี
พนักงานคอยยืนเปิดประตูให้อีก พอเข้ามาปุ๊บก็จะเจอกับพนักงานต้อนรับมาทักทายอย่างยิ้มแย้ม และพาไปยังริเซฟชั่นเพื่อทำการเช็คอินเข้าพัก
“สุดยอดเลยโรมะ นี้มันข้ามระดับของโรงแรมไปกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก แล้วนี้ทาสใช่ไหม ทาสไม่ผิดแน่ใช่ไหม ทำไมดูดีแบบนี้”
ซารีมองสำรวจพวกพนักงานต้อนรับอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แถมมีขอวิธีการฝึกอีก
“เดี๋ยวผมจะพาเดินชมทั่วๆ นะ เสร็จแล้วจะพาไปกินอาหารเช้าต่อ”
“นำไปเลย”
จากนั้นผมก็พาซารีทัวร์รอบๆ โรงแรม เธอประทับใจทุกอย่างที่เห็นเลย ตั้งแต่อากาศที่เย็นฉํ่าจาก
แอร์ซึ่งติดตั้งไว้ทุกจุดของโรงแรม การจัดพื้นที่ใช้สอยต่างๆ การตกแต่ง ไม่เว้นแม้แต่พื้นทางเดินที่เป็นไม้เคลือบเงาที่ถูกขัดจนใสปิ๊ง เธอบอกว่าราวกับหลุดมาสู่อีกโลกหนึ่งเลย
พอเดินดูชั้นหนึ่งจนทั่วแล้ว ผมก็พาซารีไปที่ร้านอาหาร ซึ่งเป็นร้านที่เห็นสวนดอกไม้ด้านหน้าได้ชัดที่สุด พร้อมกับให้ชิมเมนูมื้อเช้าที่ผมเป็นคนลงมือทำด้วยตัวเอง เรื่องรีแอ็กชั่นไม่ต้องพูดถึง เอาเป็นว่าผมต้องคอยสะกิดเป็นระยะ เพราะเธอดื่มดํ่ากับรสชาติจนลืมหายใจไปเลย
“อาหารอร่อยสุดยอดแบบนี้ ราคาไม่กี่ร้อยรีลเองเนี่ยนะ…รสชาติแบบนี้ขายสักหมื่นรีลฉันยังจะมากินทุกวันเลย”
“เห็นไหมบอกแล้ว”
ผมเหมือนจะได้ยินเสียงของเมยอาพร้อมกับทำท่ากำหมัดขึ้นมาทันที
พอจบมื้อเช้าก็ถึงเวลาพาขึ้นไปดูห้องพัก ซึ่งเป็นห้องสวีทที่อยู่บนชั้นสิบ และที่ชั้นนี้จะมียามดูแลหน้าห้องพักให้ด้วย การตรวจตราคนเข้าออกจะเป็นไปอย่างเข้มงวด รับประกันความปลอดภัยของแขกที่มาพักได้อย่างหายห่วง
ส่วนภายในห้องนั้น กว้างมากมีทั้งห้องนอนสองห้อง ห้องอาบนํ้า ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ระเบียง สระว่ายนํ้าส่วนตัว ที่สำคัญวิวจากชั้นนี้จะเห็นความสวยงามของโรงแรมได้อย่างชัดเจน ยิ่งตอนกลางคืนก็จะยิ่งสวย
ผมอธิบายการใช้งานสิ่งของต่างๆ ให้ฟัง แต่ที่ซารีถูกใจที่สุดก็คือชักโครก ถึงขนาดบอกว่าจะเอากลับบ้านเลย
“แต่ห้องแบบนี้คงแพงมากสินะ”
“อืม แพงอยู่เหมือนกัน 5000 รีลต่อคืนน่ะ”
“5000…”
“อืม 5000”
“จะบ้าหรือไง! ต้องพักสุดอลังการแบบนี้แค่ 5000 รีลเนี่ยนะ”
“แล้วคิดว่าราคาเท่าไรดีล่ะ”
“แสน ไม่สิ ล้านหนึ่งยังถูกไปเลย!”
“ฮ่าๆ ขืนตั้งราคาแบบนั้นก็ไม่มีใครกล้ามาพักกันพอดี”
“ฉันไง!”
“คนมีเงินแบบซารีจะมีสักกี่คนกันเชี่ยวในโลกนี้”
“อะ อืม ก็จริง แต่ถึงอย่างไงก็ถูกไปอยู่ดีนั้นแหละ”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็วัตถุประสงค์ที่เปิดโรงแรมนี้เพราะแค่อยากทำน่ะ ไม่ได้สนเรื่องกำไรสักเท่าไร แค่ให้อยู่รอดไม่ต้องขาดทุนก็พอแล้ว”
“นายนี้ มีหัวด้านการค้า แต่นิสัยไม่ได้เลยนะ”
“ฮ่าๆๆ เพราะแบบนั้นผมถึงไม่เป็นพ่อค้าไงล่ะ”
จากนั้นผมก็ปล่อยให้ซารีพักผ่อนตามสบาย แต่ก่อนออกมาเธอก็นำเอาใบอนุมัติการตั้งกิลส่ง
ให้ผมด้วย ซึ่งใบนี้หลังจากผมอ่านจบก็จะหายไปทันที แต่มันจะแสดงข้อมูลอยู่บนบัตรกิลแทน ส่วนฟังชั่นการใช้งานจะเป็นในรูปแบบคำสั่งเสียง ซึ่งผมต้องจำให้หมดในฐานะหัวหน้ากิล
ซารีคงอยากจะรั้งตัวผมไว้ให้อยู่ด้วยกัน แต่เธอรู้ว่าผมต้องลงไปดูแลความเรียบร้อยข้างล่าง เธอโบกมือส่งผมด้วยรอยยิ้มแทน
ถ้าระดับซารีชอบที่นี้ แบบไม่มีคำตำหนิเลย ผมก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว ผมเลยเดินกลับลงไปด้วยความสบายใจ
ทว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น
แท่นวาร์ปเริ่มทำงานอีกครั้งช่วงหลังแปดโมง คราวนี้มากันเป็นกลุ่มของนักผจญภัย
ตอนแรกพวกเขามองสลับไปมาระหว่างเขาวงกตกับโรงแรม คงไม่แน่ใจว่าอันไหนเป็นดันเจี้ยนกันแน่ แต่พอเห็นชื่อโรงแรมก็เลยเดินตรงเข้ามาถาม แต่ผมยืนดูอยู่ห่างๆ นะ ให้พนักงานต้อนรับที่ยืนรออยู่ด้านนอก เป็นคนตอบคำถามเอง
“ที่นี้เป็นโรงแรมเหรอ”
“ใช่แล้วค่ะ โรงแรมยูโทเปียยินดีต้อนรับค่ะ”
พนักงานสาวที่เป็นเผ่ากระต่ายตอบอย่างยิ้มแย้ม
“แล้วค่าพักคืนล่ะเท่าไร”
“ราคามีตั้งแต่ 800 รีลต่อคนค่ะ แต่เรามีห้องพักหลายขนาดตามความต้องการของลูกค้า เชิญเข้าไปสอบถามเพิ่มเติมที่ได้เคาเตอร์ด้านในค่ะ”
“ถูกดีนี่หว่า”
“ค่ะ แต่ว่าก่อนจะเข้าไป ขอแจ้งกฎเบื้องต้นในการใช้บริการสามข้อก่อนนะคะ”
“บอกมาเร็วๆ เลย”
“ข้อแรก ห้ามรบกวนแขกที่มาพักท่านอื่น ถ้าฝ่าฝืนจะถูกจับโยนออกไปทันที และทางโรงแรมจะไม่คืนเงินค่าที่พักให้ค่ะ”
“อะ อืม เข้าใจแล้ว”
“ข้อสอง ในเขตของโรงแรมยูโทเปีย จะไม่มีข้อกำหนดเรื่องความต่างของชนชั้นหรือเผ่าพันธุ์ ทุกคนจะเท่าเทียมกันภายในยูโทเปียค่ะ”
“ว่าไงนะ! จะบอกว่าพวกครึ่งสัตว์อย่างแกมีค่าเท่ากับพวกข้าเหรอ! กฎบ้าบออะไรกันว่ะ”
“ขออภัยด้วยค่ะ แต่นี้เป็นกฎสำหรับที่นี้ ถ้าคุณลูกค้าอยากจะใช้บริการก็ต้องยอมรับในเงื่อนไขค่ะ”
“ชิ แล้วข้อสุดท้ายล่ะ”
“ข้อสาม พนักงานทุกคนของยูโทเปีย ถือเป็นทรัพย์สินของนายท่านโรมะ ห้ามแตะต้อง ข่มเหง หรือกระทำการอันใดที่จะเป็นการทำร้ายร่ายกายและจิตใจค่ะ”
“ใครเป็นคนคิดกฎวะ แมร่งสติไม่ดีแน่ๆ”
“เฮ้ๆ เดี๋ยวสิ ยัยนี้เป็นทาสไม่ใช่เหรอ”
เพื่อนในกลุ่มที่มาด้วยกัน ชี้ไปที่คอของกระต่ายสาว ซึ่งเธอก็ยังคงรอยยิ้มได้แบบไม่มีที่ติ
“ถ้าเป็นแค่ทาสก็ไม่ต้องสนกฎแมร่งสักหน่อย จะว่าไปยัยนี้ก็ดูดีสุดๆ เลยนี่หว่า ต้องเป็นทาสสะสมแน่ๆ ไหนขอพี่ลองจับดูหน่อย”
แต่ทันทีที่ยื่นมือเข้ามาทำท่าจะลวนลามกระต่ายสาว ก็มีปลายดาบจ่อไปที่คอของนักผจญภัยคนนั้นทันที
คนที่โผล่ออกมาด้วยความเร็วแสง หาใช่ชายหนุ่มหล่อลํ้า แต่เป็นมนุษย์เป็ด…เป็ดจริงๆ แบบเป็นเป็ดทั้งตัวขนขาวฟูฟองเลย ที่ต่างจากเป็ดก็แค่ขนาดตัวกับมือที่มีนิ้วเหมือนของมนุษย์เท่านั้น เจ้านี้ก็เป็นทาสที่ซื้อมาเหมือนกัน และทำหน้าที่เป็นยามประจำประตูหน้า
“ห้ามแตะต้องพนักงานก๊าบ”
“น หน่อยไอ้เป็ดเวรจะเอาเหรอว่ะ!”
“อย่าดีกว่าก๊าบ เลเวลผมสูงกว่าพวกคุณ แถมยังใช้อาวุธที่นายท่านประทานให้ด้วยนะก๊าบ พวกคุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมหรอกก๊าบ”
อาวุธที่เป็ดใช้เป็นดาบเรเปียร์ แต่ไม่ใช่อาวุธธรรมดา แต่เป็นอาวุธเวทมนต์ที่หาได้ยากถ้าสู้กันเป็ดเชือดพวกนี้ทิ้งได้ในพริบตาเดียวแน่ๆ
“เฮ้ย ไปเถอะ อย่ายุ่งกับมันให้เสียเวลาเลย”
“ชิ ไอ้โรงแรมเฮงซวยแบบนี้ไม่มีใครเขามาพักหรอกโว้ย!”
พวกมันยอมถอยไปแต่โดยดี และมุ่งหน้าย้อนกลับไปที่ชั้น 11
พอเหตุการณ์สงบแล้ว ผมก็เดินเข้าไปหาทั้งคู่
“นายท่านขออภัยด้วยค่ะ เพราะฉันทำให้ต้องเสียลูกค้าไป”
“ไม่เป็นไร ที่ผมตั้งกฎแบบนี้เพราะไม่อยากได้ลูกค้าสวะแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากหรอก เธอต่างหากทำงานได้ดีมาก ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหนก็ยังยิ้มรับแขก และไม่ตอบโต้ลูกค้าด้วยอารมณ์ ทั้งๆ ที่เป็นครั้งแรก แต่ทำได้ขนาดนี้น่าชื่นชมจริงๆ”
“น นายท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว”
กระต่ายสาวเขินจนหูกระดิกไปมาไม่หยุด
“นายเองก็ด้วย โผล่ออกมาได้จังหวะพอดี รักษามาตรฐานแบบนี้ไว้นะ”
“ก๊าบ!”
จากนั้นผมก็ปล่อยให้ทำงานต่อไป พนักงานต่างทำงานได้อย่างไร้ที่ติแบบนี้ ผมก็เบาใจและปล่อยให้ดูแลกันเองได้แล้ว
แต่ว่าปัญหากับอยู่ที่กฎสามข้อที่ผมตั้งไว้ เพราะตอนช่วงเช้ามีนักผจญภัยนับร้อยคนผ่านแท่นวาปร์มา แต่กลับไม่มีใครเข้าพักในโรงแรมสักคน เพราะพอได้ฟังกฎสามข้อแล้ว ก็พากันส่ายหน้าหนีหมด
ส่วนนี้ผมเคยโดนอาเดไลท์ทักมาเหมือนกัน ว่าทำไมถึงเอากระต่ายสาวที่เป็นเผ่าครึ่งสัตว์ มาเป็นพนักงานต้อนรับที่ด้านหน้า
แต่ผมคิดว่า ถ้าแค่นี้ยังไม่สามารถก้าวข้ามความอคติไปได้ เรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดถึง การที่ให้เผ่าครึ่งสัตว์มาเป็นพนักงานต้อนรับด้านหน้า ก็เพื่อกรอกแขกที่จะมาพัก และประกาศให้เห็นจุดยืนของโรงแรมแห่งนี้ไปในตัว ถ้าคุณก้าวข้ามกฎสามข้อของผมไปไม่ได้ คุณก็ไม่ใช่ลูกค้าที่ยูโทเปียต้องการ
ถึงแม้ผมจะต้องปิดกิจการเพราะล้มละลายจากกฎสามข้อ ผมก็ยอมรับมันได้อย่างไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...