ตอนที่ 114 วันที่แสนวุ่นวาย Part 3
หลังจากเสร็จเรื่องของพวกกิลผู้พิชิตแดนเหนือแล้ว ผมก็เชิญเจ้าหญิงโชไปทานอาหารกลางวันด้วยกันที่คฤหาสน์ แต่ลูกน้องและผู้ติดตามของเธอเยอะไปหน่อย ผมกลัวว่าจะต้อนรับได้ไม่ทั่วถึง เธอเลยสั่งให้พวกมังกรกลับไปทั้งหมด เหลือแต่เจ้าเพนกวินใส่สูทสองตัวเป็นผู้ติดตามรับใช้
ตอนนี้เจ้าหญิงโชดูอารมณ์ดีมาก ก็โดนผมจัดหนักไปสองชั่วโมงเต็ม ขนาดสลบไปแล้วยังโดนผมปลุกขึ้นมาซั่มต่อ เล่นเอาเธอเดินขาสั่นไปเลย
ส่วนเรโมริก้าก็เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ปกติจะชอบซ่อนอยู่ในเงา แต่ตอนนี้ออกมาเดินยิ้มแป้นเฉยเลย
ก็ได้ระบายที่อัดอั้นไว้ออกมาจนหมดแล้วนี่น่า ที่สำคัญคงได้ดื่มเลือดไปเต็มอิ่มเลย
พอกลับมาถึง ก็เห็นเดเม่ตั้งโต๊ะสำหรับมื้อเที่ยงไว้พร้อมแล้ว แถมพวกสาวๆ ก็กลับกันมาแล้วด้วย ตอนนี้เลยอยู่กันพร้อมหน้า
พวกฟรานที่เคยเห็นเจ้าหญิงโชมาแล้ว เลยตกใจเมื่อเห็นเธอเดินควงแขนผมเข้ามา เพราะไม่คิดว่าจะออกมาจากในดันเจี้ยนเอง
เจ้าหญิงโชกวาดสายตามองดูทุกคน และยิ้มขึ้นบางๆ พร้อมกับแนะนำตัวเอง
“ข้าคือเจ้าหญิงมังกรสมุทร โช ซุยริว ยินดีที่ได้รู้จักกับพวกเจ้าทุกคน”
อืมๆ ดูเธอเป็นมิตรดี ค่อยยังชั่ว
“และขอประกาศไว้ตรงที่นี้ จากนี้เป็นต้นไป โรมะจะเป็นสวามีของข้า”
บรรยากาศภายในห้องถูกแช่แข็งไปในพริบตาเดียว ศัตรู! แววตาของทุกคนเปลี่ยนไปราวกับกำลังมองดูศัตรูอยู่
แต่เจ้าหญิงโชสมกับเป็นผู้ที่มีทั้งบรรดาศักดิ์และวัยวุฒิ เธอเลยยิ้มอย่างไม่ถือสา
“นอกจากนี้ ข้าได้ตั้งท้องลูกของโรมะแล้ว”
ราดนํ้ามันเข้ากองไฟชัดๆ!
เดี๋ยวก่อนนะ ที่เธอตั้งท้องลูกผมแน่เหรอ จำไม่ได้ด้วยสิว่าเปิดสกิลท้องแน่ๆ อยู่หรือเปล่าตอนนั้น ผมไม่กล้าถามหรอก เพราะมันหยาบคายและไม่ให้
เกียรติผู้หญิง แต่เหมือนเจ้าหญิงโชจะอ่านความคิดผมออก เลยพูดออกมาต่อ
“เจ้าเป็นเพศชายเพียงคนเดียวในรอบร้อยปีที่ข้าผสมพันธุ์ด้วย และเผ่ามังกรเช่นข้า จะรู้ตัวทันทีว่าตั้งท้องหลังการผสมพันธุ์หนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้นหนึ่งเดือนท้องถึงจะเริ่มโต และอุ้มท้องเพียงสองเดือนก็จะคลอดลูกออกมาแล้ว”
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ!”
“เผ่ามังกรสมุทรจะมีการเติบโตที่รวดเร็วกว่าเผ่าพันธุ์อื่น เช่นนั้นอันตราการอยู่รอดและความแข็งแกร่งจึงสูงกว่าทุกเผ่าพันธุ์ เฉพาะเพศเมียใช้เวลาเพียงแค่สองปีก็จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ถ้าไม่ติดว่าในยุคหลังๆ พวกเราประสบปัญหามีลูกยาก ป่านี้คงได้ครองโลกไปแล้ว”
ผมช็อคพอๆ กับพวกสาวๆ เลยยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออก ปล่อยให้เจ้าหญิงโชพูดไปเพียงคนเดียว
“อีกเรื่องหนึ่ง การตั้งท้องของข้า ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก นับเป็นครั้งแรกในรอบพันปี ที่มีการตั้งท้องของสายเลือดมังกรราชัน ข่าวดีนี้ได้กระจายไปในวงศ์วานเผ่ามังกรทั้งหมดแล้ว พวกเขาจึงได้แต่งตั้งเจ้า ผู้เป็นสวามีเพียงหนึ่งเดียวของข้า ให้เป็นราชาทะเลเหนือ”
“ช้าก่อน!”
ก่อนที่เรื่องจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ อาเดไลท์ก็ตั้งสติได้เป็นคนแรก และรีบร้องห้ามไว้
“มีปัญหาอะไรหรือ?”
“มีสิ โรมะน่ะไม่ใช่ของใครนะ แต่เขาสำคัญกับพวกเราทุกคน”
“เรื่องนั้นข้ารู้ ถึงได้มาที่นี้ไง จากนี้ไปข้าจะให้พวกเจ้าเป็นนางสนมตามปรนนิบัติสวามีข้าได้ เป็นไงข้าใจกว้างใช่ไหมล่ะ”
“ผิดแล้วค่ะ”
คนที่พูดเสียงเย็นเฉียบขึ้นมาก็คือฟราน
“มีอะไรที่ข้าพูดผิดไป จงว่ามา”
เจ้าหญิงโชรับรู้แรงกดดันจากฟรานได้ นํ้าเสียงเลยดูจริงจังกว่าเดิม
“หนูน่ะ ไม่อาจเอื้อมถึงขั้นนั้น เพียงแค่ได้อยู่ใกล้กับนายท่าน ได้รับใช้ดูแลแค่นั้นก็เป็นปรารถนาอันสูงสุดแล้ว แต่สำหรับคนที่จะมาอยู่เคียงข้างเป็นคู่ชีวิตของนายท่านนั้น…หนูไม่เห็นว่าเจ้าหญิงโชจะมีคุณสมบัติเพียงพอ!”
“ว่าไงนะ!”
เอาล่ะสิ ฟรานไปทำให้เจ้าหญิงโชโกรธขึ้นมาซะแล้ว
“หนูด้วยค่ะ”
แต่เดเม่หาได้กลัวความพิโรธของมังกร แต่กลับก้าวออกมายืนข้างฟราน
“ฉันด้วย”
ยูรินกับดาเซสก็ก้าวออกมาพร้อมกัน จากนั้นทุกคนก็พากันออกมายืนจับมือกันไว้หมด ด้วยความเห็นที่ตรงกัน
“หน่อย! ข้าเป็นถึงสายเลือดมังกรราชัน มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าหญิงมังกรสมุทร ยังมีอะไรไม่คู่ควรอีกงั้นเหรอ”
“ความรักไม่เพียงพอค่ะ!”
ฟรานตอบออกมาในทันทีอย่างไม่ลังเล
“ความรัก!?”
“ใช่แล้วค่ะ คนที่จะมาเป็นคู่ครองของนายท่านได้ จะต้องเป็นคนที่ทำให้นายท่านมีความสุข และนายท่านเกลียดที่สุดก็คือคนทรยศ ฉะนั้นเงื่อนไขแรก ก็คือต้องเป็นคนที่มอบความรักนายท่านได้แบบไม่มีวันเสื่อมคลาย และแม้จะเป็นศัตรูกับโลกใบนี้ ก็ยังจะยืนอยู่เคียงข้างนายท่านได้”
“ถ้าเรื่องนั้นข้าทำได้ เผ่ามังกรถ้ามีคู่แล้ว จะรักคู่ของตัวเองจวบจนวันตาย”
“เช่นนั้นแล้ว ความรักของเจ้าหญิงคืออะไรคะ! ท่านรู้หรือเปล่าว่านายท่านชอบอะไรที่สุด”
“…ซ เซ็กส์ไง”
เจ้าหญิงโชลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ผิดแล้ว! นายท่านชอบกางเกงในที่สุดค่ะ!”
ฉึก!
ผมนี้เหมือนโดนธนูปักกลางอกเลย ถึงจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่เจ็บจี๊ดไปถึงกลางใจเลย ตกลงนี้จะเป็นการประจานความโรคจิตของผมใช่ไหม!
และก็เป็นเดเม่ที่เป็นคนต่อไปที่ออกมาถาม
“แล้วนายท่านชอบทานอะไรที่สุดค่ะ”
“นะ เนื้อไง ใครๆ ก็ชอบเนื้อ”
“ผิดค่ะ! นายท่านชอบทานเด็กค่ะยิ่งตัวเล็กๆ ไร้เดียงสา ถือเป็นของโปรดของนายท่านเลย!”
พอทีเถอะ ไม่ไหวแล้ว! ผมรับมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ความจริงนี้มันโหดร้ายจริงๆ! แถมความหมายของคำว่า รับประทาน มันเพี้ยนไปใหญ่แล้ว
แต่อาเดไลท์ไม่ปรานีผมเลย เธอก้าวออกมาถามเป็นคนต่อไป
“แล้วรู้ไหมผู้หญิงแบบที่โรมะชอบเป็นแบบไหน”
“เด็กไง ก็โรมะชอบเด็กใช่ไหมล่ะ”
“ผิด! ขอแค่เป็นผู้หญิงโรมะก็ชอบหมดแหละ!”
…โชคดีที่ยังไม่มีใครรู้เรื่องซีเอ้ ไม่งั้นงานนี้ผมได้โดนประจานหนักกว่านี้แน่
จากนั้นพวกสาวๆ ก็ยังพาเหรดกันออกมายิงคำถามใส่เจ้าหญิงโช ซึ่งไม่มีข้อไหนที่เธอตอบได้เลย จนความมั่นใจในทีแรกไม่เหลือแล้ว ตอนนี้เหมือนกับเจ้าหญิงโชกำลังถูกพวกสาวๆ รุมแกล้งมากกว่า สุดท้ายแล้ว เจ้าหญิงโชเลยงัดไพ่ตายมาใช้
“จะอย่างไงก็เถอะ ข้าก็ตั้งท้องลูกของเขาก่อนพวกเธอ ข้าต้องได้เป็นเมียเขาสิ!”
“เอ่อ ถ้าเรื่องนั้น”
ถึงตรงนี้ผมก็คงต้องบอกความจริงไปแล้ว
“ถ้านับแค่ว่าใครตั้งท้องก่อน น่าจะเป็นมิรินนะ”
“หา!? ฉันเหรอคะ!”
มิรินเองก็ตกใจพอๆ กับคนอื่น เธอไม่รู้ตัวเลยในเรื่องนี้ ก็ไม่แปลกหรอก มนุษย์กว่าจะรู้ตัวว่าตั้งท้อง อย่างตํ่าก็ต้องเดือนหนึ่ง และเริ่มมั่นใจได้เมื่อตอนสองเดือน แต่ผมรู้ได้ก่อน เพราะมิรินโดนสกิลท้องแน่ๆ ไป อย่างไงก็ไม่น่าพลาด
“น นี้ข้าเป็นที่สองเหรอ!”
“ผิดแล้วๆ ในเมืองยังมีอีกหลายคนเลยที่โดนผมทำท้องไป ส่วนในที่นี้ที่สองน่าจะเป็นมอเรียนะ”
“จริงเหรอคะ!”
มอเรียทำท่าดีใจใหญ่เลย สีหน้านี้ฟินแบบสุดๆ เดี๋ยวสิ ที่ทำหน้าเหมือนพร้อมตายแล้วนั้นมันอะไรกัน
“ไม่ยุติธรรม”
ยูรินบ่นออกมาเป็นคนแรก คนอื่นก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย
“เดี๋ยวก่อนๆ ผมไม่ได้ลำเอียงนะ ตอนมิรินกับมอเรียมันเป็นอุบัติเหตุ แล้วจะให้มาตั้งท้องพร้อมๆ กันมันจะลำบากในหลายๆ เรื่องน่ะ”
“จริงด้วยสิ”
อาเดไลท์พยักหน้าทำความเข้าใจได้ แต่เดี๋ยวสิ เธอน่ะข้อยกเว้นนะ ลืมความสำคัญของตัวเองไปแล้วหรือไง
“งั้นคนต่อไปเป็นหนูนะคะ!”
ฟรานรีบจองคิวเป็นคนแรก
“ไม่ได้ ฟรานยังเด็กไป”
“ฮุๆๆ งั้นคนต่อไปที่จะท้องต้องเป็นฉันสินะ”
ดาเซสกอดอกหัวเราะออกมาอย่างมั่นใจ
“กับคนที่บังคับให้ผมใส่แต่ทางประตูหลังท่าเดียว เลิกพูดไปเลย”
คนอื่นๆ พากันหัวเราะออกมาได้แล้ว บรรยากาศเลยดูดีขึ้นมาหน่อย แต่เจ้าหญิงโชคงรู้สึกเหมือนโดนทิ้งไว้นอกวง เลยรีบประกาศเสียงดังออกมา
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นต้องใช้วิธีดวลตัดสินกัน!”
ผมเห็นว่าท่าทางจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาแล้ว เลยรีบจะไกล่เกลี้ย แต่กลับไม่ทัน เพราะพวกสาวๆ ดันไปรับคำท้าซะได้
“ตกลง!”
“อย่างไงข้าก็เป็นถึงเจ้าหญิงมังกรสมุทร จะไม่เอาเปรียบพวกเจ้าหรอกนะ หัวข้อในการดวลกัน ข้าให้พวกเจ้าเลือกในสิ่งที่ตัวเองถนัด”
เงื่อนไขที่วางไว้ค่อนข้างยุติธรรม โดยที่ทางพวกสาวๆ จะอาสาออกมาเจ็ดคน ถ้าเจ้าหญิงโชชนะได้เกินครึ่งหนึ่ง หรือชนะได้สี่ครั้ง ก็จะถือว่าเธอชนะและจะได้เป็นคู่ครองผมสมใจ แต่ถ้าพวกสาวๆ ชนะสามครั้ง เจ้าหญิงโชก็ต้องเลิกล่มความคิดไป
แต่สำหรับผมไม่เห็นทางที่เจ้าหญิงโชจะชนะได้ในการดวลเลย เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็พวกเธอยกให้ผมเป็นกรรมการ และหัวข้อที่ยกมาแต่ละอัน ก็ใช้ความได้เปรียบนั้นให้เป็นประโยชน์
คู่แรก เดเม่เป็นคนออกมาแข่ง ในหัวข้อทำอาหารที่ผมชอบ
คือ ตัดสินใจได้ตั้งแต่ก่อนทำอาหารเสร็จอีก ก็เดเม่น่ะเรียนรู้วิธีทำอาหารมาจากผม ต้องรู้อยู่แล้วว่าผมชอบรสชาติแบบไหน ส่วนเจ้าหญิงโชก็สมเป็นมังกร แค่เอาเนื้อออกมาแล้วพ่นไฟใส่ให้เกรียมๆ แล้วก็เสริฟเลย นี้จะให้กินถ่านหรือไงฟ่ะ!
ผมให้เดเม่ชนะไปโดยไม่ต้องชิมเลย
คู่สอง กินเป็นคนออกมาแข่ง ในหัวข้อ…รีดนํ้า
…วิธีแข่งก็ง่ายๆ ใครทำให้ผมนํ้าแตกเร็วกว่าชนะ อันนี้ก็เห็นผลก่อนล่วงหน้าเหมือนกัน ก็กินนะดูดดุ้นรีดนํ้าผมเป็นประจำ ถ้าเอาความเชี่ยวชาญและความเร็วแล้ว เหนือกว่าพวกฟรานไปแล้ว ส่วนเจ้าหญิง
โช…ค่อนข้างอ่อนด้อยในเรื่องนี้นะ เพราะถึงเธอพยายามขย่มเต็มกำลังและผมพยายามช่วยแล้ว กว่าผมจะแตกก็ใช้เวลากว่าสิบนาที แต่ถึงคราวของกิน ดูดดุ้มผมแค่สามนาทีก็เรียบร้อย
ผมให้กินชนะไปแบบไร้ข้อกังขา
คู่สาม อาเดไลท์บอกขอออกมาเป็นคนปิดท้ายเอง…นี้คิดจะไม่เปิดโอกาสให้เจ้าหญิงโชได้แก้ตัวเลยสินะ ส่วนหัวข้อก็คือ…อึด!
วิธีแข่งที่อาเดไลท์เสนอก็คือ ใครสามารถมีเช็กส์กับผมได้นานกว่ากัน…อันนี้ไม่ต้องแข่ง ผมยกมือให้อาเดไลท์ชนะทันที ซึ่งเจ้าหญิงโชก็รีบประท้วงใหญ่
“คิดว่าข้าจะแพ้ความอึดให้กับมนุษย์เหรอ!”
“ครับ อาเดไลท์น่ะสามารถมีอะไรกับผมได้มากกว่าสิบรอบอีกนะ”
ใช่ ในที่นี้ไม่มีใครอึดเท่าอาเดไลท์อีกแล้ว เมื่อคืนเธอก็ได้พิสูจน์เรื่องนี้ให้ทุกคนเห็นไป ด้วยการจองตัวผมไว้คนเดียวสามชั่วโมงติด แถมยังมีขอต่อรอบพิเศษอีกเป็นพักๆ ถึงจะทำได้แค่ประตูหลังอย่างเดียวก็เถอะ
“ไม่ยุติธรรม!”
เมื่อรู้ตัวว่าแพ้ เจ้าหญิงโชเลยร้องค้านออกมา
“แต่เงื่อนไขเจ้าหญิงเป็นคนกำหนดเองนะ”
“อึ่ก!”
พอเถียงไม่ออก เธอก็ทำคอตกและทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมา พวกเพนกวินรีบวิ่งเข้าไปปลอบเธอกันใหญ่ แต่ไม่ได้ผล ผมจึงต้องเข้าไปปลอบเอง
“เจ้าหญิงโช อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้จะปฏิเสธความรับผิดชอบ เรื่องลูกของเราน่ะ อย่างไงผมก็รับอยู่แล้ว เพียงแต่ผมเองก็มีฮาเร็มที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน เลยไม่สามารถเป็นอะไรอย่างที่เจ้าหญิงต้องการได้ เพราะงั้นมาอยู่ที่นี้ด้วยกันแล้วให้ผมดูแลนะครับ”
“จริงนะ!…พวกเธอจะไม่รังแกข้าเหรอ”
เจ้าหญิงโชมองไปที่พวกสาวๆ อย่างหวาดเกรง นี้โดนเล่นงานซะเสียความมั่นใจเลยเหรอ
“ไม่ทำหรอกค่ะ ถ้ามาอยู่ที่นี้ก็คือพวกเดียวกัน และที่นี้ทุกคนเท่าเทียมกัน”
มอเรียยื่นมือไปให้เจ้าหญิงโช เลยทำให้เธอเริ่มยิ้มออก
“ถ้าเช่นนั้น…พวกเจ้ารีบไปแจ้งข่าว แล้วขนของข้ามาไว้ที่นี้อย่างเร็วที่สุด”
พวกเพนกินรีบวิ่งต๊อกแต๊กไปจัดการตามที่สั่งทันที ส่วนผมเองก็วางใจเร็วไปหน่อย
เพราะถึงปฏิเสธการเป็นสวามีของเจ้าหญิงโชไป แต่สภาพก็เหมือนกับว่าอยู่กินด้วยกันแล้ว แค่ไม่ได้จัดพิธีให้ยุ่งยากเท่านั้น พวกมังกรเลยยังให้ตำแหน่งราชาทะเลเหนือมา โดยที่ผมเองไม่รู้ตัวเลย
ส่วนเรื่องที่พักของเจ้าหญิงโช ดูเหมือนแค่ห้องบนชั้น 3 จะไม่เพียงพอ เธอเลยสั่งให้ลูกน้องมาสร้างวังมังกรแบบใหญ่โตมโหฬารติดกับคฤหาสน์ แถม
ยังมีทางเดินเชื่อมระหว่างวังมังกรกับห้องนอนผมไว้อีก นอกจากนี้ยังมีพวกเพนกวินกับเผ่ามังกร กลายมาเป็นมอนสเตอร์ส่วนหนึ่งในบริเวณของคฤหาสน์ด้วย…ผมคงคิดไปเองล่ะ ว่าคฤหาสน์ของผมมันเริ่มเหมือนดันเจี้ยนไปทุกที
ตอนที่ 115 วันที่แสนวุ่นวาย Part 4
ย้อนกลับไปเรื่องของเจ้าหญิงโช การมาอยู่ด้วยของเธอ ทำให้คนหนึ่งในบ้านแทบเสียสติ นั้นก็คือเมยอา
เพราะเจ้าหญิงโชไม่ได้มาอยู่เปล่า แต่ขนเอาทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งของเธอมาด้วย ส่วนหนึ่งที่ว่าเนี่ย ใช้ห้องห้องหนึ่งในคฤหาสน์เก็บยังไม่พอเลย แถมเธอยังพูดว่า ของๆ เธอก็คือของๆ ผม…
งานนี้เมยอาเลยต้องมานั่งจัดบัญชีทรัพย์สินที่ว่า ซึ่งมันมหาศาลจนแถวตัวเลขทะลุออกไปนอกสมุดบัญชี แถมยังเจอพวกไอเท็มที่ตีเป็นมูลค่าไม่ได้อีก และที่ว่าทั้งหมดเนี่ย…แค่เสี้ยวหนึ่งของสมบัติที่เธอมีเท่านั้น
มังกรเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษที่มีนิสัยชอบสะสม โดยเฉพาะสมบัติที่มีค่า เจ้าหญิงโชเองก็เป็นเช่นนั้น
ดันเจี้ยนนํ้าตกก็คือหนึ่งในที่เก็บสมบัติของเธอ เพราะมันเป็นดันเจี้ยนที่สงบ ไม่ค่อยมีใครมากวน แถมยังมีทางออกไปถึงทะเล เธอเลยใช้เป็นรังหลักในการพักผ่อน ซึ่งจริงๆ เธอควรจะเป็นบอสดันเจี้ยน แต่ด้วยความขี้เกียจและไม่สนใจในเรื่องนั้น เธอเลยจ้างมอนสเตอร์เก่งๆ มาเป็นบอสแทน ส่วนตัวเองก็นอนกลิ้งไป
กลิ้งมาในที่ของตัวเองโดยไม่ถูกรบกวน และหาความสำราญในแบบของตัวเองไป
ถึงมังกรจะไม่ค่อนเห็นค่าของเงิน เพราะไม่เคยได้ใช้เงินจริงๆ จังๆ แต่สามารถพูดได้ว่า มังกรคือเผ่าพันธุ์ที่รํ่ารวยที่สุดในโลกนี้
เพราะงั้นพอเมยอารู้ว่ายังมีกองเงินกองทองให้นับแบบนี้ไปไม่รู้จบ ก็แทบจะเป็นลมขึ้นมา ผมเลยต้องสั่ง ไม่ให้นับสมบัติของเจ้าหญิงโชมารวมเป็นทรัพย์สิน แต่นั้นก็กลับทำให้ผมถูกเจ้าหญิงโชตำหนิ หาว่ากีดกันเธอเหมือนเป็นคนนอก…จะเข้าใจไหมเนี่ย ว่าความรํ่ารวยของเธอมันสร้างความเดือดร้อนให้อยู่น่ะ
และเพราะเรื่องของเจ้าหญิงโช ทำให้มื้อเที่ยงต้องช้าออกไปจนถึงช่วงบ่าย แต่ทุกคนกลับรออย่างตั้งใจ โดยเฉพาะพวกทาฮากริมและคนที่มาอยู่ใหม่ ต่าง
เฝ้ารอเวลาอาหารอย่างใจจดใจจ่อ เพราะเสพติดรสชาติอาหารของที่นี้ไปแล้ว
เช่นเดียวกัน หลังจากได้ทานอาหารเที่ยงไป เจ้าหญิงโช ก็ตกเป็นหนึ่งในสาวกของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘ผู้เสพติดอาหารของโรมะ’
แต่เจ้าหญิงโชนั้นจัดเป็นพวกที่เรียกว่า ขี้เกียจตัวเป็นขน พอกินเสร็จแล้วก็จะไปหาที่นอนทันที แบบนี้เลยกลายเป็นเหมือนมีเอร่าสองคนเลย…มีแมวให้เลี้ยงเพิ่มอีกตัวแล้ว
ส่วนผมตอนนี้ก็ได้กลับมาทำงานหลักต่อสักที เลยพาทาฮากริมไปที่กิลนักผจญภัย โดยมีดาเซสเป็นสารถีกับมอเรียที่เป็นคนช่วยประสานงาน
เท่าที่ฟังจากมอเรีย เหมือนว่าการขอไปให้ตั้งสาขากิล จะไม่วุ่นวายเท่าไร ยิ่งถ้าเป็นผู้ปกครองเมือง
ติดต่อมาเอง ก็จะสามารถดำเนินการได้ทันที เพราะกิลนักผจญภัยมีบุคลากรที่พร้อมอยู่แล้ว
ทาฮากริมเองก็ได้รับความเห็นชอบจากพ่อเธอ จึงตัดสินใจแทนได้ ซํ้ายังออกงบประมาณในการก่อสร้างให้อีก ทำให้ระยะเวลาในการจัดตั้งกิลนักผจญภัยสาขาวิลเฟนเฮ ไม่น่าจะเกินครึ่งเดือน ยิ่งได้มอเรียมาช่วยแนะนำในการกรอกเอกสารให้ ทำให้ขั้นตอนยิ่งรวดเร็วไปอีก
แต่การขอติดตั้งแท่นวาปร์นี้สิ เป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว เพราะถือเป็นอุปกรณ์เวทชนิดใหม่ ซํ้ายังมีผลประโยชน์อีกมากมายที่จะนำพามา เลยต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ งานนี้เลยต้องเสนอเรื่องไปถึงหัวหน้ากิลให้เป็นคนตัดสินใจ ซึ่งโชคดีที่กรอซ่าเป็นที่ตั้งของกิลนักผจญภัยสาขาหลัก หัวหน้ากิลเลยอาศัยและทำงานอยู่
ที่นี้ด้วย ตอนนี้ผมเลยได้เจอหัวหน้ากิลนักผจญภัยเป็นครั้งแรก…ตื่นเต้นสุดๆ เลย จะเป็นคนแบบไหนกันนะ
ผมกับทาฮากริมถูกเรียกไปพบพร้อมกัน คงเพราะจะคุยเรื่องกิลสาขาด้วย เพราะงานนี้เป็นงานด่วน เลยคงคุยให้เสร็จในทีเดียวไปเลย
แต่ห้องทำงานของหัวหน้ากิล ไม่ได้อยู่ที่ชั้น 3 ทว่าขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง มันเป็นห้องใต้หลังคา ซึ่งมีขนาดกว้างและค่อนข้างสว่างทีเดียว แต่จากวิวบนห้องนี้ ทำให้เห็นเมืองได้โดยรอบเลย
หัวหน้ากิลนักผจญภัยนั่งอยู่ที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน โดยหันหลังให้ผมพวกอยู่ แต่พอเข้ามาคงทำให้รู้ตัว เลยหมุนเก้าอี้กลับมา ครั้งแรกที่เห็น ผมค่อนข้างตกใจ เพราะอย่างแรกผมไม่คิดว่าจะเป็นผู้หญิง และ
อย่างที่สองใบหน้าเธอเหมือนคนญี่ปุ่นซึ่งรับกับผมสีดำยาวตัดปลายเรียบของเธอ
บนใบหน้าของเธอมีผ้าคาดตาข้างหนึ่ง แต่ยังเป็นรอยแผลโผล่พ้นออกมา ดูท่าจะใส่ผ้าคาดตาด้วยเหตุผลที่ต่างไปจากเอสเตอร์ ลักษณะของเธอให้อารมณ์เหมือนซามูไรตาเดียว เพียงแต่ตัวค่อนข้างเล็กอายุน่าจะราวๆ สามสิบกลางๆ
“นั่งสิ”
เธอเอ่ยปากเชิญ โดยที่ยังคงสีหน้าที่อ่านอารมณ์ได้ยาก เก้าอี้สองตัวถูกจัดเตรียมไว้แล้วที่หน้าโต๊ะทำงานของเธอ
“ฉันชื่อซารี ส่วนคุณคือทาฮากริม บุตรตรีแห่งลอร์ดไพรธอนสินะ”
“รู้จักชื่อเก่าของท่านพ่อด้วยเหรอคะ!”
“ต้องรู้จักสิ สมัยก่อนพวกเราฝึกการต่อสู้มาจากอาจารย์คนเดียวกัน”
“ไม่เห็นท่านพ่อเคยเล่าให้ฟัง”
“ฮ่าๆๆ ก็คงไม่ เพราะนั้นเป็นอดีตที่ลอร์ดไพรธอนต้องการจะฝั่งกลบดิน”
“ชักอยากรู้แล้วสิคะ”
“อย่าดีกว่า บางเรื่องอาจทำให้ครอบครัวของเธอแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้เลยนะ”
ถึงจะพูดแบบปกติ แต่สิ่งที่พูดมานั้น น่ากลัวสุดๆ ไปเลย เป็นคนประเภทที่แยกว่าตอนไหนพูดจริงพูดเล่นยากมาก
“มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า การขอตั้งสาขากิลที่วิลเฟนเฮ ที่จริงก็ติดปัญหาอยู่หลายอย่าง จึงไม่ได้ไปตั้งกิลสาขาที่นั้นสักที แต่ในเมื่อทางคุณอนุมัติงบในการก่อสร้างให้ แถมยกที่ดินให้ฟรีๆ อีก ทางนี้ก็ไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ ส่วนเงื่อนไขต่างๆ ได้ส่งไปให้ลอร์ดไพรธอนแล้ว คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร เพียงแต่จากข้อมูล วิลเฟนเฮเป็นเมืองขนาดเล็ก และไม่ใช่เมืองที่เป็นจุดผ่านสำคัญ ปกติแทบจะไม่มีนักเดินทางผ่านไปเลย ทำให้ไม่ค่อยมีโรงแรมหรือสถานที่สำหรับแขกต่างแดนเลย ฉะนั้นทางเราขอเสนอให้มีการสร้างโรงแรมสำหรับพนักงานกิล ขึ้นมาควบคู่กับการสร้างกิลสาขาไปด้วย ทางคุณจะติดขัดอะไรไหม”
สมกับเป็นหัวหน้ากิล ทำงานได้เป็นมืออาชีพ และมองเห็นจุดที่ผมมองข้ามไปได้
“อะ เอ่อ”
ทาฮากริมตัดสินใจไม่ถูก เพราะการสร้างโรงแรมที่พักไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ใช้เงินจากทุนที่ผมให้ไปก่อนได้”
ผมช่วยเธอตัดสินใจให้ เพราะเงินที่ให้ไปเกินก็เพื่อเหตุที่ไม่คาดฝันแบบนี้ล่ะ
“คุณเป็นคนออกทุนให้ในเรื่องนี้สินะ”
สายตาของซารีหันมาจ้องที่ผม
“ใช่ค่ะ ท่านโรมะเสนอตัวเป็นหุ้นส่วน รวมถึงวางแผนงานและออกเงินให้ด้วยค่ะ”
ทาฮากริมรีบออกตัวแนะนำผมอย่างกระตื้อรื้อร้น แต่มากเกินไปสักหน่อย อย่างที่บอกว่าผมเป็นคน
วางแผนงาน อันนี้ไม่ควรบอกไปเลย เพราะจะลดเครดิตตัวเองและทำให้ผมโดนเพ่งเล็งด้วย
“…เข้าใจแล้ว ส่วนคุณโรมะ ถ้าไม่รังเกียจ ช่วยถอดหน้ากากออกด้วย การปิดบังใบหน้าตัวเองขณะคุยธุรกิจกันเนี่ย มันเสียมารยาทนะ”
!!!
ผมตกใจจนถึงกับเหงื่อแตกออกมา เธอรู้! หรือว่าเพราะมีสกิลพิเศษ ที่ไอเท็มจะไม่ส่งผล แต่อย่างไงก็เถอะ ผมโดนจับได้แล้ว แกล้งทำไก๋ไปก็คงไม่มีประโยชน์ มาดูกันว่าเธอรู้ลึกแค่ไหน
“ขอโทษด้วยที่ทำตัวเสียมารยาทไป”
ผมกล่าวขอโทษพร้อมกับค่อยๆ ปลดหน้ากากออก ทาฮากริมเองก็พึ่งเคยเห็นใบหน้าจริงๆ
ของผมเป็นครั้งแรก เลยช็อคจนแข็งทื่อไปแล้ว ส่วนซารีทำหน้าตกใจออกมาเหมือนกัน
“…ผู้กล้า…!?”
เธอเผลอพูดออกมาแบบไม่มั่นใจ แต่ผมสิมั่นใจ ว่าเธอเห็นสกิลผมแล้ว ที่เธอทักว่าผมเป็นผู้กล้า คงเพราะดูจากใบหน้าและสีผมที่ค่อนข้างต่างไปจากคนโลกนี้ แต่ที่ไม่มั่นใจเพราะคงไปเป็นสกิลมารราคะของผมเข้า…อันตราย ถ้าเห็นท่าไม่ดีคงต้องรีบปิดปากเธอซะ
ผมพยายามไม่แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรออกไป แต่เก็บงำทุกอย่างเอาไว้อย่างมิดชิดและตีหน้ายิ้มแบบซื่อๆ ไป
“อย่าเรียกว่าผู้กล้าเลยครับ ผมไม่สนใจจะทำหน้าที่ของผู้กล้าเลยสักนิด แค่หาความสุขไปวันๆ เท่านั้นเอง”
ผมบอกกับซารีไป แต่ทำไมทาฮากริมถึงโดดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นแล้วล่ะนั้น
“ฉันเสียมารยาทกับท่านผู้กล้าไปตั้งมากมาย! ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ!”
ทาฮากริมหน้าซีดไปเลย จะว่าไปตัวตนของผู้กล้าเองก็เป็นเหมือนไอดอลของพวกอัศวินล่ะนะ
“ถ้าจะให้ผมยกโทษให้ ก็ช่วยกลับขึ้นมานั่งเหมือนเดิม แล้วช่วยลืมไปด้วยว่าผมเป็นผู้กล้า”
แบบนี้คุยไม่สะดวกเลย จึงอยากให้ทาฮากริมกลับไปเป็นเหมือนเดิมมากกว่า ถึงเธอจะทำท่าอึกอัดใจ แต่สุดท้ายก็ยอมกลับมานั่งตามปกติ แต่หน้าเธอแดงและหันหลบไปอีกทาง นี้กลายเป็นมองหน้าไม่ติดไปแล้วเหรอ…แย่ชะมัด
ส่วนซารีนั้นไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แต่ในหัวคงคิดอยู่หลายเรื่องทีเดียว
“…งั้นก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ถ้าตกลงในการสร้างโรงแรม ทุกอย่างก็พร้อมดำเนินการ นี้หนังสืออนุมัติ นำไปส่งให้ที่พนักงานชั้น 1 ก็ถือว่าเสร็จสิ้น”
เรื่องของทาฮากริมเสร็จไปอย่างเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร เธอถือหนังสืออนุมัติออกไปอย่างดีใจ จนเหลือแต่ผมกับซารี
“ส่วนคุณโรมะต้องการจะติดตั้งอุปกรณ์เวทไว้ที่นี้สินะ”
“ใช่แล้วครับ เป็นอุปกรณ์เวทแบบที่ใช้เคลื่อนย้ายไปที่หมายที่กำหนดไว้ในพริบตาเดียว”
“อุปกรณ์แบบนี้ไม่เคยมีมาก่อนซะด้วย คงมีมูลค่ามหาศาลเลยนะเนี่ย”
“น่าจะใช่ครับ”
“แล้วไม่ลองเอาไปขายให้กับกิลการค้าดูก่อนล่ะ พวกนั้นน่าจะให้ราคาดีนะ”
“ผมไม่ได้จะมาขายของครับ แต่เพื่อสร้างความสะดวกสบาย และประหยัดเวลาให้กับนักผจญภัยที่ต้องการลงดันเจี้ยน”
“แค่นั้นเองเหรอ? รู้หรือเปล่าว่านี้เป็นอุปกรณ์เวทที่สามารถปฏิวัติการขนส่งได้เลยนะ”
“เพราะรู้ไงครับ ถึงได้เอามาฝากไว้ที่นี้”
“…เข้าใจล่ะ เจ้าเล่ห์ไม่เบาเลยนะ”
ใช่แล้วล่ะ เพราะมีค่ามากเกินจะเก็บไว้กับตัวเอง เลยเอามาโยนให้ทางนี้รับผิดชอบ อย่างไงก็เป็นถึงกิลนักผจญภัย แค่นี้ดูแลไหวอยู่แล้ว
“แล้วทางนี้จะได้อะไรกับความเสี่ยงที่ต้องแบกรับไว้ล่ะ ทางคุณเองก็ไม่ได้จะเอามาให้ฟรีๆ อยู่แล้วถูกไหม”
“ครับ ผมคิดไว้แล้ว ข้อแรกคือ ผมจะไม่เปิดเผยวิธีการสร้างรวมถึงวงจรเวทที่ใช้ เพราะผมคิดว่ามันเร็วเกินไปที่นำไปใช้อย่างแพร่หลาย”
“ข้อแรกฉันเห็นด้วย”
ซารีพยักหน้ารับ และรอผมพูดต่อไป
“ส่วนข้อสอง เงินค่าบริการในการใช้งาน ผมจะยกให้ทางกิลนักผจญภัยทั้งหมด”
“พูดจริงเหรอ”
“ครับ ถือว่าเป็นค่าความเสี่ยงและการดูแล”
“แต่จากที่ว่ามา ฉันไม่เห็นว่าคุณจะได้ประโยชน์อะไรเลยนะ”
“ถ้าเรื่องนั้น ผมมีเป้าหมายเพียงแค่จำนวนคนที่ใช้งานเท่านั้นแหละครับ เพราะผมจะเปิดโรงแรมในดันเจี้ยนที่ชั้น 12 ยิ่งถ้ามีนักผจญภัยลงดันเจี้ยนกันเยอะ ผมจะได้ผลประโยชน์เยอะตาม”
“โรงแรมในดันเจี้ยน…แบบนี้เอง งั้นที่ไปมีเรื่องกับท่านอาร์คบิชอปก็”
“ไม่ใช่ครับ”
ผมรีบปฏิเสธทันทีที่จะโดนโยงไปถึงเรื่องเรเดีย
“คือเรื่องนี้ผมยังเก็บเป็นความลับไว้อยู่ กะไว้หลังจากสร้างโรงแรมเสร็จแล้วค่อยนำมาบอก ว่าจริงๆ แล้วผมค้นพบชั้น 12 ที่แท้จริงแล้ว”
พอได้ยินสีหน้าของซารีก็เปลี่ยนไปกะทันหัน เธอดูตกใจกับเรื่องนี้มาก ผมเลยต้องอธิบายให้เธอฟังถึงเรื่องชั้นหลอกที่ทุกคนคิดว่าเป็นชั้น 12 มาตลอด
“ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรหรอกนะ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นชั้นหลอกที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น”
ซารีถอนหายใจออกมา ก่อนจะจ้องผมด้วยสายตาเฉียบคมอีกครั้ง
“จริงๆ แล้ว ข้อมูลนี้จะต้องทำการเปิดเผยในทันที แต่ฉันถือว่าตอนนี้พึ่งเกิดเรื่องขึ้นที่ชั้น 12 ที่เป็นชั้นหลอก ถ้าเอาข่าวนี้ออกมาเปิดเผย เดี๋ยวจะยิ่งสร้างเชื้อไฟขึ้นมา เอาเป็นว่าจะยอมเก็บเงียบไว้ให้จนกว่าคุณจะสร้างโรงแรมเสร็จล่ะกัน”
“งั้นเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์เวทก็ไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ”
“อืม ทางฉันจะเป็นคนดูแลให้เองตามเงื่อนไขที่คุณว่าไว้ แต่เรื่องค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและการบำรุงรักษา คุณต้องจัดการเองนะ”
“ครับ ตั้งใจไว้แบบนั้นอยู่แล้ว ขอบคุณมากและยินดีที่ได้ทำธุรกิจด้วยกันครับ”
ผมลุกขึ้นเตรียมจะกลับ แต่ซารีกลับทักขึ้นมาซะก่อน
“เดี๋ยวสิ ยังมีอีกหลายเรื่องที่พวกเราต้องคุยกันไม่ใช่เหรอ”
มาแล้ว!
“หมายถึงอะไรเหรอครับ”
ผมแกล้งตีหน้าเซ่อไปก่อน
“เลิกเล่นละครได้แล้ว บรรพบุรุษฉันเป็นคนสร้างกิลนี้ขึ้นมา ส่วนตัวฉันเองก็ดูแลที่นี้มากกว่าสิบปี เห็นคนมาทุกประเภท ไอ้หมาป่าหุ้มหนังแกะอย่างคุณน่ะเห็นแวบเดียวก็รู้แล้ว”
“…โดนด่ามาก็เยอะ แต่โดนเรียกว่าเป็นหมาป่าเลยเนี่ย เจ็บจริงๆ แฮะ”
ผมเลิกทำท่าเป็นเด็กไร้เดียงสาตามที่ว่าเธอ และกลับเข้าสู่บุคลิกจริงๆ ของตัวเอง ส่วนซารีเองก็เลิกตีหน้าขรึม และฉีกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก
“ทางนี้มีเรื่องอยากจะบ่นหลายเรื่องเลยล่ะนะ อย่างที่ไปทะเลาะกับอาร์คบิชอปก็มีคนตายเยอะซะด้วย แต่เอาเถอะตอนนี้มีเรื่องอื่นที่อยากจะถามมากกว่า”
“ทางนี้ก็เหมือนกันครับ”
“งั้นฉันให้ถามก่อน”
“ขอบคุณ งั้นอย่างแรก…คุณเป็นคนที่เกิดที่โลกนี้จริงๆ เหรอ”
เป็นเรื่องที่ผมติดใจมากที่สุดเลยล่ะ เพราะดูอย่างไงเธอก็เหมือนคนญี่ปุ่นมากเกินไปที่จะเป็นคนของโลกนี้
“อ้อ นึกว่าเรื่องอะไร ฉันเป็นคนของโลกนี้จริงๆ แต่ที่หน้าตาและสีผมเป็นแบบนี้ เพราะว่าแม่ของฉันเป็นผู้กล้า”
คำตอบนี้นอกจากไขข้อข้องใจได้แล้ว ยังทำให้ผมเดาได้ว่า ที่เธอรู้ตัวจริงผมคงเพราะได้รับสกิลพิเศษมาทางสายเลือดด้วย แต่เรื่องนี้พิสูจน์ไม่ได้ เพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ สกิลทั้งหมดของผมก็ไม่ทำงานขึ้นมา แม้แต่สกิลมารราคะยังติดสถานะ Off หมด ผมเลยใช้ตรวจสอบกับเธอไม่ได้
“งั้นต่อไปตาฉันถาม”
“เชิญครับ”
“สกิลมารราคะของคุณ…ได้มาได้อย่างไง”
มาถึงก็ยิงตรงเป้าเลยแฮะ
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นสกิลมาร ก็มีแต่พวกมารเท่านั้นแหละที่ใช้ แต่ไม่สิ ผู้กล้าที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของซาคุยะไม่ใช่จอมมารแบบผมสักหน่อย ไม่ได้เป็นเผ่าปีศาจด้วย ก็ยังมีสกิลมารได้ แปลว่าใครมีก็ได้ขอแค่เงื่อนไขตรงกันเท่านั้น แล้วที่ซารีถาม คือได้มาได้อย่างไง หรือก็คือปัญหาคือการได้มาสินะ ใช่จริงๆ ด้วย กรณีของผมคือได้มาจากหมวกเกราะของจอมมารในตอนที่ทดสอบ
แต่ว่าจะโกหกก็ไม่ได้ เพราะซารีเป็นคนที่เฉียบแหลมมาก ขนาดนิสัยผมเป็นอย่างไงแค่มองแวบเดียวยังรู้ได้ทันที ถ้าโกหกไปเธอต้องจับได้แน่
“…บอกไม่ได้ครับ”
“บอกไม่ได้สินะ…”
สายตาของซารีเปลี่ยนไปทันที แย่แล้วๆ ขืนเธอลงมือ ผมต้องแย่แน่ เพราะในห้องนี้ผมใช้สกิลไม่ได้เลย เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ ไว้…ถ้าฉุกเฉินเรายังมีแหวนที่ใช้วาปร์หนีกลับไปที่ปราสาทจอมมารได้
พอคิดถึงทางหนีทีไล่ได้แล้ว ผมก็เริ่มสงบใจลงได้ และสมองก็เริ่มทำงานตามปกติ
“อย่าบังคับให้ผมต้องบอกเลยครับ คุณเองก็เป็นนักบริหารที่เก่ง คงรู้ว่าบางอย่างเป็นข้อมูลเชิงลบที่จะทำลายองค์กรของคุณได้เลยนะ”
“…ข้อมูลเชิงลบสินะ”
สมเป็นซารี เข้าใจความหมายที่ผมต้องการจะสื่อให้รู้สินะ
“ก็ได้ งั้นขอเปลี่ยนคำถาม…คุณมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าปีศาจ”
ผู้หญิงคนนี้จะถามตรงไปถึงไหนฟ่ะ! ถ้าเป็นคนที่โกหกได้ง่ายๆ ก็ว่าไปอย่าง
“เอาเป็นว่า ผมเป็นคนที่เปิดรับทั้งสองฝ่ายครับ”
“คุณโรมะ คุณตอบไม่ตรงคำถามนะ”
อะไรกัน คิดว่าเป็นคำตอบที่ดีแล้วนะ แต่ผู้หญิงคนนี้ต้องการบีบให้ผมพูดให้ได้ น่ากลัวจริงๆ
“เมื่อได้คำตอบไปแล้ว คุณจะทำอย่างไงกับผมเหรอครับ”
“ตอนนี้เป็นตาคุณตอบคำถามฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ไม่ไหวๆ กับผู้หญิงคนนี้วาทศิลป์ของผมใช้ไม่ได้ผลเลย ถ้าอาวุธหลักใช้ไม่ได้แบบนี้ หรือว่าต้องเปลี่ยนไปใช้อาวุธอย่างอื่นดี
“จะถามอีกครั้ง คุณเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าปีศาจ ช่วยตอบคำถามด้วย”
“…ผมตอบไม่ได้”
การตอบแบบนี้ก็เหมือนบอกให้รู้ล่ะว่าผมเป็นฝ่ายปีศาจ แต่ไม่ว่าจะอย่างไง ก็ไม่ยอมให้ได้ข้อมูลเชิงลึกไปเด็ดขาด และถ้าไปถึงขั้นสุดท้าย ผมก็คงต้องใช้กำลังแบบไม่มีทางเลือก การที่ห้องนี้ปิดผนึกสกิลได้ ก็ไม่ใช่หมายความว่าผมจะหมดหนทางสู้สักหน่อย
“เช่นนั้น ก็สรุปได้ว่าคุณคือเผ่าปีศาจที่มีระดับสูงพอตัวสินะ ดูจากความสามารถในหลายๆ ทางแล้ว คงเป็นถึงระดับรองขุนพล หรือผู้นำกลุ่มย่อยเลย”
แม่นมาก! แค่อิงเอาจากข้อมูลเท่านั้น ก็สรุปออกมาได้แล้ว นี้ยิ่งถ้าได้เห็นพลังของผม สงสัยจะฟันธงได้ทันทีแน่ว่าผมเป็นจอมมาร แบบนี้จะตัดเรื่องสู้ออกไปดีไหม…ถ้าสู้ผมต้องฆ่าปิดปากเธอสถานเดียว
“…ทำไมมั่นใจนักล่ะ คนที่ครองสกิลมาร ที่ไม่ใช่เผ่าปีศาจก็มีนะ”
“เรื่องนั้นก็ถูกของคุณ ขอแค่มีเงื่อนไขครบกับโชคซะตาที่เกี่ยวพันถึงกัน ใครๆ ก็สามารถมีสกิลมารได้ เพียงแต่…แหวนที่คุณใส่อยู่ มันของเผ่าปีศาจชัดๆ”
ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทันที ประหลาดเกินไปแล้ว! ไหนมุเอมะบอกว่ามีแต่เผ่าปีศาจที่เห็นแหวนได้ไง?
“นั่งลงเถอะ ฉันไม่คิดจะสู้กับคุณหรอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่แบบตัวต่อตัว”
ร้ายกาจมาก! เธอไม่ประมาทผมเลย ซํ้ายังใจเย็นสุดๆ อ่านสถานการณ์ได้ดี เธอเลือกจะคุยกับผมเพื่อเอาข้อมูล มากกว่าการต่อสู้แบบไร้ประโยชน์ สมแล้วที่เป็นคนระดับหัวหน้ากิลนักผจญภัย
ผมกลับลงมานั่งโดยพยายามปรับลมหายใจให้ปกติ
“เอาเป็นว่าฉันได้รับคำตอบแล้ว งั้นต่อไปเชิญคุณถามได้”
“…รู้ได้อย่างไง ทั้งเรื่องที่ผมใส่หน้ากาก ทั้งเรื่องแหวนเผ่าปีศาจ”
“เป็นคำถามที่ซื่อตรงเกินคาดนะ แต่เรื่องนี้ฉันก็ไม่ขอตอบเหมือนกัน ก็มันเป็นการให้ข้อมูลเชิงลบกับตัวเองนี้นะ”
โดนย้อนเข้าให้แล้วไหมล่ะ อย่างไงก็ไม่ยอมให้ข้อมูลตัวเองหลุดรอดออกมาได้สินะ เขี้ยวสุดๆ เลย
“แต่จะแถมข้อมูลอื่นให้ สายเลือดรุ่นสองของผู้กล้า จะไม่ได้รับความสามารถหรือสกิลโกงๆ มาด้วยหรอกนะ”
นี้เธอรู้ว่าผมกำลังสงสัยว่าเป็นสกิลโกงที่ได้รับมาทางสายเลือดอยู่! อะไรจะขนาดนั้น ถึงขั้นอ่านใจได้เลยหรือเปล่านะ
“แล้วอันนี้เป็นข้อมูลฟรี ฉันอ่านใจไม่ได้หรอก”
….แน่เหรอ
“เอาล่ะ งั้นต่อไปฉันถาม”
“พอแค่นี้ได้ไหม”
“เอ๋? ฉันตอบไปตั้งสองข้อแล้ว จะไม่เอาเปรียบไปหน่อยเหรอ”
“งั้นก็เชิญถามมาล่ะกัน”
“…คุณมีเป้าหมายอะไรในถึงมาที่เมืองนี้”
นํ้าเสียงแต่แววตาของซารีคมกริบขึ้นมาอีกแล้ว ถึงไม่อยากจะเชื่อ แต่นี้เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ผมเป็นฝ่ายถูกกดดันตอนที่นั่งเจรจากับคนอื่นอยู่
“หลักๆ เลย เพราะเมืองนี้เป็นเมืองนักผจญภัย เป็นแหล่งที่สามารถหาเงินและข้อมูลได้ สำหรับมือใหม่อ่อนประสบการณ์แบบผม เมืองนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”
“ฟังดูเหมือนจะแค่มาเป็นนักผจญภัยเลยนะ”
“ตามนั้น อยากจะมาเป็นนักผจญภัยจริงๆ อ้อ แล้วก็ฮาเร็มนี้ก็อยู่ในเป้าหมายหลักเหมือนกัน แต่ทีแรกไม่คิดว่าจะสำเร็จหรือไปได้สวยแบบตอนนี้หรอกนะ เพราะงั้นจึงบอกว่าเป็นผลพลอยได้ดีกว่า แต่ขอบอกได้
เลยว่า ผมมาที่นี้อย่างเป็นมิตร ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ไม่ดีอะไรเลย”
“จะใช่แน่เหรอ เพราะหลังจากที่คุณมาที่เมืองนี้ ก็เกิดเรื่องขึ้นหลายอย่าง มีทั้งคนเจ็บคนตายและที่หายสาบสูญไปอีก ดูมันสวนทางกับคำพูดของคุณอยู่นะ”
“ผมยอมรับนะว่ามีส่วนทำให้ทั้งคนเจ็บ ตาย…และสูญหาย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกมาหาเรื่องก่อน ผมเลยต้องตอบโต้ไปตามสมควร”
“ก็จริงที่ว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับคุณ ทางคุณจะเป็นเจ้าทุกข์ และพวกนั้นก็เป็นพวกที่มีค่าหัวอยู่แล้ว แต่เพราะอย่างนั้นถึงได้ยิ่งแปลก เผ่าปีศาจอย่างคุณคิดจะมาเล่นบทฮีโร่ไปทำไม…คิดวางแผนชั่วๆ อย่างสร้างภาพหลอกคนหรือไง”
“พูดแรงไปนะ ผมแค่ทำตามที่เห็นสมควร แล้วก็นะ…ผมยังไม่ได้ยอมรับสักหน่อยว่าเป็นเผ่าปีศาจ”
ปากแข็งไว้ก่อน ไม่รู้ล่ะว่าเธอมีลูกเล่นอะไร แต่ผมรู้สึกว่าคำพูดของเธอ มันเหมือนการโน้มน้าวให้ทางนี้หลุดปากเองมากกว่า
“เอาตามนั้นก็ได้ งั้นต่อไปคุณอยากรู้อะไรล่ะ”
“พอแล้ว ถามตอบแบบนี้ผมเสียเปรียบ”
“ถึงแม้ฉันจะชดเชยจุดที่เสียเปรียบให้ด้วยการแก้ผ้าให้ดูก็ไม่เอาเหรอ?”
“ถามมาเลย!”
“…สมเป็นผู้ที่มีสกิลมารราคะจริงๆ”
“รู้แล้วก็อย่าจี้จุดอ่อนผมสิ!”
“แต่นี้ท่าทางเอาจริงเลยนะ”
“อึก!…กะ ก็นะ ไม่ได้รีบร้อนไปไหนซะด้วย”
“ร่างกายของผู้หญิงวัยสี่สิบมันไม่มีอะไรน่าดูสักหน่อย”
“มีสิ! ความเยายวนแบบผู้ใหญ่ไง!”
“…พอพูดเรื่องลากมกนี้ คุณปากเบามากเลยรู้ตัวไหม”
“ครับ ทราบดีเลยล่ะ”
ผมทำเสียงอ่อนลงเหมือนโดนครูตำหนิ
“ถ้าตกลงงั้นก็เชิญคุณถามมาสิ”
“…สมมุติว่าผมเป็นเผ่าปีศาจ คุณคิดจะทำอย่างไงกับผมเหรอ”
ขอถามตรงเป้าบ้างเถอะ ถึงจะตั้งคำถามแบบเซฟตัวเองไว้แล้วก็ตามที แต่ไม่ค่อยมั่นใจเลยแฮะ ว่าเป็นควรถามไปแบบนี้หรือเปล่า
“นั้นสินะ ถ้าเห็นว่าคุณเป็นตัวปัญหา ฉันคงต้องตั้งเควสให้พวกนักผจญภัยรุมล่าตัวคุณ และยิ่งถ้ามั่นใจว่าเป็นตัวอันตราย คงต้องใช้ทุกวิถีทางในการกำจัดทิ้งไป”
เป็นคำตอบที่เล่นเอาผมเหงื่อตกเลย เพราะนํ้าเสียงเธอเหมือนจะขึ้นรายชื่อแล้วว่าผมเป็นตัวอันตราย
“ต่อไปตามฉันถาม”
แถมไม่เว้นช่วงให้ย่อยข้อมูลเลย จะเขี้ยวไปถึงไหน
“มีวิธียกเลิกการวางเสน่ห์ด้วยสกิลมารราคะ ให้กับผู้หญิงที่โดนคุณหลอกลวงมาหรือเปล่า”
“…หา?”
“ไม่เข้าใจสินะ งั้นขอถามใหม่ จะช่วยพวกทีตกเป็นทาสนํ้ากามของคุณได้อย่างไง”
“เดี๋ยวๆ เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ผมไม่ได้วางเสน่ห์หรือหลอกลวงใครมา แล้วก็พวกสาวๆ ไม่ได้เป็นทาสนํ้ากามผมสักหน่อย ไม่มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวด้วย พวกผมเต็มใจอยู่กับผม หรือถ้าคิดจะเดินจากไป ผมก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อย”
“คุณนี้เป็นผู้ร้ายปากแข็งกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”
“อย่ามาปรักปรำกันสิ!”
“หาว่าฉันปรักปรำเหรอ ดี งั้นจะให้ดูหลักฐาน!”
ว่าแล้วซารีก็หยิบกระเป๋านักผจญภัยขึ้นมา และหยิบเอา…เค้ก ออกมา…เฮ้ย ได้มาได้อย่างไงเนี่ย! แล้วแต่งหน้าแบบนี้เป็นของที่ผมทำแน่ๆ
“ฉันยึดสิ่งนี้มาจากมอเรีย ถึงจะยังไม่สามารถแยกส่วนประกอบหามนต์เสน่ห์ที่คุณใส่ลงไปได้ก็เถอะ แต่ผลลัพธ์ของมันก็เห็นๆ กันอยู่ แค่มอเรียกินมันเข้าไปก็แสดงอาการตกเป็นทาสออกมาทางสีหน้าทันที ยังมีอะไรจะแก้ตัวอีก”
…ขอกุมขมับก่อน
ว่าไงดีล่ะ พอเห็นหลักฐานแล้ว ผมก็เริ่มคิดว่าการปรักปรำมีมูลแฮะ ไม่สิๆ! ผู้หญิงน่ะอย่างไงก็เป็นทาสของหวานอยู่แล้ว ไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อย!
“ว่าไง ตอบคำถามของฉันมาสิ วิธีแก้ต้องทำอย่างไง”
“…วิธีแก้เหรอครับ ก่อนอื่นก็…หลับตาแล้วพูดคำว่า ‘อ้าม’ ครับ”
“อ้าม?”
อ้าว? ติดกับง่ายๆ เลยแฮะ ผมเลยตักเค้กเอาเข้าปากซารีไปทันที ของแบบนี้ต้องลองด้วยตัวเอง
“อุ๊บ!”
ถึงจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว ซารีรู้ว่าโดนผมหลอก แต่เค้กน่ะอยู่ปากแล้ว ต่อให้เอาคึมมากง้างก็ไม่ยอมคายออกมาหรอก เธอค่อยๆ เคี้ยวอย่างช้าๆ ก่อนจะกลืนลงไปทั้งนํ้าตา
“ที่นี้มองหน้าผมแล้วบอกสิครับ ว่าหลงเสน่ห์ผมหรือยัง”
“ทำไมฉันต้องหลงเสน่ห์คุณด้วย…!!!”
“ครับ ก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้ว ที่คุณทานไปเป็นแค่ของหวานเท่านั้นเอง ไม่ได้มีการใส่มนต์เสน่ห์อะไรอย่างที่คิดหรอก ถ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองทานไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองไปด้วย จะได้รู้ว่าทำหน้าแบบไหนอยู่”
“ถึงแบบนั้นก็เถอะ การที่ลูกน้องมือดีของฉันอย่างมอเรียจะไปติดผู้ชายอย่างคุณ จนถึงกับยอมทิ้ง
การทิ้งงาน ดูอย่างไงก็เหมือนกับคนกำลังโดนมนต์สะกดอยู่”
“คนรักกันก็ต้องอยากอยู่ด้วยกันสิครับ มีตรงไหนแปลก?”
“เป็นไปไม่ได้! ถึงมอเรียจะโหยหาความรักมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอไม่ใช่คนที่ยอมตามหลังผู้ชายเด็ดขาด ฉันที่เฝ้าดูทั้งเวลากินเวลานอนของเธอมาตลอดหลายปีรับประกันเลย”
“ทั้งเวลากินเวลานอนแบบนั้นมัน…โรคจิตแล้วนะครับ”
“ย อย่านอกเรื่อง บอกวิธีคลายสะกดของสกิลมารราคะมาซะดีๆ”
“ทำไม่ได้ครับ”
“ไม่ได้…แม้คุณจะตายไปก็ตามเหรอ”
“ที่บอกทำไม่ได้ ก็เพราะผมไม่เคยไปใช้สกิลมารราคะเพื่อทำให้ใครหลงเสน่ห์ต่างหากล่ะ”
“โกหก!”
“เปล่านะ ถึงจะมีใช้บ้างก็เถอะ แต่ไม่ใช่อันที่ส่งผลต่อจิตใจพวกเธอแน่นอน ขนาดสกิลที่ใช้กระตุ้นอารมณ์ผมยังไม่เคยใช้กับพวกเธอเลย”
“แต่คุณก็ใช้สกิลมารราคะกับมอเรีย!”
“พูดไปอย่างไงก็ไม่เชื่อแบบนี้…งั้นมาลองของจริงกันเลยไหม”
“นี้คิดจะใช้สกิลกับฉันด้วยสินะ”
ทำตาแหลมคมใส่อีกแล้ว
“จะใช้ได้อย่างไง ก็ในห้องนี้ติดอุปกรณ์เวทที่ทำให้ใช้สกิลไม่ได้นี้”
เดาเอานะ
“…แล้วจะลองกันอย่างไง”
“ก็ไม่เห็นยาก พวกเราแค่มีเซ็กส์กัน คำตอบก็จะออกมาเอง”
“นี้คิดจะหลอกฟันฉันล่ะสิท่า”
“ถูกครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่ง ผมไม่ชอบให้คุณมาดูแคลนมอเรียแบบนั้น สิ่งที่มอเรียทำให้กับผม มันมาจากความรัก หาใช่การบีบบังคับ”
“เอางั้นก็ได้ ถ้าหลังจากมีอะไรกันแล้ว ฉันไม่รู้สึกอะไรกับคุณเลยสักนิด…ก็เตรียมรับการโดนล่าได้เลย”
“เป็นอันตกลงตามนั้น”
แล้วผมก็ฉีกยิ้มออกหลังจากถูกกดดันอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด ใครจะไปคิดละว่าเรื่องหื่นๆ จะใช้แก้ปัญหาการจนตรอกของผมได้
ตอนที่ 116 วันที่แสนวุ่นวาย Part 5
“ไม่จำกัดเวลา แต่ห้ามใช้ความรุนแรง และห้ามปล่อยข้างในเด็ดขาด”
“เข้าใจแล้ว”
ผมที่ได้ฟังเงื่อนไขของซารีแล้ว คิดว่าเธอดูแคลนผมไปหน่อยนะ ที่บอกว่าไม่จำกัดเวลาเนี่ย แต่ผมเองก็ไม่มีเวลามากซะด้วย จากนี้ยังต้องไปจัดการธุระอื่นต่ออีก รีบๆ จัดการให้เสร็จเลยดีกว่า
แต่ผิดคาดแฮะ กลับเป็นซารีที่ลุกขึ้นมาแล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าออก เธอดูไม่มีความอายเลย
พอยืนขึ้นมา ก็เห็นว่านอกจากตัวเล็กแล้ว ยังค่อนข้างเตี้ยด้วย สูงกว่าเดเม่แค่ไม่กี่เซน แต่รูปร่างเธอสมกับเป็นนักผจญภัย เพราะกระซับได้รูปมีกล้ามเนื้อเท่าที่จำเป็น เสื้อผ้าเป็นชุดทำงานแบบผู้ชาย คือเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงขายาว ส่วมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดง ถึงชุดจะดูธรรมดาไปหน่อย แต่เนื้อผ้าที่ใช้ท่าทางราคาแพงเอาเรื่อง
ส่วนหน้าตาของซารีนั้น…ธรรมดา ถ้าหน้าตาผมเป็นแบบธรรมดา ที่เรียกว่าตัวประกอบ C ของซารีก็คงเทียบได้กับ เพื่อนนางเอก D แต่ที่ดูดีก็คือสายตาและท่าทางของเธอ ที่ดูเต็มไปด้วยความมั่นใจทุกท่วงท่า จะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีบุคลิกดีก็ว่าได้
และถึงเธอจะบอกว่าอายุ 40 แล้ว แต่หน้าใบและรูปร่างเธออ่อนกว่าวัยมาก ถึงจะมีจุดหย่อนยานตามอายุก็เถอะ แต่โดยรวมยังดูดีอยู่ แถมยังจัดเข้าประเภทตัวเล็กนมโตด้วย หน้าอกเธอนี้ล้นบราออกมาเลย
ส่วนตามร่างกายเธอมีรอยแผลเป็นเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นรอยเล็บสัตว์ใหญ่ แต่คงผ่านมานานพอสมควรแล้ว รอยส่วนมากเลยเป็นแค่รอยจางๆ เท่านั้น
ชุดชั้นในนี้ก็สมกับวัย ดูเซ็กส์ซี่แบบผู้ใหญ่เป็นแบบลูกไม้เว้าสูงสีนํ้าเงินเข้ม แถมบราเป็นแบบดันทรง ทำให้หน้าอกที่ใหญ่และได้รูปอยู่แล้ว ดูกลมโตสวยงามมาก แต่ผมดูเพลินไปหน่อย เลยห้ามตอนเธอถอดบราไม่ทัน ซึ่งพอไม่มีบรา หน้าอกซารีก็ย้อยตํ่าลงมา
แต่ถ้าเทียบกับโมอาที่อยู่ในวัยใกล้กันแล้ว ของซารีดูดีกว่า หัวนมก็ยังไม่สีคลํ้ามาก
“จ้องอยู่ได้ เริ่มผิดหวังแล้วหรือไง”
ซารีที่เหลือกางเกงในตัวเดียวยืนเท้าเอวถามผมแบบไม่สบอารมณ์
“เปล่าครับ รูปร่างคุณดูดีกว่าอายุซะอีก ผมเลยมองเพลินไปหน่อย”
“ปากหวานไปก็ไม่ทำให้ฉันใจอ่อนหรอกนะ”
“ดีครับ ผมชอบผู้หญิงใจแข็ง”
ผมยิ้มให้และเริ่มลงมือ โดยตรงไปจูบเธอทันที
แต่เธอขันขืน
“เดี๋ยว! ห้ามจูบนะ”
“เอ๋? ในเงื่อนไขไม่ได้มีห้ามจูบนี้”
“งั้นขอเพิ่มไปอีกอย่าง ห้ามจูบ”
ผมคิดว่าเธอไม่น่าจะมีคนรักหรือครอบครัวนะ อย่างน้อยรูปร่างเธอก็ไม่เหมือนคนมีบุตรมาก่อน แต่สงสัยไม่ชอบให้จูบจริงๆ ผมเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรหรอก
“ก็ได้ครับ แต่หลังจากนี้ห้ามเพิ่มเงื่อนไขแล้วนะครับ”
“รู้แล้วน่า รีบๆ ทำได้แล้ว”
ในเมื่อจูบไม่ได้ ผมไซร้ซอกคอแทนก็ได้ ผมจูบแก้ม และเลียที่ใบหูและซอกคอ ซารีผลักผมออกและถอยหลบไปทันที
“ดะ เดี๋ยว! ทำอะไรน่ะ”
“นั้นผมต้องถามมากกว่า คุณซารีทำอะไรน่ะ ผมตกลงเงื่อนไขแล้วทำไมถึงยังหนีอีกล่ะ”
“ก็มาเลียคอกับหูฉันทำไม!”
“ก็ไม่ได้ห้ามนี้?”
“อึก!”
เหมือนซารีจะรู้ตัวแล้ว แต่ผมก็บอกไปแล้ว ว่าห้ามเพิ่มเงื่อนไขอีก เธอเลยต้องกัดฟันยอมให้ผมทำตามใจชอบ
แต่แย่แฮะ พอไม่มีสกิลมารราคะช่วย ผมเลยต้องเสียเวลามาหาจุดกระสันของเธอเอาเอง
ผมใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเธอ ใช้สัมผัสประสาทที่ปลายนิ้วอย่างละเอียดอ่อนที่สุด
ในขณะที่ฟังเสียงหายใจและจับการเต้นของหัวใจไปพร้อมกัน
ที่หูและคอ ผมว่ายังไม่ใช่จุดกระตุ้นอารมณ์ที่เธอชอบสักเท่าไร ปฏิกิริยาน่าจะเป็นแค่ตกใจกับรู้สึกแปลกใหม่มากกว่า แต่ถ้าทำไปเรื่อยๆ จนเธอชิน ก็จะเริ่มเฉยๆ แล้ว
แต่ที่หลังของเธอ ผมพบจุดที่ไวต่อการสัมผัสแล้ว มันคือตรงก้นกบของเธอ ทุกคนที่ผมกดนิ้วลงไป ซารีก็จะสะดุ้งเบาๆ และหายใจแรงออกมา แต่ยังหรอก ถ้าแบ่งจุดกระตุ้นอารมณ์ออกเป็นห้าระดับ ไล่จากตอบสนองน้อยไปถึงมาก จุดนี้น่าจะแค่ระดับ 2 จากสูงสุด 5
ผมเลื่อนใบหน้าลงมาที่หน้าอกเธอ ถึงจะหย่อนลงมาแต่ยังให้สัมผัสที่ดีอยู่ เวลาบีบลงไปมือก็จม
ลงไปทันที แต่ถ้าผ่อนแรงลงมันก็จะดีดกลับมา แต่อย่างที่คิดไว้ ที่หัวนมเธอให้การตอบสนองแค่ระดับ 1 เท่านั้น ผมเลยเล่นไม่นานและเปลี่ยนไปจุดอื่นต่อ
ที่ก้นไม่มีการตอบสนอง ค่อนข้างไม่ชอบให้จับด้วย หน้าท้องตอบสนองระดับ 1 สะดือตอบสนองระดับ 2
ไม่ไหวแฮะ ยังไม่เจอจุดระดับ 3 ขึ้นไปเลย ถ้าจะทำให้คู่นอนพึงพอใจได้ ต้องหาจุดระดับ 3 ให้ได้เป็นอย่างน้อย
แต่ไหนๆ ก็แวะมาที่ปากถํ้าแล้ว ขอตรวจสภาพหน่อย…มีกลิ่นค่อนข้างแรงแฮะ แถมมีกลิ่นฉี่หน่อยๆ ทั้งๆ ที่กลิ่นตัวของซารีหอมมาก แต่กลิ่นตรงที่ลับกลับแรง แต่ไม่แปลกอะไร เป็นธรรมดาของผู้หญิงมีอายุล่ะนะ ยิ่งถ้าไม่ได้ดูแลก็จะมีกลิ่นแบบนี้แหละ
ผมถอดกางเกงในเธอออก ซึ่งผิดวิสัยผมไปหน่อย แต่ครั้งแรกไม่อยากให้ซารีตะขิดตะขวนใจกับรสนิยมของผม จากนั้นก็เริ่มการสำรวจสภาพถํ้า…โห ผ่านศึกมาสมควรเลย กลีบหอยถึงกับบานออกเป็นก้อนเนื้อคลํ้า
จากนั้นก็ลองทดสอบปุ่มคริของเธอ ซึ่งเป็นแบบเม็ดกลมที่ซ่อนอยู่ในกลีบเนื้อ อืม ไวต่อการตอบสนองเหมือนกัน แต่ก็อีก เพราะเป็นแบบซ่อนในกลีบจะมานั่งแหกตลอดก็ไม่ได้ คงต้องเก็บไว้ตอนเธอใกล้จุดไคลแมกซ์ดีกว่า
แต่พอโดนเขี่ยปุ่มคริ ซารีก็บิดตัวและส่งเสียงร้องครางออกมาจากในคอ ดูเธอกำลังกัดฟันอดทนต่อความเสียวอยู่ ทว่าผมเล่นแค่พอให้ถํ้าเธอแฉะเพื่อเริ่มการสำรวจถํ้าในขั้นต่อไป
พอลองสอดนิ้วเข้าไป ซารีก็สั่นเบาๆ แต่อย่างที่คิดไว้ ข้างในเธอยังกระซับ แค่นิ้วเดียวก็แน่นแล้ว แถมนํ้าหวานก็ไม่เยอะเท่าไรเลยค่อนข้างฝืดนิดหน่อย ต้องใช้นํ้าลายช่วยนิดหน่อย ส่วนจุด G-spot … ม ไม่มี! ซารีไม่มีจุดจี!
การไม่มีจุด G-spot ไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงจะหาพบได้ยากมากก็ตามที แต่แบบนี้ไม่ดีต่อผมเอามากๆ เพราะเหมือนขาดจุดอ่อนหลักที่ใช้เล่นงานเธอ แถมผมยังไม่เจอจุดกระตุ้นระดับ 3 ขึ้นไปเลย ปล่อยไว้แบบนี้คงจบไม่สวย ถึงจะทำให้เธอเสร็จได้ แต่ระดับความพึงพอใจคงได้แค่มีเซ็กส์กับคนแปลกหน้าเพื่อความตื่นเต้นเท่านั้น
แถมข่าวร้ายยังมีมาเรื่อยๆ เพราะพอสำรวจต่อก็พบว่าช่องคลอดของซารีสั้นมาก แค่สอดนิ้วเข้าไปก็ถึงมดลูกเธอแล้ว
นํ้าหวานน้อย ไม่มีจุดจี ข้างในกระซับเกินไป ช่องคลอดสั้น…เฮ้ยๆ นี้มันวิกฤตเลยไม่ใช่เหรอ ถ้ามีสกิลมารราคะปัญหาพวกนี้แก้ได้ง่ายมากแท้ๆ
แต่ยังมีความหวังอยู่ ถ้าเจอจุดกระตุ้นระดับ 4 หรือ 5 ได้ล่ะก็ ยังพอมีหวัง
พอจบการสำรวจถํ้า ผมก็เริ่มการเดินทางต่อ โดยไล่ลงไปที่ตามต้นขาทั้งด้านนอกด้านใน แต่ก็ยังไม่ใช่ ตรงข้อพับก็ยังเฉยๆ ไม่ดีแล้ว นี้จะทั่วทั้งตัวแล้วนะ!
ทว่าผมยังไม่หมดหวัง ถึงจะมีโอกาสน้อย ก็ต้องลองดูก่อน ใช่ ผมกำลังจะเลียเท้าของเธอ
“ดะ เดี๋ยว!”
พอเห็นผมกำลังจะเลียเท้า ซารีก็รีบร้องห้าม แต่ช้าไปแล้ว
ผมเริ่มเลียลากลิ้นไปตั้งแต่หลังเท้า ตัวเธอสั่นสะท้านและเกรงจนตัวงอ…เจอแล้ว ระดับ 4 ผมเลยเริ่มขยายพื้นที่สำรวจ จุดที่ไวต่อสัมผัสของซารีคือหลังเท้าไปจนถึงง่ามนิ้ว แต่ดูแล้วไม่ใช่ว่าซารีจะมีรสนิยมแบบราชินีที่ชอบให้คนอื่นเลียเท้าหรอก แต่แค่เป็นจุดที่ไวต่อการสัมผัสเท่านั้น
และผมว่าเธอไม่เคยให้ใครเลียเท้ามาก่อน พอเจอแบบนี้เข้าไปเลยดิ้นไปมาและพยายามชักเท้าหนี แต่ไม่ได้ผล เธอโดนผมเลียจนถึงกับขึ้นสวรรค์ไปรอบหนึ่ง แต่พยายามไม่แสดงออก เลยเกร็งทั้งตัวแน่น และทุบไปบนโต๊ะที่นอนแผ่อยู่ดังปัง
“ม ไม่เลวนี้ แต่แค่นี้ก็งั้นๆ แหละ”
ตัวเองพึ่งเสร็จไปยังจะมาตีฝีปากกับผมอีก เอาเถอะ ตอนนี้ผมรู้จุดระดับ 4 ของเธอแล้ว เลยรู้ท่าที่เหมาะจะใช้ แต่ตอนนี้ต้องจัดการกับปัญหาถํ้ามรณะของเธอก่อน
วิธีแก้ปัญหากรณีนํ้าหวานน้อย ปกติก็ต้องใช้เจลหล่อลื่นเอา แต่โลกนี้ที่ใกล้เคียงกับเจลหล่อลื่นก็คือเมือกสไลม์ล่ะมั่ง ตามที่หน่วยวิจัยว่ามาอ่ะนะ แต่ตอนนี้ไม่รู้จะไปหามาจากไหน แถมเอามาใช้เดี๋ยวหาว่าผมตุกติกอีก เลยต้องแก้ปัญหาแบบที่พอทำได้ไปก่อน
ผมจ่อหน้าไปที่ถํ้ามรณะ และเริ่มเลียโดยเน้นการแหยงลิ้นเข้าไปให้ลึกที่สุดเพื่อส่งนํ้าลายเข้าไป และพยายามไม่ใช้การดูด ถึงจะทำให้ขาดอรรถรสไปหน่อย แต่เพื่อการสอดใส่ที่ราบรื่นก็ต้องยอม
แต่ผิดคาดเล็กน้อย เพราะผมเลียจนซารีนํ้าแตกไปอีกรอบอย่างรวดเร็ว…เอ่อ ลืมไปเลย โลกนี้เซ็กส์ออฟชั่นมันตํ่านี่น่า เธอคงไม่เคยโดนผู้ชายเลียถํ้ามาก่อน
รอบนี้เธอถึงกับต้องยกแขนขึ้นมาปิดตา และกัดริมฝีปากแน่นไม่พูดออกมา แต่ผมได้ยินเสียงครางเบาๆ เล็ดรอดอออกมา เหมือนเสียงลูกหมาครางเลยแฮะเลย
จริงๆ อยากแกล้งเธอต่อ แต่ตอนนี้เป็นจังหวะดีถ้าทิ้งไว้ถํ้าเธอจะแห้งซะก่อน ผมเลยงัดดุ้นออกมาเตรียมมุดถํ้าทันที
แต่เพราะซารีปิดตาตัวเองอยู่ เลยไม่เห็นสิ่งที่ผมทำ แต่พอส่วนหัวเริ่มกดเข้าไป ซารีก็ผวาเฮือกดีดตัวขึ้นมามองตาเหลือกทันที
“ก โกหกน่า! อ ไอ้นี้มันไม่ใช่ของมนุษย์แล้ว ม มันไม่เข้าหรอก”
“ก็นี้แหละ ผมถึงต้องใช้สกิลมารราคะคอยปรับขนาดให้เข้ากับพวกสาวๆ ไม่งั้นเจอดุ้นขนาดปกติเข้าไป มีหวังฉีกกันหมด”
แต่เหมือนที่พูดไปจะไม่เข้าหูซารีเลย เธอจ้องดูดุ้นผมแบบไม่กระพริบตา ขณะที่กำลังค่อยๆ แทรกตัวผ่านปากถํ้าเข้าไป
ส่วนที่ยากที่สุดก็ตอนดันส่วนหัวให้เข้าไปเนี่ยล่ะ แต่ซารีไม่หนีแฮะ เธอเกร็งสะโพกรับทั้งๆ ที่เจ็บจนมีนํ้าตาไหลออกมา
“ข เข้าไปหรือยัง”
“ยังเลย”
ผมต้องค่อยๆ ดันเข้าไป เพราะขืนแทงพรวดมีหวังเธอเจ็บจนหมดความรู้สึกแน่ เผลอๆ จะสลบเพราะทนความเจ็บไม่ไหวไปเลย
แต่ผมใจเย็นอยู่แล้วกับเรื่องเซ็กส์ ผมค่อยๆ ดันเข้าไปทีละนิดเพื่อให้ปากถํ้าขยายออกและปรับขนาด กลับเป็นซารีเองที่ดูร้อนรนขึ้นมา ยิ่งทุกครั้งที่หัวดุ้นขยับเข้าไปทีนิด เธอก็ยิ่งดูกระสับกระส่ายมากขึ้นตาม
ทว่าสุดท้ายก็มาถึงขีดจำกัดของซารี ถํ้าของเธอรับดุ้นของผมไม่ไหวจนถึงกับฉีกขาด
“ไม่ไหวจริงๆ ด้วย”
ผมคิดจะหยุดเท่านี้ อย่างน้อยถ้ามีสกิลมารราคะผมยังรักษาให้ได้ แต่นี้สกิลโดนปิดอยู่ ถ้าฝืนมีอะไรต่อในสภาพนี้ นอกจากซารีเองจะไม่มีความสุขแล้ว เผลอๆ จะเสียเลือดจนถึงขั้นเป็นอันตรายได้
“เดี๋ยว!”
ซารีกับร้องห้ามผม แถมยังใช้มือจิกที่หัวไหล่ ไม่ให้ผมขยับตัวออก และเป็นเธอเองที่ดันสะโพกเข้าหาเพื่อพยายามยัดดุ้นผมเข้าไปถํ้ามรณะของเธอให้ได้
สีหน้าของเธอตอนนี้เริ่มเร้าอารมณ์ผมขึ้นมา มันเป็นสีหน้าที่ทั้งเจ็บปวด ทั้งตื่นเต้น ทั้งกระสัน ปนเปกันไปหมด และผมคิดผิด ซารีเป็นนักผจญภัยมาก่อน เรื่องความเจ็บปวดเธอเคยชินกันมันแล้ว
“จะเข้า…แล้ว!!!”
ซารีดันจนส่วนหัวของดุ้นผมเข้าไปจนได้ เธอตะโกนออกมาดังลั่นเพื่อระบายความเจ็บปวด เลือดนี้ไหวซึมออกมาอย่างกะได้เปิดซิงสาวบริสุทธิ์เลย
“เดี๋ยวอย่าพึ่งขยับ”
ผมจับตัวเธอไว้ เมื่อเห็นซารีพยายามขยับเอวต่อ ถึงเธอจะทนความเจ็บปวดได้ดีเยี่ยมแค่ไหน แต่ขืนทำต่อในสภาพนี้ถํ้าเธอพังแน่
ระหว่างนี้ผมต้องคอยกระตุ้นอารมณ์เธอไปด้วย เพื่อไม่ให้อารมณ์ขาดตอน มือหนึ่งเลยอ้อมไปข้างหลังเขี่ยและกดที่ก้นกบ ส่วนอีกมือก็เล่นกับปุ่มคริไป
“ทำไม โอ้ว! มะ ไม่รีบ อ๊า! ทำล่ะ อร๊าง!”
“อย่ารีบสิ แค่เอาเข้าได้นี้ก็เหลือเชื่อแล้ว ขืนให้ขยับตอนนี้จะยิ่งเจ็บนะ”
“…ขอโทษที อ๊า! ฉันเองก็ไม่ได้ทำ อา! เรื่องแบบนี้ อา! มาเป็นสิบปีแล้ว ว่าแต่เลิกเล่นสัมผัส
ร่างกายฉันสักทีเถอะ! มันจะเสียวจนจะทำไม่ไหวอยู่แล้วนะ!”
ซารีตะโกนออกมาอย่างโมโห แต่ผมไม่หยุดหรอก ยังคงเล้าโลมเธอด้วยการสัมผัสตามจุดอ่อนไหวต่อไป ซึ่งมันได้ผล ภายในเธอเริ่มคลายตัวลงแล้ว เปลี่ยนมาเป็นตอดรัดเป็นจังหวะแทนเพราะความเสียว
ผมเริ่มสอยเอวใส่อย่างช้าๆ แต่ขยับได้นิดเดียวก็สุดทางซะแล้ว ใส่ได้ไม่ถึงครึ่งเลย ตัวซารีเองก็ตกใจ ทั้งที่เข้าไปสุดแล้ว แต่ดุ้นผมยังค้างอยู่ด้านนอกอีกตั้งเยอะ
แต่พอเริ่มชินกับจังหวะแล้ว ทุกอย่างก็ลื่นไหลไปตามธรรมชาติ ตอนนี้ซารีเก็บเสียงครางของตัวเองไม่ไหวแล้ว เธอปล่อยออกมาเต็มที่ ถึงแรกๆ จะมีเสียง
ร้องเจ็บดังออกมาบ้าง แต่พอเริ่มชินก็มีแต่เสียงของความสุขสมเท่านั้น
ทว่าผมเนี่ยสิ…เจ็บแทน เพราะซารีทั้งชอบข่วนชอบจิกทั้งยังกัดอีก แผลผมเต็มตัวเลย ยิ่งตอนเธอเสียวมากๆ ก็จะรัดคอผมจนแทบหายใจไม่ออก แรงของเธอก็มากจนมองข้ามไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าไปใช้แรงรัดแบบนี้กับสุนัขแสนรักล่ะก็ เตรียมฝั่งได้เลย
จริงๆ ผมกังวลว่าจะเสร็จก่อนเถอะ เพราะข้างในเธอตอดรัดมาก แถมไม่มีสกิลมารราคะที่ช่วยควบคุมด้วย แต่ว่าเพราะผมผ่านหอยที่คุณภาพดีเยี่ยมมาเยอะ อย่างของฟรานหรือของยูริน กระทั่งของซาคุยะ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นถํ้ารีดนํ้าคุณภาพเกรตพลาตินั่ม ชนิดแค่ใส่เข้าไปก็พร้อมเสร็จได้ทันที ตอนนี้ถึงไม่มีสกิลมารราคะ
ผมก็ได้ความทนทานเพิ่มมาแบบไม่รู้ตัว อย่างน้อยก็ควบคุมการหลั่งของตัวเองได้ตามใจนึก
ส่วนของซารีในรอบแรกต้องใช้เวลามากเสียหน่อย เพราะขนาดมันไม่พอดีกัน กว่าจะหายเจ็บและกว่าจะเริ่มอิ่มเอมไปกับดุ้นที่กำลังสอดใส่ภายในตัวเธอ ก็ต้องใช้เวลาหลายสิบนาที แต่พอเริ่มเสียวเท่านั้นแหละ เธอก็พาตัวเองเข้าสู่ช่วงไคลแมกซ์อย่างรวดเร็ว
ผมรีบจับขาเธอขึ้นมาในท่านอนหงายบนโต๊ะทำงาน และเลียเท้าของเธอไปด้วย แค่นั้นแหละเธอก็ถึงกับจิกผมและปิดหน้าตัวเอง และส่ายหัวไปมาอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นไม่ถึงนาที เธอก็ถึงสวรรค์แบบที่ไม่เจอมาก่อน ผมรอจนเธอหายกระตุก ค่อยดึงดุ้นออกมาสาวและพ่นนํ้าใส่ตัวเธอ แต่สภาพดุ้มผมนี้อาบไปด้วย
เลือด แถมมีรอยแดงๆ เพราะการถูกบีบรัดอย่างแรงด้วย แต่แค่นี้สบายมาก
“ส สำหรับผู้ชายก็ทำได้ดีนะ ตะ แต่แค่นี้ไม่ทำให้ฉันรู้สึกอะไรหรอก”
ยังจะปากแข็ง ทั้งๆ ที่เสร็จคาดุ้นผมไปหยกๆ แถมสีหน้ากับคำพูดนี้ไปกันละเรื่องเลย บนใบหน้าซารีนั้นแดงจัดและยังยิ้มปากแทบฉีก
“เข้าใจแล้วครับ งั้นขอทำต่อเลยนะ”
“ท ทำต่อ! แต่ตะกี้พึ่งเสร็จไปไม่ใช่เหรอ!”
พอได้ยินว่ากำลังจะโดนแบบตะกี้อีกรอบ ซารีถึงกับตาเหลือก แต่ผมก็ตอบเธอด้วยการขยับตัวเข้าไปหา และโชว์ดุ้นที่แข็งตะหง่านพร้อมใช้งานให้เห็นเต็มตา
“นี้คุณ…ยังทำได้อีกรอบจริงๆ เหรอเนี่ย”
“ไม่ใช่แค่อีกรอบ แต่ได้อีกหลายรอบเลย แต่พอไม่มีสกิลมารราคะแล้ว รู้สึกเพลียๆ ง่วงๆ แฮะ คงได้อีกสัก 3-4 รอบก่อนจะหลับล่ะมั่ง”
พึ่งรู้ตัวเหมือนกัน ว่าสกิลมารราคะมีผลกับร่างกายผมมาก เมื่อก่อนยิ่งมีเซ็กส์ยิ่งรู้สึกแข็งแรง แต่ตอนนี้มีทั้งความล้าและอ่อนเพลียหลังเสร็จกิจเพิ่มมาแทน แต่ 3-4 รอบที่ว่าไปเนี่ย ก็เล่นเอาซารีถึงกับหน้าซีดและสั่นกลัวขึ้นมา
“ข ขืนทำเยอะแบบนั้น น้องสาวฉันแหลกกันพอดี”
เธอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าผ่านรอบแรกมาได้ ก็ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ แค่อาจจะระบมนิดหน่อย”
และก็ตามที่ผมบอก ในรอบสองถึงจะยังเจ็บอยู่บ้าง แต่ความเจ็บหายไปเร็วกว่ารอบแรก และซารีก็เริ่มสนุกกับการมีเซ็กส์ พวกเราย้ายจุดไปทั่วห้อง ทั้งกับพื้น ทั้งบนเก้าอี้ เล่นกันแทบทุกท่าเท่าที่ร่างกายเธอจะอำนวย แต่ที่เธอชอบมากสุดก็ไม่พ้นท่านอนและโน้มท่อนล่างเธอขึ้นมา เพราะท่านี้ผมจะเลียเท้าเธอได้ถนัดสุด แต่ในรอบนี้เธอใช้แขนรัดเอวผมไว้แน่น ไม่ยอมให้ดึงดุ้นออก ผมเลยเผลอหลั่งข้างในเธอไป แต่นอกจากจะไม่ว่าอะไร เธอยังทำหน้าฟินแถมลิ้นห้อยออกมาแล้ว แต่คงไม่ท้องหรอกมั่ง สกิลมารราคะ Off อยู่นี้
จากนั้นผมก็ต่อรอบสามทันที แต่สติของซารีกระเจิงไปแล้ว แขนขาเธอไร้เรียวแรง สภาพเหมือนหุ่น
กระบอกโดนตัดสาย มีแต่เสียงร้องเท่านั้นแหละที่ยังคงตอบสนองอย่างดีเยี่ยม แถมรอบนี้ขยับได้ง่ายขึ้นมาก เพราะมีนํ้าเชื้อผมท่วมภายในถํ้าอยู่
เสียดายอย่างเดียวหาจุดระดับ 5 ของซารีไม่เจอ ไม่งั้นคงทำให้เธอพึงพอใจได้มากกว่านี้แล้ว แต่ระหว่างที่ใกล้จะเสร็จ ผมก็มองหน้าที่แสนเร้าอารมณ์ของซารีไป พร้อมกับที่นึกอะไรขึ้นมาได้
ผมเจอแล้วไม่ใช่เหรอ จุดระดับ 5 จุดที่เธอมีการตอบสนองมากที่สุด…ก็ตอบที่จูบเธอในตอนแรกไง พอลิ้นผมขยับเข้าไปยังไม่ทันได้แตะ เธอก็หันหน้าหลบออกมาทันที ใช่ จุดระดับ 5 ของเธออยู่ภายในปาก ไม่ใช่ลิ้น ก็ต้องเป็นเพดานปาก
แถมตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะลอง เพราะซารีหมดสภาพจะขัดขืนหรือต่อต้านแล้ว ถ้าจะว่าผิดเงื่อนไข มันก็ผิดตั้งแต่เธอปล่อยให้ผมหลั่งข้างในแล้ว
ผมเลยรอจนเข้าสู่ช่วงไคลแมกซ์ในรอบสาม ตอนที่เธอกำลังอ้าปากส่งเสียงร้องออกมาดังๆ นั้นเอง ผมก็ตรงเข้าไปประกบปากทันที อย่างที่คิด จุดระดับ 5 ของซารีคือลิ้น แค่พันลิ้นใส่ ร่างกายเธอก็บีบรัดผมอย่างรุนแรง นิ้วเธอจิกหลังผมจนเนื้อหลุดแล้ว ยิ่งภายในถํ้าเธอนี้ตอดดุ้นผมถี่ๆ เหมือนจะเร่งให้เสร็จให้ได้
แต่ซารีไม่เคยเจอมามีเซ็กส์แบบนี้มาก่อน การโดนกระตุ้นจุดระดับ 5 ตอนที่จะเสร็จ มันรุนแรงเกินไปสำหรับเธอ ตาเลยกรอกขึ้นจนเหลือแต่ตาขาวเลย และขนาดสลบไปแล้ว ตัวเธอยังไม่หายกระตุก ถํ้าเธอบีบ
รัดจนฉีดนํ้าเชื้อผมที่ค้างอยู่ออกมาเป็นสาย ตอนแรกนึกว่าถํ้าเธอจะอ้าค้างจนหุบไม่ลงแล้วซะอีก
แต่รอบสามนี้คงถึงลิมิตของซารีแล้ว การที่ไม่มีสกิลคอยเตือนนี้ก็ลำบากเหมือนกันแฮะ หวังว่าคงไม่ได้ทำเกินไปหรอกนะ
ผมปล่อยให้ซารีได้นอนพัก ขณะที่เอาหนังสือที่อยู่ในชั้นมาอ่านฆ่าเวลา แต่เพราะในห้องไม่มีเตียง จะปล่อยให้เธอนอนที่พื้นก็กระไรอยู่ ผมเลยอุ้มเธอขึ้นมา แล้วไปนั่งที่เก้าอี้และให้เธอนอนอิงตัวผมไว้
หนังสือที่อ่านก็ไม่ได้เป็นของต้องห้ามอะไรหรอกมั่ง แค่เป็นนิทานเก่าแก่ประจำเมือง แถมไม่มีภาพประกอบเลย
ผมอ่านจบไปสองเล่ม ซารีก็ฟื้นขึ้นมา
“…นี้ฉันหลับไปนานแค่ไหน”
“เกือบๆ ชั่วโมงหนึ่งได้”
“ในหัวเบลอไปหมด แถมร่างกายก็ไม่มีแรงเลย…ขออยู่แบบนี้ไปอีกสักพักนะ”
“ตามสบายครับ”
ผมตอบและอ่านหนังสือต่อ เป็นนิทานที่สนุกใช้ได้เลย แถมเป็นซีรี่ย์ที่มีหลายเล่มด้วย เดี๋ยวไว้ให้มิรินซื้อมาเก็บที่ห้องสมุดในคฤหาสน์ด้วยดีกว่า
แต่ถึงจะอ่านหนังสืออยู่ ผมก็ไม่ลืมจะทำหน้าที่หรอกนะ ผมคอยกอดซารีเบาๆ และลูบหัวเธอในบางครั้ง เพราะการสกินซิฟหลังเสร็จกิจสำคัญกว่าตอนมีเซ็กส์ซะอีก มันจะสร้างความอบอุ่นและความสุขใจให้กับฝ่ายหญิงเป็นอย่างมาก
ถึงตอนแรกซารีจะอาย ทำได้เพียงแค่เกร็งตัวแข็ง แต่พอผ่านไปสักระยะ เธอก็เริ่มกอดผมบ้าง
พอเรียวแรงซารีเริ่มกลับมา เธอก็เงยหน้าขึ้นมองผม ตาของเธอนี้เยิ้มเลย
จริงๆ ผมควรจูบเธอนะ แต่ว่าจุดระดับ 5 ของเธอดันอยู่ที่ลิ้น ผมเลยเลี่ยงมาเป็นหอมแก้มเธอแทน แต่แค่นี้ก็เล่นเอาซารีกระโดดออกจากตัวผมไปเหมือนแมวไม่มีผิด
“อย่ามาล้อผู้ใหญ่เล่นแบบนี้สิ!”
“ฮะๆ ถ้าคุณชอบก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี้ครับ”
ผมเองก็ลุกขึ้นมาแต่งตัว แต่พอซารีเห็นรอยตามตัวผมก็ถึงกับตกใจ ก็เธอเล่นฝากรอยแผลไว้เต็มตัว สภาพไม่ต่างจากพึ่งผ่านศึกกับมอนสเตอร์มา
“จ เจ็บสินะ”
“แค่นี้สบายมากครับ คุณซารีเองก็น่าจะเจ็บกว่าผมหลายเท่าเลย”
ใช่ เพราะตอนนี้แค่ยืนเธอยังขาสั่นเลย แถมยังยืนขาถางๆ ด้วย
“ว่าแต่ ผลเป็นอย่างไงบ้างครับ”
“…”
พอผมถามผลลัพธ์ไป ซารีก็ทำหน้าคิดหนักเลย เหมือนเธอกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างในใจ
“ก ก็นะ เป็นเซ็กส์ที่ไม่เลวเลย พ พอจะยอมรับได้อยู่ ไม่แปลกหรอกที่มอเรียจะหลงใหลคุณขนาดนั้น”
“แฮะๆ ยังไม่ดีพอสินะครับ”
“ไม่ๆ ฉันหมายถึง…”
ผมรู้แล้วล่ะว่าเธอชอบมันมากแค่ไหน แต่ก็รู้อีกว่าเธอกำลังรักษาหน้าตัวเองด้วย เลยต้องทำเป็นปากแข็งและฝืนใจตัวเอง แต่เพราะแบบนี้เลยยิ่งน่าแกล้งไปใหญ่
“งั้นคราวหน้าผมจะทำให้ดีกว่านี้อีกครับ”
“อ อืม ใช่แล้ว คราวหน้าก็พยายามเข้านะ”
ถึงจะพูดวางมาด แต่รู้ตัวไหมนั้นว่าตัวเองเผลอยิ้มออกมาแล้ว
“แล้วก็นี้ครับ”
ผมหยิบเอาหลอดยาที่ใส่นํ้าเชื้อออกมา และส่งให้กับซารีไป เธอรู้ว่ามันคืออะไรแต่ก็รับไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ใช้ทาจุดที่เจ็บนะครับ มันจะช่วยรักษาและคืนสภาพร่างกายให้ทันที ถ้าใช้ทาจุดที่เป็นแผลเป็น รอยแผลก็จะหายไปด้วย และถ้าดื่มเข้าไป…ตาของคุณก็จะกลับมาใช้ได้ตามปกติ”
“นี้สินะ ผลของสกิลมารราคะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมรับประกันเลย ว่าไม่มีการใส่เสน่ห์อย่างแน่นอน ถ้าไม่เชื่อจะเอาไปลองใช้กับคนอื่นดูก่อนก็ได้ครับ”
“ไม่หรอก ฉันเชื่อแล้วว่าคุณโรมะไม่ได้ใช้สกิลมารราคะเพื่อวางเสน่ห์ใคร”
“ยอมเชื่อแล้วสินะครับ ดีจัง”
“เพราะไม่ต้องใช้ทุกคนก็หลงเสน่ห์แล้ว”
ผมเห็นซารีงึมงำกับตัวเอง แย่แฮะพอไม่มีสกิลมารราคะประสาทสัมผัสผมทื่อลงหมด แม้แต่การได้ยินก็ตาม
“แต่ว่า”
ซารีส่ายหน้าเพื่อปรับความคิด ก่อนจะกลับมาจริงจังอีกครั้ง
“เรื่องที่คุณเกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจ ฉันคงไม่สามารถมองข้ามไปได้หรอกนะ”
“…ช่วยไม่ได้ล่ะนะ อย่างไงทัศนคติก็ยังไม่ตรงกัน”
“หมายความว่าอย่างไง?”
สงสัยผมใช้คำยากไป ซารีเลยทำหน้าสงสัย
“เอาเป็นว่า ผมยอมรับก็ได้ครับว่าเกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจ แถมพอมีอำนาจอยู่บ้าง”
คงไม่ผิดหรอกมั่ง ถึงส่วนใหญ่อำนาจจะอยู่ที่มุเอมะก็เถอะ
“ฉะนั้น คำพูดของผมจึงมีนํ้าหนักพอจะทำให้คุณซารีเชื่อถือได้ ผมให้สัญญาครับ ตราบใดที่ผมอยู่ที่เมืองนี้ เผ่าปีศาจจะไม่รุกรานหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับเมืองกรอซ่าเด็ดขาด”
“…จะให้เชื่อถือได้เหรอ ทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้วัตถุประสงค์ของคุณเลย”
“ที่ผมบอกไปเป็นเรื่องจริงครับ ผมแค่มาที่นี้เพื่อเป็นนักผจญภัย และผมก็ชอบเมืองนี้ด้วย เพราะมีผู้หญิงดีๆ แบบคุณซารีอยู่ไงล่ะ”
“ถึงจะปากหวานฉันก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ”
ไม่ใจอ่อนเหรอ? แต่หน้าแดงไปหมดแล้วนะ
“คุณเป็นเผ่าปีศาจ ถ้าต้องการผู้หญิงก็สามารถลักพาตัวไปก็ได้ แบบนั้นไม่ง่ายกว่าเหรอ”
“แล้วคุณซารีคิดว่าผมเป็นคนที่ทำแบบนั้นได้เหรอครับ”
พอโดนผมย้อนถามซารีก็ถึงกับผงะ ผมเชื่อว่าเธอรับรู้ถึงความอ่อนโยนที่ผมมอบให้ได้
“…นั้นสินะ”
“อีกอย่างนะครับ เผ่าปีศาจในตอนนี้ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ส่วนจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไงนั้น คุณซารีลองส่งคนเข้าไปที่แดนปีศาจดูก็จะรู้เอง”
“เปลี่ยนไปงั้นเหรอ…ก็นะ กรอซ่าเองก็อยู่ห่างจากแดนปีศาจตั้งไกล บางทีฉันอาจจะตกข่าวก็ได้ เอาเป็นว่า ฉันจะยอมรับในตัวคุณ และปล่อยให้อยู่ในเมืองนี้ต่อไปได้ แต่จำไว้ ฉันจับตาดูคุณอยู่นะ”
“เข้าใจแล้วครับ แต่จะมาดูใกล้ๆ ก็ได้นะ คราวหน้าเดี๋ยวผมจะโชว์ให้ดูว่าสกิลมารราคะทำอะไรได้บ้าง”
เอ๋? แล้วทำไมจู่ๆ หน้าซีดขึ้นมาได้ล่ะนั้น
“ไม่ไหวหรอก! แค่นี้ก็เกือบทำฉันคลั่งแล้ว!”
เหมือนซารีพึ่งรู้ตัว เลยรีบปิดปากตัวเองไว้ และกลับมาทำหน้าขรึม
“คุณซารี ตอนอยู่กันสองต่อสอง ไม่ต้องรักษาภาพก็ได้ครับ ปลดปล่อยตัวเองออกมาได้ตามใจชอบเลยครับ”
“…”
ซารีมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเหลือบตามองดูผม
“ฉันทำไม่ได้หรอก อายุตั้งปูนนี้แล้ว ยังจะมาทำตัวเป็นเด็กสาวได้อย่างไง”
“แต่ตอนอยู่กับผม คุณก็เป็นสาวน้อยสำหรับผมนะครับ”
“…ไม่รังเกียจคนแก่เหรอ อีกไม่กี่ปีฉันก็เหี่ยวแล้วนะ”
“ฮะๆๆ ถึงเหี่ยวแต่ก็แค่ภายนอกครับ ข้างในตัวคุณยังมีจุดดีอีกตั้งเยอะที่จะไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา”
อ่ะ แต่ลืมบอกไปแฮะ ถ้าใช้ซูปเปอร์แยมขาวของผม ก้ลืมเรื่องเหี่ยวไปได้เลย
“…บ บอกไว้ก่อนนะ ที่ยอมเนี่ย เพราะไม่อยากปฏิเสธนํ้าใจของคุณต่างหาก”
ยังจะปากแข็งถึงที่สุดจริงๆ แต่ว่าพอพูดจบซารีก็ตรงเข้ามากอดผมทันที
จากนั้นพวกเราก็คุยอะไรกันอีกหลายเรื่อง และตกลงจะเลิกเรียกกันแบบสุภาพหรือเป็นทางการด้วย
โดยตลอดเวลาที่คุยกัน ซารีไม่ยอมลุกจากตักผมเลย และทำตัวอ้อนตลอดเวลา กว่าจะกลับออกมาจากห้องใต้หลังคา หรือต้องบอกว่าเป็นห้องทำงานหัวหน้ากิลนักผจญภัย ก็เป็นช่วงเย็นซะแล้ว แต่เท่านี้ผมก็อยู่ในเมืองนี้ต่อไปได้อย่างสบายใจสักที เพราะถึงซารีจะรู้แล้วว่าผมเป็นเผ่าปีศาจ เธอก็ยอมให้อยู่ในเมืองต่อไปได้ ซึ่งก็แปลว่าเธอเป็นคนที่ยอมเปิดใจได้ในระดับหนึ่ง
ผมว่าอนาคตของเผ่าปีศาจเริ่มจะสดใสขึ้นมาบ้างแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น