ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 126 - 128 By Kumao






ตอนที่ 126 สิ่งที่เคลื่อนไหวใต้เงาของเปลวไฟ

ช่วงเย็นในวันเดียวกันกับที่รับสัมภาษณ์ ผมก็ชวนดาเซส เอร่า กับเดเม่เข้าไปในเมืองกัน ถึงคนดูจะมีจำนวนปกติ แต่บรรยากาศไม่ดีเลย
ผมเองก็โดนมองแบบเคย แต่คราวนี้รู้สึกถึงสายตาที่มีความมุ่งร้ายมาด้วย
“โรมะ”
“อืม ผมรู้แล้วไม่เป็นไร”
ดาเซสเองก็รู้สึกได้ถึงอันตรายเหมือนกัน แต่นี้แหละที่ผมอยากจะมาเห็น
ผลกระทบจากการเปิดโรงแรม ที่ทำลายระบบเศรษฐกิจพื้นฐานของเมืองนี้ไป ถ้ายังไม่เห็นภาพ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ
เช่นว่าแต่เดิมร้านค้าร้านอาหารและโรงแรมในเมืองนี้ เสมือนหนึ่งร้ายค้าโชห่วยที่อยู่หมู่บ้านมาหลายต่อหลายรุ่น อยู่มาวันหนึ่งก็เจอโรงแรมของผม ที่เสมือนเป็นห้างครบวงจรมาตั้งอยู่ข้างๆ และดูดเอาทั้งคนและเม็ดเงินที่หมุนเวียนไปจนหมด จนสุดท้ายพวกร้านค้าโชห่วยก็อยู่ไม่ได้จนต้องปิดตัวไปหมด
สิ่งนั้นแหละที่กำลังเกิดขึ้นกับเมืองนี้ โดยมีผมเป็นวายร้ายที่มาสร้างห้างทำลายระบบเศรษฐกิจ
ไม่สิ ที่ผมทำมันเลวร้ายกว่าอีก เพราะผมเปิดโดยไม่สนเรื่องกำไร ทำให้สามารถกดราคาไปจนถึงขีดตํ่าสุดของราคาต้นทุนได้ แต่กับพ่อค้าแม่ค้าที่ทำมาหากินโดยหวังกำไร ไม่มีทางจะมาสู้กับความบ้าคลั่งบ้าพลังของโรงแรมยูโทเปียได้เลย
…แต่ผมจะแก้ไขมัน เพราะผมเข้าใจความเจ็บปวดของคนทำมาหากิน เข้าใจความเจ็บชํ้าของบรรดาร้านโชห่วยที่ต้องปิดตัวเองไป เพราะไม่สามารถแข่งขันกับอำนาจเงินของนักลงทุนได้ ผมจะสร้างสังคมที่ทุกคนอยู่รอดได้โดยไม่มีการทำลายกันเอง มันคือเรื่องเพ้อฝัน แต่นี้ผมกำลังอยู่ในโลกที่สามารถจะทำเรื่องเพ้อฝันได้ไม่ใช่เหรอ
“เดเม่”
ผมยื่นมือไปหาเดเม่ ซึ่งเธอก็ขานรับพร้อมกับหยิบถุงเงินออกมา
ผมมองหาทำเลเหมาะๆ ซึ่งตรงย่านร้านค้ามีรูปปั้นม้าศึกอยู่พอดี ผมเลยกระโดดขึ้นไปยืนบนนั้นพร้อมกับตะโกนให้ดังที่สุด
“ไอ้พวกห่วยแตกทั้งหลายฟังทางนี้! ฉันคือเจ้าของโรงแรมยูโทเปีย ซึ่งคิดว่าพวกแกคงรู้จักกันอยู่แล้ว และในถุงนี้มีเงินอยู่หนึ่งล้านรีล! ฉันของท้าพวกแกแข่งทำอาหาร ถ้าใครชนะฉันได้เอาเงินในถุงนี้ไปได้เลย”
“ว่าไงนะไอ้เวร!”
“มาหาเรื่องถึงถิ่นแบบนี้ ฆ่าแมร่งเลย!”
เสียงร้องสาปแช่งและขู่ฆ่าดังมาจากทั่วสารทิศ อืม ขั้นแรกได้ผลดึงดูดความสนใจได้แล้ว และก็มีเหยื่อรายแรกที่มาติดกับ
“ข้าจะแข่งกับแกเองไอ้สารเลว ว่ามาจะแข่งทำอาหารแบบไหน”
“แข่งทำอาหารที่ร้านแกทำไงล่ะ เงื่อนไขง่ายๆ ฉันจะชิมอาหารร้านของแก จากนั้นก็ให้มาแข่งทำอาหารชนิดนั้นพร้อมกัน แล้วมาตัดสินกันว่าของใครอร่อยกว่ากัน”
“ฮ่าๆๆ งั้นแกเตรียมแพ้ได้เลย ข้าทำแป้งแผ่นคลุกไก่ย่างมาเกือบสามสิบปีแล้ว ไม่มีทางแพ้แกแน่!”
“เหรอ ถ้ามั่นใจแบบนั้นก็ลองเอามาชิมหน่อยสิ”
แป้งแผ่นคลุกไก่ย่าง เป็นอาหารที่นำแป้งแผ่นมานวดเข้ากับเนื้อไก่สับละเอียดแล้วเอามาคลี่ออกเป็นแผ่นกลมๆ แล้วยางบนเตาถ่าน มันจะให้กลิ่นหอมและความกรุบกรอบ สามารถถือเดินกินได้
แต่มันยังเป็นอาหารที่มีจุดอ่อน!
หลังจากได้ชิมแล้ว ก็เริ่มการแข่งกันทันที โดยใช้วัตถุดิบแบบเดียวกัน ทว่าผมเปลี่ยนขั้นตอนการทำ ด้วยการนำหนังไก่มาทุบให้ละเอียด ก่อนจะนำเอาไปนวดรวมกับแป้ง เพราะจุดอ่อนของเดิม ก็คือส่วนแป้งที่ติดกับเนื้อไก่มันจะแฉะ แถมเนื้อไก่ก็แห้งไร้รสชาติ และการที่ผมใช้หนังไก่มันจะช่วยเพิ่มความกรอบให้เวลากัด รสชาติก็จะประสานเข้ากับแป้ง
“น นี้มัน!”
หลังจากแลกกันชิมแล้ว พ่อค้าขายแป้งแผ่นคลุกไก่ย่างก็ทำหน้าซีดขึ้นมา คงรู้ตัวแล้วว่าของที่ผมทำมันต่างกันตรงไหน แต่ถ้ายอมรับก็เท่ากับแพ้ เขาเลยหาข้ออ้างออกมา
“ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลย! รสชาติมันก็เหมือนๆ กันนั้นแหละ”
“งั้น ลองให้คนที่เชี่ยวชาญเรื่องรสชาติมาตัดสินไหม”
“เอางั้นก็ได้!”
“งั้น เอร่าเธอลองชิมดูแล้วอธิบายความต่างให้ทุกคนฟังด้วย”
“ด เดี๋ยวสิ! นี้มันคนของแก อย่างไงก็ต้องตัดสินเข้าข้างกันอยู่แล้ว ข้าไม่ยอม”
“เข้าข้าง? เจ้าหนูฉันคือเทพเอร่า หนึ่งในสิบเทพสูงสุด คิดจะดูหมิ่นการตัดสินจากเทพอย่างฉันเชี่ยวเหรอ!”
เอร่าของขึ้นเป็นด้วยแฮะ ถึงเป็นแมวก็มีเวลาที่อารมณ์เสียสินะ
“ก็ตามนั้นแหละ เอร่าน่ะจะตัดสินอย่างยุติธรรม ที่สำคัญลิ้นของเธอรับรสได้ดี อย่างไงก็ไม่โกหกความรู้สึกตัวเองหรอก”
ก็เอร่าน่ะกินอาหารของผมมาแทบทุกชนิดแล้ว แถมยังเที่ยวตระเวนหาของกินในเมืองอีก สัมผัสของลิ้นเธอสามารถเชื่อถือได้
“ชิ เอาแบบนั้นก็ได้”
จากนั้นผมก็ให้เอร่าชิมทีล่ะชิ้น โดยเริ่มจากของต้นตำรับก่อน
“หอมและก็กรอบอยู่หรอก แต่เนื้อไก่เนี่ยทำเสียอารมณ์เลย ทั้งแห้งทั้งไร้รสชาติ แป้งตรงรอบๆ เนื้อไก่ก็เละด้วย เคี้ยวแล้วรู้สึกแหยะๆ ในปาก”
“จะว่าไปข้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
“เอ่อ ข้าก็ด้วย ปกติเลยกินแต่แป้งตรงขอบๆ เท่านั้น”
คนที่มุมดูพอได้ยินคำวิจารณ์ของเอร่าแล้ว ก็ต่างแสดงความคิดเห็นที่ตรงกันออกมา
“ส่วนของโรมะ”
เอร่ากัดของผมไปคำหนึ่ง แต่ยังไม่พูดอะไรออกมา แต่กินต่อจนหมดอันก่อนจะยอมง้างปากพูดได้
“อร่อย! กรอบจนเคี้ยวเพลินเลย! ระหว่างเคี้ยวก็จะได้รสชาติของไก่ไปด้วย”
“ด เดี๋ยวสิ มันจะอร่อยได้อย่างไง ก็ในเมื่อใช้วัตถุดิบแบบเดียวกัน”
พ่อค้าแป้งแผ่นตรงเข้ามาถามทันที
“เพราะผมใช้หนังไก่ไงล่ะ หนังไก่จะกักเก็บรสชาติได้ดีกับเนื้อไก่ ซํ้าเวลาโดนความร้อนจะปล่อยนํ้ามันออกมา ซึ่งนํ้ามันนั้นแหละเป็นตัวเพิ่มรสชาติ และผมยังนำไปทุบและนวดผสมจนเป็นเนื้อเดียวกับแป้ง ทำให้เวลาย่าง จะไม่มีส่วนที่เละๆ ออกมา”
“น น่าอร่อยแฮะ”
คนที่มุงดูแค่ได้ฟังผมพูดก็เริ่มนํ้าลายไหลออกมา
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก”
ผมทำแป้งแผ่นออกมาอีกอันหนึ่ง คราวนี้ผมไม่ได้ใช้หนังไก่ แต่ใช้เนื้อไก่ทำตามแบบเดียวกับสูตรต้นตำรับ เพียงแต่…ผมปรุงและนำเนื้อไก่ไปย่างไฟก่อนรอบหนึ่ง และหันเนื้อไก่ให้ชิ้นหนากว่าเดิม ก่อนจะนำมาคลุกเข้ากับแป้ง
“ทุกคนลองชิมดู”
ผมทำแบ่งให้ทุกคนลองชิมดู
“อ อร่อยยยย!”
ทุกคนตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“ทำไมกัน! ทั้งๆ ที่เป็นอาหารแบบเดียวกันแท้!”
“ทำไมน่ะเหรอ เพราะแกไม่เคยใส่ใจลูกค้าเลยไงล่ะ!”
“ส ใส่ใจ?”
“ถ้าใส่ใจก็ต้องรู้จุดอ่อนของอาหารตัวเอง และก็จะสามารถคิดหาวิธีแก้ไขจุดอ่อนได้ อาหารของผมที่อร่อยกว่าเพราะผมแก้ไขจุดอ่อนในอาหารไงล่ะ!”
“แกก็เหมือนกันตาลุงที่เป็นพ่อครัวอาหารชุด แกเคยออกมาจากครัวดูหน้าลูกค้าบ้างไหม ไอ้ซุปนํ้าล้างตีนของแกน่ะคนกินเขาไม่เคยแตะกันเลยรู้ตัวหรือเปล่า”
“แกก็อีก ไอ้อาหารหรูราคาแพงของร้านแก มันก็แค่สักแต่ใช้วัตถุดิบแพงๆ แต่ไม่เคยใส่ใจการปรุงรสชาติเลย ไสหัวกลับไปกราบขอโทษพวกวัตถุดิบในห้องครัวเลยไป๊!”
จากนั้นผมก็ชี้ด่าเรียงตัว ใครไม่พอใจก็ให้มาท้าแข่งทำอาหารกับผม ซึ่งล้วนแต่โดนผมตอกหน้าแหกไปทุกราย มันทำให้ผมได้ฉายาใหม่ในถนนย่านการค้า พวกเขาเรียกผมว่าพ่อครัวหมาบ้า
แต่ว่าการกระทำของผมได้สร้างความโกรธแค้น ให้กับบรรดาร้านค้าและเหล่าพ่อครัวแม่ครัว จนต่างขว้างปาสิ่งของเพื่อขับไล่ ตัวผมที่เปื้อนไปด้วยเศษอาหารที่ถูกปาใส่ เดินกลับออกมาจากย่านการค้า โดยมีพวกดาเซสเดินตามมาข้างๆ
“…ทำแบบนั้นไปทำไมเหรอโรมะ ไม่สมกับเป็นนายเลยนะ”
“โทสะเป็นแรงกระตุ้นชั้นเลิศ ผมแต่ไปจุดไฟให้พวกเขา”
“แต่ไฟที่นายจุดมันลามมาเผาตัวนายเองนะ”
“ไม่เป็นไร เพราะผมชอบเล่นกับไฟ”
“แต่ว่าเท่านี้พวกเขาก็จะรู้วิธีพัฒนาอาหารของตัวเองขึ้นแล้วสินะ”
เอาร่าเหมือนจะเข้าใจวัตถุประสงค์ของผมได้
“ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเขา”
“หรือว่าที่นายท่านทำไปตะกี้ก็เพื่อสอนพวกเขาทำอาหารเหรอคะ!?”
เดเม่กลับพึ่งเข้าใจ เพราะเธอเอาแต่โกรธหน้าดำหน้าแดง ถ้าผมไม่สั่งไว้ก่อนว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามลงมือ มีหวังได้ย้อมถนนด้วยเลือดแน่ๆ
“คนทำอาหารน่ะ จะมีทิฐิของตัวเองอยู่ ถ้าเดินเข้าไปบอกให้ทำตาม ไม่มีใครจะยอมทำหรอก เพราะต่างคิดว่าอาหารของตัวเองอร่อยอยู่แล้ว มีแต่ต้องทำแบบนี้เท่านั้นแหละพวกเขาถึงจะเข้าใจ”
“ทั้งๆ ที่นายท่านทำเพื่อพวกนั้น แต่พวกมันกลับ!”
“ไม่เอาน่าเดเม่ เพราะผมตั้งใจให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว พวกเขาไม่ผิดหรอก ที่สำคัญเพราะโรงแรมของ
พวกเราสร้างความลำบากให้กับพวกเขา มันก็สมควรอยู่แล้วกับสิ่งที่พวกเขาทำ”
“…นายท่าน”
จู่ๆ ทั้งสามก็เข้ามากอดผมกลมเลย เขินๆ แฮะ
“อะ อืม ไม่ต้องมาโอ๋ก็ได้ ผมไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรหรอก”
“ถึงความแสนดีของนายท่านจะไม่มีใครรู้ แต่พวกเราขอจดจำจนวันตายค่ะ”
“ข ขอบคุณ”
ขอบอกก่อนะ ผมไม่ได้แกล้งส่วมบทเป็นวายร้ายหรอก ก็ผมนะ…เป็นสุดยอดวายร้ายที่เรียกว่าจอมมารอยู่แล้วไงล่ะ
และผลจากเชื้อไฟที่ผมโยนลงไป ก็ทำให้ย่านการค้าค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา บางคนปรับเปลี่ยนสูตรอาหารจนกลายเป็นอาหารเลื่องชื่อขึ้นมาได้ บางคนรวมกลุ่มกันเพื่อพัฒนาฝึกฝนทักษะการทำอาหาร จนเปิดเป็นโรงเรียนสอนทำอาหารในที่สุด ถึงขนาดมีการขโมยสูตรอาหารจากโรงแรมยูโทเปียมาทำกันอย่างเปิดเผย แต่ที่แน่ๆ คือเกิดความสามัคคีและมีการรวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นของย่านการค้า จนกลายเป็นคู่แข่งแย่งลูกค้ากันกับทางโรงแรมยูโทเปียได้อย่างสูสี แต่ผลกระทบที่ว่ายังเปลี่ยนให้เมืองกรอซ่ามีอีกชื่อเรียกหนึ่ง นอกเหนือจากเมืองแห่งนักผจญภัย ซึ่งก็คือ เมืองแห่งอาหาร
แต่ขณะที่โลกธุรกิจเบื้องหน้า กำลังลุกไหม้ด้วยการแข่งขันกันอย่างดุเดือด โลกธุรกิจเบื้องหลังก็เริ่มเคลื่อนไหวใต้เงาของเปลวไฟ
ภายในห้องลับใต้เมืองกรอซ่า ตอนนี้ได้มีผู้คนมากมายมารวมตัวกัน รอบโต๊ะประชุมทรงกลม
“ดูเหมือนโรมะจะสร้างปัญหาให้พวกเราอีกแล้วนะ”
“คราวนี้ถึงกับสร้างโรงแรมเพื่อมาทำลายพวกเราเลย”
“ทั้งๆ ที่ปล่อยข่าวลือแย่ๆ ออกไป ยิ่งกลับทำให้คนแห่ไปหามันมากขึ้นซะได้”
“เรื่องโรงแรมยูโทเปียก็น่ากังวลอยู่หรอก แต่พวกเรากลัวกังวลเรื่องลัทธิเทพเมฆาสวรรค์ ที่กำลังแพร่ระบาดในหมู่ทาสมากกว่านะ”
“ไม่ใช่แค่หมู่ทาสแล้ว มันลามไปถึงพวกครึ่งสัตว์ด้วย!”
“แล้วเรื่องที่มันเป็นผู้สนับสนุนโบสถ์ใหญ่ล่ะ”
“กลัวว่านั้นก็เป็นเรื่องจริง”
“บัดซบเอย! พวกเราปล่อยมันไว้นานเกินไปแล้ว”
“แต่จะจัดการซึ่งๆ หน้าอย่างไงล่ะ ขนาดกองกำลังของอาร์ดบิชอป ยังโดนมันเล่นงานจนหางจุกตูดกลับไปเลย”
“ถ้าพวกเรารวมพลังกันจะต้องบดขยี้มันได้อยู่แล้ว”
“เรื่องนั้นเห็นด้วย อีกฝ่ายเป็นแค่หนุ่มเจ้าสำราญที่รวมคนเก่งๆ มาไว้ในฮาเร็ม ขอเพียงเล่นงานให้ถูกจังหวะมันต้องเสร็จพวกเราแน่”
“งั้นเหล่าสหายพร้อมจะฟังข่าวดีแล้วหรือยัง”
“ข่าวดีอะไร?”
“กระผมได้ติดต่อเส้นสายในร้านแลกเปลี่ยนเงินแล้ว เลยทำให้รู้ว่าเงินส่วนใหญ่ของโรมะถูกเก็บไว้ที่นั้น กระผมจึงทำการเล่นแร่แปลธาตุให้เงินก้อนนั้นหายไปแล้ว…ฮ่าๆๆ”
“ฮ่าๆๆ นี้มันยังไม่รู้ใช่ไหม อยากเห็นหน้ามันตอนที่รู้จริงๆ”
“ช้าก่อน ถึงจะจัดการเงินเก็บของมันได้แล้ว แต่อย่าลืมว่ารายได้ที่โรงแรมยูโทเปียของมันก็มหาศาลอยู่นะ”
“ถ้าเรื่องนั้น ข้าดำเนินการไปบ้างแล้ว ตอนนี้ส่งลูกน้องบางส่วนทำตัวเป็นแขกเข้าไปพัก แค่ให้สัญญาณลงมือ โรงแรมยูโทเปียก็จะมอดไหม้ในทันที”
“ฮ่าๆๆ คิดตรงกันเลย ฉันเองก็กำลังส่งคนเข้าไปในคฤหาสน์ของมันเหมือนกัน งานนี้ฉันจะเล่นมันให้ซิบหายย่อยยับเลย ก๊ากๆๆ”
“สู้ทางฉันไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้ฉันได้ติดต่อกิลนั้นเพื่อให้มาช่วยแล้ว”
“กิลนั้น หรือว่า!”
“ค่ะ กิลมุเกนไงล่ะ แถมหัวหน้าที่ชื่อริกะจะมาด้วยตัวเองเลยนะ”
“แบบนี้ถ้ามันต้องตายแน่ๆฮ่าๆๆ”
“งั้นก็ประจวบเหมาะที่สุด พวกเรามากำหนดการลงมือให้ตรงกัน เอาให้มันรับมือไม่ถูกเลย”
“ตามนั้น และจากนี้ไปจะขอเสียงลงมติจากทุกท่าน”
“กิลการค้าเห็นด้วย!”
“กิลการโรงแรมเห็นด้วย”
“กิลช่างตีเหล็กเห็นด้วย”
จากนั้นทั้ง 21 กิลก็ลงมติออกมาเป็นเอกฉันท์ จนเหลือเพียงแค่คนเดียวที่ยังไม่ได้ลงมติ ทุกคนจึง
มองไปยังหญิงสาวที่ใส่ผ้าคลุมเปิดใบหน้าเพียงแค่ครึ่งเดียว
“…กิลนักผจญภัย…เห็นด้วย”

ตอนที่ 127 ความรู้สึกที่ถูกทำร้าย

บนยอดไม้เหนือป่าใกล้กับกรอซ่า ได้มีเงาเคลื่อนไหวราวกับสายลม กระโดดจากยอดไม้หนึ่งไปสู่อีกที่ โดยที่ทำให้ยอดไม้ไหวเพียงเบาๆ เหมือนมีโดนลมพัดเบาๆ
เด็กสาวหยุดการเคลื่อนไหวลง ขณะใช้ปลายเท้ายืนอยู่บนใบไม้ มองไปข้างหน้าราวกับจะตรวจดูทิศทางลม ขณะเดี๋ยวกันนกที่ถูกทำมาจากกระดาษก็บินลงมาตรงหน้าเธอ
“หัวหน้าริกะ ได้ข้อมูลมาแล้วครับ”
“โคเฮย์เหรอ ฉันใกล้จะถึงกรอซ่าแล้ว ทางนายได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง”
“เป้าหมายที่สภาใต้ดินว่าจ้างมา มีชื่อว่าโรมะจริงๆ ด้วยครับ”
“มีรูปของเขาไหม!”
“ผมให้ลูกน้องไปหามาจนได้มาแล้วครับ จะส่งให้ดูเดี๋ยวนี้”
แล้วนกกระดาษก็คลายตัวออก กลับเป็นกระดาษธรรมดาแผ่นหนึ่ง ก่อนจะมีภาพดินสอปรากฏขึ้นมา เมื่อกำลังมีมือที่มองไม่เห็นวาดอยู่
“…แน่ใจว่าไม่ผิดตัวนะ โคเฮย์”
“ไม่ผิดแน่นอนครับ ข้อมูลมาจากกิลนักผจญภัยเองเลย ผมเองก็ลองตรวจสอบดูแล้ว”
“เจ้านี้…ไม่ใช่โรมะที่ฉันตามหาอยู่”
“งั้นจะให้ถอนตัวเลยไหมครับ อย่างไงก็เป็นแค่การรับปากแบบปากเปล่าอยู่แล้ว”
“เดี๋ยว นอกจากหน้าตาแล้ว ยังมีข้อมูลอื่นอีกไหม”
“ครับ เขาเริ่มปรากฏตัวที่เมืองกรอซ่าเมื่อราวสองเดือนก่อน และเริ่มต้นเป็นนักผจญภัยมือใหม่ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเลยครับ”
“สองเดือนก่อน…มันเป็นเวลาไล่เลี่ยกับตอนที่ฉันโดนส่งตัวกลับไปโลกเก่าพอดี โรมะเองก็ไม่มีสกิลที่ใช้เคลื่อนที่ในระยะไกลได้ จากแดนปีศาจไม่น่าจะมาไกลถึงกรอซ่าได้เร็วขนาดนั้น…หรือว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าปีศาจ”
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับหัวหน้าริกะ ข้อมูลจากพวกเผ่าปีศาจที่พวกเราจับมาทรมาน ต่างบอกเหมือนกัน ว่าไม่รู้จักมนุษย์ที่ชื่อโรมะเลยครับ บางทีเขาอาจจะ”
“หุบปากก่อน! ฉันกำลังใช้ความคิด”
ริกะย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนั้นโรมะน่าจะทำสัญญาสงบศึกกับปีศาจในปราสาทจอมมาร เขาเป็นคนที่พูดจาดีมีมารยาทและหัวไวสุดๆ คงคิดหาทางทำให้พวกปีศาจส่งพวกเรากลับ แต่หลังจากนั้นล่ะเกิดอะไรขึ้น
มีหลายความเป็นไปได้ หรือเขายอมสละแลกกับชีวิตตัวเอง ไม่ โรมะไม่ใช่คนที่จะยอมตายง่ายๆ เขาน่าจะชี้ให้เห็นผลเสียมากกว่า ว่าการสู้กับพวกเราจะมีแต่เสียกับเสีย แล้วหลังจากนั้น พอฉันถูกอันเชิญ
กลับมาอีกครั้ง…ปราสาทจอมมารก็ลอยกลับขึ้นไปบนฟ้าแล้ว เจ้าพวกที่อันเชิญมาก็บอกว่าเป็นเพราะจอมมารตัวจริงคืนชีพแล้ว
ถ้าเป็นแบบนั้นสัญญาที่โรมะทำไว้กับพวกปีศาจในปราสาท ก็จะเป็นอันสิ้นสุดลง เพราะคนที่มีอำนาจสูงสุดกลับมาแล้ว แต่โรมะต้องรู้ตัวก่อนแน่ๆ เขาคงเลือกที่จะหนีออกมาก่อน และเขาเองก็พูดเองว่าอยากจะลองเป็นนักผจญภัยดู แปลว่าต้องไปที่เมืองของทางดินแดนมนุษย์แน่นอน มั่นใจได้เลยว่าต้องเป็นแบบนั้น
แต่ปัญหาคือกรอซ่าอยู่ห่างจากแดนปีศาจมาก ต่อให้เป็นเวทมนต์เคลื่อนย้ายระยะไกล ก็ไม่น่าจะมาถึงนี้ได้ ถ้าคิดรวมกับนิสัยเรื่อยๆ สบายๆ ของโรมะไป
อีก เขาคงไม่รีบร้อนเดินทางแน่ เจ้าโรมะที่กรอซ่าอย่างไงก็ไม่ใช่คนที่เรากำลังตามหา
“ขอโทษด้วยนะครับ หัวหน้าริกะ แต่ผมอยากให้คิดเผื่อกรณีที่เขาตายไปแล้วด้วยนะครับ”
“หุบปากไปซะ! แกไม่รู้จักโรมะอย่ามาทำเป็นพูดดี อย่างเขาไม่ว่าจะเจอความยากลำบากแบบไหน ก็ต้องเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ที่พวกฉันอยู่รอดในปราสาทจอมมารได้ก็เพราะเขา แถมยังสอนให้ฉันใช้สกิลจนไร้ผู้ต้านทานได้อย่างทุกวันนี้อีก คนอย่างเขา…ไม่มีทางมาตายบนโลกบัดซบนี้หรอก!”
“ครับ! ทราบแล้วครับ! ผมจะไม่คิดถึงกรณีแบบนั้นอีกต่อไป”
ฟังจากนํ้าเสียงโคเฮย์ก็รู้ว่าริกะใกล้จะถึงจุดระเบิดแล้ว เลยรีบบอกออกมาอย่างหวาดกลัว
“ช่างเถอะ แล้วนอกจากนั้น ยังมีข้อมูลของเจ้าโรมะตัวปลอมอะไรอีกบ้าง”
“ครับ เจ้าตัวปลอมนั้นเห็นว่ามีเงินติดตัวตอนเข้าเมืองมาเยอะมาก ขนาดซื้อคฤหาสน์และทาสทันทีที่มาถึง ถึงจะตามสืบประวัติย้อนหลังไม่ได้ แต่ทางกิลนักผจญภัยคาดว่าเขาคงเป็นคุณหนูของเศรษฐีที่ไหนสักแห่ง แล้วหนีออกมาจากบ้านมาเที่ยวเล่นครับ”
“ถ้าเป็นโรมะตัวจริงเขาไม่มีเงินหรอก เพราะตอนอยู่ปราสาทจอมมารพวกเราไม่ต้องใช้เงิน เลยไม่ได้เก็บของมีค่าอะไรไว้สักอย่าง แค่นี้ก็แน่ใจได้เลยว่าเจ้านั้นไม่มีทางเป็นโรมะไปได้ แต่ว่าเรื่องทาส…”
ถ้าเป็นโรมะ…บางที
“ส่วนข้อมูลหลังจากนั้นค่อนข้างสับสนครับ”
“อย่างไง?”
“เพราะโรมะตัวปลอมสร้างฮาเร็มขึ้นมาครับ เห็นว่าซื้อพวกทาสมาบำเรอ ไม่ก็ไปหลอกลวงสาวๆ ที่ถูกใจมาโดยไม่สนใจวิธีการ แถมยังไปเกี่ยวข้องกับคดีใช้ความรุนแรงอีกหลายครั้ง ล่าสุดถึงขั้นไปมีเรื่องกับโบสถ์ใหญ่จนมีคนตายไปหลายสิบคนเลย เพราะแบบนี้สภาใต้ดินเลยอยากจะกำจัดมันซะ”
“เจ้านั้นมันทำแบบนั้นจริงเหรอ”
“ครับ ถึงจะรายงานจะมีขัดแย้งในบางส่วนจนดูสับสน แต่ทุกเหตุการณ์ล้วนแต่มีพยานยืนยันครับ”
“งั้นไม่ว่าอย่างไงฉันคงต้องไปที่กรอซ่าให้ได้แล้ว”
“หัวหน้าริกะ?”
“ไอ้ชั่วที่บังอาจใช้ชื่อโรมะทำเรื่องเลวทรามแบบนั้น ฉันไม่ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่แน่”
รังสีฆ่าฟันของริกะรุนแรงจนทำเอากระดาษที่ใช้สื่อสารกระจุยเป็นชิ้นๆ พวกนกในป่าต่างแตกตื่นจนพากันแตกหือขึ้นมา แต่ทว่าพอบินพ้นยอดไม้ ร่างของพวกนกก็เหลือแค่กระดูกและพุ่งตกลงสู่พื้นดิน
จากนั้นริกะก็กระโดดไปตามยอดไม้ต่อ เพื่อมุ่งหน้าสู่กรอซ่า เมืองที่กำลังจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสนามรบ
ขณะเดียวกัน ทางโรมะก็ได้เริ่มเปิดโรงเรียนอย่างเป็นทางการสักที นักเรียนที่มาสมัครกับนักเรียนทุนมี 33 คน บวกกับทาสเด็กของผมอีก 7 คนรวมเป็น 40 คนพอดี โดยจะแบ่งเป็นสองห้องแยกตามพื้นฐานของแต่ละคน ใครที่พออ่านออกได้นิดหน่อยก็ให้ไปอยู่ห้องเด็กเรียนเร็ว อีกห้องก็สอนตั้งแต่พื้นฐานแต่ทาสของผมได้รับการสอนพื้นฐานจากโมอามาบ้างแล้ว เลยได้อยู่ห้องเด็กเรียนเร็วด้วยกันหมด
จริงๆ ตอนแรกทาสเด็กมีขอมาเรียนหนังสือเยอะกว่านี้ แต่ตอนหลังเปลี่ยนใจไปขอฝึกงานที่โรงแรมกันเกือบหมด
สิบคนที่มาสมัครเข้าเรียน ดูน่าเป็นห่วงนิดหน่อย เพราะมีตั้งแต่ลูกขุนนางขี้โอ๋ที่โดนเตะออกมาจาก
โรงเรียนอื่น ไปจนถึงพวกลูกพ่อค้าหน้าเลือด ที่กะส่งลูกหลานมาเรียนฟรี พวกนี้ดูไม่ค่อยมีความมุ่งมั่น
วันนี้เรียกว่าเป็นวันปฐมนิเทศ ยังไม่มีการเรียนการสอนอะไร แค่อธิบายว่าการเรียนการสอนจะมีอะไรบ้าง และให้นักเรียนทำความรู้สึกและปรับตัวเข้าหากัน พวกสิบคนที่มาสมัครพอรู้ว่าต้องเรียนกับทาสหรือครึ่งสัตว์ ก็พากันร้องยี่กันขึ้นมาทันที ไอ้พวกนี้ไม่ได้อ่านกฎระเบียบในใบปลิวหรือประกาศกันเลยสินะ
ซํ้าพวกนักเรียนทุนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีกว่าทาสเลย มีทั้งเด็กจากสลัม โสเภณี คนพิการ หรือเด็กหนีออกจากบ้าน ตอนนั่งฟังการปฐมนิเทศ เลยนั่งแบกพวกกันอย่างชัดเจน แต่เดี๋ยวดูตอนแยกห้อง ว่าจะมีคนรับไม่ได้จนลาออกไปด้วยไหม
แต่วันนี้ผมมาเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ไม่ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น กรอเรียที่เป็นเหมือนผู้อำนวยการโรงเรียน จะต้องแก้ปัญหาเอง
พอถึงตอนขานชื่อเพื่อแยกไปตามห้อง ก็เริ่มวุ่นวายตามคาด พวกคนที่มาสมัครต่างเรียกร้อง ว่าจะไม่ยอมเรียนห้องเดี๋ยวกับพวกชั้นตํ่า
กรอเรียทำท่าอึดอัดใจขณะเหลือบมองมาทางผม แต่ผมก็แค่ยิ้มแห้งๆ ให้ กรอเรียเลยประสานมือทำท่าสวดอ้อนว้อนสักครู่ มันเหมือนเป็นการทำให้ใจสงบล่ะมั่ง ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยนํ้าเสียงอบอุ่น
“นักเรียนของที่นี้จะต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดนะคะ ซึ่งในกฎเองก็มีบอกไว้อยู่แล้ว ว่าจะไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นหรือเผ่าพันธุ์ ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎ คงต้องขอเชิญออก”
เยี่ยมมาก ยึดถือตามกฎในการแก้ไขปัญหา ต่อให้เป็นพวกไม่มีเหตุผลก็ทำอะไรไม่ได้หรอก
พวกสมัครเรียนทำท่าอึกอักกัน เพราะคงรู้ตัวล่ะ ถ้าออกจากที่นี้ไปก็ไม่มีที่ไหนอ้าแขนรับแล้ว เลยกัดฟันเดินกระทืบเท้าไปห้องเรียนอย่างไม่พอใจ
ส่วนพวกนักเรียนทุนที่เห็นท่าทางดังกล่าว ก็พากันรู้สึกสลด เพราะเหมือนตัวเองเป็นตนเหตุ กรอเรียเลยเข้าไปยิ้มให้กับทุกคน
“อย่ากังวลเลยค่ะ มาเรียนหนังสือกันอย่างสนุกสนานดีกว่านะคะ”
“ครับ/ค่ะ!”
หมดห่วง กรอเรียเอาอยู่อย่างแน่นอน เพราะเห็นแบบนั้นแล้วผมเลยเดินกลับออกมา
พอกลับมาถึงคฤหาสน์ ผมก็ตรงไปห้องทำงานของเมยอา เพื่อดูบัญชีตัวเลข ที่โรงแรมสถานการณ์คงที่ กิจการไปได้ด้วยดี แขกก็กระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ก็เป็นธรรมดาของพวกนักผจญภัย ซึ่งก็มีโกร่ากับอานูบิสคอยคุ้มไม่ให้บานปลายได้
พูดถึงอานูบิส ตอนแรกผมจะให้เขาปลอมตัวเป็นมนุษย์ แต่เจ้าตัวไม่ยอม เลยใส่ชุดพ่อบ้านเดินไปทั่วโรงแรมทั้งๆ แบบนั้น เล่นเอาแขกผวาไปเหมือนกัน แต่ที่โรงแรมก็มีมอนสเตอร์ให้เห็นอยู่บ้าง อย่างพวกไรโมดอล แถมบางคนยังมองว่าอานูบิสเป็นเผ่าครึ่งสัตว์แบบยามเป็ด เลยไม่มีใครใส่ใจอะไร
จากนั้นก็รอฟังรายงานจากพวกเดเม่ ที่ผมส่งเข้าเมืองไปดูสถานการณ์ ซึ่งแค่อาทิตย์แรกหลังจากโรงแรมยูโทเปียเปิด ก็มีโรงแรมในเมืองหลายแห่งไร้ลูกค้า
จนถึงกับร้างไปเลย โดยเฉพาะโรงแรมแพงๆ เพราะห้องดีสุดของพวกเขายังเทียบไม่ได้กับห้องเดียวของโรงแรมผม แถมราคาก็ต่างกันสุดกู่ ไม่แปลกที่จะเลือกไปพักที่โรงแรมของผม
ส่วนโรงแรมระดับกลางกับระดับล่างยังคงพออยู่ได้ ถึงลูกค้าจะน้อยลงแต่ก็ยังมีแขกเข้าพัก แม้ส่วนใหญ่จะมาเพราะไม่มีทางเลือกก็เถอะ เนื่องจากโรงแรมยูโทเปียห้องพักเต็มและรอคิวนานเป็นเดือนๆ
ผมเองก็อยากจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้อยู่หรอก แต่คราวนี้ต่างจากเรื่องร้านอาหาร เพราะถ้าโรงแรมจะแข่งสู้กับผมให้ได้ พวกเขาจะต้องปรับปรุงห้องพักและการบริการแบบยกเครื่องใหม่หมด ซึ่งต้องใช้เงินทุนกับองค์ความรู้ด้านการบริการในการฝึกพนักงาน
แต่อย่างที่บอกไป พวกเขายังไม่จนตรอกซะทีเดียว เพราะอย่างไงโรงแรมของผมก็ไม่คิดจะขยายตัว ซํ้ายังลองรับลูกค้าได้จำกัด แถมถ้าอาหารการกินดีขึ้น แขกต่างเมืองก็จะมามากขึ้นตาม แบบนี้เดี๋ยวก็มีลูกค้ามาเอง เพียงแต่ว่าถ้าไม่ยอมปรับเปลี่ยนอะไรเลย ก็ไม่แน่เหมือนกัน
ทว่าพวกโรงแรมต่างๆ ก็ไม่ได้อยู่เฉยหรอก ตอนนี้เริ่มมีการติดต่อของซื้อตัวพนักงานของผมกันแล้ว โดยเฉพาะพวกคนครัว เห็นว่ามีบางรายยอมทุนให้เงินเดือนสูงถึง 50,000 รีลต่อเดือน ซึ่งมากเป็นสิบเท่าของที่ผมให้ แถมยังมีค่าฉีกสัญญาทาสแบบให้เปล่าอีกต่างหาก ซึ่งทางผมเองก็เคยบอกไว้แล้ว ถ้ามีข้อเสนอดีๆ มาซึ่งต้องมีแน่ พวกเขาก็สามารถไปได้ ถึงผมจะอยากให้อยู่ก็เถอะแต่จะไม่มีการรั้งตัวไว้ ไม่งั้นมันก็จะเป็นการ
ขัดแย้งกับที่ผมเคยบอกไว้ ว่าพวกเขามีอนาคตและความฝันเป็นของตัวเองได้
แต่ข้อเสนอจากโรงแรมต่างๆ กลับถูกเหล่าทาสของผมปฏิเสธไปหมด ไม่ใช่แค่เจ้าของโรงแรมที่มาชวนงงหรอก ผมเองก็งง เพราะไม่เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่จะได้อิสรภาพหลุดจากการเป็นทาสแล้ว แต่ทำไมดันปฏิเสธกันอีก
ลักษณะที่คนภายนอกมอง ต่างคิดว่าพวกทาสที่เป็นพนักงาน เป็นประเภทรักองค์กรแบบเห็นเป็นครอบครัวไปแล้ว ซึ่งก็ไม่ต่างจากความเป็นจริงเท่าไร แต่เหตุผลสำคัญที่พวกทาสไม่ยอมไปไหน เพราะพวกเขาภูมิใจกับการเป็นทาสของท่านเทพโรมะ องค์เทวะแห่งลัทธิเทพเมฆาสวรรค์ที่พวกเขานับถือบูชา
พูดถึงเรื่องลัทธิเทพเมฆาสวรรค์ ผมได้รับรายงาน ว่าพวกมนุษย์ครึ่งสัตว์ลงหุ้นกันขอเช่าพื้นที่ในชั้นหนึ่ง เปิดเป็นอารามของลัทธิเทพเมฆาสวรรค์ และนำรูปวาดเหมือนของผมไปตั้งไว้ ซึ่งจะมีเหล่าพนักงานและลูกค้าแวะเวียนมาสวดบูชาทุกเช้าเย็นเลย…ขืนไปห้ามมีหวังเกิดจารจลขึ้นมาแน่ๆ ทำเป็นมองไม่เห็นไปดีกว่า
“หือ?”
ขณะที่นั่งตรวจดูบัญชีกันอยู่เมยอาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“มีอะไรเหรอ?”
“มีอะไรแปลกๆ ค่ะ ใบตราสารจากร้านแลกเปลี่ยนเงิน ส่งมาแต่ไม่ได้แจ้งยอดเงินไว้”
“เขาลืมหรือเปล่า”
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ ใบตราสารจะต้องได้รับการตรวจทานและประทับตราจากประธานก่อน ถึงจะส่งมาให้กับเจ้าของเงินได้ แบบนี้มัน…”
“คิดว่าพวกเราจะโดนฮุบเงินเหรอ”
“ค่ะ มีความเป็นไปได้ เพราะเงินที่ฝากไว้ก็เป็นเงินก้อนโตซะด้วย ถึงจะไม่เหมาะสมเพราะจะทำให้เสียความน่าเชื่อถือได้ แต่ของแบบนี้ไม่แน่หรอกค่ะ คนโลภมากมีอยู่ทุกทีนั้นแหละ”
“ขนาดร้านแลกเปลี่ยนเงินยังไว้ใจไม่ได้ หรือว่านี้เราจะต้องเปิดธนาคารเองด้วย”
“ธนาคาร?”
“ไม่มีอะไร ผมแค่บ่นกับตัวเองน่ะ ว่าแต่จะจัดการอย่างไงกันดี”
“สามารถไปฟ้องร้องกับทางการหรือเจ้าเมืองได้โดยตรงเลยค่ะ แต่ไม่ขอแนะนำ เพราะร้านแลกเปลี่ยนเงินมีเส้นสายและมีลูกค้าที่เป็นขุนนางอยู่เยอะ ถึงฟ้องไปพวกนั้นก็จะเก็บเรื่องไว้ในลิ้นชักไม่สนใจไยดีอะไร”
“ให้มันได้แบบนี้”
“ส่วนอีกทางหนึ่งก็บุกไปถล่มร้านแล้วปล้นเอาเงินคืนเลย”
“เฮ้ย! แบบนั้นก็ผิดกฎหมายสิ!”
“หรือจะยอมให้พวกมันโกงเงินไปคะ”
เมยอานี้พอเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ เลือดร้อนขึ้นมาทันทีเลย
“เอาเป็นว่าส่งดาเซสไปสอบถามให้แน่ใจก่อนดีกว่า ถ้าพวกนั้นคิดจะโกงกันจริง ค่อยมาคิดว่าวิธีการโต้ตอบ แต่เงินเก็บในบ้านก็ยังมีคงไม่เดือดร้อนอะไรเท่าไรหรอก”
“ก็ได้ค่ะ”
เมยอาดูจะยังไม่ค่อยพอใจ แต่ผมเองก็เสียดายเหมือนกันนะ เพราะรายได้ที่หามาจากดันเจี้ยนรอบก่อน หลังจากแบ่งให้กับทุกคน และหักที่ให้กับทาฮากริม ที่เหลือก็เอาไปฝากไว้จนเกือบหมด แถมรู้สึกเคืองที่โดนโกงด้วย
หลังจากเสร็จเรื่องบัญชีแล้ว ผมก็ว่าไปลงดันเจี้ยนนํ้าตกคนเดียวสักหน่อย เพราะช่วงนี้เข้าเมืองไม่ได้ ก็พวกร้านค้าพากันเกลียดขี้หน้าผมอยู่นี่น่า
แต่ก่อนจะออกไป เดเม่ก็มาบอกว่ามีแขกจะขอพบ ผมเลยออกไปดู คนที่มาเป็นพนักงานสาวของกิลนักผจญภัย เธอมองไปรอบๆ อย่างสนใจจนเหมือนจะลืมวัตถุประสงค์ที่มาเลย
“น นี้ค่ะ จดหมายจากหัวหน้าซารี!”
ผมรับจดหมายมาและแกะอ่านทันที เนื้อหาแค่เรียกตัวไปพบ แต่ไม่ได้บอกว่าธุระเรื่องอะไร…เอ๋ หรือว่าจะเรียกเราไปทำศึกใต้ร่มผ้า ก็ดีเหมือนกัน
ผมเลยจะตามพนักงานกิลเข้าเมือง และแน่นอนว่าต้องไปคนเดียว เพราะวันนี้คงยาวแน่
พอถึงในเมืองก็เจอบรรยากาศแบบเดิมๆ เต็มไปด้วยสายตามุ่งร้าย…อย่างไงรีบกลับก่อนคํ่าดีกว่าแฮะ
พนักงานกิลมาส่งผมแค่ที่ทางเข้า และปล่อยให้ผมขึ้นไปด้านบนเอง คงเพราะมาบ่อยแล้ว แต่วันนี้พนักงานดูมีน้อยๆ แฮะ หรือว่าหนีงานไปเที่ยวเล่นที่โรงแรมหว่า?
เมื่อมาถึงห้องใต้หลังคาผมก็เคาะเรียก และมีเสียงตอบกลับมาทันที
“เข้ามาสิ”
แต่พอเปิดประตูเข้าไป กลับรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เพราะซารีอยู่ในชุดทำงานแบบผู้ชายและนั่งอยู่หลังโต๊ะ อีแบบนี้เรียกมาคุยเรื่องงานแน่ๆ
ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ และยิ้มทักทายเธอตามปกติ แต่เธอไม่ยอมยิ้มตอบเลยแฮะ อารมณ์ไม่ดีอยู่เหรอ หรือว่าจะโกรธอะไร? จะว่าไปตอนที่ไปพักที่
โรงแรมผมก็ไม่ได้แวะไปหาเธอเลย จะโกรธเรื่องนั้นหรือเปล่านะ
“โรมะ…ฉันเคยเตือนไปแล้วใช่ไหม ว่านายน่ะโดนหมายหัวอยู่”
“อ้อ หมายถึงกิลการโรงแรมสินะ ผมเองก็คิดหาวิธีช่วยอยู่นะ แต่ถ้าพวกนั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ผมก็จนปัญหาเหมือนกัน”
“…ไม่ใช่แค่กิลการโรงแรมหรอก”
“ฮะๆ ก็ว่างั้นแหละ เมื่อวานชืนเองก็พึ่งไปมีเรื่องกับพวกย่านร้านค้ามา”
“นี้ไม่ตลกนะโรมะ ตอนนี้ทุกกิลในกรอซ่าต่างลงมติว่าจะกำจัดนายแล้ว”
“เอ่อ นี้ผมมีศัตรูเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”
“…”
สีหน้าของซารีดูจะเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม แต่เดี๋ยวนะ…
“ตะกี้เธอบอกว่าทุกกิลเหรอ”
“ใช่ ทุกกิล…รวมถึงกิลนักผจญภัยด้วย”
ทันทีที่ซารีเอ่ยขึ้นมา ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับมีนักผจญภัยหลายสิบคนวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมผมเอาไว้
“นี้เอาจริงเหรอ”
“…”
ซารียังคงปั้นหน้าเครียดใส่ผม นี้เธอคิดจะทรยศผมจริงๆ เหรอเนี่ย! ไหนว่าเป็นกิลพันธมิตรกันไง บ้าชะมัด!
แต่นี้ไม่ใช่เวลามาโกรธ สถานการณ์ตอนนี้เข้าขั้นเลวร้าย และเป็นอย่างที่คิดไว้ เธอปิดการใช้งานสกิลของผมไว้อีกแล้ว แถมนักผจญภัยพวกนี้ผมไม่เคยเห็นหน้า แต่ท่าทางเก่งเอาเรื่อง
“…ไหนๆ จะต้องเป็นศัตรูกันแล้ว ขอถามหน่อยได้ไหมว่าทำไม”
“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ”
“ทำไมทุกคนคิดว่าผมเป็นศัตรู”
“มันแน่อยู่แล้ว เพราะเป็นนายไงล่ะ”
“ไม่เห็นเข้าใจเลย!”
“โรมะ นายยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ตั้งแต่นายมาอยู่เมืองนี้ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน ขุมกำลังที่นายสะสมไว้ก็มีแต่เพิ่มขึ้นทุกวัน จนทุกคนเริ่ม
เป็นกังวล ทุกกิลต่างได้รับผลกระทบกับสิ่งที่นายได้ทำไว้ ร้านประมูลที่ควบคุมโดยกิลการค้า ก็ประสบปัญหาจากที่นายไปปั่นราคาไว้ กิลการโรงแรมก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะแทบจะสูญเสียรายได้ทั้งหมดไป กิลช่างตีเหล็กก็มาร้องทุกข์ เขาคิดว่านายขโมยสูตรลับของเผ่าดวาฟไปใช้ กิลสมาคมอาวุธก็บอกว่านายเอาอาวุธที่ไม่ทราบแหล่งที่มาไปปล่อยเป็นจำนวนมาก ไม่นับอาวุธปลดผนึกที่มีปริมาณน่าสงสัย รวมถึงอุปกรณ์เวทอันตรายอย่างแท่นวาปร์ก็ด้วย และที่หนักสุดคือกิลค้าทาส ที่เริ่มมีการต่อต้านจากพวกทาสให้เห็นกันแล้ว เพราะทาสของนายไปสร้างความเชื่อแบบผิดๆ ให้”
“…แล้วกิลนักผจญภัยล่ะ”
“นายเองก็น่าจะรู้นะในฐานะนักผจญภัยคนหนึ่ง…โดยหลักการแล้ว กิลนักผจญภัยเป็นศัตรูกับเผ่าปีศาจอยู่แล้ว”
“…เข้าใจล่ะ”
ผมผิดเอง ที่เมืองนี้ยังไม่พร้อมกับความเปลี่ยนแปลง ผมคิดว่าทุกอย่างจะง่ายเหมือนที่เผ่าปีศาจ และทั้งๆ ที่ระวังเรื่องนี้มากแล้ว แต่มันก็ยังไม่พอ ผมคิดว่ามันก็เหมือนกับชาวเอเชียในสมัยก่อน ที่ยังไม่พร้อมรับวัฒนธรรมตะวันตก จึงเกิดการต่อต้านขึ้นมา แถมผมเป็นแกะที่เป็นฝ่ายเดินเข้ามาในฝูงหมาป่าเอง
“ขอถามอีกอย่าง…แล้วมิตรภาพของเรามันไม่มีค่าอะไรเลยเหรอ”
ปัง!
พอถามเรื่องนี้ซารีก็ทุบโต๊ะด้วยความโกรธทันที
“อย่างมาอ้างถึงเรื่องนั้นนะ! ฉันคือหัวหน้ากิล มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และมีลูกน้องที่ต้องดูแล ถ้าหัวหน้าเป็นคนทำผิดซะเอง จะมีใครที่ไหนมานับถือ และถึงจะเป็นกิลใหญ่ก็ใช่ว่าจะอยู่ได้โดยลำพัง พวกเราต้องใช้เส้นสายมากมาย นายคิดว่าไอเท็มต่างๆ ที่เอามาขายให้กับทางกิลมันจะกลายเป็นเงินขึ้นมาได้เองเหรอ รู้ไหมต้องลำบากแค่ไหนเพื่อเจรจาขอส่วนลดกับปลายทางที่รับไอเท็มไปต่อ เพื่อจะรักษาราคาที่ทุกคนพึ่งพอใจไว้ได้ เควสต่างๆ ก็ต้องใช้ความสัมพันธ์กับกิลอื่นๆ เพื่อให้ได้มา นายคิดว่าฉันจะยอมเห็นแก่คนเพียงคนเดียว และตัดสัมพันธ์กับทุกกิลจนทำให้กิลนักผจญภัยต้องล่มสลายเหรอ!”
“ผมเข้าใจ แต่ที่ผมอยากรู้ คือตัวคุณเองรู้สึกอย่างไงกับผม เป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัวไม่เกี่ยวกับคนอื่น”
“โรมะ…นายไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวที่ฉันมีอะไรด้วยเพื่อสร้างเส้นสายหรอกนะ”
…รู้สึกแสบร้อนขึ้นมาที่กลางอก ความรู้สึกที่โดนทิ้งเป็นแบบนี้เอง เศร้าจนอยากร้องไห้ออกมา ไม่ใช่แค่อยากหรอก นํ้าตาล่วงมาแล้วหยดหนึ่ง แย่ล่ะสิ ความรู้สึกของผมมันแย่ขนาดที่ว่าถึงตายซะช่างแล้ว หรือว่านี้ผมจะรักซารีจริงๆ ไม่ไหว ไม่ว่าจะพยายามกระตุ้นตัวเองอย่างไง ก็ไม่สามารถก้าวข้ามความรู้สึกเสียใจไปได้เลย
ต้องรีบกลับไป ถ้าผมได้เจอพวกฟราน ความรู้สึกผมอาจจะดีขึ้น
ถึงจะโดนปิดสกิลไว้ แต่ถ้าผมใช้สถานะจอมมารจะต้องจัดการพวกนี้ได้แน่ ไหนๆ พวกเขาก็มองผมเป็นเผ่าปีศาจอยู่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องปิดบังสถานะอีกต่อไปอีก
…เอ๋ นี้มัน!?
ผมเรียกใช้สถานะจอมมารแล้วแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะอะไรกัน! ในชั่วขณะผมคิดว่าคำตอบอย่างรวดเร็ว ความเป็นไปได้หนึ่งผุดขึ้นมาในหัว ผมเริ่มเป็นจอมมารตอนที่ได้รับการทดสอบพร้อมกับได้สกิลมารราคะมา หรืออีกนัยหนึ่ง ผมเป็นจอมมารเพราะมีสกิลมารราคะ!
แต่ตอนนี้สกิลผมโดนปิดไป รวมถึงสกิลมารราคะด้วย หรือก็คือผมโดนปิดกั้นสถานะจอมมารไปด้วย ซวยแล้วไง!
ไม่! เดี๋ยวก่อนสิ เรายังมีแหวนอยู่นี่น่า ผมแตะไปที่แหวนเพื่อจะติดต่อมุเอมะหรือเพื่อจะวาปร์กลับปราสาทจอมมาร แต่กลับทำไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นผลต่อเนื่องที่เกิดขึ้น เพราะผมโดนตัดจากสถานะจอมมาร ก็เท่ากับผมไม่ใช่เผ่าปีศาจอีกต่อไป และแหวนจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อผมเป็นเผ่าปีศาจเท่านั้น…นี้มัน…หายนะชัดๆ

ตอนที่ 128 หนีตาย

ผมลุกขึ้นยืน และหยิบเอาดาบศิลาเย็นออกมาจากในกระเป๋า แย่หน่อยที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย นอกจากอาวุธแล้วก็มีแค่อาหารสำรองเท่านั้น
“อย่าขันขืนเลยโรมะ นักผจญภัยที่อยู่ในห้องนี้ล้วนแต่เป็นคนที่ฉันคัดมาเอง และมีเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบทุกคน”
ถึงซารีไม่บอกผมก็จะพอจะเดาได้อยู่แล้วล่ะ
ผมก็เหลือบไปที่เงาของตัวเอง เรโมริก้าไม่ออกมาจริงๆ ด้วย แปลว่าโดนปิดผนึกสกิลไว้เหมือนกัน ผมกลับมาจับที่แหวนอีกครั้ง ผมยังเห็นและสัมผัสได้ แปลว่ายังไม่ถึงกับสิ้นสภาพตัดขาดกับเผ่าปีศาจ แต่มันจะรวมถึงกรณีที่ผมตายด้วยหรือเปล่า ปกติถ้าตายจะต้องคืนสู่สถานะจอมมารทันที แต่อะไรล่ะที่เป็นตัวกำหนดค่าแบบนั้น…ไม่น่าถาม ก็ต้องสกิลมารราคะอยู่แล้ว
ตัวเลือกของผมแทบไม่เหลือ ยาฟื้นคืนชีพผมเหลือสองขวด แต่ขวดหนึ่งผมฝากไว้ที่มิริน ส่วนอีกขวดฝากไว้กับเดเม่ แต่ทั้งสองคนไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี้ คงหวังให้มาช่วยไม่ได้ ความหวังเดียวเลยอยู่ที่มุเอมะ เธอบอกว่าจำ
ตาดูผมอยู่ตลอด แปลว่ากำลังเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เดี๋ยวจะต้องโผล่ออกมาช่วยแน่ๆ
“ถ้าคิดจะหวังให้พรรคพวกเผ่าปีศาจมาช่วย เสียเวลาเปล่า”
“!!!”
นี้ผมโดนซารีอ่านใจได้อีกแล้ว
“ตั้งแต่รู้ว่านายเป็นเผ่าปีศาจ ฉันก็รู้ทันทีว่าเมืองนี้กำลังถูกเฝ้ามองอยู่ เลยให้เพิ่มระดับการป้องกันของเมืองไปสู่ระดับสูงสุด และตอนนี้ก็สั่งปิดกั้นอุปกรณ์เวทที่ใช้ในการเฝ้าติดตามทุกอย่าง รวมถึงไม่สามารถเคลื่อนย้ายด้วยเวทมนต์และไอเท็มมาในบริเวณรอบๆ ตัวเมืองได้ ตอนนี้กรอซ่ากลายเป็นเมืองล่องหนสำหรับเผ่าปีศาจและมอนสเตอร์ไปแล้ว”
นี้เธอเตรียมการมาขนาดไหนกันเนี่ย! ไม่อยากจะเชื่อเลยถ้านี้เป็นอย่างที่เธอพูด ไม่ใช่แค่มุเอมะ แต่อาจรวมถึงอานูบิสด้วย
หรือว่าคราวนี้ผมจะต้องมาจบลงตรงนี้จริงๆ…ไม่! ผมจะมาตายง่ายๆ ไม่ได้ ผมเองก็ยังมีหน้าที่และสิ่งที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน คิดสิ อาวุธที่ดีที่สุดของผมก็คือสมอง คิดให้ออก จะรอดจากที่นี้ไปได้อย่างไง
ผมกวาดสายตาไปรอบๆ ขณะที่พวกนักผจญภัยขยับเข้ามาอย่างระวัง
“ระวังอาวุธของเขาไว้ มันเป็นดาบระดับ World ที่มีความคมมาก อย่ารับการโจมตีซึ่งๆ หน้า”
บ้าซิบ แม้แต่อาวุธของผมเธอก็รู้ความสามารถของมันเหรอ! โดยเรียกมาติดกับแถมยังโดนรู้ข้อมูลอีก แบบนี้มัน…เดี๋ยวนะ…กับดักเหรอ!
ผมเริ่มเห็นแสงสว่างแล้ว ถึงจะเลือนรางอยู่ แต่ก็เห็น ที่ซารีเรียกผมมาติดกับที่นี้ เพราะมันคือพื้นที่สังหารที่ดีที่สุด หรือก็คือเธอกลัวสกิลของผม จนต้องใช้ห้องนี้ทำให้ผมใช้สกิลไม่ได้ ถ้าทำลายอุปกรณ์เวทที่ปิดสกิลได้ล่ะก็ ไม่ได้ ไม่มีเวลามาหาแล้ว แถมถูกรอบไว้แบบนี้อีก ซารีเองก็คงอ่านทางผมได้ล่วงหน้า และคอยระวังอุปกรณ์เวทที่ว่าไว้เป็นอย่างดี ต้องคิดนอกกรอบ...จะว่าไปไม่เห็นต้องคิดเลย แค่ฝ่าออกไปจากห้องนี้ได้ก็พอแล้ว
“ทิ้งอาวุธซะโรมะ ถ้านายยอมแพ้ ฉันสัญญาว่าจะไว้ชีวิต อย่างเลวร้ายสุดก็แค่เนรเทศออกไปนอกประเทศเท่านั้น”
“…ผมทำแบบนั้นไม่ได้ คุณก็รู้ว่าคนของผมส่วนใหญ่เป็นทาส เกิดผมเป็นอะไรขึ้นมา ทาสของผมก็จะถูกยํ่ายีทันที ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ ข้ามศพผมไปก่อนเถอะ”
“เลิกดื้อสักที!”
“หัวหน้าเลิกเสียเวลากับมันได้แล้ว”
นักผจญภัยคนหนึ่งขี้เกียจจะตั้งท่ารอแล้ว เลยพุ่งเข้ามาเป็นคนแรก
“เดี๋ยว!”
ซารีพยายามร้องห้าม แต่ไม่ทันแล้ว พอมีคนเริ่มที่เหลือก็ขยับตามทันที
และสมกับเป็นคนที่มีเลเวลระดับหนึ่งร้อย ความเร็วเป็นระดับที่ผมตามไม่ทันเลย ซํ้าพลังยังต่างกัน
จนเทียบไม่ติด ถึงดาบศิลาเย็นของผมจะได้เปรียบการในการปะทะ เพราะสามารถทำลายอาวุธอีกฝ่ายได้ แต่เพราะผมช้ากว่า เลยได้เพียงแต่ยกมันขึ้นมาป้องกันตัว แถมยังต้านแรงไม่ไว้ จนกระเด็นเสียหลักทุกครั้งที่ปะทะกัน
สิบวินาที นั้นคือเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ของผม กลางดงนักผจญภัยเลเวลร้อยยี่สิบจำนวนมากกว่าสิบคน ผมคงยื้อชีวิตได้มากสุดแค่นั้น เพราะงั้นผมเลยไม่ได้คิดจะสู้แต่แรก แต่หาจุดที่จะใช้ฉกฉวยได้ต่างหาก
ผมแกล้งรับการโจมตีเพื่อให้ตัวเองถอยไปด้านหลัง จนคนด้านหลังโจมตีสุดแรงเกิดใส่ ผมหันไปรับการโจมตีนั้นไว้ พร้อมกับใช้ประโยชน์จากแรงกระแทก พุ่งตัวเองไปในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ซารียืนอยู่ ขอเพียงผ่านเธอไปได้ ก็จะถึงหน้าต่างแล้ว
“…เป็นการตัดสินใจที่โง่เขลามาก”
ซารีบอกพร้อมกับขยับมือขึ้นมา
แต่เธอไม่มีอาวุธ ผมไม่เคยเห็นซารีพกอาวุธเลย นั้นทำให้เธอดูไม่เหมือนนักผจญภัย แต่เหมือนพนักงานมากกว่า เป็นเหตุผลที่ผมเลือกโจมตีผ่านไปทางเธอด้วย
ความสัญชาตญาณกำลังเตือนผมถึงอันตราย เลยยกดาบขึ้นมาฟันออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกถึงแรงปะทะอย่างรุนแรงจนเกิดประกายไฟขึ้นในอากาศ แสงจากประกายไฟทำให้ผมเห็นอาวุธที่ซารีใช้ขึ้นมาแว่บขึ้น มันคือลวด! ลวดเส้นเล็กที่ใสจนมองไม่เห็น แต่มันแข็งแกร่งขนาดที่ดาบศิลาเย็นของผมตัดไม่ขาด
ซารีทำหน้าตกใจไม่ต่างจากผม ถึงแม้จะตกใจคนละเหตุผลกันก็ตาม แต่ผมรู้ว่าการโจมตีของเธอยังไม่หมด ส่วนแขนที่ถือดาบอยู่ก็ไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะใช้ป้องกันตัวได้ ผมเลยต้องใช้มือเปล่าๆ อีกข้างปัดออกไปข้างหน้า เกิดแรงสัมผัสขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันตัดแขนของผมออกเป็นชิ้นๆ อย่างสวยงาม ก่อนที่ความเจ็บปวดจะเล่นงาน ผมก็ฉีดเลือดที่ปากแผลออกไปเพื่อทำให้เห็นทิศทางการเคลื่อนไหวของลวดล่องหน
แต่สิ่งที่เห็นทำเอาผมแทบลืมหายใจ เพราะตรงหน้าผมมีลวดกำลังเคลื่อนไหวราวกับเต้นระบำอยู่นับสิบๆ เส้น ผมรีบปักดาบลงบนโต๊ะทำงานของซารีเพื่อหยุดตัวเองเอาไว้ ไม่งั้นถ้าเคลื่อนที่ออกไปผมโดนสับเละแน่
“ที่ฉันเป็นหัวหน้ากิลไม่ใช่เพราะแค่เก่งเรื่องทำงานนั่งโต๊ะหรอกนะ”
ซารีเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่ราวกับเหยี่ยวจ้องดูเหยื่อ แถมพอผมคิดจะขยับตัว ร่างกายก็รู้สึกเหมือนโดนกระแสไฟฟ้าช็อค ทำให้ชาไปทั่วร่างทำให้ขยับตัวไม่ได้เลย
ผมหันไปมองด้านหลังก็เห็นนักผจญภัยคนหนึ่งยื่นมือมาทางผม นี้เขาใช้สกิลใส่ผมเหรอ? การปิดสกิลมีผลแค่กับผมเท่านั้นเองหรือเพราะอะไรกันแน่ นี้มันซับซ้อนกว่าที่คิดไว้ซะอีก แต่แบบนี้แย่แน่ ผมโดนสกิลประเภทตรึงการเคลื่อนไหวเข้าไป ไอ้เรื่องที่คิดจะหนีออกไปลืมไปได้เลย
ตัวเองก็บาดเจ็บ เสียแขนไปข้างหนึ่ง ไอเท็มก็ไม่มี…ไม่ไหวแล้ว ผมหนีออกไปจากที่นี้ไม่ได้…ต้องมาตายในสภาพแบบนี้…เจ็บใจที่สุด!
ตูม!!!
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับพัดความสิ้นหวังผมไปด้วย
แรงระเบิดมาจากด้านนอก แต่มันได้พัดเอาหลังคาของตึกหายไปเลย แต่สิ่งที่กำลังลอยอยู่บนฟ้า ก็เป็นหนึ่งในคนที่ผมอยากจะได้เห็นหน้าอีกครั้งที่สุด
“…มิริน”
“พวกฉันมาช่วยแล้วค่ะท่านโรมะ!”
“อย่าให้เธอเอาตัวโรมะไปได้!”
ซารีสั่งยังไม่ทันจบ พวกนักผจญภัยสองคนก็โดนอัดกระเด็น ถึงขนาดทะลุไปตึกข้างๆ เงาที่โผล่มาทาบบนตัวผมคือดอเรีย เธอรีบจับตัวผมขึ้นไปไว้บนหลังเธอ ซึ่งมีเอสเตอร์นั่งอยู่รอรับตัวผม
“คุณมิรินพร้อมแล้วค่ะ!”
เอสเตอร์พอยึดตัวผมไว้แน่นแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นไปตะโกนบอกกับมิริน ซึ่งกำลังร่ายเวทเตรียมเอาไว้
“ไม่ปล่อยให้ทำได้หรอก!”
ซารีตวัดมือเพื่อโจมตีใส่ทั้งมิรินและทางพวกดอเรียพร้อมๆ กัน แต่ต้องหยุดการเคลื่อนไหวกะทันหัน และรีบกระโดดหนีจนพลาดจังหวะโจมตีไป แต่นั้นก็ช่วยทำให้เธอรอดพ้นการลอบสังหารจากมอเรียที่แอบมาทางด้านหลังไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทิ้งรอยกรีดจนเลือดไหลซึมออกมารอบลำคอ
ซารีหันมามองมอเรียพลางยกมือขึ้นกุมคอตัวเองด้วยสีหน้าซีดเผือก ตรงกันข้ามกับมอเรีย แววตาที่โผล่พ้นผ้าในชุดเครื่องแบบนักฆ่า มันคือแววตาของมือสังหารที่เต็มไปด้วยโทสะ
“คุณดอเรีย!”
เอสเตอร์ส่งเสียกระตุ้นเตือนไปที่ดอเรีย เธอเลยพุ่งทะยานเข้ามาคว้าตัวมอเรียขึ้นมา พร้อมกับทีมิรินได้ปล่อยเวทมนต์ลงมาพอดี
เวทมนต์ของมิรินสร้างแรงอัดมหาศาลจนบี้ตึกกิลนักผจญภัยจนถล่มราบ กว่าที่พวกซารีจะเอาตัวเองออกมาจากใต้กองซากไม้ได้ พวกผมก็เผ่นหนีกันไปแล้ว
“…ใช้แท่นวาปร์หนีไปสินะ”
ซารีมองไปที่แท่นวาปร์ซึ่งยังมีแสงสว่างจากการพึ่งใช้งานไป
“หัวหน้าเอาอย่างไงต่อครับ”
พวกนักผจญภัยรู้สึกหัวเสียไปเหมือนกัน ที่โดนฉกตัวเป้าหมายไปต่อหน้าต่อตา แต่อีกฝ่ายลงมือประสานงานกันได้ดีมากจนไม่มีช่องว่างให้ลงมือได้เลย
“มีสองที่เท่านั้นแหละที่พวกมันจะหนีไป ตอนนี้ตรวจดูคนที่บาดเจ็บก่อน”
พอได้ยินคำสั่ง พวกนักผจญภัยก็รีบขุดคนที่เหลือขึ้นมาจากใต้กองซากไม้ และไปเก็บพวกที่โดนดอเรียถีบกระเด็นไปกลับมาด้วย
“…มอเรีย”
ซารีเอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงปานจะร้องไห้ แผลที่คอไม่ได้สาหัสอะไร แต่กลับทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดและแสบร้อน มากกว่าแผลใดๆ ที่เคยได้รับมา
“เละเทะน่าดูเลยนี้ เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ซารีสะดุ้งโหยงและหันไปทางต้นเสียงที่ถาม เพราะเธอไม่รู้สึกถึงตัวตนของอีกฝ่ายเลยว่ามาตั้งแต่เมื่อไร
“คุณคือ?”
เบื้องหน้าของซารีคือเด็กสาวร่างเล็กที่ดูเหมือนตุ๊กตามีชีวิต ความน่ารักและงดงามของอีกฝ่ายเล่นเอาซารีเผลอจ้องจนลืมตัว
“ฉันชื่อริกะ มาจากกิลมุเกน”
“คุณคือหัวหน้าริกะ!”
ซารีได้ยินข่าวลือของริกะมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แต่พึ่งได้เจอตัวจริงเป็นครั้งแรก เลยรู้สึกคาดที่เธอเป็นเด็กสาวน่ารักถึงขนาดนี้
“แล้วคุณคือ?”
“ขอโทษค่ะ ฉันคือซารี หัวหน้ากิลนักผจญภัย”
“อ้อ คุณซารีนี้เอง แบบนี้ก็ดีเลย ฉันมาตามล่าเจ้าคนที่ชื่อโรมะ ไม่ทราบว่าตอนนี้มันมุดหัวอยู่ที่ไหน”
“…เมื่อกี้ฉันเกือบจะล้อมจับมันได้อยู่แล้ว แต่พรรคพวกของเขามาช่วยไปซะก่อน ตอนนี้คงหนีกลับไปที่คฤหาสน์ที่อยู่นอกเมือง”
“หนีไปได้…ช่างเถอะ ช่วยบอกที่ตั้งของคฤหาสน์ที่ว่ามาที แล้วที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
“เดี๋ยวก่อน เขาเป็นคนอันตรายมาก จะสู้กันซึ่งๆ หน้าไม่ได้!”
“ขนาดหัวหน้ากิลนักผจญภัยยังกล่าวแบบนี้ เจ้านั้นเป็นสัตว์ประหลาดหรืออย่างไง”
“จะว่าแบบนั้นไม่ผิดหรอก เพราะเขาเป็นผู้ใช้สกิลมารราคะ”
“มารราคะ!”
แววตาของริกะเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยิน
“ต่อให้เก่งแค่ไหน ถ้าถูกเขาสัมผัสตัวได้ก็เป็นอันจบ วิธีปลอดภัยคือปิดผนึกสกิลของเขา หรือไม่ก็โจมตีจากระยะไกลเข้าไปเท่านั้น”
ซารีอธิบายให้ฟังแต่เหมือนจะไม่เข้าหูริกะเลย
“ฮะๆๆ นอกจากจะได้มาจัดการเจ้าคนที่บังอาจใช้ชื่อเดียวกับโรมะมาทำเรื่องชั่วช้าแล้ว ยังจะได้จัดการมารราคะไปด้วย ฮ่าๆๆ”
“หัวหน้าริกะ…”
“อ่ะ ขอโทษด้วยค่ะ ลืมตัวไปหน่อย แต่ไม่ต้องห่วง ในโลกนี้น่ะ…ไม่มีใครเอาชนะฉันได้เด็ดขาด”
…นั้นไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง ตามข่าวที่ซารีได้มานั่น ริกะสามารถลงไปในดันเจี้ยนที่มีความยากระดับสูงสุด ที่อยู่ทางพื้นที่ตะวันออกด้วยตัวคนเดียว เธอลงไปเอาสมบัติที่อยู่ห้องบอสดันเจี้ยนออกมาได้โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ยิ่งกว่านั้นเธอยังเป็นหัวหน้าของกิลมุเกน ที่เป็นกิลที่รวมเอาผู้กล้ามาไว้ด้วยกัน
ในพื้นที่ตะวันออก ไม่มีใครไม่รู้จักเธอและกิลมุเกน จนถูกยกให้เป็นกิลอันดับหนึ่งเหนือกิลนักผจญภัยซะอีก
แต่ถึงอย่างนั้น ซารีก็พูดออกไปอย่างหาได้เกรงกลัวไม่
“แต่อย่างซะพื้นที่นี้กิลนักผจญภัยเป็นคนดูแลอยู่ รวมถึงเป็นผู้จัดการเควสล่าตัวโรมะ ขอให้หัวหน้าริกะโปรดให้ความร่วมือด้วย”
“…เอาแบบนั้นก็ได้”
ริกะไม่อยากเสียเวลากับซารี และยังมีข้อมูลที่เธอยังอยากให้ทางกิลนักผจญภัยช่วยหาให้อีก การผูกมิตรไว้เลยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“เช่นนั้นแล้ว โปรดใช้วิธีจับเป็นด้วยนะคะ”
“จับเป็น? ตามมติสภาใต้ดินหาใช่การกำจัดเขาทิ้งหรอกเหรอ”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นค่ะ การกำจัดมีหลายวิธี แค่เนรเทศเขาออกนอกประเทศก็เพียงพอแล้ว เพราะการฆ่าเขาในตอนนี้จะมีผลเสียอย่างใหญ่หลวงตามมา
เนื่องจากเขามีทาสที่ซื้อมาเป็นจำนวนมาก แถมยังรักใคร่บูชาราวกับองค์เทวะมาจุติ เกิดเขาเป็นอะไรไป พวกทาสที่กลายเป็นอิสระจะลุกฮือขึ้นมา ก่อการจารจนถึงขั้นทำให้กรอซ่าถึงคราวล่มสลายได้เลยค่ะ”
“เป็นเช่นนั้นเอง แต่การทำให้ทาสเชื่อฟังได้ขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นมารราคะ”
“…”
ซารีไม่ได้บอกกล่าวไป ว่าที่เหล่าทาสมีความรู้สึกเช่นนั้นให้กับโรมะ ไม่ได้มาจากสกิลมารราคะแม้แต่น้อย แต่เกิดจากความเคารพบูชาที่มาจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ เธอคิดภาพออกเลย ว่าถ้าโรมะเกิดตายไปจะเป็นอย่างไง ทั้งเมืองจะมีทหารเดนตายที่พร้อมพลีชีพแลกชีวิตกับศัตรูผุดขึ้นมาเป็นกองทัพ
แต่ที่เธออยากจับเป็น หาใช่มาจากเหตุนั้นเพียงอย่างเดียว การลุกฮือของทาสน่ากลัวก็จริง แต่สามารถใช้กำลังของทหารประจำเมืองรวมกับนักผจญภัยกำราบได้ แต่อีกเหตุผลหนึ่งนั้น แม้แต่ตอนนี้ตัวเธอก็ยังไม่มั่นใจ
‘บางทีอาจจะเป็นความลังเลของผู้หญิงก็ได้’
ซารีบอกกับตัวเองเช่นนั้น พร้อมกับขับไล่อารมณ์ขุ่นมัวในใจตัวเองออกไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...