ตอนที่ 117 วันที่แสนวุ่นวาย Part 6
พอผมกลับออกมาจากชั้นบน พวกมอเรียที่รออยู่ที่ชั้นหนึ่งก็ตรงเข้ามาหาทันที
“ไปนานจังคะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
มอเรียทำหน้าเป็นกังวล แต่ผมก็มองเธอด้วยสายตาเป็นกังวลยิ่งกว่า เพราะหลังจากได้คุยแบบสนิทสนมกับซารีแล้ว ทำให้ผมรู้ว่าเธอแอบคลั่งไคล้มอเรียมาตั้งแต่เป็นนักผจญภัยแล้ว เมื่อก่อนอาการหนักขนาดแอบตามเก็บเอาเสื้อผ้าเก่าๆ มาดมเลย เดี๋ยวนี้ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น เลยเหลือแต่แอบถํ้ามองตอนอาบนํ้าหรือตอนนอนเท่านั้น และแน่นอนเธอขอให้ผมตกลงสัญญาด้วย ว่าจะกล่อมให้มอเรียยอมอาบนํ้าด้วยกันกับเธอและขอถูหลังอีกต่างหาก…เจอเจ้านายเป็นยูริสายหื่นแบบนี้ มอเรียเองก็คงลำบากมาเยอะเหมือนกันนะ แต่คิดว่าจากนี้อะไรๆ คงจะดีขึ้น เพราะซารีได้ดุ้นผมช่วยระบายความเก็บกดไปเยอะแล้ว
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ลำบากหน่อยนะมอเรีย”
“เอ๋? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ ไม่ลำบากสักนิด”
มอเรียเอียงคอทำท่าสงสัย แต่ผมว่าอย่าพึ่งบอกให้เธอไหวตัวเลยดีกว่า ไว้ตอนเผลอๆ แล้วค่อยบอก
ส่วนทาฮากริมมองหน้าผมพลางถอนหายใจ
“กลับไปใส่หน้ากากอีกแล้ว”
ดูเหมือนเธอจะชอบเวลาผมถอดหน้ากากมากกว่าแฮะ แต่ก็แน่ล่ะ ใครมันจะไปชอบหน้าตาแบบตาลุงหื่นกามกันล่ะ
แต่ดาเซสเนี่ยสิ จ้องผมเขม็งมาตั้งแต่ตะกี้ล่ะ แถมยังเข้ามาดมฟุดฟิดอย่างกับสุนัขเลย
“เขมือบไปแล้วสินะ หัวหน้ากิลนักผจญภัยน่ะ!”
แถมจู่ๆ ก็ตะโกนออกมา ผมนี้รีบตระคลุบตัวเธอแทบไม่ทัน
“อย่าตะโกนสิ!”
ผมใช้มือปิดปากดาเซสแล้วลากออกไปจากกิลนักผจญภัยทั้งๆ แบบนั้น แต่มอเรียเข้าใจที่ดาเซสบอกตะกี้ ถึงจะฟังไม่ทันจบประโยคดีก็เถอะ สายตาของมอเรียเลยจ้องผมแบบคมกริบ ก กลัวแล้วครับ!
พอมาถึงรถม้า ผมเลยต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังแบบโดนบังคับด้วยสายตา แน่นอนผมข้ามเรื่องเผ่าปีศาจไป โดยบอกแค่ว่าซารีสงสัยว่าผมจะใส่เสน่ห์มอเรียและคนอื่นๆ ด้วยสกิล ผมเลยต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วยการปฏิบัติกิจของชายหื่น
“มาดูถูกท่านโรมะแบบนี้ได้อย่างไง ฉันต้องไปคุยกับหัวหน้าให้รู้เรื่องแล้ว!”
มอเรียโดดขึ้นมาด้วยความโมโหทันที ผมเลยต้องดึงแขนเธอไว้
“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้หัวหน้าซารีเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว”
“เดี๋ยวนะ อย่าลืมเรื่องสำคัญไปสิ โรมะนายเลิกฟาดผู้หญิงไม่เลือกหน้าสักทีได้ไหม”
“อันนี้สิดูถูกของจริง!”
ผมหันไปทางดาเซสที่เป็นคนตำหนิผมทันที ผมไม่ได้ไม่เลือกสักหน่อย เห็นแบบนี้ก็เลือกนะ! แค่จุดสไตร์ทผมมันกว้างมากๆ เท่านั้นเอง
ตอนนี้มอเรียกับดาเซสหัวเราะออกแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมทาฮากริมยิ่งทำหน้าจริงจังกว่าเดิมซะอีก แถมยังบ่นพึมพำออกมาด้วย
“เป็นใครก็ได้เหรอ เราเองก็ได้สินะ”
เสียงที่พึมพำของทาฮากริมมันฟังดูน่ากลัว จนผมไม่กล้าตีความหมายเลย
แต่ทาฮากริมก็ต้องขอแยกตัวไป เพราะเธอเตรียมการเดินทางไว้พร้อมแล้ว และอยากจะกลับไปที่วิลเฟนเฮให้เร็วที่สุด เพื่อแจ้งข่าวดีให้กับพ่อของเธอ งานนี้ผมแอบจ้างนักผจญภัยกลุ่มหนึ่ง โดยตั้งเป็นเควสการคุ้มกันแบบลับๆ ให้กับทาฮากริมด้วย เพราะเล่นเดินทางโดยหอบเอาเงินขนาดนั้นติดตัวไป มันเสี่ยงต่อการถูกดักปล้นได้ แต่ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก ก็เธอเองเลเวลก็สูง แถมมี
ลูกน้องติดตามอีกตั้งหลายคน โจรที่คิดจะปล้นเธอ คงต้องโง่บัดซบถึงที่สุดแล้วจริงๆ
พอลาทาฮากริมแล้ว ผมก็ไปที่ร้านเฟอนิเจอร์เจ้าเดิม เพื่อซื้อตู้เตียงไปใส่ในอาคารใหม่ แต่ของเจ้าหญิงโชเตรียมมาเองหมด ผมเลยไม่ต้องเพิ่มอะไรให้ แต่เพราะของที่สั่งงวดนี้เยอะมาก ขนาดเหมาทั้งร้านยังมีไม่พอ เจ้าของร้านเลยขอติดต่อเอาสินค้าจากร้านอื่นด้วย ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหา แต่ขอให้ตรวจสอบคุณภาพให้ดีเท่านั้น ที่ต้องซื้อเยอะ เพราะผมจะเอาใส่ไว้ในทุกห้องเลย รวมถึงห้องว่างด้วย จะได้อยู่ในสภาพพร้อมให้แขกเข้าพักได้ทันที
ส่วนพวกข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ผมให้งบไปซื้อกันเอาเอง เพราะของใช้ส่วนตัวควรเป็นของที่ตัวเองชอบ
แต่งานผมยังไม่เสร็จ ผมให้ดาเซสพาไปยังร้านค้าทาสต่อ ซึ่งเป็นร้านเดียวกับที่ผมซื้อพวกฟรานมา
พอเห็นหน้าผม พนักงานก็รีบไปตามพ่อค้าทาสมาทันที พวกนี้คงจำได้ล่ะว่าผมเป็นพวกกระเป๋าหนัก หรืออาจจะได้ยินข่าวลือที่ผมประมูลแวมไพร์ไปในราคามหาโหด
ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะงานนี้ผมต้องการทาสเป็นจำนวนมาก และไม่ใช่ทาสที่จะนำมาเข้าฮาเร็ม ผมเลยลดสเปกลง ส่วนจะเอาไปทำอะไรน่ะเหรอ ก็จะเอามาฝึกให้เป็นพนักงานโรงแรมไงล่ะ จะเปิดโรงแรมก็ต้องใช้คนด้วย เรื่องอาหารก็เหมือนกัน ถึงจะทำคนเดียวไหว แต่คงไม่ว่างมาทำให้ได้ตลอด ทางที่ดีมีพ่อครัวหรือแม่ครัวประจำโรงแรมไว้จะดีที่สุด
เรื่องนี้ผมถกเถียงกับเมยอามาแล้ว เธอคิดว่ามันแพงไปไม่คุ้มค่า ถ้าคิดจะเอาทาสมาใช้ก็ไม่ควรให้เงินเดือน ไม่งั้นก็เหมือนจ่ายสองต่อ แต่ผมไม่ยอม เพราะเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมต่อพวกทาส เมยอาเลยเสนอให้จ้างคนอื่นแทน ผมเลยต้องอธิบายเหตุผลไปว่าทำไมถึงต้องใช้ทาส กว่าจะทำให้เธอยอมรับได้ก็เหนื่อยเอาเรื่อง
เหตุที่ต้องใช้ทาส เพราะผมต้องฝึกพวกเขาให้พร้อมทำงาน โรงแรมของผมจะอิงเอาจากบริการแบบโลกเก่า ไม่เหมือนโรงแรมในโลกนี้ที่ไม่มีบริการอะไรเลย
กรณีที่จ้างคนอื่นมา เกิดผมสอนจนเป็นงานขึ้นมาแล้วชิงหนีไปที่อื่นล่ะ เท่ากับเสียเวลาฟรีเลยนะ การสร้างบุคลากรคุณภาพดี จะต้องใช้ทั้งเวลาและเงิน จึงถือว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญมาก เมยอายังไม่เข้าใจใน
เรื่องทรัพยากรบุคคล เลยยังไม่เข้าใจเป้าหมายผมในทีแรก
ซึ่งในจุดนี้ถ้าเป็นทาสล่ะก็ หมดปัญหาเรื่องสมองไหลได้เลย เพราะถึงจะต้องใช้ต้นทุนสูงเพื่อซื้อตัวมา แต่ถ้าผมสอนให้พวกนี้กลายเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพสูงได้แล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะหนีไปไหน และมันเป็นการสอนแบบรอบเดียวจบ เพราะไม่มีการลาออกจนต้องหาคนใหม่มาแทน ยิ่งให้เงินเดือนพวกเขา ก็ยิ่งจะมีกำลังใจในการทำงาน และจะภูมิใจในงานที่ทำด้วย
ด้วยเหตุนี้ผมเลยเหมาทาสทั้งหมดของร้านโดยไม่สนใจเรื่องคุณภาพหรือราคา แต่ไว้ถ้ามีพวกนิสัยไม่ดีติดไป ค่อยคัดออกแล้วเอาไปทำอย่างอื่นแทน แย่สุดก็เอาไปปล่อยขายอีกทอดหนึ่ง ถึงจะฟังดูเหมือนการค้า
มนุษย์ แต่อย่าลืม นี้คือโลกอีกยุคสมัยหนึ่ง โลกเก่ากว่าจะมีคำว่าสิทธิมนุษยชนก็ผ่านเรื่องพวกนี้มาแล้ว เผลอๆ จะหนักกว่านี้ด้วยซํ้า เพราะงั้นเลิกทำเป็นโลกสวยและมองความเป็นจริงกันเถอะ
แต่ที่ว่ามาคือกรณีทาสชั้นเลวนะ สำหรับคนที่ตั้งใจทำงานและซื่อสัตย์ผมก็ต้องดูแลเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
“เอ๋!? เงือกนั้นยังอยู่อีกเหรอ”
ผมเดินเข้าไปด้านในจนเจอเงือกตัวเดิม ที่พนักงานพยายามจะขายให้ผมในตอนนั้น ซึ่งราคาดูตกลงมามาก คงขายไม่ออกสินะ
พ่อค้าทาสทำท่าอึกอัก คงรู้ตัวแล้วล่ะว่าผมเชี่ยวชาญเรื่องค้าขาย เลยพยายามไม่พูดจามั่วซั่วออกมาเพื่อเป็นการทำร้ายตัวเอง
“มอเรีย เงือกนี้พอจะใช้ทำอะไรได้บ้าง”
ผมหันไปถามแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือประจำตัว
“ถึงท่อนล่างเป็นปลา แต่ระบบสืบพันธุ์เหมือนของมนุษย์ค่ะ แถมอยู่บนบกได้นานเป็นชั่วโมง ฉะนั้นใช้สำหรับเรื่องบนเตียงได้สบายมากค่ะ”
“ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น! แต่หมายถึงความสามารถอย่างอื่นน่ะ”
“อ้อ ถ้าแบบนั้นล่ะก็…เห็นว่าเผ่าเงือกจะมีรูปกายที่งดงาม และเสียงที่ไพเราะเป็นเอกลักษณ์ค่ะ มีลักษณะของการดึงดูดเพศตรงข้ามแบบเดียวกับแวมไพร์ด้วย”
“ใช้ร้องเพลงหรือเรียกแขกได้สินะ งั้นตกลง ผมซื้อ”
พ่อค้าทาสอ้าปากค้างที่ผมยอมตกลงซื้อง่ายๆ
“ตะ แต่ฉันร้องเพลงไม่เป็นนะ”
เงือกสาวรีบปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร ทางนี้มีครูสอนร้องเพลงระดับโปรอยู่”
ใช่ ก็โรสลินมีอาชีพเป็นนักร้องนี่น่า ผมก็กะให้เธอเป็นนักร้องที่โรงแรมอยู่หรอก แต่คงไม่ได้ให้ทำประจำ เพราะงั้นเลยต้องมีนักร้องไว้อีกคน
ผมได้ทาสจากโซนหน้าร้านมาร้อยห้าสิบคน และจากในโซนลดราคาอีกยี่สิบคน จริงๆ อยากได้สักสองร้อยคนนะ ไว้ดูกันอีกที ถ้าไม่ไหวค่อยมาหาซื้อเพิ่ม
ส่วนโซนทาสขยะไม่มีแล้ว เพราะจากที่ผมซื้อพวกฟรานไป ทำให้เกิดเทรนใหม่ขึ้นมา นั้นคือการนำทาสคุณภาพตํ่าไปชุบตัว บางคนขุนขึ้นก็ดีไป แต่พวกที่ขุนไม่ขึ้นก็ไม่เสียหายอะไร เพราะซื้อมาในราคาถูกอยู่แล้ว เพราะงั้นพอมีทาสขยะหลุดมา ก็จะขายออกในทันที พื้นที่ด้านหลังเลยไม่ได้ใช้แล้ว จริงๆ ผมอยากให้เลิกไปเลย และปฏิบัติกับทาสให้ดีกว่านี้ แต่ถ้าดูจากวัฒนธรรมของโลกนี้แล้ว แค่นี้ก็ถือว่าความเป็นอยู่ของทาสระดับล่างดีขึ้นมาเยอะทีเดียว
แต่ช่วงที่มาทำพันธะทาสเนี่ย นานกว่าตอนซื้อซะอีก เพราะการทำพันธะทาสร้อยเจ็ดสิบคนพร้อมกัน ถือว่าเป็นงานช้างเลย กว่าจะกลับออกมาก็เกือบคํ่าแล้ว
รถม้าผมอัดคนเป็นร้อยเข้าไปไม่ไหว เลยต้องให้พ่อค้าทาสนำไปส่งให้ที่คฤหาสน์ ซึ่งเขาก็ยินดีทำให้โดยไม่คิดเงิน ก็แน่ล่ะผมเล่นเหมาสินค้าหมดร้านเลยนี้ ตอนนี้สั่งให้ไปแก้ผ้าเต้นระบำกลางเมืองยังยอมเลย
ผมให้ดาเซสรีบกลับไปที่คฤหาสน์โดยด่วน เพราะใกล้ได้เวลามื้อเย็นแล้ว
“ท่านโรมะ ทำไมถึงต้องรีบซื้อทาสด้วยคะ ไว้โรงแรมสร้างเสร็จแล้วค่อยซื้อก็ได้ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ได้หรอกแบบนั้น การฝึกของผมน่ะมันไม่ธรรมดา ต้องใช้เวลาเรียนรู้จนถึงระดับชำนาญ
ค่อนข้างนาน แถมผมต้องการให้พวกทาสอยู่ในสภาพร่างกายสมบูรณ์ที่สุดด้วย”
“เพราะต้องใช้แรงเยอะสินะคะ”
“เปล่าเลย ตรงกันข้าม งานโรงแรมน่ะถือเป็นงานที่ใช้แรงกายน้อย แต่ที่ใช้มากคือหน้าตาต่างหาก”
“หน้าตา?”
“ใช่ ก็ถ้าเดินเข้าไปในโรงแรม แล้วเจอพนักงานหน้าตาซีดเหมือนขี้โรค มันก็ไม่ค่อยอยากจะเข้าพักแล้วจริงไหม แต่ถ้าเข้าไปเจอคนที่ยิ้มแย้มใบหน้าดูอิ่มเอิบ ก็จะช่วยสร้างบรรยากาศดีๆ ได้แล้ว เพราะงั้นการโรงแรมคืองานที่ว่าด้วยหน้าตาและการบริการ”
“ความคิดของท่านโรมะนี้ลํ้าลึกจริงๆ ฉันอยากเห็นตอนที่โรงแรมเปิดเร็วๆ จังค่ะ”
“ผมด้วย”
พอผมกลับไปถึงคฤหาสน์ ก็เห็นว่ากำลังขนเฟอนิเจอร์กันเข้าไปในอาคารใหม่พอดี จริงๆ ก็มีทั้งพนักงานจากร้านและพวกมังกรอาสาจะช่วยอยู่หรอกนะ แต่พวกเด็กๆ ที่ทาฮากริมพามาอยากทำกันเองมากกว่า เพราะพวกเขาอยากจะทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง
ส่วนพวกสาวๆ กำลังเข้าไปเที่ยวชมวังมังกรของเจ้าหญิงโชที่สร้างเสร็จในครึ่งวัน…งานนี้มีเพนกวินและเผ่ามังกรนอนหมดแรงกันเกลื้อนสนามหญ้าเลย ดูๆ ไปพวกนี้มันยิ่งกว่าแรงงานทาสอีกนะ
ผมแวะไปบอกพวกคนในหอพัก ว่าเดี๋ยวจะมีพวกทาสมาเพิ่มอีก ให้ช่วยจัดห้องและพาไปอาบนํ้า
ด้วย เสร็จแล้วให้ไปหาพวกไรโมดอลเพื่อวัดตัวตัดชุด เพราะจากนี้ไปพวกทาสจะต้องใส่เครื่องแบบที่ผมออกแบบให้ โดยเป็นชุดพนักงานโรงแรมที่เคยเห็นในโลกเก่า ส่วนเรื่องอาหารเย็นเดี๋ยวผมจะเตรียมให้เอง
ถึงต้องเตรียมอาหารสำหรับสองร้อยชีวิต ก็ไม่ได้ยุ่งยากมากขึ้นสักเท่าไร ยิ่งมีเดเม่กับโมอาคอยช่วย การเตรียมอาหารก็ยิ่งเร็วขึ้น แต่ถ้าไม่มีสกิลพ่อบ้านสมบูรณ์แบบช่วย การเตรียมอาหารสำหรับสองร้อยคนนี้ ผมว่าคงไม่มีทางทำได้แน่
“ก กลับมาแล้ว!”
เสียงประตูหน้าเปิดออก พร้อมกับที่ราก้าเดินเข้ามาทิ้งตัวสลบลงบนพื้นทางเดิน
“กลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีก แล้วได้ไหมของที่ขอไป”
“ได้สิ แต่เจ้านายใช้งานได้โหดจริงๆ”
“ก็เธออยากทำงานไม่ใช่เหรอ”
“อะ อืม”
งานที่ผมให้ราก้าทำก็คือ งานหาวัตถุดิบที่ผมต้องการ จากที่คุยดูแล้ว ผมว่าราก้ามีความรู้เรื่องแหล่งวัตถุดิบที่ดีมาก ถึงจะเป็นข้อมูลเก่า แต่โลกนี้ต่อให้เวลาผ่านไปเป็นร้อยปี ก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะเทคโนโลยี่มันยังไม่สูงไงล่ะ แถมธรรมชาติก็คงสภาพไว้ได้อย่างดีเยี่ยม สัตว์ไม่จำเป็นต้องย้ายถิ่นเพราะการบุกรุกของมนุษย์ อัตราการเติบโตของสังคมมนุษย์ก็คงที่ เพราะมีอัตราการตายที่สูง จากภัยคุกคามต่างๆ ถ้ามองในมุมของผม ผมว่าโลกนี้สมดุลมากเลยล่ะ ไม่ใช่มนุษย์ครองโลกและเอาแต่กัดกินโลกเหมือนมะเร็ง
สรุปเนื้อๆ ก็คือ อะไรที่มันอยู่ตรงไหน มันก็อยู่ตรงนั้นแหละสำหรับโลกนี้
และสิ่งที่ผมให้ราก้าไปหามาเป็นอย่างแรกก็คือ…ปู เพราะวัตถุดิบที่ได้มาจากลูปันชั้น 9 มีเพียงแต่ปูเท่านั้นที่ไม่มี มันทำให้ผมรู้สึกขาดอะไรไปในชีวิต เพราะปูน่ะโคตรอร่อยเลย แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้จักปูซะได้ ขนาดอาเดไลท์กับมอเรียยังไม่รู้จักเลย มีแต่ราก้าเท่านั้นแหละที่รู้จักแถมรู้แหล่งที่จะหามาได้ พอออกมาจากดันเจี้ยนผมเลยให้เงินเธอไปและซื้อม้าให้ตัวหนึ่ง เพื่อให้เธอไปตามล่าเอาวัตถุดิบมาให้ผมทันที
ผมเลยเพิ่มปูลงในเมนูอาหารมื้อเย็นไปทันที
มีเมนูเกี่ยวกับปูหลายอย่างเลยที่ผมอยากจะทำ แต่ที่อยากกินสุดในตอนนี้ก็ต้องปูเผาเนี่ยล่ะ
ปกติผมได้กินปูบ่อยๆ ตอนไปเที่ยวบ้านญาติที่ฮอกไกโด แต่ที่ประทับใจสุด กลับเป็นตอนที่ไปกินปูในร้านอาหารแห่งหนึ่งในเขตชินจูกุ ซึ่งมันเป็นร้านสไตร์ปิงย่าง ในนั้นก็มีปูอยู่ด้วย รสชาติของปูเผาในวันนั้นผมยังไม่ลืมเลย*
*ปูย่างไฟ หรือที่บ้านเราเรียกว่าปูเผา เป็นเมนูที่แปลกสำหรับคนญี่ปุ่น เพราะปกติจะไม่นำปูมาปิง แต่จะควักเนื้อสดๆ ออกมาประกอบอาหาร หรือทำเป็นซูปแทน เพราะวัฒนธรรมการกินของคนญี่ปุ่นเป็นแบบประหยัด การมานั่งกินเนื้อปูแบบเพรียวๆ อย่างประเทศไทย เล่นเอาคนญี่ปุ่นช็อคตาตั้งมาเยอะแล้ว
ปล. ไม่ใช่แค่คนญี่ปุ่นนะ แต่มีหลายประเทศช็อคกับการกินของคนไทย เพราะประเทศเราเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยอาหาร ชนิดแค่เดินไปไม่ถึงสิบก้าว
ก็เจอของกินแล้ว แต่ก็อีก ถึงจะมีคนบอกว่าอาหารไทยอร่อยที่สุดในโลก แต่ถ้าเทียบความชอบแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่ชอบอาหารไทยเท่าไร เพราะอาหารไทยรสจัดเกินไป เค็มเกินไป เผ็ดเกินไป มันเกินไป หวานเกินไป เพราะงั้นประเทศไทยเลยมีคนตายเพราะโรคอ้วนและโรคไตติดอันดับท็อปของโลก
เมนูวันนี้จึงมีปูเผาเป็นจานหลัก เสียดายที่มีพอให้แค่คนละตัว ส่วนที่เหลืออีกหน่อยผมเก็บไว้ทำเมนูอย่างอื่นแทน
เรื่องห้องทานอาหารเองก็มีปัญหา เพราะให้ยัดเข้ามานั่งกินในคฤหาสน์หมดคงไม่ไหว ถึงจะอยากนั่งกินพร้อมหน้าพร้อมตากันทุกคน แต่ด้วยจำนวนคนเยอะแบบนี้ ผมเลยต้องให้ไปนั่งกินที่หอของตัวเอง โดยจะให้พวกไรโมดอลยกไปจัดเรียงไว้ให้ ส่วนอันไหนที่ต้อง
บอกวิธีกิน ก็จะเรียกตัวแทนมาสอน และให้ไปสอนๆ ต่ออีกที
อย่างพวกนํ้าจิ้มหรือซอสเนี่ย เป็นของแปลกใหม่สำหรับโลกนี้ ยิ่งผมเรื่องมากกับการกิน แค่ซอสอย่างเดียวก็มีเกือบร้อยชนิดแล้ว เลยต้องติดฉลากบอกชื่อพร้อมกับคำอธิบายการใช้ไว้ข้างขวด
ส่วนของหวานผมคิดว่าพวกมาใหม่ยังเร็วไปสำหรับพุดดิ้ง เลยทำแยกให้เป็นเยลลี่รสผลไม้แทน
พวกสาวๆ พอได้เห็นปูที่เป็นจานหลัก ก็ต่างพากันทำท่าขยับหนี…อ้อ เพราะมันดูเหมือนมอนสเตอร์มากกว่าจะเป็นอาหารนี่น่า ก็เล่นเสริฟแบบทั้งตัวเลย ผมเลยต้องใช้วิธีเหมือนการหลอกเด็ก ด้วยการให้พวกเธอหลับตา และดมเพียงแค่กลิ่น
แค่นั้นแหละ นํ้าลายไหลกันเป็นนํ้าตกเลย
แต่วิธีแกะปูกินค่อนข้างยุ่งยาก ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยด้วย กว่าจะสอนเสร็จพวกเธอก็แทบทนไม่ไหวกันแล้ว และปูหนึ่งตัวสำหรับทุกคน ก็หายวับไปในพริบตาเดียว…ว่าแล้วเชี่ยวอย่างไงตัวหนึ่งก็ไม่พอแน่ๆ
ในตอนหลังพวกสาวๆ ก็พยายามจับมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างเหมือนปูมาให้ผมทุกครั้งที่มีโอกาส นี้ผมทำให้พวกเธอแยกแยะระหว่างของกินกับมอนสเตอร์ไม่ออกแล้วเหรอ?
หลังมื้อเย็น ก็มีปัญหาเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะคริสติน่าเดินเข้ามาแจ้ง ว่าพวกทาสใหม่ที่มากำลังก่อการจารจลกันอยู่
ผมยกมือกุมขมับ วันนี้มันอะไรกันหนักหนาก็ไม่รู้ มีปัญหาได้ทั้งวัน แค่วันเดียวก็มีเรื่องราวเยอะจนเอาไปแต่งนิยายได้เล่มหนึ่งเลย
“ไม่พอใจอะไรกันอีกล่ะ มีทั้งที่อยู่ทั้งอาหาร…หรือว่าเสื้อผ้าเหรอ? รอกันสักวันเลยไม่ได้หรือไงนะ”
ผมเดินไปบ่นไป ก็จริงที่ผมดูแลพวกนั้นไม่ได้เสี้ยวกับที่ดูแลพวกฟราน ก็มันต่างกันนี้ ฟรานเป็นทาสที่ผมซื้อมาเพื่อเอาเข้าฮาเร็มโดยเฉพาะ เลยต้องดูแลดีหน่อย แต่พวกนั้นเป็นทาสที่ซื้อมาทำงานนะ ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ให้สวัสดิการดีอยู่ อย่างน้อยก็มีอาหารสามมื้อพร้อมที่อยู่ฟรี ถ้าเจ็บป่วยก็จะรักษาให้ แค่รอให้พวกไรโมดอลตัดชุดให้วันหนึ่งก็ทนไม่ไหวเลยเหรอ หรือพวกนี้จ้องหาเรื่องเล่นงานเพื่อให้ผมยกเลิกพันธะทาสกัน แบบนี้หรือเปล่านะที่ว่าได้คืบจะเอาศอก
แต่พอเดินไปถึงลานนํ้าพุ ซึ่งพวกทาสกำลังรวมตัวกันอยู่ ผมก็ต้องผงะเพราะมันดูเหมือนม็อปเลย
ที่คริสติน่าบอกว่าก่อการจารจลดูท่าจะไม่ได้พูดเกินจริงเลยแฮะ
“มีอะไรกันเหรอ”
ผมถามโดยรักษานํ้าเสียงไม่ให้สั่น แต่ฟรานเดินลากง้าวคู่ใจมาทางด้านหลังแล้ว คงมาเตรียมเพื่อกรณีเกิดความรุนแรงขึ้นมาล่ะมั่ง
ทาสทุกคนจ้องผมเขม็ง โดนคนเป็นร้อยจ้องใส่เขม็งพร้อมกันแบบนี้ ต่อให้เป็นเสือสิงห์ที่ไหนก็สะดุ้งได้เลยนะ
“ขออภัยนายท่านด้วยครับที่มารบกวน”
มีทาสชายที่เป็นเหมือนตัวแทนทุกคน ก้าวออกมาคุกเข่าตรงหน้าผม
“แต่พวกเรามีเรื่องจะขอร้อง”
“อยากได้อะไรเหรอ”
ผมว่าแล้วพวกนี้ต้องมาเรียกร้องอะไรเพิ่มแน่ๆ แต่ถ้าโลภมากผมจะปล่อยขายให้หมดเลย
“คือว่า…พวกเราอยากอยู่ที่นี้ครับ”
“???”
บนใบหน้าผมเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“ก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้ว พวกนายเป็นทาสของผม ก็ต้องอยู่ที่นี้อยู่แล้ว อ้อ หรือว่าพวกนายอยากจะเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์”
“ไม่บังอาจหรอกครับ! เรื่องเช่นนั้นแม้แต่คิดพวกเราก็ไม่กล้า”
“งั้นมันหมายความว่าไงกันล่ะ”
“ก ก็นายท่านมอบที่พักแสนหรูหราให้ ซํ้ายังประทานอาหารเทพให้อีก”
“เอาเข้าประเด็นเลย ผมงงแล้วเนี่ย”
ว่าแต่อาหารเทพเลยเหรอ ก็รู้หรอกนะว่าอร่อย แต่เรียกว่าอาหารเทพเลยเนี่ยมันเกินไปหน่อยนะ
พวกทาสมองหน้ากันแบบกลัวๆ ก่อนจะมีอีกคนเข้ามาคุกเข่าข้างทาสชาย ซึ่งคนนี้เป็นเพศหญิงและเป็นเผ่าครึ่งสัตว์ ดูจากใบหูน่าจะเป็นสัตว์ตระกูลแมวเหมือนราก้าล่ะมั่ง
“กราบเรียนนายท่าน ค คือพวกเราได้ยินข่าวลือมา”
“ข่าวลือ??”
“ค่ะ มีข่าวลือว่านายท่านจะเก็บทาสอย่างพวกเรามาชุบเลี้ยง จนพอสุขภาพดีแล้วก็จะปล่อยขายให้คนอื่นในราคาแพง”
“หา!?”
มีข่าวลือแบบนั้นด้วยเหรอ อย่างงี้ผมก็เหมือนพ่อค้าทาสเลยนะ
“แต่ทุกคนต่างคิดว่า ขอเพียงได้อยู่ในแดนสวรรค์ของนายท่านเพียงแค่วันเดียวก็ยังดี ซึ่งพวกเราทำใจรับเรื่องนั้นไว้แล้ว ทว่า…พอได้มาสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว มันยิ่งกว่าที่จิตนาการไว้อีกค่ะ พอได้เห็นเตียงที่แสนนุ่มอุ่นสบาย พอได้ทานอาหารเทพที่แสนเลิศรสจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ถ้าต้องพรากไปจากที่นี้ จิตใจของพวกเราต้องแตกสลายแน่ๆ”
“หา!?”
คือผมอึ้งจนพูดไม่ออกน่ะ ว่าในช่วงแรกๆ พวกฟรานเวอร์แล้วนะ แต่เจ้าพวกนี้เวอร์กว่าได้อีก
พอเห็นผมทำหน้าปั้นยากขึ้นมา ทาสชายเลยรีบพูดออกมาต่อ
“ถึงพวกเราจะไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากนายท่าน แต่ขอเพียงนายท่านไม่ขายพวกเราไป ทาสหญิงก็จะยินดีให้นายท่านยํ่ายีได้ตามใจชอบ ส่วนทาสชายจะยอมทำงานใช้แรงงานให้กับนายท่านจนกว่าจะสิ้นใจตาย พวกเราจะไม่มีปริปากร้องความเมตตาแม้แต่คำเดียวเลยครับ ขอนายท่านรับไว้พิจารณาด้วยเถอะครับ”
จากนั้นพวกทาสก็พากันคุกเข่าลงก้มหัวขอร้องอย่างพร้อมเพียง
“…อาเดไลท์ วานอธิบายให้พวกนี้ฟังทีนะ ผมรู้สึกเพลียสุดๆ เลย”
“คิกๆๆ โรมะไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันอธิบายให้พวกสมาชิกใหม่ฟังเอง”
แล้วผมก็ปล่อยให้อาเดไลท์จัดการอธิบายแก้ความเข้าใจผิดให้ ส่วนผมมานั่งหมดแรงอยู่ที่ห้องนั่งเล่น พร้อมให้กินมานอนหนุนตักและลูบหัวเธอไปเพื่อเยียวยาจิตใจ
มาคิดๆ ดูเพราะผมไม่ได้อธิบายหรือพูดคุยกับพวกทาสใหม่ซะก่อน เลยเกิดเป็นความเข้าใจผิดแบบนี้ขึ้นมาได้ ถือเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากตัวผมเอง ทีหลังต้องทำอะไรให้ชัดเจนกว่านี้
แต่เรื่องผิดพลาดของผม กลายเป็นเรื่องตลกขบขันของสาวๆ ไปซะได้ จนถึงตอนนี้พวกเธอยังขำ
กันไม่หยุดเลย ผมเลยต้องหนีความอับอายเข้าไปในครัว เพื่อคิดค้นลองทำเมนูใหม่ที่จะใช้กับโรงแรม ที่คิดๆ ไว้ จะเป็นอาหารที่ทำง่ายและใช้เวลาน้อย แต่แน่นอนว่าต้องอร่อย ที่คิดๆ ไว้ก็มีเคบับแล้วอย่างหนึ่ง
เคบับเป็นอาหารของประเทศตุรกี ซึ่งเป็นอาหารที่ใช้เวลาในการเตรียมไม่มาก ถ้าเทียบกับปริมาณอาหารที่ทำออกมา เพียงแค่นำเนื้อหรือไก่ที่ปรุงและหมักไว้ออกมาย่างแบบเสียบเหล็กย่างไฟ แล้วแล่ออกมาไว้ในแป้งเติมผักและใส่ซอสเข้าไปก็พร้อมเสริฟแล้ว แต่ผมอยากได้รสชาติที่เป็นออริจินอล เลยลองเปลี่ยนวัตถุดิบดูเพื่อหาอันที่เหมาะที่สุด ตอนนี้จึงต้องมาทดลองทำดู
แต่พอได้กลิ่นอาหาร พวกสาวๆ ก็มานั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้ว นี้ยังไม่อิ่มกันอีกเหรอ แต่นี้เป็นอาหารทดลอง ถ้าไม่มั่นใจว่าอร่อยผมจะไม่เสริฟขึ้นโต๊ะเด็ดขาด
เลยไล่พวกเธอให้ไปอาบนํ้าซะ โดยเซ่นพวกเธอด้วยพุดดิ้งคนละถ้วยถึงจะยอมไปกัน
ระหว่างนั้นอาเดไลท์ก็มารายงานว่าพวกทาสกลับไปที่หอแล้ว แต่ยังมีพวกที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี ซึ่งก็ต้องใช้เวลาล่ะนะถึงจะทำให้เชื่อได้สนิทใจ
แต่ปัญหายังไม่จบ เพราะแทบทุกครึ่งชั่วโมงที่คริสติน่าจะเข้ามาบอก ว่ามีทาสจะขอเข้าพบผม
ทาสคนแรก
“น นายท่านครับ จะให้ผมนอนหนุนเจ้าสิ่งที่แสนนุ่มนิ่มเช่นนี้ไม่ได้หรอกครับ!”
เขามาคุกเข่าตรงหน้าผมพร้อมกับชูหมอนขึ้นมา…แค่หมอนเองนะ ยังจะเยอะได้อีก
ทาสคนที่สอง
“น นายท่านคะ ให้พวกเราสองคนอยู่ในห้องกว้างใหญ่เช่นนั้น พวกเราจะต้องโดนท่านเทพลงโทษแน่ๆ ค่ะ!”
ทาสคนที่สาม
“นายท่านๆ! ที่ห้องมีกล่องที่ให้แสงสว่างออกมาด้วย มันดูเป็นของมีราคามากเลย หนูเลยเอามาคืนให้ค่ะ”
ทาสเด็กผู้หญิงคนนี้เอาตะเกียงมาคืนให้…
และทั้งหมดก็โดนผมไล่กลับไปนอน เพื่อแก้ปัญหาผมเลยไปขอร้องพวกกรอเรีย ที่ตอนนี้หนีไปอยู่ที่อาคารหอพักแล้ว ให้ช่วยดูแลพวกทาสอย่างน้อยก็คอยช่วยตอบคำถามพวกนั้นให้หน่อย แต่กรอเรียกลับมีบ่นใส่ผมแทน ว่าผมเลี้ยงทาสหรูเกินไป พวกนั้นเลยทำตัวไม่ถูก เพราะงั้นผมนั้นแหละที่ผิด…เป็นงั้นไป
ตอนที่เดินกลับคฤหาสน์ ผมเงยมองท้องฟ้า และเผลอยิ้มออกมาอย่างยินดี ที่วันที่แสนวุ่นวายของผมมันจบลงได้สักที
ตอนที่ 118 แผนงานพัฒนาบุคลากร
คืนวันนี้พวกสาวๆ ไม่ได้มาที่ห้องผม เพราะพวกเธอรู้ว่าผมกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมพร้อมสร้างโรงแรม รวมถึงโครงการสร้างโบสถ์ด้วย จึงไม่มารบกวนและให้ผมมีเวลาและสมาธิกับงานได้อย่างเต็มที่
จะมีก็แค่เดเม่ที่มานอนเฝ้าผมตรงโซฟา และจะลุกขึ้นมาทุกชั่วโมงเพื่อคอยอุ่นชาให้ ถึงจะไล่ไปนอนที่ห้องก็ไม่ยอมไป ผมเลยปล่อยเธอทำตามใจชอบ ช่วงดึกก็มีฟรานที่แวะเข้ามา เธอทั้งช่วยนวดไหล่ให้ และคอยจัดเรียงหรือเก็บเอกสารที่ผมทำไว้ให้เป็นระเบียบ
ถึงแม้จะเล็กน้อยแต่มันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ แถมยังมีไฟในการทำงานยิ่งขึ้นไปอีก
ปกติแล้วตอนอยู่คฤหาสน์ ถ้าตกดึกทีไรผมก็จะออกไปข้างนอกทุกที แต่วันนี้ผมกลับอยู่ติดที่ได้ นั้นเลยทำให้ฟรานรู้สึกดีใจแบบสุดๆ เธอเลยยิ้มไม่หุบเลย
เรื่องจุดที่จะสร้างโบสถ์ใหญ่ กรอเรียขอพื้นที่ใกล้แนวป่า เพราะถ้าจะมาอยู่ใกล้คฤหาสน์กลัวจะเป็นการรบกวนผมเกินไป ทีแรกก็เป็นห่วงอยู่ ว่าใกล้ป่าเกินไปจะมีปัญหาเรื่องมอนสเตอร์มาโจมตีได้ แต่พอรู้ว่ามอนสเตอร์ในป่าตอนนี้ เป็นมอนสเตอร์ของคฤหาสน์ทั้งหมด ก็หมดปัญหาไปทันที
แต่ถ้าเดินมาจากเมืองมันจะไม่มีถนน ซึ่งค่อนข้างไกลสำหรับเด็ก ผมเลยว่าจะสร้างถนนจากเมืองมาที่คฤหาสน์กับโบสถ์ด้วย ส่วนเรื่องแบบก่อสร้าง
เนื่องจากต้องยึดเอาลักษณ์ของโบสถ์ใหญ่ ผมเลยไม่เข้าไปยุ่งในจุดนั้น และหันมาเตรียมเรื่องอุปกรณ์ในการเรียนการสอนรวมถึงพวกหนังสือด้วย
ผมถามจากมอเรียแล้ว การเปิดสอนหนังสือนั้นไม่ต้องขออนุญาตจากทางการ แถมยังไม่ต้องจ่ายภาษีด้วย แต่ว่าก็ไม่ได้มีนโยบายสนับสนุนอะไร ส่วนเรื่องหลักสูตรการสอนผมถามเอาจากเมยอา คำตอบที่ได้นั้นทำให้ผมช็อคพอสมควร เพราะในระดับหลักสูตรสองปีนั้น มีแค่สอนให้อ่านออกเขียนได้ และคำนวณได้นิดหน่อยเท่านั้น
ถ้าใครอยากจะเรียนเพิ่มก็ต้องแยกไปเข้าโรงเรียนตามสายวิชา เช่นโรงช่างตีเหล็ก โรงเรียนเวทมนต์ วิหารศักดิ์สิทธิ์ สำนักดาบ วิทยาลัยการค้า
ระยะเวลาการเรียนก็ต่างกันไป มีตั้งแต่หนึ่งปีไปจนถึงห้าปี
ของมิรินเคยเรียนที่โรงเรียนเวทมนต์แบบหลักสูตรสูงสุด คือ 5 ปี ในโครต้าเด็กพรสวรรค์ แถมเพราะมีความสามารถสูงเลยจบได้ในเวลาแค่ 3 ปีครึ่งก่อนจะออกเดินทางไปกับผู้กล้า เคสแบบมิรินจะหายาก เพราะต้องมีพรสวรรค์ในระดับที่ยอมรับถึงจะได้เรียนฟรี
ส่วนของเมยอานอกจากหลักสูตรพื้นฐานสองปีแล้ว ก็ไปเรียนที่วิทยาลัยการค้าหลักสูตรหนึ่งปี แต่ไม่จบเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนในครึ่งปีหลัง
แต่เท่าที่ฟังดู เห็นว่าหลักสูตรแต่ล่ะแห่งจะแต่งต่างกันไป ที่โลกนี้เหมือนกับว่าจะไม่มีหลักสูตรที่เป็นสากล แต่เป็นองค์ความรู้แบบที่สืบทอดกันมาตามท้องถิ่น มีแต่หลักสูตรพื้นฐานเท่านั้นแหละที่คล้ายๆ กัน
จะว่าไงดีล่ะ ผมว่าหลักสูตรแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มันทำให้ได้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนนานเป็นสิบๆ ปี แต่เรียนอย่างมากสุดแค่ 7 ปี (พื้นฐานสอง+หลักสูตรสูดสุดห้า) แล้วก็ออกมาทำงานตามสายวิชาที่เรียนมาเลย
แต่ก็มีข้อเสีย คือจะไม่ค่อยมีความรู้รอบตัว คือฉลาดเรื่องเดียวแล้วที่เหลือโง่หมด ถ้าจะไปเรียนให้ได้หลายวิชาก็จะกลายเป็นว่าเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีก อย่างถ้าจะเป็นทั้งนักดาบ นักเวท และช่างตีเหล็ก อาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เกินสิบปี ซึ่งถ้าเทียบกับโลกเก่าแล้ว แค่ปีเดียวก็เรียนรู้ได้หลายแขนงวิชาแล้ว (แต่ไม่เชี่ยวชาญสักอย่าง)
ผมไม่รู้ว่าแบบไหนดีกว่ากัน แต่ก็ไม่คิดจะไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่โลกนี้เป็นอยู่ เพราะโลกนี้มีความเป็น
แฟนตาซีแบบย้อนยุค ซึ่งผมว่ามันมีเสน่ห์ของมัน ถ้าทำให้โลกนี้เจริญเกินไป เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไปเป็นโลกแบบเก่าที่แค่เจริญและดูดีแค่ข้างนอกแต่ข้างในเน่าเฟะจนไม่สามารถเยียวยาได้แล้วนั้นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมยังไม่อยากจะปล่อยแท่นวาปร์ไปสู่มือคนอื่น
เรื่องหลักสูตรพื้นฐานผมเลยเอาไว้คงเดิม แต่ย่อขนาดมันให้เรียนรู้ได้ในหนึ่งปี และจะเสริมวิชาอื่นลงไป เช่นประวัติศาสตร์ที่จะให้เรียนรู้กันผ่านการเล่านิทาน วิชาดาบไหนๆ ก็มีพวกอัศวินอยู่ด้วยคงพอสอนได้ เพราะโลกนี้ถ้าไม่รู้วิชาต่อสู้เลยคงอยู่ยาก และอีกวิชาที่อยากจะใส่ลงไปคือศิลปะ ถึงคนจะมองว่ามันไร้สาระก็เถอะ แต่ผมเห็นความสำคัญของมันอยู่ อย่างน้อยก็เป็นสิ่งปลอบประโลมให้โลกมันน่าอยู่ขึ้นล่ะนะ ไม่รู้จะเยอะเกินไปหรือเปล่า เพราะต้องเหลือที่ให้กับการสอนศาสนา
ของพวกกรอเรียด้วย เอาไว้ดูของจริงก่อนดีกว่า ถ้าเด็กรับได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ค่อยปรับลดลง
หลังจากวางหลักสูตรเสร็จ ผมก็นั่งทำรายการต่างๆ ต่อ เช่น แรงงานก่อสร้าง ซึ่งต้องแบ่งเป็นสองทีม คือทีมที่สร้างโบสถ์กับทีมที่สร้างโรงแรม ซึ่งจากที่ดูแล้ว พวกแฟรี่คงต้องให้ไปช่วยสร้างโรงแรม เพราะต้องมีการขนย้ายและขนาดก็ใหญ่กว่ามาก
ผมเองก็ไม่ใช่วิศวกรหรือสถาปนิก เลยเขียนแบบแปลนไม่เก่ง แต่มียูรินอยู่ด้วย แค่เห็นแบบคราวๆ ว่าจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไง ที่เหลือเธอสามารถเพิ่มและปะติดปะต่อมันเข้าไปได้เอง ถือว่าช่วยผมได้มากแบบสุดๆ เลย
โรงแรมที่ผมจะสร้างนั้นสามารถลองรับแขกได้เป็นพันๆ คน โดยจะคงความคลาสสิกของโลกนี้ไว้
โดนจะสร้างบาร์เหล้ารวมกับร้านอาหารไว้ชั้นล่าง แต่เพิ่มความหรูหราของขนาดให้เหมือนโรงแรมของโลกเก่า การบริการและการจัดการเองก็จะเปลี่ยนด้วย
อย่างที่โลกนี้โรงแรมจะไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเตียงให้เลย เตียงก็จะเป็นไม้แข็งๆวางด้านบนด้วยฟางและปูผ้าทับ แต่นี้ผมจะใช้เตียงแบบที่ใช้แบบเดียวกับที่คฤหาสน์ ซึ่งนุ่มและอุ่นสบาย แบบเดียวกับหมอนที่ใช้ขนไก่หรือขนนกมายัดไว้ ส่วนผ้าปูเตียงก็จะมีการเปลี่ยนและทำความสะอาดห้องทุกวัน
และสิ่งหนึ่งที่โรงแรมในโลกนี้ไม่มีก็คือ ห้องนํ้า
ห้องนํ้าในโรงแรมนั้น จะเป็นแบบรวมซึ่งมีอยู่ห้องเดียว ความสะอาดนี้สกปรกไม่สามารถวัดค่าได้
แถมไม่มีที่ให้อาบนํ้า จะทำได้ก็แค่มีนํ้าถังหนึ่งกับผ้าให้เช็ดตัวภายในห้องเอา
เพราะงั้นโรงแรมของผมจะมีห้องนํ้าในตัว แต่จะให้ติดชักโครกเลยเนี่ยลำบากไปหน่อย เอาแบบส้วมหลุมไปก่อนล่ะกัน ไว้ถ้ามีเวลาค่อยไปเปลี่ยนเอาทีหลัง แต่อย่างน้อยต้องมีฝักบัวไว้อาบนํ้า เคยถามเรื่องระบบท่อส่งนํ้ากับฝักบัวจากยูรินแล้ว ซึ่งเธอสามารถสร้างได้ไม่มีปัญหา
ปัญหาเรื่องนํ้าเองผมก็คิดไว้แล้ว ว่าจะสร้างแท็งค์ใส่นํ้าเอาไว้ และติดตั้งอุปกรณ์เวทที่ปล่อยนํ้าออกมาได้เอง
นอกจากนี้ยังมีส่วนสันทนาการ เช่นสระว่ายนํ้า ร้านค้า รวมถึงร้านอาวุธชุดเกราะด้วย แต่ส่วนที่เน้นที่สุดก็คือส่วนของบาร์เหล้ากับร้านอาหารนั้นแหละ
เพราะผมตั้งใจจะสร้างให้ลองรับคนได้มากกว่าแขกที่มาพัก เพราะต้องคำนวนในส่วนของพวกขาจรแบบมาเช้าเย็นกลับด้วย เลยจะสร้างให้มีความจุเป็นเท่าหนึ่งของจำนวนแขกที่มาพัก ตรงนี้แหละที่จะมีปัญหา
เพราะถ้าขนาดกว้างเกินไป การดูแลและบริการจะไม่ทั่วถึง ผมต้องวางโครงสร้างและตำแหน่งการตั้งโต๊ะให้ดี ที่จะทำให้พนักงานมองเห็นและเดินไปหาได้ง่ายที่สุด ซึ่งต้องไม่ขัดแย้งกับพื้นที่ของโรงแรมที่วางไว้ด้วย นับเป็นงานที่หินเอาเรื่อง
กว่าผมจะวางรายละเอียดทุกอย่างเสร็จก็เช้าพอดี หลังจากนี้ก็ให้อาเดไลท์ตรวจดูอีกรอบ จากนั้นก็ให้เมยอาทำสำเนาไว้อีกชุดเก็บไว้ ก่อนจะแจกจ่ายงานออกไปตามสายงานที่ระบุไว้
ผมเองก็บอกพวกสาวๆ ไว้แล้วล่ะ ว่าช่วงนี้อาจจะยุ่งๆ กันหน่อย แต่ทุกคนก็พร้อมช่วยงานผมเต็มที่ จะมีแต่สองตัวขี้เกียจประจำบ้าน อย่างเอร่ากับเจ้าหญิงโช ที่ขอนอนรอดูเฉยๆ ดีกว่า กับเจ้าหญิงโชผมไม่ว่าอะไรหรอก เพราะถึงเธอจะเอาแต่นอนเฉยๆ แต่ก็ยังสั่งให้ลูกน้องมาช่วยงานผม แต่เอร่าเนี่ยสิ…เอาเป็นว่าช่วงนี้อย่าไปพูดถึงเธอ และทำเป็นว่าเธอไม่มีตนตัวไปก่อนล่ะกัน
หลังมื้อเช้า ผมก็เรียกให้ทุกคนมารวมกันที่ทุ่งหญ้า เพราะแถวนี้กว้าง และพื้นเป็นหญ้านั่งได้สบาย อย่างแรกที่ทำคือแนะนำตัวเอง ซึ่งทุกคนต่างรู้จักผมอยู่แล้ว จากนั้นก็ให้พวกสาวๆ แนะนำตัวเองไปทีละคน พร้อมกับบอกตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองไปด้วย
ผมให้อาเดไลท์แนะนำตัวเป็นคนแรก เพราะเธอเป็นคนที่ดูมีความมั่นใจและไม่ตื่นคนง่าย
“ฉันชื่ออาเดไลท์ค่ะ โรมะเป็นคนไถ่ตัวฉันมา เพราะงั้นเขาเลยเป็นเจ้าของฉัน ส่วนหน้าที่ตอนนี้ฉันกำลังฝึกเรียนรู้หลายๆ อย่างจากโรมะอยู่ ฝากตัวด้วยนะคะ”
“อาเดไลท์เธอเป็นเลขาของผม และเป็นผู้จัดการของคฤหาสน์ สามารถตัดสินใจเรื่องต่างๆ แทนผมได้”
ผมเสริมต่อส่วนที่อาเดไลท์ตกไป แต่เจ้าตัวเองยังประหลาดใจ สายตาบ่งบอกชัดเจน ว่าเธอไม่คิดว่าผมจะให้ความสำคัญถึงขนาดนี้
ต่อไปก็เป็นฟราน
“หนูชื่อฟรานซิสก้าค่ะ เป็นทาสของนายท่านโรมะ ทำหน้าที่ทุกอย่างที่นายท่านมอบหมายให้ นอกเหนือจากนั้นก็เป็นผู้พิทักษ์ปกป้องนายท่านด้วยชีวิต”
ของฟรานนี้รวบรัดและครบถ้วน แทบไม่มีอะไรให้ผมเสริมเลยแฮะ
“ถึงฟรานจะยังเด็ก แต่ความสามารถของเธอสูงกว่าผู้ใหญ่ซะอีก ช่วยให้ความเคารพและยำเกรงเธอด้วยนะ”
จากนั้นก็ไล่ตามลำดับที่ยืนเรียงกันด้านหลังผม โดยมีเดเม่ยืนอยู่หัวแถว
“เดเม่ค่ะ เป็นทาสรับใช้นายท่านโรมะเพียงผู้เดียว และเป็นเมดตามที่นายท่านได้แต่งตั้งให้ ปกติ
ดูแลเรื่องการจัดซื้อเสบียงและแบ่งเบาภาระในการทำอาหารของนายท่านค่ะ”
แล้วตอนไม่ปกติล่ะ?
สีหน้าของทุกคนเหมือนมีคำถามนั้นขึ้นมา
“ยูริน เป็นช่างตีเหล็ก โรมะเป็นเจ้านาย”
…
สั้นซะจนทุกคนทำหน้ามึนเลย แต่ก็สมเป็นยูรินล่ะนะ
“ดาเซส เป็นทาสเหมือนกัน แต่ฉันทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเป็นหลัก พวกนายเองถ้าทำตัวมีปัญหาก็ได้เจอฉันแน่”
“ม โมอาค่ะ ปะ เป็นทาส มะ ไม่ใช่ๆ เป็นลูกจ้างค่ะ ทำหน้าที่ทั้งคนรับใช้และคนสวนค่ะ”
โมอาตื่นเต้นจนพูดผิดหรือเผลอพูดความในใจออกมาล่ะนั่น
“ฉันเมยอา เป็นนักบัญชีตามที่นายท่านยัดเหยียดให้ เรื่องเงินเดือนกับค่าใช้จ่ายให้มาเบิกกับฉัน”
ขนาดแนะนำตัวยังมาจิกกัดผมได้อีก
“ข้าคือดอเรีย เป็นคนดูแลคลังอาวุธ”
ดอเรียเองก็แนะนำตัวสั้นๆ แต่เธอดูจะเขินมาก ที่ต้องมาพูดต่อหน้าคนเยอะๆ เลยรีบๆ พูดให้จบไป
“มอเรียค่ะ เคยเป็นพนักงานกิลนักผจญภัย แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงพักงาน ถึงจะไม่มีหน้าที่การงานอะไรชัดเจน แต่ถ้าใครมีอะไรสงสัยอยากรู้ ก็ให้มาถามฉันได้นะคะ”
มีสิมอเรีย เธอน่ะเป็นวิกีพีเดียประจำตัวผมนะ!
“อ เอสเตอร์ค่ะ! ฝากตัวด้วย ท ท่านโรมะพาตัวฉันมาจากสลัม และเปลี่ยนชีวิตฉันค่ะ ส่วนหน้าที่ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ คล้ายๆ คอยตรวจสอบคุณภาพสิ่งของต่างล่ะมั่ง?”
รายนี้ก็ตื่นเต้นจนเผลอตะโกนออกมา แถมพูดสลับกันไปมาจนตัวเองงงเองแล้ว
“ใจเย็นๆ ค่อยๆ หายใจเข้าออกนะเอส”
“ค ค่ะ”
มิรินปลอบเอสเตอร์ ก่อนจะหันมายิ้มและแนะนำตัวเอง
“ฉันชื่อมิริน มีอาชีพเป็นจอมเวท ส่วนงานในคฤหาสน์ก็ดูแลเรื่องห้องสมุด ถ้าใครอยากอ่านหนังสืออะไรก็มาบอกฉันได้”
มิรินเองก็ยังคงดูใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่ ไม่พูดอะไรให้มากเกินไปและไม่ร้อนรนจนผิดพลาด
“สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อซาคุยะ เป็นทาสต่อสู้ ปกติทำประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ ทำได้เพียงแค่ลงดันเจี้ยนเท่านั้น”
“อ้อ ซาคุยะ เรื่องหน้าที่ของเธอน่ะ จากนี้ไปเธอต้องเป็นหัวหน้าทาสน่ะ”
ผมนึกคนที่จะมารับหน้าที่นี้ตั้งแต่ตอนไปซื้อทาสล่ะ แต่เมื่อวานมันมีปัญหาเยอะซะจนลืม ได้โอกาสบอกตอนนี้ซะเลย ผมว่าเธอเหมาะสมในหลายๆ ด้าน เช่นเธอเป็นประธานนักเรียนมาก่อน ต้องรู้จักการ
ดูแลคนเยอะๆ ได้อยู่แล้ว แถมบุคลิกเธอเองก็น่าเคารพ และที่สำคัญเธอเป็นคนโลกเก่าแบบผม กับทาสเธอไม่ปฏิบัติแบบที่คนในโลกนี้ทำแน่ ผมจึงวางใจให้เธอเป็นคนดูแล
“…จะดีเหรอ”
“ถ้าเธอไม่รังเกียจตำแหน่งนี้ล่ะก็นะ เธอเหมาะสมสุดๆ เลย”
“ขอบใจที่ไว้วางใจนะ ฉันจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด”
พอซาคุยะรับคำ พวกทาสก็พากันตบมือแบบไม่ได้นัดหมายไว้ คงพอใจที่ได้หัวหน้าเป็นสาวสวยที่บุคลิกน่าเชื่อถือล่ะมั่ง
“ฉ ฉันโรสลินค่ะ เป็นทาสของนายท่านโรมะ หน้าที่คอยช่วยงานของคุณโมอาค่ะ อาจจะทำตัวเป็นภาระให้ทุกคน รบกวนด้วยนะคะ”
“จามิร่า! ข้าชอบสร้างกำแพง เรื่องแรง ไว้ใจ”
โรสลินก็เป็นคนขี้อายและไม่มั่นใจในตัวเอง ส่วนจามิร่านี้…เพราะช่วงลงดันเจี้ยนหยุดเรียนหนังสือไป เลยกลับมาพูดไม่ค่อยรู้เรื่องอีกล่ะ
“ฮะแอ่ม ถึงจะเห็นสองคนนี้บอบบางน่ารักก็นะ แต่ทั้งสองเป็นยักษ์ อย่าเผลอไปทำให้พวกเธอโกรธล่ะ”
ผมเตือนออกไป พวกทาสเลยพากันอ้าปากเหวอไปเลย จามิร่าน่ะยังพอดูเหมือนยักษ์บ้าง แต่โรสลิน
นี้ไม่มีอะไรที่เหมือนยักษ์สักนิด และเสริมอีกนิด คำว่าอ่อนแอขี้โรคของเผ่ายักษ์น่ะ ก็ยังพอมีแรงพอจะหักคอคนได้สบายๆ เลยนะ
“ตาข้าเหรอ? เอ่อ ข้าชื่อราก้า เป็นคนมาอยู่ใหม่เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยอยู่ติดที่หรอกนะ เพราะหน้าที่คือต้องคอยออกไปหาวัตถุดิบให้กับโรมะ”
“ราก้า ช่วงที่ไม่มีงาน ก็ช่วยดูแลพวกเผ่าครึ่งสัตว์ด้วยนะ เพราะวัฒนธรรมบางอย่างจะต่างจากเผ่าอื่น ถ้าเธอเป็นคงรู้ใช่ไหม”
“อืม ไว้ใจได้เลย อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าของชอบของเผ่าไหนเป็นอะไร”
“อืมดีมาก ฝากด้วยนะ”
จากนั้นก็เป็นพวกกรอเรียที่แนะนำตัว เพราะดูท่าเธอจะไม่ยอมไปไหนล่ะ เลยให้พวกทาสรู้จักไว้ก็ดี
“ยังเหลือใครอีก”
ผมกวาดสายไปรอบๆ จนเห็นกินที่กำลังวิ่งสี่เท้าไล่กวดพวกแฟรี่อยู่ไกล เลยผิวปากเรียก กับกินน่ะเรียกแบบปกติไม่ค่อยมาหรอก ต้องใช้วิธีผิวปากเอา
“กิน นํ้าเชื้อของนายท่านอร่อยมาก!”
พอเลย เล่นแนะนำตัวแบบนี้ผมก็เดือดร้อนสิ! ผมเลยรีบปิดปาก และส่งตัวให้กับดอเรียไป
“กินเป็นมอนสเตอร์เผ่าจิ้งจอกเก้าหาง ถ้าเวลาอิ่มท้องก็ไม่ดุร้ายอะไรหรอก เอ่อ แต่ทางที่ดีก็ระวังตัวไว้ อย่าไปทำตัวให้ดูน่าอร่อยต่อหน้ากินล่ะกันนะ”
พวกทาสหน้าซีดยิ่งกว่าตอนแนะนำตัวพวกโรสลินซะอีก
“โรมะล้อเล่นน่ะ ทุกคนไม่ต้องกลัวหรอก กินก็เหมือนกับมอนสเตอร์ที่อยู่ที่นี้ ไม่มีทั้งความดุร้ายและก้าวร้าว”
ซาคุยะทำหน้าที่ทันที แต่ตะกี้ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ตอนเผลอๆ กินยังชอบมางับหัวผมเล่นเลย
“จริงสิ ยังมีอีกคนหนึ่ง”
ผมทำท่านึกขึ้นได้ ก็จะล้วงมือเข้าไปในเงาตัวเอง ก่อนจะดึงตัวเรโมริก้าขึ้นมา ซึ่งตอนนี้เธอกลับไปอยู่ในร่างเด็กเลยเหมือนฟราน ทำให้พวกทาสทำหน้างงกัน
“เรโมริก้าแนะนำตัวทีครับ”
“เราไม่ค่อยโผล่หน้าให้ใครเห็นอยู่แล้ว จริงๆ ไม่ต้องแนะนำตัวก็ได้นะ แต่ถ้าท่านโรมะต้องการล่ะก็ เราก็ไม่ปฏิเสธ”
เรโมริก้าหันไปทางพวกทาส พลางดึงแขนของฟรานมาจนตัวแนบติดกัน และชูสองนิ้วขึ้นมา
“ดีจ้า เราชื่อเรโมริก้า เป็นแม่ที่แสนน่ารักของฟราน หน้าที่ก็เหมือนๆ กัน คือการดูแลปกป้องนายท่านโรมะ แล้วก็เป็นแวมไพร์ด้วยล่ะน่อ อยู่ที่นี้ก็อย่าห้าวนะจ๊ะ ไม่งั้นโดนดูดเลือดหมดตัวจะหาว่าไม่เตือน ฮุๆๆ”
นั้นแนะนำตัวหรือขู่กรรโชกกันแน่ แถมยังทำท่าน่ารักไม่สมอายุอีก ดูไม่ออกแล้วสิใครเป็นแม่ใครเป็นลูก ส่วนพวกทาสรีบพากันพยักหน้ารับใหญ่เลย
“อืม ทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละ”
พอผมตัดจบการแนะนำตัว ทาสคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นมา
“ประทานโทษค่ะนายท่าน แล้วคนนั้นล่ะคะ?”
ทาสสาวชี้ไปยังเอร่าที่นอนเกาพุงอยู่
“อ้อ นั้นชื่อเอร่า คิดว่าเป็นแมวที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่งล่ะกัน”
พวกทาสมองเอร่าแบบยิ่งสงสัยไปกันใหญ่ แต่ไม่รู้จะแนะนำอย่างไงดี ปกติก็เอาแต่กินแล้วก็นอน ไม่เคยช่วยงานเลย แบบนี้มันก็ไม่ต่างจากแมวเลยถูกไหม เพราะงั้นจงเป็นแมวไปซะเอร่า
ตอนที่คิดว่าการแนะนำตัวเสร็จแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงแตรดังขึ้นมา ผมกับคนอื่นๆ มองไปยังต้นเสียง ก็เห็นขบวนแห่ของเจ้าหญิงโชกำลังตรงมาทางนี้
“ฮ่าๆๆ ลืมข้าไปแล้วเหรอที่รัก”
“…งั้นเชิญแนะนำตัวเลยครับ เจ้าหญิงโช”
“จงฟังเจ้าพวกตํ่าต้อย! นามของข้าคือโช! ข้าอนุญาตให้เรียกข้าว่าเจ้าหญิงโชได้ จงรับใช้ที่รักของข้าให้ดีล่ะ เพราะเขาคืออัครมหาเทวะที่ลงมาจุติเพื่อเผ่ามังกร”
“ทุกคน ไม่ต้องใส่ใจกับที่เจ้าหญิงโชบอกหรอก เธอเองก็พึ่งมาใหม่ เลยยังปรับตัวไม่ได้น่ะ”
ผมปล่อยให้เจ้าหญิงโชพล่ามไป ส่วนตัวเองก็หันไปบอกกับพวกทาสด้วย แต่การที่เล่นหามเกี้ยว
กันมาแบบนี้ พวกทาสเลยเกิดความยํ่าเกรงต่อเจ้าหญิงโชเป็นอย่างมาก แถมเสียงเธอเองก็ดูมีพลังอำนาจซะด้วย
จากนั้นผมก็ให้พวกทาสแนะนำตัวเองบ้าง ผมจำได้ไม่หมดทุกคนหรอก แต่อย่างน้อยก็อยากให้พวกเขาได้จำหน้าจำชื่อคนที่อยู่ข้างๆ ได้ ส่วนเป้าหมายหลักคือให้เมยอาจดชื่อทำเป็นข้อมูล แต่ก็มีปัญหาอีกอย่าง…ทาสบางคนไม่มีกระทั่งชื่อ งานนี้เลยต้องตั้งชื่อให้ ซึ่งผมยกให้เป็นหน้าที่ของอาเดไลท์ เพราะการได้เจ้าหญิงเป็นคนตั้งชื่อให้ ตอนที่รู้ความจริงเรื่องนี้พวกทาสจะได้รู้สึกภูมิใจ
เสร็จแล้วผมก็ให้แยกพวกทาสที่ป่วยหรือพิการออกมา กลุ่มนี้แน่นอนว่าต้องรักษาด้วยยาแยมขาวของผม ที่เหลือก็แบ่งตามอายุ…มีปัญหาอีกแล้ว เมื่อ
วานตอนที่ซื้อมา ผมซื้อแบบเหมา เลยไม่ทันดู เพราะในกลุ่มทาสนั้นมีพวกที่เป็นเด็กๆ อยู่ด้วย บางคนอายุแค่ 7-8 ขวบเอง คงยังให้มาทำงานไม่ได้
“ใครที่อายุ ไม่ถึง 12 แยกมาทางนี้”
พอผมบอก พวกทาสเด็กก็ลุกกันขึ้นมาแบบกล้าๆ กลัวๆ บางคนร้องไห้แล้ว คงกำลังคิดว่าตัวเองเป็นเด็กใช้งานไม่ได้ เลยกำลังจะโดนกำจัดทิ้งล่ะมั่ง
กลุ่มทาสเด็กมีกันยี่สิบกว่าคนเลย ส่วนใหญ่เป็นเด็กสาวส่วนเด็กผู้ชายก็จะเป็นพวกที่มีหน้าตาดี เพราะพวกทาสเด็กผู้ชายก็เป็นที่นิยมของพวกขุนนางที่ชอบกินเด็กเหมือนกัน
“…มีใครอยากเรียนหนังสือบ้างไหม”
???
พวกทาสเด็กพากันทำหน้างง
“ถามอีกครั้ง ใครอยากเรียนหนังสือ ยกมือขึ้น งานนี้ไม่บังคับนะ”
เกือบครึ่งหนึ่งยกมือขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ส่วนใหญ่เป็นเด็กโต
“กรอเรียถ้าผมจะฝากพวกเขาเข้าเรียนด้วยจะไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรเลย”
“ส่วนที่เหลือ ไปฝึกทำงานเบาๆ กับโมอาน่ะ ถ้าใครเปลี่ยนใจอยากจะเรียนหนังสือก็ให้มาแจ้งทีหลังได้”
แล้วพวกเด็กๆ ก็ถูกแยกไป โดยที่ยังไม่หายงงกัน แต่ตอนนี้โมอาเลยต้องรับหน้าที่เพิ่มอีกอย่าง คือ
เป็นพี่เลี้ยงเด็กด้วย ซึ่งเธอก็รักเด็กๆ อยู่แล้ว เลยยินดีมากที่ได้รับหน้าที่นี้ส่วนผมก็มั่นใจเลย ว่าเด็กๆ พวกนี้ต้องโตมาเป็นคนดีแน่ เพราะโมอาเป็นแม่ที่ดีอย่างที่หาได้ยาก
“งั้นที่เหลือก็…”
ผมมองไปยังพวกทาสที่เหลือ และคัดเอาผู้หญิงกับผู้ชายที่หน้าตาดีออกมา ซึ่งได้ประมาณสิบคน
“เมยอา จดชื่อพวกนี้ไว้ ผมจะให้เป็นพนักงานต้อนรับ”
“ไม่ใช่จะเอาไว้พาขึ้นห้องเหรอ”
“โธ่ ผมจริงจังอยู่นะ”
“ไม่ปฏิเสธซะด้วย”
“เมยอารักษาหน้าโรมะหน่อยสิ”
อาเดไลท์เตือนแต่ก็แอบขำเหมือนกัน
ส่วนผมที่โดนจิกกัดจนยับเยิน ก็ก้มหน้ามาคัดแบ่งงานต่อ โดยพวกที่คัดมาผมให้ไปตั้งแถว และให้คนหน้าสุดติดป้ายบอกไว้ด้วยว่าอยู่แผนกอะไร
ที่แบ่งมาก็มี แผนกต้อนรับ แผนกแม่บ้าน แผนกเด็กเสริฟ แผนกคนครัว แผนกบันเทิง แผนกยาม ซึ่งแต่ละแผนกต้องแยกออกเป็นสามหน่วย โดยที่จะผลัดกันทำงานเป็นกะหมุนเวียนกันทั้งสามหน่วย
เรื่องการฝึกผมให้เดเม่ ฟราน อาเดไลท์ ดาเซส และโรสลินมาช่วย
เดเม่เป็นเมดและเรียนรู้อะไรหลายอย่างไปเป็นพื้นฐาน เพราะงั้นแค่สอนเพิ่มนิดหน่อยก็เป็นแล้ว ส่วนฟรานกับอาเดไลท์รู้จักมารยาทแบบชนชั้นสูง ถือว่ามีพื้นฐานดีอยู่แล้ว ซึ่งเอามาดัดแปลงใช้งานได้
โรสลินผมให้ไปสอนเงือกสาวร้องเพลง และจัดการเรื่องเครื่องดนตรีที่ต้องใช้ หรือก็คือดูแลแผนกบันเทิงที่ตอนนี้มีคนเดียว
ดาเซสผมให้ฝึกพวกแผนกยาม อย่างน้อยก็อยากให้มีฝีมือและเลเวลสูงพอจะดูแลแขกได้ เลยให้ไปฝึกเก็บเลเวลในดันเจี้ยนด้วย กลุ่มนี้จะเป็นชายฉกรรจ์ที่แข็งแรง หรือคนที่มีประสบการณ์ต่อสู้มาบ้าง
เดเม่ดูแลฝึกแผนกต้อนรับและแผนกแม่บ้าน ส่วนฟรานกับอาเดไลท์ดูแลฝึกพนักงานเสริฟ ส่วนผมดูแลแผนกคนครัว เลยพาเข้ามาสอนทำอาหารที่ด้านหลังคฤหาสน์ โดยเริ่มสอนตั้งแต่พื้นฐานการทำอาหาร…ไม่สิ สอนให้รู้จักตั้งแต่ชื่อวัตถุดิบเลย
แต่งานครัวเป็นงานที่หนักและใช้แรงมาก ผมเลยให้ฝึกแค่สองชั่วโมงและปล่อยไปพัก เพราะจริงๆ ผมมีงานอย่างอื่นที่ต้องทำอีก
โดยที่งานส่วนอื่นๆ ก็ได้พวกสาวๆ ลงมือช่วยกันคนละไม้คนละมือ อย่างดอเรีย กินกับมิรินก็ล่วงหน้าลงดันเจี้ยนลูปันไปที่ชั้น 12 เพื่อเดินเครื่องแท่นวาร์ป
ส่วนจามิร่าก็ไปคุมพวกมอนสเตอร์ ให้ช่วยกันขนไม้กับวัสดุก่อสร้างที่ยูรินเป็นคนเตรียมไว้ ซํ้ายังต้องคุมการต่อสร้างโบสถ์ที่จะเริ่มงานกันวันนี้เลย
ด้านมอเรียก็ไปช่วยเมยอา จัดการงานเอกสารและบัญชี ซึ่งตอนนี้แทบจะโดนตัวเลขทับตายแล้ว
เอสเตอร์กับซาคุยะก็ผลัดกันพาทาสที่ว่างเว้นจากการฝึกงาน เข้าเมืองไปซื้อของใช้ ซึ่งแบ่งพากันไปเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ
สรุปว่าทุกคนงานยุ่งจนไม่ว่างกันเลย แต่ดูพวกเธอก็สนุกกับงานที่ทำมาก ผมคิดว่าตัวเองโชคดี ที่มีสาวๆ ซึ่งมากด้วยความสามารถมาช่วยงานแบบนี้ ถ้าเป็นผมคนเดียวคงทำทั้งหมดไม่ได้แน่
ตอนที่ 119 ซากิโซบะกับสงครามครั้งประวัติศาสตร์
ส่วนงานของผมตอนนี้คือการเข้าเมือง เพื่อไปหาลุงออกัส ในฐานะคนปาร์ตี้เดียวกันนะ ผมอยากให้สิทธิพิเศษกับลุง ให้ไปตั้งร้านที่โรงแรมของผมได้ก่อนใคร จริงๆ ก็มีร้านของยูรินแล้ว แต่มาคิดๆ ดู ถ้ากิจการไปได้ดี แล้วมีแขกมาตามที่คาด ลำพังยูรินคนเดียวรับไม่ไหวหรอก เลยจะให้ลุงออกัสไปเปิดร้านช่วยอีกแรง
ส่วนมีสองร้านแบบนี้จะไม่แย่งลูกค้ากันเหรอ ผมไม่ห่วงเรื่องนั้น เพราะถึงจะเป็นร้านอาวุธเหมือนกัน แต่ต่างกัน ของยูรินเน้นไปที่การซ่อมบำรุงและรับทำอาวุธชุดเกราะตามใบสั่ง จึงจัดได้ว่ามีแต่ของพรีเมี่ยม แต่ของลุงออกัสจะเป็นแบบรับซื้อและเอามาขายต่อ เลยจะมีของหลากหลายให้เลือกและราคาถูกกว่ามาก
แต่ดูเหมือจะมาเร็วไปหน่อย ร้านลุงออกัสเลยยังไม่เปิด แต่ผมว่าลุงแกตื่นแล้วล่ะ เลยอ้อมไปหลังบ้าน ซึ่งก็ตามคาด ลุงแกกำลังปฏิบัติกิจหลังตื่นนอนกับเมดารินอยู่
แย่แฮะ จะไปขัดกลางคันก็ไม่ดี จะปล่อยให้เสร็จก่อนเดี๋ยวก็หมดแรงจนไม่ได้คุยงานกัน…ทางไหนก็ไม่มีดีทั้งนั้นแหละ เอาไงดีล่ะเนี่ย
ระหว่างที่คิดอะไรไม่ออก จู่ๆ ก็มีตัวช่วยมาซะอย่างนั้น เพราะที่ด้านหน้าร้านกำลังมีเสียงเคาะเรียกดังมา จนลุงออกัสต้องหยุดกิจกามช่วงเช้าไว้เท่านั้น ฟังจากเสียงเรียก…พวกเนปฟ่าล่ะมั่ง
“เจ้าพวกเด็กบ้านี้อีกล่ะ เมื่อวานก็ทนนั่งฟังทั้งวันแล้วนะ”
ลุงออกัสแต่งตัวพลางบ่นไปด้วย ซึ่งเมดารินก็เพียงหัวเราะเบาๆ ผมใช้จังหวะนี้อ้อมกลับไปที่หน้าร้านซะเลย
“อ้าว! โรมะ”
เนปฟ่าเห็นผมไวมาก อุตสาห์เตรียมคำทักทายเนียนๆ แล้วไว้ แต่ช่างเถอะ
“พวกเธอก็มาหาลุงออกัสด้วยเหรอ”
“ช ใช่ แล้วโรมะล่ะมีธุระอะไรกับลุงเหรอ?”
“เดี๋ยวสิเฮ้ย ใครเป็นลุงกันไม่ทราบ ฉันยังไม่แก่สักหน่อย”
ลุงออกัสเปิดร้านออกมาโวยใส่ ก่อนจะพาพวกเราเข้าไปนั่งคุยกันในร้าน
“เนปฟ่าคุยธุระก่อนเลยเถอะ ธุระของผมมันค่อนข้างยาว”
ผมให้เธอพูดก่อน เพราะผมไม่ได้รีบอะไรมาก แต่ถ้ากลับไปทันมื้อเที่ยงได้จะดีมาก”
“ถ้าโรมะมาอยู่ที่นี้ ธุระฉันก็เสร็จแล้วล่ะ”
“หา?”
“ฉันว่าจะมาชวนลุงออกัสไปกินข้าวเที่ยงที่คฤหาสน์นายพอดีเลยน่ะ”
“แบบนั้นก็ได้อยู่หรอก แล้วลุงล่ะว่างไหม”
“หึ ฉันต้องทำมาหากินนะ จู่ๆ จะปิดร้านไปได้ไง ยิ่งตอนนี้มีของแปลกๆ ที่เนปฟ่าเอามาขายให้อีก เนี่ยล่ะช่วงทำกำไรเลยนะ”
เรื่องไอเท็มดรอปที่ได้จากการล่า ผมให้พวกอาวุธและของส่วมใส่กับเนปฟ่าไปเป็นส่วนใหญ่ เพราะเธอไม่รู้เรื่องราคาวัตถุดิบอย่างอื่น ถ้าเอาไปขายเองมีหวังโดนโกงแน่ ส่วนไอเท็มที่ได้ไป สงสัยเอามาขายต่อให้ลุงออกัสล่ะมั่ง…แบบนี้ก็ขายได้ไม่เต็มราคาน่ะสิ
เอ๋ เอาเรียกว่าอะไรนะ? ส่วนลดมิตรภาพ? ช่างเถอะคุยธุระดีกว่า
“ปิดร้านเถอะลุง เพราะผมกำลังเสนอลาภก้อนโตให้ แบบถ้าพลาดแล้วจะเสียใจเลยล่ะ”
“…ถ้านายพูดแบบนั้น”
ลุงออกัสไม่ถามอะไรเลยแฮะ ดูท่าเครดิตผมจะดีเอาเรื่อง
“เดี๋ยวฉันไปชวนเมดารินก่อน รอแปบหนึ่ง”
แล้วออกัสก็หายไปที่ด้านหลังร้าน ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับเมดาริน ซึ่งพอเธอเห็นผมก็ยิ้มหวานให้ทันที ด เดี๋ยวสิ นี้ต่อหน้าแฟนเธอนะ ระวังการแสดงออกหน่อย!
ผมช่วยลุงออกัสปิดร้าน แล้วเดินไปที่คฤหาสน์ผมพร้อมกัน ระหว่างทางก็คุยอะไรกันไปด้วย ดูเหมือนเนปฟ่ากับซีเอ้จะมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในดันเจี้ยนให้ฟังหมดแล้ว ลุงออกัสเลยเป็นฝ่ายซักผมมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องที่ผมไปมีปัญหากับพวกโบสถ์ใหญ่
“อาจจะฟังดูเหมือนเด็กที่ใช้แต่อารมณ์ แต่ผมถือคติว่าจะไม่เป็นเหยื่อของสังคม ถ้าใครแรงมาผมแรงกลับ ใครร้ายมาผมจะร้ายยิ่งกว่า เรื่องจะให้ผมงอมืองอเท้ายอมก้มหัวให้พวกโบสถ์ใหญ่ แบบนั้นผมทำไม่ได้หรอก”
ผมตอบสิ่งที่คิดออกไปตามตรง ถึงแม้จะทำให้ออกัสรู้สึกกลัวผมขึ้นมา แต่เขาน่าจะเข้าใจความหมายอีกนัยหนึ่งได้ ว่าถ้าใครดีกับผม ผมก็จะดีกับคนนั้นด้วย ขอแค่ไม่ทำตัวเป็นศัตรูกับผมก็สามารถคบหากันได้อย่างไร้กังวล
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ โบสถ์ใหญ่ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวลเท่าไร”
ใช่ มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้โบสถ์ใหญ่เคลื่อนไหวไม่ได้ หลักๆ เลยคือการปรากฏตัวของเรโม
ริก้าศัตรูคู่อาฆาต แค่จากศึกครั้งก่อนสภาพของโบสถ์ใหญ่ก็ยังไม่ฟื้นตัวดีเลย แถมพันธะทาสก็มีผมเป็นเจ้าของ ทำให้จุดอ่อนของเรโมริก้าที่โบสถ์ใหญ่สร้างไว้หายไป ถ้าเลือกจะสู้ตอนนี้ทางนั้นก็เตรียมล่มสลายได้เลย
แต่ถ้ารอจนฟื้นตัวได้ ก็สายไปอยู่ดี เพราะผมได้เริ่มสายเกราะป้องกันตัวขึ้นมาแล้ว ทันทีที่โบสถ์ใหญ่สาขากรอซ่าสร้างเสร็จ ทางนู้นก็จะมาอ้างเหตุผลที่จะโจมตีผมไม่ได้ ก็ผมถือว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนโบสถ์ใหญ่อยู่ แต่ถ้าบ้าเลือดไม่สนใจเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ผมก็คงต้องใช้ไพ่ใบสุดท้ายที่ไม่อยากจะใช้เลย นั้นก็คือเอร่า…ผมจะใช้เธอปลุกระดมพวกลัทธิเทพขึ้นมาฟัดกับโบสถ์ใหญ่ ให้มันกลายเป็นสงครามศาสนาเต็มรูปแบบไปเลย
แต่ถ้าทำแบบนั้นก็เหมือนผมใช้ประโยชน์จากเอร่า และตัวเธอเองก็คงไม่ชอบวิธีการนี้เหมือนกัน เพราะงั้นถ้าไม่ถึงที่สุดของที่สุดแล้วจริงๆ ผมจะไม่ใช้วิธีนี้เด็ดขาด
“…อย่างไงก็ตาม ผมไม่ลากทุกคนเข้ามาในสงครามของผมด้วยหรอก เพราะงั้นทำตัวตามปกติเถอะครับ”
“ถ้าจะสู้กับโบสถ์ใหญ่ ฉันจะสู้ด้วย”
เนปฟ่าขึงขังขึ้นมาทันที ซีเอ้ก็ชูมือขึ้นมาอีกคน เล่นเอาลุงออกัสกับเมดารินทำหน้าปั้นยาก จะเชียร์ก็ใช่ที่จะห้ามก็ไม่ถูกจังหวะ เลยได้แต่ยืนดูอยู่ตรงกลาง
“แน่ใจเหรอ ถ้าสู้กับองค์กรใหญ่ขนาดนั้น แทบจะก้าวออกจากบ้านไม่ได้เลยนะ”
พอถูกผมเตือนเนปฟ่าก็เริ่มเหงื่อตก
“ปล่อยให้ผมสู้คนเดียวเถอะ เพราะผมถนัดรับมือกับของแบบนี้มากกว่า”
“พอที ยิ่งฟังนายพูดแล้วฉันยิ่งกลัวแทน”
ลุงออกัสรีบห้าม แต่ลุงเองไม่ใช่เหรอที่ยกหัวข้อนี้ขึ้นมาคุยน่ะ
จากนั้นผมก็คุยเรื่องดันเจี้ยนลูปันชั้น 12 ที่แท้จริง เพื่อเป็นการเกริ่นนำไปถึงธุรกิจที่จะคุยด้วย ลุงออกัสได้ฟังมาจากเนปฟ่าแล้วรอบหนึ่ง เลยไม่ประหลาดใจเท่าไร แต่ดูจากสีหน้าคงเริ่มรู้ตัวแล้ว ว่ากำลังจะโดนลากไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับที่ชั้นนั้นแน่
ผมหยุดเรื่องไว้เพียงเท่านี้ก่อน เพราะตอนนี้มาถึงคฤหาสน์แล้ว ลุงออกัสกับเมดารินพึ่งเคยมาครั้งแรก เลยตกใจมาก ไม่สิ พวกเนปฟ่าเองก็ตกใจ เพราะมันต่างไปจากเดิมทุกครั้งที่เธอมา
ผมปล่อยให้ทุกคนชมดูรอบๆ ได้อย่างอิสระ แต่ไม่มีใครกล้าก้าวออกนอกทางเดิน เพราะกลัวมอนสเตอร์ที่เดินกันเพ่นพ่าน และหันมาก้มหัวทักทายให้ตลอด ดูเหมือนจะมีมอนสเตอร์เข้ามาช่วยงานของโมอาในการดูแลสวนมากขึ้นแฮะ ส่วนกำแพง...ยังไม่เลิกสร้างกันอีกเหรอฟ่ะ!
สภาพกำแพงตอนนี้ดูจากโครงสร้างที่ถูกต่อเติม ผมว่ามันเหมือนกำแพงปราสาทแล้ว เพราะมันมีช่องทางเดินอยู่ตรงกลางกำแพงสองชั้น และข้างนอกก็เตรียมจะขุดคูนํ้าแล้วด้วย แต่ผมเข้าใจธรรมชาติของมอนสเตอร์นะ ถึงจะรักสงบอย่างไง แต่สัญชาตญาณของพวกนั้น ก็บอกให้ต้องสร้างพื้นที่สำหรับรับมือกับศัตรูได้ทุกเมื่อ
แถมงานก่อสร้างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะพวกแฟรี่เนี่ย แค่โบกมือครั้งเดียวอิฐก้อนโตนับร้อยๆ ก้อน ก็พุ่งเข้าไปเรียงตัวเป็นกำแพงขึ้นมาแล้ว เวทมนต์ของพวกนี้สามารถควบคุมวัตถุได้ตามใจนึก ทั้งสามารถยกของมีนํ้าหนักมากได้ และยังใช้งานที่ละเอียดอ่อนอย่างการผูกเชือกหรือร้อยด้ายเข้าเข็มได้ ทำงานก่อสร้างได้ดีกว่าพวกยักษ์ซะอีก แถมนี้มีกันเป็นร้อยๆ ตัวเลยกินก็น้อย สร้างบ้านอยู่กันเองตามต้นไม้หรือห้องใต้หลังคา ตัวเล็กบินได้เหมาะสำหรับงานสอดแนม…แฟรี่นี้มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ!
ผมทำเป็นไม่สนใจงานก่อสร้างสุดเริ่ดลํ้าของพวกมอนสเตอร์ และรีบพาพวกลุงออกัสตรงเข้าไปที่คฤหาสน์ แต่พอมาถึงลานนํ้าพุ ก็พากันผงะอีกรอบ เพราะในลานรูปวงเวียนทรงกลม เต็มไปด้วยพวกทาสที่
ใส่เครื่องแบบเหมือนกัน กำลังยืนเรียงแถวและโค้งตัวกล่าวคำต้อนรับออกมาอย่างพร้อมเพรียง
ให้คิดดูว่าเสียงของคนร้อยกว่าคนตะโกนออกมาพร้อมกัน มันจะดังแค่ไหน แถมยังยืนกันเป็นวงเหมือนระบบเสียงเซอราวน์รอบทิศทางแบบในโรงหนัง งานนี้ซีเอ้ถึงกับกลัวจนเข่าอ่อนไปเลย
“เครื่องแบบตัดเสร็จแล้วเหรอเนี่ย เร็วกว่าที่คิดอีกแฮะ แต่พวกนายช่วยเลิกทำแบบนี้ทีได้ไหม มันทำให้แขกของผมกลัวนะ”
“ขออภัยนายท่านเป็นอย่างสูงครับ/ค่ะ!”
“แต่การต้อนรับนายท่านกลับมาบ้าน เป็นหน้าที่ของพวกเราครับ/ค่ะ”
ดูมีมารยาทและทักษะต้อนรับมันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ไม่ต้องเอามาใช้กับผมพร้อมกันแบบนี้ได้ไหม ไว้เดี๋ยวค่อยๆ แก้กันไปล่ะกัน
“เดี๋ยวผมจะเตรียมมื้อเที่ยง แผนกคนครัว ตามผมมาด้วย”
“ครับ/ค่ะ!”
คนครัวขานรับอย่างหนักแน่น และก้าวออกมาเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเดินตามหลังผมมาห่างๆ …นี้เดเม่สอนอะไรพวกนี้เนี่ย ทำไมระเบียบมันเปะยิ่งกว่าพวกทหารซะอีก แถมนี้แค่ครึ่งวันเองนะ
พอเปิดประตูบ้านเข้าไป พวกสาวๆ ก็ออกมาต้อนรับผมอย่างอบอุ่นเหมือนเช่นเคย พวกเนปฟ่าคุ้นเคยกับภาพแบบนี้แล้ว แต่ลุงออกัสสิ พึ่งเคยเห็นกองทัพสาวงามแบบนี้เป็นครั้งแรก เลยมองตาค้างเลย
แต่พวกสาวๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะคงชินแล้วที่มักจะถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น ที่สำคัญถ้าเป็นแขกของผม พวกเธอจะปิดกั้นความเป็นศัตรูไว้ได้เป็นอย่างดี
พอแนะนำตัวเสร็จ ผมก็ฝากให้พวกสาวๆ ต้อนรับแขกแทน ส่วนผมแยกไปทำมื้อเที่ยงโดยมีเดเม่ตามมาช่วย
เครื่องแบบของคนครัวนั้น จะแตกต่างจากคนอื่น ตรงที่ชุดจะมีสีขาวทั้งตัวและมีผ้ากันเปื้อนผูกไว้ ต่างจากชุดของแผนกอื่นที่จะมีสีนํ้าเงินสำหรับผู้ชายและสีคลีมสำหรับผู้หญิง แถมคนครัวยังมีหมวกผ้าใส่ด้วย เหตุเพราะป้องกันผมล่วงใส่อาหารระหว่างทำ เสื้อเองก็เป็นแขนยาวเพื่อป้องกันนํ้ามันกระเด็นใส่ แต่ถ้าชินแล้วแบบผม ใส่แขนสั้นจะดีกว่า เพราะมันทำให้รู้สึกถึงอุณหภูมิระหว่างปรุงอาหารได้ง่าย
เมนูวันนี้คือยากิโซบะ ผมเลยฝากยูรินให้สร้างกระทะสี่เหลี่ยมไว้แล้ว ถึงบอกว่าจะเป็นกระทะ แต่มันเป็นแผ่นเหล็กที่ต่อกันยาวหลายเมตร แต่นี้เป็นแค่ส่วนของการฝึกทำอาหาร เดี๋ยวพอทำเป็นกันแล้ว ผมจะย้ายไปที่โต๊ะหลักที่ใช้ทำ ซึ่งจะเป็นแบบนั่งกินหน้าเคาเตอร์แบบเดียวกับตอนกินซูซิ แต่ก่อนจะเริ่มสอน โมอาก็พาเด็กสองคนเข้ามาหาผม
“ท่านโรมะคะ เด็กสองคนนี้อยากจะเป็นคนครัวด้วยค่ะ”
เด็กที่โมอาพามา เป็นเด็กสาวทั้งคู่ อายุพึ่งจะ 7 ขวบได้ ตัวเล็กนิดเดียว ดูไม่ค่อยมีแรงด้วย พวกคนครัวคนอื่นๆ ก็มองด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่า คงไม่ไหวหรอก
“เอาสิ น่าจะมีพวกผ้ากันเปื้อนสำรองอยู่ ไปเอามาใส่ได้เลย”
แต่ผมมองต่าง การใช้แรงงานเด็กที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผมก็ตีความต่างออกไป ถ้าเป็นการบังคับขู่เข็นให้ทำ แบบนั้นผมว่าคือการใช้แรงงานเด็ก แต่ถ้าเด็กอยากทำเองล่ะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลจำเป็นส่วนตัว หรือต้องการไขว่คว้าอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง ผมเรียกมันว่าการสนับสนุนนะ
ถ้ามาเกี่ยงกันว่าอายุน้อยแล้วไม่ต้องทำงาน ผมว่ามันทำให้เสียเวลาอันมีค่าไปโดยใช่เหตุ ยิ่งได้ฝึกฝนการทำงานตั้งแต่เด็ก กว่าจะโตขึ้นก็มีความเชี่ยวชาญระดับสูงแล้ว แบบนั้นไม่ยิ่งทำให้ได้เปรียบเหรอ การที่บุคลากรมีความสามารถสูงแต่อายุยังน้อย ก็เท่ากับว่ามี
อายุการใช้งานที่มากขึ้น แล้วมีเหตุอะไรที่ผมต้องปฏิเสธเด็กพวกนี้ด้วย
และผมก็เห็นความเอาจริงเอาจังในสายตาของเด็กสองคนนี้ แบบเดียวกับที่เดเม่มีตอนที่เริ่มมีไฟอยากทำอะไรขึ้นมา
แต่เพราะเด็กสองคนนี้เตี้ยกว่าโต๊ะ ผมเลยเอาลังไม้มาต่อเป็นแท่นให้ขึ้นไปยืนแทน
จากนั้นก็เริ่มการสอน เลยเริ่มจากการใช้มีดก่อนเลย เพราะทุกคนยังจับมีดไม่เป็น ถึงบางคนจะบอกว่ามีประสบการณ์ทำอาหารมาแล้ว แต่นั้นมันของโลกนี้ซึ่งใช้ไม่ได้ ขืนให้จับมีดแบบนั้นมีหวังได้นิ้วขาดกันบ้าง ส่วนของพวกเด็กผมให้ใช้มีดที่ทำจากไม้ไปก่อน
แล้วมาก็ถึงส่วนที่ยาก นั้นก็คือการลวกเส้น ถ้าลวกเส้นนานเกินไปมันก็จะเละ ถ้าลวกเร็วเกินไปเส้นก็
จะแข็ง แถมไม่มีที่จับเวลาอีก เพราะงั้นจะต้องอาศัยความรู้สึกและความชำนาญในการลวกเส้น แต่ในครั้งแรกผมจะเป็นคนกะเวลาให้เองก่อน ไว้ทำไปนานๆ มันจะซึมซับไปเอง
หลังจากลวกเส้นแล้ว ผมก็สาธิตวิธีปรุงอาหารด้วยการผัดให้ดู แต่รอบแรกผมทำเร็วไปหน่อยทุกคนเลยมองตามไม่ทัน รอบสองเลยต้องทำแบบสโลโมชั่น แต่ผมก็บอกไปด้วย ว่ายิ่งทำอาหารได้เร็วแค่ไหน รสชาติของอาหารก็จะยิ่งดี
เดเม่ไม่มีปัญหาอะไร สามารถทำตามจนออกมาเหมือนผมได้ในทันที แต่คนอื่นนี้ออกมาเละเทะไปหมด ยิ่งของพวกเด็กถึงกับผัดไหม้จนไฟลุกเลย
พอเห็นว่าตัวเองทำพลาด พวกเด็กก็พากันนํ้าตาไหล แต่กัดฟันไม่ร้องไห้ออกมา ยิ่งพอเห็นผมเดินเข้ามาหา ทั้งคู่ก็พากันตัวสั่นขึ้นมา
“…อย่ากลัวความผิดพลาดของตัวเอง การผิดพลาดหนึ่งครั้งก็เท่ากับว่าเรารู้วิธีทำให้ผิดพลาดได้หนึ่งอย่าง* คนเราจะเก่งได้อย่างไงถ้าไม่รู้จักความผิดพลาดเลยสักอย่าง”
*เป็นคำพูดที่ดัดแปลงมาจาก โทมัส อัลวา เอดิสัน ที่เขาเคยตอบคนที่เคยดูถูกเขาว่า ‘ผมไม่ได้ล้มเหลว แค่ผมรู้วิธีที่ทำให้ผิดพลาด 700 วิธี’
จากนั้นผมก็ชี้ไปที่ซากิโซบะที่ไหม้ แล้วบอกต่อ
“ความผิดพลาดคราวนี้คือเพราะผัดนานเกินไป ลองดูใหม่อีกครั้งนะ”
พอได้ยินที่ผมบอก เด็กทั้งสองคนก็ปาดนํ้าตาทิ้งแล้วเริ่มทำใหม่ทันที ไม่ใช่แค่พวกเด็ก แต่คนครัวคนอื่นๆ ที่เห็น ต่างก็เริ่มทำใหม่อีกครั้งอย่างตั้งใจ ขนาดผมเป็นคนสอนยังรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นของทุกคนเลย
มันเป็นสิ่งที่ผมไม่รู้ ว่าโลกนี้เวลาสอนทาสจะใช้วิธีรุนแรงเสมอ เช่นการทุบตี ยิ่งถ้าทำพลาดก็จะลงโทษอย่างรุนแรง
แต่ผมกลับสอนด้วยคำพูด พร้อมกับสร้างแรงบันดาลใจไปด้วย ซึ่งพวกทาสไม่คุ้นเคย แต่นั้นยิ่งทำให้พวกเขาอยากจะตอบสนองต่อคำพูดของผมให้ได้ เลยทุ่มเททั้งตัวและวิญญาณทำออกมาให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ผมต้องรู้สึกผิดหวังในตัวพวกเขา
ถึงแม้จะพลาดอีกผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่บอกว่าผิดตรงไหน แล้วให้ลองใหม่ไปเรื่อยๆ มันเป็นธรรมดาของการทำอาหารอยู่แล้ว จะทำอาหารให้เก่งก็ต้องทำบ่อยๆ ผ่านการพลาดแล้วพลาดอีกแบบนี้แหละ
ทว่าแค่ผ่านไปสามรอบ ทุกคนก็ทำซากิโซบะออกมาได้น่ากินไม่แพ้ของผมแล้ว แม้แต่เด็กสองคนนั้นก็ทำออกมาได้แล้วเหมือนกัน…จะว่าไป สมัยผมหัดทำครั้งแรก กว่าจะออกมาได้ขนาดนี้ก็ทำเละไปเยอะเลย อนาคตพวกนี้น่าจะทำอาหารเก่งกว่าผมอีกนะเนี่ย
แต่หลังจากทำเสร็จแล้วเนี่ยล่ะสำคัญ เพราะมันคือขั้นตอนการชิมอาหารที่ตัวเองทำ ผมให้ทุกคนกินซากิโซบะที่ตัวเองทำ และรีแอ็กชั่นที่ออกมาไม่ใช่แค่เพราะมันอร่อย แต่มันคือความรู้สึกภูมิใจในอาหารของตัวเอง สิ่งนี้จะสร้างความมั่นใจให้กับคนทำอาหารยิ่ง
กว่าคำเยิ่นยอจากคนอื่นซะอีก เพราะลิ้นของเรามันไม่โกหกตัวเองหรอก
ตอนนี้บางคนถึงกับคุกเข่าลงไปร้องไห้ เพราะปราบปลื้มกับความสำเร็จของตัวเอง
“ตอนนี้ยังดีใจเร็วไปนะ ตอนฝึกทำอาหาร กับตอนทำอาหารต่อหน้าคนอื่น มันต่างกันมาก แต่ขอให้จำความรู้สึกตอนนี้เอาไว้ ทุกครั้งที่เกิดความไม่มั่นใจก็ให้คิดถึงมันซะ เอาล่ะ เตรียมวัตถุดิบสำหรับมื้อเที่ยงได้ จากนี้ไปจะเป็นของจริงแล้ว”
พอบอกจบผมก็ตบมือหนึ่งครั้ง ทุกคนก็รีบจัดเตรียมวัตถุดิบใส่ลังที่เตรียมไว้ทันที สีหน้าของทุกคนตอนนี้…ดูเป็นคนครัวขึ้นมาหน่อยแล้ว
แล้วผมก็พาทุกคนไปยังโต๊ะทำอาหารที่ยูรินกับคนอื่นๆ ช่วยกันเตรียมไว้ ซึ่งคราวนี้ตั้งไว้ที่ด้านหน้า
หอพัก โดยที่โต๊ะคราวนี้เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า คนทำอาหารจะยืนอยู่ด้านใน และให้คนทานนั่งอยู่รอบโต๊ะด้านนอก
“อย่าแตะส่วนที่เป็นเหล็กนะ มันร้อนมาก”
ผมเตือนพวกที่ทำท่าอยากรู้อยากเห็น แต่จนถึงตอนนี้ก็มีแต่พวกสาวๆ กับพวกลุงออกัสเท่านั้นแหละ ที่นั่งประจำที่แล้ว แต่พวกทาสยังไม่มีใครกล้านั่งเลย
“นั่งสิ”
ผมชี้นิ้วแบบสั่ง แต่พวกทาสพากันส่ายหน้า…ขนาดส่ายหน้ายังทำพร้อมกันเลย นี้พวกนายเป็นหุ่นยนต์หรือไงฟ่ะ
“ให้พวกเราร่วมโต๊ะกับนายท่านและนายหญิงไม่ได้หรอกครับ/ค่ะ”
พวกทาสเรียกพวกสาวๆ ของผมรวมๆ ว่านายหญิง ยกเว้นบางคน อย่างซาคุยะพวกเขาจะเรียกว่าหัวหน้า และดาเซสจะเรียกว่าอาจารย์หญิง ส่วนฟรานกับเดเม่ จะถูกเรียกว่าคุณหนู ยูรินก็ถูกเรียกว่า นายช่างใหญ่ แถมพวกนี้ความจำดีมากแค่วันเดียวก็จำหน้ากับจำชื่อคนจากคฤหาสน์ได้หมดแล้ว เพราะงั้นถึงจะเป็นทาสเหมือนกัน แต่พวกทาสใหม่ก็จะให้ความเคารพพวกฟรานเป็นเหมือนนายอีกคนหนึ่ง
แต่รอบนี้ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรขึ้นมา เดเม่ก็ชิงพูดไปซะก่อน
“พวกนาย…กล้าขัดคำสั่งของนายท่านเหรอ”
เธอบอกพร้อมกับจ้องใส่ด้วยแววตาเย็นยะเยือก พวกทาสเลยรีบเข้ามานั่งกันอย่างสั่นกลัว
…เอาเถอะ ครั้งแรกก็ประมาณนี้แหละ ครั้งต่อๆ ไปเดี๋ยวชินกันไปเอง
ผมคิดในใจพร้อมกับพยักหน้าให้พวกคนครัวเริ่มทำอาหารได้ ยากิโซบะน่ะต้องทำตรงหน้าคนกินแบบนี้แหละถึงจะอร่อย เพราะการได้เห็น ได้ยินเสียงและดมกลิ่น มันจะยิ่งเรียกความอยากทานให้มากขึ้น
แต่ด้วยจำนวนคนเยอะแบบนี้ ลำพังพวกไรโมดอลคงบริการไม่ทั่วถึง เลยเอาพวกแฟรี่มาช่วยด้วยอีกแรง พวกแฟรี่เองก็คงไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ เลยดูท่าทางสนุกกันใหญ่
พวกทาสเอาแต่จ้องเครื่องดื่มที่เสริฟให้ จนถูกเดเม่จ้องใส่อีกรอบ ถึงจะยอมยกดื่มกัน แต่แค่มองก็รู้
แล้วว่าพวกนั้นรู้สึกอย่างไง ถึงจะพยายามเก็บซ่อนรีแอ็กชั่นไว้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
วันนี้ผมจะทำแค่ในส่วนของพวกสาวๆ และลุงออกัสเท่านั้น ส่วนที่เหลือผมจะให้เป็นหน้าที่ของคนครัว เพื่อเป็นการฝึกทำอาหารไปในตัว เพราะของจริงจะต้องทำเยอะกว่านี้อีก แต่ผมก็คอยจับตาดู ว่าคนไหนเริ่มไม่ไหว ก็จะปล่อยให้ไปพัก และทำแทนในส่วนนั้นให้
ก็เหมือนออกกำลังกายนั้นแหละ ใช่ว่าวิ่งแค่วันเดียวจะแข็งแรงขึ้นมาได้สักหน่อย แต่มันต้องวิ่งทุกวัน ทำอาหารก็เหมือนกัน มันเป็นงานที่ใช้แรงกายเยอะต้องทนกับความร้อนด้วย ถ้าไม่ชินอาจถึงขั้นสลบหน้าเตาเลย เพราะงั้นต้องฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ชีวิตคนทำอาหารก็เป็นแบบนี้
ส่วนคนกินก็มองดูอย่างสนใจ เพราะการปรุงอาหารมันก็ถือเป็นอาหารตาอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ตอนได้กลิ่นเนี่ยสิ ทุกคนเริ่มกลืนนํ้าลายกันคนละอึกสองอึก
จริงๆ ซากิโซบะต้องใช้ตะเกียบนะ แต่พวกทาสคงไม่ชิน ผมเลยเตรียมส้อมไว้ให้ แต่พวกสาวๆ นี้ใช้ตะเกียบจนเหมือนเป็นอวัยวะอย่างหนึ่งของร่างกายไปแล้ว ถ้าจะบอกว่าพวกเธอใช้ตะเกียบคีบแมลงวันได้ ผมก็ไม่แปลกใจแล้วล่ะ
เพราะผมทำเร็วกว่าคนอื่น เลยเริ่มเสริฟให้สาวๆ ก่อน ทุกคนพยายามไม่จ้องดูพวกเธอกิน แต่ก็มีแอบเหลือบๆ มาเป็นบางครั้ง ยิ่งตอนที่พวกเธอปลดปล่อยรีแอ็กชั่นออกมานี้ บางคนถึงกับต้องปาดนํ้าลาย ลุงออก้ากับเมดารินที่พึ่งเคยกินอาหารฝีมือผม
เป็นครั้งแรก ถึงกับลุกขึ้นยืนและแหกปากร้องออกมา แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ และพูดไปบอกกับพวกยูรินแทน
“ยากิโซบะน่ะกินกับเบียร์ก็เข้ากันนะ จะลองไหม”
ผมลืมไปว่าไม่น่าถามเลย ต่อให้ไม่เข้ากันเธอก็ดื่มอยู่ดีนั้นแหละ แถมยิ่งไปเปิดช่องให้พวกขาดื่มหันมามองผมตาเป็นประกายเลย
“ก็ได้ๆ ไหนใครจะเอาเบียร์บ้าง”
พวกขาดื่มยกมือขึ้นพร้อมกัน ทีแบบนี้ล่ะพร้อมเพรียงกันจริง
“พวกนายก็ด้วย ถ้าใครดื่มเป็นก็ยกมือขึ้นเลย ไม่ต้องเกรงใจ”
พวกทาสมีลังเลอยู่บ้าง แต่พอมีคนหนึ่งยกมือขึ้น ที่เหลือก็ค่อยๆ ยกตาม ถึงบางคนไม่เคยดื่มมาก่อน แต่ก็อยากลองดู คริสติน่าเลยให้ไรโมดอลกับแฟรี่เปลี่ยนมาเสริฟเป็นเบียร์ให้กับคนที่ยกมือ
ลุงออกัสกับเมดารินเองก็เป็นขาดื่มเลยไม่พลาดอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ต้องตกใจอีก เพราะเบียร์ที่เอามาแสริฟมันเย็นมาก ปกติเคยดื่มแต่เบียร์อุ่นๆ พอเจอเบียร์เย็นเลยตกใจกัน แต่ผมว่าเบียร์เย็นๆ มันอร่อยกว่าเป็นไหนๆ เรื่องนี้คอเหล้าอย่างยูรินยืนยันด้วยตัวเองแล้ว
พอเสร็จของส่วนพวกสาวๆ แล้ว ผมก็ทำให้พวกแฟรี่ด้วย แค่ใส่จานเดียวก็กินกันได้ทุกตัวแล้ว ก่อนจะเดินตรวจดูว่าคนอื่นๆ เป็นอย่างไงบ้าง บางคนถึงจะมีอาการเกรงเพราะกดดันหรือตื่นเต้นไปหน่อย แต่ลำดับขั้นตอนการทำอาหารก็ไม่ผิดเพี้ยนไปเลย
พวกเด็กคนครัวทั้งสองคนก็อาสาทำส่วนของเด็กคนอื่นๆ ให้ ดูตั้งใจมากทั้งคนทำทั้งคนกิน
ด้านพวกทาสที่พอได้ลองกิน ก็ไม่สามารถหยุดมือตัวเองได้อีกเลย พวกเขากินกันจนแทบลืมรักษามารยาท แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร จะกินมูมมามกันไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ขอแค่อร่อยก็พอแล้ว
“ใครไม่อิ่มจะขอเพิ่มจานที่สองได้นะ แล้วอย่ากลัวที่จะขอ เพราะถ้ากินไม่อิ่มก็จะไม่มีแรงทำงาน ร่างกายก็จะทรุดโทรมลงไปด้วย ที่นี้มีกฎง่ายๆ กินให้อิ่ม นอนให้สบาย แล้วทำงานให้เต็มที่”
“ครับ/ค่ะ!”
พวกทาสขานรับและพากันยกมือขอต่อจานสองกันทันที
และไม่ใช่แค่คนกินหรอกที่รู้สึกดีใจกับอาหารที่อร่อย แต่คนทำเองก็ดีใจที่เห็นคนอื่นกินอาหารที่ตัวเองทำอย่างเอร็ดอร่อยแบบนี้
หลังจากกินกันเสร็จแล้ว ผมก็เสริฟของหวานต่อ ของหวานทำยากกว่าอาหาร ผมเลยยังไม่ได้สอนคนครัว เลยให้ไปนั่งกับคนอื่นด้วย
ซากิโซบะเป็นอาหารที่ค่อนข้างรสจัดและหนักท้อง ของหวานผมเลยเลือกอันที่เบาๆ หน่อย เลยหยิบเอาไอศกรีมแท่งออกมา
ไอศกรีมแท่งนั้นจะไม่ใส่ไข่และนํ้าตาลจะน้อยกว่าไอศกรีมแบบถ้วยทำยังถือเดินกินได้อีก พออธิบายให้ฟังแล้ว ก็ให้ทุกคนมาต่อแถวหยิบกันไปคนละแท่ง ผมทำไว้หลายรสเลยมีสารพัดสีเลย ส่วนใหญ่เลยเลือกหยิบเอาสีที่ตัวเองชอบไป
แต่พวกเด็กๆ ไม่เคยกินไอศกรีมมาก่อน ไม่สิ ก่อนมาอยู่ที่นี้ก็ไม่รู้จักว่าของหวานคืออะไรด้วยซํ้า พอเอาเข้าปากเลยตกใจจนเผลอทำหลุดมือไปเลย แต่ดีนะผมเห็นทัน เลยห้ามไว้ได้ก่อนที่เด็กคนนั้นจะก้มลงไปเลียมันที่พื้น แล้วหยิบเอาแท่งใหม่ไปให้ แต่เด็กทำท่ากลัวผม คงคิดจะว่าจะโดนตำหนิ ผมเลยต้องลูบหัวให้อีกฝ่ายหายกลัวก่อน
เรื่องการเก็บของตกพื้นกินนี้เป็นเรื่องปกติมากสำหรับทาส การกินอาหารบนโต๊ะต่างหากที่แปลก แต่หลังจากนี้ผมจะต้องเปลี่ยนทัศนะคติพวกนี้ใหม่ เพราะการเก็บของตกพื้นกินมันไม่ดีต่อสุขภาพน่ะสิ
ลุงออกัสเห็นที่ผมปฏิบัติกับทาสแล้ว ก็ถอนหายใจออกมา
“รู้แล้วล่ะว่าทำไมพวกทาสถึงได้รักและเคารพนายถึงขนาดนี้”
“แปลกเหรอ?”
“แปลกสิ โคตรแปลกจนผิดปกติเลยล่ะ”
“ช่างเถอะ ผมแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองทำแล้วสบายใจก็เท่านั้น”
“นั้นแหละที่ว่าแปลก ปกติมีเงินขนาดนี้ ต้องเอาไปใช้หาความสุขใส่ตัวสิ แต่นี้นายกลับเอาเงินมาลงกับทาส ให้กินอาหารดีๆ แถมตัวเองต้องมาเหนื่อยทำอาหารเองอีก”
“ถ้าเรื่องทำอาหารน่ะไม่เหนื่อยหรอก ดีซะอีกได้ทำทุกวันฝีมือจะได้ไม่ตก แล้วที่ว่าอาหารดีๆ เนี่ย ผมไม่เห็นด้วยนะ ถ้าต้องมาเตรียมอาหารแยกกัน
เสียเวลาแย่เลยแบบนั้น ไหนๆ จะทำ ก็ทำกินด้วยกันหมด ประหยัดดีออกไม่เสียเวลามากด้วย”
“วิธีคิดนายนี้สุดโต้งเหมือนเคยเลย แต่ไม่ขอบ่นหรอก เพราะฉันเองก็ชอบแบบนี้เหมือนกัน อาหารนายเองก็สุดยอดไปเลย รู้แล้วว่าทำไมพวกเนปฟ่าถึงอยากมากินที่นี้”
เนปฟ่าที่โดนพาดพิงสะดุ้งเฮือกแล้วรีบหันหน้าหนีทันที แต่ผมเห็นหูแหลมๆ ของเธอแดงแป๊ดเลย
“จะมาบ่อยๆ ก็ได้นะ ไม่เป็นการรบกวนหรอก ปกติที่นี้ก็ไม่ค่อยมีแขกมา…”
พูดจบไม่ทันไร ก็มีเสียงดังขึ้นมาที่ทางเข้า สักพักก็มีแฟรี่ตัวหนึ่งบินมารายงาน ผมยกมือห้ามไว้ก่อนเลยเพราะได้ยินเสียงมาแต่ไกลเลยรู้ว่าเป็นใครที่มา
“แขกผมเองพาเข้ามาเถอะ”
พอแฟรี่นำทางแขกมาถึง พวกนั้นก็ร้องโวยกันขึ้นมาทันที
“กินมื้อเที่ยงกันเสร็จแล้วเหรอ! เห็นไหมข้าบอกแล้วให้รีบมา”
โกร่าเป็นคนแรกที่ร้องโวย เสียงเธอราวกับฟ้าผ่าจริงๆ แถมยังท่าทางโกรธจัดด้วย หรือว่าจะโมโหหิวล่ะเนี่ย
“อย่ามาโทษฉันนะ พวกเธอเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่าขอเวลาแต่งตัวสวยๆ ก่อนน่ะ”
ทีโมทีหันไปว่ากลับ จะว่าไปวันนี้พวกเธอก็แต่งตัวสมหญิงมากๆ เลย โดยเฉพาะโกร่าเนี่ย ผมแทบ
หลุดหัวเราะออกมา เพราะชุดกระโปรงยาวบานๆ มันไม่เข้ากับเธอเลยสักนิด
“เลิกเถียงกันได้แล้ว”
คายุนดุใส่จนยอมเงียบกัน แต่บลูมวิ่งเข้ามาหาผมทันที พร้อมกับยื่นของบางอย่างให้
คราวนี้เป็นกำไลข้อมือที่ทำมาจากทอง ผมตรวจสอบดูมันเป็นไอเท็มป้องกันระดับ Super Rare เลย แถมเป็นของทำมือที่มีเพียงชิ้นเดียว ส่วนราคาก็หลายเหรียญทองคำขาวเลย
“ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ แล้วก็ไม่ต้องเอาของมาให้ผมทุกครั้งแบบนี้ก็ได้ ผมรู้สึกเกรงใจน่ะ”
“ไม่เป็นไร แค่อยากให้น่ะ”
“นั้นแหละผมถึงยิ่งลำบากใจที่จะรับไว้ อีกอย่างอุปกรณ์ที่ทำจากทองน่าจะเหมาะกับเผ่าดวาฟอย่างเธอมากกว่านะ”
ว่าแล้วผมก็ใส่กำไลทองนั้นให้บลูมไป เธอหน้าแดงจัดและวิ่งหนีไปซ่อนหลังคายุนทันที
“โรมะอย่าหว่านเสน่ห์ใส่บลูมสิ บลูมเองก็เหมือนกัน แก่รุ่นป้าแล้วยังมาทำท่าเขินอายเป็นเด็กสาวไปได้”
คายุนตำหนิทั้งหมดทั้งบลูม แต่อย่าตำหนิไปลูบเป้าผมไปด้วยสิ ความน่าเชื่อถือมันหายไปหมดเลยนะ
“แฮะๆ ท่าทางยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงกันมาสินะ งั้นนั่งก่อนสิ”
“จะดีเหรอ”
ทีโมทีทำท่าเกรงใจ อืม เธอเป็นคนเดียวด้วยที่ทำท่าเกรงใจเป็นในกลุ่มของโกร่า เพราะคนอื่นไปหาที่นั่งกันแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ วัตถุดิบยังเหลืออีกเยอะ นั่งรอแปบหนึ่งนะ”
แต่พอผมหันไป ไม่รู้ทำไมพวกสาวๆ ต้องมานั่งด้วย…จะกินอีกเหรอ!
เจริญอาหารก็ดีหรอก แต่กลัวจะติดเป็นนิสัยน่ะสิ แบบเวลาผมเข้าครัวทีไรพวกเธอต้องมานั่งพร้อมหน้ากันรอกินทุกที
รอบนี้ผมเลยทำจานเล็กให้พวกสาวๆ และจานพิเศษที่มากเป็นสามเท่าของปกติให้กับพวกโกร่า
เพราะกลุ่มนี้กินกันอย่างกับปอบลง ส่วนคนที่อิ่มแล้วอย่างลุงออกัสก็นั่งชนแก้วชดเบียร์ไป เฮ้ยๆ อย่าเมาแต่หัววันสิ
“จริงสิ ไหนๆ พวกโกร่าก็มาแล้ว ขอคุยธุระด้วยกันหน่อยนะ”
“ได้อยู่แล้ว มีอะไรให้พวกข้าช่วยบอกมาเลย จะไปตบกะโหลกแยกสมองใคร บอกมาคำเดียว”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่สนใจจะมาทำธุรกิจด้วยกันไหม”
“ธุรกิจ?”
“ใช่ ธุรกิจ”
“โทษที แต่ข้าไม่เข้าใจความหมายของมันหรอก เรื่องแบบนี้ต้องไปคุยกับพ่อค้าไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากหรอก เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังเอง”
แล้วผมก็เล่าเรื่องโรงแรมที่จะสร้างบนชั้น 12 ให้ฟัง ซึ่งพอได้ฟังพวกโกร่าก็หยุดมือที่โกยยากิโซบะเข้าปากไว้ทันที
“เอาจริงเหรอ”
ลุงออกัสถามเป็นคนแรก
“จริงสิ ผมเตรียมแผนงานทั้งหมดไว้แล้ว เหลือแค่ก่อสร้างตัวโรงแรมเสร็จก็พร้อมเปิดทำการเลย”
“แล้วจะให้พวกข้าไปทำอะไรล่ะ บอกก่อนนะเรื่องงานก่อสร้างพวกข้าไม่รับ”
“ไม่ใช่หรอก สำหรับพวกโกร่า ผมจะจ้างพวกเธอเป็นผู้คุ้มครอง คอยดูแลความปลอดภัยของแขก
แต่แน่นอนว่ารายได้มันไม่ดีเหมือนกับลงดันเจี้ยน เพราะงั้นไม่ต้องทำเป็นงานประจำก็ได้ แค่แวะมาพักตอนไปลงดันเจี้ยน อย่างไงพวกเธอก็คิดจะไปลุยที่ชั้น 12 อยู่แล้วใช่ไหม”
“ก็จริงนะ แทนที่จะเที่ยวไปเที่ยวมา ก็พักที่โรงแรมของโรมะซะเลย สะดวกจริงๆ ด้วย”
ทีโมทีพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าจะทำ”
ส่วนคายุนตกลงเป็นคนแรก
“ง งั้นข้าขอไปเปิด Workshop ที่โรงแรมได้ไหม!”
บลูมรวบรวมความกล้าขอออกมา
“ได้อยู่แล้ว นั้นแหละที่กำลังต้องการเลย”
“ไม่เอา!”
มีคนค้านแฮะ เป็นยูรินที่โดดขึ้นมายืนบนเก้าอี้แล้วร้องค้านออกมา
“ทำไมเหรอยูริน”
“นายช่างใหญ่มีคนเดียวก็พอ”
“ว่าไงนะยัยหนู”
อ้าว บลูมก็ของขึ้นแฮะ บุคลิกเปลี่ยนเลย
ทั้งคู่กระโดดลงไปยืนบนพื้น และยืนเผชิญหน้ากัน แต่ยูรินตัวสูงกว่าเลยเหมือนยืนข่ม แต่บลูมอาวุโสและมีนมโตกว่า เลยเป็นเหมือนกำลังที่ยูรินข้ามไปไม่ได้
แถมเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานช่างพวกดวาฟจะไม่ยอมให้กันเลย งานนี้บรรยากาศเลยเหมือนพร้อมจะใส่กันได้ทุกวินาที ผมเลยห้ามออกไป
“อย่าทะเลาะกัน เรื่องนี้ผมก็คิดไว้แล้ว”
พอได้ยินที่ผมห้าม ทั้งคู่เลยยอมถอยคนละก้าวและกลับขึ้นมานั่งฟังที่เดิม
“ยูรินถ้าเรื่องความสามารถในการทำงาน บลูมน่ะเก่งกว่าเธอนะ”
ผมพูดไปตามตรงนั้นเล่นเอายูรินนํ้าตาซึมออกมาเลย
“เพราะแบบนั้นผมเลยจะให้พวกเธอเปิด Workshop รวมกัน”
แต่นั้นแหละทั้งคู่หันมาส่งสายตาไม่พอใจทันที
“ฟังก่อน ที่ให้เปิดร่วมกันเพราะยูรินจะได้เรียนรู้จากบลูมได้ ส่วนบลูมเองก็เป็นสายต่อสู้ใช่ไหม สกิลงานช่างบางอย่างเธอก็ไม่มี เช่นพวกหลอมสกัด”
“…ก็จริง”
“ทำงานร่วมกันก็ไม่ได้หมายความว่าทำงานอย่างเดียวกัน แต่อยากให้ศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน คอยช่วยเหลือในจุดที่อีกฝ่ายขาดไป และที่สำคัญพวกเธอสองคนมีเวลาว่างเฝ้าร้านตลอดเหรอ?”
“ม ไม่”
ทั้งคู่ตอบไม่ค่อยเต็มเสียง
“เห็นไหม เพราะงั้นก็ผลัดกันเฝ้าร้านซะสิ ไว้ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยแยกร้านกันออกมา ผมกันพื้นที่ให้แล้ว รับรองไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบหรอก”
“ตามที่นายท่านว่า”
“อืม เอาอย่างที่โรมะบอก”
ในที่สุดก็ยอมตกลง แต่ยังไม่ยอมจับมือกันแฮะ คงต้องใช้เวลาทำความสนิทสนมกัน แต่เป็นดวาฟคอเหล้าเหมือนกัน สนิทกันไม่ยากหรอก
“เฮ้ โรมะ มีสองคนนี้เปิดร้านแล้ว จะให้ฉันทำอะไรอีกล่ะ”
“ลุงก็ต้องเปิดร้านด้วย”
แล้วผมก็อธิบายให้ฟังว่าทำไมถึงต้องมีร้านของลุงด้วย เขาเลยพยักหน้าตามแบบเห็นด้วย
“เข้าใจล่ะ แบบนี้ข้าก็ขอรับซื้อโดยตรงได้เลย แถมได้ปล่อยในราคาถูกลงด้วย”
“ต้องไปขอจากกิลนักผจญภัยหรือกิลการค้าก่อนหรือเปล่า”
“ไม่ต้องหรอก อาวุธเป็นสินค้าอิสระสามารถซื้อขายได้อย่างเสรี”
ฟังดูอันตรายก็จริง แต่โลกนี้มีอันตรายรอบตัว ก็ถือว่าถูกต้องแล้วล่ะ
“แล้วโรงแรมจะเสร็จเมื่อไรล่ะ”
“ตามที่กะเอาไว้ก็ไม่เกินสองอาทิตย์ ไม่สิ อาจจะเร็วกว่านั้นอีก”
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ!”
“ก็มีพวกช่างก่อสร้างระดับโปรอยู่ด้วยนี้”
ผมชี้ไปที่พวกแฟรี่ ซึ่งทุกคนมองสักพักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้ากัน
“ง งั้นข้าจะช่วยเรื่องก่อสร้างด้วยอีกแรง”
บลูมเสนอตัว
“ไม่ได้ ข้าดูแลอยู่”
แต่ยูรินไม่ยอมอีกแล้ว
“ไม่ต้องทะเลาะกันเลย ทำทั้งคู่แหละ ผลัดกันไปคนละรอบก็ได้ อ่ะ จริงสิ! ยูรินเรื่องงานก่อสร้างปล่อยให้บลูมจัดการเถอะ แล้วเธอมาช่วยผมสร้างชักโครกแทน”
“จะใช้ติดตั้งในโรงแรมเหรอ”
“ใช่เลย”
“งั้นต้องวางระบบท่อใหม่นะ”
“ไม่มีปัญหา เธออธิบายให้บลูมเข้าใจด้วยก็พอ”
จากนั้นยูรินก็หยิบเอาพิมพ์เขียวขึ้นมา และจัดการแก้ไขในทันที พร้อมกับอธิบายให้บลูมฟังไปด้วย สมกับเป็นดวาฟสื่อสารกันเข้าใจได้ในไม่กี่คำ
“พวกฉันก็สนใจเหมือนกันนะ!”
เนปฟ่าโดนเข้าร่วมวงด้วยแฮะ อันนี้ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย
“อืม…เนปฟ่ากับซีเอ้เองก็หน้าตาดีซะด้วย สนใจมาเป็นพนักงานต้อนรับไหม”
“สนๆ! ถึงจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็เถอะ แต่ฉันจะทำ”
…จะไหวไหมเนี่ย เอาเถอะ ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวค่อยให้ไปช่วยงานร้านลุงออกัสเหมือนกับเมดารินแทน ไม่ก็เปิดร้านขายไอเท็มให้ดูแลกัน
“แล้วโกร่ากับทีโมทีล่ะ จะร่วมงานด้วยกันไหม”
“ก็ได้ แต่ข้ามีเงื่อนไข”
“ว่ามา”
“ขอกินฟรีอยู่ฟรีแทนค่าจ้าง”
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวให้ห้องพักแบบครอบครัวไปเลย”
“งั้นเป็นอันตกลง”
โกร่าแยกเขี้ยวแล้วยื่นมือมาจับกับผม ส่วนทีโมทีก็พยักหน้าให้และอมยิ้มออกมา ส่วนผมก็สบายใจ
ที่มีพวกโกร่าอยู่ด้วย ถ้าเป็นพวกเธอก็ไว้ใจเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยได้แน่ เพราะนักผจญภัยล้วนแต่เกรงใจปาร์ตี้ของเธอกัน อย่างน้อยก็คงไม่กล้าก่อเรื่องในพื้นที่ที่พวกเธอพักอาศัยอยู่แน่
“เอาล่ะ กินอิ่มแล้ว เรื่องงานก็คุยจบแล้ว งั้นต่อไปก็มาเย็ดกันเถอะ”
พอโกร่าพูดออกมา พวกผู้หญิงก็ถึงกับพากันสะดุ้ง เพราะไม่ชินกับวิธีการพูดออกมาแบบตรงๆ ของโกร่า
“อืม…นั้นสินะ หลังจากเปิดแท่นวาปร์และเริ่มงานก่อสร้างแล้ว ก็คงไม่ว่างอีกนานเลย งั้นช่วงนี้มากอบโกยให้เต็มอิ่มก่อนก็ดี”
ผมเห็นด้วยเลย เลยหันไปฝากงานทำความสะอาดและเก็บของให้กับพวกทาส ซึ่งพวกนั้นถึงกับตั้งแต่ยืนตรงรอรับคำสั่งกันเลยทีเดียว
และไม่ใช่แค่ผมกับปาร์ตี้ของโกร่า แต่พวกสาวๆ ก็เข้าร่วมการทำศึกครั้งนี้ด้วยอย่างพร้อมหน้า เลยเป็นมหาสงครามเซ็กส์หมู่ครั้งประวัติศาสตร์ที่ทำเอาคฤหาสน์เกือบพัง
อารมค้างเลย555+อยากอ่านต่อไวๆ
ตอบลบอารมค้างเลย555+อยากอ่านต่อไวๆ
ตอบลบขอบคุณมากจ้า
ตอบลบยังคงสนุกเช่นเคย ช่วงนี้เหมือนชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์กันเลยทีเดียว
ตอบลบปวดกะบานกะไอจอมารจิตผันผวน55555+
ตอบลบผมเพิ่งเริ่มอ่านเดือนนี้เอง
ตอบลบเพิ่งอ่านจบ ร้อยห้าสิบกว่าตอนและเนื้อเรื่อง
ยังค้างอยู่เลย ได้ยิดข่าวลือว่าผู้แต่งไม่แต่งต่อแล้ว
......,
ผมแต่งต่อเองเป็นภาคสองเองเลยดีไหม
ถ้าคิดจะทำตอก็ทำไปเถอะครับ แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าขนาดเจ้าของผลงานเองยังโดนเกรียนบอดไทยเราเล่นซะหมดลมแต่งต่อ ถ้าท่านคิดตัวเองมีภูมิคุมกันมากพอจะแต่งกะทำไปเถอะครับเพรอะูดูแล้วผลงานยังไม่มีลิขสิทแค่คอยกำกับแต่ละด้วยว่าแต่งเอง
ลบถ้ามีต่อจะรออ่านเลย
ลบแต่บอกคนแต่งก่อนก็ดี
หรือเค้าหายสาบสูญไปแล้วอะ เสียดายฝีมือ
จัดเลยครับ ทิ้งปมไว้เยอะเกิน ลองแต่งดู
ลบถ้าจะแต่งต่อก็บอกกันได้นะครับ จะเป็นผู้อ่านให้ครับ =3= แต่เสียดายอยากเจอคนแต่ง มากกว่า ไม่มีช่องทางติดต่อเลย ตั้งแต่ดราม่า =3=
ลบ