ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 105 - 107 By Kumao






ตอนที่ 105 อาวุธที่เรียกว่าการสื่อสาร

ภายในกระโจมที่ปิดทึบ มีชายคนหนึ่งได้ถูกจับแก้ผ้าจนไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน ผูกติดอยู่กับเสาไม้ที่ปักลงบนดิน เดี๋ยวก่อนนะ ชายคนที่ว่ามันผมเองนี่น่า
ตอนนี้กระผมนายโรมะกำลังเป็นชีเปลือยแล้วถูกจับมัดกับเสาในท่ายืนมือไขว้หลังอยู่ล่ะ
แต่ก็ตามคาดล่ะนะ การถูกจับในฐานะศัตรู ก็ต้องโดนแบบนี้อยู่แล้ว ที่ผมไม่พาพวกสาวๆ มาด้วย ก็เพราะเหตุนี้ล่ะ สำหรับผู้ชายที่หน้าหนาอย่างผม เรื่องแค่นี้มันไม่ได้สะเทือนจิตวิญญาณแห่งความโรคจิตเลยแม้แต่นิด
ทว่าสิ่งที่พวกนั้นถอดออกไปจากตัวผม ก็มีเฉพาะสิ่งที่มองด้วยตาเห็นเท่านั้นแหละ ดังนั้นผมจึงไม่ได้ตัวเปล่าซะทีเดียว เพราะยังเหลือแหวนที่มุเอมะให้มา ซึ่งคนธรรมดามองไม่เห็น
ผมใช้นิ้วโป้งกดลงไปที่แหวน เพื่อเริ่มการสื่อสารไปหามิริน ซึ่งตอนนี้มันใกล้จะครบสองชั่วโมงแล้ว ถ้าผมยังไม่กลับไป มีหวังทุกคนได้อาละวาดแน่ และผม
ค่อนข้างเป็นห่วงในจุดนี้ เพราะเท่าที่ดู พวกโบสถ์ใหญ่กลุ่มนี้ไม่ใช่เล่นๆ
ถึงถ้าสู้กันจริงๆ ผมว่าพวกสาวๆ สามารถเอาชนะได้ แต่เป็นชัยชนะแบบไหนล่ะ แบบที่ต้องมีพวกพ้องต้องตายไปจนเกือบหมด แบบนั้นผมไม่เรียกว่าชนะ ถ้าจะรบก็ต้องรบแบบไม่ให้เข้าเนื้อตัวเอง ผมเลยไม่คิดจะให้พวกเธอปะทะกับโบสถ์ใหญ่ในสภาพนี้
พอติดต่อไป เสียงของมิรินดูตื่นตกใจมาก เพราะผมหายไปนาน ตอนนี้ทุกคนสแตนบายเตรียมบุกแล้วด้วย ผมเลยต้องให้มิรินรีบห้ามทุกคนไว้ก่อน
จากนั้นก็อธิบายสถานการณ์ให้ฟังพร้อมทุกคน ส่วนเรื่องแหวนผมให้มิรินอ้างไป ว่าเป็นเวทมนต์เฉพาะที่ใช้ติดต่อกับผมเท่านั้น แถมตอนนี้ทุกคนร้อนใจ เลยไม่มีใครมาสนใจเรื่องนั้นเท่าไร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้น พวกสาวๆ พากันโกรธใหญ่…โกรธผมนะ
“นายท่านสนใจยัยมารร้ายนั้นจริงๆ เหรอคะ!”
เดเม่ที่เคยเห็นอาร์คบิชอปมาแล้ว โวยขึ้นเป็นคนแรก
“เปล่าๆ ไม่ใช่สเปกเลย”
ผมพยายามแก้ตัวไปแต่ไม่มีใครฟัง
“เป็นเพราะพวกเราไม่มีดีสินะ ท่านโรมะถึงได้ไปหายัยนั้น”
“…เอ๋?”
“โรมะนายจะไปเอาใครมาเข้าฮาเร็มฉันก็ไม่ห้ามหรอกนะ แต่คนนี้ขอได้ไหม”
แม้แต่อาเดไลท์เองก็ดุผมด้วย! เศร้าแฮะ รู้สึกจิตใจโดนทำร้ายยิ่งกว่าโดนจับแก้ผ้าอีก
“เรื่องต่อว่าไว้ทีหลังเถอะทุกคน ตอนนี้มาฟังท่านโรมะก่อน”
แม้แต่มิรินเองก็ไม่ได้เข้าข้างผม แล้วเดี๋ยวมีมาต่อว่ากันต่อทีหลังอีกเหรอ! นี้ผมทำอะไรผิดเนี่ย ผมไม่ได้พิศวาสอะไรยัยเรเดียซักหน่อย ที่พูดไปแบบนั้นเพราะรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไง ถ้าผมปฏิเสธไปตรงๆ ทางนั้นก็จะใช้การปฏิเสธ ปลุกปั่นกระแสขึ้นมาได้
เช่นไปบอกกับนักผจญภัย ว่าผมปฏิเสธข้อเสนอและจะเข้ามาป่วน หรือบอกกับพวกนักบวชว่าผมเมินเฉยต่อความหวังดี และคิดร้ายต่อทางโบสถ์ใหญ่
เพราะงั้นผมเลยพุ่งเป้าไปที่ตัวเรเดีย เพื่อให้มันกลายเป็นปัญหาระหว่างตัวบุคคล และจะทำให้เธอไม่มีข้ออ้างมาสร้างกระแสด้วย
เอาเถอะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมทำไป ก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ต้องบอกทุกคนไปก่อนว่าจะทำอย่างไงต่อ
ผมบอกทั้งแผนที่จะใช้ รวมถึงข้อมูลต่างๆ จากค่ายหลัก แหวนของมุเอมะใช้ประโยชน์ได้เกินคาด เหมือนวิทยุสื่อสารเลยแฮะ
เหมือนรู้สภาพการแล้ว พวกสาวๆ ถึงจะโกรธแต่ก็เริ่มควบคุมอารมณ์ได้ ยิ่งตอนผมสั่งว่าคราวนี้อันตราย อย่าใช้อารมณ์ ทุกคนก็นิ่งขึ้นมาทันที คำสั่งยังเป็นอะไรที่ใช้ได้อยู่ตอนจำเป็น พวกสาวๆ เองก็เข้าใจในจุดนี้ เวลาผมสั่งต่อให้เป็นเรื่องขัดใจแค่ไหน พวกเธอก็ทำตามแบบไร้ข้อโต้แย้ง
แผนของผมหลักๆ คืออย่าปะทะโดยตรง ดูจากสภาพการณ์แล้ว อย่างไงพวกโบสถ์ใหญ่ก็ไม่ละทิ้งที่มั่นไปแน่ๆ เพราะเส้นทางในชั้นนี้เป็นหุบเขา ทางเดินแคบมาก ถ้านำคนจำนวนมากเดินทัพ จะมีสภาพเป็นแถวงู ซึ่งจะทำให้สั่งการลำบาก และตั้งรับไม่ได้
พวกโบสถ์ใหญ่เลยจะใช้ผมล่อให้คนอื่นเข้ามาหาเอง ตอนนี้ขอแค่พวกสาวๆ ไม่เคลื่อนไหว ทางฝ่ายโบสถ์ใหญ่จะต้องเป็นฝ่ายที่เต้นแทน เพราะอย่าลืม…ฝ่ายที่ต้องวางเดินพันในราคาที่สูงลิบ ไม่ใช่พวกผม
หลังจากสั่งการไปอย่างละเอียดแล้ว ผมก็ยุติการสื่อสารทันที เพราะกำลังจะมีคนเข้ามา
“เราเอาเสื้อผ้าและของใช้ของมัน ไปโยนไว้ที่ทางเชื่อมระหว่างชั้นแล้วครับ”
เสียงนักบวชแก่ๆ รายงาน อีกฝ่ายที่ฟังรายงานน่าจะเป็นเรเดีย
“ดีมาก นำกองอัศวินแยกเป็นสองส่วน กองที่หนึ่งให้ตั้งแนวรบที่ทางเข้าของค่าย ส่วนกองที่สองใช้เส้นทางอ้อม ไปสุ่มรอจนกว่าอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหว แล้วค่อยตลบหลังไม่ให้พวกมันหนีได้ จำไว้จับตัวพวกมันมาเป็นๆ พวกเราสามารถนำพวกมันมาเป็นทาส เพื่อใช้เก็บเลเวลให้ได้”
“รับทราบครับ”
พอเรเดียสั่งเสร็จ เงาของนักบวชแก่ๆ ก็เดินห่างออกไป จนเหลือเธอกับผู้คุ้มกันอีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ก่อนที่จะเข้ามา เธอก็ไล่ให้ทุกคนกลับไป
“อยู่ตามลำพังกับนักโทษ จะเป็นอันตรายได้นะครับ”
มีอัศวินคนหนึ่งเตือนขึ้นมา ฟังจากนํ้าเสียงแล้ว น่าจะเป็นพี่ชายเกราะเบา
“ไม่ต้องห่วง เจ้านี้มันไม่ได้มีนํ้ายาอะไรหรอก แถมยังโดนพวกเราลิบอาวุธและมัดไว้อีก มันจะทำอะไรได้”
“แต่ถึงอย่างนั้น”
“ฉันสั่งแล้ว ไม่ได้ยินเหรอ เอนันโด้”
“ครับ! ตามที่ท่านอาร์คบิชอปต้องการ”
แล้วเงาทุกคนก็ถอยออกไป จนเหลือแต่เรเดียคนเดียว
เธอแหวกกระโจมเข้ามา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง สายตาที่จ้องมาทางผม เหมือนสายตาที่ใช้มองสัตว์เลี้ยง ทว่าพอเธอเลื่อนสายตาจนมา
เจอดุ้นของผม เธอก็ผงะไปเลย แต่เธอก็รีบเก็บอาการไม่ให้ผมเห็น แต่สายไปแล้วล่ะ ไม่ใช่แค่ท่าทางผงะของเธอหรอก เพราะหน้าเธอก็แดงไปจนถึงหูแล้ว ความเย่อหยิ่งในตอนแรกหายไป จนกลายเป็นคุณหนูผู้ไม่รู้ความไปซะแล้ว
“จะจ้องอีกนานไหม ถึงผมไม่อายก็เถอะ แต่ไม่สบอารมณ์เลย”
“มะ มะ ไม่ได้จ้องสักหน่อย”
“เอาตามที่สบายใจเถอะ แล้วถ้าจะมาทรมานก็รีบๆ หน่อย”
“ทำปากดีไปเถอะ! เดี๋ยวเจ้าจะต้องร้องขอชีวิตจากเรา”
“ไว้ชีวิตผมด้วยเถอะ!”
“ฉันยังไม่ได้ลงมือ!”
“ซ้อมไว้ก่อนน่ะ แบบตะกี้พอไหวไหม”
“จะ เจ้าเห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นหรือไง!”
“ไม่ได้ใกล้เคียงเลยล่ะ”
เรเดียโกรธจนต้องกระทืบเท้าปังๆ
นั้นไง แสดงความเป็นเด็กออกมาจนได้ ยิ่งเธอถูกเอาแต่ใจมาโดยตลอด พอมีคนขัดใจขึ้นมา ก็ยิ่งรักษามาดแบบผู้ใหญ่ไว้ได้ยาก
“คอยดูเถอะ ฉันจะทรมานเจ้าจนกว่าจะยอมรับใช้พระเจ้า”
“เอ่อ เดี๋ยวนะ ทรมานจนยอมเข้ารีดเนี่ยนะ…เธออ่ะ สมองยังปกติดีหรือเปล่า?”
“ห หาว่าฉันบ้าเหรอ! ไอ้เจ้าสารเลว!”
เรเดียระเบิดความโกรธออกมา พร้อมกับวิ่งไปหยิบเอาที่คล้ายๆ ไม้นวดแป้ง ขึ้นมาจากบนโต๊ะที่วางอุปกรณ์ทรมานไว้ แต่มันอยู่ไกลผมเลยไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่บนโต๊ะบ้าง แต่ไม้นวดแป้งเนี่ยนะ…แม้แต่การทรมานที่โลกนี้ล้าหลังเหรอเนี่ย
เรเดียตรงเข้ามา ในมือถือไม้นวดแป้ง สีหน้าแสดงความยินดี ราวกับสาวน้อยกำลังจะกระโดดขึ้นเตียงไปหาแฟนหนุ่ม
“เดี๋ยว!”
“มาร้องขอความเมตตาตอนนี้มันยังเร็วไป!”
เรเดียไม่ฟังเสียง แต่ตรงเข้ามาหาพร้อมกับยกไม้นวดแป้งขึ้นเหนือหัว
อ่ะ ไม่ทันแล้ว
กว่าเรเดียจะรู้ตัว เธอก็โดนฉี่ผมเข้าไปจนเปียกแล้ว เอ่อ ก็แบบว่าอั้นไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว แถมโดนมัดไว้แบบนี้จะไปเข้าห้องนํ้าก็ไม่ได้อีก
“ก็บอกแล้วไงเดี๋ยว”
ผมถอนหายใจออกมา เพราะผมเองก็ไม่ได้มีรสนิยมเยี่ยวใส่ผู้หญิงหรอกนะ
เหมือนว่าเสียงของผมจะไม่ได้เข้าหูเรเดียแล้ว เธอช็อคจนยืนแข็งเป็นหินไปแล้ว อ่ะ อาร์คบิชอปผู้ยิ่งใหญ่ โดนไอ้หื่นอย่างผมเยี่ยวใส่ เธอคงคิดอะไรแบบนี้อยู่ล่ะมั่ง แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ชีวิตยังมีเรื่องเลวร้ายกว่านี้อีกเยอะ Don’t mind
“เอ่อ ถ้าไม่รีบไปล้างตัว เดี๋ยวกลิ่นติดนะ”
ผมเตือนเธอ หลังจากที่ยังไม่ยอมขยับตัวมาหลายนาทีแล้ว
เรเดียเหมือนพึ่งตื่นจากฝัน ดวงตาเธอชุ่มไปด้วยนํ้าตา แต่ก็กลั้นไว้ไม่ให้ไหลออกมา
“ฝ ฝากไว้ก่อนเถอะ! เดี๋ยวฉันจะกลับมาเอาคืนให้หนักเลย!”
แล้วท่านอาร์คบิชอปก็วิ่งหนีไปแอบร้องไห้…นี้ผมเป็นคนเลวหรือเปล่านะ ไปสร้างแผลใจให้กับสาวสวยแบบนั้น
แต่ตอนนี้ได้โอกาสแล้ว รีบติดต่อไปบอกข้อมูลกับพวกมิรินก่อนดีกว่า แล้วแผนที่เรเดียวางไว้ก็เป็นอันล้มเหลวด้วยประการล่ะฉะนี้
หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ผมก็รอว่าจะได้กินมื้อเย็นไหม แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว คงโดนอดอาหารแน่ แต่ไม่เป็นไรหรอก อย่างผมน่ะทนอดอาหารได้ถึง 5 วันหรือมากกว่านั้น ถ้าไม่ได้ออกแรงทำอะไร ก็น่าจะทนได้เกินอาทิตย์ แต่นํ้านี้สิ คงทนได้ไม่เกิน 4 วัน แต่นั้นคือทำให้อยู่ในสภาวะอันตรายนะ ถ้าจะให้ถึงตาย ก็บวกเพิ่มอีก 2-3 วัน
แต่นั้นคือขีดกำจัดของมนุษย์นะ ถ้าตายผมก็จะกลับสู่สถานะจอมมารทันที ซึ่งนั้นไม่ดีเลย
“…4 วันเหรอ คงพอจะทำอะไรได้มั่ง หวังว่านะ”
อยู่ในนี้ผมกะเวลาไม่ค่อยถูกหรอก ต้องคอยดูเอาจากแสงไฟจากด้านนอกเอา ซึ่งแสงในชั้นนี้ พอตกคํ่ามันจะลดแสงลง และมีอันเดดโผล่ขึ้นมาจากพื้น
เต็มไปหมด รอบค่ายเลยจะมีการทำแท่นตะแกงยกสูง ไว้ใส่ฟืนแล้วจุดไฟให้ความสว่าง
ระหว่างนั้นก็มีคนแวะเวียนโผล่หน้ามาดูผมเป็นระยะ ซึ่งล้วนแต่เป็นสาวๆ ทั้งนั้น พวกเธอไม่ได้มาชมความหล่อของผมที่ไม่มีอยู่เลยหรอก แต่จะมาชมอาวุธในตำนานของผม ผมเลยแกล้งพวกเธอเล่น ด้วยการทำให้ดุ้นแข็งตัวขึ้นมา พวกเธอพากันร้องกรี๊ดแล้ววิ่งหนีไปกันเลย…เล่นแรงไปหน่อยมั่งผม
วันนี้ไม่เห็นเรเดียกลับมาเลยแฮะ ผิดหวังจัง เหงาด้วย นึกว่าจะมีอะไรสนุกๆ กว่านี้ซะอีก แต่ทางนี้เองก็คงอยู่ในสภาพตึงเครียดกันอยู่ เพราะไม่รู้ว่าปาร์ตี้ของผมจะบุกมาตอนไหน
และอย่างที่คิดไว้ ไม่มีมื้อเย็นให้
ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว สำหรับชั้นนี้ กลางคืนไม่ใช่เวลาออกล่า เพราะมอนสเตอร์จะมีทั้งความแข็งแกร่ง และจำนวนมากกว่าตอนกลางวัน นั้นคือที่มอเรียบอกผมมา แต่ดูเหมือนทางนี้จะรีบร้อนมาก ขนาดกลางคืนยังส่งคนออกไปล่า
โดยที่ตอนกลางวันจะมีแค่นักผจญภัยเท่านั้นที่ออกไปล่า แต่พอเป็นกลางคืน ก็จะส่งกองทัพผสมออกไป โดยจะมีทั้งพาลาดินและนักบวชชั้นสูงออกไปด้วย ทว่าเพราะต้องแบ่งกำลังไปจัดการปาร์ตี้ของผม ทำให้กำลังคนที่ออกไปล่ามอนสเตอร์จึงมีแต่นักผจญภัยเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งนั้นทำให้มีเสียงร้องโวยมาเหมือนกัน เพราะเหมือนว่าพวกนักผจญภัยจะทำงานหนักและแทบไม่ได้พักเลย แต่เรเดียก็ไม่ฟังเสียงบ่น และบอกว่าถ้าไม่
ออกไป ก็จะไม่จ่ายเงินให้ พวกนักผจญภัยเลยได้แต่กัดฟันและก้มหน้าทำงานไป จะว่าไปเจ้าพวกนี้ไม่ได้อ่านสัญญาก่อนจะรับเควสหรือไงนะ?
ขณะที่ผมเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยการฟังเสียง ก็มีคนเข้ามาที่กระโจนนักโทษที่ผมอยู่ ฟังจากเสียงเดินแล้ว น่าจะเป็นอัศวิน เพราะมีการลงเท้าที่หนักจากนํ้าหนักของเกราะ และก็ใช่จริงๆ เป็นอัศวินใส่เกราะเต็มยศที่เข้ามา
สิ่งที่แยกระหว่างอัศวินชั้นล่างกับอัศวินชั้นพาลาดิน นอกจากความหรูของเกราะที่ผมแยกไม่ค่อยออกแล้ว ก็คือสีของผ้าคลุม ถ้าเป็นอัศวินชั้นล่างๆ จะใช้ผ้าคลุมสีขาวไม่ก็สีเทา แต่ถ้าเป็นพาลาดินจะใช้กันแต่สีแดง และยังมีตราของโบสถ์ใหญ่ติดไว้ด้วย
อัศวินที่เข้ามาเอาอาหารกับนํ้ามาให้ด้วย แปลกจัง? ไม่ใช่จะทรมานด้วยการอดข้าวอดนํ้าหรือไง
“…แอบเอาอาหารมาให้นักโทษ จะดีเหรอ”
“ซู่!!”
อัศวินรีบให้ผมเบาเสียงลงทันที แอบเอามาให้จริงๆ ด้วย แถมยังเป็นผู้หญิงอีก
เธอเอาถาดอาหารวางไว้ที่พื้น แล้วถอดหมวกเกราะออก ถึงจะมองแค่ผ่านๆ แต่ผมจำเธอได้ ว่าเป็นหนึ่งในคนที่โดนเรเดียบังคับให้เป็นค่าจ้าง
“ถ้าคนอื่นรู้เข้า ฉันแย่แน่ เพราะงั้นเงียบๆ ไว้นะ”
เธอสั่งผมพลางมองไปรอบๆ อย่างหวาดผวา ซึ่งผมก็พยักหน้ารับและรูดซิบปากไว้
“ฉันแก้มัดให้ไม่ได้ เพราะงั้นอ้าปากซะ จะป้อนให้”
เธอกระซิบบอกพร้อมกับเริ่มหยิบเอาอาหารขึ้นมา มันมีขนมปังแข็งๆ ที่จุมกับซุปจืดๆ ไร้รสชาติ ที่มีเศษผักอยู่นิดหน่อย กับเนื้อตากแห้งที่แข็งจนฟันแทบหัก แต่เวลานี้อย่าเลือกกินจะดีกว่า อะไรก็ได้ขอลงท้องไปเป็นเหยื่อของนํ้าย่อยก่อน
อัศวินสาวป้อนผมอย่างใส่ใจไม่รีบร้อน ถึงตัวเธอจะผวาและหันไปมองรอบๆ ทุกสามนาทีก็ตาม พอผมกินเสร็จเธอก็รีบจะกลับออกไปทันที
“เดี๋ยวๆ เธอชื่ออะไรเหรอ”
“ฉัน…ทาฮากริมแห่งวิลเฟนเฮ”
“เธอเป็นขุนนางเหรอ”
คนที่แนะนำตัวแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นขุนนาง หรือมียศระดับที่มีที่ดินเป็นของตัวเองทั้งนั้น
“ชะ ใช่ บิดาของฉันคือลอร์ดที่ปกครองวิลเฟนเฮ”
“หา! แล้วทำไมลูกสาวท่านลอร์ดถึงได้มาตกระกำลำบากแบบนี้ล่ะ!?”
“อย่ามาพูดเหมือนฉันเป็นขุนนางตกอับสิ!”
“ซู่!!”
เธอขึ้นเสียงขึ้นมา ผมเลยต้องเป็นฝ่ายให้เธอเบาเสียงบ้าง พอเธอหันไปมองรอบๆ แล้วมั่นใจว่าไม่มีใครมาใกล้ ก็หันมากระซิบเชิงตำหนิผม
“อย่าให้ฉันต้องลำบากเพราะนายมากกว่านี้เลย”
“ขอโทษด้วย ผมจะไม่ทำให้เธอลำบากหรอก แต่ช่วยบอกหน่อยสิ ทำไมเธอถึงมาเป็นอัศวินของโบสถ์ใหญ่ได้ล่ะ”
“นายไม่รู้อะไร ขุนนางอย่างฉันไม่มีทางให้เลือกมากนักหรอก ถ้าไม่เป็นสมาชิกของโบสถ์ใหญ่ ก็จะโดนกดดัน ทั้งโดนฝ่ายคลังขึ้นภาษีที่ ทั้งการเป่าหูให้ประชาชนต่อต้าน พวกโบสถ์ใหญ่มีวิธีเล่นงานศัตรูตั้งหลายอย่าง ถ้าไม่อยากโดนเล่นงาน ก็ต้องส่งลูกหลานของตัวเองมาเข้ากับโบสถ์ใหญ่ เพื่อให้ได้มาซึ่งเส้นสาย
ยิ่งถ้ามีตำแหน่งสูงขึ้นในโบสถ์ใหญ่ ฐานะภายในก็ยิ่งมั่นคงมากขึ้นด้วย”
“แบบนี้เอง แปลว่าที่สนับสนุนโบสถ์ใหญ่อยู่เบื้องหลัง ก็มีพวกขุนนางระดับใหญ่โตอยู่เพียบเลยสินะ”
“ไม่ใช่แค่ระดับขุนนางหรอก แต่เชื้อพระวงศ์ของหลายประเทศก็เป็นสาวกแบบเหนียวแน่นด้วย”
“ถึงว่า เบ่งกันจัง”
“มะ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นกันทุกคนสักหน่อย! ท่านนักบวชที่น่านับถือและทำตัวดีๆ ก็มีนะ!”
“ซู่!!”
ผมต้องให้เธอเบาเสียงอีกรอบ
“แต่ถึงขั้นมาบังคับให้เสียตัวเนี่ย มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
“…บอกแล้วไงพวกฉันไม่มีทางให้เลือกหรอก วิธีไต่เต้าให้ได้ตำแหน่งดีๆ ในโบสถ์ใหญ่ มีแต่ต้องเชื่อฟังและยอมทำเรื่องแบบนี้ พวกฉันน่ะยังถือว่าโชคดี ที่มีหัวหน้าเป็นท่านอาร์คบิชอปเรเดีย ลองเป็นพวกที่ติดตามพวกนักบวชชั้นสูงที่เป็นผู้ชายสิ มีแต่โดนเรียกให้เข้าไปรับใช้พระเจ้าทุกคืน”
“อ่า เข้าใจล่ะ”
ถึงไม่ต้องอธิบายคำว่า ‘รับใช้พระเจ้า’ ผมก็เข้าใจดีว่ามันคืออะไร
“นายเองก็เถอะ ทำไมถึงไม่ยอมรับข้อเสนอของท่านเรเดียล่ะ”
“เรื่องนั้น…มีคนมา รีบไปเร็ว”
ผมลดเสียงลงและบอกกับทาฮากริมไป เธอสะดุ้งเบาๆ ก็รีบหยิบหมวกเกราะขึ้นมาใส่ และเตรียมมุดหนีออกไปทางด้านหลัง
“อดทนไว้นะ ฉันจะพยายามแอบเอาอาหารมาให้อีก”
เธอกระซิบบอกผม ขณะที่วิ่งผ่านไป ซึ่งผมก็พยักหน้ารับนํ้าใจของเธอไว้
และพอทาฮากริมออกไป ก็มีนักบวชแก่ๆ โผล่เข้ามาพอดี โชคดีที่เขาไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติบนพื้นที่มีรอยเท้าอยู่ เพราะเขากำลังอยู่ในสภาพโกรธจัด และไม่พูดพรํ่าทำเพลง ก็หยิบไม้นวดแป้งตรงมาทุบผมทันที
แต่ผมที่ใช้สกิลมารราคะ+ ทำให้ร่างกายมีความนุ่มเกินระดับปกติ เลยไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดไปกับการโดนทุบตีเลย ตรงกันข้าม เป็นการนวดคลายกล้ามเนื้อที่ดีมากเลย อ่ะ ตรงนั้นแหละ แรงๆ เลย!

ตอนที่ 106 ยุทธการกองโจร

ด้วยการนวดของนักบวชชรา ทำให้ผมรู้สบายจนเผลอหลับไป ส่วนนักบวชชรานึกว่าซ้อมผมจนสลบไปแล้ว เลยหยุดมือและเดินออกไปด้วยสีหน้าพึ่งพอใจ
ผมหลับไปได้ไม่นาน ก็ต้องตื่นขึ้นมา เพราะข้างนอกมีเสียงดังขึ้นมา ดูเหมือนกระโจมของผมจะติดกับกระโจมสองชั้นที่เรเดียอยู่ และยังเป็นศูนย์บัญชาการด้วย เลยมีคนวิ่งเข้าวิ่งออกแทบตลอดเวลา
“ทีมล่าที่สามยังไม่กลับมาเลยครับ!”
เสียงดังมาจนถึงที่ผมอยู่ ท่าทางจะร้อนรนกันมาก
“หนีไปแล้วเหรอ!”
เสียงเรเดียแสดงความโกรธอย่างชัดเจน เดี๋ยวเถอะ โกรธมากๆ เดี๋ยวก็เหี่ยวเร็วหรอก
“คิดว่าไม่ใช่ครับ เพราะข้าวของก็ยังอยู่ในที่พัก เสบียงเองก็ไม่ได้เอาไป ถ้าจะเดินกลับออกไป อย่างน้อยก็ต้องมีเสบียงไปด้วยครับ”
“หรือว่าจะเสียท่าให้กับมอนสเตอร์ไปแล้ว”
“นะ น่าจะเป็นไปได้ครับ เพราะไม่มีอัศวินกับนักบวชของพวกเราไปด้วย แถมพวกเขาเองก็เหนื่อยล้ามากแล้ว”
“จะว่าเป็นความผิดของฉันเหรอ!”
“มะ ไม่ครับ! ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“ไว้ฉันจะไตร่สวนเจ้าทีหลัง ตอนนี้ส่งหน่วยสอดแนมออกไปหาตามพวกที่หายไปซะ”
“รับทราบครับท่านอาร์คบิชอป!”
ผมที่ได้ฟังอย่างเรื่องทั้งหมดแล้ว หุบยิ้มไม่อยู่ทีเดียว และเสียใจด้วยนะคุณเรเดีย คนที่ส่งออกไปก็คงตายเปล่าเหมือนกัน เพราะที่หายตัวไปไม่ได้โดนมอนสเตอร์ลากไปกินหรอก แต่โดนพวกผมซุ่มโจมตีต่างหากล่ะ และในกลุ่มผมก็มีคนหนึ่งที่ถนัดงานแบบนั้น
มอเรียอย่างไงล่ะ
เธอเป็นนักฆ่าระดับสูง เรื่องจะแอบย่องมาที่แนวหลังของข้าศึก ไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถเลย เธอแอบโจมตีเอาตอนที่มีคนหลุดฝูงออกมา โดยย่องไปข้างหลังในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับมอนสเตอร์ เผลอๆ พวกนั้นจะตายไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซํ้าว่าโดนอะไรไป
แต่ว่ายังหรอก ฝันร้ายจริงๆ มันหลังจากนี้ต่างหาก ด้วยกลยุทธ์กองโจรที่ผมส่วนพวกสาวๆ ไป มาดูกันว่าคนในโลกนี้สามารถรับมือการโจมตีแบบกองโจรได้แค่ไหน
และตลอดทั้งคืนก็มีคนวิ่งเข้าวิ่งออกมาแจ้งข่าว จนเรเดียเองไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ด้วยวิธีการที่ผมสอนมอเรียไป ได้สร้างปัญหาให้กับหน่วยสอดแนมที่ส่งออกไปมาก เพราะเธอไม่ได้สังหารทุกคน แต่จะเหลือเหยื่อที่บาดเจ็บเอาไว้
คนเจ็บจะทำให้อีกฝ่ายช้าลง อ่อนแอลง เป็นเป้าให้แอบเล่นงานได้ง่ายขึ้น
และพวกโบสถ์ใหญ่ไม่เคยเจอวิธีการสกปรกแบบนี้มาก่อน เลยรับมือไม่ถูก พอเห็นคนเจ็บเลยตรงเข้าไปช่วย โดยไม่เอะใจเลย ระหว่างพาตัวกลับมา ก็ค่อยๆ หายกันไปทีละคน กว่าจะรู้ตัวก็เหลือตัวคนเดียวแล้ว และก็ตกเป็นเหยื่อล่อด้วยการทำให้บาดเจ็บสาหัส
ซํ้ามอเรียยังนำศพคนที่สังหาร ไปทิ้งไว้แบบกระจัดกระจาย เพื่อไม่ให้ศัตรูจับตำแหน่งการเคลื่อนไหวได้ ซํ้ายังสร้างความสับสนเรื่องจำนวนของคนที่ลงมือ อีกฝ่ายจะคาดเดาจำนวนศัตรูไม่ได้เลย
แต่เป้าหมายที่ผมให้มอเรียไปจัดการ ไม่ใช่เพื่อลดจำนวนคนของทางนี้หรอก แต่เพื่อทำให้พวกโบสถ์ใหญ่ทำงานได้ยากขึ้นต่างหาก หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ขัดขวางการทำงานของทางนี้
เพราะพอรู้ว่ามีการดักโจมตีอยู่ ทำให้พวกนักผจญภัยไม่กล้าจะออกมาล่า หรือถึงจะโดนบังคับออกมา แต่ก็ทำการล่าได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะต้องคอยระวังหลังอยู่ตลอดเวลา มันเป็นเรื่องยากมาก ที่ต้องสู้กับมอนสเตอร์ไปพร้อมกับเหลียวมองไปข้างหลัง
พอล่าไม่ได้ตามเป้า ก็เท่ากับต้องเสียเวลาเพิ่ม การเสียเวลาก็เท่ากับการเผาพล่านทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดไปด้วย จากที่ผมรู้มา ปริมาณของเสบียงที่ทางนี้มีอยู่นั้น เพียงพอแค่สำหรับเส้นตายของเควส
เท่านั้น หรือก็คือ เสบียงจะมีพออยู่ได้เพียงแค่ 5 วันเท่านั้น ถ้ารวมกับเสบียงที่ใช้ตอนกลับก็บวกไปอีก 2 วัน
และจากนํ้าเสียงที่ไม่พอใจของเรเดีย ก็รู้แล้วว่าสภาพตอนนี้อยู่ห่างจากเป้าหมายมากนัก แต่ความโหดร้ายของสงครามกองโจรมันพึ่งเริ่ม
พอใกล้รุ่งสาง ก็มีข่าวร้ายที่แทบทำให้เรเดียคลั่งส่งตรงมาถึงเธอ ข่าวที่มาพร้อมกับกองอัศวิน ที่ส่งไปอ้อมดักโจมตีตลบหลังพวกผมนั้นเอง พวกเขากลับมาในสภาพยับเยิน เกือบทุกคนบาดเจ็บสาหัสปางตาย กว่า 80% อยู่ในสภาพร่างกายไม่ครบส่วน
การแย่งทัพโจมตีจะได้ผลก็ต่อเมื่อทำในที่ลับ ในข้อมูลทั้งหมดของทางนี้ ถูกผมแจ้งให้พวกสาวๆ รู้หมดแล้ว เพราะงั้นจึงไม่ลับอีกต่อไป
พวกเธอรอช่วงเวลาที่เหมาะแก่การลงมือมากที่สุด นั้นก็คือช่วงก่อนรุ่งสาง เพราะส่วนใหญ่กำลังหลับกันอยู่ คนที่อยู่ยามก็จะอยู่ในสภาพล้าถึงขีดสุด ประสาทรับรู้จะทื่อลงเป็นอย่างมาก จนสามารถทำให้เข้าใกล้ได้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
ถึงเลเวลจะสูงกว่า ถึงจำนวนจะมากกว่า แต่ถ้าโดนเล่นงานตอนหลับอยู่ มันก็ไม่ผลหรอกของแบบนั้น สกิลที่ทำงานตอนหลับเนี่ย ผมยังไม่เคยเจอมาก่อน ถือว่าเป็นช่องโหว่ของระบบที่ควบคุมโลกนี้อยู่ก็ว่าได้
ถึงจะเป็นงานที่ยาก แต่ผมก็บอกให้พวกสาวๆ ที่โจมตีกองอัศวิน ว่าให้ทำให้อีกฝ่ายตายน้อยที่สุด แต่ทำให้ตกอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บให้มากที่สุด เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะพวกนั้นจะต้องพาคนเจ็บกลับมารักษา แล้วใครล่ะที่รักษา ก็พวกนักบวชไง พวกนี้จะต้อง
เสียมาน่าที่สำคัญไปกับการรักษา วิธีนี้เรียกว่าการเพิ่มภาระให้ศัตรู
มีการคำนวณไว้ ว่าในสงครามคนที่บาดเจ็บนั้น กองทัพจะต้องสูญทรัพยากรเป็น 3-5 เท่าจากทหารปกติ ถึงกรณีนี้จะรักษาได้ทันทีด้วยเวทมนต์ก็เถอะ แต่การฟื้นคืนมาน่าของนักบวชที่ไม่มี Mp regen มันช้ามาก ผมถึงต้องระวังการใช้มาน่าของพวกกรอเรียไว้ตลอดเวลา
การที่ไม่มีมาน่าไว้สำหรับการรักษาตอนฉุกเฉิน ถือเป็นความเสี่ยงที่สุดสำหรับการใช้ชีวิตในดันเจี้ยน พวกนักผจญภัยรู้เรื่องนี้ดี เลยพากันออกอาการวิตก จากที่เคยมั่นใจในความปลอดภัย เพราะมากับนักบวช สามารถสู้ได้เต็มที่ ถ้าไม่ตายอย่างไงก็รักษาได้ แต่ความคิดนั้นกำลังถูกสั่นคลอนแล้ว
การรบไม่ใช่การวัดกันที่การชนกันในครั้งเดียว แต่มันคือการต่อสู้ระยะยาวที่ต้องใช้แผน ในบางสงครามมีการแพ้ชนะกันโดยไม่เสียกระสุนสักนัดยังมีให้เห็นมาแล้ว ก็เพียงมุ่งทำลายปัจจัยของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ จนทำให้ไม่อยู่ในสภาพที่รบได้ก็พอแล้ว นี้แหละสิ่งที่เรียกว่าสงคราม
สงครามกองโจรที่ผมให้พวกสาวๆ ใช้ ส่งผลในระยะเวลาเพียงข้ามคืน ทั้งเสบียงและสภาพจิตใจของฝ่ายโบสถ์ใหญ่ลดฮวบเลย ไหนจะมีปัญหาภายใน ที่พวกนักผจญภัยเริ่มสไตร์งาน และประท้วงให้รีบปล่อยตัวผมไป
ดูเหมือนมอเรียจะทำเกินที่ผมสั่งไปหน่อย เพราะเธอเล่นกรีดบนศพทิ้งข้อความเอาไว้ว่า ‘ปล่อยตัว
ท่านโรมะซะ ไม่เช่นนั้น คนที่อ่านข้อความนี้เตรียมเป็นศพต่อไปได้’
อีกเรื่องที่สร้างความหวาดผวาให้พวกนักผจญภัย ก็คือดาวตกปริศนา?
เรื่องมันเกิดจากที่ในบางเวลา ก็จะมีดาวตกปริศนามาตกใส่ค่ายแบบที่ไม่ให้ได้ตั้งตัวกันเลย และทุกครั้งที่มีดาวตกก็ต้องมีคนตายเป็นเบือ
ดาวตก…ฝีมือเดเม่แน่ๆ นี้ก็ทำเกินคำสั่งไปแล้ว แต่เล่นยิงข้ามเขามาเลย นี้ไม่กลัวจะตกใส่หัวผมเลยเหรอ!
แต่ผมมารู้เอาทีหลัง ว่าคนที่เล็งเป้าไม่ใช่เดเม่ แต่เป็นเอสเตอร์ที่ใช้พลังจากดวงตาพิเศษของเธอช่วยเล็งเป้าให้แทน
พอตกเย็น ก็เริ่มมีพวกที่คิดหนี เรเดียก็รู้ว่าถ้าไปห้าม จะยิ่งสร้างความไม่พอใจ จนอาจปะทะกันเอง และพวกนักผจญภัยเป็นกำลังสำคัญในการเก็บเลเวล จะให้สูญเสียไปมากกว่านี้ไม่ได้ เลยยอมควักเนื้อเพิ่มค่าจ้างให้ แต่วิธีนี้ก็ทำได้เพียงแค่ประวิงเวลาออกไป
ตราบใดที่ยังไม่ได้แก้ต้นตอของปัญหา ความกลัวของพวกนักผจญภัยก็ยังไม่หายไป
วันนี้จบลงโดยที่ไม่มีการออกไปล่า แต่เพิ่มการเฝ้ายามรอบค่ายและทางเข้าออกทุกทาง กระทั่งเรียกเอากลุ่มที่ตั้งค่ายรอบๆ กลับมาด้วย
ในตอนเย็น เรเดียเข้าหาผมอีกครั้ง สีหน้าเธอแสดงถึงความหงุดหงิดอย่างชัดเจน เธอกำลังโกรธและอยากหาที่ระบาย แต่ก่อนที่เธอจะได้ทันลงมือทำ
อะไรผม พี่ชายเกราะเบาที่ชื่อ เอนันโด้ ก็รีบพุ่งเข้ามาห้ามเธอไว้
“ช้าก่อนครับท่านอาร์คบิชอป ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เขาเป็นหมากตัวสำคัญที่เราใช้ต่อรองได้ ถ้าเราไปทำอันตรายเขา ก็จะยิ่งเป็นการสร้างความโกรธให้กับอีกฝ่ายนะครับ”
“ช่างมันสิ! พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะยกกำลังคนทั้งหมดออกไปไล่ล่าพวกมัน”
“ล่า? ในหุบเขาวงกตเนี่ยนะ ฮ่าๆๆ”
ผมอดขำไม่ได้ ที่ตั้งของอีกฝ่ายอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ พื้นที่ก็ไม่เหมาะกับการเดินทัพ ไม่รู้กระทั่งจำนวนศัตรู คนที่กล้าสั่งให้คนของตัวเองออกไปรบในสภาพแบบนี้ มันโคตรบ้าเลย
เอนันโด้ถึงจะไม่พูดอะไร แต่สีหน้าเขาก็เหมือนกับเห็นด้วยกับคำพูดของผม
“แก! ไอ้สวะชั้นตํ่า!”
เรเดียหยิบไม้กระบองเหล็กขึ้นมา แต่ถูกเอนันโด้ยื้อแย่งไป
“ใจเย็นๆ สิครับท่านอาร์คบิชอป ตอนนี้เราควรเจรจากับเขาอีกครั้งนะครับ”
เรเดียไม่กล้าตวาดใส่เอนันโด้แบบคราวก่อน เพราะคราวนี้มีอัศวินและนักบวชอาวุโสอีกหลายคน ที่เห็นด้วยกับเอนันโด้ แต่ถึงเรเดียจะยอมยับยั้งความโกรธไว้ แต่เธอยังถือทิฐิไม่ยอมเจรจากับผม
สุดท้ายเธอก็กลับออกไปโดยยังไม่ได้ลงไม้ลงมือกับผม แต่ผิดหวังนิดหน่อย อุตสาห์ทำให้เสียงแตก
เป็นสองฝ่ายได้แล้ว แต่ดูเหมือนเรเดียจะยังพอมีเหตุผลรับฟังอยู่ นึกว่าจะแตกหักกันไปเลยซะอีก
คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่พวกเรเดียไม่ได้นอน เพราะต้องมานั่งประชุมหาแนวทางดำเนินการต่อ เพราะถ้าปล่อยไว้สภาพนี้ เก็บเลเวลต่อไม่ได้แน่
แล้วทาฮากริมก็เอาอาหารมาให้ผมช่วงคํ่า วันนี้มีสตูอุ่นๆ มาให้ด้วย
“อันนี้ทุกคนช่วยเตรียมมาให้โดยเฉพาะ”
ทาฮากริมบอก พลางป้อนอาหารให้
“ทุกคนนี้ ใครบ้างเหรอ?”
“ก็พวกผู้หญิงที่โดนบังคับให้เสียตัวแบบฉันไง”
“อ้อ ไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจังนักก็ได้ จะอย่างไงผมก็รับข้อเสนอแบบนั้นไม่ได้จริงๆ”
ผมกับทาฮากริมคุยกันถูกคอมาก ถึงจะเป็นอัศวินแต่ไม่ได้แข็งกระด้าง แถมยังเป็นบุตรสาวของลอร์ด เธอเลยเหมือนเอาดาเซสมาเขย่ารวมกับอาเดไลท์เลย แบบว่าคุยด้วยง่ายแต่การวางตัวและมารยาทก็เหมาะสม
เรื่องที่ยกกันมาคุย ไม่ใช่เรื่องของโบสถ์ใหญ่ เพราะเธอเป็นคนของทางนั้น ส่วนผมเป็นนักโทษ จะให้มาคุยเรื่องที่เกี่ยวกับสถานะมันดูเป็นหัวข้อที่น่าอึดอัดไปหน่อย ผมเลยชวนคุยเรื่องบ้านเกิดเธอ เพราะผมไม่เคยได้ยินชื่อเมืองวิลเฟนเฮมาก่อน
พอคุยเรื่องบ้านเกิด ทาฮากริมเลยดูดีใจและพูดเก่งขึ้นทันที วิลเฟนเฮเป็นเมืองที่เรียกว่า เมือง
ปกครอง หรือก็คือเมืองที่ต้องปกครองเมืองขนาดเล็ก หรือหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงด้วย
โดยที่ในพื่นที่ของวิลเฟนเฮ มีหมู่บ้านเล็กๆ ใต้ปกครองแค่สองแห่ง ส่วนที่ตั้งก็อยู่ชายแดนทิศใต้ของประเทศเลนคาน เป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีความสำคัญอะไร เพราะพื้นที่โดยรอบค่อนข้างแห้งล้าง ถนนก็ไม่มี กำลังทหารก็มีแค่ 500 คนไว้ประจำปราสาท ที่พอจะนับเป็นรายได้ ก็มีแต่แร่ที่ขุดได้จากในเหมือง แต่ก็ไม่ได้มากอะไร
แถมมีปัญหาขุดๆ ไป เหมืองก็จะกลายเป็นดันเจี้ยนซะงั้น เลยต้องคอยหาพื้นที่ในขุดแร่ใหม่อยู่ตลอดเวลา รายได้เลยไม่คงที่ ปีไหนขุดแร่ไม่ได้ตามเป้า ก็ต้องจ่ายภาษีด้วยแรงงานแทน แต่พอโดนเกณฑ์แรงงานไป คนงานขุดเหมืองก็น้อยลง รายได้เลยมีแต่หดลงเรื่อยๆ
ที่ยังประคองตัวให้อยู่รอดได้ เพราะได้รับการช่วยเหลือเรื่องเงินจากทางโบสถ์ใหญ่ แต่เพราะได้รับความเชื่อเหลือมามาก เวลาทางนั้นเรียกร้องอะไรมา เธอเลยปฏิเสธไม่ได้ ถ้าโดนตัดความช่วยเหลือไป วิลเฟนเฮถึงคราวล่มสลายแน่
“ไม่หรอก พวกเธอนั่งทับบ่อทองอยู่รู้ตัวไหม”
“บ่อทอง!?”
ทาฮากริมทำหน้าอยากรู้เต็มที่ เลยยื่นหน้าเขามาใกล้ผม แต่พอรู้ตัว เธอก็รีบถอยออกไปและกล่าวขอโทษใหญ่
“เธอบอกว่า ขุดเหมืองไป สักพักมันก็จะกลายเป็นดันเจี้ยนใช่ไหม”
“ใช่แล้วล่ะ พวกมอนสเตอร์มันแอบเข้ามาทำรัง แค่ไม่กี่วันก็กลายดันเจี้ยนเลย”
“นั้นแหละๆ บ่อทองชัดๆ”
“ไม่เข้าใจ?”
“งั้นขอถามหน่อย อาหารส่วนใหญ่ หามาจากไหน”
“ก็…ตลาด?”
โอเค ผมผิดเอง ลืมไปว่าการศึกษาของโลกนี้ค่อนข้างขาดแคลน ผมต้องอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ สินะ
“รู้จักวัวยักษ์ที่อยู่นอกเมืองกรอซ่าไหม”
“รู้สิ ฉันเองก็เคยไปล่ามันเพื่อทำเควส”
“แล้วเจ้าวัวนั้นมันดรอปอะไร”
“ดรอปเนื้อ นม…??”
“ใช่ดรอปอาหารไงล่ะ แล้วปกตินะ วัวตัวหนึ่งกว่าจะโตขึ้นมาจนกินเนื้อได้ ก็ต้องใช้เวลาหลายปี แถมยังมีความเสี่ยงว่าจะอดตายหรือป่วยตายซะก่อน แต่ถ้าเป็นมอนสเตอร์ แค่ไม่กี่นาทีมันก็กลับมาเกิดใหม่แล้ว แถมปริมาณการล่าในแต่ละวันก็สูงมาก สรุปก็คือ อาหารหลักๆ ที่เรากินกัน มาจากการล่ามอนสเตอร์มากกว่าการเลี้ยงตามปกติไงล่ะ”
นี้คือเรื่องพื้นฐานที่คนในโลกนี้มองข้ามไป คนทั่วไปจะมองดันเจี้ยนเป็นสิ่งไม่ดี เพราะมีมอนสเตอร์อยู่ แต่ที่พวกเขาไม่ได้คิดก็คือ มีมอนสเตอร์ที่ไหน มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลอยู่ที่นั้น อย่างที่กรอซ่าสามารถอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง โดยไม่พึ่งความช่วยเหลือจากเมืองอื่นๆ เลย เพราะว่าที่นี้หากินกับดันเจี้ยนเป็นหลัก
“สิ่งที่เธอต้องทำ ก็แค่ติดต่อกิลนักผจญภัย เพื่อขอให้เขาส่งคนเข้าไปตั้งกิลภายในเมือง พอมีกิลนักผจญภัยกับดันเจี้ยนแล้ว นักผจญภัยก็หลั่งไหลมาเอง พอมีนักผจญภัยก็สามารถไปหารายได้ออกมาจากในดันเจี้ยนได้สินค้าก็จะมีมากขึ้น เมื่อมีสินค้าก็จะมีพ่อค้าที่ตามกลิ่นมา พวกเนี่ยถึงไม่ต้องเชิญ เดี๋ยวก็แห่กันมาเอง ที่สำคัญก็คือการสนับสนุนพวกนักผจญภัย เพราะพวกนี้นับเป็นความมั่นคงของเมืองได้ทางหนึ่ง ดูอย่างกรอซ่าสิ มีนักผจญภัยเยอะซะจนไม่มีใครกล้ายุ่งเลยใช่ไหม”
“จ จริงด้วย!”
“ไม่ใช่แค่นั้น ถ้าคับขันขึ้นมายังว่าจ้างนักผจญภัยให้เป็นทหารรับจ้างได้ด้วย ความปลอดภัยในเมืองก็จะมีสูงขึ้น พอสร้างความเชื่อมั่นได้แล้ว ทีนี้ล่ะ คน
ก็จะหลั่งไหลกันเข้ามาอยู่ในเมือง พอมีคน ภาษีก็จะเก็บได้เยอะตาม เห็นไหมว่าพวกเธอนั่งทับอะไรอยู่”
“ข เข้าใจแล้ว! ท่านนี้อัจฉริยะจริงๆ”
“อัจฉริยะเลยเหรอ ไม่ขนาดนั้นหรอก เป็นเรื่องที่ถ้าได้คิดถึงมันสักหน่อย ก็จะคิดออกเองล่ะ”
“ไม่จริง! ฉันโตมาในเมืองที่มีดันเจี้ยนรอบบ้าน ยังไม่เคยคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้เลย”
“เอาน่า กลับออกไปแล้ว ก็รีบส่งจดหมายไปบอกท่านลอร์ดวิลเฟนเฮซะ ส่วนถ้าต้องการเงินทุน ไม่ต้องไปง้อโบสถ์ใหญ่หรอก มายืมเอาจากผมก็ได้ คิดซะว่าให้ผมเป็นหุ้นส่วน”
“หุ้นส่วน?”
“เอ่อ แบบว่าผมลงทุนโดยใช้เงิน แล้วพอผลกำลังงอกเงยแล้วค่อยมาแบ่งผลประโยชน์กัน ทำนองนั้นแหละ”
“ท่านมีเงินขนาดนั้นเลยเหรอ!”
“มีเกินพอเลยล่ะ ยิ่งรอบนี้ลงดันเจี้ยนได้เงินมาเพียบ”
“จริงเหรอ ต แต่ว่า…”
ทาฮากริมเหมือนจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ เธอคุยกับผมเพลิน เลยลืมไปว่ากำลังคุยกับนักโทษที่กำลังโดนจับมัดและแก้ผ้าอยู่
“ไม่ต้องห่วง สถานการณ์ตอนนี้อีกไม่นานก็จบแล้ว และไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของผมหรอก แต่ตัวเธอเองนั้นแหละ ไปบอกเพื่อนๆ ด้วยล่ะ ไม่
ว่าจะอย่างไง ก็อย่าออกไปนอกค่าย พวกสาวๆ ของผมออมมือกันไม่เป็นด้วยสิ”
“…จะเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“เรื่องนี้ยังบอกไม่ได้ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ได้มีเป้าหมายอะไรที่พวกเธอ ถึงผมชนะผมก็จะปล่อยทุกคนไป จริงๆ เรื่องนี้เป็นพวกเธอต่างหากที่มีหาเรื่องผมก่อน”
“ต้องขอโทษแทนด้วย”
“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ความผิดของเธอสักหน่อย ไว้จบเรื่องแล้ว ไปหาผมได้ที่คฤหาสน์นอกเมืองกรอซ่านะ หาไม่ยากหรอก อยู่ใกล้ๆ กับนํ้าตกน่ะ”
“เช่นนั้น ฉันจะหาทางพาท่านหนีเอง”
“อย่าเลย พลาดขึ้นมาทีเธอจะลำบาก ปล่อยผมไว้แบบนี้ล่ะ ไม่เกินสามวัน เดี๋ยวเรเดียก็มาปล่อยผมไปเอง”
“ทำไมมั่นใจเช่นนั้น”
“เพราะนั้นเป็นขีดจำกัดในการมีชีวิตรอดของทุกคนไงล่ะ ถ้าเกินสามวันไปแล้ว จะไม่มีใครรอดออกไปแม้แต่คนเดียว พูดไปอาจจะไม่เชื่อ ไว้รอดูเองล่ะกัน แต่จำไว้ อย่าออกไปนอกค่าย พยายามเก็บตัวให้เงียบที่สุด”
“…ท่านนี้อย่างกับเป็นจอมมารเลยนะ”
…ขำไม่ออกแฮะ ถึงจะเป็นจอมมารอยู่แล้ว แต่พอโดนทักว่าเหมือนจอมมารนี้ เหมือนทั้งเปลือกในเปลือกนอกเป็นจอมมารผู้ชั่วร้ายเลย

ตอนที่ 107 ปีศาจกระหายกาม

มุมมองของทาฮากริม
ฉันทาฮากริม ช่วงชีวิตของฉันแสนเรียบง่าย ถึงท่านพ่อจะมีฐานะเป็นลอร์ด แต่ก็แค่ดูแลเมืองที่อยู่ชนบทที่ค่อนข้างแล้งแค้น
ตัวฉันมุ่งมั่นในการฝึกดาบ เพื่อสักวันจะได้เป็นอัศวินวังหลวง หรือไม่ก็จะไปเป็นนักผจญภัย เพื่อหาเงินมาพัฒนาเมืองต่อจากท่านพ่อ
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปดังหวัง ตอนที่ฉันอายุครบ 15 ปี เกิดภัยแล้งอย่างหนัก ทำให้พืชผลและสัตว์ล้มตายกันจนเกือบหมด ประชาชนอยู่ในความอดอยาก รายได้จากเหมืองเองก็ลดลงทุกปี ปีนี้เองยังไม่พอจะจ่ายภาษีเลย แต่พวกเราก็ได้รับการช่วยเหลือจาก
โบสถ์ใหญ่ ให้เงินมาจ่ายภาษีและซื้ออาหารแจกจ่ายให้ประชาชน จนเอาชีวิตรอดไปได้อีกปี
จากนั้นก็ไม่นาน ก็มีจดหมายเชิญส่งตามมา ถึงในจดหมายจะใช้คำพูดสวยหรู ว่าจะมอบตำแหน่งพิเศษให้ในโบสถ์ใหญ่ หรือไม่ก็ให้ทุนเข้าศึกษาในศาสนจักร แต่เอาเข้าจริงๆ พวกเราต่างรู้กัน มันคือจดหมายเกณฑ์คนเข้ารีดของทางโบสถ์ใหญ่ เป็นวิธีหาสมาชิกใหม่ด้วยวิธีรวบหัวรอบหาง
ซึ่งในบ้านฉัน นอกจากท่านพ่อที่ต้องอยู่ดูแลเมืองและท่านแม่ที่ไม่มีความสามารถอะไร ก็เหลือเพียงแค่ฉันที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ฉันเลยต้องไปตามคำเชิญอย่างไม่มีทางเลี่ยง เพราะตราบใดที่ยังยอมทำตามที่ทางโบสถ์ใหญ่ต้องการ พวกเราก็จะได้เงินมา
ช่วยจ่ายภาษีให้ อย่างนอกก็เป็นหลักประกันว่าเมืองของพวกเราจะไม่ล่มสลายไป
ฉันก็เป็นเหมือนเด็กสาวคนอื่นๆ ที่มีความฝัน การได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงาม คือหนึ่งในความปรารถนาสูงสุดของเด็กสาว ฉันเองก็ด้วย
ทว่าฝันนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นแล้ว ตอนแรกฉันยังไม่เชื่อ คิดว่าเป็นการใส่ร้ายเพื่อทำร้ายความน่าเชื่อถือของโบสถ์ใหญ่ แต่พอเข้าไปอยู่ข้างในฉันก็ได้เจอกับตัวเอง แทบทุกวันที่เหล่านักบวชอาวุโส เชิญชวนฉันเข้าไปรับใช้ภายในห้องตามลำพัง
โชคดีของฉันที่มีท่านพ่อซึ่งพอมีบารมีอยู่บ้าง เลยทำให้อ้างชื่อเอาตัวรอดมาได้ แต่นั้นคงใช้ไม่ได้ตลอดไป ทางรอดอีกทางเพื่อไม่ให้กลายเป็นโสเภณีของโบสถ์ใหญ่ ก็คือการเข้ากองอัศวิน ถึงแม้จะต้องฝึกหนัก
และทำหน้าที่อันตราย แต่ก็ยังดีกว่าการต้องไปหลับนอนกับเจ้าพวกหมูโสโครกเหล่านั้น
ตัวฉันจับดาบทุกวันเพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้น การจะไต่เต้าขึ้นไปเป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามีฝีมือโดดเด่นจริงๆ ก็จะไม่ต้องใช้ร่างกายเพื่อไต่ขึ้นไป ฉะนั้นตำแหน่งในหน่วยพาลาดิน ก็ใช่ว่าจะมีเฉพาะคนเก่ง แต่มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ยอมสละศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งแต่ไม่ใช่กับฉัน
ผ่านไปสามปี ในที่สุดฉันก็ได้ขึ้นมาอยู่ในระดับอัศวินขั้นกลาง มีลูกน้องใต้สังกัดกว่ายี่สิบคน และยังเลือกสายผู้บังคับบัญชาได้ ฉันเลยไม่รอช้า รีบขอยื่นเรื่องเข้าสังกัดของท่านอาร์ดบิชอปเรเดียทันที เพราะเธอเป็นเพียงไม่กี่คนในตำแหน่งสูงเช่นนี้ที่เป็นผู้หญิง อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้เสี่ยงที่ต้องโดนหิ้วขึ้นเตียง
ถึงท่านอาร์คบิชอปเรเดีย จะไม่มีข่าวเสียหายเรื่องอย่างว่า แต่ใช่ว่าเธอจะไม่มีข่าวด้านไม่ดีเลย ในโบสถ์ใหญ่ทุกคนต่างเรียกเธอว่า นักล่าแม่มด เพราะเธอชื่นชอบการทรมาน ยิ่งถ้าจับพวกต้องสงสัยว่าเป็นสาวกของเผ่าปีศาจได้ เธอจะตรงไปทรมานด้วยตัวเองทันที ซึ่งนักโทษส่วนใหญ่ไม่เคยมีใครรอดชีวิตออกมาเลย
ส่วนลูกน้องในหน่วย ฉันเลือกมาเฉพาะคนที่ไว้ใจได้ ส่วนใหญ่เลยมีแต่ผู้หญิง เลยมักถูกล้อว่าเป็นหน่วยกุหลาบที่ไว้ประดับกองอัศวินเท่านั้น
แต่ฉันว่ามันดีกว่าเจ้าพวกผู้ชายสมองกลวง ที่เอาแต่แหกปากยกอ้างพระเจ้าในทุกๆ เรื่องและดึกคํ่าก็เอาแต่เมาเอะอะโวยวาย
อีกเหตุผลที่ฉันเข้าสังกัดของท่านเรเดีย เพราะท่านเรเดียจะออกไปเก็บเลเวลทุกสามเดือน การเก็บเลเวลเป็นหนทางที่จะทำให้ตัวเองเก่งขึ้นมาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ฉันจึงไม่พลาดโอกาสเช่นนี้ไป
ครั้งนี้พวกเราก็มาที่เมืองของนักผจญภัยกรอซ่า เพราะที่นี้สามารถหานักผจญภัย มารับเควสช่วยเก็บเลเวลได้ง่าย และยังสามารถจับจ่ายซื้อของได้ทุกชนิด มีร้านไอเท็มเวทมนต์ในเมืองด้วย ถ้าไม่นับเมืองหลวงของเลนคานแล้ว ที่นี้ถือว่ามีความเจริญและสะดวกสบายที่สุดแล้ว
เพียงแต่ที่กรอซ่าก็ขึ้นชื่อเรื่องความโหดของดันเจี้ยนเหมือนกัน ไม่ใช่จำนวนที่เยอะ แต่ความยากอยู่ในระดับสูงทีเดียว โดยเฉพาะดันเจี้ยนลูปัน ที่เป็นดันเจี้ยนประเภทมหาสุสาน ถึงจะเหมาะกับนักบวชและ
อัศวินศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกฉัน แต่ทว่ามันก็ยังมีความยากในตัวอยู่มาก ชนิดที่ถ้าไม่ได้นักผจญภัยเจ้าถิ่นช่วย ลำพังพวกฉันคงไม่อาจอยู่รอดในดันเจี้ยนได้แน่
ฉันเองเคยมาที่กรอซ่าอยู่หลายหนแล้ว เพราะมันอยู่ใกล้กับโบสถ์ใหญ่สาขาที่ฉันสังกัดอยู่ ในวันหยุดฉันกับลูกน้อง เลยจะพากันมาทำเควสเพื่อหารายได้พิเศษกัน
แต่คราวนี้ฉันมากับท่านเรเดีย เลยไม่มีอะไรให้ทำมาก แค่ค่อยดูแลความเรียบร้อยภายในค่ายพักเท่านั้น นานๆ ครั้ง ถึงจะมีคำสั่งให้ออกไปล่าร่วมกับนักผจญภัย
ซึ่งในช่วงนี้เองที่ฉันได้ยินเรื่องเล่าแปลกๆ จากพวกนักผจญภัย เป็นเหมือนเรื่องเล่าประจำเมืองมากกว่า
ทั้งสถานที่น่ากลัวที่เรียกว่า นรกทะลวงตูดแห่งความโกรธ ซึ่งเป็นพื้นที่แปลกๆ ในดันเจี้ยนที่สามารถเข้าไปเที่ยวชมใกล้ๆ ได้ แต่ไม่ใช่สถานที่ที่น่าชมเท่าไร โดยเฉพาะพวกผู้ชาย ต่างเลี่ยงที่จะผ่านไปแถวนั้น
นอกจากนี้ยังมีเทศกาลประหารดุ้น ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เห็นว่าเป็นเทศกาลของพวกรักร่วมเพศ ที่พากันออกมาตัดดุ้นตัวเองทิ้งเพื่อยืนยันจุดยืนของตัวเอง…แค่ไม่นาน กรอซ่ากลายเป็นเมืองที่น่ากลัวแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน
ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่ยังมีข่าวลือแปลกๆ อีกเยอะ เช่น คฤหาสน์อสูรกินคนที่อยู่นอกเมือง เห็นว่าเคยมีนักผจญภัยกับโจรจำนวนมากหายตัวไปที่นั้น และเมื่อไม่กี่วันก่อนจู่ๆ ไรโมดอลในดันเจี้ยนหอคอยลาลาพัส ก็พากันหายตัวไปหมด
และถ้าวันไหนโชคดี คุณจะได้เห็นเหล่านางฟ้ามาเดินเล่นในเมือง กับถ้าไปที่ตลาดคุณจะได้เจอคุณเมด ซึ่งปกติจะเห็นแค่ในวังมาเดินจ่ายตลาด
แต่เหนือยิ่งกว่าข่าวลือทั้งปวง ก็คือข่าวที่เกี่ยวกับนักผจญภัยที่ชื่อโรมะ วีรกรรมที่เขาสร้างขึ้นมาแต่ละเรื่องนั้น เลวร้ายจนน่าสงสัย ว่าทำไมถึงไม่ถูกทหารยามในเมืองลากไปขังสักที
โรมะ เป็นชายผู้เหมือนสัตว์ร้ายกระหายกาม เขาใช้อาหารมาล่อพนักงานสาวในกิลนักผจญภัย เพื่อมีอะไรด้วย จนไม่เหลือสักคน
และยังไปซื้อทาสเด็กตัวเล็กๆ มาบำเรอความใคร่ตัวเอง ซํ้ายังใช้เวทมนต์ควบคุมจิตใจ ทำให้เหล่าทาสเชื่อฟังตัวเองราวกับสุนัขเชื่องๆ ความวิปริตนี้เข้าขั้นอาชญากรเลยทีเดียว
แต่เหล่านักผจญภัยต่างนับถือเขามาก เพราะเป็นคนที่สยบปาร์ตี้ที่เป็นตำนานของเมือง อย่างปาร์ตี้หญิงเถื่อนของโกร่าได้ ขนาดที่ว่าถ้าโกร่าเป็นสัตว์กินเนื้อที่ลากผู้ชายไปกินไม่เลือกหน้า โรมะก็คือสัตว์ร้ายที่ดักกินสัตว์กินเนื้ออีกต่อหนึ่ง จนทำให้เขามีฉายาพิลึกพิลั่น เช่น ชายผู้มีอาวุธในตำนาน หรือไม่ก็ เทพดุ้นพิชิตสาว
แถมตอนที่มาถึงเมืองกรอซ่า ท่านเรเดียยังได้ไปเจอกับสัตว์ร้ายที่ว่า จนหวิดจะมีเรื่องกันแล้ว จากที่ฟังพวกอัศวินเล่าให้ฟัง ชายที่ชื่อโรมะเป็นคนหยาบคายและเหย่อหยิ่ง ไม่เห็นหัวท่านเรเดียอยู่ในสายตาเลย แถมยังลวนลามด้วยสายตาอยู่ตลอดเวลา เป็นคนเลวที่สุดที่เคยเจอมาเลย
ต้องระวังเขาเอาไว้ให้ดี นั้นคือสิ่งที่ฉันยํ้าเตือนกับพวกลูกน้องและตัวเอง
หลังจากลงมาในดันเจี้ยนแล้ว ข่าวลือของเขาก็ยังไม่หมดไป เพราะเขาพึ่งได้ปะทะกับหน่วยท่านเฮกราสซึ่งดูแลพื้นที่ชั้น 11 อยู่ ตามที่ท่านเฮกราสเล่าให้ฟังนั้น พวกฉันแทบทนฟังไม่ได้
เขาเป็นยิ่งกว่าข่าวลือซะอีก เขาฆ่านักบวชอย่างโหดร้ายและไร้ความเมตตา เขาเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย ไม่เลือกวิธีการไร้ศักดิ์ศรี และยังจับตัวผู้หญิงไว้ยํ่ายีอีก เป็นสิ่งมีชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าสุนัขจรจัด ฉันล่ะอยากจะฆ่าเขาด้วยมือตัวเองจริงๆ
ทว่าท่านเรเดียกลับคิดจะดึงเขามาใช้งาน มากกว่าการตั้งตัวเป็นศัตรูกัน เพราะลำพังปาร์ตี้ที่มีกันเพียงแค่
สิบกว่าคน สามารถเอาชนะกองทัพที่มีกันสามร้อยคนได้ มันเป็นยิ่งกว่าคำว่าปาฏิหาริย์แล้ว!
ท่านเรเดียเองก็ได้ยินข่าวลือของเขามาเหมือนกัน เลยรู้ว่าเขาโปรดปรานผู้หญิงยิ่งกว่าอะไร เลยได้ออกคำสั่งในสิ่งที่ทำร้ายจิตใจพวกฉัน ราวกับเป็นคำสั่งประหารชีวิตกันไม่มีผิด
“พวกเธอไปหลับนอนกับเจ้าสุนัขนั้นซะ จงอุทิศตัวเพื่อพระเจ้า และโบสถ์ใหญ่ของเราจะตอบแทนอย่างสมนํ้าสมเนื้อแน่นอน”
พวกฉันคัดค้านแล้ว แต่ก็โดนขู่กลับทันที ว่าถ้าไม่ยอมก็ถือว่าทรยศต่อโบสถ์ใหญ่ ไม่ใช่แค่จะโดนตัดความช่วยเหลือ แต่กลับไปเมื่อไรจะมีการสอบสวนกันอีก ซึ่งพวกฉันรู้ว่ามันคือการทรมานที่ไม่อาจจะมีชีวิตรอดออกมาได้ ทุกคนเลยต้องยอมตกลงทั้งนํ้าตา
ทั้งหมดเป็นความผิดของมัน! ความผิดของโรมะ ฉันเกลียดแก เจ้าสัตว์ร้ายโรมะฉันเกลียดแก!
พวกฉันถูกนักบวชอาวุโสบังคับให้ถอดชุด จนเหลือแต่เสื้อใน เพื่อเอาใจเจ้าสัตว์นั้น ตัวฉันทั้งอับอายและโกรธ ไม่ใช่แค่ต้องมาเสียครั้งแรกกับสัตว์ร้าย แต่ยังเพราะถูกขายราวกับเป็นโสเภณีราคาถูกด้วยคนที่ตัวเองไว้ใจอีก
ฉันไม่รู้ว่าเกลียดท่านเรเดียหรือเจ้าสัตว์ร้ายนั้นมากกว่ากัน
เมื่อถึงเวลา พวกฉันถูกเรียกตัวเข้าไป สิ่งที่นั่งอยู่ตรงนั้น…อัปลักษณ์! เขาเป็นชายอัปลักษณ์ที่สุดที่ชั้นเคยเจอ ใบหน้าเขาเหมือนโจรราคะ ที่สื่อความต้องการทางเพศออกมาทางใบหน้าได้ แต่เขาก็เป็นชายอัปลักษณ์ที่มีแววตาอบอุ่น
เขามองพวกเราทุกคน แต่กลับไม่ได้มีความพึ่งพอใจในดวงตาคู่นั้น ฉันกลับรู้สึกว่าเขากำลังโกรธอยู่ แต่เขาก็เก็บงำอารมณ์ตัวเองได้เก่งมาก สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ซํ้ายังหันกลับไปหาเรื่องท่านเรเดียได้อีก เขากล้าพูดจาลวนลามท่านอาร์คบิชอป นี้เขาไม่เคยกลัวอะไรเลยหรือไงกัน
แต่ที่ทำให้ฉันประหลาดใจที่สุด คือเขาปฏิเสธข้อเสนอของท่านเรเดีย ซํ้ายังหันมาปลอบพวกเราอีก เขาช่างใส่ใจแม้แต่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างความรู้สึกของพวกเรา
ทว่านั้นทำให้ท่านเรเดียโมโห จนต้องหันกลับไปใช้วิธีรุนแรง และเรียกให้คนเข้ามาจับตัวเขาไว้ เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก จนพวกฉันทำอะไรไม่ถูก แต่ในสายตาของฉัน ไม่เห็นสัตว์ร้ายตอบโต้อะไรเลย เขายอมให้จับ
ตัวอย่างง่ายดาย ไม่หยิบดาบที่สะพายไว้ตรงเอวขึ้นมาต่อต้านด้วยซํ้า ที่สำคัญจนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่เห็นเขาแสดงแววตาที่หวาดกลัวออกมาเลย กลับเป็นฉันที่รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นสัตว์ที่ติดกับซะเอง
เขาถูกริบเอาของทั้งหมดไว้ ไม่เหลือแม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้น หลังจากสำรวจข้าวของแล้ว พวกอัศวินพากันหัวเราะออกมา เพราะดาบที่เขาพกไว้เป็นดาบหินถูกๆ ที่ดูไร้ระดับ ของในกระเป๋านักผจญภัยเองก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากยาแปลกๆ ที่มีสีขาวขุ่นสองขวด
ท่านเรเดียเลยสั่งให้เอาข้าวของไร้ราคาพวกนั้น ไปโยนทิ้งตรงทางเข้า ทำให้พวกลูกน้องของสัตว์ร้ายเห็น เพื่อที่พอโกรธแล้วทางนั้นจะบุกเข้ามาติดกับแบบเสียสติ
แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้น ขณะที่ท่านเรเดียเข้าไปทรมานสัตว์ร้าย พวกฉันต่างคิดว่าเขาคงไม่รอดแล้ว แต่ไม่นาน
นัก ท่านเรเดียก็วิ่งกลับออกมา ด้วยใบหน้าโกรธจัดแบบที่พวกฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
ท่านเรเดียรีบเรียกพวกฉันให้เข้าไปช่วยชำระล้างร่างกายให้ และพวกเราก็รู้ว่าทำไมถึงได้โกรธขนาดนั้น เพราะชุดท่านเรเดียเปียกชุ่มด้วยไปปัสสาวะ เจ้าสัตว์ร้ายนั้นฉี่ใส่ท่านอาร์ดบิชอป! มันช่างกล้า…บ้าอะไรแบบนี้
“ห้ามเอาไปบอกใครเด็ดขาดนะ!”
ท่านเรเดียตะคอกสั่งพวกเรา ที่ก้มหน้ารับพร้อมกับกลั้นหัวเราะไปด้วย
“ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่ไอ้โรมะ!”
ท่านเรเดียตะโกนขู่อาฆาตออกมา พวกฉันไม่เคยเห็นท่านเรเดียเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติเธอเป็นเหมือนสมมุติเทพ ที่ไม่มีใครแตะต้องได้ แต่ตอนนี้เธอกำลังแสดงอารมณ์โกรธแค้นแบบมนุษย์ออกมา
มีคำสั่งจากท่านเรเดียให้อดอาหารเจ้าสัตว์ร้าย แต่พวกฉันรู้สึกติดค้างเขาอยู่ อย่างน้อยสุดฉันคิดว่าควรจะแสดงความมีเมตตาที่สาวกของโบสถ์ใหญ่ควรพึ่งมีบ้าง แต่พวกสาวๆ ที่แอบไปดูเขามา พากันกลัวที่จะเข้าใกล้ เพราะทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันเลย ว่าของเขาใหญ่มาก
ลูกน้องของฉันที่เป็นอัศวินเหมือนกัน เคยเห็นท่อนเนื้อเจ้าโลกของออร์คมาแล้ว เธอยังบอกว่าถ้าเทียบกับของสัตว์ร้าย ท่อนเนื้อเจ้าโลกของออร์คเหมือนของเด็กไปเลย ซํ้าเขายังสามารถทำให้มันแข็งตัวได้ตามใจนึกอีกด้วย
ฉันแอบได้ยินท่านแม่บ่นเรื่องนี้เหมือนกัน ว่าเวลาต้องการของท่านพ่อกลับไม่ค่อยทำงานเลย ดูเหมือนพวก
ผู้ชายทุกคนเองก็มีปัญหานี้เหมือนกัน แต่สมแล้วที่ได้ชื่อว่าสัตว์ร้าย เป็นพวกที่มีแต่เรื่องลามกอยู่เต็มหัวสินะ
และเพราะไม่มีใครกล้าเอาอาหารไปให้ ฉันเลยต้องแอบเอาไปให้เอง ถึงจะกลัวแต่ฉันก็เตรียมใจไว้แล้ว ยังดีที่คุมขังอยู่ติดกับที่พักของท่านเรเดีย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เพียงแค่ฉันตะโกนก็จะมีคนเข้ามาช่วยทันที
พอเข้าไปฉันพยายามเลี่ยงไม่มองตรงนั้นของเขา แต่ขนาดเห็นทางหางตา ยังรู้สึกเลยว่ามันใหญ่จริงๆ แถมยังดูสุขภาพดีด้วย ไม่ได้ดูสกปรกหรือน่าขยะแขยงอย่างที่คิดไว้
น่าแปลก ทำไมเขาดูสงบได้ในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่โวยวายหรือแสดงความกลัวออกมาเลย กลับดูเหมือนเบื่อๆ อยู่มากกว่า
ระหว่างที่ฉันป้อนอาหารให้ เขาก็ไม่มีท่าทีคุกคามอะไร กลับแสดงรอยยิ้มและผงกหัวขอบคุณเป็นระยะ พอป้อนเสร็จแล้วฉันก็จะรีบกลับออกมา แต่เขาก็ถามชื่อฉันขึ้นมา ฟังจากนํ้าเสียงเขาดูเป็นคนสุภาพดี ฉันเลยลองคุยด้วย แต่เขานิสัยไม่ดีเลย
จู่ๆ ก็มาว่าฉันเป็นขุนนางตกอับ…ถึงจะจริงก็เถอะ
จากการได้พูดคุยกัน ฉันแน่ใจได้อย่างหนึ่งเลย เขาเป็นคนสุภาพมากที่สุดเท่าที่ฉันที่เคยรู้จักมา ถึงจะชอบกวนโมโห แต่เขาก็ถามแบบตรงไปตรงมาแบบคนที่ไม่รู้ความ ก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีเวลาพูดกับเขา แถมตอนที่คุยเพลินๆ เขาก็เตือนฉันเรื่องยามที่กำลังจะเข้ามา จนทำให้ฉันหลบออกมาได้ทัน นี้ฉันถูกเขาระวังให้แทนเหรอเนี่ย น่าอายจริงๆ แต่เพราะอย่างนี้ฉันเลยอยากจะช่วยเขาต่อไปอีก
พอกลับออกมา ทุกคนก็รุมมาถามฉันใหญ่เรื่องของเขา
“ก็ดูเป็นคนสุภาพดี ไม่มีท่าทางเป็นอันตรายเลย”
“เขาไม่ได้เอาไม้กระบองของเขาชี้ใส่เธอเหรอ?”
“บ้า! เขาไม่ได้ทำแบบนั้น”
พอนึกถึงกระบอกยักษ์ฉันก็หน้าแดงขึ้นมาทันที เพราะระหว่างที่คุยกับเขาฉันต้องห้ามใจไม่ได้มองตรงๆ ทั้งต้องคอยจับมือตัวเองไว้ ไม่ให้เผลอไปสัมผัสเข้า
แต่พอตกดึกก็เกิดเรื่องขึ้นมา ปาร์ตี้ล่าของนักผจญภัยได้หายตัวไป ท่านเรเดียเดือดขึ้นมาทันที เพราะการเก็บเลเวลล่าช้ากว่ากำหนดมากแล้ว ซึ่งในทุกๆ วันที่ผ่านไป จะต้องใช้เงินจำนวนมาก ทั้งค่าเสบียงและค่าจ้างพวกนักผจญภัย และปีนี้ท่านเรเดียยังไม่มีผลงานอะไร
เธอจึงคิดจะใช้การเพิ่มเลเวล เพื่อเป็นผลงานรักษาหน้าตัวเองเอาไว้
หลังจากส่งหน่วยลาดตระเวนออกไป แทนที่จะพาพวกนักผจญภัยกลับมา แต่พวกนั้นก็กลับหายตัวไปอีก เหล่านักบวชอาวุโส เริ่มเห็นท่าไม่ดี เลยให้ส่งหน่วยใหญ่ออกไปดู พอเจอคนเจ็บที่ถูกทิ้งไว้ เลยรู้ว่าเป็นกับดักเพื่อดักเล่นงานพวกเรา
ถึงจะกลับมารายงานเรื่องศัตรูได้ แต่กำลังคนก็บาดเจ็บล้มตายไปไม่ใช่น้อย ตั้งแต่ลงดันเจี้ยนมา ไม่เคยเลยที่จะมีการสูญเสียมากมายเช่นนี้ ศัตรูเป็นใครกัน? เก่งกว่ามอนสเตอร์ในชั้นนี้อีกเหรอ?
แต่ข่าวร้ายยังไม่หมด เพราะกองอัศวินที่ส่งออกไป ได้กลับมาแล้วก่อนรุ่งสาง ในสภาพที่โดนเล่นงานอย่าง
ยับเยิน พวกฉันไม่เคยเห็นสภาพที่เลวร้ายแบบนี้มาก่อน ลูกน้องฉันบางคนทนเห็นไม่ไหวจนถึงกับเป็นลมไป
พอเช้าแล้ว พวกเราก็เจอศพคนที่หายไปมากขึ้น แต่ศพกระจัดกระจายไปทั่ว นี้ศัตรูมีจำนวนเท่าไรกันแน่ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ ซํ้าบนศพยังมีข้อความขู่ถูกกรีดทิ้งไว้ ว่าถ้าพวกเราไม่ปล่อยตัวสัตว์ร้าย พวกเราจะต้องตายกันหมด หลายคนแทบควบคุมสติตัวเองไม่อยู่ ฉันไม่โทษหรอก เพราะฉันเองก็กลัวจนสั่นไปหมดแล้ว
ตลอดทั้งวันพวกฉันเจอแต่ฝันร้าย ทั้งดาวตกทั้งๆ ที่อยู่ในดันเจี้ยน และการประท้วงของนักผจญภัย แม้แต่ฉันยังดูออก ว่านี้มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของท่านเรเดียไปแล้ว ถึงจะหยุดปัญหาไว้ได้ แต่ก็แค่ชั่วคราว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ทุกคนก็จะพากันสติแตกหมด
ท่านเอนันโด้ที่เป็นหัวหน้าหน่วยคุ้มกันท่านเรเดีย ยังเห็นด้วยเรื่องที่ควรจะปล่อยตัวสัตว์ร้ายไป ถึงจะเสียหน้าแต่ก็ยังดีกว่าเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป
ฉันรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงได้ไม่แสดงความกลัวออกมา เพราะเขายังมีคนที่ไว้ใจได้อยู่ข้างนอก และมั่นใจว่าทุกคนจะต้องมาช่วยเขาอย่างแน่นอน บอกตามตรงฉันรู้สึกอิจฉา ฉันอยากจะมีคนที่ฉันเชื่อมั่นได้ขนาดนั้นบ้างจริงๆ
แต่ท่านเรเดียก็ยังดื้อ ถึงไม่ได้คิดจะทรมาน ทว่าก็ยังไม่ยอมปล่อยตัวไป แต่ฉันเข้าใจที่ท่านเรเดียคิด ยิ่งปาร์ตี้ของโรมะมีความสามารถึงขนาดนี้ ถ้าได้ตัวมาล่ะก็ ไม่ใช่แค่การเก็บเลเวลแล้ว แต่นี้ยังหมายถึงได้มือดีมาใช้งานในภารกิจอื่นอีกด้วย เรื่องการสร้างชื่อเสริมฐานะให้ราวกับเป็นเรื่องง่ายๆ ขึ้นมาทันที ไม่สิ ถ้ามีความสามารถระดับนี้ จะยึดเมืองทั้งเมืองยังได้เลย!
“อย่างไงก็ปล่อยให้หลุดมื้อไปไม่ได้”
ท่านเรเดียพึมพำออกมากับตัวเอง ฉันไม่เคยเห็นท่านเรเดียเครียดจนถึงขั้นกัดเล็บแบบนี้ แต่ก็แปลว่าพวกเรากำลังจนแต้มแล้วจริงๆ งั้นเหรอ?
บ้าน่า! กองทัพของท่านเรเดียแค่ยกพลผ่านไปเมืองไหน จะมีแต่ต้องรีบเปิดประตูรับ เพราะเกรงกลัวพลังและความยิ่งใหญ่ มาตอนนี้กำลังจะแพ้ให้กับปาร์ตี้ขนาดกลางที่มีกันสิบกว่าคนเนี่ยนะ!
โรมะ เขาไม่ใช่แค่เป็นสัตว์ร้ายแล้ว แต่นี้มันสัตว์ประหลาดชัดๆ
วันนี้ฉันไม่ต้องแอบเอาอาหารมาให้เขาแล้ว เพราะมีคำสั่งจากท่านเอนันโด้ ให้อาหารเขาตามปกติ แต่เรื่องเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งไปแล้ว ตอนนี้กำลังจัดการหาของใหม่มาให้เขาใส่อยู่
ตอนนี้ฉันต้องให้ความเคารพเขาเพิ่มขึ้น เพราะเขาเป็นคนที่น่ากลัวกว่าที่คิด อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนที่ควรเป็นศัตรูด้วยเลย
เขาสังเกตเห็นว่าฉันอึดอัด เลยชวนคุยเรื่องบ้านเกิดของฉันแทน
อีกแล้ว เขาใส่ใจกับเรื่องของฉันอีกแล้ว ตอนนี้ฉันไม่รู้จะเอาสายตาไปไว้ตรงไหนดี จะมองหน้าเขาตรงๆ หัวใจมันก็เต้นแรงจนเจ็บ จะมองลงไปกระบองยักษ์ของเขามันก็ทำให้จิตใจเตลิด
ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ว่าทำไมถึงได้มีผู้หญิงมากมาย ยอมหลับนอนกับชายอัปลักษณ์เช่นเขา ก็เขาทั้งสุภาพอ่อนโยน ใส่ใจแม้แต่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่หลับตาลงเขาก็กลายเป็นเจ้าชายในใจของฉันไปแล้ว ขอเพียงแค่
พูดมาฉันพร้อมจะอ้าขาให้เขาทันที และฉันเชื่อว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเขาได้หรอก
ฉันเล่าเรื่องบ้านเกิดให้เขาฟัง พอได้พูดถึงเรื่องที่ชวนคิดถึง ฉันรู้สึกสนุกขึ้นมา เขาเองก็ตั้งใจฟังมากด้วย ไม่ใช่แค่ฟังผ่านๆ แต่เขาเก็บในทุกรายละเอียดไว้เลย แถมพอเล่าจบเขากลับหัวเราะออกมา และบอกว่าฉันกำลังนั่งทับบ่อทองอยู่…นี้เขาตั้งใจฟังฉันแน่หรือเปล่าเนี่ย ทำไมถึงเข้าใจกันไปคนละทางได้แบบนี้
แต่พอได้ฟังเขาอธิบาย ฉันก็ด่าทอตัวเองในใจถึงความโง่เงาไร้เดียงสาของตัวเอง
สิ่งที่เขาบอกราวกับหีบทองคำในหอคอยนักปราชญ์*
*หีบทองคำในหอคอยนักปราชญ์เป็นคำผังเผยของชาวยุโรปครับ ว่ากันว่าในหีบสมบัติของนักปราชญ์ ไม่ได้
ใส่ทองเก็บเอาไว้ แต่ใส่ความรู้หรือก็คือตำราที่มีค่ายิ่งกว่าทองเอาไว้แทน เพราะงั้นใครที่ได้ไปจะประสบความสำเร็จในชีวิตไปชั่วลูกชั่วหลาน จนไม่สามารถตีเป็นมูลค่าทางทรัพย์สินได้
เขาได้ชี้ทางสว่างให้กับดวงตาที่มืดบอดมาโดยตลอดของฉัน เขามักจะใช้คำพูดที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจความหมาย แต่เพราะเขาเป็นคนใส่ใจ เลยพยายามปรับเปลี่ยนวิธีอธิบายให้ฉันเข้าใจได้ ถึงฟังเขาพูดดูแล้วมันเป็นเหมือนเรื่องง่ายๆ แต่ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนแค่ไหน
พอพูดถึงดันเจี้ยน เขาก็คิดถึงการใช้กิลนักผจญภัยขึ้นมาทันที แถมยังคิดไปไกลกว่านั้นถึงสิ่งที่จะตามมา และจะเปลี่ยนเมืองของฉันไปอย่างไง แค่คำพูดก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดแค่ไหน อย่าว่าแต่เรื่องที่เขามีกำลังรบ
ขนาดไหนอยู่ในมือเลย แค่สติปัญญาของเขาก็น่ากลัวจนไม่ว่าจะสร้างหรือทำลายเมืองเมืองหนึ่ง มันดูง่ายราวกับพลิกฝ่ามือเลย แบบนี้มัน…อย่างกับเป็นจอมมารเลย
แต่เขายังคงทำให้ฉันตกใจต่อไปอีก เขาแนะนำให้ฉันรีบบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อ ซํ้ายังเสนอเงินช่วยเหลือให้อีกด้วย นี้ไม่ใช่แค่เก่งและฉลาด แต่ยังรวยอีก! คนแบบนี้มาเป็นนักผจญภัยได้อย่างไงกันเนี่ย ทำไมถึงไม่ไปอยู่ในวังล่ะ!
ไข่ทองคำ เขาเป็นไข่ทองคำชัดๆ ฉันต้องพาเขาออกไป เดี๋ยวนี้เลย เขามีค่ามากเกินกว่าจะไปตกอยู่ในมือของใคร โดยเฉพาะโบสถ์ใหญ่ แต่พอฉันเสนอความช่วยเหลือว่าจะพาหนี เขากลับปฏิเสธทันที แถมเหตุผลยังเป็นเพราะเป็นห่วงฉันอีก...ความตื้นตันแทบ
ทำให้ฉันพุ่งเข้าไปจูบ ฉันพบว่ามันเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะควบคุมตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“ไม่เกินสามวัน”
เขาบอกเส้นตายออกมา แถมยังมั่นใจมาก แต่ก็ไม่ลืมเตือนฉันอย่างห่วงใยอีก เขาบอกให้พวกฉันเก็บตัว และฉันว่าจะทำตามที่เขาบอก เพราะเขาไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกเลย แต่เพราะเหมือนเขาลิขิตทุกอย่างได้ตามใจนึก ทำให้ฉันหลุดปากออกไป ว่าเขาเป็นเหมือนจอมมาร เขาเศร้าไปเลย นี้คำพูดฉันคงทำร้ายจิตใจเขาสินะ ฉันไม่น่าเลย แต่ถ้าเรื่องทุกอย่างไปได้ด้วยดี ฉันเองก็คิดจะตอบแทนเรื่องทั้งหมดด้วยร่างกายของฉันอยู่แล้ว
แต่ก่อนจะกลับออกไปเตือนพวกเพื่อนๆ และลูกน้องให้รู้ ฉันก็นึกได้ว่ายังติดค้างคำตอบเรื่องหนึ่งอยู่
“ทำไม่รับข้อเสนอน่ะเหรอ ก็แน่อยู่แล้วล่ะ การได้มาด้วยการบังคับฝืนใจน่ะ มันไม่คงทนถาวรหรอก ที่สำคัญผมไม่อยากทำให้ผู้หญิงที่น่ารักๆ แบบพวกเธอต้องเจ็บชํ้านํ้าใจด้วย อ่ะ แต่ก็อีกนั้นแหละ ถึงจะไม่ใช่ด้วยเรื่องนี้ ผมก็คงไม่ตกลงอยู่ดีแหละ ก็ผมไม่ชอบถูกเอาเปรียบ”
…ทุกคนเข้าใจผิดกันหมด โรมะเขาไม่ใช่คนอันตรายหรือเลวร้ายอะไรเลย เขาแค่เป็นสุภาพบุรุษรู้รักในความยุติธรรมเท่านั้น
……………..
หลังทาฮากริมกลับออกไปแล้ว ผมก็ประมวลข้อมูลที่ได้มา นอกจากเรื่องบ้านเกิดของเธอที่คิดจบไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่การเก็บเลเวลธรรมดาแล้วสิ
การเพิ่มเลเวลก็ถือเป็นผลงาน ที่จะรักษาอำนาจทางฐานะตัวเองไว้ได้ เพราะงั้นเรเดียถึงได้จริงจังกับเรื่องนี้
มาก และที่ปิดตายชั้นล่างไว้ จนยอมทำผิดกฎของกิลนักผจญภัย เนื่องจากมีความลับที่ให้ใครรู้ไม่ได้ จากที่ฟังทาฮากริมบอกมาแบบหมดเปลือก ดูท่าจะเป็นการทำฟาร์มแบบที่เรียกว่าการเทรน*
*เทรน หรือภาษาบ้านเราก็คือ ลากมอนอ่ะล่ะ คือลากมาทั้งแมพจนยาวเป็นขบวนรถไฟ แล้วปล่อยสกิลหมู่ละเลงเลือดล้างบางในทีเดียว วิธีนี้จะทำให้ประหยัดเวลาในการสู้ไปได้เยอะ แต่จะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นมากด้วย
เนื่องจากมาหลายครั้งแล้ว ทางเรเดียเลยมีแผนที่เส้นทางการเทรนที่ปลอดภัย และได้จำนวนมอนสเตอร์ที่เยอะที่สุด การที่มีคนนอกเข้ามา จะเป็นการรบกวนการเทรนอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีสกิลพิเศษที่ใช้สำหรับการสังหารหมู่ในครั้งเดียวของเรเดีย ที่จะให้ใครรู้ไม่ได้
ถือเป็นความลับระดับสูงของทางโบสถ์ใหญ่เลย จึงเป็นเหตุให้ต้องกันคนนอกออกไปให้หมด
ผมพอเข้าใจเหตุผลของทางนี้แล้ว แต่เรื่องวิธีการผมถือว่าทางเรเดียทำเกินไปหน่อย อย่างน้อยที่สุด เธอควรอธิบายออกมา ไม่ใช่เอะอะก็ขู่ไล่กัน หรือจริงๆ ที่ผิดอาจจะเป็นลูกน้องของเธอก็ได้ ที่ทำกันตามใจมากเกินไป จะอย่างไงก็ช่างเถอะ เพราะตอนนี้มาถึงจุดที่เลี้ยวกลับไม่ได้แล้ว
ยิ่งได้คุยกับทาฮากริมทำให้ผมอยากทำธุรกิจขึ้นมาอย่างจริงจัง เพราะตอนนี้ผมมีเงินทุนและความมั่นคงในชีวิตแล้ว ก็ถึงเวลาจะขยับขยายไปทำอย่างอื่นซักที ทั้งนี้ก็เพื่อหาตลาดลองรับสินค้าของเผ่าปีศาจล่วงหน้าไว้ด้วยล่ะ
คิดดูสิ ถ้าปล่อยสินค้าออกมา แต่คนไม่มีกำลังในการซื้อ ผมก็ขายของไม่ออกกันพอดี เพราะงั้นสิ่งแรกที่ต้องทำ ก็คือการพัฒนาตลาดอุปโภคให้มีกำลังในการซื้อซะก่อน
และผมก็ใช้เวลาที่รอให้ทางเรเดียหมดตาเดิน คิดถึงเรื่องการค้าขายในอนาคตอย่างสนุกสนาน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...