ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 96 - 98 By Kumao






ตอนที่ 96 จอมมารผงาด

“ท่านจอมมารคะ ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”
ระหว่างที่ผมคิดจะทำอย่างไงดีกับอลิซาเบธ ทางมุเอมะก็พูดขึ้นมาซะก่อน
“ว่ามาสิ”
“ช่วยเอาเธอคนนี้เข้าฮาเร็มด้วยค่ะ”
“หา!!!”
ที่ร้องน่ะไม่ใช่แค่ผมนะ แต่เป็นอลิซาเบธด้วย
“ทำไมข้าต้องยอมเป็นผู้หญิงของจอมมารด้วย ข้าไม่ยอมซะล่ะ!”
อลิซาเบธจับทวนที่เป็นอาวุธของเธอขึ้นมา พร้อมกับแทงมันใส่ผมทันที แต่ผมก็ยืนรับการโจมตีนั้นตรงๆ คือที่ไม่หลบหรือตั้งรับ เพราะตกใจที่มุเอมะขอน่ะ แต่ผมก็รู้สภาพของอลิซาเบธดี ว่าเธอไม่เหลือแรงพอจะทำ
อันตรายอะไรผมได้แล้ว ทวนที่แทงใส่เลยไม่ได้สะกิดแม้แต่น้อย
เลยเป็นฝ่ายอลิซาเบธที่ทำหน้าตื่นตกใจซะแทน เพราะถึงเธอจะอ่อนแรงลงแค่ไหน แต่แล่นโจมตีไม่เข้าเลยแบบนี้ แปลว่าพลังของจอมมารต้องมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย
“เอ่อ นั้นสิ ถามได้ไหมว่าทำไม”
ผมว่าคำถามของอลิซาเบธเข้าท่าดีทีเดียว เลยถามคล้ายๆ กันไป
“เหตุผลหลักๆ คือ อยากแกล้งเธอค่ะ”
“แกล้งเนี่ยนะ”
“ค่ะ ก็เธอทำกับฉับและท่านจอมมารคนก่อนไว้เยอะ เลยต้องมีการเอาคืนกันบ้าง”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ต้องให้มาเข้าฮาเร็มล่ะ”
“เพราะเธอเป็นพวกหยิ่งยโสค่ะ การต้องมาตกหลุมรักจอมมาร คงทำให้เธอสับสนและปวดใจมากแน่ๆ แค่คิดว่าจะได้เห็นใบหน้าของเธอตอนเสียความบริสุทธิ์ให้กับท่านจอมมารแล้ว ฉันก็เนื้อตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นแล้วค่ะ”
“เธอเนี่ยนะแล้วเหตุผลรองลงมาล่ะ”
ผมถามต่อโดยทำเป็นไม่สนใจอลิซาเบธที่โกรธจัดจนหน้าแดง และยังใช้ทวนจิ้มผมไม่เลิก
“เพราะเธอเก่งค่ะ ฉันรู้ว่าท่านโร…ท่านจอมมารไม่คิดจะฆ่าเธออยู่แล้ว เลยคิดว่าถ้าเอามาเป็นพวกได้น่าจะดีกว่า และเพราะเธอเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นท่านจอมมารต้องสยบและทำให้เธอเชื่อฟังได้แน่ๆ”
ก็จริงของมุเอมะ ถ้าใช้มารราคะก็สามารถทำให้อลิซาเบธหลงเสน่ห์ แบบโงหัวไม่ขึ้นได้ แต่ผมไม่ชอบวิธีนั้นสักนิด ทว่าจะให้สยบคนที่เป็นศัตรู และชิงเอาหัวใจมาให้ได้เนี่ย มันไม่ง่ายเลย เอาเป็นว่าผมเห็นด้วยกับมุเอมะแต่ขอลองใช้วิธีของตัวเองดีกว่า จะสำเร็จหรือไม่ค่อยว่ากัน
“เข้าใจล่ะ แต่ไว้ค่อยจัดการหลังเสร็จเรื่องแล้ว ตอนนี้ข้าจะไปหากองทัพของสมาพันธรัฐสักหน่อย”
“ให้เตรียมกองทัพปีศาจเลยไหมคะ”
“ไม่ ข้าจะไปคนเดียว”
“รับทราบค่ะ ระวังตัวด้วยนะคะ”
“เดี๋ยวสิ! ใครใช้ให้พวกแกตัดสินใจกันเองหมดแบบนี้ ข้าไม่ยอมเด็ดขาด”
“แล้วใครใช้ให้เธอมาหาเรื่องพวกเราก่อนล่ะ ตอนนี้น่ะอยู่เงียบๆ ไปก่อน”
ผมบอกพร้อมกับใช้นิ้วดีดไปที่หน้ากากกว้างๆ ของอลิซาเบธ แต่ไม่ใช่แค่ดีดเปล่าๆ แต่ผมปรับค่าความหื่นของเธอด้วย
อลิซาเบธต้องอี๋แล้วรีบหนีบขาทันที สภาพเธอตอนนี้เหมือนพึ่งโดนอัดยาปลุกเซ็กส์เกินขนาดไป เลยยืนไม่อยู่ต้องทรงลงไปหอบหายใจถี่ๆ ที่พื้น ตอนนี้ถึงจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ก็ไม่มีแรงขัดขืนอะไรได้แล้วล่ะ
“รู้นะต้องทำอย่างไงกับพวกนักโทษ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะท่านจอมมาร ฉันเข้าใจความคิดของท่านดี”
มีมุเอมะอยู่ด้วยนี้สบายจริงๆ ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มาก เธอก็เข้าใจความต้องการของผมได้แล้ว แบบนี้ทำให้ผมทำงานของผมได้สะดวกขึ้นเยอะ
ผมเลยลอยขึ้นมาด้วยพลังของจอมมาร และบินตรงไปทางเขตชายแดนที่ติดกับสมาพันธรัฐคิน ด้วยความสูงระดับนี้ทำให้ผมเห็นได้ดีกว่าใช้เรดาร์ซะอีก
ไม่ถึงสิบนาที ผมก็เจอกองทัพของสมาพันธรัฐแล้ว ดูด้วยตากะแล้วน่าจะมีกันสองถึงสามหมื่นคน เป็นกองทัพใหญ่ทีเดียว คงกะขนมาถล่มให้รู้เรื่องกันไปเลย
พวกเขายังไม่รู้ถึงการมาของจอมมาร ผมเลยหยิบดาบเจ็ดปลายของชินกุขึ้นมา และปาออกไป โดยเล็งให้มันปักลงบนพื้นตรงหน้าหัวแถวของขบวนพอดี
แถวหน้าพากันตกใจและหยุดเดินทันที ทำให้คนข้างหลังเกือบจะผลักและเหยียบกันตาย แต่ดูเหมือนจะเป็น
กองทัพที่ถูกฝึกมาดี มีความเป็นระเบียบสูงมาก เลยไม่มีเหตุการณ์อย่างที่ว่าเกิดขึ้น
“นี้มันดาบของท่านชินกุ!”
พวกนั้นรู้ได้ด้วยตัวเอง ว่าการที่ดาบของชินกุมาอยู่ตรงหน้านั้น หมายความว่าอย่างไง
ผมลอยตัวลงไปที่พื้น หยุดอยู่ห่างกองทัพของพวกสมาพันธรัฐประมาณร้อยเมตร แต่ถึงจะระยะไกลก็ไม่มีปัญหา ด้วยเสียงของจอมมาร ต่อให้อยู่ไกลไปเป็นกิโลก็ได้ยินกันหมด
“พวกผู้กล้าวีรชนของพวกเจ้าได้พ่ายแพ้หมดแล้ว”
เสียงที่ทั้งน่ากลัวและทรงอำนาจ ทำให้พวกทหารพากันสั่นผวา แต่ก็ยังไม่มีใครแตกแถวออกมา ไม่เลวเลย
“จงกลับไปซะ ที่นี้ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะต้องมาตาย”
ผมเปิดโอกาสให้ถอย แต่ก็รู้ว่าเสียแรงเปล่า พวกนี้ไม่ยอมถอยแน่
และก็อย่างที่คิด พวกทหารไม่ยอมถอยจริงๆ แต่เปิดแถวตรงกลางออก ให้มีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมา
แค่เห็นไกลๆ ก็รู้ล่ะว่าต้องเป็นปาร์ตี้ผู้กล้าแน่ๆ ผมเลยใช้ตรวจสอบดู เลเวลโดยเฉลี่ยอยู่ที่เก้าสิบเอง ถ้าไม่ใช่ระดับผู้กล้าวีรชนนี้ สงสัยจะทะลุขึ้นหลักร้อยกันลำบากล่ะมั่ง แต่พวกนี้ก็ไม่ได้ดูอ่อนด้อยอะไรเลย กลับดูเป็นกลุ่มผู้กล้ามากประสบการณ์ ใช่ ดูเข้าท่ากว่าพวกชินกุซะอีก เพราะพวกนี้ต้องสู้กับมอนสเตอร์มาเป็นจำนวนมาก เพื่อเพิ่มเลเวลให้ตัวเอง ประสบการณ์การต่อสู้เลยสูงกว่าอยู่แล้ว
ปาร์ตี้ผู้กล้าแบ่งออกเป็นสามทีม ทีมหนึ่งมี 6-7 คน ยืนกระจายตัวล้อมผมเอาไว้
“ก่อนจะเปิดฉากละเลงเลือดกัน ช่วยฟังข้าก่อนนะ อย่างแรก เงื่อนไขให้ถอยทัพยังมีให้อยู่เสมอ อย่างที่สอง ข้าพร้อมจะเปิดการเจรจาพูดคุยด้วยคำพูด แบบผู้เจริญแล้วทุกเมื่อ และอย่างสุดท้าย ก่อนที่พวกเจ้าคิดจะตัดสินใจลงมือต่อสู้กับข้า โปรดช่วยดูสิ่งนี้ให้ชัดๆ ด้วย”
ผมหยิบดาบศิลาเย็นออกมา แต่ก็ไม่ลืมใช้ผ้าพันคอสารพัดนึก เปลี่ยนมันให้ดูเป็นดาบที่ดูน่ากลัวเวอร์ๆ ไม่งั้นเดี๋ยวตอนผมกลับไปเป็นนักผจญภัย แล้วมีใครเห็นผมใช้ดาบศิลาเย็น มีหวังเป็นเรื่องแน่
แล้วผมก็ใช้สกิล Dissect Earth ซึ่งเป็นสกิลของอาวุธออกมา จริงๆ ความตั้งใจของผม คือแค่จะขู่ให้กลัว ด้วยการใช้สกิลนี้ผ่าพื้นให้เกิดรอยแยกใหญ่ๆ แต่ความรุนแรงของสกิลนี้ บวกกับสกิลเพิ่มความสามารถของจอมมาร มันเลยไม่ใช่แค่สร้างรอยแยก แต่มันยังผ่า
ภูเขาทั้งลูกจนขาดเป็นสองท่อน ตามรอยแยกก็มีลาวาปะทุขึ้นมา กระทั่งท้องฟ้ายังโดนกรีดผ่าเป็นรอย ชั้นบรรยากาศถูกผ่าจนมวลอากาศเย็นถูกดูดเข้ามา ก่อให้เกิดดินฟ้าอากาศที่แปรป่วนสร้างพายุหมุนขึ้นมาหลายลูก
กว่าครึ่งที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก็พากันหมดแรงจะถืออาวุธจนทำมันหลุดมือ เสียงอาวุธหล่นกระทบพื้นดังไปทั่ว แม้แต่ในกลุ่มผู้กล้ายังมีคนทำอาวุธหลุดมือเลย
“ยะ อย่างที่เห็น ถ้าข้าเอาจริงขึ้นมา พวกเจ้าไม่มีทางรอดแน่ คิดจะกลับไปทบทวนดูใหม่แล้วหรือยัง”
ผมตกใจแทบแย่! นี้มันรุนแรงกว่าที่คิดไว้มากเลย แต่มันได้ผล พวกผู้กล้าซึ่งเป็นล้วนแต่เป็นผู้นำในกองทัพ ตอนนี้ต่างหันหน้ามามองกัน ก่อนจะพากันลดอาวุธและส่งตัวแทนเข้ามาคุยกับผม
“พวกเรายอมรับเงื่อนไขการถอยทัพ ได้โปรดอย่าทำร้ายคนของเรา”
“ข้าให้สัญญา จะไม่มีเลือดของพวกพ้องเจ้าหยดลงบนแผ่นดินนี้”
เมื่อผมให้คำมั่นไป ผู้กล้าก็หันไปทางกองทหาร และยกมือขึ้นให้สัญญาณถอยทัพกลับ
แต่นี้เป็นโอกาสที่ดี ผมไม่ค่อยปล่อยให้โอกาสดีๆ แบบนี้หลุดมือไป
“ส่วนพวกท่าน ข้าขอเชิญไปปราสาทจอมมารด้วยกัน จะให้เกียรติ์ข้าได้ไหม”
แน่นอนว่าพวกผู้กล้านอกจากกลัวแล้ว ยังคิดว่าผมจะหลอกไปฆ่า เลยไม่มีใครยอมรับคำออกมา
“อย่ากลัวไป ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไร แค่อยากจะชวนไปเลี้ยงอาหารสักมื้อ และพูดคุยทำความเข้าใจกันสักหน่อย แถมการที่สั่งถอยทัพไปแบบนี้ พวกท่านเองก็คงต้องโดนคาดโทษตอนกลับไปใช่ไหม ไม่สู้นำข้อมูลกลับไปด้วย เพื่อเป็นการชดเชยความผิดล่ะ”
คำพูดของผมเริ่มทำให้พวกเขาสนใจขึ้นมา ถึงจะยังกลัวว่าผมจะมีลูกไม้อะไร แต่การได้ไปสำรวจปราสาทจอมมารด้วยตัวเอง ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยง
“ตกลง พวกเราจะตามท่านไป”
“งั้นก็เข้ามาใกล้ๆ และช่วยจับมือกันเอาไว้ด้วยนะ”
พอเห็นว่าพร้อมแล้ว ผมก็ยื่นออกไปหาคนที่ดูจะเป็นหัวหน้า ซึ่งเป็นชายหนุ่มใส่เกราะสีขาว ดูเป็นคนตรงไปตรงมาและกล้าหาญดี เพราะเขายื่นมือมาจับแบบไม่ลังเลเลย
แล้วผมก็คณะผู้กล้ามายังปราสาทจอมมาร โดยครั้งนี้ผมได้วางเดิมพันลงไปสูงมาก
ที่แน่ๆ เลยนี้เรียกว่าการชักศึกเข้าบ้านเห็นๆ ถ้าพวกผู้กล้าเปิดฉากโจมตีขึ้นมา ผมต้องเสียหายหนักแน่ ถึงจะมีหน่วยต่อต้าน ที่ผมบอกให้มุเอมะสร้างขึ้นมา โดยนำเอาปีศาจหลายๆ เผ่ามารวมกันในหน่วยเดียว เพื่ออุดจุดอ่อนซึ่งกันและกัน เหมือนปาร์ตี้ผู้กล้านั้นแหละ และยังให้ฝึกซ้อมร่วมกันจนเข้าขา ตอนนี้พูดได้เลย ต่อให้เป็นผู้กล้า 22 คนที่อยู่ที่นี้ตอนนี้ เพียงแค่หน่วยต่อต้านหน่วยเดียว ก็เอาชนะพวกเขาได้แล้ว ทว่าชนะก็ส่วนชนะ แต่ความเสียหายต้องเกิดขึ้นแน่ๆ
แต่ถ้าไม่ก้าวเดิน ก็ไม่มีวันจะไปถึง
และตอนนี้ถึงเวลาที่ผมต้องก้าวเดินแล้ว แม้ผมจะต้องล้มและพบกับความเจ็บปวด แต่ผมก็ต้องเดิน
พวกปีศาจที่เห็นผมพาผู้กล้ากลับมาด้วย ไม่ได้แสดงท่าทีแตกตื่นแต่อย่างใด สงสัยผมจะพาคนแปลกหน้ามาด้วยบ่อยเกินไปหน่อย พวกนี้เลยเริ่มชินแล้ว แต่ก็มาเข้าแถวแสดงความเคารพกันอยู่ดีแต่ดีอย่างที่จนถึงตอนนี้ พวกผู้กล้าไม่มีท่าทางจะใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด
มุเอมะตามมาถึงช้าหน่อย เพราะคงจัดการเรื่องนักโทษกับไปเปลี่ยนชุดมา เธอถอดเกราะออกและกลับมาใส่ชุดกระโปรงที่สวยงาม
“ฉันสั่งให้คนจัดโต๊ะไว้แล้ว เชิญที่ห้องอาหารได้เลยค่ะ”
“อึก! ยังไม่ได้บอกสักคำ รู้ได้อย่างไงว่าจะพาพวกนี้มาเลี้ยงมื้อเที่ยงน่ะ”
ผมสงสัยจริงๆ ทำไมมุเอมะรู้ที่ผมจะทำไปหมดทุกอย่างเลยล่ะ
“ต้องรู้สิคะ เพราะมุเอมะเฝ้ามองท่านจอมมารอยู่เสมอ ท่านไม่ชอบการฆ่าฟันที่เปล่าประโยชน์ และไม่ยอมปล่อยทิ้งโอกาสที่ได้มาไปอย่างเสียเปล่า การไปพบผู้กล้าและจบลงด้วยการเจรจาได้ ก็มีโอกาสมากที่ท่านจะพาพวกเขากลับมาด้วย และการเจรจาบนโต๊ะอาหารเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
“เชื่อเลย นี้เธอเข้าใจตัวเราได้ดีกว่าตัวเองซะอีก ยอมแพ้ๆ”
“ฮุๆๆ ก็เพราะเป็นท่านไงคะ”
มุเอมะยิ้มหวานให้ผม ก่อนจะหันไปทางพวกผู้กล้า
“เชิญตามมาเลยค่ะ”
มุเอมะเสนอนำทางเอง ซึ่งพวกผู้กล้าหลายคนออกอาการสั่น เพราะที่อยู่ตรงหน้าคือมุเอมะ ปีศาจไร้พ่ายที่
ไม่เคยมีกองทัพใดเอาชัยจากเธอได้ เธอเป็นตำนานแห่งความไร้เทียมทานที่ยังมีชีวิต ทว่าก็มีอีกหลายคนโดยเฉพาะผู้ชายที่สั่นคนละแบบ
เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นมุเอมะ ในสภาพที่ไม่ได้ใส่เกราะทั้งตัวเป็นหุ่นยนต์ ผมล่ะไม่แปลกใจเลย ครั้งแรกที่ผมเห็นเธอก็อาการแบบเดียวกันนี้แหละ ความงามของมุเอมะใช่ธรรมดาที่ไหน
แต่จู่ๆ พ่อครัวประจำปราสาทก็วิ่งตรงหามาผม พร้อมกับสไลด์ตัวคุกเข่ามาตามพื้น นี้ขนาดรีบๆ ยังไม่ลืมทำความเคารพสินะ พ่อครัวประจำปราสาทเป็นมนุษย์จระเข้ตัวอ้วนใส่ชุดพ่อครัว
“ท่านโร…ท่านจอมมารครับ! อย่างไงก็ไม่ไหวครับผม”
“อะไรที่ไม่ไหว?”
“ก็ชูชิน่ะสิครับ อย่างไงพวกเราก็ปั้นได้ไม่เหมือนที่ท่านทำให้ดูเลย”
“ก็บอกแล้วมันต้องใช้เวลาฝึก ที่สำคัญมือแบบนายมันไม่เหมาะจะปั้นชูชิด้วย ไว้เดี๋ยวจะลองทำแม่พิมพ์แบบสำเร็จรูปให้ แค่ใส่ข้าวไปแล้วเคาะออกมาได้เลย”
“จริงเหรอครับท่าน!”
ผมกับพ่อครัวคุยกันแบบนี้ประจำ จนลืมไปว่ามีพวกผู้กล้าอยู่ด้วย จนมุเอมะต้องกระแอ่มเตือน
“อะ อืม ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็กลับไปทำงานซะ”
“ครับท่านจอมมาร!”
แล้วพ่อครัวจระเข้ก็วิ่งตุบๆ จากไป แต่พวกผู้กล้าเนี่ยสิ เริ่มซุบซิบกันแล้ว
“ตะกี้ฉันหูฟาดหรือเปล่า เขากำลังคุยกันเรื่องชูชิใช่ไหม?”
“ไม่ฟาดหรอกฉันก็ได้ยิน”
“ใช่ชูชิเดียวกับที่พวกเรากินหรือเปล่า”
“ไม่มั่ง อาจแค่ชื่อเหมือนกัน”
“แต่เขาบอกต้องปั้นด้วยนะ น่าจะอันเดียวกันแหละ”
ชิ้ง
แล้วสายตาก็พวกผู้กล้าก็รุมจ้องมาทางผม แต่ตอนนี้ยังเร็วไปที่บอกอะไร ไว้ค่อยดูท่าทีกันไปก่อนดีกว่า แต่ในกลุ่มผู้กล้าคนที่ดูเหมือนคนญี่ปุ่นก็มีอยู่เยอะพอสมควร ก็คนบ้านเกิดเดียวกันน่ะ แค่มองหน้าแว่บเดียวก็รู้แล้ว
ระหว่างทางที่เดินไปห้องอาหาร พวกผู้กล้าก็มองไปรอบๆ อย่างสนใจ เพราะมันต่างจากที่พวกเขาคิดเอาไว้ ที่นี้ไม่ได้มืดมิดอับชื้นหรือดูน่ากลัวเลย
ถ้าให้อธิบาย น่าจะเหมือนกับมหาวิทยาลัยล่ะมั่ง เพราะพวกปีศาจจะเดินกันเป็นคู่ๆ หรือกลุ่มใหญ่ และถือหนังสือไม่ก็คุยปรึกษากันเรื่องต่างๆ บางห้องก็เหมือนมีพวกนักวิทยาศาสตร์สติเฟือง รวมกลุ่มกันทดลองอะไรบางอย่างอยู่ เนื่องจากผมเน้นไปที่การพัฒนา ในปราสาทเลยมีกลิ่นอายแบบสถานศึกษา มากกว่าป้อมทหารที่เต็มไปด้วยอาวุธและดูเคร่งครัด
ไม่อยากจะพูดเลย ว่าแค่ไม่กี่วันเนี่ย ก็มีพวกปีศาจที่ค้นพบตัวเอง เลยกำเนิดพวกนักวิทยาศาสตร์เพี้ยนๆ ขึ้นมาเพียบ อย่างตอนนี้ก็เริ่มมีผลงานออกมากันแล้ว เห็นแค่แว่บๆ แต่คิดว่าน่าจะเป็นแท่นเทเลพอตนะ เป็น
อุปกรณ์เวทแบบใหม่ที่ถ้าทำออกมาเสร็จ สามารถปฏิวัติการคมนาคมได้เลย
“นี้ไม่เห็นเหมือนที่ได้ยินมาเลย”
ผมได้ยินผู้กล้าคนหนึ่งพูดออกมาแบบนั้น ผมนี้ดีใจจนหุบยิ้มไม่อยู่เลย เพราะเรื่องภาพลักษณ์ก็สำคัญ เผ่าปีศาจโดนใส่ร้ายและสร้างภาพแย่ๆ เอาไว้เยอะ ถ้าลองแม้แต่ผู้กล้ายังเปลี่ยนมุมมองได้ คนอื่นก็น่าจะทำได้
“ค่อนข้างจะวุ่นวายกันสักหน่อย ต้องขออภัยด้วยนะคะ”
พอเจอมุเอมะหันมาขอโทษแบบมีมารยาทเช่นนี้ พวกผู้กล้าถึงกับรีบยกมือขึ้นมาโบกกันเป็นพลวัน
“ไม่หรอกครับๆ”
“ใช่ๆ”
พวกผู้ชายนี้เอาใหญ่เลย ส่วนห้องอาหารที่จะพาไป เป็นส่วนที่พึ่งทำใหม่ ผมเองก็ยังไม่เคยไปเหมือนกัน ถึงว่ามุเอมะต้องมานำทางให้
แต่พอมาถึงแล้ว ผมก็ประหลาดใจพอๆ กับพวกผู้กล้าเลย เพราะห้องอาหารแห่งนี้ถูกสร้างไว้ตรงระเบียงด้านนอกของปราสาท เรียกว่ามันยื่นออกไปต่างหากเลยก็ได้ แถมถูกสร้างเป็นโดมกระจก มองเห็นวิวได้รอบด้าน
ใกล้ๆ มีพวกลาเมียที่ใส่ผ้ากันเปื้อนแบบแม่บ้าน กำลังนำอาหารมาจัดลงบนโต๊ะยาว
“เชิญค่ะทุกท่าน แล้วไม่ต้องกังวลน่ะคะ รับรองไม่มีพิษแน่”
ถึงมุเอมะจะยิ้มบอกไปแบบนั้น แต่ผมอ่านแววตาเธอออกเหมือนกัน ใจจริงของเธอประมาณว่า กับพวกนี้
ไม่ต้องใช้พิษให้เปลื้องหรอก มีปัญหาขึ้นมาซัดทีเดียวก็เรียบร้อยแล้ว
อาหารเองก็จัดออกมาได้ดี เป็นอาหารที่มีแบบหลายๆ จานให้เลือกได้ เพื่อคนที่ไม่ชอบอาหารบางอย่าง จะได้เลือกกินอย่างอื่นได้ แต่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นอาหารที่ดูคุ้นตาทุกคน ก็แน่ล่ะทั้งเฟรนฟราย ทั้งไก่ย่างทั้งตัว ทั้งสลัดผัก ทั้งสปาเกตตี้ มันอาหารของโลกเก่าทั้งหมด
“อาหารพวกนี้มัน”
เริ่มมีคนตั้งสติได้ และพึมพำขณะมองมาทางผม
“อืม เป็นอาหารจากโลกเก่าไงล่ะ”
พอได้ยินผมตอบ พวกผู้กล้าก็ลุกขึ้นมาแต่สิ่งที่พวกเขาคิดมันเชื่อได้ยาก เลยพากลับมานั่งลง และเริ่มชิมอาหารกัน ผมไม่ห่วงเรื่องรสชาติหรอก เพราะอร่อยถูกปากทุกคนแน่
ตอนนี้พวกผู้กล้าทำหน้าปั้นยากกันหมด เรื่องอร่อยก็อร่อยอยู่แล้ว แต่นั้นแหละปัญหา อาหารที่โลกนี้รสชาติจะจืดชืด ถึงจะทำให้ดูน่ากินอย่างไง แต่ยังขาดเทคนิกการปรุงรสอยู่ เพราะแบบนั้นเลยทำให้พวกผู้กล้ามั่นใจ ว่าอาหารพวกนี้ไม่ใช่แค่ทำมาเพื่อให้หน้าตาเหมือน แต่รสชาติมันคือของโลกเก่าจริงๆ
แต่ผมยังไม่รีบพูดถึงประเด็นนั้น เพราะความเชื่อใจมันสำคัญ ถ้าพูดอะไรออกไปโดยที่อีกฝ่ายยังไม่เชื่อใจ จะพาลคิดว่าทุกอย่างเป็นกับดัก หรือไม่ก็คิดว่าผมพยายามหลอกลวงอยู่ เพราะงั้นสิ่งแรกที่ต้องทำ คือทำให้พวกเขาวางใจในตัวผมก่อน อย่างน้อยก็ลดความคิดที่เป็นศัตรูกันลงสักหน่อย
ระหว่างมื้ออาหารผมยังไม่เป็นฝ่ายชวนเขาคุย แต่เป็นฝ่ายรอตอบคำถามของอีกฝ่าย
“ผู้วีรชนทั้งสามยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้าก็ไม่สามารถจะปล่อยไปได้ เพราะพวกเขามีพลังมากเกินไป ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหาให้กับข้า แต่อย่าห่วง เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งแล้ว ข้าจะปล่อยพวกเขาไป”
ผมตอบเรื่องที่พวกเขาถามถึงผู้กล้าวีรชน แน่นอนว่าไม่มีโกหกสักคำ แถมยังให้ดูภาพสดจากอุปกรณ์เวท โดยที่ทั้งสามถูกทำให้หลับ และอยู่ในห้องพักสำหรับแขก ไม่ใช่คุก และแน่นอนว่าไม่มีคนคุมเพราะไม่จำเป็นสักนิด ถึงตื่นขึ้นมาทั้งสามก็ไม่มีกระจิตกระใจจะหลบหนีอยู่ดี
พวกผู้กล้าดูจะพอใจในระดับหนึ่ง เลยถามผมเรื่องเป้าหมาย ว่าทำไมเชิญพวกเขามากัน
“ถ้าข้าฆ่าพวกเจ้าหรือมนุษย์ในตอนนี้ มันจะทำให้แผนในอนาคตของข้าลำบาก เลยจะเชิญมาเจรจากันสักหน่อย”
“แผนอะไร? คงเป็นแผนร้ายครองโลกล่ะสิ เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะจอมมาร!”
“เอ่อ อย่ามโนไร้สาระ ข้าไม่หาเรื่องให้ตัวเองลำบากโดยการเอาโลกมาแบกไว้บนบ่าหรอกนะ ส่วนธาตุแท้ข้าจะแสดงออกก็ต่อเมื่ออยู่กับคนที่ข้ารักเท่านั้น”
ผมบอกขณะลูบหัวมุเอมะไปด้วย เธอหลับตาพริ่มและยิ้มไม่หุบ
“กลับเข้าเรื่องเถอะ ที่ข้าอยากจะเจรจากับพวกเจ้า คือการลงนามสนธิสัญญาสงบศึกเป็นเวลาหนึ่งปี”
“สนธิสัญญาสงบศึก!”
คำๆ นี้ถ้าเป็นคนของโลกนี้คงไม่รู้จักแน่ แต่สำหรับพวกผู้กล้าต้องรู้จักอยู่แล้ว สีหน้าพวกเขาคงแปลกใจมากกว่า ที่จอมมารทำไมรู้จักคำนี้เหมือนกัน
“เดี๋ยวก่อน ทำไมแค่หนึ่งปี หรือคิดจะถ่วงเวลารอขุนพลปีศาจคืนชีพขึ้นมา แล้วค่อยบุกถล่มพวกเราในทีเดียวเลยใช่ไหม”
ผู้กล้าสาวคนหนึ่งลุกขึ้นพร้อมกับทุบโต๊ะดังปัง
“เอาตามตรงนะ ถ้าจะบุกถล่มพวกเจ้านะ ไม่ต้องรอขุนพลปีศาจฟื้นขึ้นมาหรอก แค่ตอนนี้ข้าคนเดียวก็ทำลายล้างโลกนี้ได้แล้ว แต่ที่ไม่ทำเพราะมันไม่ใช่เป้าหมายของข้า”
ผมไม่ได้ขู่ แต่มันคือเรื่องจริง พลังของจอมมารเท่าที่ผมดู ถ้าปล่อยพลังทั้งหมดออกมาจริงๆ แค่สิบนาทีก็พอแล้วมั่งที่จะล้างโลก ส่วนพวกผู้กล้าเองก็ไม่กล้าเถียงออกมา เพราะความหวังเดียวของพวกเขาอย่าง ผู้กล้าวีรชน ก็โดนผมปราบหมดแล้ว
“และถึงจะเป็นเรื่องทำร้ายจิตใจของพวกเจ้า แต่ความจริงก็คือ ถึงพวกเจ้าจะใช้เวลาอีกสักสิบหรือยี่สิบปี ก็ยังไม่มีทางที่จะมีพลังพอจะสู้กับข้าหรือมุเอมะได้
“ถ้างั้น ทำไมถึงยังต้องรอเวลาอีกล่ะ ถ้ามีพลังอย่างนั้น”
“ก็เพราะ ในหนึ่งปีนี้ ข้าจะสร้างความมั่นคงให้กับเผ่าปีศาจ มั่นคงขนาดที่ไม่ต้องไปรุกรานใคร ไม่ต้องต่อสู้ด้วยกองทัพทหาร แต่พวกข้าจะต่อสู้ด้วยการค้าและเศรษฐกิจ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ข้าจะตั้งประเทศของปีศาจขึ้นมา เพื่อความสงบสุขของทุกฝ่าย รวมถึงพวกเผ่าปีศาจของข้าด้วย”
คำประกาศของจอมมารได้เปลี่ยนโลกในพริบตา แม้จะเป็นเรื่องราวบนโต๊ะอาหาร แต่หลังจากนี้อีกไม่ถึงปี
โลกก็ต้องถูกพลิกโฉมด้วยการค้าทั้งหมด จนต้องมีนักประวัติศาสตร์มาตามเก็บรายละเอียดของช่วงเวลานี้ไว้

ตอนที่ 97 สนธิสัญญาภาคีแห่งสันติสุข

คำพูดของจอมมารไม่อาจทำให้ผู้กล้าเชื่อได้ นั่นคือความจริงที่น่าหงุดหงิด ผมต้องใช้เวลาอธิบายกว่าชั่วโมง พวกเขาถึงจะยอมเข้าใจได้
แถมยังมีเกาะลอยที่เป็นพื้นที่สร้างใหม่ อยู่รอบๆ ปราสาทเทียมฟ้า เอาไว้ทดลองทำสิ่งต่างๆ อย่างตอนนี้ที่พาพวกผู้กล้ามาดู คือเกาะลอยแบบหลายๆ เกาะที่เรียงกันเป็นขั้นบันได ซึ่งตรงนี้ผมกำลังทดลองและฝึกให้พวกปีศาจรู้จักกับการปลูกพื้นขั้นบันได
นอกจากนี้ยังมีการทำฟาร์มปิด และอื่นๆ อีกมาก มากซะจนผมว่ามันเกินกว่าที่ผมสั่งไปซะอีก พวกลูกน้องผมก็คงมีไอเดียอยากจะลองทำอะไรอยู่ ซึ่งผมเคยสั่งมุเอ
มะไปว่า ถ้ามีใครอยากจะทำโครงการหรือทดลองอะไร ก็ให้ทุนไปทำได้เลย แม้จะเป็นเรื่องไร้สาระแค่ไหนก็ตาม เพราะพวกปีศาจรู้จักแต่การต่อสู้มานานเกินไป ควรจะเริ่มทำอย่างอื่นได้แล้ว อีกอย่างสมบัติก็มีจนเหลือเฟือ เก็บไว้ให้ราขึ้นซะเปล่าๆ
พวกผู้กล้าเองก็เริ่มสังเกตเห็นแล้ว ว่าพวกปีศาจในปราสาทล้วนแต่พูดภาษามนุษย์ได้ แถมไม่มีท่าทางก้าวร้าว ขนาดพวกโอเกอร์ที่ตัวใหญ่ท่าทางเหมือนพวกสมองกล้าม ยังถือหนังสือเรียนและถกกันเรื่องเศรษฐศาสตร์เลย
หลังจากเลี้ยงมื้อเที่ยงแสนอร่อยด้วยอาหารที่ทุกคนคิดถึง กับพาเดินทัวร์ดูปราสาทจอมมารแล้ว พวกผู้กล้าก็เริ่มมีท่าทีที่อ่อนลง อย่างน้อยก็คิดว่าผมไม่ได้หลอกมาฆ่าทิ้งแล้ว เลยยอมให้พวกผมเก็บอาวุธเอาไว้ให้ จริงๆ
ให้เอาไว้ทางผมเองก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ถ้าจะลงนามสันธิสัญญากันจริง ก็ไม่ควรจะพกอาวุธไว้
เมื่อดูแล้วเห็นว่าพวกเขาพอเชื่อใจผม ในระดับที่จะก้าวสู่ขั้นต่อไปได้ ผมเลยทิ้งไพ่ใบต่อไป
“แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเจ้าควรรู้ไว้…ข้าสามารถส่งพวกเจ้ากลับโลกเก่าได้ ถ้าต้องการล่ะก็นะ”
“กะ กลับโลกเก่าได้!”
“ใช่ กลับได้”
สายตาพวกเขาเริ่มกลับมาหวาดระแวง ผมเลยพาไปดูที่ห้องประกอบพิธี ซึ่งวงเวทที่เขียนไว้เต็มพื้น พร้อมกับอุปกรณ์เวทยังคงติดตั้งพร้อมใช้งาน
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ายังกลัวว่านี้จะเก็บกับดัก ไม่มีอะไรรับประกันเรื่องส่งพวกเจ้ากลับโลกเก่า เพราะงั้นเอาแบบ
นี้ ในกลุ่มพวกเจ้าคงมีคนที่เก่งเรื่องเวทมนต์ใช่ไหม ข้าอนุญาตให้ทำการศึกษาเวทมนต์ข้ามมิติได้จนกว่าจะพอใจ อ้อ แต่เพราะสิ่งนี้สำคัญมาก อย่าเผลอไปทำให้เสียหายล่ะ”
พวกนี้ฟังผมไม่ถึงครึ่งด้วยซํ้า เพราะมัวแต่ดีใจเรื่องที่สามารถจะกลับบ้านได้ พวกเขาไม่รั้งรอที่จะรับข้อเสนอของผมเอาไว้ เลยจะให้ตัวแทนทั้งสามคนอยู่ทำการศึกษาทันที และมีอีกห้าคนที่พร้อมจะกลับบ้านทันที
แต่ก่อนอื่นผมต้องบอกอีกสิ่งที่พวกเขาควรรู้ไป
“ข้าเข้าใจว่ากำลังดีใจกัน แต่รู้ไว้ด้วยนะ ถ้าพวกเจ้ากลับไปกันหมดจะต้องเกิดเรื่องแน่”
“หมายความว่าอย่างไง?”
“ไม่เข้าใจเหรอว่าพวกเจ้าถูกอันเชิญมาโลกนี้เพราะอะไร”
“เพื่อกำจัดจอมมาร”
“ถูก หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ…พวกเจ้าคืออาวุธ อำนาจถ่วงดุล ความหวัง จะเรียกอย่างไงแล้วแต่ สรุปคือ พวกเจ้ามีคุณค่ามหาศาลในการมีอยู่ ผู้คนบนโลกนี้เชื่อเช่นนั้น”
“จะบอกว่าถ้าพวกเราหายตัวไปกันหมด จะเกิดความวุ่นวายขึ้นเหรอ!?”
“เรื่องวุ่นวายอย่างไงก็ต้องเกิดขึ้น แต่ลองคิดว่าถ้าพวกที่อันเชิญพวกเจ้า รู้ว่ามีวิธีส่งตัวเจ้ากลับสิ พวกเขาจะขัดขวางทันที เลวร้ายกว่านั้นพวกเขาจะพยายามทำการควบคุมผู้กล้า อย่างเช่นการทำให้เป็นทาส รู้ใช่ไหมพันธะทาสน่ะรุนแรงแค่ไหน รุ่นพวกนายถึงได้กลับกัน
สบาย แต่รุ่นใหม่ที่จะมา พวกผู้กล้าจะถูกบังคับส่วมปลอกคอ…เข้าใจที่ข้าพูดใช่ไหม”
แน่นอนพวกเขาเข้าใจ แค่สีหน้าที่ซีดลงก็พอจะอธิบายในตัวเองได้แล้ว
“งั้นจะทำให้อย่างไง ถ้าพวกเรากลับไปก็จะสร้างปัญหาแบบนี้!”
“ใจเย็น ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ อยากลองฟังวิธีแก้ปัญหาที่ข้าจะเสนอให้ไหม”
ถึงขั้นนี้แล้วพวกผู้กล้าต่างให้ความเชื่อใจผมกันหมด ไม่มีใครโต้แย้งและรอฟังสิ่งที่ผมจะบอก
“ก่อนอื่นข้าอยากให้พวกเจ้าอยู่ที่โลกนี้ไปก่อน และส่งกลับเฉพาะผู้กล้าหน้าใหม่ เหตุผลพวกเจ้ามีเลเวลสูงแล้ว สามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ อ้อ แน่นอนทุกคนจะ
ได้กลับ เพียงแต่ช้าเร็วเท่านั้น และห้ามให้ใครรู้ โดยเฉพาะในช่วงหนึ่งปีนี้ ไม่งั้นปัญหาเรื่องนี้จะทำให้สนธิสัญญาเป็นโมฆะได้ ถ้าแผนการของข้าไปได้สวย ความสำคัญของผู้กล้าก็จะค่อยๆ หมดไป และเมื่อถึงตอนนั้น พวกเจ้าทุกคนก็จะสามารถกลับบ้านได้อย่างหมดห่วง”
“สรุปก็คือ ถ้าพวกเรายิ่งให้ความร่ววมือกับท่าน พวกเราก็จะยิ่งได้กลับบ้านเร็วขึ้นสินะ”
“ถูกต้อง แต่ถึงจะบอกให้ร่วมมือ ที่พวกเจ้าต้องทำก็แค่อย่าสู้กับข้าอย่างไร้เหตุผล เท่านั้นเองแหละที่จะขอ”
“เดี๋ยวก่อนสิ แบบนี้ก็แปลกนะ ทำไมต้องช่วยพวกเราด้วย ในเมื่อพวกเราเป็นศัตรูกัน”
“…คำตอบนั้นง่ายมาก”
แทนที่จะต้องมานั่งอธิบายกันยืดยาว ที่ผมทำก็เพียงแค่ถอดชุดเกราะออก และเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงให้ทุกคนได้เห็น

“มนุษย์เหรอ! ไม่สิ นายเองก็เป็นคนจากโลกอื่นเหมือนกันใช่ไหม!”
สองนาทีเหรอ นานกว่าที่คิดแฮะ คิดไว้แล้วละว่าต้องช็อคกัน แต่ไม่คิดว่าจะยืนแข็งกันไปนานขนาดนี้
“ใช่ ผมเป็นคนญี่ปุ่น ทีแรกก็ถูกอันเชิญมาเป็นผู้กล้าเหมือนกัน”
หลายคำถามประดังเข้ามา แต่ผมเลือกตอบเฉพาะคำถามที่จะไม่เป็นภัยกับตัวเองและเผ่าปีศาจ แต่พวกผู้กล้าแสดงความมิตรออกมามากกว่าที่คิดไว้ รู้แบบนี้แสดงตัวให้เร็วกว่านี้ก็ดีหรอก
แต่ถ้าถามตอบแบบนี้ คงอีกนานกว่าจะจบ ผมเลยจะให้มุเอมะช่วยตอบให้ทีหลัง แต่ตอนนี้ผมอยากทำสนธิสัญญาให้เสร็จก่อน ถึงตอนนี้พวกผู้กล้าให้ความร่วมมือดีขึ้นมาทันที
เพราะเป็นคนจากโลกเดียวกัน เลยต้องอยากจะช่วย นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิด
แต่ที่ผมคิดคือ พวกคนจากโลกเดียวกันเนี่ย ยิ่งต้องระวัง เลยอยากจะให้กลับๆ กันไปให้หมด
คนจากโลกนี้ถึงจะมีพวกโหดร้ายป่าเถื่อนอยู่ แต่ยังไม่เคยเจอใครที่ใส่หน้ากากได้เก่ง ต่างจากคนโลกเก่าที่มีทั้งความฉลาดและมารยาอยู่ในตัวสูง บางคนก็ยิ่งอ่านได้ยาก ทำให้ผมไม่อาจจะวางใจได้
ส่วนเรื่องสนธิสัญญามีหลายรายละเอียดหลายข้อ ไม่ใช่แค่ว่าต่างคนต่างอยู่ เพราะอาจมีคนกดดันให้พวกผู้
กล้ามาสู้กับเผ่าปีศาจอีก และไม่ใช่ผู้กล้าทุกคนจะรู้เรื่องนี้
แต่หลักๆ คือการไม่บุกรุกซึ่งกันและกัน กรณีที่ถูกกดดัน ทางปีศาจสามารถให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการเล่นละครให้เหมือนว่ามีการปะทะกันบ้าง เพื่อช่วยลดแรงกดดัน แต่จะไม่มีการทำร้ายกันอย่างรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต ในขณะเดียวกันพวกผู้กล้าก็จะต้องช่วยสร้างเครือข่าย สร้างความเข้าใจกับผู้กล้าหน้าใหม่ และหาวิธีพามาที่ปราสาทจอมมารแบบไม่ให้ใครสงสัย
กรณีที่ถูกจับได้ไม่ว่าจะฝ่ายใด จะไม่มีการยอมรับความสัมพันธ์ รวมถึงสนธิสัญญาฉบับนี้จะไม่ถือว่ามีอยู่จริง แน่นอนว่าสัญญาฉบับนี้จะอยู่ในเงื่อนไขพิเศษ ถ้ามีการฆ่ามนุษย์หรือปีศาจด้วยการทำสงคราม หรือแบบที่เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สัญญาจะถูกยกเลิกทันที
และถ้าหลังจากหนึ่งปีไปแล้ว ทางผมไม่อาจทำตามเงื่อนไขที่ว่าไว้ได้ หรือเกิดมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางใด จะมีการถกกันเรื่องสนธิสัญญากันใหม่อีกครั้ง
โดยที่พวกเราจะเรียกสนธิสัญญาฉบับนี้ในชื่อที่ต่างๆ กัน ฝ่ายผู้กล้าจะเรียกว่า สนธิสัญญา 22 ผู้กล้า (ตามจำนวนผู้กล้าที่เป็นคนลงนาม) ส่วนของฝ่ายผมจะเรียกว่า สนธิสัญญา 1 ปี และพวกเราทั้งสองจะเข้าใจรวมกันในชื่อที่ไม่มีใครเอ่ยออกมา เป็นชื่อที่จะไม่มีใครรู้จักหรือมีบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ ชื่อที่แท้จริงของสนธิสัญญาฉบับนี้
สนธิสัญญาภาคีแห่งสันติสุข
หลังการลงนามร่วมกันแล้ว พวกผู้กล้าก็ทำการเดินทางกลับทันที เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต โดยจะทิ้งคนไว้ 7 คน โดยเป็นคนที่จะอยู่ทำการศึกษาเวทมนต์ที่ใช้ส่งตัว
กลับ 3 คน ส่วนอีก 4 คน คือคนที่มีเหตุจำเป็นที่ต้องกลับโลกเดินอย่างเร่งด่วน หรืออยากจะกลับบ้านจนทนไม่ไหวแล้ว
หัวหน้าของกลุ่มผู้กล้าชุดนี้ มีชื่อว่า จิน ซึ่งเขาอาสาเป็นตัวแทนของทางฝ่ายผู้กล้าทั้งหมด ในการประสานงาน เพราะอย่างไงเขาก็ไม่ได้กลับบ้านแน่ เนื่องจากเขาถูกอันเชิญมาในรูปแบบที่สาม หรือถูกอันเชิญมาในสภาพเป็นวิญญาณ เลยไม่มีโลกเก่าให้กลับ ที่ๆ จะไปคือการไปเกิดใหม่ที่ไหนสักแห่ง ซึ่งพวกเขาคิดว่าถ้าในอนาคต ผมสามารถสร้างโลกนี้ให้เป็นอย่างที่ว่าได้จริง มันคงน่าอยู่มาก เลยไม่มีใครคิดจะดิ้นรนไปเกิดใหม่
ซึ่งในอนาคตจินจะทำการรวบรวมผู้กล้าประเภท 3 และพากันมาลงหลักปักฐาน สร้างหมู่บ้านผู้กล้าของ
ตัวเองขึ้นมาในดินแดนของปีศาจ โดยมีเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้กล้าที่ถูกผูกมัด และถูกบังคับทำงานอย่างไม่เป็นธรรม
ส่วนเรื่องดันเจี้ยนผมก็ไม่ลืมให้มุเอมะอธิบายให้พวกเขาฟังด้วย เพราะเกิดหยุดล่าเพราะกลัวจะเป็นเผ่าปีศาจ อย่างน้อยก็อยากให้เข้าใจ ว่าไม่ใช่ทุกดันเจี้ยนเป็นของเผ่าปีศาจ และการเข้าดันเจี้ยนเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะได้กันทั้งสองฝ่าย ลองให้หยุดการดันเจี้ยนเลยสิ รับรองปัญหาตามมาแน่ ถึงขั้นสังคมล่มสลายกันเลย เพราะทั้งอาหารการกิน ทั้งสินค้าเศรษฐกิจแทบทุกชนิด ล้วนหาได้จากดันเจี้ยนเป็นหลัก
เรื่องวิธีจะดูว่าดันเจี้ยนแห่งใดเป็นของเผ่าปีศาจก็ง่ายมาก ถ้าเจอบอสของดันเจี้ยนเมื่อไร ก็ลองถามดูเลยตรงๆ เพราะปีศาจระดับหัวหน้าต่างพูดภาษามนุษย์ได้
หมด เพราะส่วนใหญ่เป็นพวกที่มีสติปัญญาระดับสูงอยู่แล้ว
ทว่าผมไม่ได้อยู่จนถึงตอนที่ส่งพวกผู้กล้ากลับไปหรอก เพราะพอลงนามเสร็จก็มีการติดต่อมาจากมิริน ฟังจากนํ้าเสียงของเธอ คงแอบติดต่อมาอย่างรีบเร่งและมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่
“ท่านโรมะ เกิดเรื่องแล้ว รีบกลับมาด่วนเลยค่ะ”
เธอกระซิบบอกแค่นั้น
“มุเอมะทางพวกสาวๆ เกิดเรื่องขึ้น ผมขอกลับไปดูก่อนนะ”
“ท่านโรมะไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันจะดูแลพวกผู้กล้าให้เอง ท่านโรมะกลับไปอย่างสบายใจเถอะ”
มุเอมะยังคงไว้ใจได้เช่นเคย กับเธอผมไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น นอกจากความซื่อสัตย์ภักดีแล้ว เธอสามารถจัดการปัญหาได้ดีกว่าผมซะอีก
ผมวาร์ปกลับไปตรงกลางทางของทางลงไปชั้น 9 แต่ก็ระวังเจอคนอื่นเห็น ด้วยการใช้ผ้าพันคอสารพัดนึก เปลี่ยนใบหน้าเป็นการป้องกันไว้ก่อน
พอวาร์ปมาไม่เจอใคร ผมก็รีบมุ่งหน้าไปที่ชั้น 9 ทันที พร้อมกับเอาหน้ากากออกมาใส่ตามเดิม ผมเร่งฝีเท้าเต็มที่ แต่เพราะอยู่ในสถานะจอมมารนานไปหน่อย พอกลับมาใช้สถานะโรมะที่เป็นนักผจญภัยแล้ว มันรู้สึกหงุดหงิดพิกล
ร่างกายทั้งหนักทั้งเฉื่อยๆ ไม่ได้มีความเร็วแบบเคลื่อนไหวตามความคิดได้ทันที ทุกอย่างดูช้าไปหมด จะไม่ให้หงุดหงิดได้ไง
แต่พอหงุดหงิดหรือเครียดเมื่อไร ผมก็จะใช้สกิลเพิ่มค่าความหื่นตัวเอง เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่ง สมองจะหลั่งสารสร้างความสุขออกมา ทำให้ความหงุดหงิดหายไปได้ พอรู้ว่าสกิลตัวเองใช้ทำอะไรได้บ้าง มันจะสะดวกเอามากๆ เลย
พอออกมาที่ชั้น 9 ผมก็ต้องหรี่ตาลง เพราะแสงมันจ้ามาก ต่างจากชั้น 8 ที่มีแค่แสงสลัวๆ แสงในดันเจี้ยนเป็นสิ่งที่ไม่แน่ไม่นอน บางชั้นก็มืดสนิท บางชั้นก็สว่างแบบนี้
ส่วนมากแสงสว่างของดันเจี้ยน จะมาจากสองสิ่ง หลักๆ มาจากแสงบนเพดาน ซึ่งเป็นแสงจากพลังมาน่าของดันเจี้ยน อีกอย่างมาจากพวกพืชที่ขึ้นตามพื้นและกำแพง
แต่ชั้นที่สว่างแบบนี้มีทั้งข้อดีข้อเสีย เพราะถึงจะทำให้เห็นตัวมอนสเตอร์ได้ชัด แต่ถ้าต้องหลับนอนที่นี้มันก็สว่างจนทำให้นอนไม่ค่อยหลับได้
“อากาศค่อนข้างร้อนแฮะ อุณหภูมิต่างจากชั้น 8 เกือบสิบองศาได้”
ส่วนตัวผมชอบอยู่ที่เย็นๆ มากกว่า ถ้ามากกว่า 27 องศาผมว่ามันไม่เหมาะกับการออกแรงเท่าไร ส่วนถ้าเกิน 30 องศาก็ไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตแล้ว แต่ชั้นนี้น่าจะร้อนถึง 33-35 องศาได้อารมณ์เหมือนโดนจับโยนจากช่วงฤดูใบไม้ผลิ มาที่กลางฤดูร้อนในพริบตาเดียวเลย
ผมเปิดเรดาร์เพื่อตรวจดูตำแหน่งของทุกคน ส่วนแผนที่แมพเปิดไว้ทั้งชั้นแล้ว เพราะมอเรียมีแผนที่ของชั้น
นี้แบบสมบูรณ์ ผมหลบเลี่ยงพวกมอนสเตอร์ ซึ่งเป็นพวกผีกูล ซอบบี้ กับสปิริตไฟเตอร์
ผีกูลมีพลังๆ กับศพ แต่ที่ทำให้ยุ่งยากคือพลังชีวิตมันสูงมาก ทำให้ใช้เวลาฆ่ามันค่อนข้างนาน ถึงมันถูกเรียกว่าเป็นตัวกินศพ แต่เอาเข้าจริงๆ มันกินทุกอย่างที่ขวางหน้าเลย แผลที่ถูกกูลกัด มีโอกาสสูงที่จะติดสถานะไวรัสซอมบี้ แถมยังรักษาแผลด้วยยาฟื้นพลังไม่ได้ ต้องใช้เวทมนต์แก้พิษก่อนถึงจะรักษาได้
ส่วนซอมบี้ช้าและโง่ เลเวลค่อนข้างแกว่ง เพราะมันกลายสภาพมาจากนักผจญภัยที่โดนกัดและตายไป แต่ซอมบี้เองก็เหมือนกูล คือทำให้เป้าหมายที่โดนมันกัดติดเชื้อได้ แถมมันจับสัมผัสยาก บางทีก็เจอมันย่องมาด้านหลังแบบไม่ทันรู้ตัว ยิ่งมันมีโอกาสที่จะมีสกิลแปลกๆ
ของตอนที่เป็นนักผจญภัยด้วย อย่างพวกสกิลซ่อนตัว หรือสกิลเก็บเสียง
แต่ที่ไม่น่าสู้ด้วยที่สุดคือพวกสปิริตไฟเตอร์ พวกมันเป็นเหมือนก้อนพลังงานที่มีรูปร่าง อาวุธไม่สามารถทำอะไรมันได้ ต้องโจมตีด้วยเวทมนต์หรือาวุธที่มีพลังเสริมจากเวทมนต์ติดอยู่ การที่ต้องมีนักบวชอยู่ด้วยก็เพื่อฆ่าพวกสปิริตไฟเตอร์โดยเฉพาะ
“เลเวล 50 โดยเฉลี่ยเหรอ…เลเวลกระโดดอีกแล้ว โหดจริงๆ ดันเจี้ยนของอานูบิสเนี่ย”
ผมเริ่มคิดแล้วสิ การที่ดันเจี้ยนมีความยากแบบนี้ ตัวบอสใหญ่ของดันเจี้ยนอย่างอานูบิสมีส่วนด้วยหรือเปล่า เพราะขนาดตั้งกฎต่างๆ ได้ การกำหนดเลเวลของมอนสเตอร์ในแต่ละชั้นก็น่าจะทำได้เหมือนกัน
ดูจากตำแหน่งในแผนที่ พวกสาวๆ คงไปถึงจุดตั้งค่ายที่ริมทะเลแล้ว และยังอยู่กันครบทุกคน จริงๆ เรื่องความปลอดภัยผมไม่ค่อยห่วงหรอก ถ้าไม่ใช่ระดับอานูบิสโผล่มาแบบคราวก่อน แค่พวกสาวๆ ก็เอาอยู่ได้สบาย เพราะงั้นปัญหาที่เกิดขึ้น ผมคิดได้อย่างเดียวเลย
และก็จริงๆ
พอไปถึงผมก็ได้เห็นลิซาร์ดแมน ถูกจับมัดเสียบไม้ และถูกพาดอยู่เหนือกองไฟ
“บอกมา! แกเอานายท่านไปไว้ที่ไหน”
เสียงร้องข่มขู่ดังขึ้นมา โดยเป็นเสียงของฟรานที่น่ากลัวมากๆ ผมไม่รู้เลยว่าเธอทำเสียงแบบนี้ได้ด้วย
แต่ถึงจะกำลังโดนย่างเป็นกิ้งก่าเสียบไม้อยู่แล้ว ลิซาร์ดแมนก็ไม่ยอมปริปากสักคำ แถมไม่มีท่าทางหวาดกลัวต่อความตายด้วย เนี่ยล่ะลักษณะของเผ่า
ปีศาจ ที่จงรักภักดีต่อจอมมารแบบไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ ขนาดที่ผมพูดเล่นไม่ได้เลย เช่นว่า ถ้าพูดประชดไปว่า ไปตายซะ! พวกลูกน้องผมมันพร้อมใจกันฆ่าตัวตายหมู่ทันทีแน่
พวกสาวๆ เองก็น่ากลัวมากตอนนี้ ทุกคนมีสีหน้าและแววตาที่ดุดันมาก เหมือนพร้อมจะฆ่าได้ทุกสิ่งที่ขวางทาง มีแต่มิรินเท่านั้นและที่ยังดูปกติอยู่ เอ่อ ไม่ปกติสิ เธอเองกำลังสั่นกลัวอยู่ คงโดนรังสีอำมหิตของทุกคนกดดันอยู่ จะพูดอะไรก็ไม่ได้ คงทั้งสงสารลิซาร์ดแมนและสมเพชตัวเองไปในเวลาเดียวกัน
“ทุกคนผมกลับมาแล้ว!”
ผมรีบตะโกนบอกไป ก่อนที่สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายกว่านี้
“นายท่าน!/ท่านโรมะ!”
ทุกคนวิ่งมาหาผมพร้อมกับพุ่งชาร์ดทับใส่ผมราวกับโดนหิมะถล่มใส่ ทั้งนํ้าตานํ้ามูกเปรอะเต็มตัวผมเลย ทุกคนดีใจมากจนลืมทุกอย่างไปหมด ทุกคนรุมถามผมใหญ่เลยที่หายตัวไป ดูเหมือนลิซาร์ดแมนพอถูกจับได้ ก็ไม่เอาแต่ปิดปากเงียบไม่ยอมบอกอะไรเลย ส่วนมิรินเองพยายามพูดช่วยแล้ว แต่ไม่ได้ผล เพราะความวิตกกังวลของพวกสาวๆ มันมีมากเกินไป
แต่ผมเตรียมแต่งเรื่องมาแล้ว ยิ่งลิซาร์ดแมนไม่พูดอะไรแบบนี้ ทำให้เรื่องง่ายขึ้น
“คือผมไปที่ชั้น 7 มา เพื่อวานนักผจญภัยคนอื่น ให้ไปแจ้งที่กิลว่าสถานการณ์ที่ชั้น 8 กลับคืนสู่ความปกติแล้ว”
“แต่ลิซาร์ดแมนตัวนี้มันบังอาจปลอมเป็นนายท่าน!”
“เอ่อ ลิซาร์ดแมนตัวนี้เป็นอสูรอันเชิญของผมเองล่ะ”
ผมบอกไปพร้อมกับส่งสายตาไปทางลิซาร์ดแมน ดูเหมือนมันจะเข้าใจแล้วว่าต้องทำอะไร พอผมยื่นมือออกไป มันก็หายวับไป ทำดูเหมือนว่าผมส่งตัวมันกลับไป จริงๆ แค่ลิซาร์ดแมนพาตัวเองกลับไปที่ปราสาทจอมมารแล้ว ไว้เดี๋ยวคราวหน้าค่อยให้รางวัลมันทีหลัง เพราะดูท่าคงโดนมาเยอะ
“…นายท่านไม่มีไอเท็มลูกแก้วอันเชิญนี้คะ”
เดเม่ส่งตายตาเฉียบคมมาทางผมทันที เธอใส่ใจผมในทุกรายละเอียด ตัวผมมีไอเท็มอะไรในกระเป๋าบ้าง มีเงินเท่าไรเป็นเหรียญอะไรบ้าง เธอรู้หมด ไม่ใช่การจับผิดอะไรหรอก แต่เธอเชื่อว่ามันเป็นงานของเธอที่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของผม
“ได้มาจากอานูบิสเมื่อคืนไง”
ผมก็เตรียมข้ออ้างมาเหมือนกัน เพราะรู้ว่าเดเม่ต้องจับผิดได้แน่ แต่เรื่องอานูบิสเมื่อคืน เธอไม่ได้อยู่ด้วย และผมก็บอกไปเพียงว่าผมตกลงแลกเปลี่ยนกับอานูบิสไปนิดหน่อย เลยอ้างได้ว่าลูกแก้วอันเชิญก็เป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนที่ว่าไป
และก็ได้ผล เดเม่ดูมีท่าทีผ่อนคลายลง คนอื่นๆ ก็ด้วย ถึงจะมีคำถามปลีกย่อยตามมาอีกเพียบ เช่น
ทำไมผมถึงต้องใช้ลิซาร์ดแมนปลอมตัวมา ทำไมไม่พาพวกเธอไปด้วย ทำไมไม่ใช้ลิซาร์ดแมนไปแจ้งข่าวแทน แต่ผมก็ตอบได้ทุกคำถามแบบไม่ติดขัด แย่แฮะ ผมคงโกหกจนเคยชินไปแล้ว ทำให้โกหกได้เก่งแบบนี้ ไม่ดีเลยสักนิด ผมรู้สึกผิดทุกครั้งที่ต้องโกหกคนที่ผมรัก
“ตกลง ลิซาร์ดแมนโดนจับได้อย่างว่าเป็นตัวปลอม?”
พอทุกคนได้คำตอบไปแล้ว และกำลังกลับไปตั้งค่าย ผมก็กระซิบถามกับมิริน
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พอกลับมาถึง ก็โดนฟรานกับดอเรียพุ่งเข้ามารวบตัวเลย ส่วนคนอื่นๆ ก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าเป็นท่านโรมะตัวปลอม”
“ทันทีเลยเหรอ! จะว่าไปฟรานเคยบอกว่าจับสัมผัสผมได้ แต่ดอเรียก็ด้วยเหรอเนี่ย? แล้วคนอื่นๆ ใช้วิธีอะไรแยกออกได้ล่ะเนี่ย”
“เอ่อ ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ลิซาร์ดแมนไม่ทันพูดอะไรสักคำเลย แถมขนาดโดนทรมานก็ยังไม่ยอมคืนร่าง
จนโดนอัดหมดสติไปรอบหนึ่งนั้นแหละค่ะ ถึงจะคืนร่างจริง”
น่าสงสารลิซาร์ดแมน ตอนหลังผมลองไปหลอกถามคนอื่นๆ ดูในเรื่องนี้ คำตอบที่ได้รับ เล่นเอาผมมึนไปเลย
เดเม่ : นายท่านไม่ได้มองมาที่ต้นขาของหนูค่ะ (อึก! จริงด้วยแฮะ ถ้าวันไหนเดเม่ใส่ชุดเมดแบบกระโปรงสั้น ผมจะต้องแอบมอง*พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำเลย)
ดาเซส/ยูริน : พอมองตานายท่านแล้ว ตรงน้องสาวมันไม่แฉะ (…เดี๋ยวสิ งั้นตอนนี้พวกเธอก็แฉะอยู่เหรอ!)
ส่วนสาวๆ คนอื่นก็คล้ายๆ คำตอบของพวกดาเซส นอกจากอาเดไลท์
อาเดไลท์ : ก็มีพิรุธทุกจุดเลย ตาของนายปกติต้องล่อกแล่ก คอยมองตรวจสอบทุกอย่าง และไม่เคยพลาด
จะแวะมองหน้าอก ต้นขา ก้น ของพวกฉัน และการที่ฟรานพุ่งใส่ทันที ก็เป็นหลักฐานในตัวอยู่แล้ว ฉันว่าต่อให้นายเป็นธุลีฟรานก็แยกออกได้ทันที
เธอช่างสังเกตเกินไปแล้ว แถมยังเชื่อใจฟรานอีก ไม่มีอะไรจะโต้แย้งได้เลย ไม่ไหวแฮะ เรื่องการจะใช้ตัวปลอมมาแทนที่ ไม่มีทางทำได้เลย แค่ไม่ใช่แค่คนสองคน แต่นี้ทุกคนสามารถแยกแยะตัวผมได้หมด
มันน่าดีใจจนอยากจะร้องไห้อยู่หรอก ที่ทุกคนให้ความสำคัญและใส่ใจผมขนาดนี้ แต่ถ้าคิดถึงเรื่องในอนาคตแล้วก็อดห่วงไม่ได้ และผมก็ว่าอีกไม่นานหรอก ที่จะไม่สามารถพูดโกหกพวกเธอได้อีก ต่อไปแค่อ้าปากพวกเธอก็รู้หมดแล้วว่าผมคิดอะไรอยู่…ชักจะหวั่นๆ แล้วสิ
*พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ คือต้นขาที่อยู่ระหว่างถุงเท้ายาวเหนือเข่า ไปถึงขอบกระโปรงสั้น

ตอนที่ 98 การทำฟาร์มสไตล์โรมะ

วันนี้ผมเสียเวลาไปกับพวกผู้กล้าไปเยอะ กว่าจะเคลียร์เรื่องลิซาร์ดแมนอีก พอจะหาที่ตั้งค่ายเสร็จก็ตกเย็นแล้ว ผมเลยให้เป็นวันพักไป และจะเริ่มล่าเก็บเลเวลต่อพรุ่งนี้
แต่การพักก็ไม่ได้พักจริงๆ เพราะขนาดตอนตั้งค่ายก็ยังมีปัญหา
ปัญหาของชั้น 9 ก็คือความแออัด เพราะครึ่งหนึ่งของชั้นเป็นทะเล ทำให้พื้นที่จริงๆ เลยเล็กกว่าชั้น 8 ซะอีก แถมจุดตั้งค่าย ที่เป็นบริเวณที่ไม่มีจุดเกิดขึ้นมอนสเตอร์ และไม่ค่อยมีผ่านมา มีอยู่แค่จุดเดียว
สวนทางกับจำนวนคนที่เลือกมาชั้น 9 มากกว่าสิงอยู่ที่ชั้น 8 เหตุเพราะพวกศพไม่ค่อยทำกำไร (คำนวณดูแล้ว สำหรับคนทั่วไปมันน้อยจริงๆ นั้นแหละ เพราะผมมีทั้งดรอปเบิ้ล ดรอปแรร์ โชคดี บวกความเร็วในการฆ่าและความต่อเนื่อง ผมน่าจะได้รายได้มากกว่าคนอื่นประมาณ 12-15 เท่าได้ ซึ่งถ้าคิดตามปกติ รายได้น้อยกว่าไปตีไมสเตอร์ลีดที่ชั้น 2 ซะอีก)
ขณะที่ชั้น 8 ต้องพึ่งดวงล้วนๆ ในการหาเงิน แต่ชั้น 9 เป็นแหล่งที่มีรายได้แน่นอน
กูลมีไอเท็มดรอปถึงสองอย่าง คือหนังกระเพาะ กับมาน่าคริสตัล
ผมก็พึ่งรู้เนี่ยล่ะว่ากระเป๋านักผจญภัย ทำมาจากหนังกระเพาะของกูล เพราะกูลสามารถกินศพทั้งตัวไปได้ โดยที่ท้องไม่แตกตาย ราคาต่อชิ้นเลยอยู่ที่ 800 รีล
และมาน่าคริสตัลถ้าพกติดตัวไว้ จะเพิ่มค่ามาน่าสูงสุดให้ ปกติแล้วผู้ใช้เวทหรือนักบวชจะมีมาน่าคริสตัลอยู่ในกระเป๋าเสมอ แต่มันมีข้อเสียหลายอย่าง เพราะถึงจะเป็นเวทมนต์ที่ใช้มาน่าเพียงเล็กน้อย แต่มันก็จะดึงจากมาน่าคริสตัลไปบางส่วนทุกครั้ง ทำให้มาน่าคริสตัลหมดสภาพเร็วมาก และมันยังไม่สามารถเติมพลังมาน่าเข้าไปได้อีกด้วย ปกติเลยจะใส่ไว้กระเป๋านักผจญภัย เวลาเจอศึกหนักแล้วค่อยนำออกมาถือไว้ หรือใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงแทน
ราคาขายอยู่ที่ 600 รีล แต่ราคาซื้อจะอยู่ที่ 6,000-10,000 รีล เหตุที่ราคาซื้อมันแพงกว่าตอนขายไป เพราะมาน่าคริสตัลที่ได้มา ยังไม่สามารถใช้ได้ทันที ต้องเอาไปสกัดเอาความเป็นพิษของมาน่าออกไปก่อน ก็แน่ล่ะ เป็นมาน่าที่มอนสเตอร์ในดันเจี้ยนใช้กันนี่
น่า ถ้าคนธรรมดารับเข้าไปก็จะมีสภาพเหมือนพวกไมสเตอร์ลีด
ซอมบี้นี้เป็นถุงเงินถุงทองเลย เพราะมันจะมีโอกาสดรอปอุปกรณ์อาวุธหรือชุดเกราะด้วย ถึงจะไม่ใช่ของดีอะไร แต่ราคาก็สูงอยู่ดี ยิ่งถ้าดวงดีได้ของที่สภาพใหม่และดีมา ชิ้นหนึ่งก็ราคาหลายพันรีล แถมยังมี Super rare drop ดาบซอมบี้สเลเยอร์ด้วย
ดาบซอมบี้สเลเยอร์มีคุณสมบัติธาตุมืด ถ้าฟันใส่เป้าหมายปกติ ก็จะทำให้ติดสถานะเน่าเปื่อย และยังยับยั้งสกิลฟื้นตัวอย่าง Hp regen ด้วย แต่ถ้าเอามาฟันใส่ซอมบี้หรือศพ จะสามารถสังหารได้ในการโจมตีไม่กี่ครั้ง หรือโชคดีอาจตายในดาบเดียวได้เลย เพราะดาบจะสามารถทำลายพลังที่ควบคุมซอมบี้หรือศพได้
ความคมก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ขนาดเอาไปฟันพวกโกเลมได้เลย
ราคานั้นแพงจนถึงต้องประมูลกันเลย เพราะถึงดาบจะถูกจัดอยู่ในระดับ super rare แต่เอาเข้าจริง มันดรอปยากในระดับ Epic เลย เห็นว่าสองหรือสามเดือนจะโผล่ออกมาสักเล่ม ถ้าได้มาก็รวยเลย
สปิริตไฟเตอร์เองก็ทำเงินได้ดีไม่แพ้กัน เพราะมันมีอัตราดรอปมาน่าคริสตัลที่สูง และยังดรอปการ์ดเผ่าสปิริตที่มีราคาสูงด้วย
“การ์ดสปิริตใช้ทำอะไรได้เหรอ?”
ผมถามหอสมุดเดินได้อย่างมอเรีย
“ทำให้ได้รับสกิล Spirit type ค่ะ เป็น Passive skill ทำให้มีความต้านทานต่อเผ่าสปิริต
และยังทำให้แตะต้องพวกมันได้ด้วยมือเปล่า เป็นที่นิยมมากของสายนักสู้ที่ไม่ได้ใช้อาวุธเลยค่ะ”
“สกิลต่อยผีได้สินะ สมควรจะแพงจริงๆ ด้วยแฮะ”
ด้วยสกิลนี้ผมว่าพวกนักสู้ไม่ต้องพึ่งพวกนักบวชหรือผู้ใช้เวทเลย ราคาขั้นตํ่าอยู่ที่ 2,000,000 รีล! แต่ความยากในการดรอปมากกว่าการ์ดศพห้าสิบเท่าได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ชั้นนี้เป็นที่สิงสถิตของเหล่าเสือหิวจากทั่วสารทิศ ทั้งพวกเลเวลสูงที่มากันสองสามคน หรือพวกเลเวลแค่ยี่สิบต้นๆ ที่มาเสี่ยงตายกันเป็นกลุ่มใหญ่สิบกว่าคน รวมถึงพวกพ่อค้าแม่ค้าที่หัวหมอ เอาเสบียงมาขายและรับซื้อไอเท็มไปด้วย เพราะบางคนมาสิงอยู่ที่นี้เป็นเดือน กว่าจะกลับออกไปที
ทำให้พื้นที่ตั้งค่ายถูกจองไว้จนหมดแล้ว ดูๆ ไปก็เหมือนค่ายผู้ลี้ภัยเลยแฮะ ทั้งแออัดและวุ่นวาย แถมมีแต่
พวกสกปรกและโทรมสุดๆ ยิ่งพวกอยู่มาเกินอาทิตย์นี้ ถ้ายืนกับศพนี้แยกกันแทบไม่ออก
พวกผมยังต้องเจอปัญหาพวกพ่อค้าจอมละโมบ ที่มาตั้งค่ายไว้เฉยๆ เพื่อจองที่เอาไว้ และรอเรียกเก็บเงินแพงๆ จากนักผจญภัย แถมพวกผมมีกันหลายคน ต้องใช้พื้นที่เยอะสำหรับทำอาหารด้วย
“ไอ้คนพวกนี้น่าจะจับโยนให้มอนสเตอร์กิน”
ดาเซสทำท่าไม่พอใจออกมาทันที ผมก็เห็นด้วยกับเธอนะ แต่มีปัญหากับพวกพ่อค้าไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย เพราะพวกนี้ต่างสังกัดกิลการค้า ถ้าเกิดทำอะไรคนของกิลนี้ ก็จะโดนแบนไม่ขายสินค้าให้ การที่ไม่สามารถเข้าถึงสินค้าได้เนี่ย ถือว่าเป็นเรื่องที่แย่เอามากๆ เพราะงั้นต้องเลี่ยงการใช้กำลังกับพ่อค้า
ผมเจรจาต่อรองราคาพื้นที่ จนได้ส่วนลดมานิดหน่อย แต่ราคาก็ยังแพงอยู่ดี โดยผมต้องเสียค่าเช่าต่อวัน 20,000 รีล ถ้าคิดตามหัวก็ตกคนละเกือบพันรีล ซึ่งเป็นราคาที่ใช้พักโรงแรมหรูได้ทั้งอาทิตย์เลย
แต่ถึงจะได้พื้นที่มาแล้ว ก็ได้เฉพาะพื้นที่ตั้งเต็นท์เท่านั้น แต่ไม่มีที่สำหรับทำอาหาร วันนี้ผมเลยต้องใช้อาหารที่ทำไว้สำรองออกมากินกันไปก่อน
และยิ่งนานไปสถานการณ์ก็ยิ่งแย่ลง เพราะพวกตัวผู้วนเวียนมามองพวกสาวๆ และยังร้องแซว จนพวกสาวๆ เกือบนอตหลุดไปหลายหน ผมเองก็ด้วยล่ะ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีพวกทรามตะโกนถามฟรานว่าซั่มทีคิดเท่าไร ผมเห็นทันทีเลยว่าเงาของฟรานสั่นวูบ เรโมริก้าเองก็คงโกรธจนเกือบหลุดเหมือนกัน
ยิ่งตกกลางคืน อัตราที่พวกเสี่ยนๆ จะโผล่มาก็ยิ่งเยอะ แม้แต่อาเดไลท์ที่ดูใจเย็นยังของขึ้น สภาพจิตใจของสาวๆ ไม่ดีเลย เป็นมลภาวะทางจิตใจชัดๆ ผมเลยเรียกประชุมทันที
“พวกเราจะออกล่ากันคืนนี้เลย แล้วพอพรุ่งนี้เช้า พวกเราจะย้ายไปชั้น 11 กัน”
“เอ๋!?”
เสียงอุทานมีหลากหลายอารมณ์ พวกโบสถ์ใหญ่ค่อนข้างตกใจ ที่จะไปถึงชั้น 11 ซึ่งมันเลยจากที่ทำสัญญากันไว้ และมันอันตรายมาก ส่วนพวกสาวๆ นี้ร้องด้วยความดีใจกัน โดยเฉพาะจะได้ออกไประบายความเครียด
ผมเลยให้เจ้าโฮ่งเฝ้าเต็นท์ไว้ โดยที่ทุกคนจะออกไปพร้อมกัน ผมสั่งเจ้าโฮ่งไว้แบบเด็ดขาด ว่าถ้ามีใครก้าว
เท้าเลยเส้นเข้ามา ให้งับได้เลย จะเอาให้พิการหรือสูญพันธุ์ก็ได้ แต่ไม่ต้องให้ถึงตาย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าเห็นจ้องหมาสามหัวตัวนี้ฉีกยิ้มล่ะ
เพื่อกันเหนียวผมเอาหีบสมบัติกับดักออกมาวางไว้ในเต็นท์ด้วย แถมยังเป็นอันที่เอามาจากปราสาทจอมมาร ข้างในจะเป็นกับดักแบบไหนผมก็ไม่รู้ แถมใช้มองทะลุแล้วข้างในก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไร แต่มุเอมะรับประกันว่าเป็นหีบสมบัติกับดักแน่ๆ
พอเริ่มออกล่า พวกผมก็ต้องพากันถอนหายใจ เพราะคนเต็มไปหมด แทบจะแย่งมอนสเตอร์กันเลย ถึงกับมีการเฝ้าจุดเกิดของมอนสเตอร์เอาไว้ แบบนี้กลุ่มผมใช้วิธีล่าความเร็วสูงแบบปกติไม่ได้แน่
“ปกติเยอะแบบนี้เลยเหรอ”
ผมหันไปถามมอเรียขณะเดินหามอนสเตอร์กัน ซึ่งเดินมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังไม่ได้ฆ่าตัวอะไรสักตัวเลย
“นี้เยอะกว่าปกติมากค่ะ คงเพราะเควสเก็บเลเวลของพวกอาร์คบิชอป ทำให้พื้นที่ล่าของชั้น 11-12 ถูกแย่งไปหมด พวกที่เก็บเลเวลชั้นนั้นเป็นประจำ เลยย้ายมาที่นี้แทนค่ะ”
แบบนี้เอง จะโทษพวกนักผจญภัยไม่ได้หรอก ต้องโทษยัยอาร์คบิชอปไปเต็มๆ แล้วนี้ถ้าย้ายไปชั้น 11 ก็ต้องไปแย่งพื้นที่ล่ากับยัยอาร์คบิชอปนั้นอีก
เอาไว้ไปดูสถานการณ์ก่อน ถ้าเกิดขอแบ่งพื้นที่ล่าไม่ได้ ผมคงต้องไปลองที่ชั้น 13 ดู
ผมคิดพลางมองไปที่ทะเล ที่นี้บรรยากาศระหว่างพื้นดินกับทะเลต่างกัน อย่างกับอยู่กันคนละโลกเลย
และขณะที่ผมมองออกไป ก็เห็นเงาอะไรบางอย่าง ถึงจะเห็นไม่ชัดเพราะมันอยู่ไกล แต่ผมมั่นใจว่ามันต้องเป็นตัวอะไรสักอย่างแน่ๆ เพราะมันกำลังเคลื่อนไหวอยู่
“นั้นมันตัวอะไรเหรอ!”
ผมรีบชี้ไปที่เงานั้น พอทุกคนหันไปมองตาม เป็นดาเซสที่แย่งมอเรียอธิบายแทน คงเพราะมีอะไรผมก็เอาแต่ถามมอเรียล่ะมั่ง เธอเลยอยากทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง
“พวกโทรล เป็นมอนสเตอร์เจ้าถิ่น จริงๆ มีอยู่เยอะกว่านี้ แต่จะอยู่ลึกเข้าไปในทะเล และจะหลับอยู่ใต้นํ้า เจ้าตัวนี้อาจจะมาหาอะไรกินก็ได้”
“เดี๋ยวสิ โทรลปกติสูงแค่ 2-3 เมตร มีขนเต็มตัวและอ้วนน่าเกลียดไม่ใช่เหรอ”
“นั่นเป็นโทรลถํ้าค่ะท่านโรมะ แต่ที่เห็นนั้นเป็นโทรลทะเล”
เมื่อดาเซสไม่รู้จะอธิบายอย่างไง สุดท้ายมอเรียเลยต้องอธิบายให้ตามเคย
“นอกจากนี้ยังมีโทรลสายพันธุ์อื่นๆ อีก รวมแล้วๆ น่าจะมีมากกว่าห้าสายพันธุ์ค่ะ”
“โห! พึ่งรู้นะเนี่ย”
“ปกติแล้ว นักผจญภัยจะเลี่ยงการต่อสู้กับโทรลค่ะ เลยไม่ค่อยมีข้อมูลหรือเป็นที่พูดถึงกัน นักผจญภัยก็มีที่ไม่รู้อยู่เยอะเหมือนกัน แค่มีเตือนๆ กันไว้ประมาณว่า ถ้าเจอโทรลให้วิ่งหนีได้เลย”
“เก่งเหรอ?”
“ค่ะ ถึงจะดูเชื่องๆ แต่อันตรายมาก ยิ่งถ้าเป็นโทรลถํ้ากับโทรลภูเขา ขึ้นชื่อว่ามันบ้ากามยิ่งกว่าพวกออร์คซะอีก”
ผมเข้าใจเลยว่ามอเรียจะสื่ออะไร พวกมอนสเตอร์ที่ชอบจับตัวเหยื่อไปข่มขืน จะต้องมีฝีมือมากถึงจะสามารถจับเหยื่อไปแบบเป็นๆ ได้
“ส่วนโทรลทะเลเพราะมันสูงถึง 20-30 เมตรทำให้โจมตีมันไม่ได้เลย”
เดี๋ยวๆๆ ไอ้เงานั้นสูงขนาดนั้นเลยเหรอ! เพราะระยะทางมันลอกตาแน่ๆ แถมผมยังลืมคำนวณส่วนที่จมนํ้าอยู่อีก เป็นโคตรยักษ์เลยนี่น่า เอ่อ จะว่าไปพวกโทรลก็จัดอยู่ในสายพันธุ์เดียวกับยักษ์นี่น่า
ผมหันไปมองสองพี่น้องโรสลินอย่างครุ่นคิด เพราะถึงจะเป็นยักษ์เหมือนกัน แต่ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย
แต่ว่า…ถ้านั้นเป็นมอนสเตอร์ก็แปลว่าต้องล่าได้สิ
“ท่านโรมะอย่าคิดจะไปล่าในทะเลเชี่ยวนะคะ”
อึก! นี้แค่มองหน้าผมก็รู้เลยเหรอ! จะน่ากลัวไปแล้วครับคุณมอเรีย
“ถึงโทรลจะเป็นเจ้าถิ่น แต่ในทะเลยังมีบอสที่เป็นราชาปกครองทะเลอยู่อีกนะคะ”
“บอส!”
“ค่ะ ถึงจะยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่เคยมีคนเห็นมังกรในทะเลค่ะ”
มังกร…แบบเดียวกับดราเกียและเจ้าหญิงโช เผ่าที่น่ากลัวเป็นอันดับต้นๆ ทั้งความเป็นอัตลักษณ์ที่หลากหลายเหมือนมนุษย์ และสติปัญญาที่สูงลํ้า พลังมา
น่าที่มหาศาล และยังความเป็นผู้นำที่จะดึงดูดมอนสเตอร์ให้มารวมกันได้
ว่ากันว่าลูกมังกรตอนเกิดมาก็มีเลเวล 50 และแค่นอนดูดมาน่าในอากาศเฉยๆ ก็เพิ่มเลเวลตัวเองได้แล้ว ในอดีตที่เผ่ามังกรยังไม่ยอมเข้าเป็นพวกเผ่าปีศาจ ได้เกิดสงครามระหว่างเผ่ามังกรและเผ่าปีศาจ สงครามครั้งนั้นถึงชัยชนะเป็นของจอมมารรุ่นสอง แต่เผ่าปีศาจก็บาดเจ็บและตายไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงจอมมารเองก็แทบจะหมดสภาพ จนถูกผู้กล้าในยุคนั้นสังหารเอาอย่างง่ายๆ
แต่เผ่ามังกรก็ผ่านยุคที่เลวร้ายมาเหมือนกัน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดันเจี้ยนถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดภาวะมาน่าเป็นพิษรัวไหลไปในอากาศ เผ่าพันธุ์ที่รับผลไปมากที่สุดก็คือมังกร ที่ดูดกินมาน่าเป็นอาหารหลัก กว่า
70% ป่วยและค่อยๆ ตายไป ส่วนที่รอดมาได้เกือบทั้งหมดก็กลายเป็นหมัน อัตราการเกิดของเผ่ามังกรตํ่าลงเรื่อยๆ จนทุกวันนี้เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนน้อย และส่วนใหญ่เป็นมังกรอาวุโสทั้งนั้น
สรุปเลยก็คือ ถ้ามีมังกรอยู่ในทะเล เลเวลมันต้อง 100+ หรืออาจจะแย่ถึงขั้นเป็นระดับเดียวกับดราเกียหรือเจ้าหญิงโชเลย
แต่ว่าผมตัดสินใจที่จะลุยแล้ว
“ทุกคน ผมว่าผมเจอแหล่งฟาร์มดีๆ แล้วล่ะ”
มอเรียส่ายหน้าทันที เพราะยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ แต่ผมไม่ได้ดื้อเลยนะจริงๆ เพียงแค่ผมมองเห็นลู่ทาง แถมยังคิดแผนออกมาได้แล้ว
“มีแผนสินะ”
อาเดไลท์ผู้เข้าใจผมดียิ่งกว่าตัวเองยิ้มขึ้นมา
“มีแน่ๆ”
ยูรินเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับอาเดไลท์
“แผนบ้าๆ”
ถึงซาคุยะจะบ่น แต่ก็ยืนรอฟังอย่างตั้งใจ
“มีใครอยากจะกลับไปนอนไหม”
ผมหันไปถามเผื่อจะมีคนค้าน แน่นอนว่าบางคนมีอาการกลัวอยู่ เช่นราก้าที่พึ่งเข้าร่วมกลุ่มผมได้ไม่นาน พวกโบสถ์ใหญ่เองก็กลัวเหมือนกัน แต่ว่าก็เห็นมาแล้ว ขนาดเปิดสงครามกับอานูบิส ผมยังพาทุกคนรอดมาได้ นั่นได้สร้างความเชื่อมั่นในตัวผมขึ้นมา จนทุกคนยอมตามไปแม้จะอันตรายแค่ไหนก็ตาม
แต่แผนของผมคราวนี้ ความเสี่ยงตํ่ากว่าตอนเจออานูบิสซะอีก เพราะหลักการทำฟาร์มของผมก็คือ ออกแรงน้อย ปลอดภัย และได้ผลตอบแทนที่สูง
ผมใช้ Wall ออกมาเป็นแท่นไว้เหยียบเหนือนํ้า และสร้างต่อๆ กันไป จนลึกเข้าไปในทะเล ยิ่งเข้ามาใกล้ก็ยิ่งเห็นว่าโทรลทะเลมันตัวสูงจริงๆ แต่มันผอมมาก แขนมันเหมือนกิ่งไม้แห้งๆ แต่ดูมีพลัง
“ตรงนี้น่าจะได้”
ผมอยู่ห่างจากโทรลประมาณ 100 เมตร แต่จากตรงนี้ผมก็ต้องเงยหน้ามองดูมัน อย่างกับกำลังมองดูตึกสูง มันสังเกตเห็นผมแล้ว ระยะแค่ 100 เมตรเนี่ย เพียงแค่ไม่กี่ก้าวของมันก็มาถึงผมแล้ว
“ลองเอาแค่สุกแต่ไม่ต้องเปื่อยก่อนล่ะกัน”
ผมยื่นมือออกไปเหนือพื้นนํ้า และใช้สกิลออกมา สกิลอะไรน่ะเหรอ ก็เป็นสกิลที่ผมถนัดที่สุดและใช้มันอยู่ทุกวัน สกิลทำอาหารของพ่อบ้านสมบูรณ์แบบไงล่ะ
นํ้าทะเลถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นนํ้าเดือดก่อนที่จะทันรู้ตัวโทรลก็ลงไปนอนดิ้นในนํ้าเดือดแล้ว แถมยังมีตัวที่หลับอยู่ใต้นํ้า พากันโดดเด้งขึ้นมาเป็นปลา แต่มันไม่มีทางหนีพ้นไปจากทะเลนํ้าเดือดนี้ได้หรอก นอกเสียจากจะบินได้ล่ะนะ
แต่นี้มันยิ่งกว่าที่ผมคิดไว้ซะ ทีแรกกะไว้เต็มที่ก็คงไม่กี่ร้อยเมตร แต่นี้เล่นเปลี่ยนทั้งทะเลให้เป็นนํ้าเดือดได้เลย โดยใช้มาน่าเท่าเดิม ไม่ต่างจากตอนทำซุปหม้อหนึ่งเลยผมลืมไปเลยว่านี้คือสกิลโกงของผู้กล้า ถึงจะเป็นสกิลอำนวยความสะดวก แต่ก็เป็นสกิลของผู้กล้าเชี่ยวนะ อย่างไงก็มีวิธีใช้โกงๆ แบบนี้อยู่
ใช่ ที่ใช้ไปก็แค่สกิลหนึ่งที่ใช้ทำอาหารเป็นประจำ สกิลต้มนํ้า แถมไม่ใช่ต้มแบบค่อยๆ ทำให้นํ้าร้อนขึ้นนะ แต่มันคือการปรับอุณหภูมิจาก 0 ไปถึง 100 ได้ในทันที และนํ้าถือเป็นออฟเจคที่นับเป็นไอเท็มล่ะ เลยใช้สกิลทำแบบนี้ได้ มันไม่ได้เป็นการใช้เพื่อการโจมตี แต่เจ้าโทรลมันมาอยู่ในหม้อที่ผมกำลังต้มนํ้าอยู่เองต่างหาก
“ถึกดีแฮะ แค่นํ้าเดือดนี้แค่ทำให้เต้นพล่านเท่านั้นเอง”
ผมตรวจสอบดูหลอด Hp ของโทรลกำลังลดลงเรื่อยๆ ด้วยความเร็วที่มากกว่าการติดพิษซะอีก ทิ้งไว้สักพักมันก็จะสุก และก็จะตายกันไปเอง แต่ผมอยากรู้ว่าถ้าเร่งความร้อนให้มากขึ้นล่ะ จะฆ่าพวกมันได้เลยไหม เลยทำการเร่งไฟขึ้นอีก
ได้ผลทันตาเห็นพวกโทรลหยุดเต้นเร้าๆ เพราะนํ้าทะเลร้อนจนระเหยอย่างรวดเร็ว ดีที่นี้เป็นนํ้าจืด ถ้าเป็นนํ้าทะเลคงได้เห็นอะไรสนุกกว่านี้ เพราะในทะเลถ้าปริมาณนํ้าลดลง ความหนาแน่นของเกลือก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำพามาถึงผลลัพธ์ต่างๆ ที่ไม่น่าแฮปปี้ของฝ่ายที่กำลังโดนต้มเลย
สรุปแล้ว ถ้าเป็นศัตรูที่อยู่ในนํ้า ดูเหมือนผมจะฆ่าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยแฮะ แถมเป็นฆ่าแบบสังหารหมู่ในครั้งเดียวด้วย แต่พอเห็นชัยชนะอยู่ตรงหน้า ก็ทำให้ผมประมาท…อีกแล้ว เหมือนตอนที่โดนซาลาดินเล่นงานเลย
ขณะมองดูความสำเร็จด้วยความหยิ่งผยอง ผมก็โดนบางสิ่งพุ่งขึ้นมาจากนํ้า และเข้าโจมตีในจุดอับ ไม่สิ ถึงจะเห็นก่อนก็ตั้งรับไม่ไหวอยู่ดี ก็อีกฝ่ายนะ…คือมังกร
ผมโดนมันงับทีเดียวก็ตัวขาดครึ่งเลย ร่างกายที่เหลือเพียงแค่ท่อนบนเหนือช่วงอกขึ้นไป กระเด็นตกลงไปในนํ้า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนผมไม่ทันเห็นตัวมังกรที่โจมตีชัดๆ เลย หันไปก็เห็นแต่เขี้ยวแหลมๆ มันเต็มหน้าแล้ว
แค่งับครั้งเดียว Hp ของผมก็หมดหลอดทันที ไม่ใช่ค่อยๆ ลดลง แต่ทีเดียวหายไปหมดเลย ฉากนี้คงทำให้สาวๆ ช็อคน่าดู แต่ผมที่กำลังจะตายกลับรู้สึกว่าชิ้วสุดๆ
เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็ถึงตายไป ผมก็จะกลับไปอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ตามกฎใหม่ของอานูบิสไงล่ะ แต่ผมว่ามีโอกาสสูงที่มิรินจะลงมาช่วยผม และกรอกยาคืนชีพให้ทันก่อนผมจะถูกย้ายร่างไป ถ้าแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินมาจากชั้น 1 ใหม่
ทว่ามันกลับเกิดสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของผม เพราะทันทีที่ Hp หมดลง ตัวผมก็ถูกบังคับเข้าสู่สถานะจอมมารทันที
แย่แล้ว!
เพราะจู่ๆ ก็เกิดขึ้น ทำให้ผมต้องรีบใช้สกิลอำพรางออกไป แต่กว่าจะใช้ก็หลายวินาทีหลังการแปลงร่างแล้ว ไม่รู้มีคนที่จับสัมผัสของจอมมารได้หรือเปล่า ตอนนี้ในหัวผมคิดแต่งเรื่องที่จะไว้ใช้แถ มากกว่าการจะเอาอย่างไงดีกับเจ้ามังกร
แต่ถือเป็นข้อมูลสำคัญมาก! ถ้าผมอยู่ในสถานะของโรมะ ทันทีที่ตาย ผมจะกลับสู่สถานะจอมมาร สิ่งที่ควรดีใจผมกลับไม่ดีใจเลย ถึงจะมองได้ว่าผมสามารถคงสภาพเหมือนอมตะ แต่ความจริงก็คือจุดยืนของผมยิ่งเปราะบางกว่าเดิม
แทนที่จะล่าได้แบบสบายใจไร้กังวล ด้วยกฎใหม่ที่แสนสบายของอานูบิส กลับต้องยิ่งระวังมากกว่าเดิมซะอีก เพราะถ้าผมตายต่อหน้าคนอื่น ความลับเรื่องจอมมารของผมก็จะแตกทันที ครั้งนี้ถือว่าโชคดีสุดๆ เทียบได้กับการใช้โชคทั้งหมดไปในครั้งเดียวเลย ที่ผมตกลงนํ้ามาก่อนจะคืนร่าง เลยยังพอทำให้แถได้อยู่
แถมยังกลับร่างเดิมไม่ได้แฮะ ดูเหมือนพอตายแล้วจะต้องรอเวลาเพื่อฟื้น Hp เองระยะหนึ่ง ตอนนี้เลยต้องคงสภาพจอมมารไปก่อน
ขณะที่กำลังเก็บข้อมูลสำคัญนี้อยู่ นํ้าทะเลก็แหวกออกด้วยเวทมนต์ของมิริน สีหน้าเธอดูวิตกมาก แต่พอเห็นผมยังอยู่ดี เธอก็ถอดหายใจโล่งอกออกมา และรีบบอกทุกคนว่าผมปลอดภัยดี
ผมรีบกลับขึ้นมาบนฝัง โดยไม่เผลอเคลื่อนไหวตัวให้ผิดสังเกต แต่ก่อนจะเริ่มมหกรรมการแถขูดสีข้างให้แหก ผมก็บอกให้มอเรียหยิบเอามีดมังกรสมุทรออกมา
แทบจะในทันทีทันใด มังกรก็พุ่งขึ้นมาจากนํ้าอีกรอบ แต่พอมันเห็นมีดมังกรสมุทร มันก็ทำหน้าเหยเกก่อนจะรีบเบี่ยงตัว จนตกกระแทกพื้นเสียงดัง
ผมใช้ตรวจสอบกับมันไปด้วย ตอนที่โดนเล่นงาน ทำให้รู้ว่ามันเป็นมังกรสายพันธุ์วารี ซึ่งโดนผลของสกิล Dragon-W Royal Symbol ที่เป็นสกิลติดอาวุธของมีดมังกรวารีเข้าไปเต็มๆ สกิลนี้ส่งผลให้มังกรวารีต้องเชื่อฟังผู้ถืออาวุธ
“มอเรีย ลองสั่งให้มันกลิ้งสิ”
ผมมองดูมังกรที่มีกระดองเหมือนเต่า แต่มีหางและคอที่ยาว ใบหน้านี้น่ากลัวสมเป็นมังกรจริงๆ
“กลิ้ง!”
พอมอเรียสั่ง มังกรต้องทำตามอย่างขัดขืนไม่ได้ และพอมันหงายท้องลงไป ก็ได้แต่ดิ้นกระแด๋วๆ เพราะกระดองของมันเลยทำให้พลิกตัวไม่ได้ไงล่ะ ผมเห็นแล้วล่ะเลยอยากจะลองดู งานนี้เลยได้ขำกลิ้งกันเลย ผมเหลือบมองดูพวกสาวๆ ดีที่พวกเธอขำออก คงทำให้ลืมภาพที่ผมโดนงับตัวขาดตะกี้ไปได้หน่อย
จากนั้นผมก็นึกอะไรออก เลยใช้ Wall สร้างแท่นยกสูงเหนือทะเลขึ้นมา และทำการย้ายเต็นท์ไปไว้ที่นั้น เท่านี้ก็สะลัดพวกเงี่ยนลงกระปู๋ได้แล้วแต่ตอนที่เก็บเต็นท์ พวกผมก็พบแขนคนตกอยู่ข้างหีบ แถมกล่องสมบัติขยับกุกๆ พร้อมกับส่งเสียงเรอออกมา
นี้มันหีบมอนสเตอร์นี่น่า เอาของน่ากลัวมาจนได้เรา แต่เพื่อไม่ให้มีหลักฐานเหลือ ผมเลยโยนแขนที่ตกอยู่ให้
มันกินไปด้วย หีบมอนสเตอร์เปิดฝาหีบออก จนเห็นฟันแหลมเรียงกันเป็นตับ และกระโดดงับแขนราวกับสุนัข พอมันกินอิ่มแล้ว ผมก็รีบเก็บมันไปทันที อันตรายจริงๆ คงต้องเอาไปคืนมุเอมะซะแล้ว
หลังจากย้ายที่ตั้งค่ายแล้ว ผมก็ให้มอเรียใช้มังกรเต่าเก็บไอเท็มดรอปที่ตกอยู่ในนํ้าขึ้นมาให้ด้วย แน่นอนมันไม่พอใจสุดๆ ผมเลยตกลงให้มาน่าคริสตัลแค่มันส่วนหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยน เพราะอย่างไงมังกรก็กินมาน่าเป็นอาหารหลักอยู่แล้ว มังกรเลยพอยอมรับขึ้นได้ระดับหนึ่ง
มีพวกนักผจญภัยที่คิดจะลงนํ้าไปแย่งเอาไอเท็มมาเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีผล เพราะมังกรเต่าจะตามขยํ้าทั้งคนทั้งเรือ พวกที่คิดจะมาบุกแท่นกลางนํ้าของพวกผมก็โดนด้วย ถือเป็นอาหารว่างไป และอย่างไงก็เป็นการถูกฆ่า
โดยมอนสเตอร์ เดี๋ยวพวกมันก็กลับไปฟื้นที่ชั้น 1 กัน แถมยังได้ช่วยกระจายข่าว เรื่องกฎใหม่ของดันเจี้ยนให้ข้างนอกรู้กันด้วย
ส่วนเรื่องแท่นกลางทะเล ผมก็ไม่ได้ห้ามคนอื่นเลียนแบบหรอก จริงๆ เวท Wall ก็ไม่ใช่อะไรที่หายากสักหน่อย เป็นเวทดินระดับ 1 เท่านั้น แต่เป็นเวทที่โดนมองข้ามมาโดยตลอด คนที่มีเวทนี้เลยมีจำนวนน้อยมาก ถึงขั้นที่ว่าบางคนยังลืมไปแล้วเลยด้วยซํ้า ว่าตัวเองก็มีเวทนี้อยู่เหมือนกัน
ทว่าการตั้งแท่นกลางทะเล ก็หมายความว่าจะต้องดูแลตัวเองด้วย เพราะมังกรเต่าไม่ได้เป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ นะ ตรงกันข้ามมันโคตรดุเลย แบบเป็นโจมตีก่อนคุยทีหลัง ทำตัวไม่สมเป็นเผ่าที่ทรงปัญญาเลยสักนิด พวกที่คิดจะมาตั้งแท่นเลยโดนมังกรเต่าเขมือบไปหมด
พวกผมเลยได้อยู่กันแบบไม่มีอะไรมารบกวน แถมผมยังครองจุดฟาร์มในทะเลนํ้าจืดแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว มอนสเตอร์ใช้เวลาสองชั่วโมงในการคืนชีพ ผมจึงมีเวลาว่างเหลือเฟือตอนที่รอ เลยได้ใช้เวลานี้ทำการปรนเปรอความใคร่พวกสาวๆ จนหายอยาก
แต่ตอนทำกับฟรานค่อนข้างอึดอัดแฮะ เพราะเรโมริก้าดูอยู่ในเงาด้วย ผมเห็นสายตาที่มองออกมาได้อย่างชัดเจนเลย ยังดีที่เธอไม่กระโจนออกมาฉีกผมเป็นชิ้นๆ แต่ฟรานก็เอาเรื่องเหมือนกัน ขนาดรู้ทั้งรู้ ยังกล้าทำต่อหน้าแม่ตัวเองแบบนี้
ตอนที่ออกมาต้มนํ้าทำฟาร์มรอบสอง ผมก็เจอซีเอ้กับเนปฟ่าที่มานั่งเฝ้ายามให้ ยังดีที่ค่าความหื่นของทั้งคู่ยังอยู่ตัวดี เพราะผมให้มิรินใช้เวทเก็บเสียงกับเต็นท์ของผมไว้ ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าพวกผมทำอะไรกัน
ส่วนราก้าเองก็มาด้อมๆ มองๆ แต่ไม่กล้าเข้ามาร่วมวงด้วย
และหลังจากผมต้มสุกพวกมอนสเตอร์ในทะเลรอบสอง พวกโบสถ์ใหญ่ก็รีบวิ่งออกมาจากเต็นท์ และร้องบอกผมด้วยความดีใจ เพราะตอนนี้ทุกคนเลเวล 30 กันหมดแล้ว ซึ่งได้ตามเป้าเลยทั้งๆ ที่เหลือเวลาอีกตั้งหลายวัน ผมเองก็ได้มาหลายเลเวลเหมือนกัน
แถมผมยังคิดจะปักหลักอยู่ที่นี้ยาวๆ ไปเลย เพราะมอนสเตอร์ในทะเลแห่งนี้ เลเวลสูงกว่ามอนสเตอร์ในชั้น 12 ซะอีก แต่ให้นั่งดูด Exp กันแบบนี้เดี๋ยวฝีมือทื่อกันพอดี ผมเลยกะจะให้ดอเรียกับมิรินเป็นครูฝึกเพื่อฝึกซ้อมให้ แต่วันนี้ดึกมากแล้ว ผมเลยให้ทุกคนพักผ่อนก่อน
แต่จะว่าไปก็คงจะปักหลักยาวๆ ไม่ได้ เพราะตอนนี้สายตาจากบนฝังได้มองพวกผมเป็นศัตรูไปแล้ว เนี่ยล่ะ
นะนิสัยมนุษย์ ชอบอิจฉาคนอื่นในสิ่งที่ตัวเองไม่มีหรือทำไม่ได้ ไม่รู้เหรอว่าตัวเองกำลังเอาเวลาแสนสำคัญมาใช้กับเรื่องไร้สาระแค่ไหน ถ้าเป็นผมนะ ขนาดมีเวลาว่างมานั่งอิจฉาคนอื่นแบบนี้ สู้เอาเวลามาคิดหาวิธีเก็บเลเวลดีกว่า
ขณะที่นั่งตรวจสอบนับไอเท็มที่มังกรเต่าเก็บมาให้ และแยกมาน่าคริสตัลให้มันต่างหาก ผมก็นึกได้ว่าตัวเองลืมอะไรบางอย่างไป แถมก่อนจะถึงเวลาต้มนํ้ารอบต่อไป ยังมีเวลาอยู่อีกพอสมควร ผมเลยให้เจ้าโฮ่งมาเฝ้ายาม และกลับไปยังปราสาทจอมมารอีกครั้ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...