ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 90 - 92 By Kumao






ตอนที่ 90 เทพแห่งความตายปรากฏตัว

“ไม่ไหวแน่ๆ ค่ะ”
มอเรียตอบทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
“แม้แต่เรโมริก้าที่มีเลเวล 120 ก็ไม่ไหวเหรอ”
“ท่านโรมะไม่เคยสู้กับกองทัพอันเดดที่เป็นโครงกระดูกมาก่อนใช่ไหมคะ”
“อืม ไม่เคยเจอเลย”
จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นพวกอันเดดโครงกระดูกที่ปราสาทจอมมารเลยแฮะ
“อันเดดโครงกระดูกเป็นมอนสเตอร์ที่ฆ่าไม่ตายค่ะ”
“ฆ่าไม่ตาย?”
“ค่ะ ฆ่าไม่ตาย แม้จะทุบทำลายมันไป แต่มันก็จะประกอบร่างและลุกกลับขึ้นมาได้ใหม่ แม้แต่เวทชำระล้างวิญญาณก็ใช้กับมันไม่ได้ผล เพราะกระดูกที่วิญญาณสิงร่างอยู่ จะเป็นเหมือนเกราะป้องกันจากเวทสายชำระล้าง และเพราะมันไม่มีเลือดเนื้อจิตใจ เผ่าแวมไพร์เลยทำอะไรพวกโครงกระดูกไม่ได้”
“พอไม่มีจิตใจเลยใช้ Mind control ไม่ได้สินะ อืม เป็นตัวที่รับมือยากจริงๆ แล้วปกติจะทำอย่างไงกับพวกมันเหรอ”
“ต้องใช้คนเยอะๆ แล้วรุมจัดการมัน ไม่ให้มีเวลาลุกกลับขึ้นมาใหม่ได้ค่ะ เพราะโครงกระดูกเป็น
มอนสเตอร์ที่มีเลเวลค่อนข้างตํ่า มีเลเวลแค่ 19-20 ที่น่ากลัวคือปริมาณกับความเป็นอมตะของมันเท่านั้น และพอหยุดโครงกระดูกได้ ที่เหลือก็แค่เข้าไปจัดการคนชักใยพวกมันอย่างเนโครแมนเซอร์ ก็จะชนะง่ายๆ แล้ว เพราะเนโครแมนเซอร์ที่ไม่มีกองทัพอันเดดคอยช่วย ไม่ต่างอะไรกับไก่ลาสเตอร์เลย”
ถ้าเป็นอย่างที่มอเรียว่า ก็รับมือลำบากจริงๆ เพราะทางพวกผมมีคนน้อย ไม่พอปะทะกับกองทัพอันเดดหรอก แถมไพ่ตายอย่างเรโมริก้า ยังมาแพ้ทางพวกโครงกระดูกอีก
“เอาไงดีนายท่าน”
ดาเซสหันมารอฟังคำสั่ง เพราะเธอรู้ว่าผมไม่อยู่เฉยแน่
“ในเมื่อสู้ไม่ได้ก็ถอย พวกเราจะย้ายไปปักหลักที่ทางลงระหว่างชั้น 9 หรือบางทีอาจจะต้องย้ายไปเก็บเลเวลที่ชั้น 9 แทนเลยก็ได้ มอเรียไปตามเดเม่มาทำมื้อเย็นแทนผมที ส่วนดาเซสเธอไปตามมิรินมา พวกเราจะไปสำรวจทางลงชั้น9 กันตอนนี้เลย”
ผมให้มอเรียอธิบายสถานการณ์ให้ทุกคนฟังด้วย แต่ก็กำชับไว้ว่าอย่าทำให้แตกตื่น พวกสาวๆ ผมไม่ห่วงหรอก เพราะพวกเธอจิตใจเข้มแข็งและเชื่อมั่นในตัวผม แต่พวกโบสถ์ใหญ่เนี่ยสิ มีแนวโน้มสติแตกสูงมาก ผมเลยให้ดอเรียทำการเฝ้าระวังเอาไว้ด้วย
ส่วนพวกผมสามคน รีบรุดหน้าไปยังทางลง ซึ่งห่างจากจุดตั้งค่ายพักเดินไปประมาณยี่สิบนาที แต่พวกผมวิ่งกันมาเลยมาถึงได้ในเวลาแค่สิบนาที
“นี้มัน!”
ผมตกใจจนอ้าปากค้าง เพราะตรงที่ควรจะเป็นอุโมงค์ทางเดินลง กลับกลายเป็นกำแพงหิน ผมลองเปิดเรดาร์ดู ก็ยังเห็นทางลงแสดงอยู่ในแผนที่ตามปกติ แต่พอใช้มองทะลุกลับไม่สามารถมองทะลุได้
“มิรินลองใช้เวทยิงถล่มใส่ที”
ผมชี้จุดที่เคยเป็นทางลง แล้วให้มิรินใช้เวทยิงใส่ มิรินใช้เวทได้ถึงระดับ 3 ซึ่งถือว่ามีความรุนแรงมาก ระดับที่ทำลายหมู่บ้านเล็กๆ ได้ในครั้งเดียวเลย แต่ถึงจะแรงขนาดนั้น แต่หินกลับไม่มีแม้แต่รอยแตก ดาเซสลองใช้ดาบฟันดูบ้าง ซึ่งก็ได้ผลแบบเดียวกัน
“แบบนี้น่าจะเป็นเวทมนต์สายผนึกแล้วล่ะค่ะ”
มิรินบอกออกมาขณะสำรวจไปตามกำแพงหิน
“พอจะมีวิธีทำลายไหม”
“ปกติแล้ว เวทสายผนึกจะต้องให้ผู้ใช้ยกเลิกเอง หรือไม่ก็กำจัดตัวผู้ใช้ไป มันถึงจะหายไปค่ะ”
“ยุ่งยากแล้วสิ”
“เดี๋ยวก่อนนายท่าน แบบนี้มันแปลกนะ ก็เนโครแมนเซอร์มันใช้เวทสายผนึกไม่ได้นี่น่า”
“…”
“นายท่าน?”
ดาเซสเห็นผมยืนนิ่งไป แต่เพราะผมกำลังใช้ความคิดอยู่น่ะ
“…นี้ พวกเธอว่ามันคุ้นๆ ไหม สภาพทางเข้าออกถูกปิดตายแบบนี้เนี่ย”
“จะว่าไป…”
มิรินเหมือนจะพอนึกขึ้นได้ลางๆ แล้ว
“ใช่ แบบนี้มัน…”
ดาเซสเองก็เหมือนกัน เพราะเธอเคยเกือบตายเพราะสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว
“อืม มันเหมือนสภาพห้องของบอสเลยไม่ใช่เหรอ”
“แต่ Mini Boss ไม่สามารถสร้างห้องปิดตายได้นะคะ!”
“…งั้นที่พวกเรากำลังจะเจอคงไม่ใช่เนโครแมนเซอร์แล้วล่ะ”
ใช่แล้ว ข้อสรุปของผมชี้ไปในทางเดียวกัน นั้นก็คือ ในชั้น 8 ตอนนี้มีบอสกำลังปรากฏตัวอยู่ แต่มัน
ต้องเก่งมากแน่ๆ ขนาดเปลี่ยนทั้งชั้นให้กลายเป็นห้องของตัวเองได้เนี่ย
สีหน้าของดาเซสกับมิรินเปลี่ยนไปทันที เพราะแค่เนโครแมนเซอร์ก็รับมือยากแล้ว นี้ยังเจอระดับที่สูงขึ้นไปอีก ไม่แปลกที่ทั้งคู่ดูจะจิตตก
จุดที่ดันเจี้ยนลูปันมีความโหดค่อนข้างสูง เพราะช่วงห่างของเลเวลนั้นเอง ปกติแล้วดันเจี้ยนในแต่ละชั้นจะมีช่วงห่างของเลเวลแค่หนึ่ง ไม่เกินสอง แต่ที่ลูปันจะมีกระโดดข้ามของเลเวลให้เห็นทุกชั้นเลย กับที่นี้ตามปกติจะต้องปักหลักฟาร์มอยู่ชั้นเดิมเป็นเดือนๆ ถึงจะย้ายชั้นได้ที
ถึงบอสที่นี้จะไม่ค่อยมีชื่อเสียงนัก อย่างบอส Wererat King ที่ชั้น 5 กับ Lich ที่ชั้น 10 เป็นแค่บอสแค่ระดับล่างๆ ที่ไม่เก่งมาก แค่อาศัยนักผจญ
ภัยระดับเลเวลพอๆ กับบอส ปาร์ตี้เดียวก็ชนะได้แล้ว ต่างจากบอสดันเจี้ยนอื่นๆ ที่มีความโหดขนาดต้องยกทั้งกิลไปช่วยกันฆ่า หรือบางทีต้องเกณฑ์คนทั้งเมืองไปเลยก็ยังมี
แต่การที่ลูปันไม่มีบอสในระดับที่ว่า เพราะจนถึงตอนนี้ก็พึ่งลงกันไปได้แค่ชั้น 12 เลยไม่ใช่สิ่งการันตีได้ว่า ที่ลูปันจะไม่มีบอสที่โหดอยู่เลย
ผมรู้จักการทำงานของดันเจี้ยนดี และรู้ด้วยว่าบอสไม่จำเป็นต้องประจำที่ของตัวเองตลอดเวลา ดูอย่างดราเกียสิ ยังเดินพาผมเที่ยวชมดันเจี้ยนได้เลย แถมถ้าจำไม่ผิด มีบอกด้วยว่าบางทีก็มีแอบปลอมตัวขึ้นมาชั้นบนๆ เพื่อแก้เบื่อเหมือนกัน
ไม่แน่ว่าตอนนี้ที่ชั้น 8 อาจจะกลายเป็นพื้นที่แก้เบื่อของบอสชั้นล่างๆ ของลูปันไปแล้วก็ได้ แต่ตอนนี้รีบกลับไปเตรียมแผนรับมือดีกว่า
ผมรีบกลับมาที่ค่ายพัก แต่สถานการณ์กลับนิ่งเกินคาด เพราะนอกจากพวกโบสถ์ใหญ่จะไม่สติแตกแล้ว ยังอาสาช่วยกันเพิ่มกำลังเวรยามด้วย
“บอสเหรอ!”
พอผมเล่าที่เจอมาให้ฟัง และบอกข้อสันนิษฐานออกไป ทุกคนก็พากันทำหน้าเครียด และเข้าใจความเลวร้ายของสถานการณ์ดี แต่ฟรานกลับยกมือขึ้นถาม
“นายท่านคะ แค่กำจัดบอสก็จบเรื่องใช่ไหมคะ”
“เอ่อ มันก็ถูก แต่บอสเชี่ยวนะ แถมไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร เก่งขนาดไหน ไม่มีข้อมูลเลยสักอย่าง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าเป็นนายท่านล่ะก็ ต้องจัดการได้แน่นอน!”
ฟรานบอกอย่างมั่นใจด้วยดวงตาเป็นประกาย
“อย่าประเมินค่าผมไว้สู้นักสิ คราวนี้ถึงเป็นผมก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน”
ใช่ให้สู้ซึ่งๆ หน้า ผมไม่รู้จะสู้อย่างไงได้ แต่ถ้าลู่ทางสำหรับหนีล่ะก็ คิดไว้แล้วแต่ยังติดปัญหาอยู่ คือผมมีพวกโบสถ์ใหญ่ต้องดูแล ขืนแจกใบวาปร์ซึ่งเป็นความลับให้พวกนี้เห็น เรื่องคงไม่จบง่ายๆ
แต่ถึงจะบอกไปแบบนั้น แต่สายตาของทุกคนที่มองผม กลับเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น…ไม่ไหวแฮะ เจอจ้องแบบนี้แล้วจะให้พูดว่า ‘เผ่นกันเถอะ’ ได้อย่างไงล่ะ
“เข้าใจแล้วๆ ผมจะหาทางทำอะไรสักอย่างเอง ตอนนี้ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”
มื้อเย็นเดเม่เป็นคนทำ แต่เธอก็ทำได้ตามสูตรเปะๆ
ท่ามกลางสถานการณ์อันตราย ทุกคนก็ยังกินกันได้อย่างสนุกสนานอยู่ดี ไม่สิ บางคนแค่ได้กินก็ลืมเรื่องร้ายๆ ไปเลยต่างหาก
เนื้อซี่โครงขนาดอาเดไลท์ยังไม่เคยได้กินมาก่อน เพราะมันเป็นวัตถุดิบราคาแพงและหายาก ในวังเองยังเก็บมันไว้เป็นอาหารสำหรับโอกาสพิเศษเท่านั้น
แต่ผมว่าเนื้อซี่โครงถือเป็นวัตถุดิบระดับกลางๆ นะ เพราะใช้ทำเมนูได้ไม่เยอะ มีแต่ต้องเอามาย่างเนี่ยล่ะถึงจะอร่อยที่สุด
ส่วนพวกโบสถ์ใหญ่ไม่ต้องไปถามหรอก แค่อาหารดีๆ ของในเมือง ยังไม่มีโอกาสได้กินเลย ที่ดูดีมีสกุลและเคยกินของดีๆ มาก่อน ก็มีแค่กรอเรียที่เป็นลูกสาวขุนนางรํ่ารวย
เห็นว่าเพราะไม่อยากถูกจับแต่งงาน เลยหนีมาบวชซะเลย ส่วนนักบวชสาวที่อายุน้อยสุด ที่ชื่อมารินก็เป็นสาวใช้ของกรอเรียที่ตามมาดูแล ส่วนอัศวินเงียบๆ สองคนที่ชื่อ ซิก กับ ลอร์ สองคนนี้ก็เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว ถึงว่าทำไมพวกนี้ทำตามที่กรอเรียสั่งทุกอย่างเลย
แต่อาหารดีๆ ของกรอเรียที่ว่าเนี่ย เทียบกับอาหารของผมไม่ได้สักนิด
ดีที่ผมแบ่งเนื้อซี่โครงย่างไว้ให้เจ้าโฮ่งแล้ว ไม่งั้นมันคงอดกินแน่ เพราะทุกคนขอเติมจนเนื้อซี่โครงย่างหมดในพริบตา
ส่วนของหวานทุกคนเรียกหาพุดดิ้งกันอย่างพร้อมเพรียง แต่อย่างที่บอกไปแล้ว ผมจะให้กินแค่วันละครั้งเท่านั้น ของหวานมื้อนี้ผมเลยทำเยลลี่ให้กินกันแทน และพอได้กินก็ไม่มีใครบ่นอะไรอีก แถมยังทำหน้าเหมือนตัดสินใจยาก ว่าชอบพุดดิ้งหรือเยลลี่มากกว่ากัน
แต่ช่วงเวลาของความสุขของมื้ออาหารก็ต้องจบลงเร็วกว่าปกติ เพราะตอนนี้เรดาร์ผมร้องเตือนขึ้นมาแล้ว
“พวกเราโดนล้อมแล้ว!”
ผมบอกพร้อมกับรีบลุกออกไปดู ส่วนดาเซสก็รู้งาน นำอีกกลุ่มหนึ่งไปเฝ้าที่ทางเข้าด้านหลังไว้
แต่พอออกมาเห็น ผมก็ต้องสั่นสะท้านขึ้นมา เพราะพวกผมกำลังถูกล้อมไว้ด้วยกองทัพขนาดใหญ่ บางทีนี้อาจเป็นศพทั้งหมดที่อยู่ในชั้นนี้เลยก็ได้
กี่พันก็ไม่รู้ ไม่สิ อาจจะถึงหมื่น…
ทุกคนเองก็เริ่มสั่นเมื่อได้เห็นเหมือนกัน
แล้วจู่ๆ กองทัพศพก็แหวกทางออกเป็นทาง และไอ้ตัวหัวหน้ามันก็ก้าวออกมา แค่เห็นหน้าก็รู้เลยว่ามันไม่ใช่เนโครแมนเซอร์
เพราะมันมีหัวเป็นหมาไนสีดำสูงกว่าสองเมตร ร่างกายกำยำส่วนบนเปลือยหมด ใส่เพียงกระโปรง
ผ้าลินิน ไม่ผิดแน่ๆ ถึงไม่ต้องใช้ตรวจสอบ ก็รู้ชื่อเจ้านี้แล้ว เพราะเขาคือเทพแห่งความตาย อานูบิส
อานูบิสเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหน้าสุด และชี้นิ้วตรงมาที่พวกผม
“ข้าคือเทพอานูบิส ต้องการคุยกับผู้นำของพวกเจ้า!”
แค่เสียงก็น่ากลัวแล้วแฮะ ผมลองใช้ตรวจสอบดู…บ้าไปแล้ว!!!
ชื่อ อานูบิส
เผ่า เทพ
Lv 750/750
เลเวลโครตเยอะ! แล้วไอ้ตัวเลเวลเยอะแบบนี้มาโผล่อะไรที่นี้ฟ่ะ แถมขนาดใช้ตรวจสอบแล้ว ยัง
ดูข้อมูลของอานูบิสได้น้อยมาก ยิ่งค่าพลังกับสกิลเนี่ย กลายเป็นสีดำดูไม่ได้เลย
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยอมเปิดฉากเจรจาก่อน ผมก็ควรจะตอบรับ แต่พอผมจะก้าวออกไปทุกคนก็ห้ามเอาไว้
“นายท่านอย่าออกไปค่ะ!”
ฟรานเองก็สัมผัสความอันตรายของอีกฝ่ายได้ ความมั่นใจก่อนหน้านี้ดูจะถดถอยไปเลย
“ไม่เป็นไร อีกฝ่ายแค่ต้องการเจรจา ไม่งั้นคงสั่งลงมือไปแล้ว”
ผมบอกให้ทุกคนวางใจ ก่อนจะก้าวออกไปหาอานูบิส ซึ่งยืนกอดอกรออยู่ ด้วยมีใบหน้าแบบหมาไน เลยดูไม่ออกว่าอารมณ์ไหนกันแน่
“เจ้าสินะที่เป็นหัวหน้า จงบอกชื่อออกมา”
“ผมชื่อโรมะครับ แล้วเทพแห่งความตายอย่างคุณ มีธุระอะไรกับพวกผมเหรอ”
“ธุระต้องมีอยู่แล้ว ก็คนของเจ้าฉกเอาวิญญาณคนตายไปจากข้าถึงสองคน ข้ามาขอรับดวงวิญญาณคืน”
“อ้อ ผมเป็นคนคืนชีพให้พวกเธอเองล่ะครับ แต่ตอนนี้พวกเธอกลับมามีชีวิตแล้ว เพราะงั้นผมเลยคืนให้ไม่ได้หรอก”
“เจ้าเองเหรอ! เดี๋ยวนะ เจ้าว่าคืนชีพ? เรื่องนั้นจะเป็นไปได้อย่างไง”
“เป็นไปแล้วล่ะครับ”
ว่าแล้วผมก็เดินกลับไปเรียกราก้ากับครีเรน่า ให้ออกมาหาเทพอานูบิส ซึ่งพอเห็นหน้าทั้งสอง อานูบิสก็ทำเสียงฟุดฟิดเพื่อดมกลิ่นก่อนจะอุทานออกมา
“เทพโอซิริสทรงโปรด! นี้เจ้าทำอะไรลงไป ทำลายบ่วงโซ่คืนชีวิตให้คนตาย วิกลจริตสิ้นดี!”
“ผมคงทำเรื่องเลวร้ายลงไปแล้วจริงๆ แต่เรื่องของเรื่องคือผมทำไปแล้ว ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“อะ อืม…ถ้ารู้แล้ว ที่หลังก็อย่าทำอีกแล้วกัน”
“ครับ จะไม่ทำอีกแล้วครับ”
“ส่วนเจ้าสองคนถ้ากลับมามีชีวิตแล้ว ก็ช่วยไม่ได้ ถือว่าเป็นโชคของพวกเจ้า”
ดูท่าจะไม่ใช่คนพูดจาไม่รู้เรื่องสินะ แถมท่าทางค่อนข้างใจดีผิดกับหน้าด้วย
“ว่าแต่ขนาดสร้างม่านคุ้มกันได้ขนาดนี้ ข้านึกว่าเป็นพวกเทพที่ไหนซะ”
อานูบิสเงยหน้าขึ้นมองวิหาร เพราะที่นี้ถูกคุ้มกันไว้ด้วยม่านพลัง ที่พวกศพผ่านเข้าไปไม่ได้
“จะว่าไปก็เทพจริงๆ นั้นแหละครับ”
ใช่ เพราะเอร่าเป็นสร้างไว้นี่น่า
“…นี้พวกเจ้ามีเทพอยู่ด้วยงั้นเหรอ”
“ครับ คนนั้นไง”
ผมชี้ไปที่เอร่าที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังอาเดไลท์ แต่ดูเหมือนจะไม่พ้นสายตาของอานูบิสไปได้
“เอร่า!!!”
“ค ค่า เอร่าเองล่ะค่า”
“รู้จักกันเหรอครับ?”
“ยิ่งกว่ารู้จักอีก! ยัยนี้แหละที่เป็นคนอันเชิญพวกข้ามาจากโลกอื่น แถมยังส่งข้ามาทิ้งให้หลงทางในที่แห่งนี้นานนับร้อยๆ ปีแล้ว!”
ทีนี้ผมรู้ล่ะ ทำไมเทพอียิปต์ถึงได้มาโผล่ในโลกนี้ได้ และไม่แปลกเลยว่าทำไมอานูบิสถึงโมโหขนาดนี้
“…เอร่า”
ผมหันไปส่งสายตาต่อว่าเอร่าด้วยอีกคน
“อย่าโทษกันสิ! ตอนนั้นระบบอันเชิญดวงวิญญาณมันยังไม่เสถียร เลยมีพวกแปลกๆ ติดมาด้วย
แถมจะส่งกลับก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายมีพลังเยอะกว่าพวกฉันซะอีก”
“ฉันว่าพวกเทพอย่างเธอเนี่ยล่ะ ตัวสร้างปัญหาให้กับโลกนี้เลยรู้ไหม!”
“หนูผิดไปแล้วค่า อย่างดมื้อเย็นเลยนะ!”
“มื้อเย็นน่ะพึ่งกินไปตะกี้เฟ้ย!”
แต่อานูบิสไม่สนเรื่องการตบมุกของพวกผมหรอก เพราะความแค้นที่สะสมมานานนับร้อยปี มันมาถึงวันที่ต้องสะสางแล้ว
“แกตายซะเถอะ เอร่า!”
อานูบิส หยิบไม้เท้าออกมา และปาใส่เอร่าทันที แต่ผมที่อยู่ใกล้ก็หยิบดาบออกมา ปัดไม้เท้าของอานูบิสกลับไป
“ไอ้หนู อย่ามาขวางนะ!”
“ผมเข้าใจความแค้นของท่านดี แต่ตอนนี้เอร่าเป็นคนของผม คงปล่อยให้ถูกทำร้ายไม่ได้หรอกครับ”
“เช่นนั้นก็ถือว่าพวกเราเป็นศัตรูกัน ในนามแห่งเทพอานูบิส ข้าขอประกาศสงครามแห่งความตายกับพวกเจ้า!”

ตอนที่ 91 เวทมนต์ระดับ 7

“ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอครับ”
ผมไม่อยากสู้กับอานูบิสเลย เท่าที่คุยดูเขาเป็นคนดี แถมคนที่ผิดก็เป็นฝ่ายเอร่า แต่อย่างไงมันก็ไม่สมควรจะต้องถึงกับตายเลย
“ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าจงไปเตรียมตัวซะ ข้าจะให้เวลาพวกเจ้า 1 ชั่วโมง จากนั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดสิ้นสลายไป สงครามจะไม่มีวันหยุด”
“ถ้าเช่นนั้นผมเองก็ไม่มีทางเลือก”
แต่ก่อนจะกลับเข้าค่ายพัก ผมก็ถามกับอานูบิสอีกสองสามเรื่องที่สงสัย
และข้อมูลที่ได้มาก็เป็นไปตามที่คิดไว้เลย…อานูบิสคือบอสของดันเจี้ยนลูปัน และคนที่ปิดตายชั้นนี้ไว้ ก็คือเขาเอง
เพราะมีเหตุผิดปกติเกิดขึ้น อานูบิสเลยขึ้นมาดู ส่วนที่รวบรวมกองทัพ เนื่องจากคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเทพมาป่วน
มีอีกเรื่องที่น่าสิ้นหวังสำหนับนักผจญภัย เพราะผมลองถามไปว่าดันเจี้ยนแห่งนี้ลึกไปถึงไหนแล้ว ส่วนคำตอบที่ได้คือ 38 ชั้น
ฟังเหมือนไม่ลึก แต่ที่นี้มีรูปทรงเหมือนปิรามิด คือยิ่งลึกลงไปฐานความกว้างของชั้นก็จะยิ่งขยาย อย่างตอนนี้ที่ชั้น 38 กว้างกว่าเมืองไปแล้ว แถมการกระโดดข้ามเลเวลของแต่ละชั้น จะยิ่งทวีความห่างขึ้น
เรื่อยๆ เป็นดันเจี้ยนที่ยิ่งฟังแล้วยิ่งน่าสิ้นหวังสำหรับการพิชิตจริงๆ
ผมกลับเข้าค่ายพัก และเรียกทุกคนมาประชุมอีกครั้ง
ก่อนอื่นเลย ผมจะให้พวกโบสถ์ใหญ่กลับออกไปก่อน เพราะอานูบิสยอมตกลงปล่อยคนที่ไม่มีส่วนให้กลับออกไปได้ แต่หลังจากหมดเวลาที่ให้ไว้แล้ว ทุกคนจะที่อยู่ที่นี้ถือเป็นศัตรูหมด
“ไม่ พวกเราจะอยู่ช่วยพวกคุณด้วย”
“หา?”
ผมตะลึงกับคำตอบของกรอเรีย คนอื่นๆ ถึงจะดูกลัว แต่ก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอ
“เดี๋ยวก่อน รอบนี้ผมไม่มั่นใจว่าจะปกป้องพวกคุณได้นะ”
“เพราะงั้นพวกเราถึงต้องยิ่งต้องอยู่ค่ะ คุณโรมะช่วยพวกเรามาเยอะ และยังสอนสิ่งสำคัญในฐานะมนุษย์ให้ด้วย พวกเราจะไม่ทิ้งไปยามเมื่อคุณกำลังลำบากเด็ดขาด”
“ได้ฟังแบบนี้ผมก็ดีใจนะ แต่นี้มันเป็นสงครามที่ไม่ใช่เรื่องเลย ทั้งเหตุผลทั้งความชอบธรรม ไม่มีสักอย่าง”
“ค่ะ พวกเราทราบแล้ว แต่ขนาดคุณโรมะยังไม่ยอมทิ้งทาส และยอมแลกด้วยชีวิตตัวเอง พวกเราเองจะทิ้งคุณไปได้อย่างไง”
“…เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณทุกคนนะ”
ผมเริ่มมองพวกโบสถ์ใหญ่ดีขึ้น อย่างที่เขาว่า สภาพแวดล้อมคือสิ่งที่หลอมสร้างจิตใจ
แต่คนเพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้เพิ่มโอกาสรอดขึ้นตามเลย เพราะงั้นผมต้องคิดหาวิธีรับมือแล้ว
ระหว่างฟังซาคุยะกับอาเดไลท์วางแผนกัน ผมก็คิดแผนของผมตามไปด้วย
ที่ผมคิดออกมาได้มีสองสามอย่าง แต่จะออกหัวหรือออกก้อยก็ยังไม่รู้ เพราะล้วนแต่เป็นวิธีที่ไม่เคยลอง
ผมมองปัญหาคราวนี้คือตัวอานูบิส ขอเพียงตัดเขาออกไปสงครามก็จะจบทันที เพราะงั้นเลยทำให้ผมบีบพื้นที่เป้าหมายให้แคบลงได้
แต่นั้นแหละที่เป็นปัญหา เพราะอานูบิสเก่งขนาดนั้น เป็นถึงบอสดันเจี้ยน ต่อให้พวกผมทุกคนรวมพลังกัน ก็ไม่สามารถสู้กับอานูบิสได้
ไหนจะฝ่ายผิดที่เป็นเอร่าอีก ต้องบอกว่าอานูบิสมีความชอบธรรมในการแก้แค้นถึงจะถูก เพราะงั้นผมไม่อยากเอาชนะด้วยความสูญเสีย
ส่วนแผนการรบที่พวกซาคุยะคิดออกมา เป็นการเน้นตั้งรับ ใช้ความได้เปรียบของอาณาเขตแห่งหวงเทพ สกัดพวกศพเอาไว้
เอร่าบอกว่ามันป้องกันได้ แต่ถ้าศัตรูจำนวนเยอะแบบนี้ อาจจะมีบางช่วงที่อาณาเขตอ่อนแรงลง จนทำให้มีหลุดเข้ามาได้ แต่อาณาเขตจะฟื้นฟูตัวเองในเวลาไม่นาน สรุปคือพวกผมไม่ต้องสู้ตลอด แต่จะสู้ตอนที่อาณาเขตอ่อนกำลังลงเท่านั้น
ส่วนพวกโบสถ์ใหญ่ เสนอทำการฟื้นฟูวิหารแห่งนี้ ขึ้นมาเป็นพื้นที่ของโบสถ์ ซึ่งจะมีพลังในการทำให้พวกมอนสเตอร์อ่อนแรงลง แต่ผมเป็นห่วงว่าพวกดอเรียจะได้รับผลกระทบไปด้วยหรือเปล่า พวกโบสถ์ใหญ่เลยให้เข็มกลัดที่เป็นตรารูปประตูที่มีดวงอาทิตย์ติดไว้ ซึ่งจะทำให้ได้รับการยกเว้นจากผลกระทบของโบสถ์
จากนั้นก็ให้จามิร่าไปทำลายประตูด้านหลังซะ เพราะการโดนล้อมไว้แบบนี้ ไม่จำเป็นต้องเผื่อทางหนีไว้แล้ว สู้ลดเส้นทางเข้าออกให้เหลือทางเดียว จะได้รับมือได้ง่ายขึ้นดีกว่า
แค่ชั่วพริบตาเดียว เวลาหนึ่งชั่วโมงก็หมดลง อานูบิสที่ยืนรออยู่กลางฝูงของกองทัพศพ ยกมือขึ้นให้สัญญาณการบุกทันที
“…เอร่า ถ้าใช้เวทมนต์ออกไป มันจะติดบาเรียของอาณาเขตไหม”
ผมหันไปถามเอร่าเพื่อความชัวร์
“ไม่ติดหรอก ก็อาณาเขตป้องกันได้แค่ตัวของมอนสเตอร์เท่านั้น แต่ถ้าอีกฝ่ายยิงเวทเข้ามาพวกเราก็โดนเหมือนกัน”
“ดีเลย งั้นขอทดลองเวทมนต์สักหน่อย”
ผมก้าวออกไปที่ประตู ซึ่งห่างไปเพียงห้าเมตร เหล่าศพพยายามดันกันเข้ามา จนเหมือนเป็นกำแพงเนื้อมองไม่เห็นรอบข้างเลย แต่พวกมันติดอยู่กับกำแพงที่มองไม่เห็น แถมตัวที่ติดอยู่กำลังค่อยสลายไปด้วย สมเป็นสกิลของเทพ ให้ผลที่น่าตกใจดีจริงๆ
แต่ตอนนี้ถึงคิวผมแสดงฝีมือบ้าง เพราะผมอยากจะลองสกิลใหม่ ที่ได้มาจากครีเรน่า ซึ่งก็คือสกิล
Magic No Charge ไร้ระดับ (Active skill) เมื่อใช้ออกมา จะทำให้เวทมนต์อันถัดไป ไม่ต้องเสียมาน่าในการใช้คลูดาวน์ 30 นาที และเพิ่มค่าคลูดาวน์ของเวทมนต์ที่ใช้อีก 30 นาที
สรุปก็คือเป็นสกิลที่ใช้ยิงเวทฟรีได้หนึ่งครั้ง และเวทมนต์ที่ผมจะใช้ทดสอบก็มีเพียงแค่อันเดียวเท่านั้น
“Magic No Charge! Waterfall!”
…เงียบ
ไม่มีเอฟเฟกของเวทมนต์อะไรออกมาเลย หรือว่าจะผิดพลาด?
แต่ว่าพอตรวจดูพบว่าทั้ง Magic No Charge ทั้ง Waterfall ติดสถานะคลูดาวน์อยู่ แปลว่าใช้ออกไปแล้วนี่น่า
ตอนที่นึกว่าตัวเองหน้าแหกอยู่นั้น พวกศพก็หยุดการเคลื่อนไหว และพร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นไปดูข้างบน ผมเองก็เลยต้องเงยหน้าตาม เลยเข้าใจแล้วว่าพวกมันมองอะไรกัน
ข้างบนเพดานที่สูงขึ้นไป กำลังมีมวลนํ้าขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นมาคลุมเพดานเอาไว้ ราวกับเป็นทะเลสาบกลับหัวไม่มีผิด
และเมื่อมวลนํ้าหยุดการสั่นไหว มันก็พร้อมใจกันเทลงมาเป็นสายนํ้าตกนับร้อยๆ สาย และข้อมูล
ของเวทมนต์ Waterfall ก็พึ่งแสดงออกมา และผมก็รู้แล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้ดูข้อมูลของมันไม่ได้
เพราะ Waterfall คือเวทมนต์ขั้น 7
เวทมนต์บนโลกนี้แบ่งออกเป็น 7 ระดับ
ระดับที่ 1 เป็นเวทมนต์แบบปกติ พื้นที่ใช้งานแคบ
ระดับที่ 2 เป็นเวทมนต์ที่มีความรุนแรง ส่งผลบริเวณกว้าง
ระดับที่ 3 เวทมนต์ระดับทำลายล้างหมู่บ้าน ให้หายไปในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ระดับที่ 4 เวทมนต์ระดับทำลายกองทัพ ผู้ใช้เวทมนต์ระดับนี้ เพียงแค่คนเดียวก็ถล่มทั้งกองทัพได้
ระดับที่ 5 เวทมนต์ต้องห้าม ที่มีอนุภาพรุนแรงขนาดทำให้เมืองทั้งเมืองถูกลบออกไปจากแผนที่ได้
ระดับที่ 6 เวทมนต์ในตำนาน เมื่อใดที่มีการใช้งาน ต้องมีประเทศใดประเทศหนึ่งล่มสลายไป
ระดับที่ 7 หายนะล้างโลก เป็นเวทมนต์ที่ไม่นับเป็นเวทมนต์แล้ว
และที่ผมกำลังใช้อยู่ ก็คือหายนะนํ้าท่วมโลก Waterfall จะทำให้แผ่นดินทั้งหมดบนโลกจมอยู่ใต้นํ้า แบบนี้ไม่สงสัยแล้วว่าทำไม Mp ไม่พอจะใช้เวทนี้ได้สักที
แต่นี้ไม่ใช่เวลามาตกใจ ผมรีบยกเลิกการใช้เวทมนต์ทันที ไม่งั้นไม่ใช่แค่ดันเจี้ยนแห่งนี้หรอก ที่จะจมอยู่ใต้นํ้า แต่ผมจะทำให้โลกนี้เจอหายนะนํ้าท่วมไปด้วย
ทว่าแค่แรงกระแทกของมวลนํ้ามหาศาลที่ตกลงมา ก็พอจะขยี้พวกศพไปได้มากโข
เดี๋ยวนะ…เจ้าหญิงโชมีเวทมนต์ระดับนี้อยู่กับตัว…อืม ดีแล้วที่ไม่ได้ไปทำให้เธอโกรธ
“นายท่านสุดยอดไปเลยค่ะ!”
พวกฟรานที่พึ่งหายตะลึงและตั้งสติได้ รีบวิ่งเข้ามาอวยผมกันใหญ่
“นั้นมันเวทมนต์ระดับไหนกันคะ ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
มิรินไม่แปลกใจหรอก ที่ผมจะใช้เวทมนต์นั้นออกมา แต่ออกจะอยากรู้อยากเห็นมากกว่า
“นายนี้มันมั่วได้ใจจริงๆ เป็นนักล่าสมบัติ แต่ดันเก่งสู้ประชิดตัว แถมยังใช้เวทได้อีก”
ซาคุยะนี้สิ จ้องผมแบบไม่สบอารมณ์เลยก็แน่ล่ะ ถึงค่าพลังผมไม่เยอะ แต่สกิลน่ะโกงยิ่งกว่าผู้กล้าซะอีก
“อย่าพึ่งดีใจกันเลย อย่าลืมสิพวกนี้เป็นมอนสเตอร์ดันเจี้ยนนะ เดี๋ยวสักพักพวกมันก็คืนชีพขึ้นมาได้อีก”
ผมเตือนสติทุกคนเอาไว้
“จริงด้วย”
ดาเซสพยักหน้ารับ ศึกนี้ดูอย่างไงก็ยังไม่เห็นทางชนะได้เลย เพราะฆ่าไปเท่าไร อีกฝ่ายก็คืนชีพขึ้นมาได้
ส่วนซาคุยะกับอาเดไลท์ทำคอตกทันที เพราะพวกเธอลืมนึกถึงข้อนี้ไป ทำให้แผนการตั้งรับส่งผลเสียแทน
“ไม่ต้องกังวล แผนการตั้งรับน่ะดีอยู่แล้ว เพราะแบบนี้ทำให้ผมลงมือได้สะดวกขึ้น”
ผมปลอบใจพวกซาคุยะ เพราะการตั้งรับในพื้นที่ จะทำให้ทุกคนปลอดภัย ซึ่งนั้นทำให้ผมหมดห่วง และพร้อมจะลงมือทำตามแผนของตัวเองได้
ซึ่งแผนของผมไม่มีอะไรมากเลย ก็แค่ลากอานูบิสไปสู้กันตามลำพัง ขอแค่ไม่มีอานูบิสกองทัพศพก็จะสลายตัวไปเอง
“ไม่ได้!”
ยูรินร้องค้านคนแรก เพราะเธอก็ใช้ตรวจสอบดูเลเวลของอานูบิสมาแล้ว
“ไม่ต้องห่วงยูริน ผมไม่ใช่คนแบบที่จะเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ หรอก แต่ผมมีแผนที่ใช้จัดการอานูบิสอยู่”
“…จริงเหรอ”
ยูรินยังจ้องผมแบบไม่วางใจ เพราะเธอรู้ว่าผมยอมเสี่ยงทุกอย่าง เพื่อให้พวกเธอปลอดภัย และบางทีผมก็ชอบโกหกพวกเธอเหมือนกันเพื่อเหตุนั้น
“จริงสิ”
ผมเลยต้องให้คำตอบที่ทำให้เธอมั่นใจออกไป
“ถ้าไม่เชื่อก็ถามเอสเตอร์ดูสิ ว่าเห็นเคราะห์ร้ายในตัวผมไหม”
ทุกคนหันไปมองเอสเตอร์ทันที ซึ่งเธอเปิดผ้าปิดตาออก และจ้องผมแบบกลัวๆ เพราะคราวก่อนที่มองผม เล่นเอาเธอเกือบเยี่ยวราดเลย แต่คราวนี้เธอกลับไม่เห็นกลุ่มก้อนที่น่ากลัวจากตัวผมอีกแล้ว
“ไม่___________…ไม่มีลางบอกถึงเหตุร้ายเลย ตรงกันข้าม ถ้าให้ท่านโรมะไปเล่นพนันตอนนี้ มีหวังบ่อนล้มละลายแน่”
ถึงเอสเตอร์จะบอกแบบนั้น แต่ก็ยังจ้องผมแบบสงสัย เพราะเธอไม่เชื่อว่ากลุ่มก้อนความน่ากลัวที่เห็นคราวก่อน จะหายไปได้เอง แต่เพราะทำพูดของเธอทำให้ทุกคนเชื่อมั่นขึ้นมาแล้ว
“งั้นให้ฉันไปด้วยนะคะ”
มอเรียเสนอตัว เพราะเธอมั่นใจว่าต่อให้คู่ต่อสู้มีเลเวลมากกว่า ก็ยังมีสกิลที่ใช้จัดการกับอีกฝ่ายได้ แต่ผมไม่ยอมให้เธอไปเสี่ยงด้วยหรอก
“ไม่ได้ๆ ขืนมอเรียไปด้วย ผมก็อดโชว์หล่อกันพอดี”
“นายท่านไม่ต้องโชว์ก็หล่ออยู่แล้วค่ะ!”
เดเม่บอกอย่างมั่นใจ สงสัยยังตามมุกผมไม่ทันแฮะแต่ก็ดีใจแฮะที่เธอชมผมแบบนั้น
“เอาล่ะ ผมว่าลงมือตอนที่อีกฝ่ายกำลังรวมกันไม่ติดแบบนี้ดีกว่า ไว้เดี๋ยวเจอกันนะ มิริน เนปฟ่า เปิดทางให้หน่อยสิ”
ผมชี้ไปที่พวกศพที่อัดกันตรงบาเรียจนเป็นกำแพงเนื้ออยู่
“ได้ค่ะ!”
ทั้งคู่ตอบก่อนจะใช้เวทระเบิดเป่าพวกศพจนหายไปหมด เปิดทางให้ผมเดินออกไปได้
แล้วทำไมผมถึงกล้าออกไปนอกพื้นที่ป้องกันนะเหรอ ก็ผมมีไพ่ตายที่เรียกว่า จอมมาร อยู่ไงล่ะ ผมเปิดใช้สถานะจอมมารมาตั้งแต่ที่คุยกับทุกคนแล้ว
แต่ที่ทุกคนไม่รู้สึกตัวสักนิด เพราะผมใช้ผ้าพันคอสารพัดนึกบวกกับสกิลที่ได้มาจากราก้า
Disguise ไร้ระดับ (Passive skill) สามารถอำพรางสถานะ ค่าพลัง รวมถึงผลของสกิลได้
ตอนนี้ทุกคนเลยไม่สามารถสัมผัสพลังของจอมมารของผมได้เลย ต่อให้เปิดออร่าแห่งลางร้ายออกมา ทุกคนก็จะไม่รู้สึกอะไร เพราะงั้นเลยทำให้เอ
สเตอร์มองไม่เห็นกลุ่มก้อนความน่ากลัวของจอมมารแล้ว
จริงๆ สกิล Disguise มีประโยชน์พอๆ กับผลเสีย ประโยชน์คือการอำพรางค่าพลังจากศัตรูได้อย่างร้อยเปอร์เซ็น หรือต่อให้ติดพิษ หรือติดค่าสถานะส่งผลลบแบบไหน อีกฝ่ายก็ไม่มีทางรู้ได้เลย แต่นั้นล่ะ มันก็ทำให้เพื่อนในปาร์ตี้ไม่เห็นไปด้วย ทำให้บางทีเข้ามาช่วยรักษาไม่ทัน
ยังดีที่ผลเสียของมันไม่เลวร้ายนัก เพราะถึงเป็น Passive skill ก็ยังปิดเปิดการใช้งานของมันได้ แต่ผลดีของมันเนี่ยสิ ผมคิดวิธีใช้ได้เยอะเลย เช่นอำพรางพวกแสงหรือเสียงเอฟเฟกตอนใช้สกิลออกมา แบบนี้ก็ทำให้ศัตรูไม่รู้แล้วว่าเรากำลังใช้สกิลอะไรออกไป ถ้าใช้คู่กับ Slash ล่ะก็ โคตรน่ากลัวเลย
แต่อาชีพของราก้าคือ Grazier (คนดูแลปศุสัตว์) สกิลนี้เลยมีไว้เพื่อการอำพรางกลิ่นอายของตัวเอง เพื่อให้เข้าใกล้พวกสัตว์ได้โดยไม่ทำให้พวกมันแตกตื่น
ส่วนผ้าพันคอสารพัดนึกก็ช่วยเปลี่ยนเกราะจอมมารที่ผมใส่ ให้กลายเป็นเกราะเฉพาะส่วนแบบถูกๆ ไปแทน ผมในตอนนี้เลยเป็นจอมมารในคราบเปลือกที่เป็นมนุษย์ธรรมดาไปแล้ว แต่อย่างหนึ่งที่ยังอำพรางไม่ได้ นั้นคือแรงกดดัน
เพียงแค่ผมจ้องใส่ พวกศพก็พากันชะงักไม่กล้าเขามาโจมตี แถมออร่าแห่งลางร้าย ถึงจะไม่รู้สึกอะไร แต่มันจะทำให้ศัตรูติดสถานะกลัว อ่อนแรงและLv Down ด้วย เผลอๆ พวกศพไม่รู้ตัวด้วยซํ้าว่าติดสถานะที่ว่าไปแล้ว
และตอนนี้ผมก็ได้เข้าใจแล้วว่า ทำไมจอมมารถึงต้องใช้ผู้กล้ามาปราบ เพราะจอมมารมีสกิล Passive ที่พอทำให้อีกฝ่ายติดสถานะผลลบหรือทำให้เลเวลลดลงได้ ค่าพลังของจอมมารจะยิ่งสูงขึ้นแทน
ตอนนี้แค่ผมเดินผ่านพวกกองทัพศพไป ค่าพลังของผมก็บวกเพิ่มขึ้นมาไม่หยุด คำว่าจำนวนไม่มีผลกับจอมมารเลยนั้นเอง เหมือนกับมุเอมะที่สู้กับศัตรูที่มาเป็นกองทัพแล้วจะได้เปรียบ จอมมารเองก็เช่นกัน เหมือนสกิลจะเซตไว้ให้เก่งตามจำนวนของศัตรูที่มีเลย
เพราะงั้นวิธีปราบจอมมารเลยต้องใช้คนจำนวนน้อย แต่มีคุณภาพสูงที่สุดเช่นปาร์ตี้ผู้กล้า
อานูบิสที่เห็นพวกศพไม่ยอมเข้าโจมตีผมสักที เลยต้องตะโกนออกคำสั่งไป พวกศพมีท่าทีชัดเจน
ว่าไม่อยากเข้ามา แต่ก็ขัดคำสั่งไม่ได้ เลยรุมผมเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง
แต่ผมก็หยิบดาบศิลาเย็นออกมาพร้อมกับใช้สกิลออกไป
“Hell Ice Field”
ใช่แล้ว ตอนที่ผมเป็นจอมมารผมสามารถใช้ได้ทุกสกิลและทุกเวทมนต์ เพราะค่ามาน่าของผมนั้น มหาศาลจนขี้เกียจมานั่งนับหลักกันเลยทีเดียว
ส่วน Hell Ice Field นั้นเป็นเวทมนต์ระดับ 5 โดยที่จะสร้างพื้นที่รอบตัวผู้ใช้ ให้กลายเป็นทุ่งหนามนํ้าแข็ง อุณหภูมิจะเข้าสู่จุดเยือกแข็งด้วย การตายด้วย Hell Ice Field ถ้าไม่ใช่เป็นมอนสเตอร์ดันเจี้ยนแล้ว ก็จะไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ เพราะร่างกาย
จะถูกแช่ไว้ในก้อนนํ้าแข็ง ส่วนพื้นที่แสดงผลก็สมเป็นเวทระดับ 5 เพราะมันแช่แข็งทั้งเมืองได้เลย
แค่ใช้ออกมาครั้งเดียว กองทัพศพก็ถูกทำลายหายไปกว่าครึ่ง จริงๆ มันน่าจะทำลายได้ทั้งหมดเลย แต่ผมกลัวจะไปโดนพวกสาวๆ ด้วย เลยลดพลังของมันลง แต่แค่นี้ก็เพียงพอจะทำให้อานูบิสถึงกับเหงื่อตกได้แล้ว
“เจ้าเป็นใครกันแน่!”
“เดี๋ยวจะตอบให้ครับ แต่ตอนนี้ย้ายที่คุยกันก่อนดีกว่า”
ผมไม่อยากจะให้ความลับตัวเองแตก เลยต้องย้ายที่ต่อสู้ไปให้ไกลๆ จนไม่มีใครเห็น ผมขยับตัวทีเดียวก็เข้าประชิดอานูบิสได้ และจับแขนของเขาเหวี่ยง
ออกไป ร่างของอานูบิสพุ่งเป็นจรวดข้ามเขตสุสาน ก่อนจะไปตกกลางเขตป่าในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
ส่วนผมแค่กระโดดทีเดียวก็ตามมาทันแล้ว พลังของจอมมารนี้โอเวอร์จริงๆ
แต่เหมือนผมจะลงมือหนักเกินไป เพราะผลจากการโดนผมเหวี่ยงมา ทำให้ Hp ของอานูบิสหายไปถึงครึ่งหลอด
เอาเข้าจริงๆ ผมว่าแค่ใช้มือเดียวก็คงขยี้อานูบิสได้แล้วล่ะ นั้นคือความต่างของพลังที่โกงสุดในโลกนี้ ที่ถูกเรียกว่าจอมมาร
ทว่าเป้าหมายของผมไม่ใช่การทำลายอีกฝ่าย ก็อย่างที่บอกไป ฝ่ายผมเป็นฝ่ายที่ผิด ผมจะต้องใช้วิธีอื่นแก้ไขปัญหา ไม่ใช่การใช้พลังอำนาจเข้าหักหาญ ผมถอดผ้าพันคอออกพร้อมกับปิดสกิลอำพรางด้วย
เหมือนรูปโฉมที่แท้จริงของผมปรากฏขึ้นตรงหน้า อานูบิสก็ถึงกับปากสั่นจนเขี้ยวกระทบกันเสียงดัง เขาเองก็รู้ทันทีว่าผมคือใคร
“จะ จอมมาร!”
“ครับ ผมเอง”

ตอนที่ 92 ราคะที่ไร้ขีดจำกัด

“เอาล่ะ ตอนนี้คงเริ่มพูดคุยกันได้แล้ว”
ผมคลายสถานะจอมมารออกทันที เพราะที่ผมใช้มัน ไม่ได้จะใช้เพื่อทำลายอานูบิส แต่เพื่อทำให้เขาเห็นว่าผมเองก็มีอำนาจที่จะใช้ต่อรองได้
การเจรจาต่อรองจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อต่างฝ่ายต่างมีอำนาจที่ใช้ต่อรองได้
กฎนี้ไม่ว่าโลกไหนก็ใช้ได้ผล ดั่งเช่นประเทศใหญ่ที่ไม่ยอมฟังข้อเรียกร้องของประเทศที่เล็กกว่า แต่ลองเอาระเบิดนิวเคลียร์ไปตั้งที่กลางประเทศมันดูสิ จะประเทศใหญ่แค่ไหนก็จะรีบตั้งโต๊ะเจรจาทันที
“ขะ ข้าขอยอมแพ้”
อานูบิสรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้อยู่แล้ว เลยขอยอมแพ้เพื่อวัดดวง ซึ่งถ้าโชคดีจอมมารอาจจะยอมปล่อยไป
“เดี๋ยวก่อน ผมไม่ได้จะให้ยอมแพ้”
“อึก! สมเป็นจอมมาร กับศัตรูไม่มีความปรานีให้เลยสินะ”
“อย่าพึ่งมโน ผมไม่ได้จะฆ่าคุณหรอก แค่อยากหาทางออกที่โอเคกับทั้งสองฝ่าย”
“จะไปมีได้อย่างไง!”
“เพราะงั้นถึงได้ต้องเจรจากันไงครับ ในเมื่อหาทางออกด้วยตัวเองไม่ได้ ก็มาหาทางออกร่วมกัน”
“นี้ท่าน!...”
อานูบิสเห็นความจริงใจของผม จึงยอมนั่งลงและยอมเจรจาด้วยจนได้ เอาล่ะ เริ่มเข้ารูปเข้าลอยแล้ว
“ข้ายอมเจรจาด้วย แต่ข้าขอตรวจดูได้ไหมว่าท่านโกหกหรือเล่า”
แต่ยังไม่เชื่อใจแฮะ ก็สมควรอยู่หรอก อีกฝ่ายเป็นถึงจอมมารนี่น่า จะให้มาเชื่อทุกคนพูดได้อย่างไง
“เชิญครับ”
จากนั้นบนมือของอานูบิสก็มีตาชั่งปรากฏขึ้นมา เหมือนตาชั่งทองคำของเอร่าเลยแฮะ แต่ขนาดของอานูบิสใหญ่กว่าและไม่ได้ทำมาจากทอง
ที่ด้านหนึ่งของตาชั่งมีขนนกสีขาววางไว้อยู่ อ้อ ไอ้ที่ไว้ชั่งบาปเพื่อตัดสินคนตายสินะ ได้เห็นด้วยตาตัวเองแบบนี้ สุดยอดไปเลยแฮะ
“ถ้าท่านโกหก”
อานูบิสกำลังจะอธิบายแต่ผมยกมือห้ามไว้
“ไม่ต้องครับ ผมเคยอ่านเรื่องของคุณมาแล้ว เลยรู้ว่ามันทำงานอย่างไง แค่คำโกหกของผมหนักกว่าขนนก ก็ให้ถือว่าผมเป็นฝ่ายหลอก แล้วจะทำอย่างไงต่อก็แล้วแต่คุณเลยครับ”
“เช่นนั้นก็มาเริ่มการเจรจากันเลย แต่ข้าขอถามอีกอย่าง ทำไมท่านถึงต้องเจรจาด้วย แค่ใช้กำลังก็บดขยี้ข้าได้แล้วแท้ๆ”
“เพราะผมเป็นฝ่ายผิดไงครับ เรื่องที่เอร่าทำมันผิดกับคุณจริงๆ ถ้าผมยังเอากำลังเข้าว่ามาจัดการปัญหา ผมจะไม่สบายใจครับ”
“…ท่านเป็นจอมมารที่แปลกดีนะ”
“อยากให้คิดว่าจอมมารเป็นฐานะมากกว่านะครับ ส่วนใครจะได้ฐานะนี้ไป ก็ใช่ว่าจะต้องเลวเหมือนกันหมด”
“เข้าใจล่ะ”
อานูบิสหันไปดูตาชั่งที่ไม่กระดิกสักนิด แล้วหันกลับมาคุยต่อ
“งั้นทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ข้ายอมแพ้ล่ะ ถ้าเพียงชนะท่านก็จบเรื่องได้แล้วนี้”
“แล้วแบบนั้นจะทำให้ความแค้นของคุณหายไปเหรอครับ”
“…”
อานูบิสถึงกับพูดไม่ออก แต่พอตั้งสติได้ก็พยักหน้ารับเบาๆ
“การได้ชัยชนะมันไม่มีค่าอะไรหรอกครับ ถ้าทิ้งความแค้นให้กับผู้แพ้ ถึงผมชนะคุณได้แต่คุณก็ยังแค้น และจ้องหาโอกาสล้างแค้นเอร่าอยู่ใช่ไหมล่ะครับ”
“ตามที่ท่านพูด”
“เพราะงั้นผมเลยจะหาทางเอาชนะความแค้นของคุณแทนซะ”
“เอาชนะความแค้น…ฮ่าๆๆ ท่านนี้เป็นมนุษย์ที่น่าสนใจดีจริงๆ”
อานูบิสหัวเราะออกมาแล้ว ถือว่าลางดีล่ะนะ แถมเขายังเก็บเอาตาชั่งออกไปด้วย
“ขออภัย ข้านี้เสียมารยาทจริงๆ ที่ไปสงสัยคนอย่างท่าน เอาล่ะ เชิญว่าต่อได้เลย ว่าท่านมีวิธีจะเอาชนะความแค้นของข้าอย่างไง”
“วิธีผมยังไม่ได้ตัดสินใจครับ แต่ผมจะขอบอกในสิ่งที่ทางผมทำให้ได้ก่อน ถ้าเพียงพอก็ดีไป”
แล้วผมก็บอกถึงวิธีที่จะพากลับโลกเดิมได้ แต่อานูบิสกลับไม่สนใจเรื่องนั้นสักเท่าไร เพราะถ้ากลับไปเขาก็จะมีสภาพไม่ต่างจากวิญญาณที่ไร้ตัวตน แต่ที่โลกนี้เทพสามารถมีตัวตนที่จับต้องได้ แถมยังใช้พลังได้โดยไม่มีข้อผูกมัดอะไรด้วย ถ้าถามอย่าอยากกลับไหม ก็คือไม่ล่ะนะ
“เอ๋ งั้นก็น่าจะขอบคุณเอร่ามากกว่าไปโกรธเธอนะครับ”
“เรื่องนั้นก็ใช่ แต่ข้าโกรธท่าทางกวนประสาทของยัยนั้นมาก แถมยังเอาข้ามาทิ้งไว้ที่ดันเจี้ยนใต้ดินไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก นั้นแหละที่ทำให้ข้าแค้น”
“เอ่อ เรื่องนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องของการสุ่มครับ”
แล้วผมก็เล่าเรื่องที่ตัวเองโดนอันเชิญมา แถมยังไปโผล่ตรงปราสาทจอมมารให้ฟัง
“…ข้านี้มันโง่นัก! พอได้ฟังเรื่องของท่านแล้ว รู้สึกเรื่องของข้านี้มันช่างเล็กน้อยซะจริง!”
“และผมคิดว่ากรณีของคุณ เกิดจากที่ตัวคุณมีพลังมาก จนเอร่าไม่สามารถควบคุมจุดส่งตัวได้ แถมยังเก่งมาตั้งแต่แรก มันเลยเป็นการสุ่มไปยังจุดที่เหมาะสมกับตัวเองมากกว่า”
“จะว่าไป…มันก็จริงนะ ที่นี้เหมาะกับข้าจริงๆ”
สรุปคือหลักๆ ที่อานูบิสโกรธก็คือ การที่อีกฝ่ายไม่ให้เกียรติเขาเลยมากกว่า ก็อานูบิสน่ะมีแต่คนให้ความเคารพ พอมาเจอท่าทางกวนติ่งของเอร่าไป เลยเหมือนโดนดูแคลนอยู่ล่ะมั่ง ผมเข้าใจเลยล่ะ ก็ตอนเจอกันทีแรกผมยังไม่อยากยุ่งกับเธอเลย
“ตอนนี้ผมขอลดจากคำว่าแค้น มาเป็นความขุ่นเคืองได้ไหมครับ”
“อืม ข้าก็ว่างั้นแหละ…เฮ้อ แย่ชะมัดเป็นถึงเทพแต่ต้องให้มนุษย์เช่นท่านมาสอนแบบนี้”
“ไม่หรอกครับ เวลาโมโหเป็นผมก็ลืมคิดถึงเหตุผลไปเหมือนกัน”
“อะ อืม เช่นนั้นข้าจะไม่ทำให้ท่านโมโหเด็ดขาด”
ตอนนี้ข้อสรุปออกมาแล้ว เอร่านั้นน่าตบกะโหลกก็จริง แต่โทษไม่ถึงตาย แล้วอานูบิสเองก็ชอบโลกนี้ เลยไม่ถือโทษที่อันเชิญเขามาแบบส่งเดช จะเหลือก็แค่ความขุ่นเคืองซึ่งไม่มีที่ลงของเขา
“งั้นมาสู้กันครับ”
“…นี้คิดจะตบหัวแล้วลูบหลังข้าหรือไง”
“เปล่าครับ แต่เป็นวิธีการระบายออกอย่างหนึ่ง ผมจะเป็นเป้ารับความโกรธของคุณให้เอง ให้อัดผมโดยคิดว่าเป็นเอร่าได้เลยครับ”
“แบบนั้นจะมีค่าอะไร ก็ท่านเป็นถึงจอมมาร ต่อให้ข้าทุ่มพลังทั้งหมดใส่ ก็ทำได้เพียงเป็นการนวดคลายกล้ามเนื้อให้ท่าน”
“ช้าก่อนครับ ใครว่าผมจะใช้สถานะจอมมารสู้กับคุณล่ะ แต่ผมจะใช้สถานะของมนุษย์เนี่ยล่ะ”
“…แบบนั้นก็ไม่ดีอีกนั้นแหละ ถึงตายเลยนะ”
“ไม่หรอกครับ ถ้าผมทุ่มสุดตัวน่าจะพอจะสูสีกับคุณ”
“โห มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เอ่อ แค่เป็นวิธีที่คิดไว้ ถ้าถามว่ามั่นใจไหม ก็ครึ่งๆ ครับ แต่ถ้าผิดพลาดจนผมต้องตายไป ก็จะไม่มีการถือโทษกันครับ”
“ถ้าท่านกล้าเดิมพันด้วยชีวิตตัวเองเช่นนั้น ข้าอานูบิสก็พร้อมจะรับไว้ ข้าให้สัตย์ว่าหลังจากได้ปลดปล่อยความโกรธไปแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไง ข้ากับเทพเอร่าจะไม่มีความโกรธเคืองกันอีก”
อานูบิสให้คำมั่น แบบนี้ข้อตกลงของการเจรจาก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ผมลุกขึ้นและเตรียมสู้กับอานูบิสต่อ แต่คราวนี้ผมไม่มีพลังของจอมมารช่วยแล้ว
แล้วผมจะเอาอะไรไปสู้น่ะเหรอ
ไม่มีหรอก พลังแบบนั้นจะไปมีได้อย่างไง โลกนี้ถูกควบคุมด้วยข้อกำหนด เพื่อสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น มีแต่ตัวตนของจอมมารเท่านั้นแหละ ที่ทำลายสมดุลที่ว่า พวกเทพอย่างเอร่าถึงต้องพยายามกำจัดจอมมารให้ได้ไง พวกเธอมองจอมมารเป็นเพียงบั๊กที่อยู่ในระบบเท่านั้น
ทว่าข้อกำหนดทุกอย่าง ล้วนแต่มีข้อยกเว้นทั้งนั้น และผมก็เจอข้อยกเว้นที่ว่าแล้ว
ตอนที่ผมเตรียมตัวจะสู้กับอานูบิส ผมก็ได้ใช้มือแตะที่ตัวเองพร้อมกับเพิ่มค่าราคะให้ตัวเอง
50% แล้ว ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว แต่ผมยังไหวอยู่ จิตใจผมคุ้นเคยกับความรู้สึกแบบนี้ดี เลยไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือพลังของผมกำลังเพิ่มขึ้น ผมรู้ตัวมาพักใหญ่แล้ว ว่ายิ่งผมหื่นมากเท่าไร ผมก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
มันไม่ใช่ตัวเลขที่เห็นได้จากการใช้สกิลตรวจสอบดู แต่มันเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยร่างกายตัวเอง พลังของผมตอนนี้บอกได้แค่ว่า ถ้าให้สู้กับRaid ศพออร์ค ผมคงหลับตาและใช้เพียงแค่นิ้วก้อยก็พอแล้ว แต่ว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอจะใช้สู้กับอานูบิสได้
70%...ไม่มีผลอะไร ตัวเลขค่าความหื่นผมแตะ 100 ซึ่งเป็นค่าสูงสุดแล้ว แต่ผมยังควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี ถึงในหัวจะมีแต่เรื่องอย่างว่า แต่สติยังอยู่ดี พลังยังคงเพิ่มขึ้น
100% ไปเลย! นี้คือขีดจำกัดของคนปกติแล้ว ถ้าใครโดน 100% เข้าไปอาจถึงขั้นทำให้เสียสติได้เลย แต่ทำไมผมกลับยิ่งรู้สึกฟินฟ่ะ! สภาพจิตใจเหมือนกำลังได้เดินกลางทุ่งดอกไม้ที่แสนสดชื่น ไม่มีวี่แววว่าจะคลุ้งคลั่งขึ้นมาเลย
อ้อ หรือเพราะปกติผมเองก็ปลดปล่อยพลังราคะแบบ100% ออกมาเป็นประจำอยู่แล้ว เลยคุ้นเคยกับมันและควบคุมได้ตามใจนึก…จะดีใจหรือเศร้าดีล่ะเนี่ย แต่ว่าแย่แฮะ ยังไม่พอ ต่อให้เป็นพลังหื่น 100% ก็ยังมีพลังไม่พอจะสู้กับอานูบิสอยู่ดี
แบบนั้นมาดูกันดีกว่าว่าขีดกำจัดความหื่นผมจะอยู่ที่เท่าไรกัน
ผมค่อยๆ เพิ่มค่าราคะให้ตัวเองทีละนิดๆ อย่างระมัดระวัง ไม่ให้เกินขีดจำกัดที่ทำให้สูญเสียสติไป แต่ที
ละนิดที่ว่าเนี่ย แปบเดียวก็ไปแตะ 250% แล้ว…อืม ยังโอเคอยู่ แต่เสี่ยนสุดๆ อยากรีบกลับไปมีอะไรกับพวกฟรานจัง
ดูแล้วผมคงจะรับได้มากกว่านี้อีก เลยเพิ่มต่อไป แต่อานูบิสคงรู้แล้วว่าพลังผมเพิ่มขึ้น เลยทำหน้าตื่นตกใจ จนเมื่อค่าราคะไปแตะที่ 400% นั้นแหละ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นในหัวของผม
‘ฮ่าๆๆ ในที่สุดก็ก้าวข้ามมาจนได้ พลังราคะของเจ้านี้ไร้ขีดจำกัดจริงๆ งั้นข้าจะมอบพลังที่คู่ควรให้กับเจ้า’
มันเป็นเสียงเดียวกับที่ผมเคยได้ยิน ตอนทดสอบเพื่อเป็นจอมมาร จนได้รับพลังมารราคะมานั้นเอง
ขณะนั้นเองสกิลมารราคะของผมก็เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยมีคำว่า Plus เพิ่มขึ้นมาด้านหลัง แต่มันไม่ใช่แค่ชื่อที่เพิ่มขึ้นมาอีกคำ ทว่าผลของสกิลทั้งหมด
ได้เพิ่มขึ้นมาจากเดิม และผลที่เพิ่มขึ้นมานั้นเอง ที่ทำให้ผมคิดว่าตัวเองรับมืออานูบิสได้แล้ว
แถมเสียงในหัวยังบอกวิธีทำให้พลังราคะของผมอยู่ในจุดสมดุลด้วย ผมเลยทำตามดูด้วยการหยิบเอาเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ออกมา มันคือกางเกงในที่พึ่งถอดออกมาสดๆ วันนี้ของมิริน และผมก็ครอบมันลงบนหัวตามคำแนะนำ
กลิ่นที่สดใหม่ทำให้สมองผมโล่งขึ้นมา จิตที่ยุ่งเหยิงกลับมาสงบดังนํ้าในบ่อ พลังที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าราคะสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“ขอโทษที่ให้รอครับ ตอนนี้ผมพร้อมแล้ว”
“…งั้นข้าขอถาม ทำไมเจ้าถึงต้องเอากางเกงในสตรีขึ้นมาส่วมบนหัวด้วย!”
“อย่าใส่ใจเลยครับ คิดซะว่าเป็นเครื่องป้องกันของผมชิ้นหนึ่งล่ะกัน”
“ให้ตายสิ หลุดกรอบได้สมเป็นจอมมารจริงๆ แต่แบบนี้ข้าก็ใส่ได้เต็มกำลังเลยสินะ”
“ครับ ต้องการแบบนั้นอยู่แล้ว”
อานูบิสรู้สึกสนุกขึ้นมาทันที เลยจะลองวัดกำลังของผมดูก่อน เลยพุ่งเข้าใส่แบบตรงๆ และใช้สันมือสับเข้าใส่
ผมยกแขนขึ้นรับไว้ แต่พอสัมผัสถูกแขนของผมก็งอตามแรงสับ ทว่าอานูบิสกลับทำหน้างง เพราะเขารู้ว่าสัมผัสตอนที่ปะทะนั้น ไม่ใช่สัมผัสเหมือนได้หักกระดูกเลย
“ร่างกายของท่านนี้มันอย่างไงกันแน่!”
“ตอนนี้ร่างกายผมมีสภาพเหมือนดุ้นไปแล้วล่ะครับ ผมสามารถปรับขนาด ยืดหดได้ เพิ่มความทนทาน ความนุ่ม ความแข็ง และควบคุมการไหลเวียนของเลือดได้ ทั้งหมดที่ว่ามา ผมทำได้กับร่างกายทุกส่วนครับ”
“อึก! เป็นพลังที่น่าขยักแขยงสิ้นดี!”
“ผมก็ว่าแบบนั้นแหละครับ แต่ในเมื่อมันเป็นพลังของผม จะมองให้มันดูแย่ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ผมจะขอใช้พลังนี้อย่างเต็มที่เพื่อสู้กับคุณล่ะนะ”
ในนี้ผมได้ก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปแล้วจริงๆ ในหลายๆ ความหมายเลยด้วย ถ้าผมเป็นพวกซูปเปอร์ฮีโร่ มีหวังโดนเรียกว่าไอ้มนุษย์ดุ้นแน่ๆ
แต่พูดถึงศักยภาพของผมตอนนี้เนี่ย เป็นซูปเปอร์ฮีโร่จริงๆ นะ ขยายร่างก็ได้ เปลี่ยนผิวให้แข็งเป็นเหล็กหรือ
ยืดหยุ่นแบบยางก็ได้ทั้งนั้น ทว่าอันที่สุดยอดเลยคือการควบคุมการไหลเวียนของเลือดเนี่ยล่ะ
เพราะมันทำให้ผมกำหนดได้ว่าจะให้เลือดไหลเวียนไปส่วนไหน สมมุติมีแผลผมก็ควบคุมให้เลือดหยุดไหลได้ หรือถ้ารู้สึกเหนื่อย ก็เพิ่มอากาศเข้าไปในเม็ดเลือด หรือใช้เลือดลดปริมาณของกรดที่กล้ามเนื้อคายออกมาได้ นอกจากโดนตัดหัวแล้ว ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าตัวเองจะตายได้อย่างไง
แถมพลังของผมนั้นชนะทางอานูบิสเห็นๆ เพราะพลังหื่นของผมก็คือพลังแห่งการมีชีวิต ส่วนอานูบิสใช้พลังสายความตาย เวทมนต์แห่งความตายของอานูบิส เลยทำอะไรผมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามแต่ถูกผมแตะถูกตัว อานูบิสก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาแล้ว
จริงๆ ยังมีอีกหลายสกิลที่สามารถนำมาใช้ได้ แต่ผมว่าเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะเป้าหมายไม่ใช่เพื่อเอาชนะ แต่เพื่อให้อานูบิสสู้จนกว่าจะพอใจ ทว่าตัวอานูบิสเองคงลืมวัตถุประสงค์ไปแล้วล่ะ เพราะไม่ได้สู้เต็มที่แบบนี้มานานมากแล้ว เลยสนุกขึ้นมาจนลืมเรื่องอื่นไปหมด
ไพ่ตายของอานูบิสคือการปลดปล่อยพลังเทพของตัวเองออกมา ทำให้ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น และมีพลังมหาศาลแบบแค่ตบทีเดียวก็ขยี้เมืองทั้งเมืองได้เลย แต่ผมเองก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกัน งานนี้เลยเหมือนศึกยักษ์ตีกัน
จริงๆ อานูบิสมีพลังที่น่ากลัวมาก ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะสู้ได้เลยด้วยซํ้า เพราะเวทมนต์ของเขาสามารถทำให้วิญญาณของเป้าหมาย หลุดออกจากร่างได้ทันที แต่พลัง
การมีชีวิตของผมมันเยอะเกินไป เวทพวกนี้เลยไม่มีผล ทำให้ความเก่งของอานูบิสหายไปกว่าครึ่ง
แต่ผมเองก็ไม่ได้หลบการโจมตีของอานูบิสเลย ยอมรับทุกการโจมตีเอาไว้ เพื่อให้อีกฝ่ายได้ระบายความโกรธออกมา เพียงแต่มันเป็นดาบสองคม เพราะถึงได้ระบายความโกรธ แต่ต้องสูญเสียความมั่นใจไปด้วย ก็เล่นอัดมาเท่าไร อีกฝ่ายก็ยืนรับนิ่งไม่มีสะเทือน
หลังการต่อสู้ผ่านไปยี่สิบนาที อานูบิสก็หยุดหมัดที่กำลังจะชกใส่หน้าผม พร้อมกับถอนหายใจออกมา
“พอแล้วล่ะ ยิ่งสู้ข้ายิ่งเหมือนคนบ้า”
“แบบว่าไม่ได้ตั้งใจจะให้รู้สึกแบบนั้นเลยครับ แต่ถ้าผมไม่เอาจริง กลัวว่าคงตายไปแล้ว”
“ข้าเข้าใจ ท่านนี้ต่อให้ไม่ใช่จอมมารก็เป็นตัวอันตรายอยู่ดีแหละ แต่ข้าก็พอใจแล้ว ไม่ได้สู้แบบเอาจริงมาแบบนี้ตั้งนาน”
“แบบนี้ก็ถือว่าจบเรื่องแล้วนะครับ”
“อืม ข้าสั่งให้พวกศพกลับไปอยู่ตามเดิมแล้ว พวกของท่านปลอดภัยดีทุกคน”
“ขอบคุณครับ”
ผมรู้สึกโล่งอกที่จบปัญหาได้แล้ว แต่อานูบิสกลับเป็นฝ่ายรู้สึกติดค้างผม
“ใจจริงข้าก็อยากจะเข้ากับเผ่าปีศาจของท่านอยู่หรอกนะ แต่ข้ามีศักดิ์เป็นเทพจึงไม่อาจทำเช่นนั้นได้”
“ผมเข้าใจครับ แต่ถึงไม่ได้เป็นปีศาจ แต่พวกเราก็เป็นพันธมิตรกันได้ใช่ไหมครับ”
“แน่นอน ข้าต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน”
ผมกับอานูบิสจับมือกัน แสดงความเป็นพันธมิตรออกมา จากนั้นอานูบิสก็บอกข้อตกลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการเป็นพันธมิตร
แน่นอนว่าดันเจี้ยนลูปันยังเปิดทำการตามปกติ มอนสเตอร์ทุกตัวจะสู้ตามหน้าที่ แต่ว่าอานูบิสในฐานะบอสดันเจี้ยน ได้สร้างกฎใหม่ขึ้นมา นั้นก็คือนักผจญภัยที่ตายในดันเจี้ยนจะสามารถฟื้นคืนชีพได้ โดยจะถูกส่งร่างกลับไปที่ชั้น 1 อันนี้เป็นข้อเสนอของทางผมเอง
เพราะทำแบบนี้ทางดันเจี้ยนที่อานูบิสยึดเป็นบ้านไว้แล้ว จะได้ประโยชน์สูงสุด เพราะยิ่งมีนักผจญภัยมากขึ้น ดันเจี้ยนก็จะยิ่งเติบโตได้เร็วขึ้น และยิ่งดันเจี้ยนโตก็ยิ่งดึงดูดให้มอนสเตอร์เข้ามาอยู่ แบบนี้อานูบิสก็จะได้วิญญาณเพิ่มมากกว่ามาตามเก็บเอาจากนักผจญภัย
ส่วนผมยังรับปากว่าจะไม่ให้ดันเจี้ยนแห่งนี้ถูกพิชิตได้ กรณีถ้ามีใครลงไปถึงห้องบอสดันเจี้ยน ผมจะส่งคนมาช่วยคุ้มกัน แต่ผมว่าคงไม่มีวันนั้นหรอก มองอย่างไงดันเจี้ยนแห่งนี้ก็คงเคลียร์ไม่ได้เด็ดขาด ทั้งกว้างทั้งลึกแถมมอนสเตอร์เลเวลกระโดดอีก
อานูบิสพอใจกับข้อตกลงมาก เลยให้อภิสิทธิ์กับผมหลายอย่างเลย หลักๆ เลยคือการเรียกตัวอานูบิสได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเรียกว่าเพื่อชุบชีวิตใคร หรือเพื่อฆ่าใครก็ตาม ซึ่งผลของข้อตกลงนี้ยังหมายถึงพื้นที่นอกดันเจี้ยนด้วย
ส่วนอื่นๆ ก็เช่น จากนี้ไปทุกคนที่อยู่ในปาร์ตี้ของผม จะได้รับการคุ้มครองของอานูบิส ซึ่งจะทำให้ไม่ได้รับผลของเวทมนต์สั่งตายทุกประเภท รวมถึงคำสาปด้วย และ
ยังจะได้ไอเท็มและเหรียญเป็นสองเท่า จากมอนสเตอร์ในลูปันด้วย
แต่แน่นอนว่าจะไม่มีการแทรกแซงการล่าในดันเจี้ยน พวกผมจะต้องสู้ด้วยความสามารถของตัวเองเท่านั้น แต่เท่านี้พวกผมก็ได้คุ้มเกินกว่าคุ้มแล้ว
ก่อนจะลาไป อานูบิสยังอยากจะมอบสมบัติให้ แต่ผมคิดว่ามันมากเกินไป และไม่อยากเหมือนกับว่าผมมาเรียกเก็บค่าคุ้มครอง เลยไม่ขอรับเอาไว้
ตอนนี้เผ่าปีศาจก็ได้พันธมิตรอย่างเป็นทางการแล้ว นั้นก็คืออานุบิสเทพแห่งความตาย ผู้ปกครองดันเจี้ยนลูปัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...