ตอนที่ 111 คํ่าคืนแห่งการนองเลือด
หลังจากพวกผมกลับมาสำรวจที่ชั้น 11 กันอีกรอบ ก็เจอทางลับจริงๆ ด้วยสกิลมองทะลุของผม ทำให้เห็นทางที่ซ่อนเอาไว้ มันเป็นสุสานขนาดเล็กที่ดูกลืนไปกับรอบๆ เพียงแต่ไม่มีคำจารึกอะไรเขียนเอาไว้ ไม่แปลกที่คนอื่นจะมองข้ามมันไปหมด
พอเลื่อนเอาแผ่นหินออก ก็เป็นทางลงไปชั้นต่อไปจริงๆ แต่ทางเดินค่อนข้างเล็กสักหน่อย ทุกคนดูตื่นเต้นกันมาก เพราะจะได้เป็นคนกลุ่มแรกที่จะลงไปสำรวจชั้นใหม่ ที่ไม่เคยมีใครลงไปมาก่อน ผมเองก็ยอมรับว่าตื่นเต้นอยู่นิดๆ
เมื่อลงมาถึง ผมกับทุกคนก็ต้องอ้าปากค้าง อารมณ์ประมาณอยากเรียกเอาอานูบิสออกมาด่าจริงๆ ว่าคิดอย่างไงถึงสร้างดันเจี้ยนแบบนี้
ชั้น 12 ที่แท้จริง เป็นเขาวงกตเต็มรูปแบบ ตรงทางเข้าเป็นพื้นที่โล่งยาวไปเกือบห้าร้อยเมตร แต่กว้างเป็นกิโล แต่ถัดไปคือกำแพงสีขาวที่สูงจรดเพดาน มีช่องทางเข้าเป็นช่องเล็กๆ กว้างแค่เมตรครึ่ง มองดูจากตรงนี้ยังรู้เลย ข้างในต้องเป็นเขาวงตกแน่ๆ
“เขาวงกต”
“อืม เขาวงกตแน่ๆ”
ขนาดพวกสาวๆ ยังเห็นด้วยเลย
“เอาไงดีค่ะท่านโรมะ”
มอเรียหันมาถามผม เพราะเธอเองก็คงคิดแบบเดียวกัน
ทางวงกตแบบนี้ไม่เหมาะกับปาร์ตี้ผมเลย เพราะมันแคบมาก เวลาเจอมอนสเตอร์จะต้องสู้แบบตัว
ต่อตัวเท่านั้น ซึ่งปาร์ตี้ผมเน้นทำงานกันแบบจับคู่กันสู้เป็นหลัก แถมยังเป็นเขาวงกตแบบกำแพงสูงติดเพดาน ทำให้เวลาเข้าไปจะไม่รู้ทิศทางเลย ถึงจะมีเรดาร์ช่วย แต่ก็ยังยากอยู่ดีที่จะคลํ้าทางไปแบบไม่รู้ทิศ ถือเป็นงานช้างเลย ถ้าคิดจะสำรวจชั้นนี้
“ไม่ไหว คงต้องกลับกันแล้ว ถ้าจะผ่านชั้นนี้คงต้องใช้เวลานานมาก แถมจุดตั้งค่าย…”
พอผมกำลังจะบอกเรื่องจุดตั้งค่าย ที่ข้างในเขาวงกตคงไม่มีพื้นที่ให้แน่ ผมก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ขณะที่มองไปดูรอบๆ อีกครั้ง
“นี้มันใช้ได้เลยนี่น่า”
ถึงจะพูดกับตัวเองเบาๆ แต่พวกสาวๆ ได้ยินเลยรีบถามอย่างสนใจ ว่าผมเจออะไรเข้า
“มอเรีย คิดว่าถ้าจะลงมาชั้นนี้ ต้องใช้เวลากี่วันเหรอ”
“ถ้าเป็นปาร์ตี้มากประสบการณ์ ก็น่าจะวันครึ่งค่ะ”
“สรุปคือแค่ไปกลับก็สามวันแล้วสินะ”
“ใช่ค่ะ”
“ไม่คิดว่ามันเสียเวลามากเกินไปเหรอ”
“ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ ก็ดันเจี้ยนมันกว้างซะขนาดนี้”
“ใช่ กว้างมากเลยล่ะ”
“นี้โรมะคิดอะไรอยู่ก็บอกออกมาได้แล้ว”
อาเดไลท์ทักขึ้นมาแทนทุกคนที่อยากรู้เต็มแก่แล้ว
“ผมว่า…ที่นี้เหมาะจะสร้างโรงแรมนะ”
“โรงแรมในดันเจี้ยนเหรอค่ะ!”
“อืม ก็ดูสิ แถวนี้ไม่มีมอนสเตอร์เลย บางทีอาจเป็นพื้นที่เดียวของชั้นนี้ที่ปลอดมอนสเตอร์เลยนะ แถมยังเป็นที่โล่งกว้าง ที่สำคัญไม่ต้องเสียเงินค่าที่ด้วย”
“…จริงด้วย”
มอเรียคิดถึงกฎในระบุไว้ เลยพยักหน้าตาม ถึงจะมีใครมาสร้างโรงแรมในดันเจี้ยน ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้อยู่แล้ว
“แล้วดูอย่างปาร์ตี้ของโบสถ์ใหญ่สิ ที่มีปัญหาเรื่องเสบียง ถ้าเราสร้างโรงแรมที่นี้ ก็จะช่วยแก้ปัญหานั้นไปได้”
“เห็นด้วยค่ะ เพราะเขาวงกตแบบนี้คงต้องใช้เวลานานมากกว่าจะผ่านไปได้ การมีจุดเติมเสบียงแบบนี้ จะช่วยได้มากเลย แต่ว่าจะทำอย่างไงกับการขนส่งเหรอคะ? ถึงพวกเราจะขนของกันได้ในปริมาณมาก แต่ยังต้องใช้เวลาเดินทางอยู่ดี”
มอเรียที่เป็นพนักงานกิลนักผจญภัยมาก่อน เลยเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ดีกว่าคนอื่นๆ แถมยังมองเห็นจุดอ่อนด้วย
“เรื่องนั้นผมคิดไว้นานแล้ว ถ้ายิ่งถ้าลงลึกไปในดันเจี้ยน ยิ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางมาก เลยให้เพื่อนคนหนึ่งสร้างอุปกรณ์เวทสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว”
เพื่อนที่ว่าก็คือหน่วยวิจัยของเผ่าปีศาจนั้นแหละ ผมแนะนำเรื่องอุปกรณ์เวทที่ใช้วาปร์ได้แบบเดียวกับกระดาษวาปร์ของมุเอมะ แต่ไม่จำกัดการใช้งาน
แค่เติมพลังมาน่าเข้าไปมันก็ใช้ได้แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะทำกันเสร็จแล้ว
พอผมพูดจบ ตรงหน้าก็มีแท่นเหยียบทรงกลมที่มีเสาหินสี่เสาล้อมรอบ ตรงลงมาตรงหน้าสองชุด
“…”
นี้ผมโดนมุเอมะจับตาดูอยู่ตลอดจริงๆ ด้วยสินะ แค่พูดถึงก็ส่งมาให้ทันทีเลย แต่นี้มันจะเกินไปหน่อยนะ
“พ เพื่อนของนายท่านสุดยอดเลยค่ะ! สามารถส่งของที่ต้องการมาให้ได้ทันทีเลย”
เดเม่ตามนํ้าได้ดีมาก! อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับผม เธอจะมองให้โอเวอร์เอาไว้ก่อนสินะ
เรื่องวิธีใช้งาน ผมเป็นคนออกแบบเอง เลยต้องรู้อยู่แล้ว แต่ต้องทดสอบการใช้งานก่อน
แท่นวาปร์นี้ถึงจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แบบเข้าไปยืนได้พร้อมกับสิบคน แต่เคลื่อนย้ายสะดวก เพราะผมให้ติดล้อยางเอาไว้ด้วย พอจะใช้งานก็ปล่อยขาตั้งออกมายึดให้ติดกับพื้น ถ้าอัดพลังมาน่าเต็มๆ ก็น่าจะใช้ได้ 5 รอบ แต่แค่นักเวทคนเดียวก็เติมมาน่าให้เต็มได้แล้ว จึงไม่ใช่ปัญหา
ทุกคนต่างยกมือขึ้นอาสาทดลองใช้งาน เพราะรู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นกันเอามากๆ อย่างไงก็กะใช้ทดสองสองรอบอยู่แล้ว เลยให้แบ่งๆ กันไป
ผมเลื่อนให้แท่นวาปร์ทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณร้อยเมตร และเริ่มการทดสอบการใช้งานทันที
ร่างของทุกคนถูกย้ายจากแท่นหนึ่งไปยังอีกแท่นหนึ่งในพริบตาเดียว แต่กลับไม่มีใครดีใจเลย กลับทำหน้าเศร้าๆ กันแทน
“ผิดหวังอ่ะ ไม่เห็นมีอะไรเลย”
ดาเซสบ่นขึ้นมาเป็นคนแรก นี้หล่อนอยากให้มันมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือไง!
“เร็วมาก ไม่ทันรู้สึกอะไรเลย”
ยูรินเองก็บ่นตาม พวกนี้ชอบเรื่องตื่นเต้นสินะ ไว้กลับบ้านไปจะจัดให้หนักเลย
หลังจากทดสอบทั้งสองเครื่องแล้ว ก็ไม่พบปัญหาแต่อย่างใด ผมเลยเก็บเครื่องหนึ่งเข้ากระเป๋า ส่วนที่หมายที่จะเอาไปติดตั้ง ผมเลือกที่กิลนักผจญภัย เพราะเครื่องนี้ผมจะเปิดให้ทุกคนใช้งานได้ จะได้ร่นเวลา
เดินทางได้ แต่ผมไม่คิดจะสร้างออกมาเยอะหรอก เดี๋ยวอานูบิสจะหาว่าผมโกง แล้วการเคลียร์ดันเจี้ยนเร็วเกินไปก็ไม่ดีด้วย
แต่ก่อนอื่นต้องเอาไปติดไว้ที่คฤหาสน์ก่อน เพราะถ้าจะสร้างโรงแรม จะต้องใช้พวกไรโมดอลช่วย ส่วนอีกเครื่องผมทิ้งไว้ที่นี้ โดยใช้ผ้าพันคอสารพันนึกพันเอาไว้ แล้วแปลงสภาพให้คนทั่วไปเห็นเป็นเพียงก้อนหิน
ส่วนเรื่องการค้นพบชั้นนี้ ผมให้ปิดเป็นความลับก่อน เพราะเกิดมีคนผ่านไปผ่านมา มันจะก่อสร้างไม่สะดวก
พวกผมรีบกลับออกมาทันที และก็ได้เจอพวกโกร่ากับกรอเรียรออยู่ที่ชั้นสิบ ผมแปลกใจที่กรอเรียไปกลับไปพวกโบสถ์ใหญ่ แต่เธอบอกว่าส่งใบรายงานตัวไปกับเอนันโด้แล้ว ตอนนี้เลยไม่ต้องกลับไปที่โบสถ์ใหญ่
เห็นว่าต้องมีการรายงานตัวทุกๆ เดือน ไม่งั้นจะโดนตัดเงินเดือนและโดนคาดโทษด้วย
ระหว่างทางกลับ กรอเรียปรึกษากับผมเรื่องจะเปิดสาขาโบสถ์ใหญ่ที่เมืองกรอซ่า แต่พวกโกร่าที่ได้ยินก็พากันหัวเราะ และบอกว่าไม่มีทางหรอก เพราะที่กรอซ่าล้วนแต่เป็นพวกนอกรีต ขนาดขุนนางยังไม่สนใจเลย ขืนเปิดขึ้นมาก็เป็นโบสถ์ร้างอยู่ดี
“…ไม่หรอก ยังมีวิธี”
พอผมทักกรอเรียก็หันมามองผมด้วยตาเป็นประกายทันที นี้ทำไมต้องจ้องผมแบบเดียวกับพวกฟรานด้วยนะ
“แต่เรื่องนี้เธอจะต้องยอมเจอกันครึ่งทางนะ”
“เจอกันครึ่งทาง?”
“ใช่ คือแทนที่จะเปิดเป็นโบสถ์ ก็ให้เปิดเป็นโรงเรียนสอนหนังสือซะ”
“แต่แบบนั้น”
“ฟังก่อนๆ ไม่ได้จะให้เธอสอนแต่หนังสือหรอก แต่สามารถแทรกเอาวิชาที่เป็นคำสอนของโบสถ์ใหญ่ลงไปได้ด้วย เหมือนโรงเรียนสอนศาสนาไง”
“แบบนี้เอง”
กรอเรียพยักหน้าแบบสนใจ
“เท่าที่ผมรู้ โรงเรียนสอนหนังสือทั่วไป จะมีค่าเรียนที่แพงมาก แต่ถ้าเปิดสอนฟรีๆ อย่างไงก็ต้องมีคนเรียนอยู่แล้ว เพราะอย่างไงเธอก็ไม่ได้หวังกับรายได้ตรงส่วนนี้อยู่แล้วจริงไหม”
“ค่ะ รายได้จากโบสถ์ใหญ่มาจากการให้พรเสริมพลังแก่นักผจญภัย และการบริจาคเป็นหลัก”
“นั้นแหละ ถ้ามีนักเรียนเยอะ ก็ต้องมีบางคนที่หันหน้าเข้าเป็นสมาชิกแบบเต็มตัวบ้างล่ะ ถึงตอนนั้นก็จะได้เงินบริจาคมาเอง”
“ถ้าเช่นนั้นฉันต้องรีบทำเรื่องเสนอกับทางโบสถ์ใหญ่แล้ว!!!”
พอได้ฟังแผนของผม กรอเรียก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที แต่โทษทีนะ ผมไม่ได้แนะนำฟรีๆ หรอก แต่แลเห็นผลประโยชน์ร่วมกันอยู่
“ถ้าเสนอเรื่องก็ต้องรอเวลานานใช่ไหม แถมไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า เอางี้ไหม ผมจะออกเงินค่าก่อสร้างให้”
“เอ๋!”
“ลืมแล้วเหรอ รอบนี้พวกเราได้เงินมาเยอะเลยนะครับ แถมยังมีการ์ดศพที่ยังไม่ได้ใช้อีกหลายใบเลย”
“เดี๋ยวก่อนโรมะ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ หรอกนะ แต่ในเมืองยังมีพวกที่ลัทธิเทพ ที่บูชาพวกเทพซึ่งเป็นฝ่ายตรงกนข้ามของโบสถ์ใหญ่อยู่ ขืนไปสร้างโบสถ์ในเมือง มีหวังโดนพวกนั้นเล่นงานแน่”
โกร่าทักขึ้นมาก่อน เลยทำให้กรอเรียทำหน้าสลดไปอีกครั้ง
“ถ้าสร้างนอกเมืองก็ไม่มีปัญหาสินะ”
“อ่ะ เอ่อ ก็น่าจะเป็นแบบนั้น”
“งั้นก็มาใช้พื้นที่รอบคฤหาสน์ผมได้เลย ถึงจะอยู่นอกเมืองแต่ไม่ต้องเสียค่าที่ แถมมีพื้นที่ให้ใช้สอยเพียบเลย”
ผมไปตรวจดูมาแล้ว พื้นที่ตอนที่ซื้อบ้านมา มันรวมที่ดินตั้งแต่หน้าเมืองไปจนถึงนํ้าตกเลย แต่ขนาดถนนยังไม่มีให้ ราคามันเลยตกลง
ส่วนเรื่องผลประโยชน์ที่ว่านั้น ถ้าผมช่วยในการสร้างสาขาของโบสถ์ใหญ่ ผมก็จะได้พวกกรอเรียเป็นกันชนจากโบสถ์ใหญ่ให้ เพราะเรื่องคราวนี้ผมไม่คิดว่าแค่ปล่อยตัวเรเดียไป แล้วจะไม่มีใครเอาเรื่องหรอก แต่แทนที่จะสู้ตามลำพัง ผมดึงให้พวกกรอเรียมาช่วยเป็นแรงเสียดทานให้อีกทางด้วยดีกว่า
กลุ่มของกรอเรียเลยตัดสินใจตามผมกลับไปที่คฤหาสน์ด้วย เพราะถ้าเป็นไปได้ ทั้งผมและกรอเรียเองก็อยากให้มันเสร็จเร็วที่สุด
ผมโล่งอกที่ตอนกลับมา ไม่มีการดักเล่นงาน แปลว่าพวกเรเดียยอมถอยแล้ว
พอออกมา พวกโกร่าก็ขอแยกตัวไปที่กิลก่อน เพราะต้องไปรายงานผล และงานนี้มันเละเทะมาก เลยต้องไปเคลียร์กันอีกที
ผมเลยไปรับรถม้าที่ฝากไว้ และพากันกลับคฤหาสน์ทันที
พอมาถึงก็ต้องตกใจเล็กน้อย เพราะเห็นกำแพงสูงขึ้นจากเดิมหนึ่งเมตร และยังมีทางเดินด้านบนด้วย นี้พวกไรโมดอลขยันสร้างจนกลายเป็นป้อมปราการไปแล้ว รู้ตัวกันไหมเนี่ย
แต่พอเข้าไปก็พบกับพวกแฟรี่ที่ตัวสูงประมาณ 20 เซน กำลังใช้เวทมนต์ยกหินขึ้นไปก่อกำแพง ผมรีบโดดลงจากรถม้าตรงเข้าไปถามไรโมดอลตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ทันที เลยได้ความว่า
พวกแฟรี่ได้ข่าวว่ามีมอนสเตอร์อาศัยอยู่ในคฤหาสน์นี้อย่างสงบสุข เลยพากันอพยพมาอยู่ด้วย ไม่ใช่แค่แฟรี่ ยังมีพวกมอนสเตอร์รักสงบอีกหลายเผ่า เริ่มย้ายมาสร้างรังกันในป่าที่ติดกับคฤหาสน์แล้ว
ผมกลัวโมอากับเมยอาจะตื่นตกใจกับเรื่องนี้ เลยรีบรุดกลับไปที่คฤหาสน์ทันที แต่ที่ไหนได้ ภาพที่เห็นคือพวกเธอกำลังเล่นอยู่กับฝูงกระต่าย แต่ไม่ใช่กระต่ายธรรมดานะ มันคือมอนสเตอร์ที่เรียกว่า ไจแอนต์แรบบิท หรือก็คือกระต่ายที่ตัวใหญ่หนึ่งเมตร และมีขน
หนาจนดาบฟันไม่เข้า แถมฟันแหลมขนาดกัดชุดเกราะเหล็กเข้าด้วย
แต่พอมาอยู่กับสองแม่ลูกแล้ว พวกนี้หมดความน่ากลัวไปเลย พวกมันนอนหงายท้องให้พวกเธอขึ้นไปนอนกอดเฉย พวกฟรานเห็นว่าสนุกดี เลยโดดลงไปเล่นด้วย ผมเลยต้องปล่อยเลยตามเลย อนุญาตให้พวกมอนสเตอร์เข้ามาอยู่ในพื้นที่คฤหาสน์ได้ แต่ถ้าตัวไหนก้าวร้าวและทำร้ายคนขึ้นมา ผมก็ถือเป็นมอนสเตอร์ที่ล่าได้ทันที
ส่วนเรื่องความปลอดภัยคริสติน่ารับปากว่าจะดูแลเอง ไม่ให้พวกสาวๆ ต้องถูกมอนสเตอร์ทำร้ายอย่างแน่นอน เพราะพวกที่มาอยู่นี้ เธอเองก็เป็นคนคัดเองกับมือ
ผมให้กรอเรียไปพักกันก่อน เพราะถึงออกมาจากดันเจี้ยนคงยังเหนื่อยๆ กันอยู่ ส่วนผมเองก็เก็บกดมาหลายวัน ถึงเวลาต้องปลดปล่อยแล้ว
แต่งานนี้ไม่ใช่ผมลากสาวๆ ขึ้นเตียงแฮะ แต่เป็นฝ่ายโดนลากไปเอง เพราะแค่ปิดประตูลง ฟรานก็กระโดดเกาะผมทันที ยูรินเองก็ถอดเสื้อเตรียมรอไว้เลย
ไม่ใช่แค่ผมที่เก็บกด แต่พวกสาวๆ เองก็อดทนมาตลอด พอกลับมาถึงบ้านก็เลยระเบิดออกมาทันที งานนี้ทุกคนเข้าร่วมวงด้วย ยกเว้นซาคุยะ โรสลิน จามิร่า กับเมยอาที่แยกตัวไปเหมือนเอร่า
งานนี้ผมจัดหนักแบบสิบชั่วโมงติด เล่นเอาทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นแปลกๆ ทุกคนนอนสลบกันเต็มพื้น เพราะได้ปลดปล่อยออกมาจนหมด ผมได้เรียนรู้อีก
อย่างหนึ่ง ว่าไม่ควรให้พวกสาวๆ อดอยากเรื่องเซ็กส์ ไม่งั้นพวกเธอจะกลายเป็นม้าป่าขึ้นมาทันที
แต่งานนี้ผมเก็บโมอาเอาไว้ท้ายสุด เพราะมีอะไรให้เธอแปลกใจ ผมอุ้มเธอขึ้นในขณะที่ยังเสียบอยู่ร่องของเธอ ซึ่งไม่แปลกอะไรเพราะเคยทำกันมาแล้ว
แต่คราวนี้ผมไม่ได้พาเธอไปข้างนอก แต่พามาที่ห้องของเธอกับเมยอา
ถึงจะดึกแล้ว แต่เมยอาดูเหมือนจะยังไม่นอน แต่นั่งทำบัญชีรายได้ที่ผมพึ่งโยนให้เธอไปตอนที่กลับมาถึง
ทั้งคู่พากันตกใจ แต่ไม่มีใครโวยวายอะไร เมยอาเองก็มองมาที่ผมแบบมีความหมาย เธอคงอยากทำแบบคราวก่อน แต่คราวนี้พิเศษหน่อย เพราะผมเอาดุ้นเทียมติดมาด้วย
แน่นอนว่าผมต้องขออนุญาตจากทั้งสองคนก่อน ซึ่งทั้งสองแม่ลูกก็พยักให้แบบเขินๆ พอผมสอนวิธีใช้ให้กับเมยอาแล้ว เธอก็ไม่รอช้า ตรงเข้าไปหาโมอาทันที แต่เธอรีบร้อนมากจนผมต้องค่อยๆ สอนเธอไปด้วย โมอาเองก็คอยนำให้ ทำเหมือนเด็กหนุ่มโดนขึ้นครูเลยแฮะ
เมยอาเสียบเข้าไปได้ไม่นานก็นํ้าแตก คงตื่นเต้นมากเกินไป แต่ดุ้นปลอม ถ้ายังมีอารมณ์อยู่มันก็ยังคงแข็งตัวได้ เมยอาเลยต่อยกสองซึ่งเธอทำได้ดีขึ้น
โมอาเองก็เสียวมากจนร้องดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่ทั้งจูบและผลัดกับดูดหน้าอกไปด้วย เมยอาจำที่ผมทำเอาใช้พอสมควร แต่ยังเก่ๆ กังๆ อยู่ ส่วนผมแค่นั่งดูก็ตื่นเต้นแล้ว แบบนี้ไม่ใช่จะหาดูได้ง่ายๆ ซะด้วย
ทว่าจู่ๆ เมยอาก็คว้าดุ้นผมเข้าไปดูด แถมดูดแบบหื่นสุดๆ ขนาดครั้งแรกเธอยังดูดได้ราวกับผู้มีประสบการณ์เลย โมอาไม่ยอมน้อยหน้าแย่งเอาดุ้นผมไปดูดบ้าง ทั้งคู่เลยผลัดกันดูดดุ้นผมอย่างอร่อย ขณะที่ยังกระแทกเอวใส่กันอย่างไม่ยั้ง เสียงนํ้าดังแฉะๆ และกระเด็นไปทั่ว แล้วเมยอาก็เสร็จอีกครั้ง รอบนี้โมอาก็เสร็จแล้ว
ก่อนลงมาผมก็จัดโมอาไปแล้วสองยก ประตูหน้ายกหนึ่งประตูหลังอีกยก รอบสามนี้คงถึงขีดสุดแล้ว เธอเลยหมดแรงขยับตัว แต่เมยอานี้สิ เหมือนจะยังไม่ยอมจบ เธอดึงเอาดุ้นปลอมออก และจับดุ้นผมเข้าไปในถํ้าเธอเอง เธอทำเร็วมากแถมผมไม่คิดว่าเธอจะยอมทำกับผมด้วย เลยไม่ทันระวัง ดุ้นของผมเลยแทรกเข้าไปในหอยที่ยังไม่เคยใช้งานมาก่อน
เสียงฉีกขาดของเยื่อพรหมจรรย์ของเธอดังจนผมได้ยิน แต่เลือดไหลออกมาไม่มาก เมยอาตัวสั่นด้วยความเจ็บปวด และหยุดเคลื่อนไหวไป แน่ล่ะ จู่ๆ ก็เสียบเข้าไปผมยังไม่ได้ปรับขนาดดุ้นให้เหมาะกับเธอด้วย แบบนี้คงเจ็บสุดๆ ไปเลย
ผมจับเมยอานอนลง และค่อยๆ เล้าโลม ด้วยการจูบและเล่นกับหน้าอกของเธอ จนหอยเธอเริ่มคลายตัวลง ผมจึงปรับขนาดดุ้น และค่อยๆ ขยับอย่างช้าๆ เมยอาซี๊ดปากตามตลอดทุกครั้งที่ผมดึงดุ้นออกมา และร้องครางอย่างดังตอนที่ขยับดันเข้าไป เสียงร้องของเธอนี้ยิ่งกว่าโมอาซะอีก มันเร้าอารมณ์มาก
เธอเริ่มติดใจและขอให้ผมทำแรงขึ้น แต่พอผมเร่งสปีด เธอก็ชิงเสร็จไปซะแล้ว ขาของเธอพันรอบเอวผมราวกับงู หอยของเธอก็ทั้งตอดทั้งดูด จุดเด่นของเธอ
คือช่วงเวลาที่เสร็จของเธอจะนานกว่าคนอื่น ระหว่างนี้ดุ้นผมเลยเหมือนถูกนวดไม่หยุด
ระหว่างพักเครื่อง ผมก็เล่นหน้าอกของเธอต่อ ผมค่อนข้างชอบนะ เพราะถึงจะเล็กและมีลักษณะเหลวเป็นถุงนํ้าเหมือนของโมอา แต่มันดูเซ็กส์ซี่ดี ยิ่งเวลาดูดมันให้ความรู้สึกที่ดีในปากเอามากๆ
แต่พอจะต่ออีกยก ผมก็หันไปเห็นโมอาที่หยิบดุ้นปลอมมาใส่ และหันมาหยิบตาให้ผม ผมเลยจับอุ้มตัวเมยอาขึ้น และโมอาเข้าจากประตูหลังแบบประกบแซนวิส
ถึงโมอาจะขอโทษผมที่ชิงเอาความบริสุทธิ์รูตูดของลูกสาวเธอไปเอง แต่เธอกลับทำท่าชอบมาก และขยับเอวไม่หยุด แต่ผมสงสารเมยอาแฮะ เป็นครั้งแรกก็โดนแซนวิสซะแล้ว แถมดูท่าจะเกินกว่าที่จะรับไหว
เลยตาค้างลิ้นห้อยไปแล้ว กว่าผมกับโมอาจะเสร็จ เมยอาก็สลบไปซะก่อน
หลังจากเสร็จกิจสองแม่ลูกก็กอดกันกลม ผมเห็นแล้วก็อมยิ้ม และทำการคลีนนิ่งพวกเธอก่อนจะห่มผ้าให้ ก่อนจะกลับออกมาแบบเงียบๆ
แต่ตอนเดินขึ้นมาบนชั้นสอง ผมก็ถูกฉุดเข้าไปในห้อง จากแรงที่ดึงแขนผมเข้าไป ผมว่าน่าจะเป็นจามิร่า เพราะเท้าผมลอยขึ้นมาเลย
ผมถูกโยนลงบนเตียงอย่างแรง แขนก็ถูกยกขึ้นไขว้กันและกดไว้อย่างแรงจนกระดุกกระดิกไม่ได้ ผมตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือเมลอนลูกโตสองใบ จามิร่าอยู่ในสภาพไม่ใส่อะไรสักชิ้น และกำลังจับดุ้นผมจ่อเข้าถํ้าของเธออยู่
นี้ผมกำลังโดนข่มขืนอยู่เหรอ! ไม่สิ กรณีอย่างผมไม่นับว่าเป็นการข่มขืนหรอก ก็ผมน่ะสมยอมกับทุกคนที่อยากมีอะไรกับผมอยู่แล้ว
แต่ผมเห็นจามิร่าแล้วรู้สึกว่าเธอมีรูปร่างที่ดีมาก เทียบได้กับนางแบบเลย เพราะมีทั้งส่วนสูงและกล้ามเนื้อที่เข้ารูป ไม่ได้เป็นสาวกล้ามแบบโกร่า
จามิร่ากดสะโพกลงมาทีเดียวก็กลืนดุ้นผมเข้าไปทั้งอัน ข้างในเธออุ่นกำลังดี แถมลื่นหน่อยๆ เหมือนมีโลชั่นทาไว้ ซึ่งจุดนี้เป็นเอกลักษณ์ของเผ่ายักษ์ ที่เพศหญิงจะหลั่งสารหล่อลื่นแบบพิเศษออกมาเหมือนโลชั่นมากเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดความเจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
เพราะงั้นถึงจะมีเลือดไหลออกมา แต่จามิร่าก็ควบผมด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ขณะเดี๋ยวกันนั้นเองโรส
ลินก็เคลื่อนตัวออกมาจากเงามืดตรงมุมห้อง และนั่งคุกเข่าลงข้างๆ เตียง
“ขอโทษด้วยนะคะท่านโรมะ แต่พวกเราตัดสินใจกันไว้แล้ว ว่าถ้ากลับมาแล้วจะมอบความบริสุทธิ์ให้กับท่าน และด้วยธรรมเนียมของเผ่าเรา ฝ่ายหญิงจะต้องทำการกดฝ่ายชายด้วยวิธีนี้ค่ะ”
ผมเข้าใจสิ่งที่โรสลินบอก ว่ามันไม่ใช่แค่การยอมให้ครั้งแรกเฉยๆ เพราะเผ่ายักษ์ถ้ามีอะไรกับใครแล้ว จะต้องยอมมอบทุกอย่างของตัวเองให้อีกฝ่ายไปชั่วชีวิต นั้นหมายถึงเธอยอมมอบชีวิตให้กับผมเลย
แต่ระหว่างที่ผมกำลังอึ้งอยู่ จามิร่าก็เคลื่อนติดขึ้นมา และกระแทกเอวใส่ผมอย่างแรง แบบที่สะเทือนไปทั้งบ้านเหมือนมีใครมาตอกเสาเข็มอยู่ ถ้าเป็นคน
ธรรมดามาโดนกระแทกแบบนี้ใส่ มีหวังเอวหลังพังหมด เผลอๆ ดุ้นจะหักคาถํ้าเอาได้
แล้วผมคงประมาทเผ่ายักษ์ไปจริงๆ เพราะการที่โดนกระแทกแรงแบบไม่หยุดเลย ทำให้ผมควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ เกือบเผลอเสร็จก่อนไปแล้ว ต้องใช้พลังมารราคะควบคุมตัวเองเอาไว้ และรอเสร็จพร้อมกับจามิร่า แต่พอถึงตอนที่จามิร่านํ้าแตก เธอกลังคำรามออกมาเสียงดังจนผมตกใจจนลืมเสร็จไปด้วย นี้ไม่ใช่แค่กระแทกแรงแต่เสียงยังดังอีก
เมื่อเธอเห็นว่าผมยังไม่เสร็จ ก็เลยกระแทกเอวต่ออีกจนผมปล่อยใส่ข้างในเธอไป ถึงจะยอมหยุด น่ากลัวจริงๆ เผ่ายักษ์
พอจามิร่าลุกออกไป โรสลินก็เข้ามาเสียบต่อทันที
“นี้เธอก็ด้วยเหรอ!”
“ค่ะ บอกแล้วไงค่ะ ว่าพวกเราตัดสินใจแล้ว”
พวกเราในที่นี้หมายถึงเธอด้วยสินะ ระหว่างที่คิดอะไรอยู่นั้น โรสลินก็ดันดุ้มผมเข้าไปในถํ้าเธอแล้ว
โรสลินต่างจากจามิร่ามาก เธอเป็นเหมือนเด็กสาวทั่วไป ตัวเล็กและบอบบาง ข้างในเธอเลยแน่นกระซับยิ่งกว่าของจามิร่า แถมเหยื่อพรหมจรรย์เธอเป็นแบบหนา เวลาฉีกขาดทำให้มีเลือดออกเยอะและจะเจ็บมาก แต่โรสลินกัดฟันทน และเริ่มขยับเอว
ใช่ ทั้งๆ ที่เธอควรจะเป็นเด็กสาวอ่อนแอ แต่ว่า…พอได้ควบเท่านั้น เธอก็กลายร่างเป็นยักษ์ในทันที ไม่ใช่ในฐานะรูปกาย แต่ความดิบเถื่อนของเธอ
เหนือกว่าของจามิร่าซะอีก เธอกระแทกใส่ผมจนขาเตียงหัก แต่ก็ยังไม่ยอมหยุด เธอกระแทกต่อจนผมต้องยอมจำนนและฉีดนํ้าใส่มดลูกเธอจนเต็ม
แต่มันยังไม่จบ สองพี่น้องยักษ์ยังผลัดเวียนกันมาข่มขืนผมต่อ แถมไม่ยอมให้ผมพลิกตัวทำอะไรได้เลย พวกเธอเอาแต่จับแขนผมกดไว้ และกระแทกใส่ฝ่ายเดียว ผมฉีดนํ้าเชื้อใส่จนเต็มท้องพวกเธอถึงจะยอมหยุดกันได้ แต่ทั้งสองยังดูแข็งแรงดีอยู่เลย ตอนนี้ผมต้องเพิ่มลงไปในข้อมูลของเผ่ายักษ์แล้ว ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่เซ็กส์จัดขนาดไหน
ผมต้องเดินขาสั่นกลับออกมาจากห้องพวกเธอ นี้ขนาดได้พลังมารราคะช่วยนะ มนุษย์กับยักษ์ธรรมดานี้คงมีอะไรกันไม่ได้จริงๆ นั้นแหละ สเปกของร่างกายมันต่างกันเกินไป
ไอ้ที่เก็บกดไว้ตลอดทั้งอาทิตย์โดนสองพี่น้องดูดไปหมดแล้ว เบาตัวเลยงานนี้
แต่ตอนเดินขึ้นไปบนชั้น 3 ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ แฮะ หรืออาจจะเหนื่อยเกินไปเลยรู้สึกไปเองล่ะมั่ง แต่พอขึ้นมาถึงก็เจอซาคุยะยืนกอดอกดักรออยู่
“ย ยังไม่นอนเหรอ”
“ใครจะนอนหลับย่ะ! เล่นขย่มกันจนสั่นไปทั้งบ้านเนี่ย แถมร้องกันซะดังเลย”
“ขอโทษที ต่อไปจะระวังไว้”
“แค่ขอโทษไม่พอหรอก”
อ่ะ เดจาวู ผมโดนดึงแขนแล้วลากเข้าห้องอีกแล้ว
“ได้ยินแบบนั้นไป ใครจะสงบใจให้หลับได้ นายต้องช่วยฉันเดี๋ยวนี้เลย”
ซาคุยะบอกพร้อมกับจับผมถอดเสื้อออก จริงๆ ควรบอกว่ากระชากออกเลยมากกว่า ส่วนเธอใส่ชุดนอนเป็นชุดกระโปรงยาวๆ แถมบางจนเห็นชุดชั้นใน เธอเองก็คงศึกษาเรื่องความชอบผมมาพอสมควรเลย วันนี้เลยจัดชุดออกศึกมาเต็มที่
แต่เธอคือสาวจิ้นที่ไม่ประสีประสา เธอเลยอายจนหูแดงที่ต้องมาเป็นฝ่ายรุกแบบนี้ ผมจึงต้องเป็นฝ่ายนำเอง เลยอุ้มเธอไปที่เตียง และมุดหัวเข้าในชุดนอนเธอ และเริ่มละเลงลิ้น เลียหอยเธออย่างอ่อนโยน ผมรู้ว่าเธอชอบให้เลียมาก มือเธอขยุ่มหัวผมแรงมาก ทั้งจิกทั้งดึง ขาเองก็ยกขึ้นมาหนีบไว้ที่ท้ายทอย เจอผมเลียไปสามนาทีเธอก็แตกแล้ว
ผมปล่อยให้เธอพักหายใจพักหนึ่ง เพราะเธอเป็นคนที่สัมผัสไวและไม่อึดเท่าไร แต่ก็มองออกว่ายังมีอารมณ์ค้างอยู่ ผมเลยเตรียมเลียต่อให้อีกยก แต่เธอกลับดึงผมขึ้นมา และประกบปากจูบกัน
ลิ้นของเธอล้วงมาลึกแบบคนไม่รู้ทาง ชัดเจนว่าเธอต้องการสนองตอบความต้องการตัวเอง แต่ไม่รู้วิธีทำเลยแม้แต่น้อย ผมเลยต้องค่อยๆ สอนเธอจูบแลกลิ้น ซึ่งเธอตัวอ่อนและว่าง่ายขึ้นมาทันที
มือผมค่อยๆ เลื่อนไปเล่นกับหน้าอกเธอ และผมรู้แล้วว่าทำไมครั้งก่อนเธอไม่ให้ผมแตะหน้าอกเธอ เพราะว่า…เธอใส่ฟองนํ้าอยู่ หน้าอกที่ดูเล็กของเธออยู่แล้ว พอถอดบราออกก็ไม่เหลืออะไรเลย น่าอกเธอน่าจะเป็นไซส์ AA แต่ปลายหัวนมแหลมยื่นออกมาเป็น
รูป > สีชมพูอ่อน เหมือนของเด็กเลย จะว่าไปหอยของเธอก็ไม่มีขนและปิดสนิทเหมือนเด็กเหมือนกัน
“ขอโทษนะ หน้าอกฉันเล็กไปหน่อย”
“แบบนี้ไม่เรียกว่าหน่อยแล้วมั่ง”
ผัวะ!!!
ผมโดนหมัดขวาของซาคุยะเข้าเต็มหน้า แค่ยอกเล่นเอง
“ล้อเล่นน่า จะเล็กจะใหญ่ก็ไม่สำคัญหรอก แล้วรู้ไหมหน้าอกเล็กมีข้อดีอย่างนะ”
“ยังจะพูดอีก ไม่ต้องมาหลอกฉันเลย!”
“ไม่ได้หลอกสักหน่อย”
ว่าแล้วผมก็ใช้นิ้วบีบไปเบาๆ ที่หัวนม ตัวของเธอสั่นสะท้านขึ้นมาราวกับโดนไฟดูด ผมดึงและบี้ไปด้วย ซึ่งทำให้เบามือที่สุด
“คนหน้าอกเล็กน่ะ ตรงหัวนมจะไวต่อความรู้สึกมาก”
ซาคุยะโดนผมเล่นงานที่หัวนมจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นอนแอ่นอกตามการเคลื่อนไหวของมือผม แต่จะเล่นมากเกินไปก็ไม่ได้ เพราะเธอความรู้สึกไวมาก แค่บีบหัวนมเล่นก็ทำเธอเสร็จได้แล้ว
เธอเองก็ต้องการผมแล้ว พอผมหยุดมือ ซาคุยะจึงถางขาให้ทันที
“นี้เป็นครั้งแรกของฉัน ช่วยอ่อนโยนด้วยนะ”
“แน่นอน ฉันอ่อนโยนกับเธอให้มากๆ เลย”
แล้วผมก็ได้เปิดซิงซาคุยะ แต่ถึงผมจะพยายามทำให้เธอเจ็บน้อยที่สุด ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี เพราะถํ้าของเธอฟิตมาก แถมเธอค่อนข้างเกร็งขนาดผมพยายามเล้าโลมไปด้วย ยังช่วยได้ไม่เท่าไร ยิ่งตอนเหยื่อพรหมจรรย์เธอขาด แล้วมีเลือดไหลออกมา มันทำให้เธอกลัวจนตัวแข็งไปเลย กว่าผมจะใส่เข้าไปได้สุด เลยต้องใช้เวลานานเกือบยี่สิบนาที
ทว่าหลังจากสอดใส่เข้าไป ทั้งผมและเธอต่างต้องตกใจ พวกเรารู้ได้โดยไม่ต้องพูดกันสักคำ ว่าสารเคมีพวกเรามันตรงกัน ร่างกายของพวกเราประสานกันได้เป็นอย่างดี
หอยของซาคุยะมีครบทั้งสามประการ คือปากช่องคลอดที่บีบรัดแน่น ช่วงกลางที่เป็นปุ่มนวดที่ให้
ความรู้สึกกระซับสัมผัส และส่วนลึกที่มีการดูดตอดเหมือนปุ่มของปลาหมึก
ผมชอบสัมผัสของเธอมาก จนค่อยๆ ซอยเอวช้าๆ เพื่อซึมซับได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซาคุยะเองก็ชอบที่ผมทำช้าๆ แต่เน้นหนักแน่นทุกจังหวะ ผมเลยทำเธอเสร็จไปในเวลาไม่ถึงห้านาที แต่ผมเองก็เสียวจนทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ตอนที่เธอเสร็จและภายในบีบรัดผมเลยฉีดนํ้าเชื้ออัดเข้าไปด้วย
ซาคุยะหอบหายใจแรงมาก ดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงทั้งหมดไป แต่พอผมกำลังจะลุกขึ้น เธอก็ใช้มือที่อ่อนแรงดึงแขนผมเอาไว้
“รอให้ฉันหลับก่อนได้ไหม”
“ได้สิ”
แล้วผมก็นอนลงและให้เธอนอนหนุนแขน ซึ่งซาคุยะก็กอดผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข จนผมเห็นแล้วยังต้องยิ้มไปด้วย ถึงปกติดูเป็นคนจริงจังและชอบโวยใส่ผม แต่ก็มีด้านที่อ่อนหวานที่น่าหลงใหลอยู่ด้วย
ผมนอนคุยกับซาคุยะจนเธอหลับไป แต่ผมยังปล่อยให้เธอนอนหนุนแขนต่อ เพราะขืนขยับเธออาจจะตื่นได้ ผมเลยคิดจะนอนพักสายตาสักหน่อย คือไม่ได้หลับลึกแต่นอนหลับตาเฉยๆ แล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เวลาผมมีสมาธิกับความคิด จะทำให้ชอบลืมเวลา เลยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รู้สึกเหมือนมีใครมาสไลด์ดุ้นให้ มันรู้สึกดีผมเลยปล่อยให้ทำต่อไปโดยไม่ได้ลืมตา และพอ
ดุ้นผมแข็งขึ้นมา มือนั้นก็หยุดสไลด์ แต่จับมันเข้าถํ้าแทน…เอ๋ แบบนี้จะเรียกว่าลักหลับได้หรือเปล่านะ
ผมเปิดตาขึ้นข้างหนึ่ง เพื่อดูว่าใครเป็นคนลักหลับผม แต่ภายในห้องมืดสนิท แต่เห็นจากรูปร่างแล้วผมก็รู้ทันทีว่าเป็นฟราน
แต่…ไม่ใช่ฟรานนี่น่า! สัมผัสข้างในถํ้าไม่เหมือนกัน!
ผมรีบดีดตัวขึ้นมาและให้ตะเกียงเริ่มทำงาน พอมีแสงจนเห็นหน้าชัดๆ ก็ยังเห็นว่าเป็นฟราน แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่ เพราะเธอคือเรโมริก้า!
“ดะ เดี๋ยวก่อน! ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
“ท่านโรมะให้ฉันเห็นแบบนี้มาทั้งวัน ใครจะไปทนไหวกัน หรือว่าฉันแก่เกินไปสำหรับท่านคะ”
“ไม่ใช่เรื่องอายุหรอก แต่คุณเป็นแม่ของฟรานนะ”
“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ ฟรานบอกฉันว่าถ้าอยากงาบท่านโรมะเมื่อไรก็ตามสบายเลย”
“ทีหลังก็ถามความเห็นผมด้วยสิ!”
“คุๆๆ ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะก็ถ้าฉันเต็มใจ ฟรานเองก็ไม่มีปัญหา ท่านโรมะก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้วนี่คะ”
“อย่ามาดัดหลังกันแบบนี้สิ”
ผมได้แต่ถอนหายใจ แต่ก็ยอมรับว่าเถียงไม่ออก และปล่อยให้เรโมริก้าทำตามใจชอบไป เพราะผมที่มีซาคุยะนอนหนุนแขนอยู่ขยับไม่ได้
และพอมีแสงไฟทำให้ผมเห็นอะไรๆ ชัดขึ้น เรื่องรูปร่างสองแม่ลูกเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่หน้าอกเรโมริก้าใหญ่กว่านิดหน่อย แต่ห่างกันไม่ถึงนิ้วหรอก
สำหรับแวมไพร์แล้ว จะผ่านผู้ชายมากี่คนหรือมีลูกแล้ว ก็ไม่สำคัญหรอก พลังในการฟื้นตัวจะทำให้ร่างกายกลับมาอยู่ในสภาพเดิมเสมอ ไม่เว้นแต่เยื่อพรหมจรรย์ ตอนนี้เรโมริก้าเลยทำสีหน้าเจ็บปวดและมีเลือดไหลออกมามาก ผสมกับเลือดของซาคุยะก่อนหน้านี้ ทำให้ผ้าปูที่นอนถูกย้อมเป็นสีแดงไปเรียบร้อยแล้ว
แต่แวมไพร์มีความอดทนต่อความเจ็บปวดได้มากเป็นพิเศษ เพียงแปบเดียวเรโมริก้าก็หายเจ็บ และเริ่มขยับได้คล่องขึ้น ท่าทางของเธอดูสมเป็นผู้มีประสบการณ์จริงๆ แต่ว่า…
“นี้มันยอดไปเลยนะ สามีเก่าของฉันเทียบไม่ติดเลย อุย!”
“แถมอึดมากเลยนะ ถ้าเป็นสามีเก่าฉันล่ะก็ ป่านี้เสร็จไปแล้วแท้ๆ”
“ของท่านโรมะทั้งใหญ่ทั้งยาวกว่าสามีเก่า ฉันรักดุ้นของท่านโรมะจริงๆ ค่ะ”
“แหม ผมก็ดีใจนะ แต่ถ้าจะให้ดีช่วยเลิกพูดถึงสามีเก่าได้ไหมครับ”
“อุ๊ ขอโทษค่ะ เผลอไปหน่อย”
ผมเข้าใจนะว่าเธอคงรักสามีเก่ามาก แต่สามีเธอตายไปตอนทำสงครามกับเผ่าปีศาจ ซึ่งยังผ่านมาไม่นาน
หลังจากปล่อยให้เรโมริก้าปลดปล่อยความใคร่ด้วยการขึ้นโยกผมจนเสร็จแล้ว ผมก็ให้เธอดูดเลือดแบบเดียวกับฟราน ซึ่งตอนแรกเธอไม่กล้า เพราะผมเป็นถึงจอมมาร การดูดเลือดก็นับเป็นการทำร้ายเหมือนกัน แต่ผมเข้าใจธรรมชาติของแวมไพร์ดี ถ้าไม่ได้ดูดเลือดตอนเสร็จกิจ มันก็เหมือนอารมณ์ค้างนั้นแหละ เลยต้องบังคับให้เธอดูดเลือดผม
ทว่าผมคำนวณผิดไปหน่อย ถ้าเป็นฟรานล่ะก็ พอดูดเลือดผมเสร็จก็จะหลับไปเลย แต่เรโมริก้าพอได้ดูดเลือดผม เธอกลับยิ่งคึกและขย่มไปดูดไปจนเสร็จอีกรอบถึงจะยอมหยุด แถมยังเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
ร่างของเรโมริก้ากำลังเติบโตขึ้นในชั่วไม่วินาที จากรูปร่างเด็กสิบขวบได้โตขึ้นจนเป็นสาววัยรุ่นแล้ว หน้าอกเองก็ขยายใหญ่ขึ้นมาจนเป็นคัพ B แล้ว
“เอ๋!? คืนร่างแล้ว แค่ดูดเลือดครั้งเดียวเองนะ”
“เอ่อ คุณเรโมริก้านี้มัน??”
“ร่างจริงของฉันค่ะ ปกติฉันจะประหยัดพลังงานชีวิตเพื่อไม่ให้เกิดความกระหายเลือดไว้ในร่างเด็ก แต่ถ้าได้รับเลือดจนพลังเพิ่มขึ้น ร่างกายก็จะปรับสภาพตามพลังที่ได้มา จนกลับสู่ร่างจริง แต่น่าแปลกมากเลยนะคะ ปกติแล้วต่อให้ดูดเลือดคนเป็นร้อยๆ ก็ยังไม่สามารถคืนร่างได้เลย”
ผมไม่แปลกใจหรอก เพราะแม้แต่ในเลือดผม บางทีอาจได้รับผลกระทบจากสกิลมารราคะด้วย ทำ
ให้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเหมือนกับในนํ้าเชื้อของผม
แต่เรื่องนั้นจะเป็นอย่างไงก็ช่าง แต่เหมือนเรโมริก้าที่คืนร่างแล้ว เกิดอารมณ์อยากทำต่อขึ้นมา เธอเลยจัดผมอีกยกแบบไม่ถามสักคำ ผมต้องให้เธอทำไปกว่าชั่วโมง กว่าเธอจะเต็มอิ่มแล้วกลับไปนอนในเงาของผมตามเดิม...นี้คิดจะสิงเงาผมตลอดไปเลยหรือไงนะ
ตอนที่ 112 วันที่แสนวุ่นวาย Part 1
ผมลุกจากที่นอนมาตอนประมาณตีห้า หลังจากได้พักตอนที่เรโมริก้ากลับเข้าเงาไปก็เป็นเวลาชั่วโมงเดียวเอง แต่ผมแค่พักให้หายเมื่อยเท่านั้นแหละ
ส่วนซาคุยะหลับสนิทไป ขนาดตอนทำกับเรโมริก้าอยู่ข้างๆ เธอยังไม่รู้ตัวเลย
แต่พอลงมาถึงห้องนั่งเล่นผมก็ต้องประหลาดใจ เพราะเห็นพวกกรอเรียมานั่งกันหน้าสลอนแล้ว แถมทุกคนยังท่าทางเครียดๆ และขอบตาคลํ้าด้วย
“เหนื่อยจนนอนไม่หลับกันเหรอครับ?”
“ยังมีหน้ามาถามอีก! ตั้งแต่เมื่อวานเย็นพวกคุณโรมะก็ทำแต่เรื่องอย่างว่า เสียงดังไปทั้งคฤหาสน์เลยค่ะ! แล้วตอนดึกนั้นมันอะไรกันคะ! คฤหาสน์สั่นไปทั้งหลังนึกว่าจะถล่มลงมาแล้วซะอีก”
“ฮ่าๆๆ”
ผมหัวเราะแก้เขิน ก็สมควรอยู่หรอก เมื่อคืนทำกันดุเดือดซะขนาดนั้น
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวมื้อเช้าผมจะทำอะไรอร่อยๆ ให้ทานเป็นการขอโทษล่ะกันครับ”
มื้อเช้าผมเลยทำเป็นข้าวต้มหัวปลา และใส่กุ้งลงไปด้วย มันเป็นอาหารที่เหมาะกินตอนที่ร่างกายล้าจากการออกกำลัง ทุกคนที่กลับออกมาจากดันเจี้ยน น่าจะยังมีความล้าสะสมแบบที่ไม่รู้ตัว ถ้าได้กินแล้วก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นแน่ๆ ส่วนนํ้าส้มคั้นที่เป็นเครื่องดื่ม ผมก็ใส่เกลือลงไปนิดหน่อยด้วย
แต่อยากได้เม็ดกาแฟจัง ขบวนคาราวานจากทางใต้ยังไม่มา เลยต้องรอต่อไปก่อน
ทว่าระหว่างมื้อเช้าก็เริ่มมีเสียงเอะอะเกิดขึ้น มีแฟรี่ตัวหนึ่งบินเข้ามาในบ้าน และหยุดรายงานกับคริสติน่าที่ยืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ผม
“มีผู้บุกรุกค่ะ!”
แฟรี่รีบรายงานอย่างตื่นตระหนก แต่พวกสาวๆ กลับนั่งเฉยกันหมด แบบการโดนบุกรุกนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาของบ้านนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?
พอผมจะลุกขึ้นไปดูเอง คริสติน่าก็บอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวเธอจะจัดการเอง แต่ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ เลยตื้อตามไปด้วยจนได้
เมื่อมาถึงประตูตรงกำแพง ผมก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังโดนฝูงมอนสเตอร์รุมล้อม ยิ่งกว่าดาราเจอแฟนคลับรุมของลายเซ็นต์ซะอีก
“นายท่านมาแล้ว ทุกคนหลีกทาง!”
พอคริสติน่าตะโกนบอก พวกมอนสเตอร์ก็ถอยออกมาพร้อมกับคุกเข่าให้…เอ่อ เกินไปหน่อยนะเนี่ย ไม่รู้คริสติน่าจะสั่งพวกนี้ไปว่าอย่างไงบ้าง หลังจากนี้คงต้องเรียกมาถามอย่างละเอียดแล้ว
ส่วนคนที่มาก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นพวกทาฮากริมนั่นเอง เธอมาพร้อมกับผู้ติดตามอีกกว่าสิบชีวิต เลยดูเป็นคนกลุ่มที่ดูน่าสงสัยสำหรับพวกมอนสเตอร์
“พวกนี้เป็นแขกของฉันเอง ทุกคนทำตัวตามสบายเถอะ”
พอผมสั่งพวกมอนสเตอร์ก็ลุกขึ้น และหันไปผงกหัวทักทายพวกทาฮากริมแทน ซึ่งผมเองก็เคยเตือนทาฮากริมไปแล้วว่าที่คฤหาสน์มีมอนสเตอร์อยู่ด้วย ห้ามลงมือเด็ดขาด เธอเองเลยยอมโดนล้อมแบบไม่ลงมือตอบโต้แต่อย่างใด เพียงแต่เธอค่อนข้างช็อค เพราะไม่คิดว่าจะมีมอนสเตอร์เยอะแบบนี้ ซึ่งด้วยจำนวนแล้วมันไม่ต่างจากในดันเจี้ยนเลย
“ท ที่นี้จะมีมอนสเตอร์เยอะเกินไปหรือเปล่าคะเนี่ย”
“เอ่อ ผมเองก็คิดแบบนั้นแหละ แต่ช่วงที่ไม่อยู่พวกนี้อพยพกันมาอาศัยเอาเอง แล้วก็ไม่ใช่พวกที่ก้าวร้าวอะไร ผมเลยปล่อยให้อยู่ไปน่ะ”
“จิตใจงาม สมกับเป็นท่านโรมะ!”
เสียงแสดงความนับถือดังมาจากกลุ่มผู้ติดตามของทาฮากริม เล่นเอาผมเขินไปเลย
“ตอนนี้กำลังทานมื้อเช้ากันอยู่ พวกเธอก็มาทานด้วยกันสิ”
“จะดีเหรอคะ”
ทาฮากริมกับพรรคพวกทำหน้าลำบากใจ
“สำหรับที่นี้ใครมาอย่างมิตร ผมก็จะต้อนรับทุกคนนั้นแหละ อย่าได้เกรงใจไปเลย”
พอได้ยินว่าจะมีคนร่วมโต๊ะเพิ่ม คริสติน่าเลยเรียกพวกไรโมดอลออกมา แล้วให้ไปจัดโต๊ะเพิ่มทันที ส่วนอาหารก็ได้เดเม่เตรียมไว้ให้แล้ว ไวสมกับเป็นเมดของผมจริงๆ
พวกทาฮากริมถึงจะมาจากโบสถ์ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจการร่วมโต๊ะกับทาสหรือมอนสเตอร์ ต่างจากพวกกรอเรียในตอนแรกลิบลับ เลยไม่มีปัญหาอะไร พวกเธอสามารถร่วมทานอาหารกับทุกคนได้อย่างสนุกสนาน แต่ฝ่ายที่สนุกน่าจะเป็นพวกสาวๆ ของผมมากกว่า ที่มองดูรีแอ็กชั่นตอนได้ทานอาหารสูตรของผมเป็นครั้งแรกของคนอื่น
หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ ผมก็เชิญทุกคนไปที่ห้องรับแขกเพื่อคุยธุระกัน แต่เพราะจำนวนคนเยอะ เลยต้องให้คริสติน่าเอาเก้าอี้เสริมเข้ามาเพิ่ม
ผมให้กลุ่มของกรอเรียเข้ามาพร้อมกันเลย บางทีอาจจะมีเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันก็ได้ ส่วนฝ่ายสาวๆ ผมให้เป็นวันพักผ่อนเที่ยวซื้อของในเมืองกัน คนที่อยู่ช่วยงานผมเลยมีแค่อาเดไลท์กับเมยอาที่เป็นฝ่ายบัญชี ส่วนเดเม่ก็ออกไปจ่ายตลาด กับโมอาที่ต้องออกไปดูแลสวนดอกไม้
คนที่ทาฮากริมพามาด้วย มีทั้งหญิงและชาย ซึ่งส่วนใหญ่ยังอายุน้อยไม่เกินยี่สิบปี ตอนแรกผมนึกว่าเธอจะมาพูดเรื่องเปิดกิลนักผจญภัยที่บ้านเกิดเธอซะอีก แต่เธอกลับเอาเรื่องเดือดร้อนของคนอื่นมาก่อน ทำให้ผมประทับใจในตัวเธอขึ้นไปอีก
ทาฮากริมอธิบายให้ฟัง ว่าพวกนี้ครึ่งหนึ่งเป็นเด็กใหม่ แต่กำลังจะโดนเรียกเข้าไปรับใช้พวกนักบวชเฒ่าตัณหากลับ เลยพาตัวมาด้วยก่อนจะไปตก
นรกทั้งเป็น ส่วนอีกครึ่งคือพวกที่ทนไม่ไหว เลยพากันหนีออกมา
“ถ้าอยู่ที่นี้ผมสามารถปกป้องดูแลให้ความปลอดภัยได้ ส่วนงานถ้าไม่เลือกมากนัก ผมก็มีงานให้ทุกคนทำด้วย”
“งานอะไรพวกเราก็ทำได้หมดค่ะ/ครับ!”
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ช้าก่อน ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น แต่อย่างที่เห็น ที่นี้มีทั้งทาสและมอนสเตอร์ ถ้าจะอยู่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎของที่นี้ด้วย และต้องอยู่กับทุกคนอย่างเป็นมิตร ไม่มีแบ่งแย่ง จะเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์อะไร ถ้าก้าวเข้ามาที่นี้แล้ว ทุกคนเท่าเทียมกัน เข้าใจใช่ไหม”
“เป็นอย่างที่ท่านพี่ทาฮาบอกจริงๆ ด้วย”
“สุดยอดเลย บนโลกนี้ยังมีสถานที่แบบนี้อยู่จริงๆ!”
ทุกคนดูตื่นเต้นกันใหญ่ แต่ไม่ได้ปฏิเสธกฎที่ผมว่าไว้เลย ออกจะดีใจกันด้วยซํ้า
ส่วนเรื่องที่พักก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะระหว่างที่ผมไม่อยู่ พวกไรโมดอลกับแฟรี่ ก็ช่วยกันสร้างเรือนพักขึ้นมาเพิ่ม เป็นอาคารไม้สามชั้นสองแห่ง ตามแบบที่ผมวางเอาไว้ ผมเลยแบ่งเป็นหอชายกับหอหญิง เพื่อในอนาคตจะมีคนมาเพิ่มอีก
แต่ยังมีปัญหาเรื่องฟอนิเจอร์ เพราะพึ่งสร้างเสร็จเลยยังเป็นแค่อาคารว่างๆ วันนี้เลยต้องให้ทนๆ กันไปก่อน ไว้เดี๋ยวผมจะจัดหาพวกตู้เตียงเครื่องนอนมาให้ทีหลัง
ท่ามกลางความดีใจของทุกคน เมยอากำลังนั่งหน้ามุ่ยเขียนบัญชีค่าใช้จ่ายที่มีแต่เพิ่มขึ้นราวกับไม่มีวันจบสิ้น แต่เธอก็ไม่ค้านหรือตำหนิอะไรสักคำ แสดงว่าเห็นดีเห็นงามด้วย
“แล้วในกลุ่มพวกเธอมีคนไหนได้เรียนหนังสือมาบ้าง”
เกือบทุกคนยกมือขึ้น ก็นะ การจะเข้าโบสถ์ใหญ่อย่างน้อยก็ต้องพออ่านออกเขียนได้ล่ะ
“พอดีเลย กรอเรียเองกำลังจะเปิดสาขาของโบสถ์ใหญ่ที่นี้ โดยจะมีการสอนหนังสือควบคุมไปด้วย มีใครสนใจจะมาสอนหนังสือไหม”
พอพูดถึงโบสถ์ใหญ่ทุกคนก็พากันเงียบไป ทำหน้าอึดอัดเพราะไม่กล้าปฏิเสธผม แต่ก็ไม่อยากรับ
ทำงานนี้ กรอเรียที่ฟังมาเงียบๆ ดูบรรยากาศออก เลยพูดขึ้นมา
“อย่าห่วงเลย โบสถ์ใหญ่ที่ฉันจะสร้างที่นี้ รับรองว่าไม่เหมือนที่อื่น ฉันได้เรียนรู้จากท่านโรมะมาแล้ว และจะนำเอาสิ่งที่เรียนรู้นั้นมาใช้กับโบสถ์ใหญ่ด้วย อย่างน้อยก็จะไม่มีเรื่องการข่มเหงหรือบังคับฝืนใจกันแน่ๆ ค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั่งทุกคนเลยกลับมายิ้มออก และเริ่มมีการยกมือขึ้นเพื่อสมัครเป็นครูสอนหนังสือ ส่วนเรื่องค่าจ้าง เพราะหลบหนีมา ก็เท่ากับสิ้นสภาพสมาชิกแล้ว เลยจะไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงจากโบสถ์ใหญ่อีก ส่วนนี้ผมจะจ่ายให้เอง ถือเป็นเงินพัฒนาชุมชนไป
กับสิ่งที่ได้รับไปนั้น ทำให้ทุกคนกลั้นนํ้าตาไว้ไม่อยู่ เพราะนอกจากได้ที่อยู่และการปกป้องแล้ว ยังได้งานและเงินเดือนอีก
ส่วนพวกกรอเรียก็ยิ้มออก เพราะได้คนมาช่วยในโครงการของเธอแล้ว เท่านี้ก็ดูเป็นรูปเป็นร่างพร้อมจะลงมือทำทันที
พวกผู้ชายที่แข็งแรงผมก็จะให้ช่วยในงานก่อสร้าง ส่วนที่เหลือผมให้ไปช่วยงานด้านบริการชุมชน เพราะตอนนี้ภาพลักษณ์ของโบสถ์ใหญ่ในเมืองกรอซ่าไม่ดี วิธีแก้ปัญหาต้องค่อยๆ ทำไป เริ่มจากสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ผมจึงแนะนำให้ไปเปิดเต็นท์รักษาฟรี ส่วนค่าใช้จ่ายและค่าจ้างผมจะออกให้ในช่วงแรก พอเริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว ค่อยมาหาผู้สนับสนุนกันอีกที
เสียงขีดเขียนตัวเลขในกระดาษของเมยอาดังขึ้นกว่าเดิม เริ่มโกรธขึ้นมาแล้วสินะ ก็ผมเล่นออกค่าใช้จ่ายให้แทบทุกอย่างเลย แต่เทียบกับรายได้ที่ผมหามาได้ แค่นี้ไม่เท่าไรหรอก เมยอาเข้าใจเรื่องนี้ดีเลยไม่บ่นอะไรออกมา
ไหนๆ ก็คุยเรื่องการสร้างสาขาโบสถ์ใหญ่เสร็จแล้ว ผมก็เลยให้คริสติน่าพาพวกกรอเรียไปดูพื้นที่ว่างรอบๆ คฤหาสน์ ว่าถูกใจส่วนใหญ่ก็จะให้เริ่มการก่อสร้างได้เลย ส่วนคนอื่นๆ ก็ช่วยกันทำรายงานส่งไปขออนุมัติจากโบสถ์ใหญ่สาขาหลัก
พอเหลือแต่ทาฮากริมที่อยู่ในห้องรับแขก เธอก็ก้มหัวขอบคุณผมเป็นการใหญ่
“ฉันไม่รู้จะขอบคุณท่านโรมะอย่างไงดีเลยค่ะ กับสิ่งที่ท่านช่วยพวกเราไว้ มันมากมายมหาศาลเหลือเกิน”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ เพราะทางนี้เองก็ได้ผลประโยชน์เหมือนกัน อย่างที่ช่วยเปิดสาขาโบสถ์ใหญ่ให้ ผมจะได้มีไม้กันหมา ไม่โดนโบสถ์ใหญ่จากที่อื่นเล่นงานได้ง่ายๆ แล้วที่ช่วยทุกคนไว้ เพราะผมถือคติว่ามีมิตรเยอะดีกว่ามีศัตรูมากน่ะครับ ฮะๆ”
“คิกๆๆ สมกับเป็นท่านโรมะเลยนะคะ”
“เอาล่ะ ผมว่ามาคุยเรื่องของเธอบ้างดีกว่า”
จากนั้นผมก็คุยกันในรายละเอียด จนเรียกได้ว่าเป็นแผนงานพัฒนาเมืองได้เลย ผมวางโครงสร้างต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะเป็นการวางผังเมือง การอธิบาย
ความสำคัญของการสร้างถนน การกำหนดนโยบายภาษีเพื่อเอื้อต่อการลงทุนของพวกพ่อค้าแม่ค้า ที่ต้องทำละเอียดแบบนี้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ งานนี้ผมต้องลงทุนไปเป็นจำนวนมหาศาล เกิดพลาดขึ้นมา ไม่ใช่แค่ผมที่ขาดทุนย่อยยับ แต่ทำจะทำให้เมืองเมืองหนึ่งและชีวิตคนอีกนับพันต้องตกอยู่ในความลำบาก
“แล้วนี้ครับ เงินลงทุนสำหรับแผนงานนี้”
ผมส่งถุงเงินที่ใส่เหรียญทองคำขาวร้อยเหรียญให้ ซึ่งเท่ากับเป็นเงินพันล้านรีล พอผมให้ทาฮากริมเปิดถุงออกมานับเงินเพื่อความถูกต้อง เธอก็ถึงกับตัวแข็งไปเลย
“ท ท่านโรมะ ง เงินนี้มันมากเกินไปแล้ว”
“ไม่มากหรอก ในการพัฒนาระยะสั้น ต้องใช้เงินจำนวนมาก และยังต้องสำรองจ่ายเผื่อในกรณี
ฉุกเฉินด้วย เรียกว่าเงินคงคลังก็ได้ สรุปคือไม่ต้องใช้หมดในทีเดียว แต่แบ่งและสำรองใช้ ซึ่งผมเขียนอธิบายไว้ในสัญญาแล้วไม่ต้องห่วง”
“ไม่ค่ะ ค คือเงินจำนวนมากแบบนี้ พวกฉันไม่มีปัญญาใช้คืนได้หรอก”
“ฮ่าๆๆ เข้าใจผิดแล้วครับ การชำระหนี้น่ะ ไม่ได้ให้จ่ายเงินต้น หรือก็คือ 100 เหรียญทองคำขาวในทีเดียว แต่ให้แบ่งจ่ายในส่วนของกำไร ที่เรียกว่าเงินปั่นผลมาให้ผมตามเปอเซ็นต์ที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ส่วนเงินต้นนั้น ผมจะไม่เอาคืนเพราะถือว่าเป็นการฝากเงินไว้เพื่อรอกินดอกเบี้ยก็ได้ครับ แต่ถ้ามีเงินเก็บมากพอจะจ่ายเงินต้นคืนให้ผมได้ สัญญาก็เป็นอันสิ้นสุดลง ไม่ต้องมาจ่ายส่วนแบ่งกำไรให้ผมอีกต่อไปครับ แบบนี้ผมว่ายุติธรรมที่สุดแล้ว”
“แบบนี้เอง”
“แต่ว่าถ้าบริหารงานล้มเหลว ก็จะกลายเป็นหนี้ผม 100 เหรียญทองคำขาวทันทีเลยนะครับ ต้องระวังจุดนี้ด้วย แต่ว่าผมเองก็ไม่อยากเสียหุ้นส่วนดีๆ ไป เพราะงั้นผมจะช่วยทุกทางไม่ให้มันล้มเหลวอยู่แล้วล่ะครับ”
“นี้สินะที่เรียกว่าธุรกิจการลงทุน”
อาเดไลท์ที่นั่งเรียนรู้งานอยู่ข้างๆ ผม พยักหน้าตามไปด้วย ดูเหมือนเธอจะเข้าใจได้ดีกว่าตัวทาฮากริมซะอีก
“จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้เก่งกาจและรู้ดีในงานธุรกิจมากนักหรอก แค่ตกผลึกมาจากความรู้ในโลกเก่าน่ะ”
ผมยิ้มบอกกับอาเดไลท์ ความรู้ของผมถ้าเอาไปใช้กับโลกเก่า ผมคงเป็นได้แค่เด็กม.ปลายอวดรู้เท่านั้น แต่กับโลกนี้ที่มีระบบเศรษฐกิจไม่เข้มแข็งและซับซ้อนเท่าไร ความรู้ของผมเลยพอจะเอามาใช้ประโยชน์ได้บ้าง
หลังจากอธิบายจบทุกอย่างแล้ว ผมก็ให้เมยอาร่างสัญญาขึ้นมาสองฉบับ หลังจากให้ทาฮากริมอ่านอย่างละเอียด และคอยบอกจุดที่เธอสงสัยให้แล้ว ก็ทำการลงนามก็ถือเป็นการเสร็จสิ้นการทำสัญญาครั้งนี้
ซึ่งในภายหลังสัญญาฉบับนี้ จะถูกเก็บไว้เป็นหลักฐานส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันสำคัญ ที่ถูกเรียกกันว่า สัญญารุ่งอรุณสีทองแห่งวิลเฟนเฮ และมีความสำคัญขนาดใช้ศึกษาเป็นต้นแบบ ในการทำธุรกิจการลงทุนรวมถึงการวางแผนพัฒนาประเทศในยุคต่อมา
พอทำสัญญาเสร็จผมก็ลุกขึ้นเพื่อจับมือกับทาฮากริม และคิดว่าจะชวนเธอไปที่กิลนักผจญภัยด้วยกันเลย เพราะนอกจากจะไปติดต่อเรื่องขอให้ส่งคนไปสร้างสาขาที่เมืองวิลเฟนเฮแล้ว ผมยังจะต้องไปคุยเรื่องขออนุญาตติดตั้งแท่นวาปร์อีก ที่สำคัญพวกผมยังไม่ได้ส่งเควสที่รับมาจากกรอเรียเลย
แต่ก่อนผมจะทันเอ่ยปาก ทาฮากริมก็ตะโกนออกมาซะก่อน
“ท่านโรมะ! ถ้าท่านไม่รังเกียจ จะใช้ร่างกายของฉันจ่าย”
เธอพูดยังไม่ทันจบ คริสติน่าก็วิ่งเข้ามา และทำเสียงดังแทรกขึ้นซะก่อน
“นายท่านแย่แล้ว มีผู้บุกรุก!”
“หา? อีกแล้วเหรอ ทำไมวันนี้แขกเยอะจัง”
“ไม่ใช่แขกแน่ค่ะรอบนี้ ขนมากันเพียบแทบติดอาวุธมาด้วย ท่าทางมาหาเรื่องชัดๆ เลย”
“เอ๋? พวกไหนล่ะนั้น”
ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่พวกโบสถ์ใหญ่หรือพวกเรเดีย เพราะมันยังเร็วเกินไปที่จะขนคนมาหาเรื่อง และถ้าเป็นพวกนั้นน่าจะใช้วิธีที่เงียบและไม่เปิดเผยมากกว่า
พอออกไปถึง ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ น่าจะหลักหลายร้อยเลย กำลังพยายามพังประตูกำแพงเข้ามา แต่ผมเห็นชัดๆ ว่าที่ซี่กรงเหล็กซึ่งทำเป็นประตู ได้มีการลงเวทมนต์ป้องกันไว้หลายชั้น อย่าว่าแต่จะสัมผัสถูกเลย แค่เข้าใกล้ก็ถูกดีดกระเด็นแล้ว ฝีมือมิรินเหรอ? ไม่น่าใช่
แฮะ เวทระดับนี้น่าจะเป็นมุเอมะมากกว่า เพราะคุ้นๆ ว่าที่ปราสาทจอมมารก็มีประตูที่มีเวทมนต์ป้องกันคล้ายๆ แบบนี้อยู่
พวกที่มามีทั้งหญิงชายอายุก็ค่อนข้างแตกต่างกัน ทำให้บอกไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มไหนกันแน่
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้! ข้าคือ ออครูส จงเปิดประตูและส่งตัวไอ้โรมะมาเดี๋ยว”
“คนรู้จักเหรอ”
อาเดไลท์ถามผม
“ไม่ล่ะ ไม่ใช่สเปกผม”
“นายท่าน ไม่ใช่เวลามาเล่นมุกตลกนะคะ”
เจอเมยอาดุใส่จนได้ แต่ไม่รู้ทำไมทาฮากริมถึงจ้องอีกฝ่ายแบบจะกินเลือดกินเนื้อแบบนั้น หรือว่าจะเป็นคนรู้จัก?
“พวกของเธอหรือเปล่า”
“ไม่มีทางค่ะ! ฉันไม่มีรู้จักกับพวกชอบขัดจังหวะแบบนี้หรอก”
“อะ อืม”
น่ากลัวแฮะ พยายามไม่ทำให้ทาฮากริมโกรธดีกว่า
เมื่อไม่รู้ว่าเป็นใคร ผมเลยเดินออกไปถามผ่านประตูกำแพง
“มีธุระอะไรกับผมเหรอ รู้สึกว่าพวกเราไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนนะ”
คนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้า ซึ่งใส่เสื้อหนังหมี ตัวใหญ่กล้ามโต ใบหน้าให้ความรู้สึกเหมือนพวกนักสู้ ก้าวออกมาและตะคอกใส่ผม
“มึงเหรอโรมะ! ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะฆ่าแก!”
“โอเค บาย”
เมื่อรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายแล้ว ก็ไม่ต้องพูดต่อ ผมเลยคิดจะกลับไปที่คฤหาสน์และปล่อยให้พวกนี้หายบ้ากันไปเอง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมนี้สิ
“ถ้าแกไม่ออกมา ข้าจะเผาที่นี้ซะ!”
เผาไปก็เท่านั้นแหละ ตัวคฤหาสน์อยู่ห่างจากกำแพงตั้งไกล ต่อให้ใช้ธนูเพลิงก็ยิงไปไม่ถึง ส่วนกำแพงก็ลงเวทมนต์เอาไว้ ต่อให้โดนไฟเผาก็ไม่น่าจะพัง
เพราะงั้นผมไม่สนใจคำขู่นี้เลย ทว่า ขืนปล่อยไว้จะเป็นปัญหากับธุรกิจได้ ลองเจรจาดูก่อนล่ะกัน ถ้าจบได้ด้วยการจ่ายเงินให้นิดหน่อย ก็พอรับได้อยู่นะ
“แล้วผมไปทำอะไรให้ไม่พอใจล่ะ ถึงอยากจะฆ่ากัน”
“มึงยังกล้าถามอีกเหรอ! เอบูส มานี้”
ออครูสเรียกให้คนหนึ่งออกมา เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น ท่าทางเหมือนนักผจญภัยแต่เดินได้ตุ้งติ้งมาก…คุ้นๆ หน้าแฮะหมอนี้
“มึงจำลูกชายข้าได้ไหม”
“คุ้นๆ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”
“มึงเป็นคนตัดเจ้าโลกของลูกชายข้า! แล้วมึงยังบอกว่าแค่คุ้นๆ อีกเหรอ ไอ้เหี้ย!”
“เอ่อ บอกก่อนนะ พวกคำด่าหยาบๆ น่ะ ไม่จำเป็นหรอก เพราะผมไม่สะดุ้งสะเทือนกับคำพูดพวกนี้ ส่วนเรื่องเจ้าตุ๊ดนี้ อ่ะ! ผมนึกออกแล้ว”
ใช่ เจ้าตุ๊ดนี้คือคนที่โดนทัณฑ์ฮาราคิรีของผมไปนั้นเอง งั้นเจ้าพวกนี้ก็เป็น…ชื่อกิลอะไรหว่า พิชิตแดนเหนือล่ะมั่ง
อ่ะ…งานเข้าแล้วสิ
ตอนที่ 113 วันที่แสนวุ่นวาย Part 2
ถึงแม้จะรู้ว่าไร้ประโยชน์ แต่ผมพยายามอธิบายเรื่องราวให้ออครูสฟัง ว่าเรื่องเป็นไปอย่างไงมา
อย่างไง ดุ้นของลูกชายตัวเองถึงได้กระเด็นไปอยู่ในท้องได้ แถมได้ขี้โดยไม่ต้องเบ่งอีกเลย
แต่ผมพลาด ตรงลืมไปว่าเรโมริก้ายังอยู่ในเงาของผม เธอเลยได้ยินเรื่องทั้งหมด ถึงผมจะไม่ได้พูดลากไปลึก ถึงว่าพวกห่านั้นทำอะไรกับฟรานและเดเม่บ้าง แต่ระดับสติปัญญาของเรโมริก้า ต้องคาดเดาส่วนที่เหลือได้อย่างแน่นอน ซํ้าเรื่องที่ไอ้ตุ๊ดนี้ยํ่ายี่ศักดิ์ศรีของฟราน ก็เกินให้อภัยแล้ว
เรโมริก้าเลยพุ่งขึ้นมาจากเงาของผม ตรงเข้าหาอีกฝ่ายด้วยจิตสังหารขั้นสูง จนผมเองยังขนลุก แต่อย่างที่บอกไป การฆ่าคือความเมตตา และผมไม่ใช่คนที่มีเมตตาให้กับคนที่เป็นศัตรู เลยกระโดดคว้าตัวเรโมริก้าไว้ทันที
“ท่านโรมะ! ปล่อยฉันเถอะ ไอ้พวกเลวพวกนี้ ต้องฆ่ามันให้หมด!”
“ผมเข้าใจ และอยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่า…”
แล้วผมก็กระซิบข้างหูเธอ โดยบอกสิ่งที่คิดไว้ออกไป ซึ่งนั้นทำให้เรโมริก้ายอมรับได้ในทันที ความโกรธของเธอลดระดับลงมาจนสามารถควบคุมได้
แต่พวกออครูสนี้เป็นหมูไม่กลัวนํ้าร้อนเลย ทั้งๆ ที่พึ่งโดนจิตสังหารของเรโมริก้าเข้าไปจนพากันขาสั่นแล้ว ก็ยังพ่นคำหยาบคายออกมาโดยไม่คิด
“แค่พวกทาสขยะสองตัว มึงไม่มีสิทธิมาทำกับลูกข้าแบบนี้”
คำพูดแบบนี้ ทำให้ความโกรธของผมกับเรโมริก้าพุ่งปรี๊ด แต่นั้นแหละคือคำที่ผมรออยู่ เพราะผมไม่ซี่ซั้วฆ่าคน อย่างน้อยก็อยากยื่นยันว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูแน่ๆ และกับพวกที่เห็นลูกตัวเองเป็นพระเจ้า จนถือหางให้ทำผิด แบบนี้มันภัยสังคมชัดๆ แต่ดีแล้ว เพราะผมจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดเวลาลงมือกับพวกมัน
เงื่อนไขแรกเคลียร์ พวกมันเป็นศัตรู
“เช่นนั้นทางนี้ก็ขอมองว่าพวกแกเป็นสวะขยะคงไม่ว่านะ”
คำพูดของผมทำเอาใบหน้าของออครูส เต็มไปด้วยเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมาด้วยความโกรธ
“เปิดประตูสิโว้ย! ข้าจะยัดปากที่แสนอวดดีของมึงซะ!”
“เปิดแน่ แต่ไหนๆ จะฆ่าล้างกันอยู่แล้ว มาทำให้ถึงที่สุดเลยดีกว่า”
ตอนนี้บนใบหน้าผมปรากฏรอยยิ้มที่สมเป็นจอมมารขึ้นมา เล่นเอาพวกออครูสผวาไปเลย
จากนั้นผมก็เอียงตัวเล็กน้อย และแบมือไปทางคฤหาสน์
“คิดว่าคฤหาสน์ของผมน่าอยู่ไหมครับ”
“???”
พวกออครูสมีคำถามเต็มใบหน้า ว่าทำไมจู่ๆ ผมถึงเปลี่ยนเรื่อง แต่ถ้าดูจากสายตา พวกมันทุกคนแสดงความสนใจอยู่แล้ว แถมมีกำแพงเหมาะแก่การสร้างเป็นฐานกิล เพียงแต่ถึงฆ่าผมไปพวกมันก็ไม่สามารถยึดที่นี้ได้ เพราะผมซื้อมาอย่างถูกต้องจากกรม
จัดการที่ดิน ซึ่งตามกฎหมายถ้าเจ้าของเดิมตายไป ที่ดินจะกลับไปเป็นสมบัติของเจ้าเมือง คนที่เข้ามายึดครอง จะถือว่าเป็นผู้บุกรุกทันที
“ผมจะเดิมพันด้วยคฤหาสน์ ที่ดิน รวมถึงทรัพย์สินทุกอย่าง ว่าไงครับ ไหนๆ จะฆ่ากันแล้ว ไม่สนใจจะเอาอะไรติดมือติดไม้กลับไปด้วยเหรอ”
“ความคิดมึงไม่เลวนี้ แล้วจะเดิมพันกันอย่างไง”
“ก็อย่างที่บอกครับ ไหนๆ จะฆ่ากันอยู่แล้ว ก็ให้ออกมาสู้กันทีละคน ฝ่ายไหนแพ้ ก็จะต้องเสียสิ่งเดิมพันที่มีค่าของตัวเองไปหนึ่งอย่าง”
“…”
ออครูสสมกับเป็นผู้นำกิลใหญ่ เขาไม่ได้โดดงับเหยื่อของผมทันที แต่หันไปหาพวกลูกน้อง ซึ่งมีกลุ่มหนึ่งหันมามองทางพวกผม คงเป็นพวกที่มีสกิลตรวจสอบสินะ ไม่เลวๆ
นอกจากเรโมริก้าที่ทำให้พวกมันสะดุ้งได้แล้ว ที่เหลือมันแค่มองผ่านๆ ไป ก่อนจะไปกระซิบบอกกับออครูส
“ตกลงตามนั้น พวกข้าจะเล่นด้วยกับมึง ไม่ใช่แค่คฤหาสน์และทรัพย์สิน แต่ข้าจะกวาดเอาพวกผู้หญิงงของมึงไปด้วย”
“ถ้ามีปัญญาก็เชิญครับ”
ผมเองก็ตรวจสอบเลเวลพวกมันแล้วเหมือนกัน นอกจากออครูสที่มีเลเวล 120 เท่าเรโมริก้าแล้ว ยังมีคนที่มีเลเวลระดับหลักร้อยอีกถึงสี่คน แถม
ตรวจดูสกิลแล้ว ก็เป็นพวกเคี้ยวยากเอาเรื่อง ล้วนแต่เป็นคนที่ถนัดสู้ตัวต่อตัวซะด้วย เพราะแบบนี้ออครูสถึงได้มั่นใจและยอมตกลง
ถ้าทางผมส่งเรโมริก้าออกไปสู้ มันก็แค่ส่งในสี่คนนั้นออกมาคนหนึ่งเพื่อตัดกำลัง ก่อนที่ออครูสจะออกมาปิดท้าย แต่พวกมันพลาดเรื่องสำคัญไป เพราะไม่ได้คำนวณเรื่องที่เธอเป็นแวมไพร์ แถมยังเป็นตัวตนระดับตำนาน ที่ขนาดโบสถ์ใหญ่ยังฆ่าเธอไม่ได้ และอย่างที่เรโมริก้าเคยบอกกับผมไว้ ต่อให้ต้องเจอคนที่เลเวลมากกว่า ในกรณีที่สู้แบบแลกชีวิต อย่างไงเธอก็ชนะ ด้วยพลังความเป็นอมตะของเธอ
และพวกสวะขยะนี้ก็รับเงื่อนไขของผมโดยไม่ได้รู้เรื่องนั้นเลย
เงื่อนไขที่สอง เคลียร์
“แต่จะให้สู้กันตรงนี้ ผมขี้เกียจเก็บศพ เอาเป็นว่าไปสู้กันที่นั้นดีกว่า”
ผมชี้ไปทางดันเจี้ยนนํ้าตก ซึ่งพวกออครูสคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว
“ก็ดีสิ”
แล้วพวกมันก็รับคำท้าของผม และยกขบวนกันไปที่นั้นทันที
“ให้ฉันไปด้วยนะ!”
ทาฮากริมที่ฟังมาตลอด รีบอาสาตัวเอง ผมเคยตรวจสอบเธอไปแล้ว เลเวลของเธอคือ 70 ซึ่งสูงกว่าดอเรียซะอีก แต่ผมต้องปฏิเสธไป เพราะไม่อยากให้เธอต้องมาเจอกับอันตราย ที่สำคัญ เรโมริก้าคิดจะเหมาพวกมันทุกคนอยู่แล้ว
“อาเดไลท์พาทาฮากริมไปนั่งดื่มชารอผมเถอะ”
“เข้าใจแล้ว”
อาเดไลท์พยักหน้ารับและดึงมือทาฮากริมไปแบบไม่ยอมให้ปฏิเสธเลย แต่พอเมยอาจะเดินตามพวกอาเดไลท์ไปด้วย ผมก็คว้าคอเธอไว้ก่อน
“ส่วนเธอต้องตามผมมา ทางนี้ต้องการคนทำหนังสือสัญญานะ”
“แต่ฉันไม่อยากเห็นฉากสยองขวัญนี้”
“หลับตาไว้ก็ได้”
“เป็นเจ้านายที่ใช้งานได้โหดจริงๆ”
เมยอาถึงจะบ่นแต่ก็เดินตามผมมาด้วย ส่วนที่เหลือก็แยกย้ายกันไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พอผมตามหลังพวกออครูสไปที่ดันเจี้ยนนํ้าตก ก็เจอพวกนั้นหยุดแถวในตรงกลางป่า ผมเลยอ้อมไปดูว่าทำไมพวกนั้นถึงหยุด เพราะดูแล้วไม่ใช่เพราะเปลี่ยนใจมาดักเล่นงานผมแน่
เมื่อได้เห็นด้านหน้า ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมพวกออครูสถึงหยุด เพราะข้างหน้ากำลังมีอีกขบวนตัดผ่านไป เป็นขบวนที่ใหญ่มาก แถวยาวจนมองไม่เห็นหางแถวเลย
พวกที่มาดูเหมือนมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์ เพราะบนหัวมีเขารูปร่างแปลกๆ บางตัวก็มีหางด้วย
“เผ่ามังกร!”
เรโมริก้าทักขึ้นมาด้วยความตกใจ จะว่าไปผมก็คุ้นๆ อยู่นะเจ้าพวกนี้ โดยเฉพาะฝูงเพนกวินใส่สูทที่อยู่กลางแถวเนี่ย คุ้นสุดๆ เลย
แล้วตอนที่หัวแถวผ่านมาตรงหน้าผม แถวก็หยุดลงทันที ก่อนจะแหวกออกเป็นสองแถว และมีอีกขบวนหนึ่งเดินผ่านมาตรงกลาง ขบวนนี้เป็นเหมือนขบวนแห่ โดยแบกเกี้ยวขนาดใหญ่เหมือนยกเอาบ้านมาทั้งหลัง เลยใช้เผ่ามังกรกว่าห้าสิบคนในการแบก
บนเกี้ยวเป็นศาลาแบบสี่เสา ขึงด้วยผ้าแพร และมีทหารเผ่ามังกรยืนเฝ้าอยู่ทุกทิศ มีทั้งความใหญ่โตและเลิศหรู และขบวนก็หยุดลงห่างจากผมไปไม่กี่ก้าว เหล่าคนที่แบกมาพากันคุกเข่าลงจนฐานด้านบนตํ่าลงพอจะเดินลงมาได้ คนที่อยู่ด้านในจึงก้าวออกมา
“อ้าว!”
ผมร้องขึ้นแบบประหลาดใจ ถึงจะเอะใจอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะใช่จริงๆ เพราะคนที่มาก็คือเจ้าหญิงโช ที่วันนี้มาในชุดกิโมโนแบบเต็มยศเลย
“เจ้าหญิงโช ออกมาจากดันเจี้ยนได้อย่างไงครับเนี่ย”
“ทำไมข้าจะออกมาไม่ได้ล่ะ ว่าแต่เจ้านั้นแหละ ไหนรับปากข้าว่าจะรีบมาหา นี้ปล่อยให้ข้ารอตั้งนาน จนทนไม่ไหวต้องมาเองแบบนี้”
“ขอโทษครับ ผมต้องทำอะไรหลายอย่าง เลยไม่มีเวลาจะไปเยี่ยมท่านได้”
“ช่างเถอะ ตอนนี้เราก็มาแล้ว ขึ้นมาที่พักของข้าแล้วค่อยแก้ผ้า…ค่อยคุยกัน”
“ฮะๆ เข้าใจวัตถุประสงค์แล้วครับ แต่ว่าช่วยรออีกเดี๋ยวได้ไหมครับ ผมต้องสะสางปัญหากับเจ้าพวกนี้ก่อน”
ผมชี้ไปทางพวกออครูสที่ยังพากันยืนตะลึง เพราะไม่เคยเห็นเผ่ามังกรอยู่กันเยอะแบบนี้
“หา? พวกมันมีปัญหาอะไรกับเจ้าเหรอโรมะ”
เจ้าหญิงโชดูจะไม่ค่อยพอใจ ผมเลยต้องอธิบายแบบย่อๆ ให้เธอฟัง
“ฮะๆๆ น่าสนุกดีนี้ เช่นนั้นขอข้าเข้าร่วมด้วยคนสิ”
“ม ไม่ได้! นี้เป็นปัญหาของพวกข้ากับมันเท่านั้น”
ออครูสรีบปฏิเสธทันที เพราะถึงไม่ต้องตรวจสอบดู ก็รู้ว่าเจ้าหญิงโชมีเลเวลมหาศาลแค่ไหนแต่สีหน้าก็แสดงความตื่นกลัวออกมาแบบสุดๆ แล้ว
“เลเวลพวกนี้น้อยกว่าเจ้าหญิงโชครับ คงไม่สามารถรับเสนอได้”
ผมแก้ตัวให้แทน ไม่งั้นเกิดพวกมันกลัวจนหนีกันไปซะก่อน แผนของผมก็พังกันพอดี
“…เช่นนั้นข้าจะต่อให้ เด็กๆ เอาไอ้นั้นมาสิ”
เจ้าหญิงโชหันไปสั่งพวกลูกน้อง ซึ่งทหารมังกรก็หยิบเอาของที่เธอต้องการออกมาทันที สุดยอดแฮะ แค่เรียกว่าไอ้นั้นก็รู้เลยเหรอ เป็นผมงงตายเลย
สิ่งที่เจ้าหญิงโชให้เอาออกมา มันคือรัดเกล้าที่คล้ายๆ มงกุฎ เธอหยิบมันมาส่วมทันที
“ในพวกแกมีคนที่มีสกิลตรวจสอบอยู่สินะ งั้นจงตรวจสอบไอ้นี้และเลเวลของข้าในตอนนี้ซะ”
ผมเองก็ตรวจสอบด้วยเหมือนกัน ไอเท็มรัดเกล้ามีชื่อว่า รัดเกล้าสำนึกตน มันส่งผลให้เลเวลของผู้ส่วมใส่ ลดลงเหลือ 1 และถ้าต่อสู้กับใคร เลเวลผู้ใส่ก็จะถูกปรับขึ้นมา ให้มีเลเวลครึ่งหนึ่งของคู่ต่อสู้ สรุปคือ ถ้าเจอคนเลเวล 100 เธอก็จะมีเลเวลแค่ 50 แถมสกิลยังโดนล็อคตามระดับเลเวลอีก
“ข้าไม่ใช่แค่จะต่อให้หรอกนะ”
เจ้าหญิงโชบอกพร้อมกับดีดนิ้ว พวกทหารมังกร ก็แบกหีบสมบัติออกมาเทตรงหน้าให้ทุกคนเห็น เหรียญเงินเหรียญทองกองสูงเป็นภูเขาเลย ไม่นับไอเท็มหายากอีกนานับชนิด แบบนี้ถึงไม่ต่อให้ พวกนี้ก็โดนความโลภบังตาจนยอมตกลงแน่ ซึ่งก็ตามนั้น พวกออครูสรีบตกลงทันที
พอตกลงกันเสร็จแล้ว ถึงได้เคลื่อนพลไปกันที่ดันเจี้ยนนํ้าตก
แต่ก่อนจะส่งคนออกมาสู้ ต้องบอกสิ่งเดิมพัน และเซ็นชื่อในสัญญาที่เมยอาทำไว้ซะก่อน ทางผมเองก็ด้วย แต่เจ้าหญิงโชขอออกไปสู้เป็นแรก เพราะกำลังเบื่อสุดๆ อยู่พอดี แถมยังเล่นเดิมพันด้วยสมบัติทั้งหมดที่มีเลย ทางออครูสเลยต้องวางเดิมพันด้วยเงินทุนทั้งหมดที่กิลมี รวมถึงกิจการต่างๆ ด้วย ถึงจะเทียบไม่ได้แม้แต่เสี้ยวหนึ่งของสมบัติที่เจ้าหญิงโชมี แต่เธอก็ยอมตกลงรับไว้
“เจ้าหญิงโชครับ”
ก่อนจะเริ่มละเลงเลือดกัน ผมเข้ากระซิบบอกกับเธอ ถึงแผนที่วางเอาไว้
“โห แบบนี้เอง เข้าใจเล่นนะ ก็ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าว่า”
เจ้าหญิงโชยิ้มแบบนึกสนุก พร้อมกับปลดเอาเสื้อตัวนอกออก พร้อมกับพับแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นมา
ส่วนทางออครูสส่งคนที่เลเวลร้อยออกมาคนหนึ่ง เจ้านี้มีสกิลลดค่าพลังของคู่ต่อสู้ลงด้วย เป็นคนที่ผมระวังไว้มากที่สุดในสี่คนนั้นเลย
แต่พอเริ่มต่อสู้ ก็เกิดฉากเลือดสาดขึ้นมาทันที เพราะยังไม่ทันทีที่ฝ่ายจะได้ทันทำอะไร เจ้าหญิงโชก็พุ่งเข้าไปหาในอึดใจเดียว พร้อมกับใช้มือแทงทะลุเข้าไปที่ลำตัว และควักเอากระดูกซี่โครงออกมาชิ้นหนึ่ง แถมยังเอามาเคี้ยวเล่นอีกต่างหาก
“…เอ่อ เบามือหน่อยครับเจ้าหญิงโช”
ผมตั้งสติได้คนแรก เลยรีบร้องเตือนเธอไป
“อย่าบ่นนักสิ เท่านี้ไม่ถึงตายหรอกน่า เจ้าบอกเองว่าให้ทรมานหนักๆ แต่อย่าให้ถึงตายใช่ไหม ข้าก็ทำอยู่นี้ไง”
เวรกรรม แล้วจะประกาศให้ศัตรูรู้ทำไมล่ะเฮ้ย! พอออครูสได้ยินก็หันมามองผมแบบหน้าถอดสีไปเลย
แต่อาการของคู่ต่อสู้หนักมาก ผมกลัวว่ามันจะตายซะก่อน เลยตรวจสอบดู แต่น่าแปลกพลังชีวิตของมันแทบไม่ลดลงเลย ถึงจะบอกว่าเลเวลห่างกันเท่าตัว เลยทำให้โจมตีอีกฝ่ายไม่เข้าก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเล่นควักเอากระดูกออกมาเลย หรือว่าเป็นความสามารถพิเศษของเจ้าหญิงโช! น่ากลัวแฮะ
แต่เจ้าคนเลเวลร้อย ก็ยังฝืนสู้ต่อ แม้การเคลื่อนไหวจะช้าลงไปมาก ก็ยังถือว่ามีการเคลื่อนไหวที่ดี อาวุธที่ใช้เป็นดาบตะขอ ส่วนเจ้าหญิงโชมือเปล่า
เธอปล่อยให้อีกฝ่ายฟาดฟันและโจมตีตามใจชอบ ส่วนเธอยืนอ้าปากหาว เพียงแค่โยกตัวหลบโดยเท้าไม่ขยับจากที่เลย แสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นของฝีมืออย่างชัดเจน เหมือนกับระบบเลเวลไม่มีผลกับเธอเลยแม้แต่น้อย…อย่างบอกนะว่าเผ่ามังกรเป็นแบบนี้กันหมดเลย
พอเห็นว่าโจมตีไม่โดนอีกฝ่ายก็งัดเอาสกิลออกมาใช้ พวกสกิลลดพลังก็เรื่องหนึ่ง แต่สกิลโจมตีโดยตรงนี้สิ เจ้าหญิงโชยืนรับหน้าตาเฉย ดูจากความรุนแรงแล้ว ผมเป็นห่วงแทนเลย แต่พอตรวจสอบดู…พลังชีวิตเธอไม่ลดลงเลยสักนิด แถมการโดนโจมตีด้วยส
กิลเมื่อครู่ ยังทำให้เธอติดสถานะเกล็ดแกร่ง ซึ่งเป็นสกิลประจำเผ่าพันธุ์ ที่จะทำงานขึ้นมาเองเมื่อถูกโจมตี โดยที่สกิลนี้จะบวกพลังป้องกันให้อย่างมหาศาล แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างงี้ต่อให้ลดเลเวลเหลือแค่ 1 เธอก็สู้ได้สบายมาก
“ไม่มีอะไรจะโชว์แล้วใช่ไหม งั้นข้าขอบอก ว่าการแสดงของแกมันห่วยแตกสิ้นดี”
ว่าแล้วเจ้าหญิงโชก็เข้าไปจับเป้าหมายเหวี่ยงลงพื้น และเริ่มการเลาะกระดูกให้ดูแบบสดๆ โดยที่เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ น่าประหลาดสุดๆ ทั้งที่โดนเลาะกระดูกออกมานับสิบๆ ชิ้น แต่ว่าเจ้านั้นก็ยังลุกขึ้นมาเดินเหินและใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแต่จะมีอาการเจ็บปวดแสนสาหัสทุกครั้งที่ขยับตัว หรือแค่หายใจก็เจ็บ
เจียนตายแล้ว แถมเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับค่าพลังและสกิลด้วย
ค่าพลังนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งเป็นไปในแนวโน้มที่ลดลง ทั้งๆ ที่ไม่ได้ติดสถานผิดปกติอะไร ส่วนสกิลแปลกกว่าอีก เพราะชื่อสกิลมันเพี้ยนไปหมด เหมือนเวลาโปรแกรมติดบัคไม่มีผิด…ไม่มีคำอธิบาย ผมเองให้ตายก็จะเป็นศัตรูกับเจ้าหญิงโชเด็ดขาด เพราะความสามารถของเธอมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของระบบในโลกนี้ไปแล้ว
แล้วการต่อสู้ของคู่แรกก็จบลง เพราะอีกฝ่ายไม่อยู่ในสภาพที่จะต่อสู้ได้อีกแล้ว ขนาดตอนโดนหามออกไปยังร้องโอ้ยๆ อย่างน่าเวทนา
พวกออครูสพึ่งรู้สึกตัว ว่าไม่ใช่แค่แพ้อย่างเสียหน้า แต่ยังพึ่งเสียทรัพย์สินและรายได้ทั้งหมดของกิลไปให้เจ้าหญิงโช
ปกติแล้วควรถอย ยิ่งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีพลังเหนือกว่าแบบนี้ แต่ว่าเบื้องหลังจากเดิมพันครั้งนี้ก็คือการพนันนั้นเอง เมื่อเสียพนันก็มีแต่อยากจะเอาคืน มันเป็นวัฏจักรที่หนีไม่พ้น เพราะสิ่งที่เอาชนะยากที่สุดก็คือการเอาชนะใจตัวเอง
“รอบนี้ผมจะวางเดิมพันด้วยคฤหาสน์และที่ดินทั้งหมด”
และผมก็ทิ้งเหยื่อล่อลงไป เพื่อดึงให้พวกมันถลำลึกลงมา
“ง งั้นทางนี้ขอเดิมพันด้วยฐานที่มั่นของกิลผู้พิชิตแดนเหนือ”
ส่วนคนที่ลงไปสู้ทางผมก็ส่งเรโมริก้าไปตามที่ตกลงกันไว้ ส่วนทางนั้นออครูสลงมาเอง คงเพราะรู้ว่าแพ้ไม่ได้แล้ว แต่ยิ่งกลายเป็นการกดดันตัวเองซะเปล่าๆ
ทันทีที่เริ่ม เมยอาก็รีบขอตัวออกไปข้างนอก เพราะทนดูไม่ไหว เนื่องจากเรโมริก้าระเบิดความโกรธออกมาทันทีตั้งแต่วินาทีแรก ไม่เปิดโอกาสให้ออครูสได้แสดงฝีมือเลย เธอกระโจนเข้าใส่ราวกับภูตผี จับออครูสถลกหนังแบบทั้งตัวในพริบตา จากนั้นเธอก็ใช้สกิลที่เพิ่มความเจ็บปวดให้เป้าหมายเป็นหลายเท่าตัว และนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนขาดใจตายเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว แต่ก่อนที่หัวใจจะหยุดเต้น เรโมริก้าก็กัดข้อมือตัวเอง และโปรยเลือดใส่บนร่างของออครูส เลือดของเธอซึมผ่านเข้าไปในร่าง และเข้าควบคุมให้ร่างกาย
นั้นยังมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อฟื้นมารับความเจ็บปวดทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ตอนนี้พวกกิลผู้พิชิตแดนเหนือรู้ตัวกันแล้ว ว่าเป้าหมายของผมไม่ใช่การฆ่าฟัน แต่คือการระบายแค้นด้วยการทรมาน เลยพากันวิ่งหนี แต่ช้าไปแล้ว ที่ทางออกถูกขวางไว้ด้วยทหารมังกร
จริงๆ ถึงไม่มีพวกมังกร ผมก็กะจะใช้พลังจอมมารเพื่อหยุดพวกเขาไว้ ถึงจะมีเมยอาอยู่ด้วย แต่เธอไม่มีความสามารถด้านต่อสู้ คงไม่รู้ตัวหรอกว่าผมเป็นจอมมาร แต่ตอนนี้ได้พวกมังกรช่วย เลยเบาแรงไปได้เยอะ
“การเดิมพันเริ่มขึ้นแล้ว พวกคุณจะไปไหนไม่ได้ จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่มีอะไรให้เดิมพันอีก”
“พ พวกเราขอยอมแพ้! ต ตอนนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้เดิมพันแล้วด้วย ปล่อยพวกเราไปเถอะ!”
“…ยังเหลือไม่ใช่เหรอครับ”
ผมชี้นิ้วในท่ายืนกอดอกไปที่พวกเขา
“บ้าน ครอบครัวลูกเมีย เลือดเนื้อและวิญญาณของพวกคุณ ผมจะเอาทั้งหมดนั้น”
ในนํ้าเสียงที่บอกออกไป ไม่มีการล้อเล่น
“ป ปีศาจ แกมันเป็นปีศาจ!”
ตอนนี้ถึงผมไม่ปล่อยออร่าแห่งลางร้ายออกมา แต่พวกเขาก็เหมือนจะเห็นเงาสีดำทมิฬอยู่ข้างหลังผม
แล้วผมก็จับบังคับทุกคนทำสัญญา โดยที่โดนผมรีดจนถึงเลือดหยดสุดท้าย ใช่แล้ว ตายไปก็
เท่านั้น ให้อยู่แบบสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่มีบ้านให้กลับ ลูกเมียโดนแย่งชิง ไม่เหลืออะไรในชีวิตแบบนี้สู้ตายไปยังดีกว่า นี้คือบทลงโทษของผม ทัณฑ์มหายาจก
แต่นั้นแค่ส่วนของผมนะ แต่พวกนี้ยังต้องโดนสองเด้ง เพราะนอกจาดโดนผมลอกคราบแล้ว ยังโดนไปเป็นกระสอบทรายให้เรโมริก้าอัดจนกว่าเธอจะหายโกรธ นั้นคือสิ่งที่ผมบอกเธอไว้
คุณคงเคยได้ยิน ว่าถึงแค้นอย่างไง ฆ่าคนไปก็ไม่หายแค้น อันนี้ผมเห็นด้วย และพอจะเข้าใจเหตุผล เพราะเวลาฆ่าคนน่ะ มันพริบตาเดียว อย่างไงก็ไม่เท่ากับความแค้นที่เราต้องทนอยู่กับมัน ฉะนั้นแล้ว ผมเลยบอกให้เรโมริก้าอย่าฆ่าพวกมัน ไม่งั้นเธอจะไม่มีทางหายแค้นได้ วิธีที่จะทำให้หายแค้น ก็คืออัดมันซ้อมมันทรมานมัน ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะความแค้นจะหมดไป
หรือก็คือจนกว่าจะเกิดความรู้สึกเวทนาสงสารจนยอมปล่อยพวกมันไปนั้นแหละ บทสรุปก็เลยออกมาเป็นในรูปแบบนี้
ส่วนพวกที่เผลอลงมือแรงไปจนปางตาย ผมก็เตรียมยา…ชูปเปอร์แยมขาวของผมนั้นแหละ เมื่อคืนรีดออกมาสำรองไว้เพียบ มีพอสำหรับทุกคนแน่ ใครปางตายผมก็จะตรงไปกรอกยาให้ทันที ผมยังปล่อยให้พวกนี้ตายไม่ได้หรอก เพราะบอกแล้วไง ผมจะรีดจนเลือดหยดสุดท้ายของพวกมัน
หลังๆ พวกมันไม่ฟังเสียงแล้ว ถ้าหนีไปก็โดนเผ่ามังกรจับกลับมาอยู่ดี เลยรวมหัวกันรุมใส่เรโมริก้า แต่เธอกลับยินดีที่เป็นแบบนี้ เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลา เพราะเรโมริก้าน่ะยิ่งสู้ยิ่งแกร่ง ยิ่งได้เลือดยิ่งแข็งแรง ตรงนี้เลยไม่เหลือพื้นที่ให้ผมแทรกเข้าไปยุ่งได้
ผมเลยชวนเจ้าหญิงโชไปฆ่าเวลากันบนที่พักเคลื่อนที่ของเธอ
สองชั่วโมงผ่านไป
“อ่า โล่ง”
ผมกับเรโมริก้าเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน ถึงจะโล่งกันคนละความหมายก็เถอะ
ทางผมได้จัดเจ้าหญิงโชไปหลายนํ้าเลย ส่วนทางเรโมริก้าก็อัดพวกนั้นจนหายแค้นแล้ว วิธีผมได้ผลจริงๆ ด้วย
พวกออครูสทุกคนยังมีชีวิตอยู่ แต่ถึงร่างกายจะยังปกติดี แต่จิตใจถึงขั้นแหลกสลายไปแล้ว แค่เห็นหน้าเรโมริก้า ก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเอง
ได้ นํ้าหูนํ้าตาไหลพราก ทั้งฉี่ทั้งขี้ทะลักออกมาหมด ลงไปนอนก้มกราบร้องไห้กันเหมือนเด็กๆ
“เอาล่ะ พวกคุณที่ยังพอเหลือสติฟังให้ดี”
ผมเดินไปพร้อมกับใบสัญญาในมือที่หนาเป็นเล่ม
“ตอนนี้ทรัพย์สินทุกอย่างรวมถึงตัวพวกคุณเป็นของผมแล้ว ข่าวดีคือ ผมไม่สนใจจะเอาสวะอย่างพวกคุณมาเป็นทาส เพราะงั้นจงฟัง จากนี้ไปฐานที่มั่นของกิลผู้พิชิตแดนเหนือ ให้ย้ายไปอยู่ที่เมืองวิลเฟนเฮ พวกคุณจะต้องเป็นนักผจญภัยทำงานที่เมืองนั้นห้ามออกไปไหน และถ้าผลการทำงานไม่ดี…บางทีอาจจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับครอบครัวพวกคุณก็ได้ เข้าใจไหม”
“เข้าใจ! พวกเราเข้าใจแล้ว!”
ออครูสขานรับทั้งนํ้าตา ไม่เหลือความห้าวอยู่เลย แม้แต่ตัวลูกชายสุดรักที่เข้ามาใกล้ยังโดนถีบกระเด็น
และเพื่อความไม่ประมาท ผมให้เรโมริก้า Mind control พวกมันบางคนเอาไว้ ให้เป็นสายรายงานข่าวจากข้างในด้วย
“ผมให้เวลาหนึ่งเดือน ในการย้ายฐานกิล ถ้าครบเวลาแล้วยังไม่เห็นพวกคุณที่วิลเฟนเฮ ผมจะส่งคุณเรโมริก้าไปเยี่ยม”
แค่เอ่ยชื่อเรโมริก้าขึ้น ไม่ต้องรอให้พูดจบ พวกมันก็วิ่งกันออกไปราวกับผึ้งแตกรัง เท่านี้ผมก็ได้แรงงานที่จะใช้ที่วิลเฟนเฮแล้ว เผลอๆ พวกนี้พร้อมทำงานก่อนสาขากิลนักผจญภัยจะสร้างเสร็จซะอีก
ได้ทั้งความสะใจทั้งได้ใช้ประโยชน์ นี้สิถึงจะเรียกว่าล้างแค้นอย่างสาสม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น