ตอนที่ 93 ไม่จริงใจ
หลังแยกกับอานูบิสแล้ว ก็รีบตรงกลับค่ายพักทันที เพราะตอนนี้ทุกคนคงเป็นห่วงแย่แล้ว และไม่เพราะไม่อยากจะสู้กับพวกศพตามรายทาง ที่กำลังทยอยกลับไปยังพื้นที่ของตน ผมเลยใช้สถานะจอมมารไปด้วย
แต่ยังไม่ทันพ้นเขตสุสาน ก็เจอกับพวกสาวๆ แล้ว โดยมีอาเดไลท์เป็นคนนำทีมมา โดยแบ่งคนมาครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งเฝ้าค่ายไว้
พวกเธอเป็นห่วงผมมาก เลยคิดจะออกตามหากันเอง แถมจู่ๆ พวกศพก็หยุดสู้และถอยไปหมด เลยได้โอกาสส่งทีมช่วยเหลือออกมา
“หนูบอกแล้ว นายท่านต้องปลอดภัยแน่นอนค่ะ”
ฟรานยิ้มกับทุกคน พลางยกมือขึ้นแตะที่พันธะทาสตรงคอ เพราะตราบใดที่รอยสักนั้นยังอยู่กับตัว ก็แปลว่าผมยังมีชีวิตอยู่นั้นเอง
“นายท่านบาดเจ็บตรงไหนไหมค่ะ!”
เดเม่รีบวิ่งมาวนดูรอบๆ ตัวผม ราวกับสุนัขที่วิ่งวนรอบตัวเจ้านายเวลากลับถึงบ้าน
“ไม่เลย รอบนี้ไม่มีแม้กระทั่งแผลเลยล่ะ”
ผมชูสองนิ้วให้ เพราะด้วยสกิลที่พัฒนาขึ้นมาของมารราคะ ทำให้ผมรอดมาได้แบบไร้รอยขีดข่วน แต่เรื่องนี้ผมรู้สึกผิดกับอานูบิสหน่อยๆ เพราะถึงผมจะไม่ได้ใช้สถานะจอมมารสู้กับเขา แต่สกิลมารราคะก็เป็นสกิลของจอมมารอยู่ดี แต่จะเรียกว่าโกงก็ไม่ได้หรอก ก็ทางนั้นน่ะเป็นเทพแห่งความตายเลยนะ
“ทุกคนล่ะปลอดภัยดีใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ มีได้รับบาดเจ็บกันนิดหน่อย แต่ชีเอ้กับพวกนักบวชก็ช่วยรักษาให้แล้ว”
มิรินรายงานให้ฟังทันที แถมยังมองผมด้วยดวงตาเป็นประกายด้วย ก็เธอรู้ฐานะที่แท้จริงของผม เลยยิ่งประทับใจไปใหญ่ คงคิดว่าผมเอาชนะเทพแห่งความตายมาได้ล่ะมั่ง ถึงความจริงไม่ใช่การเอาชนะกันก็เถอะ ไว้ค่อยอธิบายให้ฟังทีหลังล่ะกัน เพราะเรื่องเป็นพันธมิตรกับอานูบิสยังต้องเอาไปบอกกับมุเอมะด้วย
แต่ตอนนี้ผมพึ่งรู้ตัว ว่าการใช้วิธีเพิ่มราคะให้ตัวเองมีผลกระทบอยู่ เพราะตัวเลขค่าความหื่นของผมมันลดลงมาเหลือแค่ 50 สำหรับคนอื่นมันคือค่ามาตรฐาน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยลดตํ่ากว่า 90 อย่างผม มันคือตัวเองที่อันตรายทีเดียว
“…เอ่อ ถึงจะกะทันหันไปหน่อย แต่พวกเธอช่วยเปิดกระโปรงให้ผมดูหน่อยสิ”
พวกสาวๆ ไม่มีลังเลเลยแฮะ พร้อมใจกันเปิดกระโปรงกันเลย ส่วนคนที่ใส่กางเกงอย่างยูริน ก็ยังถอดกางเกงลงให้ดู แต่ว่านี้ไม่ใช่คิดจะมาเล่นกิจกามกันตรงนี้หรอกนะ แต่ผมต้องพิสูจน์อะไรบางอย่าง และคำตอบก็ออกมาทันที
เพราะขนาดเห็นอาหารโปรดอยู่หน้า แต่ค่าความหื่นของผมมันไม่กระดิกเลย มันค้างติ่งอยู่ที่ 50 หรือว่านี้คือบทลงโทษของการใช้พลังมารราคะ…โหดแฮะ
แต่ผมคิดว่าผลของมันคงไม่อยู่นานนัก ไม่งั้นสกิลมารราคะคงหายไปแล้ว แต่นี้แค่ล็อคไม่ให้ผมเพิ่มหรือลดพลังราคะได้เท่านั้น แบบนี้ก็ดีแฮะ เพราะจะได้ตัดปัญหากลัดมันระหว่างทำเควสได้ ไว้เดี๋ยวกลับไปแล้ว ต้องหาเวลาทดลองให้มากกว่านี้ เพราะนี้อาจจะเป็นวิธีที่ใช้ควบคุมความหื่นของตัวเองได้
เหตุการณ์คราวนี้ให้ผลดีในหลายๆ ทางเลย เพราะนอกจากจะได้เป็นพันธมิตรกับอานูบิส จนได้รับอภิสิทธิ์พิเศษมากมาย ยังจะได้รับค่าตอบแทนในฐานะสินสงครามมาด้วย เนื่องจากพอกลับไปถึงค่ายพัก ผมก็เห็นทุกคนกำลังช่วยกันเก็บเหรียญเงินกับไอเท็มที่ตกอยู่ ซึ่งมันมีเต็มไปหมดทุกทีเลย
ผมพึ่งนึกขึ้นได้ ว่าตัวเองได้ฆ่าพวกศพไปมากแค่ไหน แค่เวท Waterfall กับ Ice Hell Field ก็น่าพวกมันไปหลายพันตัวแล้ว ไหนจะจากที่พวกสาวๆ ช่วยกันฆ่าอีก งานนี้เลยเหมือนอานูบิสช่วยต้อนเอาพวกศพมาให้พวกผมสังหารหมู่เลย
นอกจากเงินและไอเท็มจำนวนมากแล้ว เลเวลของทุกคนก็เพิ่มกระฉูดกันเลย ผมเองก็พึ่งสังเกตว่าตัวเองเลเวลขึ้นมาถึงสามเลเวล จนตอนนี้เลเวล 20 แล้ว
ส่วนคนอื่นๆ พวกที่เลเวลมากกว่าผมสิบเลเวล ล้วนได้เลเวลอัพกันหมดโดยเพิ่มกันมาคนละหนึ่งเลเวล
ฟราน เดเม่ ยูริน เลเวล 23 เท่ากันหมด
กินเลเวล 20 ราก้า 20 อาเดไลท์ 17 เอสเตอร์ 15 โรสลิน 15 เอร่า 13
ชีเอ้กับเนปฟ่า เลเวล 26 เท่ากับพวกโบสถ์ใหญ่ ซึ่งตอนนี้ถึงเก็บได้แค่วันละหนึ่งเลเวล ก็จะสำเร็จเควสก่อนกำหนดเวลาซะอีก
คริสตัลวิญญาณนั้น ผมเริ่มการแบ่งทันที เพราะที่ได้มารวมกับของเก่า มันพอจะหารให้ทุกคนได้คนละสองเม็ดพอดี ส่วนการ์ดศพตอนนี้รวมกับของเก่าก็มีสิบใบแล้ว แต่ผมจะเก็บไว้ใช้ในวันสุดท้าย ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย
กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จก็เลยเที่ยงคืนมาแล้ว ผมเลยให้ทุกคนไปพักผ่อน
ส่วนผมเองนี้ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกัน ที่ได้นอนหลับแบบคนปกติหลังจากที่เป็นจอมมาร ดูเหมือนพอความหื่นลดลง ความตื่นตัวและพลังของผมก็จะลดลงตาม เทียบกันแล้วตอนนี้ผมใกล้เคียงกับคนปกติ ที่เลยไปในเกณฑ์ค่อนข้างอ่อนแอเลยล่ะ
ไม่ดีแฮะ อ่อนแอลงแบบนี้จะเป็นปัญหาตอนล่าได้ หวังว่าความหื่นจะฟื้นกลับมาได้เร็วๆ นะ
แถมคงเพราะไม่ได้นอนมานานมาก ทำให้ผมหลับเป็นตาย และตื่นมาอีกทีก็เกือบจะเที่ยงของอีกวันแล้ว
พวกสาวๆ เห็นผมหลับสบายเลยไม่ยอมปลุก และจัดการทุกอย่างกันเอง ทั้งอาหารที่เดเม่เป็นคนจัดการให้ ส่วนการล่าก็ได้อาเดไลท์กับซาคุยะช่วยกันจัดการให้ แถมเหมือนจะเข้าใจเป้าหมายผมเป็นอย่างดี เลยให้คนที่เลเวลยังไม่ถึง 20 ติดไปกับทีมล่าด้วย
ตอนนี้พวกโบสถ์ใหญ่เลยมีเลเวล 27 ส่วนอาเดไลท์ก็เลเวล 21 เอสเตอร์กับโรสลินก็ 20 กันแล้ว ยกเว้นแต่เอร่าที่เลเวลเพิ่มยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเลเวลถึง 15 ล่ะนะ
พวกเธอจัดการทุกอย่างได้ดีเกินกว่าที่ผมคาดไว้ซะอีก แบบที่ไม่มีผมก็ไม่เป็นไรแล้ว อดจะใจหายไม่ได้แฮะ พวกสาวๆ เติบโตกันเร็วเกินไปแล้ว พวกเธอมีทั้งระบบพื้นฐานที่ผมวางไว้ให้ และยังสภาพร่างกายและจิตใจที่เพียบพร้อม ทำให้การล่าของพวกเธอทั้งเป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูง
แล้วแบบนี้ตัวผมควรจะยืนอยู่ตรงไหนดีล่ะ?
เพราะคิดว่าจุดยืนตัวเองน้อยลงเรื่อยๆ ก็อยากจะร้องไห้ออกมาแล้วสิ
“นายท่านคะ มื้อเที่ยงเสร็จแล้วค่ะ”
เดเม่พาผมไปนั่งถึงโต๊ะ และจัดการทุกอย่างให้ ราวกับเห็นตัวเองอีกคนเลยแฮะ เดเม่ได้เรียนรู้จากผมไปจะแทบถอดแบบผมมาหมดแล้ว ว่าแต่มื้อเที่ยงวันนี้เป็นราเม้งอีกแล้วแฮะ ฟรานรีเควสชัวร์
การที่พวกเธอทุกคนเติบโตก็เป็นเรื่องดีนะ เพียงแต่พอผมไม่ได้ขยับตัวทำอะไรแล้ว รู้สึกไม่ค่อยดีเลยอ่ะ เหมือนความมั่นใจมันหดหายไปอย่างไงไม่รู้
“ท่านโรมะอย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ”
มอเรียสังเกตเห็นสีหน้าผมเลยทักขึ้นมา
“พวกเราทุกคนรู้ว่าท่านโรมะพยายามเพื่อพวกเรามากแค่ไหน เพราะงั้นได้โปรดพักให้สบายและให้พวกเราพยายามเพื่อท่านโรมะบ้างเถอะค่ะ”
“ใช่แล้วล่ะ พอได้มาทำด้วยตัวเอง พวกเราเลยรู้ล่ะว่านายต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง”
อาเดไลท์เสริมที่มอเรียพูด ซึ่งทุกคนก็พยักหน้ารับ
“พูดให้ถูกก็คือท่านโรมะน่ะแบกรับไว้เยอะเกินไปแล้ว”
มิรินพูดเหมือนกำลังสั่งสอนผมอยู่ เธอรู้ว่าที่ผมแบกไว้ไม่ใช่แค่สาวๆ ในฮาเร็มเท่านั้น แต่ยังมีเผ่าปีศาจที่ผมยังแบกไว้บนบ่าอีกข้างด้วย การกระทำของผมเลยมักจะมีความนัยแฝงอยู่ตลอด เพราะแบบนั้นผมจึงต้องพยายามมากกว่าหลายเท่าของคนอื่น
“…ขอบคุณนะทุกคน แต่ว่าอย่าพึ่งรีบแย่งงานผมไปนักเลย ผมไม่ถนัดเป็นฝ่ายรับน่ะ”
“แต่ถ้าพวกเราจะเป็นฝ่ายรุกนายท่านก็ไม่มีปัญหาใช่ไหมล่ะ”
ดาเซสบอกพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เดี๋ยวๆ คนล่ะความหมายแล้ว ถ้าเป็นเรื่องนั้นอีกนานกว่าเธอจะเป็นฝ่ายรุกได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบเป็นฝ่ายโดนกระทำแบบเธอน่ะดาเซส”
พอโดนผมย้อนให้ทุกคนก็พากันหัวเราะ โดยมีดาเซสนั่งหน้าแดงอยู่
แต่ในมุมมองของพวกเนปฟ่าและโบสถ์ใหญ่ ต่างตระหนักได้ว่ากลุ่มของผมนั้นเหนียวแน่นแค่ไหน ไม่ใช่แค่กลุ่มคนที่มีผู้นำคอยชี้นิ้วสั่ง แต่ทุกคนพร้อมจะหนุนและผลักดันผู้นำ และยังจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน มันทำให้ทั้งรู้สึกอิจฉาและอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพวกผม
หลังจากมื้อเที่ยงแล้ว กรอเรียได้ขอคุยกับผมก่อนจะเตรียมออกเดินทางกัน เพราะในเมื่อทุกคนยกเว้นเอร่าเลเวลถึง 20 กันแล้ว ก็ถึงเวลาจะย้ายไปที่ชั้น 9 ตามที่ผมวางแผนไว้
“นี้ค่ะ เงินรางวัลและโบนัสสำหรับเควสครั้งนี้”
กรอเรียส่งถุงใส่กับผม เนื่องจากครั้งนี้เป็นเควสว่าจ้างส่วนตัว ทำให้ต้องมารับเงินรางวัลกับผู้ว่าจ้าง แทนที่จะไปรับที่กิลตามปกติ
“แต่พวกคุณยังเลเวลไม่ถึง 30 ตามที่ตกลงกันไว้เลยนะ”
“เรื่องนั้น…ต้องขอโทษด้วยค่ะ!!”
ก่อนจะบอกอะไรต่อ กรอเรียก็รีบขอโทษออกมา
“ฉันตั้งเงื่อนไขแบบนี้ไว้ เพราะคิดว่าอย่างไงก็ไม่มีทางทำได้อยู่แล้ว ซึ่งมันจะทำให้ไม่ต้องจ่ายรางวัลให้กับคุณโรมะ พวกฉันคิดจะโกงคุณตั้งแต่แรกด้วยเควสที่ไม่มีทางทำได้ ฉันต้องขอโทษคุณจริงๆ ค่ะ!!”
“…แล้วเอามาบอกผมทำไมล่ะ”
“ขอบอกตามตรงเลยว่า ฉันรู้สึกละอายค่ะ คุณโรมะทั้งรักษาคำพูด แถมยังทำเกินกว่าที่สัญญากันไว้อีก ทั้งการดูแลที่อยู่หลับนอน อาหารการกิน ความปลอดภัย และฝึกสอนพวกเราอีกหลายๆ อย่าง จนพวกฉันนึกว่ามาเที่ยวมากกว่ามาเก็บเลเวลซะอีก แถมคุณยังแบ่งไอเท็มให้ ทั้งๆ ที่มันสิทธิของพวกคุณแท้ๆ ฉันเลยรู้สึกละอายถ้าไม่บอกความจริงออกไป”
“…งั้นผมเองก็ขอสารภาพเหมือนกัน จริงๆ แล้ว ผมไม่คิดจะรับเควสของคุณมาอย่างจริงจังนักหรอก
เป้าหมายหลักของผมคือการพาพวกสาวๆ มาเก็บเลเวล และใช้ประโยชน์จากเวทมนต์รักษาของพวกเธอ เพื่อความต่อเนื่องในการเก็บเลเวล ส่วนเป้าหมายรองลงมาก็คือการมาเที่ยวจริงๆ นั้นแหละ”
“มาเที่ยว…จริงเหรอคะเนี่ย! นึกว่ารู้สึกไปเองซะอีก”
“จริงสิ ผมไม่อยากให้พวกสาวๆ รู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่บ้านเฉยๆ น่ะ และไม่อยากให้เบื่อหน่ายการเก็บเลเวลที่เป็นที่ซํ้าซากด้วย ผมถึงขนข้าวของมาด้วยเยอะแยะแบบนี้ไง”
“คุณนี้แปลกคนจริงๆ”
“นั่นน่ะผมถือว่าเป็นคำชมนะ”
“เอ่อ แล้วคุณไม่โกรธพวกเราเหรอ”
“ไม่หรอก ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้จริงจังด้วยกันทั้งคู่ แบบนี้จะโกรธได้อย่างไงล่ะ”
“…เช่นนั้น ฉันขอเริ่มต้นใหม่นะคะ ฉันกรอเรียขอขอบคุณมาก ที่ให้พวกฉันติดตามคุณและทีมของคุณมาด้วย และจากนี้ขอฝากตัวต่อไปด้วยค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับ ทางผมเองก็อยากจะรบกวนพวกคุณอีกมาก ฝากด้วยนะครับ”
“ค่ะ! อยากให้พวกฉันทำอะไรก็สั่งมาได้เลย พวกฉันจะทำให้คุ้มค่ากับอาหารที่กินไปอย่างแน่นอน!”
“รู้สึกเหมือนผมใช้ของกินมาล่อเลย แต่ก็ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ”
ตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับกลุ่มของกรอเรียเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว…เป็นไปตามแผนทุกอย่าง
ผมต้องแอบขอโทษกรอเรียอีกเรื่องหนึ่ง เพราะผมยังมีเรื่องโกหกเธออีกหลายอย่างเลย หนึ่งในนั้นก็คือการใช้พวกเธอเป็นหนูทดลอง ผมใช้การเดินทางครั้งนี้จำลองการทดสอบทัศนะคติของพวกโบสถ์ใหญ่ดู
และลองดูว่าพวกเธอจะปรับตัวเข้าหาพวกผมได้ไหม ซึ่งถ้าทำได้ก็แปลว่าทางโบสถ์ใหญ่ยังพอมีกลุ่มที่พูดคุยกันรู้เรื่อง ซึ่งในอนาคตมันอาจจะขยายไปถึงขั้นการอยู่ร่วมกันตามแผนของผม
ผมยังเตรียมแผนสเต็ปสองไว้ ซึ่งคือการช่วยพวกกรอเรียตั้งสาขาของโบสถ์ใหญ่ที่เมืองกรอซ่า และจะใช้จุดนี้เป็นการเชื่อมต่อความสัมพันธ์กับพวกโบสถ์ใหญ่ และค่อยสอดแทรกทัศนะคติการอยู่ร่วมกันเข้าไป
อ้อ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะญาติดีกับโบสถ์ใหญ่หรอกนะ แต่ผมสร้างความสัมพันธ์แบบที่พร้อมจะสนับสนุนและ
พร้อมจะทำลายไปในเวลาเดียวกัน การทำลายองค์กรขนาดใหญ่น่ะ การโจมตีจากภายนอกมันไม่ค่อยได้ผลหรอก แต่การบ่อนทำลายจากภายในนี้สิ ถึงจะได้ผล ไม่ต้องออกแรงเยอะแต่ได้ผลที่คุ้มค่า
แต่เรื่องนี้ยังเร็วไปที่จะเริ่มสเต็ปสอง ยังต้องให้กรอเรียเชื่อมั่นในตัวผมมากกว่านี้ก่อน และยังต้องปั้นให้เธอมีอำนาจในองค์กรอีก…ท่าทางจะยากน่าดูแฮะ
การที่ผมเลือกจะมาเป็นนักผจญภัยถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว เพราะในสถานะแบบนี้ มันทำให้ผมเคลื่อนไหวและแทรกซึมได้สะดวกจริงๆ
อย่ามาว่ากันเลยนะ ก็ผมน่ะไม่ใช่คนเก่ง เลยต้องสู้แบบใช้หัวกันหน่อย ผมไม่รู้หรอกนะว่าจอมมารคนก่อนๆ ใช้วิธีแบบไหนกัน
แต่ผมเป็นพวกที่ทำอะไรแล้ว จะต้องมีหลักประกัน ทั้งความสำเร็จและความปลอดภัย นอกจากแผนสำรองแล้ว ยังต้องมีแผนสำรองของสำรองอีก นั้นแหละถึงจะเป็นตัวผม
ผมจะไม่นิ่งนอนใจ และไม่ประมาท เพราะนี้ไม่ใช่เกม ไม่มีเริ่มใหม่ ไม่มีโหลดเซฟ พลาดครั้งเดียวคือจบ
“…คุณโรมะเป็นอะไรเหรอคะ?”
กรอเรียเห็นผมนั่งเหม่อเลยทักขึ้นมา
“เปล่าครับ แค่คิดอะไรนิดหน่อย ว่าแต่เตรียมพร้อมจะไปเที่ยวที่ชั้น9 แล้วยังครับ”
“ค่ะ! พร้อมแล้วค่ะ”
………………..
การเก็บของใช้เวลานิดหน่อย พวกผมเลยออกเดินทางกันตอนเกือบจะบ่ายสามแล้ว แต่รอบนี้พวกผมไม่รีบร้อนเท่าไร เพราะที่ชั้น 9 มีจุดพักแรมแบบเป็นทางการอยู่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางขึ้นลง ใช้เวลาเดินเท้าแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น
“ทะเล!”
“ค่ะ แต่เป็นทะเลสาบนํ้าจืดนะคะ พื้นที่ครึ่งหนึ่งของชั้นเป็นแบบนั้น จุดตั้งค่ายคราวนี้เลยอยู่ติดกับทะเลสาบที่ว่าด้วย”
มอเรียยิ้มตอบ เพราะเธอเองก็ชอบที่นี้เหมือนกัน
“แจ๋วไปเลย เอ่อ ว่าแต่ก็มีทะเลสาบนี่น่า ทำไมถึงไม่มีคนจับปลาไปขายเลยล่ะ”
“ถ้าจะจับปลาจะต้องออกไปลึกๆ น่ะค่ะ แล้วมอนสเตอร์ในทะเลแบบว่า…ไม่ควรสู้ด้วยเป็นอย่างมากค่ะ”
“เก่งเหรอ”
“ค่ะ เก่งมากเลย เลเวลสูงกว่าพวก Raid ประจำชั้นซะอีก แถมสู้ด้วยยากมาก เคยมีพวกที่คิดจะออกไปล่าปลาเหมือนกัน แต่พอออกเรือไปแล้วก็ไม่เคยรอดกลับมาเลย”
“โหดขนาดนั้นเลย”
“เอ่อ บอกตามตรง ต่อให้เป็นฉันเอง ก็ไม่ไหวเหมือนกันค่ะ”
มอเรียรู้สึกอายที่ต้องบอกแบบนั้น แต่การที่เธอบอกแบบนี้ แปลว่าคงไม่อยากผมไปยุ่งในทะเลสาบจริงๆ
“เข้าใจล่ะ เรื่องปลาคงต้องยอมแพ้ แต่ได้ตั้งค่ายติดทะเลก็ไม่เลวนะ”
“ทะเล! หนูไม่เคยเห็นทะเลมาก่อนเลยค่ะ”
พวกฟรานดูจะตื่นเต้นมาก
“เอ่อ ถึงจะเป็นทะเลในดันเจี้ยนแต่ก็เป็นทะเลล่ะนะ งั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ ผมเองก็อยากจะเห็นแล้วเหมือนกัน”
แล้วกลุ่มของผมก็ออกเดินทางจากชั้น 8 ไปยังชั้น 9 แถมยังลืมวัตถุประสงค์หลักที่จะไปล่าเพื่อเก็บเลเวลซะสนิทเลย
ตอนที่ 94 วีรชน
พวกผมเดินทางมาถึงทางลงได้อย่างปลอดภัย บรรยากาศในกลุ่มก็ดี โดยเฉพาะกรอเรียเริ่มคุยกับพวกฟรานได้แล้ว คงเพราะเมื่อคืนเจอกันมาหนัก เลยทำให้เข้าใจกันได้ง่ายขึ้น
อาเดไลท์ก็ปรึกษาเรื่องการตั้งค่ายที่ชั้น 9 กับมอเรีย โดนเธอแย่งหน้าที่ไปซะแล้ว แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะวัตถุประสงค์ของผมก็คือการฝึกงานพวกสาวๆ อยู่แล้ว
แต่จู่ๆ แหวนที่นิ้วก็เริ่มร้อนขึ้นมา มิรินที่ใส่แหวนแบบเดียวกับผมก็รู้สึกได้ เลยรีบหันมามอง แต่ผมรีบส่ายหน้าปรามเธอไว้ เพื่อไม่ให้ทุกคนรู้สึกผิดสังเกต เลยจะให้ทำตัวตามปกติไปก่อน
“เอ่อ เดี๋ยวผมขอแวะไปปลดทุกข์ก่อนนะ”
“รับทราบค่ะนายท่าน”
เดเม่พยักหน้ารับพร้อมกับเดินตามผมมา
“…จะตามมาทำไมเนี่ยเดเม่ ผมจะไปเข้าห้องนํ้าน่ะ”
“หนูจะตามไปทำความสะอาดให้ค่ะนายท่าน”
“ไม่ต้องเลย เธอล่วงหน้าไปก่อน เดี๋ยวเสร็จแล้วผมจะตามไปเอง”
“…รับทราบค่ะ”
ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่เดเม่ก็ยอมกลับไปรวมกลุ่ม พอสบโอกาสผมก็กระซิบเบาๆ ไปที่แหวน
“มีอะไรเหรอมุเอมะ”
“ขออภัยที่ต้องรบกวนค่ะท่านโรมะ แต่ว่าช่วยกลับมาที่ปราสาทจอมมารตอนนี้ได้ไหมคะ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
“ตอนนี้เลยเหรอ”
“ค่ะ เดี๋ยวฉันจะส่งลิซาร์ดแมนไปหานะคะ”
ลิซาร์ดแมนนั้นเป็นเผ่าที่มีความพิเศษ คือสามารถลอกเลียนแบบปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แต่ลอกได้เฉพาะร่างกายเท่านั้นส่วนความสามารถ ก็ยังคงเป็นลิซาร์ดแมนอยู่ดี
ยังไม่ทันได้ถามอะไร ลิซาร์ดแมนตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาข้างตัวผม พอมาถึงมันก็รีบคุกเข่าลงทันที
“ขอเสียมารยาทครับท่านจอมมาร”
ลิซาร์ดแมนกล่าวขอโทษก่อนจะจ้องผม ร่างกายของลิซาร์ดแมนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นผิวหนังแบบมนุษย์ กระทั่งใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นผมได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“อย่าพยายามพูดอะไรกับคนอื่นล่ะ พวกเธอค่อนข้างสนิทกับผม ถ้ามีพิรุธเพียงนิดเดียวโดนจับได้แน่”
ถึงจะไม่มาก ผมว่าพวกสาวๆ มีโอกาสแยกผมกับตัวปลอมออก แต่ถึงจะโดนจับได้ ก็ยังมีมิรินอยู่ด้วย คงจะพอช่วยกลบเกลื้อนให้ได้
“ครับ ผมจะระวัง”
ลิซาร์ดแมนรับคำอย่างหนักแน่น ทำให้ผมกลับมาที่ปราสาทจอมมารได้อย่างวางใจ แต่พอมาถึงก็พบกับบรรยากาศตึงเครียดทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ มุเอมะ”
ผมถามมุเอมะที่วิ่งเข้ามาหาผม แถมเธอใส่ชุดเต็มยศ เป็นเกราะหนักสีดำที่ดูน่ากลัว อาวุธของมุเอมะเป็นดาบใหญ่แบบฟันที่เดียวผ่าบ้านทั้งหลังได้เลย
“พวกเราโดนผู้กล้าบุกค่ะ”
“อีกแล้วเหรอ? งั้นรีบๆ ไปไล่พวกมันไปกันเถอะ”
แต่พอผมพูดไป บรรยากาศกลับยิ่งดูหนักขึ้น ทุกคนก้มหน้าลงไม่กล้าออกปากอย่างที่เคย
“คือว่าคราวนี้มันต่างจากคราวก่อนค่ะท่านโรมะ”
“ต่างกันอย่างไงเหรอ หรือว่ามากันเยอะ?”
“เปล่าค่ะ มากันแค่สามคน”
“งั้นก็คงเป็นพวกเลเวลสูงสินะ”
“นั่นก็ใช่ค่ะ แต่ว่า…ผู้กล้าทั้งสามคือคนที่ฆ่าจอมมารคนก่อน”
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงได้มีบรรยากาศกดดันแบบนี้ แล้วมุเอมะก็ให้ดูภาพจากอุปกรณ์เวทมนต์ ซึ่งผู้กล้าทั้งสามต่างมาจากคนละทาง เหมือนแยกกันบุก แต่ทั้งหมดมาถึงทางเข้าปราสาทจอมมารแล้ว
คนหนึ่งบุกมาทางดินแดนปีศาจตรงๆ เลย คนนี้น่าจะเก่งมาก เป็นคนญี่ปุ่นแบบเดียวกับผม แต่น่าจะเป็นคนจากยุคโบราณ ดูจากทรงผมที่มัดมวยผมไว้ด้านข้างกับเครื่องแต่งกาย
คนที่สองบุกมาจากบนฟ้าด้วยการขี่กรินฟอนมา คนนี้คงมาจากยุคกลางของทางยุโรป ดูจากรูปแบบเกราะสีแดงที่ใส่ ซึ่งค่อนข้างเหมือนของในโลกนี้ แต่ดูอลังการกว่าเยอะ
คนสุดท้ายอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ซึ่งผ่านวาปร์มาทางดันเจี้ยน ดูไม่ออกเลยว่ามาจากโลกไหนหรือยุคไหน เพราะเล่นใส่ผ้าคลุมปิดมิดชิด แต่ขนาดผ่านดันเจี้ยนระดับสูงมาได้ด้วยตัวคนเดียว น่าจะเก่งจริงๆ นั้นแหละ
“ขอโทษนะคะ ถ้าพวกขุนพลปีศาจอยู่ล่ะก็ คงไม่ต้องรบกวนท่านโรมะแล้ว”
“ไม่ต้องขอโทษแล้วล่ะ อีกอย่างที่พวกนั้นบุกมาตอนนี้ คงเพราะรู้ว่าขุนพลปีศาจยังไม่คืนชีพขึ้นมาล่ะมั่ง ว่าแต่คิดแผนรับมือไว้หรือยัง”
“ค่ะ ถ้าเป็นไปได้ พวกเราควรรุมกำจัดไปทีละคน เพียงแต่ว่ามีสองคนที่อยู่ในพื้นที่ของปราสาทแล้ว คิดว่าคงมีเป้าหมายคือการทำลายแหล่งจ่ายพลัง เพื่อทำให้ปราสาทจอมมารตกลงไป”
“ก็คือต้องจัดการสองคนนี้พร้อมกันสินะ”
แต่ผมพูดไม่ทันจบ ก็เกิดเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนไปทั่วปราสาท ผมรีบหันไปดูภาพอีกครั้ง ก็เห็นเจ้าผู้ชายที่มวยผมไว้ กำลังชูดาบเจ็ดปลายชี้มาที่ปราสาทจอมมาร พร้อมกันนั้นก็มีสายฟ้าผ่าใส่ลงมาอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าไม่ใช่สองคนแล้วล่ะที่คิดจะจมปราสาทของพวกเรา”
มุเอมะทำหน้าปั้นยากทันที เพราะนี้คือศัตรูเก่าคู่อาฆาตที่เคยทำให้พวกเธอพ่ายแพ้มาแล้ว
“ท่านโรมะ ขออนุญาตให้ฉันออกไปสู้กับเธอคนนี้ด้วยค่ะ”
มุเอมะชี้ไปที่อัศวินในชุดเกราะสีแดงที่มาพร้อมกรินฟอน พอมองดูแล้วน่าจะเป็นสไตล์เดียวกับมุเอมะเลยแฮะ เป็นพวกใส่เกราะหนักและใช้อาวุธใหญ่ แต่ผมไม่คิดว่ามุเอมะจะแพ้หรอก ก็ตอนนี้เธอไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เลเวลเธอตันแล้วก็จริง แต่ค่าพลังเธอยังคงเพิ่มขึ้นจากซุปเปอร์นํ้าเชื้อของผม
“งั้นผมจะลงไปหยุดเจ้าผมมวยเอง ส่วนที่เหลือก็ฝากจัดการคนที่มาทางห้องใต้ดินด้วยนะ”
ผมเลือกเจ้าผมมวย และส่งปีศาจตัวอื่นๆ ลงไปที่ชั้นใต้ดิน ถึงจะรู้ว่าเข้าทางฝ่ายนั้นก็เถอะ แต่ถ้าเอาแต่รุมมีหวังปราสาทจอมมารพังก่อนแน่ๆ เลยต้องยอมแยกกำลังไปตามที่ฝ่ายนั้นต้องการ
“ท่านโรมะต้องระวังเจ้าหมอนั้นให้มากๆ นะคะ รอให้ฉันจัดการยัยนี้แล้วตามไปสมทบ ระหว่างนี้ก็แค่ถ่วงเวลาไว้ก็พอ”
“ไม่ พวกเธอจัดการสองคนที่อยู่ในปราสาทให้เสร็จก่อน ส่วนเจ้านั้นถ้าผมเห็นว่าไม่ไหว ก็จะลากมันไปทิ้งให้ไกลๆ เอง”
ใช่ ถ้าไม่ไหวก็กะว่าจะจับไปโยนไว้ที่ดันเจี้ยนลูปัน หรือไม่ก็เรียกอานูบิสออกมาช่วยกันรุมยำซะเลย
ผมใส่เกราะจอมมารและเปิดใช้พลังอย่างเต็มกำลัง เพียงแต่พลังของผมไม่ใช่จุดที่สมบูรณ์สักเท่าไร เพราะ
พลังราคะผมยังไม่ฟื้นขึ้นมา เลยทำให้พลังจอมมารตกลงไปด้วยเหรอเนี่ย!
พลังที่มีตอนนี้เป็นครึ่งเดียวจากปกติ จังหวะไม่ดีเลย ขนาดจอมมารคนก่อนยังแพ้ แล้วผมที่มีพลังเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว จะไหวไหมล่ะเนี่ย
…ไม่ ต้องไหวสิ เพราะผมไม่ใช่คนที่พุ่งชนอะไรโดยไม่ใช้หัวคิด ใช้สมองทนแทนส่วนพลังที่หายไปแทนก็หมดเรื่อง
ผมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ก่อนจะกระโดดลงไปจากปราสาทจอมมาร จริงๆ โคตรกลัวเลยที่ต้องตกลงไปจากที่สูงๆ แบบนี้ แต่ผมเป็นจอมมารจะต้องเปิดตัวให้มันดูทรงพลังเพื่อข่มขวัญอีกฝ่ายไว้ก่อน
ด้วยการลงมาแบบไม่มีชะลอความเร็ว ทำให้ตอนเท้าแตะพื้น มันเกิดแรงกระแทกที่รุนแรงจนทำเอาพื้นดิน
แยกเลย ผมไม่รู้สึกเจ็บหรือ HP ลดลงเลย มีเพียงแค่หูอื้อจากเสียงดังตอนกระแทกเท่านั้น
ผู้กล้ามวยผมหันมามองผมด้วยความตกใจ คงเพราะไม่คิดว่าจอมมารจะมาด้วยตัวเองล่ะมั่ง ส่วนผมก็ไม่รอช้า ใช้ตรวจสอบกับเขาก่อนทันที
ไอ้โง่
นั้นคือสิ่งแรกที่ผมคิดสำหรับผู้ชายคนนี้ เพราะพี่ท่านเล่นไม่ใส่ไอเท็มปกปิดความสามารถตัวเองเลย ทำให้ผมรู้ข้อมูลทุกอย่างมาอย่างง่ายๆ
ชื่อ ชินกุ
เผ่า มนุษย์
อาชีพ ผู้กล้าที่แท้จริง/นักรบโบราณ/สมมุติเทพ
Lv 706/No limit
ส่วนค่าพลังประมาณครึ่งหนึ่งของมุเอมะได้ จากที่ผมเห็นมา ค่าพลังนี้น่าจะขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์และอาชีพ ค่าพลังเทียบต่อเลเวลที่มากสุด ถ้าไม่นับตัวเองแล้ว ผมว่าของมุเอมะน่าจะมากที่สุด เพราะงี้เวลาบวกค่าพลังจากซุปเปอร์นํ้าเชื้อ เลยเพิ่มมากกว่าคนอื่นด้วย
ส่วนของอานูบิสถึงเป็นเผ่าเทพและเวลาเท่ากับมุเอมะ แต่ค่าพลังยังน้อยกว่ามุเอมะพอสมควร โดยพลังชีวิตเนี่ย ยังไม่มีใครที่เกิดหลักสิบล้านแบบมุเอมะเลย ของชินกุเองมี Hp แค่ 6 ล้านนิดๆ ซึ่งไม่บาลานกับค่าพลังอื่นๆ ที่มีหลักแสนเลย
อีกจุดหนึ่งที่มุเอมะดูเหนือกว่าก็คือจำนวนสกิลที่มี ของผมกับมุเอมะมีสกิลกันเป็นร้อยๆ ชนิด อานูบิสมีเฉพาะสกิลเฉพาะสายของตนซึ่งมีประมาณ 30 สกิล ส่วนของชินกุมีแค่ 12 สกิล
ถ้าผมเป็นชินกุ ผมจะหาทางเพิ่มจำนวนสกิลให้กับตัวเอง แม้จะเป็นสกิลที่ไม่ได้ใช้งานอะไรเลยก็ตาม เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็อย่างตอนนี้เพียงแค่ผมมองแว่บเดียว ก็รู้วิธีสู้ทั้งหมดของชินกุจากสกิลที่มีได้แล้วไงล่ะ
ซึ่งถ้ามีสกิลขยะปนอยู่ด้วย การคาดเดาวิธีสู้ก็จะยิ่งทำได้ยากและเสียเวลา โดยเฉพาะจะซ่อนสกิลเฉพาะตัวของผู้กล้าได้ด้วย
ผมน่ะถนัดรับมือกับผู้กล้ามากกว่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยนซะอีก ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวเองก็เป็นผู้กล้าเหมือนกันล่ะนะ
วิธีรับมืออย่างแรกก็คือ มองหาสกิลเฉพาะตัวให้เจอซะก่อน เพราะสกิลที่ติดตัวมาตอนแรกของผู้กล้า จะเป็นสกิลโกง และพอหาเจอแล้วก็ต้องคิดหาวิธีรับมือ
และด้วยจำนวนสกิลที่น้อยนิดของชินกุ ทำให้ผมหาสกิลโกงของมันเจอแทบจะในทันที
‘…แบบนี้เอง ไม่แปลกเลยที่สามารถฆ่าจอมมารคนก่อนได้’
สกิลโกงที่ชินกุมีก็คือ Justice Duel เป็นสกิลที่ใช้ทำให้นำพลังของตัวเองและเป้าหมายมารวมกัน และหารแบ่งกันคนละครึ่งอย่างยุติธรรม
แต่พูดก็พูดเถอะ แค่สกิลนี้อย่างมากก็แค่ทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อขึ้นเท่าแหละ เพราะถึงพลังจะเท่ากัน แต่จอมมารได้เปรียบกว่าอยู่ดี เพราะมีสกิลที่เยอะกว่า ส่วนพลังที่หารกันเป็นแค่ค่าพลังดิบ ที่ยังไม่นับรวมกับที่เพิ่มขึ้นมาจากสกิล
สรุปคือพลังของจอมมารจะเหลือมอยู่หน่อยๆ ถึงชินกุจะมีอาวุธที่ดี แต่ก็ไม่สามารถนำมากลบความเหลือม
ได้ แต่นั้นกรณีสู้ตัวต่อตัวนะ แต่จอมมารคนก่อนโดนพวกนี้สามคนรุมในสภาพที่โดนหารพลังไป ไม่แพ้ก็แปลกแล้ว
แต่ว่านั้นคือจอมมารคนเก่า แต่ผมตอนนี้คือโรมะ คนที่มีค่าพลังเด่นเพียงอย่างเดียว นั้นก็คือค่าสติปัญญา
ระหว่างที่วิเคราะห์อยู่เนี่ย ผมก็ชวนอีกฝ่ายคุยไปด้วย ทั้งได้ข้อมูลทั้งถ่วงเวลาเพื่อวิเคราะห์
ชินกุนั้นเป็นผู้กล้าประเภทวีรชน
จากที่ผมรู้มาจากเอร่า ผู้กล้านั้นมีอยู่ 4 ประเภท
ประเภทแรก หาได้ยากหน่อย คือเป็นผู้กล้าที่เป็นคนของโลกนี้แต่แรก ซึ่งจะได้รับสกิลของเทพไปจนทำให้กลายเป็นผู้กล้า แต่ผู้กล้าประเภทแรกนี้จะค่อนข้างด้อยกว่าที่เหลือ เพราะค่าพลังจะน้อยกว่าผู้กล้าจากโลกอื่น เหตุผลเพราะอะไรยังไม่รู้
ประเภทสอง คือแบบผมหรือซาคุยะ เป็นกลุ่มผู้กล้าที่โดนอันเชิญมาแบบหมู่คณะแบบที่ยังมีชีวิตอยู่โดยเป็นการหวังผลแบบเหวี่ยงแห คือตั้งความหวังว่า ในร้อยคนจะมีความสามารถที่เอาชนะจอมมารโผล่ออกมาสักคน หรือไม่ก็ใช้ปริมาณเข้าว่า แต่เพราะวิธีนี้อันเชิญได้แค่คนธรรมดา ค่าพลังเลยไม่ได้สูงมากมายอะไร แต่ก็เหนือกว่าคนโลกนี้อยู่พอสมควร
ประเภทที่สาม คือแบบปีเตอร์ ที่เป็นคนที่ตายไปแล้ว พวกเทพจะนิยมใช้วิธีอันเชิญแบบนี้ เพราะสามารถผลิตผู้กล้าเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ และไม่ส่งผลกระทบกับโลกอีกด้าน ถึงจะไม่มากเท่ากับประเภทที่สอง ที่เรียกแบบเป็นกลุ่มออกมา แต่ประเภทที่สามจะทำได้ง่ายและใช้พลังน้อยกว่า ซํ้าร่างใหม่ที่สร้างให้ก็จะมีค่าพลังสูงกว่าประเภทกลุ่ม ที่เป็นร่างคนเป็นจากโลกเดิม
ส่วนประเภทที่สี่ คือการอันเชิญวิญญาณของวีรชน ไม่ว่าจะจากของโลกนี้หรือของโลกอื่น การอันเชิญแบบนี้จะทำให้ได้ผู้กล้าที่มีพลังสูง แถมไม่ต้องมาเริ่มที่ Lv1 แต่จะมาในสภาพพร้อมสู้กับจอมมารได้เลย ทว่าการอันเชิญประเภทนี้ เทพจะต้องพึ่งมนุษย์เพื่อเป็นสื่อกลางด้วย แถมมีโอกาสล้มเหลวสูง
ส่วนผู้กล้าวีรชนที่อันเชิญมาได้ ก็จะต้องสังกัดอยู่กับประเทศที่เป็นผู้อันเชิญตนเองมา เป็นเหมือนทหารใต้อาณัติ ไม่มีอิสระแบบประเภทอื่นๆ
แต่วิธีนี้มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังสามารถอันเชิญวีรชนที่เคยเรียกไปแล้วมาได้ อย่างชินกุที่เคยถูกเรียกเมื่อนานมาแล้ว ก็ยังสามารถเรียกกลับมาได้ใหม่
ส่วนที่ผมรู้ได้นั้น เพราะชินกุดันหลุดปากพูดถึงประเทศและผู้ที่อันเชิญเขามา แถมยังมีชื่อที่ผมรู้จักอย่างเมดิซหลุดมาด้วย ส่วนเมดิซเป็นใครนั้น ก็ยัยสิบเทพสูงสุดที่ผมเคยไปตบกางเกงในเธอมาเก็บไว้ในคอเล็กชั่นไง ชัดเลยว่างานนี้เมดิซนั้นแหละที่อยู่เบื้องหลัง
บนโลกแห่งนี้มีประเทศมากกว่าสิบประเทศ แต่ประเทศที่มีอำนาจพอจะทำการอันเชิญผู้กล้าได้ มีอยู่แค่สามประเทศเท่านั้น
หนึ่งก็คือประเทศเลนคาน ที่ปกครองพื้นที่ทางเหนือ เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมีเมืองใต้ปกครองเป็นสิบเมือง และหมู่บ้านอีกกว่าห้าสิบแห่ง แต่เลนคานสามารถอันเชิญได้แค่ประเภทสองเท่านั้น เนื่องจากเป็นประเทศที่นับถือโบสถ์ใหญ่เป็นหลัก
การนับถือโบสถ์ใหญ่ก็แปลว่าไม่ได้ทำการบูชาพวกเทพ การอันเชิญผู้กล้าจึงต้องใช้จอมเวทจำนวนมากในการทำพิธีแทน แต่เรื่องความสำเร็จก็ไม่ได้น้อยหน้าอีกสองประเทศคู่แข่งเลย
ประเทศที่สองคือประเทศที่อันเชิญชินกุ สมาพันธรัฐคิน เป็นประเทศที่อยู่ติดกับเขตแดนของเผ่าปีศาจ หรือก็คือประเทศที่อยู่ริมสุดของแผนที่ทางทิศตะวันออก สมาพันธรัฐคิน ขึ้นชื่อเรื่องมีคนทรงที่ใช้ติดต่อกับเทพเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการอันเชิญผู้กล้าออกมาได้บ่อยๆ
ส่วนประเทศที่สามคือ จักรวรรดิปาสูน่อน ซึ่งยังไม่มีข้อมูลอะไรเลย เพียงแต่เป็นชื่อที่เคยผ่านตามาจากในหนังสือเท่านั้น ภาพรวมเป็นที่ที่ไม่ค่อยน่าอยู่ เพราะมี
การปกครองที่โหดร้าย แถมไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับการต่อสู้กับเผ่าปีศาจเท่าไรด้วย
ตอนนี้ก็เหลือแต่จัดการกับชินกุซะ แล้วจากนั้นค่อยไปคิดบัญชีกับสมาพันธรัฐคินกับเมดิซต่อ
ส่วนวิธีรับมือกับชินกุนั้น ผมเตรียมการเสร็จไปตั้งแต่ตอนหลอกชวนคุยไปแล้ว
ด้วยวิธีอะไรน่ะเหรอ…ฮ่าๆๆ
ผมยกเลิกสถานะจอมมารออกไงล่ะ แต่ใช้ผ้าพันคอสารพัดนึก ทำให้เห็นผมอยู่ในสภาพของจอมมาร ทันทีที่เริ่มต่อสู้กัน ชินกุก็ใช้ Justice Duel ออกมาอย่างที่คิด แต่ขอโทษนะ ที่ต้องโดนลดพลังไปหารให้อีกฝ่ายน่ะไม่ใช่ผม แต่เป็นชินกุต่างหาก ก็ผมตอนนี้น่ะมีเลเวลแค่ 20 เอง
ผมเปิดดูหน้าต่างแสดงข้อมูลของตัวเองไปด้วย ค่าพลังเพิ่มขึ้นมาจนน่าตกใจเลย แถมรู้สึกแข็งแรงขึ้นถึงจะไม่เท่าตอนอยู่ในสถานะจอมมาร แต่ก็ให้ความรู้สึกของการเป็นยอดมนุษย์เลยล่ะ
“นี้แก!”
ชินกุเองก็เหมือนจะรู้ตัวแล้ว ว่าพลังตัวเองไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่กลับลดลง
“แย่หน่อยนะ ถ้าเป็นจอมมารคนอื่นแกอาจจะสู้ได้สูสี แต่กับข้าน่ะความยุติธรรมใช้ไม่ได้ผลหรอก”
เอาล่ะ จากนี้ผมมีสองตัวเลือก หนึ่งคือใช้ เบอเซิกโหมดเพิ่มพลังเป็นสองเท่า แล้วเข้าไปกระทืบให้รู้ผลในทันที หรือเปลี่ยนกลับไปอยู่ในสถานะจอมมาร เพื่อเพิ่มเลเวลอีกหนึ่งพัน และค่าพลังที่บวกทับมาอีกมหาศาลดี
แล้วผมก็เลือกใช้เบอเซิกโหมด เพราะอยากจะลองอยู่พอดี ว่าผลกระทบที่ได้รับนั้น จะช่วยฟื้นฟูค่าความหื่นที่ลดลงอยู่ได้ไหม
พอเบอเซิกโหมดเริ่มทำงาน พลังที่มากเป็นเท่าตัว ก็ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองจะบินได้เลย ที่สำคัญค่าความหื่นฟื้นแล้วจ้า! แบบนี้ผมก็สร้างลูปพลังแบบโกงๆ ขึ้นมาได้แล้ว
แต่แค่นั้นยังไม่พอหรอก จะจัดการศัตรูน่ะ ต้องจัดการแบบถอนลากถอนโคน ผมจึงใช้พลังที่เหนือกว่าเข้าไปประชิดตัว และเริ่มต่อสู้โดยระวังไม่ให้อีกฝ่ายใช้สกิลอย่างอื่นออกมา บางครั้งผมยอมโดนโจมตีจน Hp ลดไปบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก
ทว่าเป้าหมายของผมไม่ใช่แค่นั้น เพราะตอนสู้อยู่นั้น จู่ๆ ดาบเจ็ดปลายของชินกุก็หายวับไป และมาโผล่ในมือผมแทน
“ดะ ดาบของข้า!”
“ไม่ใช่แล้ว ตอนนี้เป็นดาบของข้าต่างหาก”
ผมแสยะยิ้มภายใต้หมวกเกราะจอมมาร ที่ผมเข้าไปสู้ประชิดตัวจนยอมโดนอัดให้เจ็บตัว ก็เพื่อจะได้ใช้สกิล ขโมย อย่างไงล่ะแถมชินกุเล่นไม่มีไอเท็มอะไรติดตัวเลย จึงมีโอกาสขโมยได้ดาบสูงทีเดียว แต่ลองคิดว่าเป็นตัวเองดู ก็อดขำไม่ได้ เพราะถ้ามาขโมยผม คงได้แต่พวกเครื่องปรุงอาหาร กับพวกโต๊ะเก้าอี้ล่ะมั่ง
“เอาไงต่อดีล่ะคุณผู้กล้าวีรชน”
“สกปรก! วิธีการต่อสู้ของแกมันสกปรกสิ้นดี!”
“สกปรกเหรอ? แล้วไอ้สกิลขโมยพลังของคนอื่นไปหารใช้เนี่ย สะอาดนักหรือไง มันก็สกปรกเหมือนกันล่ะวะ”
ใช่แล้วล่ะ ถ้าจะให้เป็นการต่อสู้ที่ใสสะอาด ก็ต้องแบบ Raidศพออร์คนั้นแหละ แบบนั้นถึงจะเรียกว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุด ขนาดยอมลด Hp ตัวเองลงเพื่อให้ได้เสมอภาคกับอีกฝ่าย
ชินกุน่ะก็เก่งอยู่หรอก สมควรเลยล่ะที่จะเป็นคนที่ปราบจอมมารได้ แต่อย่างเดียวที่ชินกุขาดไป จนเป็นเหตุให้แพ้ให้กับผมก็คือ…สมอง
ตอนที่ 95 วีรชนพ่าย
จังหวะที่ผมชิงอาวุธของชินกุมาได้ ก็เท่ากับว่าผลแพ้ชนะได้ออกมาแล้ว แต่ก็เป็นช่วงจังหวะที่ทำให้ผมประมาทมากที่สุดเช่นกัน
พริบตาที่ยิ้มย่องในชัยชนะที่เหนือกว่าอยู่นั้น ผมก็ถูกเล่นงานจากด้านหลัง หลังมือผมถูกแทงจนทะลุ ทำให้ดาบเจ็ดปลายหลุดมือและถูกแย่งไป แต่นั้นไม่เลวร้ายเท่านั้นแผลจุดที่สอง ซึ่งถูกแทงจากด้านหลังเสียบตรงเข้าตำแหน่งหัวใจ
โชคยังดีที่ถึงจะไม่ได้ใช้สถานะจอมมาร แต่ผมก็ยังใส่เกราะมังกรขั้นต้นอยู่ แต่ถึงขนาดเป็นเกราะมังกรขั้นต้น มันยังถูกแทงทะลุเข้าเนื้อผมได้ แต่ไม่ลึกพอจะเสียบโดนหัวใจ ถ้าโดนหัวใจล่ะก็ มันจะนับเป็น Critical Hit ทันที ถึงจะไม่ตายแต่ก็จะทำให้ติดสถานะบาดเจ็บสาหัส และเสีย Hp ไปเยอะแน่นอน
ถึงโลกนี้จะถูกควบคุมด้วยระบบค่าพลังอย่างเข้มงวด แต่การโดนโจมตีใส่จุดตาย ก็ยังเป็นเรื่องอันตรายอยู่ดี
ผมมองดูเงาที่ไหลไปกับพื้น ซึ่งมันเป็นคนโจมตีผมจากด้านหลัง พร้อมกับชิงเอาดาบไป ผมยังไม่เห็นตัวมันหรอก แต่เห็นแขนมันโผล่ออกมาจากเงานั้นเพียงแค่แว่บเดียว
และพอเงามันเคลื่อนตัวไปอยู่ใกล้ชินกุ เจ้าคนใส่ผ้าคลุมทั้งตัวก็โผล่ออกมาจากเงา
“ไอ้เจ้าโง่ชินกุ ปล่อยให้โดนขโมยอาวุธอันสำคัญไปได้อย่างไง”
“อย่ามาด่าข้าโง่นะ ซาลาดิน!”
“ไว้ค่อยเถียงเรื่องความโง่ของแกกันทีหลัง พิษของข้าหยุดจอมมารได้ไม่นานนักหรอก รีบเรียกอลิซาเบธมาเร็ว”
พอคนใส่เผ้าคลุมที่ถูกเรียกว่าซาลาดินสั่ง ชินกุก็ทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็ยอมชูดาบเจ็ดปลายขึ้น และปล่อยสายฟ้าออกไป เพื่อเป็นการแจ้งเตือนตำแหน่งของจอมมาร
แผนการของทั้งสามคนนั้น ดูเหมือนตั้งการกระจายกำลังของพวกผมออกไปจริงๆ และถ้าทางไหนเจอจอมมาร ก็คงจะใช้วิธีส่งสัญญาณเรียกคนที่เหลือมารวมกัน เพื่อรุมกินโต๊ะเป็นการปิดเกม
“มาช่วยกันถ่วงเวลารออลิซาเบธ…หือ?”
ซาลาดินเห็นผมออกอาการทรุดลงไป พร้อมกับอาเจียนเป็นเลือด ก็ต้องประหลาดใจและก้มลงไปดูมีดตัวเองใหม่
จากที่คิดว่าคงทำได้แค่แผลตื้นๆ ไม่สะกิดค่า Hp ของจอมมารสักเท่าไร ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคราบเลือดที่มีด เปลอะมาเกือบครึ่งเล่ม ซํ้ายังโดนพิษเล่นงานจนถึงกับกระอักเลือดออกมา
ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าพิษที่อีกฝ่ายใช้จะรุนแรงถึงเพียงนี้ แค่ไม่กี่วินาที Hp ผมก็ลดฮวบๆ เป็นก๊อกแตกเลย แต่ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็เจ็บตัวแล้ว ใช้มันเป็นกับดักเลยล่ะกัน
“หรือว่าจอมมารยังไมได้ฟื้นพลังจากการคืนชีพ…ชินกุเปลี่ยนแผน พวกเราร่วมมือกันฆ่าเจ้าจอมมารกันเลย”
“ต้องการแบบนั้นอยู่เลย”
วีรชนทั้งสองเปลี่ยนแผนแล้ว หลังจากเห็นอาการบาดเจ็บของผมตอนนี้ แต่ว่าจริงๆ อาการบาดเจ็บรวมถึงพิษ ผมรักษาหายหมดแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ผมเปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นจอมมารแล้ว
หนึ่งในสกิลโคตรโกงของจอมมารก็เริ่มทำงาน มันคือสกิล
Venom Heart (Passive skill) สกิลนี้จะเริ่มทำงานทันที เมื่อถูกพิษไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ยิ่งพิษมีความรุนแรงหรือส่งเสียมากเท่าไร ค่า Hp Max และ Hp regen จะยิ่งส่งผลเพิ่มขึ้น ส่วนพิษนอกจากจะรักษาหายได้ในทันทีแล้ว พิษยังจะถูกนำไปรวมไว้ในสกิล Venom Fang
Venom Fang (Active skill) เมื่อใช้สกิล การโจมตีทุกประเภทจะถูกทำให้อยู่ในสถานะติดพิษ โดยพิษที่เป้าหมายจะได้รับ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าเคยโดนพิษอะไรมาบ้าง กรณีที่มีพิษหลายแบบ มีโอกาสผสมกันเป็นพิษแบบใหม่ได้
สรุปก็คือ พิษนอกจากไม่มีผลกับจอมมารแล้ว มันยังช่วยเพิ่มพลังให้ ซํ้ายังทำให้สกิล Venom Fang ยิ่งรุนแรงขึ้นด้วย แต่ตอนนี้ผมยังแกล้งทำเป็นว่าติดพิษอยู่ แถมยังใช้สกิลอำพรางทำให้พวกนั้นยังไม่รู้ ว่าผมเปลี่ยนสถานะเป็นจอมมาร ซํ้ายังปล่อยออร่าแห่งลางร้ายออกไปแล้วด้วย
แต่ซาลาดินนี้ของจริงแฮะ ถึงใช้ตรวจสอบไป ก็ดูข้อมูลของอีกฝ่ายไม่ได้เลย กระทั่งชื่อกับเผ่าพันธุ์ ยังซ่อนไว้ด้วย ซํ้ายังดูเป็นพวกรอบคอบ เป็นประเภทที่รับมือได้
ยากจริงๆ ซํ้าดูเหมือนสองคนนี้จะเชื่อมั่นในเพื่อนอีกคน ที่ชื่ออลิซาเบธ ว่าถ้าเธอมาถึงจะสามารถเอาชนะจอมมารได้ทันที
บางทีที่มุเอมะเลือกจะออกไปสู้กับเธอ คงเพราะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วล่ะมั่ง เรื่องนี้พักไว้ก่อน ผมต้องรีบจัดการเจ้าวีรชนสองคนนี้ แล้วรีบตามไปช่วยมุเอมะ
เจ้าชินกุถึงจะใช้ Justice Duel ไม่ได้แล้วเพราะติดคลูดาวน์อยู่ แต่ความสามารถของเขาก็อยู่ในเกณฑ์ที่อันตรายอยู่ดี แถมตอนนี้ยังอยู่ในระยะถนัดของตัวเองแล้วด้วย
ใช่ ชินกุถึงจะใช้ดาบ และมีอาชีพเป็นนักรบ แต่สกิลเกือบทั้งหมดของเขา เป็นแบบซัพพอตและโจมตีระยะไกลทั้งนั้น ทีแรกผมถึงต้องเข้าประชิด ไม่ให้อีกฝ่ายใช้สกิลออกมาได้อย่างไงล่ะ
ส่วนตัวจอมมาร ว่าตามหลักและสกิลที่มีแล้ว เป็นสายเวทชัดๆ เพราะแบบนี้เลยมีแค่ชุดเกราะแต่ไม่มีอาวุธให้สินะ เพราะมันไม่จำเป็นต้องใช้นี่น่า
ทว่าใช้สู้จริงลำบากแฮะ สกิลประเภทเวทมนต์โจมตีมีเยอะก็จริง แต่ว่าขนาดเวทระดับตํ่าสุดยังเป็นเวทระดับ 5 ขืนเอามาใช้ไม่ระวัง ดินแดนของเผ่าปีศาจจะต้องได้รับผลกระทบไปด้วยแน่ๆ
แถมเจ้าพวกนี้เคยสู้กับจอมมารมาแล้ว คงรู้ว่าเวทโจมตีของทางนี้มีอะไรบ้าง และเตรียมการรับมือมาแล้ว เพราะงั้นยิ่งไม่ควรใช้ไปใหญ่…ช่วยไม่ได้ ใช้สกิลของตัวเองไปก่อนล่ะกัน
“Wall!!”
ผมชิงลงมือก่อน แต่ก็ยกมือกุมหน้าอกไปด้วย เพื่อแกล้งทำให้เห็นว่าตัวเองบาดเจ็บจากพิษอยู่
Wall ปกติที่ผมใช้นั้น จะเป็นกำแพงดินที่สูงไม่เกินสองเมตร และกว้างไม่เกินสามเมตร แต่พอใช้โดยมีค่าพลังของจอมมารแล้ว กำแพงดินที่ออกมานั้น…มันยิ่งกว่ากำแพงเมืองซะอีก!
จริงๆ ไม่ใช่แค่ค่าพลังหรอกที่ทำให้สกิลธรรมดาทรงอนุภาพได้ขนาดนี้ แต่จอมมารยังมีสกิลที่ชื่อว่า
Over skill (Passive skill) ซึ่งจะส่งผลให้สกิลทุกอย่างแสดงผลเกินค่าปกติ
กำแพงดินที่ตั้งขึ้นมา ปิดกั้นผมกับพวกผู้กล้าไว้ ชนิดที่ไม่สามารถยิ่งอ้อมหรือกระโดดข้ามได้เลย
แต่แล้วกลับมีเงาไหลมาตามพื้น จนเมื่อเข้าใกล้ผม ซาลาดินก็กระโดดออกมาจากเงา พร้อมตรงเข้าปาดคอผม แต่ผมชักดาบศิลาเย็นออกมาปัด จนมีดในมือของซาลาดินกระเด็นหลุดมือ
“นี้สินะ สกิลประจำตัวของเจ้า สกิลที่สามารถบงการเงาให้เคลื่อนไหวได้ตามใจนึก และยังใช้เคลื่อนย้ายตัวเองผ่านเข้าออกระหว่างเงาได้”
ผมก็นึกไว้แล้ว เพราะทีแรกที่เห็น ซาลาดินยังอยู่ที่ห้องใต้ดินของปราสาทจอมมารอยู่เลย ไม่น่าจะตามมาเร็วได้ขนาดนี้ แถมซาลาดินยังใช้มันบ่อยด้วยความเคยชิน นั้นแหละที่ทำให้ผมมั่นใจว่าต้องใช่แน่
“กำลังวิเคราะห์สกิลของพวกเราอยู่เหรอ! แกนี้ต่างจากจอมมารคนก่อนจริงๆ ด้วย”
ซาลาดินคงรู้แล้วว่าผมเป็นประเภทเดียวกับมัน คือเป็นพวกสู้อย่างรอบคอบ ถ้าไม่มั่นใจก็จะไม่ลงมือ
แต่ระหว่างที่ผมโดนดึงความสนใจอยู่นั้น ชินกุที่อยู่อีกด้านของกำแพง ก็พร้อมใช้สกิลโจมตีออกมาแล้ว
อากาศบนท้องฟ้าแปรป่วนขึ้นมา และพอผมเงยหน้าขึ้นไปดู ก็เห็นมังกรจีน(แบบตัวยาวๆ เหมือนงู) ที่สร้างขึ้นมาจากสายฟ้า กำลังพุ่งลงมาใส่
แต่ไม่เป็นไร ถ้านี้เป็นการโจมตีด้วยเวทมนต์ จอมมารที่เป็นสายเวทอยู่แล้ว สามารถรับมือได้สบาย ผมเลยยกมือขึ้นรับ แต่เพียงแค่ละสายตาไปนิดเดียว ซาลาดินเองก็โผล่มาข้างหลังผมแล้ว ซํ้ายังแทงมีดใส่สีข้างผมอีก แต่คราวนี้ผมไม่ยอมปล่อยให้มันหนีแล้ว
เลยปล่อยมือจากดาบศิลาเย็น และหันไปคว้าคอซาลาดินไว้ ก่อนจะเหวี่ยงมันใส่มังกรสายฟ้า แต่มันดันหนีไปด้วยสกิลเงาของตัวเองซะก่อน
เมื่อเป้าหมายหลักหายไป ผมเลยต้องหันไปโจมตีเป้าหมายรอง ด้วยการขว้างเอามังกรสายฟ้าที่หยุดไว้ด้วยมือเดียว เข้าใส่กำแพงดิน พอปะทะมันก็ระเบิดถล่ม
กำแพงดินลง ด้วยความสูงขนาดนั้น เลยทับใส่ชินกุไปด้วย
การโจมตีเท่านี้ยังหยุดชินกุไม่ได้หรอก แค่คงพอถ่วงเวลาไว้ได้สักหน่อย ที่เป็นปัญหาคือสกิลเงาของซาลาดินต่างหาก รับมือได้ยากจริงๆ …เดี๋ยวนะ! ก็มีอยู่นี่น่าวิธีกำจัดเงาน่ะ!
“Eclipse!”
Eclipse เวทมนต์ระดับ 7 เวทมนต์ดวงดาว ที่สามารถควบคุมให้เกิดปรากฎการณ์สุริยุปราคาได้
พอใช้เวทออกมา บนดวงอาทิตย์ก็เกิดเงาทาบทับเป็นรูปมือ และมือนั้นได้กำเอาดวงอาทิตย์ไว้จนมิด พร้อมกับขโมยเอาแสงสว่างและความอบอุ่นไปจากโลก
นี้ไม่ใช่สุริยุปราคา แต่เป็นการขโมยเอาแสงจากดวงอาทิตย์ไปทั้งหมด ถ้าทิ้งไว้นานเกินไป โลกจะได้รับ
ผลกระทบอย่างใหญ่หลวง เพราะเพียงแค่สามสิบนาที ก็พอจะทำให้อุณหภูมิทั่วโลกติดลบได้แล้ว เพราะงั้นผมต้องรีบจบมันก่อนจะทำให้โลกเข้าสู่ยุคนํ้าแข็งไป
พอไม่มีแสง ก็ไม่มีเงา เพียงเท่านี้ผมก็ผนึกสกิลโกงของซาลาดินได้แล้ว
ตัวซาลาดินที่ถูกบีบออกมาจากที่ซ่อนในเงา ก็ส่งสายตาดุดันมาทางผมทันที แต่ก็สมแล้วที่เป็นผู้กล้าที่สามารถล้มจอมมารได้ เพราะถึงโดนขโมยเอาแสงไปแล้ว แต่ซาลาดินก็เตรียมตัวมาพร้อม
เขาหยิบเอาพลุไฟออกมาโยนขึ้นฟ้า เพื่อสร้างเงาออกมา แถมยังเอาจริงเต็มที่ คงเพราะไม่เคยถูกไล่ต้อนแบบนี้มาก่อน
ซาลาดินควบคุมเงาให้แยกออกเป็นหลายอัน ส่วนตัวเขาก็โผล่เข้าโผล่ออกตามเงาที่แยกออกไป ราว
กับแยกร่างได้ แถมไม่ว่าจะเป็นพื้นดินหรือในอากาศ เขาก็สามารถควบคุมเงาได้
อาวุธของซาลาดินไม่ใช่มีแค่มีดสั้นอาบยาพิษ แต่ยังมีอาวุธขว้างอีกเพียบ แต่ที่สร้างปัญหาให้ เป็นกงจักรติดโซ่ เพราะมันมีพลังโจมตีที่สูง และยังระยะโจมตีที่ปรับได้ตามต้องการ
แถมความมืดก็ไม่มีผลกับซาลาดินด้วย ให้เดาอีกฝ่ายก็คงมีสกิลมองในที่มืดแบบผมแน่ๆ เป็นคนที่รับมือได้ยากจริงด้วย และตอนที่ยุ่งกับซาลาดินอยู่เนี่ย ชินกุก็หลุดออกมาจากซากกำแพงดินแล้ว
ถ้าปล่อยให้สองคนนี้ประสานการโจมตีกันได้ จะยิ่งยุ่งยาก ผมคงต้องเอาจริงบ้างแล้ว
“Darknees Halo”
Darkness Halo เวทมนต์ระดับ 5
เวทมนต์นี้จะสร้างวงแหวนแห่งความมืดออกมาไว้บนฟ้า และค่อยยิงลำแสงสีดำออกมาเรื่อยๆ จนกว่าเป้าหมายจะถูกทำลาย ซํ้ายังมาใช้ในสภาพไร้แสงแบบนี้ มันก็เหมือนการโจมตีล่องหนไม่มีผิด ต่อให้มองเห็นในที่มืดได้ ก็ไม่มีทางหลบพ้นแน่
แต่อย่างที่คิดไว้ ซาลาดินใส่ไอเท็มต่อต้านธาตุมืดไว้มาเต็มพิกัด ถึงจะโดนลำแสงจาก Darkness Halo เข้าไป ก็เพียงแค่ชะงักและโดนลด Hp ไปนิดหน่อยเท่านั้น
จริงๆ จอมมารมีเวทมนต์อันหนึ่ง ที่ถ้าใช้ออกไปผมชนะได้อย่างแน่นอน เพียงแต่นั้นอาจหมายถึงผมต้องเสียมุเอมะและสาวๆ ทุกคนไปด้วย มันคือเวทมนต์
End of Darkness เวทมนต์ไร้ระดับ ที่สามารถลบสิ่งทุกอย่างที่ตกอยู่ใต้ความมืดให้หายไปทั้งหมด
แต่เวทมนต์นี้เลือกเป้าหมายไม่ได้ และไม่มีขอบเขตของพลัง ถ้าเป็นกลางคืนแบบปกติ มันคงลบให้ทั้งคนและบ้านเรือนหายไปครึ่งโลก แต่นี้ผมขโมยแสงมาและทำให้โลกทั้งโลกตกอยู่ในความมืด ถ้าใช้ออกไป…ไม่อยากคิดเลยว่าการต้องอยู่คนเดียวบนโลกมันจะน่าเศร้าแค่ไหน ผมปิดผนึกเวทมนต์นี้ไปเลยดีกว่า แบบว่ามันอันตรายและเป็นผลเสียอย่างเห็นๆ
จะว่าไปจอมมารคนอื่นๆ ก็คงคิดแบบผมนี่ล่ะ ถึงยังไม่เคยมีใครใช้มันออกมา ว่าแต่ไอ้โลกนี้มันยังไงกันเนี่ย ถึงได้ยอมให้มีเวทมนต์แบบนี้ออกมาได้
ตอนนี้ผมเลยต้องขุดหาสกิลที่พอจะใช้งานได้ แบบที่ไม่ทำลายล้างโลกไปซะก่อนล่ะนะ ซึ่งนี้มันยากกว่าคิดวิธีสู้กับพวกผู้กล้าซะอีก
คิดถูกจริงๆ ที่ไปเป็นนักผจญภัย เพราะลำพังสกิลของจอมมาร มันมีแต่อันที่ใช้ทำลายล้างโลกทั้งนั้น แต่ผมก็เจออันที่พอจะใช้ได้ล่ะ
“Horror Town”
นี้เป็นสกิลที่ใช้สร้างภาพลวงตา โดยใช้นโมภาพความน่ากลัวของผู้ใช้เป็นหลัก และแบบว่าผมชอบดูหนังผีซะด้วยสิ เลยสร้างพวกตัวหลอนๆ ออกมาเพียบ อ่ะ แย่ชะมัดมีซอมบี้หลุดมาจนได้ ไอ้พวกนี้ไม่น่ากลัวสักหน่อย แต่ใส่ให้มันเต็มๆ ไปก็ดี เพราะพื้นที่ของ Horror Town นั้นกว้างมาก เทียบได้กับเมืองทั้งเมืองจริงๆ
อีกผลลัพธ์ของสกิลนี้ ก็คือการมันจะทำให้เป้าหมายทุกคน เห็นผมเป็นภาพลวงตาไปด้วย เหมือนซ่อนใบไม้ไว้กลางป่าล่ะนะ แถมจับสัมผัสอะไรไม่ได้เลยด้วย
พอเตรียมการเสร็จผมก็ยกเลิก Eclipse ไปก่อน เพราะมันอันตราย แถมไม่ได้ช่วยอะไรอะไรเท่าที่ควร เพราะถึงใช้ควบคุมเงาไม่ได้ แต่ตัวซาลาดินเองก็มีค่าพลังที่สูง เพียงแค่เหวี่ยงกงจักรที่ติดโซ่พื้นดินก็แยกแล้ว ผมเองถ้าโดนเข้าไปถึงจะเป็นจอมมารก็ Hp ลดเหมือนกันถึงจะลดแบบว่า ใช้ Hp regen ฟื้นเอาก็ทันอ่ะนะ
ส่วนผมยังมี Darkness Halo เป็นหน่วยช่วยยิงสนับสนุนอยู่ ทำให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวลำบากขึ้น แถมยังจะโดนตอด Hp ไปเรื่อยๆ
และพอแสงสว่างเริ่มกลับมา ชินกุกับซาลาดินก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นว่ารอบตัวกลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผีและสัตว์ประหลาดสยองขวัญ แถมตัวจอมมารเองก็หายไปแล้วด้วย
“หนีไปแล้วเหรอ อั่ก!”
ซาลาดินนึกว่าผมหนีกลับขึ้นไปบนปราสาทจอมมาร เลยเผอเปิดช่องว่าง มันเลยโดน Darkness Halo ยิงใส่เข้มเต็มแรง
“เวทมนต์ของมันยังทำงานอยู่ แปลว่ามันต้องอยู่แถวนี้”
“แล้วตัวไหนล่ะ! มันเยอะแยะเต็มไปหมดเลย”
ชินกุเองก็เริ่มสับสนและกลัวขึ้นมาแล้ว แต่นั้นแหละยิ่งเข้าทาง เพราะยิ่งกลัวเท่าไร Horror Town ก็จะ
ยิ่งส่งผลมากขึ้น โดยจะแฝงไปในรูปแบบของ Debuff ที่ส่งผลต่อจิตใจ ถึงขั้นที่ไม่สามารถจะใช้สกิลออกมาได้เลย แต่ถ้ารู้ตัวกันสักนิด ก็คงน่าจะดูออกล่ะ ว่า Horror Town ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เห็น เพราะภาพลวงตาพวกนี้โจมตีไม่ได้ ทว่าเวลาคนเราเกิดความกลัวขึ้นมา ความคิดและการตัดสินใจก็จะแย่ลง
“ใช้สกิลโจมตีวงกว้างเลยชินกุ!”
ซาลาดินเองก็เหวี่ยงกงจักรติดโซ่ไปแบบมั่วซั่วเหมือนกัน คงเริ่มคุมสติกันไม่อยู่แล้ว ง่ายกว่าที่คิดไว้ซะอีก เห็นว่าเป็นถึงผู้กล้าที่สังหารจอมมารคนก่อนได้ เลยระวังตัวเป็นพิเศษ แต่เอาเข้าจริงไม่จำเป็นต้องใช้สถานะจอมมารเลยด้วยซํ้า แค่พลังมารราคะก็เอาพวกนี้อยู่แล้ว
ชินกุยกดาบขึ้นเตรียมจะใช้สกิลโจมตีวงกว้าง ออกมาตามคำแนะนำ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าผมย่องมายืนอยู่ข้างหลังแล้ว
ผมเองก็มีอย่างอื่นต้องทำอีก เลยอยากให้มันจบเร็วๆ จึงเผลอถีบใส่หลังชินกุแรงไปหน่อย เสียงกระดูกหักดังชัดแจ๋ว เวรล่ะกระดูกสันหลังหักแบบนี้จะรักษาได้ไหมเนี่ย แต่ที่แน่ๆ ชินกุหมดสภาพและนอนตาเหลือกไปแล้ว
แต่เพราะผมโจมตีออกไป ทำให้ภาพลวงตาของ Horror Town หยุดทำงานไปด้วย พอซาลาดีนเห็นตัวแล้ว ก็ใช้เงากระจายตัวออกล้อมผมไว้
เขาปากงจักรติดโซ่เข้าไปในเงา แล้วมันก็ไปทะลุออกที่อีกเงา ก่อนจะหายเข้าไปในเงาอีกอัน เป็นการโจมตีที่จะทำให้ผมดูทิศทางการโจมตีไม่ออกสินะ
แต่ว่าเปล่าประโยชน์ เพราะมันจบแล้ว
ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายใช้สกิลแบบไหน ผมสามารถคิดหาวิธีรับมือได้ นั้นคือความสามารถอย่างหนึ่งของผมด้วยเหมือนกัน
ผมเลยใช้สกิลพ่อบ้านสมบูรณ์แบบ สร้างกองไฟขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนทิศทางของเงา และยังสร้างดักทิศทางที่เงาเคลื่อนไหวไป ตอนนี้คนที่ควบคุมเงาไม่ใช่ซาลาดิน แต่เป็นผม
และกว่าจะรู้ตัวกงจักรติดโซ่ก็พุ่งออกมาจากเงาอันหนึ่ง และพุ่งเข้าสับร่างของซาลาดินจนตัวแทบขาดกลาง
ทว่าซาลาดินยังไม่ยอมแพ้ เขากระโดดเข้าหาผมตรงๆ
“จำเอาไว้จอมมาร ถึงข้าจะตายไป แต่เมื่อไรที่ผู้คนบนโลกนี้เรียกหา ข้าจะกลับมาอีกครั้ง!”
“ฝันไปเถอะ”
ผมรู้แต่แรกแล้วว่าซาลาดินคิดจะทำอะไร ไพ่ตายของหมาจนตรอกมีแค่ไม่กี่อย่างหรอก แถมดูจากทักษะที่ซาลาดินใช้ น่าจะเป็นพวกสายมือสังหารอยู่แล้ว เพราะงั้นไพ่ตายก็น่าจะเป็นการระเบิดตัวเอง ให้ตกตายตามกันไปนั้นแหละ
“Chain of Sen”
ผมเลยใช้สกิลพันธนาการมันซะเลย แบบนี้ถึงระเบิดตัวเองไปก็ตายไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็คืนชีพขึ้นมาใหม่ ส่วนแรงระเบิดก็รุนแรงอยู่ พอซาลาดินคืนชีพขึ้นมา ผมเลยเดินเข้าไปโบกใส่ เพื่อให้ Drain ทำงานฟื้นค่า Hp กับ Mp จนเต็ม แต่กว่าจะเต็มซาลาดินก็ตายไปสองรอบได้
“นะ นี้แก!”
ซาลาดินพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองโดนอะไรเข้าไป ถึงกับหน้าซีดขึ้นมา
“เรื่องสู้กับพวกแกมันไมได้ลำบากหรอก แต่ปล่อยให้พวกแกถูกอันเชิญมากวนเรื่อยๆ มันน่ารำคาญ เพราะงั้นจากนี้ไปพวกแกต้องเป็นนักโทษของข้าไปตลอดกาล ทว่าถือกับที่พวกแกเป็นผู้กล้าวีรชนทำเพื่อคนอื่น ข้าจะให้ความปรานี เอาเลือกซะ จะอยู่แบบนักโทษที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างอดสู หรือจะยอมให้ข้าลบความรู้สึกทุกอย่างทิ้งไป อยู่ไปแบบเสมือนหนึ่งหลับลึกไม่ต้องรู้สึกอะไร”
ซาลาดินรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เขาไม่ได้กลัวการถูกทรมาน ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดจะทำ แต่การถูกจอมมารจับตัวไว้ในฐานะนักโทษ มันคือความอับอายอย่างที่สุดใน
ฐานะวีรชน ซํ้าถึงอยากจะฆ่าตัวตายก็ยังฟื้นคืนชีพเองอีก เขาไม่อยากอยู่อย่างทนทุกข์เช่นนั้น
“เช่นนั้น ช่วยทำให้ข้าลืมเลือนทุกอย่างไปด้วยเถอะ”
“ได้ตามนั้น”
แล้วผมก็ยื่นมือไปวางที่หัวของซาลาดิน และใช้พลังมารราคะปรับลดความหื่นให้อยู่ในสภาพติดลบ แต่ไม่ถึงกับขั้นให้หมดแรงใจในการมีชีวิต แต่ก็ไม่รู้สึกรู้สมกับอะไรอีก กับชินกุเองเจ้านี้มันบ้า ผมเลยไม่รอให้มันหายดีแล้วค่อยถามหรอก แต่ลดให้ติดลบไว้ก่อนเลย
จังหวะนั้นเองก็มีลูกไฟตกลงมาจากปราสาทจอมมาร แต่พอตกกระแทกพื้นแล้ว ถึงพึ่งรู้ว่าไม่ใช่ลูกไฟ แต่เป็นร่างคนที่ถูกห่อหุ้มด้วยไฟ
เธอเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสวยทีเดียว ผมสีทองเป็นประกายพัดไหวออกมาจากหมวกเกราะที่แตกไปครึ่งหนึ่ง สภาพของเธอดูไม่ได้เลย ไม่ได้บาดเจ็บอะไรหรอก แต่เกราะเธอถูกทำลายจนเกือบหมด สภาพเธอเลยมีเพียงเนื้อผ้าไม่กี่ชิ้นที่ไว้ปกปิดร่างกาย
“นี้ข้ามาช้าไป! ชินกุ ซาลาดิน ข้าขอโทษ!”
ดูเหมือนเธอคืออลิซาเบธ ว่าแต่มาอยู่ที่นี้ แล้วมุเอมะล่ะ พอผมเงยหน้าขึ้นไปอีกที ก็เห็นมุเอมะลอยตามลงมาอย่างรีบเร่ง
“ขออภัยด้วยค่ะท่านจอมมาร! ฉันปล่อยให้เธอหนีมาได้”
“ไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว”
ผมถอนหายใจโล่งอกที่มุเอมะยังอยู่ดี และแทบไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย
“เพราะ Eclipse ของท่านจอมมารช่วยไว้ค่ะ ทำให้ฉันได้เปรียบขึ้นมา”
จริงสิ เผ่าปีศาจถนัดสู้ในความมืดนี่น่า แถมมุเอมะเป็นดาร์คเอลฟ์ ทำให้มีสกิลที่ใช้ได้เฉพาะตอนกลางคืนอยู่ เมื่อผลออกมาแล้ว ผมเลยหันไปบอกอลิซาเบธ
“วางอาวุธลงซะ พวกเธอแพ้แล้ว”
“เป็นไปไม่ได้! ทำไมพวกข้าถึงแพ้ล่ะ ทั้งๆ ที่เคยชนะมาแล้ว เจ้าเองก็เหมือนกัน ทำไมถึงมีพลังเพิ่มขึ้นมาได้ ทั้งเจ้าและจอมมารน่าจะถึงขีดกำจัดแล้วไม่ใช่หรือไงกัน”
“ใช่ เลเวลน่ะถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ท่านจอมมารช่วยเพิ่มพลังให้กับฉัน”
“เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
“แต่ก็เป็นไปแล้ว จะเชื่อไม่เชื่อ ผลที่เห็นก็น่าจะบอกได้อยู่นะ ว่าไง จะยอมแพ้ได้ไหม ถึงสู้ต่อไปผลแพ้ชนะก็ไม่เปลี่ยนหรอก”
“…ฮ่าๆๆ ใครว่าล่ะ ถึงพวกข้าจะแพ้ที่นี้ แต่ตอนนี้กองทัพของสมาพันธรัฐคิน ได้เคลื่อนทัพเข้ามาในดินแดนปีศาจแล้ว ขุนพลปีศาจก็ยังไม่ฟื้นคืนชีพ พวกแกทั้งสองคนก็บาดเจ็บและอ่อนแรงเพราะสู้กับพวกข้า อย่างไงก็ไม่เหลือแรงไปสู้ต่อ พวกแกต่างหากล่ะที่แพ้!”
จริงของอลิซาเบธ ผมตรวจสอบดูมุเอมะ ถึงเธอไม่ได้บาดเจ็บมากมายอะไร แต่ Mp ของเธอเกือบหมดแล้ว แถมสกิลส่วนใหญ่ติดคลูดาวน์อยู่ แปลว่าตอนสู้กับอลิซาเบธคงทุ่มสุดตัวใช้ไพ่ตายไปหมดเลย…ถึงว่าทำไมพวกซาลาดินถึงพยายามถ่วงเวลาเพื่ออลิซาเบธ เพราะเธอเก่งที่สุดในสามคน ความสามารถนี้สูสีกับมุเอมะเลย
แต่ก็ผิดเหมือนกัน อย่างแรกพลังผมเต็มเปี่ยมเลย ก็พึ่ง Drain มาจากซาลาดินเอง ส่วนของมุเอมะเองก็มีทางแก้อยู่แล้ว
“ดื่มนี้ซะมุเอมะ”
ผมส่งขวดยาใส่นํ้าเชื้อให้มุเอมะไป แค่ได้กลิ่นเธอก็รู้ทันทีว่ามันคืออะไร เลยฉีกยิ้มและยกซดทีเดียวหมดขวด แบบไม่เหลือไว้สักหยด
แผลของเธอหายในทันที ซํ้า Mp ก็ยังฟื้นขึ้นมาเต็มหลอด ความเหนื่อยล้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง ถึงสกิลจะยังติดคลูดาวน์อยู่ แต่ถ้ารบกับกองทัพของมนุษย์ สกิล Passive อย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว
“เอาล่ะ ที่นี้จะทำอย่างไงกันต่อดี”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น