ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 108 - 110 By Kumao






ตอนที่ 108 เดรัจฉานไร้เปลือก

ช่วงกลางดึก เอนันโด้กับลูกน้อง ได้มาปล่อยตัวผม พร้อมกับนำเสื้อผ้ามาให้ แต่ยังไม่มีคำขอโทษให้ อารมณ์ประมาณยอมสงบศึกแต่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
ผมไม่ได้ถือสาอะไรหรอก เพราะเข้าใจอีโก้ของพวกเขาที่เรียกว่า ศักดิ์ศรีมันคํ้าคอ
การเจรจากับเรเดีย ไปได้ไม่สวย เธอยอมลงให้มากที่สุด คือการหยุดการทรมานผมเท่านั้น แต่ยังไม่ยอมปล่อยตัวไปเด็ดขาด เรื่องนี้เอนันโด้ค่อนข้างเห็นด้วยกับเธอ เพราะยังไม่มีหลักประกันอะไร ว่าทุกคนจะปลอดภัยเมื่อปล่อยผมไปแล้ว อาจจะกลายเป็นปล่อยเสือเข้าป่า* ก็ได้
*ต้นฉบับใช้สำนวนของญี่ปุ่น เราพยายามยกเอาสำนวนของไทย ที่มีความหมายแบบเดียวกันมาใส่แทน
ฉะนั้นเอนันโด้เลยพยายามเปิดการเจรจากับผมตามลำพัง โดยไม่ให้เรเดียรู้ ไม่งั้นเธอคงคัดค้านอีก ถ้าผลออกมาดี เขาคงจะยอมอารักษ์ขาผมออกไปส่งเองเลย
“สรุปคือทางผมไม่ได้ติดใจอะไรเลย เป้าหมายจริงๆ ก็ไม่ได้ต้องการมาหาเรื่องกับพวกคุณด้วย แต่เป็นพวก
คุณที่แสดงความเป็นศัตรูกับผมก่อน เลยต้องตอบโต้กลับไปตามวิสัย”
“เป็นการตอบโต้ที่รุนแรงมากเลยนะ”
เอนันโด้ฝืนยิ้มแห้งๆ เพราะการโต้ตอบของผมคือการทำลายกองทัพที่ชั้น 11 ซะราบ
“ผมไม่ชอบทำอะไรให้กลายเป็นภัยกับตัวเองทีหลัง เพราะงั้นใครเป็นศัตรู ผมต้องทุ่มเต็มกำลัง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกลับมาหาเรื่องได้อีก”
“เป็นความคิดที่อันตรายนะ”
เอนันโด้เตือนผม ทั้งๆ ที่อายุไม่น่าจะมากกว่าผมสักเท่าไร แต่เขาเป็นคนหนุ่มที่ดูฉลาดและสุขุมเกินอายุทีเดียว
“ผมทราบครับ เลยตีเส้นแบ่งไว้ที่คำว่า ศัตรู กับพวกคุณตอนนี้ ยังไม่ได้ก้าวเส้นที่ว่ามาครับ”
เอนันโด้แอบคิดในใจ นี้ขนาดยังไม่นับเป็นศัตรูนะ ยังถล่มซะเขาไปไม่ถูกเลย ถ้าเอาจริงขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะต้องมีตายกันอีกสักเท่าไร
“งั้นก็แปลว่าถ้าพวกฉันปล่อยนายไป ก็จะไม่เอาเรื่องสินะ”
“ครับ ไม่อยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ดี อยากให้ทำเป็นว่าเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น”
ผมรู้ว่าอยากที่จะทำแบบนั้น เพราะงานนี้มีคนตายเยอะเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปได้ ซํ้ายังมีคนรู้เห็นเป็นพยานอีกเพียบ เอนันโด้เองก็คงลำบากใจในจุดนี้อยู่
“ถึงไม่นับว่าพวกเขาได้ตายในสงครามที่ตัวเองก่อ จะไปถือโทษเอาความอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็ยังผิดกฎของกิลนักผจญภัยอยู่ดี ทว่าถึงทางนี้จะผิดจริง แต่การฆ่านักบวชและสมาชิกของโบสถ์ใหญ่ ก็ทำให้หลายคนไม่พอใจ”
“เรื่องนั้นผมก็คิดไว้แล้ว เลยจะขอเสนอทางออกที่ได้กันทั้งสองฝ่าย”
“…มีวิธีแสนวิเศษเช่นนั้นด้วยเหรอ”
“ครับ แต่ภายใต้เงื่อนไขทั้งหมดนั้น ไม่รู้ว่าถ้าทางคุณจะรับกันได้ไหม แต่นี้คือจุดร่วมเดียวที่ผมจะลดเงื่อนไขให้ได้แล้ว”
“งั้นขอให้ว่ามา ถ้าเป็นเงื่อนไขตํ่าสุดอย่างที่ว่าไว้จริง ทางนี้ก็จะขอรับไว้ด้วยความเต็มใจ”
“ก่อนอื่นผมทราบเป้าหมายของพวกคุณและความลับที่ต้องการรักษาไว้แล้ว ส่วนเป้าหมายของทางผมคือการมาสำรวจในชั้นนี้ เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการทำคุณไถ่โทษ ผมจะสำรวจและทำแผนที่ชั้นนี้แบบทุกซอกทุกมุมให้”
“ทำได้เหรอ!”
“ครับผมมีอาชีพเป็นนักล่าสมบัติและโจร ซึ่งเป็นอาชีพสายสำรวจดันเจี้ยนอยู่แล้ว ถ้าได้คนของผมมาช่วย ใช้เวลาอย่างมากก็หนึ่งวันเท่านั้น”
“แต่ชั้นนี้เป็นเขาวงกตนะ”
“ไม่ใช่เขาวงกตซะทั้งหมดหรอกครับ”
“ไม่ใช่เหรอ!?”
“คุณรู้จัก รันเนอร์เวย์สินะครับ”
“ก็ต้องรู้จักสิ”
“แล้วรู้ไหมครับ รันเนอร์เวย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไง”
“เรื่องนั้น…”
“รันเนอร์เวย์คือเส้นทางไหลเวียนของมาน่า ที่หล่อเลี้ยงระบบการทำงานของดันเจี้ยนครับ”
“ส เส้นทางไหลเวียน?”
“…ก็เป็นเหตุผลที่มอนสเตอร์ถึงไม่ค่อยเข้าใกล้รันเนอร์เวย์ไงครับ เพราะเป็นจุดที่มีพลังมาน่าเข้มข้นเกินไป และถ้าสู้กันบริเวณนั้น อาจทำให้การไหลเวียนของมาน่าเสียหาย และเกิดการถล่มของชั้นนั้นได้ แต่มอนสเตอร์ดันเจี้ยนส่วนใหญ่เลยเลี่ยง แต่เพราะรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณมากกว่าล่ะมั่ง”
“เข้าใจแล้วๆ แต่ว่ามันเกี่ยวกับอะไรกับเรื่องการเปิดแผนที่ล่ะ”
“ก็เพราะว่า…ต่อให้เป็นวงกต แต่ผมสามารถใช้รันเนอร์เวย์ เป็นป้ายบอกทางได้อย่างไงล่ะครับ ขอเพียงตามป้ายที่ว่าไป ถึงจะไม่ได้นำไปที่ทางออกโดยตรง แต่ด้วยสกิลของนักล่าสมบัติ ผมจะเปิดแผนที่ในแนวตรงได้ ส่วนที่เหลือก็ไม่ยากแล้วครับ เพราะถึงจะหลงก็ยังกลับมาเริ่มใหม่ที่รันเนอร์เวย์ได้”
“ถึงฉันจะทำแผนที่ไม่เป็น แต่พอจะเข้าใจที่นายจะบอกแล้ว”
“แล้วมูลค่าของแผนที่ เพียงพอจะชดใช้ให้ได้ไหมครับ”
“…ขอบอกตามตรง แผนที่ที่พวกฉันมี คลอบคลุมไม่ถึงครึ่งของชั้นนี้เลย ถ้าเทียบขนาดจากชั้นที่ 11 ล่ะก็นะ เพราะงั้นถ้านายทำแผนที่ได้จริง และส่งมอบให้กับพวกเรา มันจะมีค่าเกินพอเลยด้วยซํ้า แต่ฉันขอเพิ่มเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
“ก็คิดไว้แล้วครับ ลองว่ามาเลยครับ”
“อย่างที่นายรู้ ทางฉันเองก็มีความลับที่ไม่ต้องการให้คนนอกมาเห็น ฉะนั้นเรื่องข้อมูลของแผนที่ จะว่าอะไรไหมถ้าทางฉันจะขอถือครองไว้ โดยไม่เผยแพร่ออกไปให้กับกิลนักผจญภัย”
เข้าใจล่ะ ต้องการจะผูกขาดชั้นนี้เอาไว้เองสินะ ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่นอกเหนือการคาดเดาเลย
“พอจะยอมรับได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ช่วยปรับปรุงแผนกต้อนรับหน่อยครับ”
“แผนกต้อนรับ?”
“ก็หมายถึงพวกที่ใช้ให้เฝ้าต้นทาง อย่างที่พวกชั้น 11 ไงครับ ที่ต้องมีเรื่องกับผม เพราะทางนั้นเอาแต่ขู่และใช้กำลังโดยไม่ฟังความอะไรเลย อย่างน้อยถ้าอธิบายเหตุผลมาดีๆ ทางผมเองอาจจะเข้าใจจนยอมถอยไปโดยไม่ต้องสู้กันก็ได้ หรือไม่ก็อธิบายเรื่องวิธีการ และแนะนำเส้นทางเลี่ยงให้ ผมคิดว่าพวกคุณคงไม่ไปเทรนมอนสเตอร์มาจากจุดอับแบบทางตันหรอกใช่ไหมครับ”
“เรื่องนี้ฉันต้องขอโทษแทนด้วยจริงๆ ท่านเคานต์เฮกราสพึ่งได้มาประจำในหน่วยของท่านเรเดีย เลยไม่รู้การปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมต่อคนในพื้นที่”
“หมายถึงอัศวินหนวดคนนั้นนะเหรอ เอ๋! เป็นถึงท่านเคานต์แล้วทำไมถึงได้มาทำงานแบบนี้ล่ะ”
“นายเป็นนักผจญภัยเลยยังไม่รู้ แต่ยิ่งยศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โต ก็ยิ่งต้องจ่ายภาษีที่แพงขึ้น หรือไม่ก็ต้องยอมโดนยึดเอาที่ดินไป ซึ่งพอที่ดินเหลือน้อยลง ระดับของยศก็จะถูกลดชั้นลงไปด้วย ซึ่งแบบนั้นมันเป็นการเสียหน้าอย่างมาก แต่ถ้ามาเป็นสมาชิกของโบสถ์ใหญ่ ก็จะได้รับความช่วยเหลือเรื่องภาษีแถมยังได้รักษาหน้าเอาไว้ด้วย”
“แต่ก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องมาทำงานเป็นอัศวินแบบนี้”
พอถามจี้เข้าไป เอนันโด้ก็ทำท่าอึกอัด ก่อนจะเขยิบหน้าเข้ามาหา ผมเข้าใจภาษากายเลยยื่นหูไปใกล้ๆ เพื่อที่จะได้ฟังที่เขากระซิบ
“ท่านเรเดียเป็นเจ้าหนี้ของท่านเคานต์เฮกราสน่ะ เห็นว่าแค่สั่งคำเดียวที่ดินทั้งหมดก็จะโดนยึดทันที เขาเลยต้องทำตามที่ท่านเรเดียสั่งทุกอย่าง”
“นี้ตาลุงหนวดนั้นไปติดหนี้เท่าไรกันแน่เนี่ย!”
“เรื่องนั้นก็สุดที่ฉันจะเดาได้เหมือนกัน”
เอนันโด้กอดอกอย่างครุ่นคิด เขาเองก็คงอยากรู้พอๆ กับผมเหมือนกัน เพราะการเป็นหนี้ขนาดโดนยึดที่ดินทั้งหมดของคนระดับเคานต์ ก็แปลว่าอย่างน้อยต้องมีเมืองที่เป็นของตัวเองสองถึงสามเมืองเป็นอย่างตํ่า ไม่นับพื้นที่ทางพาณิชย์ ที่มีมูลค่าอีกมหาศาล
ปล่อยเรื่องหนี้ของลุงหนวดไปก่อน
“แล้วพอจะเปลี่ยนอะไรได้ไหมครับ เรื่องแผนกต้อนรับน่ะ”
“บอกตามตรงว่ายาก คนที่กำหนดหน้าที่คือท่านเรเดีย ฉันเองก็เป็นแค่องค์รักษ์ อย่างมากก็ออกคำสั่งในกองอัศวินได้แค่กองของตัวเอง แต่ฉันรับปากได้ว่าจะดูแลเรื่องนี้ให้ เพราะถึงใช้วิธีทางตรงไม่ได้ ก็ยังพอจะมีทางอ้อมให้ใช้อยู่”
ผมรู้ว่าทางอ้อมที่ว่าคืออะไร เอนันโด้เป็นองค์รักษ์ของเรเดีย ในทางชั้นบัญชาการ เขาอาจไม่มีอำนาจอะไร แต่ในทางปฏิบัติ ทุกคนต้องเกรงใจเขา อย่างน้อยก็ต้องในเรื่องฝีมือ เพราะถ้าไม่แน่จริงคงไม่ได้เป็นถึงองค์รักษ์ของคนระดับอาร์คบิชอปหรอก ฉะนั้นถึงจะสั่งไม่ได้ แต่ยังขู่ได้…ผู้ชายคนนี้น่ากลัวแฮะ แต่ถ้าได้เป็นพวกก็เป็นคนที่ใช้การได้เลยทีเดียว
จากนั้นพวกผมก็คุยกันในเรื่องรายละเอียดอีกนิดหน่อย ทว่าทั้งหมดนี้ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นข้อตกลง
หรือสัญญา เพราะคนที่ตัดสินใจคือเรเดียเท่านั้น ที่คุยๆ กันนี้เลยเป็นแค่แนวทางร่วมกันเท่านั้น
ถึงการคุยกับผู้ที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจจะเป็นเรื่องเสียเวลา แต่กรณีแบบนี้ผมกลับคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว เพราะผมจะได้ไม่ต้องสู้กับยัยอาร์คบิชอปคนเดียว ทว่าจะมีเอนันโด้ค่อยช่วยสนับสนุนอีกทาง
ตอนนี้เรเดียเหมือนกำลังโดนผมล้อมด้วยตัวหมากของเธอเอง
ระหว่างที่รอความคืบหน้าจากเอนันโด้ ซึ่งพยายามหาทางกล่อมให้เรเดียรับข้อเสนอนี้ไว้ ผมก็ติดต่อไปหาสาวๆ เพื่อแจ้งข่าวความคืบหน้า แค่การถูกปล่อยตัวและได้รับการดูแลในฐานะแขก มันยังไม่ดีพอสำหรับพวกเธอแฮะ แค่ฟังจากนํ้าเสียงก็รู้เลยว่าทุกคนไม่พอใจมากถึงมากที่สุด
เพราะถึงจะได้ที่พักส่วนตัว แต่ก็ยังโดนคุมตัวโดยมีอัศวินเฝ้าอยู่ จนกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ ไม่ต่างจากนักโทษเลย
ตอนนี้การลอบโจมตีแบบกองโจรยุติไปแล้ว หรือต้องบอกว่ามันอันตรายเกินไปที่จะใช้ต่อ เพราะการลอบโจมตีจะได้ผลดีก็แค่ช่วงแรก จากนั้นจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงแทน เพราะอีกฝ่ายจะระวังและหาวิธีโต้ตอบกลับ ผลของยุทธศาสตร์ประเภทนี้เลยวัดกันตั้งแต่การโจมตีครั้งแรก ซึ่งมันก็สำเร็จตามเป้าไปแล้ว
ระหว่างที่รอ ทาฮากริมก็จะพาเพื่อนๆ และลูกน้องของเธอเข้ามาแนะนำให้ผมรู้จัก บางคนก็ขอคำปรึกษา ซึ่งล้วนแต่มีปัญหาคล้ายๆ กัน
พื้นที่ที่เหมาะแค่การเพาะปลูกในดินแดนทางเหนือมีอยู่น้อย ยิ่งถ้าเข้าฤดูหนาวแล้ว ก็จะมีหิมะตกทุกวัน ทั้ง
พืชและสัตว์ก็จะตายหมด เพราะงั้นสัตว์ส่วนใหญ่เลยอาศัยการเช่ามาเลี้ยง ถ้าออกลูกก็เก็บไว้เองได้ แต่พอเข้าหน้าหนาวก็ต้องส่งคืน
แต่วิธีนี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเลย เพราะลูกสัตว์ที่เกิดมา จะไม่มีนํ้านมของแม่ไว้เลี้ยงดู ร่างกายก็จะอ่อนแอและตายลงก่อนจะหมดฤดูหนาวซะอีก
ผมเองพอจะมีวิธีแก้ปัญหาอยู่ในหัว แต่ยังมีปัญหาอยู่สองอย่าง อย่างแรกความรู้ของคนในโลกนี้ยังน้อย แถมไม่ชอบสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวเท่าไร อย่างถ้าผมรู้ว่าเป็นดินแบบไหน ยังพอแนะนำพืชที่เหมาะสมไปได้ แต่นี้ยังไม่รู้ด้วยซํ้าว่าดินรอบๆ บ้านตัวเองเป็นแบบไหน อันนี้ผมก็จนปัญญาจะช่วย เลยต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้น ส่วนปัญหาที่สองก็คือเงินทุน ถึงจะให้คำแนะนำไป แต่ใช้ว่าแค่คำพูดจะเปลี่ยนชีวิตคนได้
ในทันที การปรับเปลี่ยนจะต้องใช้เงิน ช่วงที่รอผลผลิตก็ต้องกินต้องใช้
พวกนักบวชสาวๆ ส่วนใหญ่ จะมาจากครอบครัวที่ยากจน พวกเธอเลยมาอยู่ที่โบสถ์ใหญ่ด้วยวิธีการถูกขาย ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากถูกขายไปเป็นทาสสักเท่าไร ดีกว่าตรงที่ยังพอมีอิสระและอนาคตให้หวังอยู่บ้าง แต่ถ้าตั้งครรถ์ขึ้นมาก็จะกลายเป็นฝันร้ายทันที เพราะพวกนักบวชจะใช้วิธีขับไล่ออกจากโบสถ์ใหญ่ทันที ถ้าใครสวยพอมีราคาหน่อย ก็จะเอาไปขายเป็นทาสให้อย่างลับๆ หรือถ้าใครดูแล้ว ไม่เชื่อฟังก็จะการฆ่าปิดปากทันที…นี้มันเลวร้ายสุดๆ เลย
แถมเรื่องนี้ทำให้ผมหงุดหงิดมาก เพราะมันเป็นเรื่องที่อยู่ไกลเกินกว่ามือผมจะเอื้อมไปถึง ตัวปัญหาไม่ใช่มาจากโบสถ์ใหญ่ แต่ทั้งหมดมาจากความแร้งแค้นของชีวิต
ต่างหาก ถึงขนาดที่ขายลูกกินได้เนี่ย มันต้องอดอยากแบบสุดๆ เท่านั้น ถึงตอนนี้ผมจะยังทำอะไรไม่ได้ แต่ผมก็จดมันลงในหัวทันที ว่าจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ผมต้องทำในโลกนี้
การเสริมสร้างความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานให้กับประชาชน
ถ้าผมใช้อำนาจของจอมมาร ปัญหานี้แก้ได้ไม่ยากเลย ด้วยพละกำลังและจำนวนคนที่มี แต่ติดอยู่ตรง ถ้าใช้เผ่าปีศาจเข้ามาในตอนนี้ ก็จะกลายเป็นการรุกรานแทนในสายตาคนทั่วไป การเคลื่อนไหวแบบสุ่มสี่สุ่มห้า จะเป็นการจุดให้เกิดไฟสงครามขึ้นมาได้ ฉะนั้นผมจะต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองในฐานะมนุษย์ที่เป็นนักผจญภัย
“…ก่อนอื่นก็ต้องมีเส้นสาย”
ผมพึมพำกับตัวเองขึ้นมา ทาฮากริมเอียงคออย่างสงสัย ผมเลยต้องเปลี่ยนเรื่องคุยขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ต้องวางแผนให้รอบคอบและยังต้องใช้เวลา เพราะงั้นพักเอาไว้ก่อน
“ตอนนี้ผมรับทราบปัญหาของทุกคนแล้ว แต่ขอโทษนะที่ตอนนี้ผมช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ไม่ได้เลย”
“ม ไม่ใช่ความผิดของท่านโรมะหรอกค่ะ!”
ทาฮากริมโดดขึ้นมาปฏิเสธทันที เธอเองก็เตือนทุกคนไว้แล้ว ว่าผมไม่ใช่พระเจ้า ที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างราวกับปาฏิหาริย์
“แต่ถ้าให้เวลาผมสักครึ่งปี…ไม่สิ อาจจะแค่สักสามเดือน ผมพอจะทำอะไรได้บ้าง”
“…”
ทุกคนพากับอึ้งไปหมด แม้แต่ทาฮากริมเองก็ใบ้กินไปเหมือนกัน เพราะเธอพึ่งคิดไปว่าเขาไม่ใช่พระเจ้า แต่สิ่งที่เขาพูดนี้ได้ลบล้างความคิดเธอไปซะแล้ว ปัญหาที่เป็นเหมือนวิถีชีวิตอย่างหนึ่งไปแล้ว ต่อให้ใช้เวลาหลายรุ่นก็ยังแก้ไม่ได้ แต่นี้กลับถูกบอกว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง
“บุตรแห่งสวรรค์! ท่านโรมะต้องเป็นบุตรแห่งสวรรค์ลงมาจุติแน่ๆ”
ทุกคนพากันคุกเข่าลงและสวดให้กับผม
“ด เดี๋ยวก่อน! รีบลุกขึ้นเลย มันไม่ใช่อย่างที่พวกเธอคิดหรอก ออกจะ…ตรงกันข้ามด้วยซํ้า”
ประโยคสุดท้ายผมงึมงำในลำคอ ผมไม่ได้อคติอะไรกับตำแหน่งจอมมารหรอกนะ แต่อยากให้เปลี่ยนวิธีเรียกจัง
“อย่างที่บอกไป ตอนนี้ผมยังช่วยอะไรไม่ได้ พวกเธอต้องอดทนกันไปก่อน ส่วนถ้าใครไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็ไปหาผมที่คฤหาสน์ได้ ผมพร้อมให้ความช่วยเหลือและการคุ้มครองหากจำเป็น แต่ผมไม่อยากแสดงตัวเป็นศัตรูกับโบสถ์ใหญ่โดยตรง เพราะงั้นอย่าทำอะไรที่มันโจ่งแจ้งนักล่ะ”
“จะไม่ทำให้ท่านโรมะต้องเดือดร้อนแน่นอนค่ะ พวกเราขอสาบานต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า”
ทุกคนพร้อมใจกับให้คำสาบานอย่างไม่ลังเล แถมยังปฏิบัติตัวราวกับเป็นสาวกของผม…ชักจะไม่ดีแล้วสิ
ผมพยายามไม่พูดอะไรมากนัก เพราะไม่อยากสร้างความหวังแบบลมๆ แล้งๆ ให้ มันโหดร้ายนะ ที่พอยื่นความหวังให้คนอื่นแล้วกลับดึงมันกลับมา ผมไม่อยาก
ทำแบบนั้นหรือให้พวกเธอรู้สึกแบบนั้น เลยบอกเฉพาะสิ่งที่ผมพอช่วยได้ในแบบขั้นตํ่าที่สุด
ตกดึกผมก็ได้พักผ่อนเงียบๆ แต่นอนกับกองฝางนี้ เสียงดังจนนอนไม่ค่อยหลับเลยแฮะ แบบพลิกตัวนิดเดียวก็มีเสียงแล้วแถมคันอีกต่างหาก คิดถึงเตียงจัง มนุษย์นี้ถ้าได้นอนเตียงแล้วก็ขาดไม่ได้อีกเลย แบบนี้พวกฟรานที่พอได้กลับมานอนเตียง ถึงได้ดีอกดีใจกันขนาดนั้น พอเข้าใจความรู้สึกแล้วแฮะ
แต่อย่างไงผมก็ไม่ต้องหลับอยู่แล้ว เลยนอนคิดอะไรไปเรื่อย แต่ประสาทสัมผัสผมยังตื่นตัวอยู่ เลยจับความรู้สึกได้ทันที ผมลุกขึ้นมามองไปตรงทางเข้ากระโจม ตรงนั้นมีเด็กสาวในชุดโกธิกสีดำยืนอยู่ แวบแรกผมนึกว่าฟราน แต่บรรยากาศที่สื่ออกมาต่างออกไป ผมเลยรู้ทันทีว่าเธอคือเรโมริก้า
“มีอะไรเหรอครับ คุณเรโมริก้า”
“อ่ะ!? รู้ด้วยเหรอค่ะว่าเป็นฉัน?”
“ครับ ให้พูดตรงๆ คือรอบตัวคุณให้บรรยากาศเหมือนเวลาเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์น่ะครับ”
“สมกับเป็นท่านจอมมาร สัมผัสไอวิญญาณของนักล่าได้สินะคะ”
“ไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับที่พูดมา ว่าแต่มีอะไรเหรอถึงได้มาหาผมถึงที่นี้”
“มาถามให้แน่ใจน่ะค่ะ ว่าจะให้ฉันจัดการให้เลยไหม กับพวกระดับอาร์คบิชอปน่ะ ฉันใช้แค่มือเดียวก็ฆ่าได้แล้ว”
“แต่อีกฝ่ายเลเวลพอๆ กับคุณเลยนะ”
“อย่าลืมสิว่าฉันเป็นอมตะนะค่ะ ถ้าสู้แบบแลกชีวิต ต่อให้ศัตรูมีเลเวลมากกว่าเป็นเท่าตัวฉันก็ชนะได้อยู่ดี แถมฉันสู้กับโบสถ์ใหญ่มาเยอะ จนร่างกายเริ่มมีภูมิคุ้มกันแล้วด้วย”
“นะ น่ากลัวแฮะ แต่อย่าลงมือเลย ผมรู้ว่าคุณแค้นพวกโบสถ์ใหญ่อยู่ แต่ตอนนี้การเจรจาไปในทิศทางที่ดี แล้วพวกเขาเองก็ไม่มีตัวเลือกในการต่อรองในมือ ทางนี้จะรับข้อเสนอของผมไปเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น”
“รับทราบค่ะ…แต่ท่านโรมะเข้าใจผิดไปสองเรื่องนะคะ อย่างแรกฉันไม่ได้แค้นอะไรพวกโบสถ์ใหญ่แล้วในตอนนี้ กับสิ่งที่พวกมันทำกับครอบครัวฉัน ทุกอย่างได้เอาคืนไปหมดแล้ว แถมตอนนี้ฉันได้ครอบครัวคืนมา ไม่มีเหตุให้ต้องเสียเวลาไปกับพวกสวะนั้นอีก แล้วก็…พอได้เห็นพวกกรอเรียแล้ว ก็ทำให้คิดได้ว่าพวกนักบวชดีๆ ก็ยัง
มีเหลืออยู่ ส่วนเรื่องที่สอง เป็นเหตุผลหลักที่ฉันมาหาท่านโรมะด้วยตัวเอง”
“ผมรอฟังอยู่”
ผมรู้ว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ เรโมริก้าถึงรีบติดต่อผมมาเองแบบนี้
“ท่านโรมะกำลังเข้าใจผิดเรื่องพวกโบสถ์ใหญ่อยู่ ฉันทราบดีว่าท่านกำลังใช้วิธีในแนวทางที่น่านับถือ แต่วิธีของท่านโรมะเหมาะสมกับผู้เจริญแล้วและมีสติหยั่งคิดหยั่งทำเท่านั้น แต่กับพวกโบสถ์ใหญ่…พวกมันคือเดรัจฉานที่ไร้เปลือกค่ะ”
“คุณมั่นใจเช่นนั้นเหรอ”
“ฉันว่าท่านโรมะเองก็รู้ดีแก่ใจแล้ว มนุษย์น่ะถูกหุ้มด้วยเปลือกบางๆ ที่เรียกว่าศีลธรรม แต่ตัวตนจริงๆ ล้วน
แต่เป็นเดรัจฉาน จะมีบางครั้งที่ความเป็นเดรัจฉานจะหลุดออกมาจากเปลือก นั้นคือวิถีของมนุษย์ แต่ถ้าไปปิดกั้นเนื้อแท้นั้นเอาไว้ มันก็เหมือนลมที่ถูกอัดเข้าไปในกล่องเล็กๆ ที่สุดท้ายแล้วมันก็ระเบิดออกมา พวกโบสถ์ใหญ่คือตัวตนในสถานะที่ว่าค่ะ พวกมันเก็บกดกันมากกว่าคนทั่วไป จนเลือกที่จะระเบิดเปลือกตัวเองทิ้ง แต่เดรัจฉานคือเนื้อแท้ของมนุษย์ท่านโรมะเลยไม่สามารถแยกมันออกจากคนทั่วไปได้”
ผมไม่อาจเถียงสิ่งที่เรโมริก้าพูดได้เลยแม้แต่คำเดียว เพราะผมเองก็มีเนื้อแท้เป็นเดรัจฉานจริงๆ ความเป็นเดรัจฉานของผมคือความต้องการทางเพศที่สูง ถ้าไปเก็บกดมันไว้ ก็อย่างที่เรโมริก้าบอก จนถึงระดับหนึ่งผมก็จะระเบิดออกมา และเมื่อไร้เปลือก ผมก็จะไม่สนกฎเกณฑ์
ที่ตัวเองตั้งไว้อีก ทว่า ตัวผมจะไม่ไปถึงจุดนั้น เพราะผมยังมีสิ่งที่เรียกว่า มโนธรรมอยู่บ้าง
ถ้าศีลธรรมคือความคิดพื้นฐาน มโนธรรมก็คือสิ่งที่ฝังรากลึกในตัวตนของเรา ต่อให้ละทิ้งศีลธรรมได้ แต่ไม่สามารถละทิ้งมโนธรรมได้ แต่มโนธรรมไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้ แต่มันมาจากการเรียนรู้และการซึมซับจนเกิดการตกผลึกทางความคิดและจิตใจ ตัวผมที่มีพื้นฐานทางบ้านที่มีแต่ผู้หญิง ทำให้จิตใจผมถูกปลูกฝังให้อ่อนโยนกับผู้หญิง สิ่งเป็นพื้นฐานที่มาของมโนธรรมของผม ที่สามารถหักล้างกับความดิบเถื่อนที่มักมากในกามของตัวเองได้
แต่นั้นคือผม ตัวผมที่มาจากโลกที่มีอารยะของสังคมที่สูงชั้นและสงบสุข(ในบางพื้นที่) ซึ่งคนในโลกนี้ไม่มีสิ่ง
เหล่านั้นมาคอยปลูกฝังมโนธรรมให้ ฉะนั้นกับกล่าวของเรโมริก้าจึงถือว่าถูกต้องที่สุดแล้ว
“แต่ว่า”
ใช่ แต่มนุษย์คือความเป็นอัตลักษณ์ที่ซับซ้อน ที่แม้แต่ตัวเองยังไม่สามารถเข้าใจตัวเองได้อย่างถ่องแท้
“ผมเชื่อในความต่างกันของมนุษย์ ทุกคนไม่ได้เลวโดยสันดานเหมือนกันหมด การคอยมองหาคนที่แตกต่างและมองดูคนเหล่านั้น ผมว่ามันน่าสนุกดีนะ”
“…สมเป็นท่านโรมะ เช่นนั้นแล้วได้โปรดทำในสิ่งที่ท่านเชื่อมั่นเถอะค่ะ ส่วนฉันจะคอยมองดูอยู่ในเงาให้เอง”
พอพูดจบเรโมริก้าก็หายตัวไปทันที แต่ผมรู้สึกได้ว่าเธอกำลังอยู่ใกล้ๆ กับผมเนี่ยล่ะ…นี้คงไม่ใช่แอบเข้าไป
อยู่ในเงาของผมหรอกนะ เดี๋ยวสิๆ แบบนี้ความเป็นส่วนตัวผมจะเอาไปไว้ที่ไหนล่ะ!
แต่จะไล่ไปก็ไม่ได้ ผมเลยปล่อยเลยตามเลย และกลับลงไปนอนบนกองฟางต่อ
โดยที่ตัวผมไม่คาดคิดเลย ว่าสิ่งที่เรโมริก้าเตือนไว้ จะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงแค่ชั่วข้ามคืน
ในวันรุ่งขึ้น ตัวผมก็ได้ถูกจับเป็นตัวโทษและผูกติดกับท่อนไม้อีกครั้ง
เหตุผลที่ทำให้ข้อสรุปออกมาเป็นอย่างนี้ มันเรียบง่ายเกินคาด
“ยิ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถสำรวจดันเจี้ยน ก็ยิ่งปล่อยตัวไปไม่ได้! เจ้าจะต้องเป็นของฉันเท่านั้น โรมะ!”
คำประกาศของเรเดียได้แสดงจุดยื่นออกมาอย่างชัดเจน
เอาล่ะตอนนี้ทุกคนได้วางเดิมพันกันแล้ว สลอตเองก็ถูกหมุน จากนี้ไปมันจะหยุดอยู่ที่ผลลัพธ์แบบไหน มันก็อยู่นอกเหนือสิ่งที่ผมจะควบคุมได้

ตอนที่ 109 หายนะในชั่วพริบตา

มุมมองของเรเดีย
ชื่อของฉันคือเรเดีย ตัวฉันเกิดในตระกูลเศรษฐีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง ตั้งแต่จำความได้ ตัวฉันก็ถูกเรียกคำนำหน้ามากกว่าชื่อจริง เช่น อัจฉริยะ ผู้มีพรสวรรค์ คนที่พระเจ้าเลือกสรร คำนำหน้าถูกเปลี่ยนไปเสมอเมื่อฉันได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่งสำเร็จ ซึ่งมันเยอะจนฉันเองเริ่มจะจำไม่ได้เหมือนกัน
ในความทรงจำที่เลือนราง ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ฉันก็ใช้เวทมนต์ได้มากกว่าสิบอย่าง โดยเฉพาะเวทมนต์ของนักบวช ครึ่งปีต่อมา ฉันบรรลุถึงเวทมนต์ศักดิ์สิทธิ์ระดับ 2 ได้โดยไม่ได้เข้าเป็นเรียนกับศาสนจักร
ตอน 9 ขวบฉันจบหลักสูตรจากโรงเรียนอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ความรู้และความสามารถของฉันมากกว่าผู้ใหญ่ที่วัยเกิน 20 ปีซะอีก
ที่บ้านถึงจะประกอบอาชีพค้าขายเป็นหลัก แต่ฉันไม่สนใจด้านนั้นเลย พอ 10 ขวบก็ได้รับคำเชิญจากโบสถ์ใหญ่ ที่นั้นฉันจะได้เรียนเวทมนต์ได้เท่าที่ต้องการ จึงเบนเข็มทิศชีวิตเข้าสู่โบสถ์ใหญ่ทันที
ความก้าวหน้านั้นเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ทั้งจากความสามารถของฉัน และเงินบริจาคจำนวนมหาศาล
จากทางบ้าน ด้วยอายุเพียง 13 ปี ฉันก็ได้เป็นบิชอปและได้นั่งอยู่ในระดับผู้บริหารของโบสถ์ใหญ่แล้ว
ตั้งแต่เกิดมา…ชีวิตของฉันมีแต่ไปข้างหน้า สูงขึ้นไป ยิ่งขึ้นไปอีก
แต่เมื่อตอนอายุ 15 ฉันก็เจอทางตัน ตัวฉันไม่สามารถเรียนเวทมนต์ระดับที่สูงกว่านี้ได้ ตราบใดที่เลเวลยังไม่เพิ่มขึ้น ตำแหน่งฉันเองก็เริ่มไม่มั่นคง เพราะเอาแต่หมกหมุนเรื่องเวทมนต์จนไม่ได้ทำงานที่เป็นชิ้นออกมา ซึ่งนั้นคือปัญหาใหญ่
จำนวนเวทมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่จะเรียนได้ มีสองแบบ แบบทั่วไปที่เปิดให้ทุกคนแม้แต่คนนอกศึกษาได้ ซึ่งเป็นตัวสร้างรายได้ทางหนึ่งให้กับโบสถ์ใหญ่ กับอีกแบบก็คือเวทมนต์ลับ ซึ่งจะมีแต่คนของโบสถ์ใหญ่เท่านั้นที่เรียนได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับระดับตำแหน่งที่มี แต่แม้จะเลื่อนขั้นสูงขึ้น
ไป ทว่าก็จะเลือกเรียนได้เพียงแค่เวทมนต์เดียวเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นมาตรการป้องกันความลับรั่วไหล เลยกระจายๆ ให้ถือครองกันได้เพียงคนละส่วน
ในทางกลับกัน ถ้าโดนลดตำแหน่งลง เวทมนต์ที่เคยเรียนไปก็ถูกผนึกเอาไว้ หรืออาจถึงขั้นให้กินยาทำลายมาน่า ทำให้ใช้เวทมนต์อีกไม่ได้ไปชั่วชีวิต ฉันไม่ต้องการแบบนั้น คนอย่างฉันจะต้องมุ่งไปข้างหน้าเท่านั้น
แล้ววันหนึ่งพระเจ้าก็ได้ชี้ทางให้กับฉัน
วันนั้นฉันได้รับภารกิจสอบสวนหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเชื่อได้ว่ามีสมาชิกลัทธิปีศาจและผู้ให้การสนับสนุนอยู่ ฉันไม่ชอบงานแบบนี้ เลยปฏิเสธมาตลอด แต่กับคนที่พร้อมจะกระเด็นหลุดจากตำแหน่งได้ทุกเมื่ออย่างฉัน มันไม่มีทางเลือกนอกจากรับงานที่ตัวเองไม่ชอบมาทำ
การสอบสวนเริ่มต้นขึ้นด้วยการปิดล้อมหมู่บ้าน แยกเอาตัวผู้ต้องสงสัยออกมากลุ่มหนึ่ง และเริ่มสอบสวน ที่โบสถ์ใหญ่มีการสอนเกี่ยวกับขั้นตอนพวกนี้อยู่ ฉันเลยทำตามขั้นตอนที่ว่าทุกอย่าง
ตามตำราว่าไว้ คนที่นับถือเผ่าปีศาจ จะถูกอำนาจมารครอบงำ ทำให้พูดแต่คำโกหก วิธีชำระล้างอำนาจมารออกไปก็คือการทรมานเพื่อดึงเอาสติกลับมา
ฉันต้องรับหน้าที่การทรมานด้วยตัวเองในฐานะที่เป็นหัวหน้า ตอนที่รับเอาท่อนไม้ที่ใช้ฟาดเพื่อการทรมานมา ฉันกลัวและวิตก ทว่าหลังจากหลับตาและฟาดมันลงไป บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปทันที!
เหล่านักบวชมองฉันด้วยสายตาชื่นชม เหล่าอัศวินเปร่งเสียงเชียร์ด้วยความยินดี เหล่าคนบาปมองฉันด้วย
ความกลัวเกรง วินาทีนั้นเองที่ได้รับรู้ถึงอำนาจที่พระเจ้ามอบมันมาให้กับฉัน
แรงขึ้น! ฉันเริ่มหวดไม้ในมือแรงขึ้น เสียงรอบตัวก็ดังขึ้นตาม ราวกับตอบรับการกระทำของฉัน ความยินดีท่วมท้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจฉันเต้นแรง ตรงหว่างขาก็เริ่มร้อนและเสียวแปล๊บๆ เป็นความรู้สึกที่มีตอนที่ฉันลงมือกับผู้อื่นด้วยความรุนแรง และฉันชอบมัน
กว่าจะรู้ตัว เหยื่อรายแรกของฉันก็ถูกทุบจนกระดูกแหลกเหลวไปทั่วตัว เขาตายตั้งแต่ช่วงกลางๆ ของการทรมานแล้ว
“…เขาเป็นคนบาปที่ฝักใฝ่มารร้าย พระเจ้าจึงไม่ได้คุ้มครองเขา”
ฉันชี้ไม้ที่เปื้อนเลือดและเศษเนื้อไปที่ศพ และกล่าวคำพูดที่ลอยขึ้นมาในหัว แต่นั้นได้สร้างเสียงโห่ร้องด้วย
ความยินดีขึ้นมา ฉันได้รับทั้งคำชมและการยกย่อง ฉันจึงยิ่งมั่นใจ ว่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ฉันทำ
ยิ่งฉันกระทำรุนแรงต่อการทรมานมากแค่ไหน ฉันก็จะได้รับการยอมรับมากขึ้นตาม ฉันเริ่มเปลี่ยนวิธีทรมาน เพราะการทุบตีมันเกินกำลังกายเกินไป ฉันเปลี่ยนมาใช้เครื่องทุนแรง อย่างมีดที่ได้รับการปลุกเสกแล้ว หรือใช้หอกแหลมทิ่มแทงเข้าไป จนถึงกระทั่งการเผาไฟเพื่อชำระล้างดวงวิญญาณขั้นสุดท้าย
ด้วยผลงานการล่าพวกนอกรีตนี้เอง ที่ทำให้ฉันรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ ฉันจึงเริ่มหันมาเอาดีด้านการล่าพวกเผ่าปีศาจอย่างจริงจัง แถมฉันเองก็มีสัมผัสพิเศษที่ต่างจากคนอื่น คือสามารถรับรู้ได้เมื่อเข้าใกล้เผ่าปีศาจ เพราะร่างกายฉันจะเริ่มตอบสนอง ด้วยความรู้สึกเหมือนกับตอนที่ทรมานนักโทษ เมื่อใดที่ฉันมองไป แล้ว
หัวใจเต้นแรง หว่างขาเริ่มร้อนและเสียวแปล็บ เมื่อนั้นฉันรู้ว่าคนที่มองคือเผ่าปีศาจอย่างแน่นอน
ทว่าเผ่าปีศาจไม่ใช่จะหาเจอกันได้ง่ายๆ นอกจากจะเข้าไปในดินแดนของจอมมาร ฉันเลยต้องเจาะลึกลงไปอีก โดยการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพียงแค่ต้องสงสัย หรือสังหรณ์ใจ ฉันก็จะตัดสินว่าเป้าหมายเป็นเผ่าปีศาจทันที แม้ฉันจะรู้ดีว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม แต่การที่คนเหล่านั้นต้องตาย ก็แปลว่าพระเจ้าไม่ได้ปกป้องพวกเขา นั้นก็เพียงพอจะยืนยันว่าเป็นพวกนอกรีตได้แล้ว
ส่วนเรื่องการเพิ่มเลเวล ฉันก็ได้ใช้เงินทุนจากตำแหน่งบวกเงินสนับสนุนจากทางบ้าน และเหล่าลูกหนี้ทั้งหลาย ในการลงดันเจี้ยนทำให้ได้เลเวลเพิ่มขึ้นมาโดยไม่ต้องออกแรง
ด้วยผลงานการล่าพวกนอกรีต กับเลเวลที่เพิ่มขึ้นมาสูงจนโดดเด่น ทำให้ตอนอายุ 19 ฉันก็ได้เป็นอาร์คบิชอปที่อายุน้อยที่สุดไปแล้ว
แถมเวทมนต์ที่ฉันเลือกมาตอนเข้ารับตำแหน่ง ยังเป็นเวทลับที่เหมาะกับการเก็บเลเวลในดันเจี้ยนมากที่สุด ยิ่งทำให้เลเวลฉันเพิ่มขึ้นเร็วไปอีก ถ้าเป็นแบบนี้ในไม่ช้า ฉันจะก้าวไปสู่ตำแหน่งคาร์ดินัลได้แน่
ทว่าทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นไปซะหมด พอเข้าสู่ช่วงเลเวล 100 ก็แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ฉันต้องเพิ่มระยะเวลาและเงิน กว่าจะได้มาแต่ละเลเวล มันเป็นความยากลำบากที่กินเวลาไปอย่างมาก
เรื่องผลงานการล่าพวกนอกรีตเองก็เจอปัญหา หลังจากสงครามครั้งใหญ่กับพวกแวมไพร์ ทางโบสถ์ใหญ่ก็สูญเสียไปอย่างใหญ่หลวง สภาพโครงสร้างถึงกับ
แทบพังครืนลงมา เงินทุนที่ได้มาสนับสนุนก็น้อยลง บุคคลสำคัญก็เสียชีวิตไปหลายคน ทำให้มีคำสั่งหยุดการล่าพวกนอกรีตออกมาชั่วคราว เพื่อการรักษาขุมกำลังหลักเอาไว้ป้องกันศาสนจักร
ฉันเองนอกจากเวลาเก็บเลเวลแล้ว ก็ต้องอยู่เฝ้าพื้นที่ของตนไว้ แต่เมืองที่ฉันอยู่ เป็นเมืองการค้า ไม่ค่อยมีผู้ศรัทธาในศาสนาเท่าไร กิจกรรมที่เกี่ยวข้องก็แทบไม่มี นั้นเป็นเหตุให้ฉันไม่สามารถสร้างผลงานได้ ถ้ายังติดอยู่ในเมืองตัวเองเช่นนี้ ฉะนั้นทางเดียวที่จะรักษาตำแหน่งให้มั่นคง ก็คือการเพิ่มเลเวลตัวเอง ถ้าฉันมีเลเวลมากพอ ก็จะถูกนับเป็นกำลังสำคัญ ต่อให้ไม่ทำอะไรเลย ทางโบสถ์ใหญ่ก็ไม่กล้าลดตำแหน่งฉันเด็ดขาด
การมากรอซ่าในครั้งนี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
แต่
ฉันกลับต้องมาเจอความโชคร้าย ตั้งแต่ได้เจอปีศาจที่มีชื่อว่า โรมะ
ตั้งแต่เห็นครั้งแรก ฉันมั่นใจเต็มร้อย ว่าเขาต้องเป็นสาวกระดับสูงของเผ่าปีศาจอย่างแน่นอน เพราะทั่วร่างของฉันมันเสียวแปล็บจนแทบยืนไม่อยู่ ไม่เคยมีการตอบสนองที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อน ไม่ผิดแน่ เขาต้องเป็นระดับหัวหน้า หรือ อาจจะเป็นขุนพลปีศาจคนใหม่ก็ได้
ไม่คิดว่าการมากรอซ่าครั้งนี้ จะทำให้ฉันเจอผลงานชิ้นใหญ่ด้วย ต้องชิงรีบลงมือก่อน ด้วยนํ้ามนต์ที่ฉันปลุกเสกด้วยตัวเอง ความเข้มข้นของมันถ้าเป็นเผ่าปีศาจล่ะก็ ผิวหนังจะถูกเผาไหม้ในทันที ยิ่งถ้าเป็นพวกระดับตํ่าล่ะก็ ถึงขั้นสลายเป็นธุลีไปเลย
สำเร็จ!
ฉันสาดนํ้ามนต์ใส่เต็มหน้าเขาเลย งานนี้เสร็จฉันแน่ แต่ว่า…ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่สิ เขาไม่สะดุ้งสะเทือนแต่กลับนั่งดื่มเบียร์ต่อหน้าตาเฉย หรือว่าฉันจะคิดผิด? ไม่หรอก ไม่ผิดแน่ ยิ่งเข้าใกล้ความรู้สึกที่สัมผัสได้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เขาต้องเป็นปีศาจระดับสูงจำแลงกายมาแน่ๆ ฉันต้องกระชากหน้ากากมันออกมา
แต่แล้วก็ทำไม่สำเร็จ เพราะมีคนเข้ามาขัดขวางซะก่อน โดยเฉพาะพวกนักผจญภัย ฉันเองก็ได้รับคำเตือนมา ว่าอย่ามาหาเรื่องกับนักผจญภัยในเมืองกรอซ่า เพราะที่นี้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ขนาดที่โบสถ์ใหญ่ยังยื่นมือเข้ามาไม่ถึง พวกนี้เป็นมดงานชั้นดี แต่ถ้าเป็นศัตรูเมื่อไร ก็เป็นภัยระดับหายนะเลย วันนี้ฉันเลยต้องยอมถอยก่อน
ทว่าฉันเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เลยให้ลูกน้องตามสืบเรื่องของเขาไปด้วย ทำให้ทราบชื่อและความเป็นอยู่ในระดับหนึ่ง ดีที่เขาอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ ไว้เก็บเลเวลเสร็จค่อยออกมาจัดการมันก็ได้
แต่ข่าวลือของโรมะ แม้จะอยู่ห่างก็ยังมาถึงได้ นักผจญภัยต่างรู้จักกันซะส่วนใหญ่ เรื่องราวของเขาราวกับเรื่องเล่าประจำวงเหล้า โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง
โรมะเป็นนักผจญภัยที่มีเป้าหมายอย่างชัดเจน ในการสร้างฮาเร็มของตัวเอง แถมผู้หญิงของเขาแต่ละคนก็ล้วนแต่เป็นเพชรนํ้างาม ชนิดที่ว่าแค่ชายตามองก็จะตกอยู่ใต้มนต์เสน่ห์แล้ว ทว่าก็มีข่าวลือคู่ขนานไปด้วย ว่าใครที่ไปยุ่งเกี่ยวกับสาวๆ ของโรมะ มั่งจะจบไม่สวย บางคนถึงกับหายสาบสูญไปเลย
ที่แน่ชัดคือ เขาบ้าผู้หญิง และมักมากในกาม เท่านี้ฉันก็รู้จุดอ่อนของมันแล้ว
แล้ววันนี้พระเจ้าก็ได้ทรงมอบโอกาสให้กับฉัน เมื่อมีรายงานเข้ามา ว่าปาร์ตี้ของโรมะได้มาที่ชั้น 11 และเกิดการปะทะกับกลุ่มของเฮกราส
เจ้าสุนัขขี้เรื้อนนั้น ถึงจะบ้าการพนัน แต่ก็มีประสบการณ์การรบจริงมาก่อน ฝีมือเชื่อถือได้ แต่กระนั้นมันกลับซมซานมาหาฉัน เพื่อบอกว่ากองกำลังกว่าสามร้อยคน ถูกปาร์ตี้ของโรมะที่เพียงสิบกว่าคน บดขยี้จนพ่ายไม่เป็นท่า แถมยังสูญเสียลูกน้องและกำลังคนไปจนเกือบหมด
แย่! สถานการณ์แย่มาก
กองกำลังที่ชั้น 11 เป็นกองกำลังหมุนเวียน ที่จะใช้สลับกับกองกำลังหลักในวันท้ายๆ ถ้าขาดพวกนั้นไป
ลำพังกองกำลังหลักคงเหลือแรงเก็บเลเวลได้อีกไม่เกิน 5 วัน แถมเสบียงที่ใช้ตอนขากลับ ก็อยู่กับพวกมันด้วย แย่แล้ว!
ฉันโกรธจนอยากจะฆ่าเจ้าเฮกราสทิ้งตรงนี้เลย ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นถึงเคานต์ แถมยังติดหนี้ฉันอยู่อีกมหาศาล ถ้าตายไปหนี้ก็สูญกันพอดี…ตายก็สูญเปล่า…ใช่แล้ว!
ถ้าฆ่าโรมะไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แถมปาร์ตี้ของมันก็ดูท่าจะเก่งมาก ถ้าเอามาใช้งานได้ จะไม่ได้แค่ใช่ช่วยเก็บเลเวลได้ แต่ยังให้มันมาเป็นกองกำลังส่วนตัวได้อีก ไว้ถ้าหมดประโยชน์แล้ว ยังใช้มันเป็นนักโทษสาวกปีศาจเพื่อสร้างผลงานได้อีก
แถมวิธีจะดึงมาเป็นพวกก็ไม่ยากเลย ยังไงซะเจ้านั้นก็บ้าผู้หญิง ถ้าเราใช้ลูกน้องเป็นเหยื่อล่อ เจ้าโรมะก็จะกลายเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ของเรา
แล้วฉันก็ได้ออกคำสั่งเกณฑ์เอาลูกน้องที่หน้าตาดีมา ส่วนนักบวชเฒ่าเสนอให้เอาพวกสาวๆ ที่ยังบริสุทธิ์ เพื่อเอาใจเจ้าโรมะด้วย ซึ่งฉันก็อนุญาต แต่จริงๆ ก็พอรู้อยู่ ว่าเจ้าเฒ่าพวกนั้น อยากแก้แค้นพวกที่เคยปฏิเสธพวกมันมาก่อน
เอาเถอะ ฉันจะยอมทำเป็นมองข้ามไปสักครั้ง เพราะอย่างไงวิธีนี้ก็น่าจะได้ผลดีด้วย ไม่มีผู้ชายคนไหน ไม่ชอบสาวๆ สวยๆ ที่ยังบริสุทธิ์อยู่หรอก
ตอนแรกฉันเสียเวลาคิดแผนจะดึงมันมาเจรจาตัวต่อตัวอย่างไงดี แต่มันกลับยอมรับคำเชิญอย่าง
ง่ายๆ แถมยังมาคนเดียวอีก เจ้านี้โง่เง่าสิ้นดี แต่ก็ดีล่ะ จงเป็นสุนัขโง่ๆ ที่เชื่อฟังฉันไปชั่วชีวิตเถอะ
แต่พอได้เจอหน้ากันอีกครั้ง ฉันก็ต้องประหลาดใจ เพราะฉันจับความรู้สึกไม่ได้เลย เขาเหมือนเป็นคนปกติ ที่ไม่มีเคราลางของเผ่าปีศาจเหมือนในทีแรกเลย หรือว่าฉันจะเข้าใจผิดไปเองจริงๆ ??? เพราะแบบนี้นํ้ามนต์ถึงใช้ไม่ได้ผลสินะ
ช่างเถอะ จะใช่หรือไม่ใช่ ฉันก็ลงโทษและยัดข้อหาให้ได้อยู่ดี เพียงแค่คำพูดของนักผจญภัย มีนํ้าหนักสู้อาร์คบิชอปอย่างฉันไม่ได้หรอก
ทว่าเมื่อเขาได้เอ่ยออกมา ฉันก็ต้องตกอยู่ในความฉงนทันที ใบหน้า นํ้าเสียงและท่าทาง ขัดแย้งกันไปหมด ใบหน้าเขาก็ดูสมคำลํ่าลือดี เป็นพวกหื่นกามไม่ผิดแน่ แต่นํ้าเสียงกับท่าทางนี้มันอะไรกัน นายกำลังอยู่
ในถิ่นของฉันตามลำพังนะ! หันแสดงความกลัวเกรงออกมาซะบ้างสิ!
เขานิ่งสงบเกินไปขนาดที่ทำให้ฉันกลัวขึ้นมาเอง ความมั่นใจก็เริ่มน้อยลง การที่เขายอมมาคนเดียวแปลว่ามีแผนอะไรซ่อนไว้เหรอ!? หรือว่ามั่นใจตัวเองมาก ว่าคนเดียวก็ถล่มพวกฉันได้! เป็นคนที่คาดเดาไม่ออกจริงๆ
เท่าที่พูดคุยดู เหมือนจะพอมีสติปัญญาอยู่บ้าง แต่ช่างเป็นคนที่หยิ่งยโสอะไรเช่นนี้ น่าลากตัวไปทุบให้กระดูกแหลกจริงๆ แค่ฟังมันพูดฉันก็โมโหแล้ว แต่ช่างเถอะ ก็กะไว้ว่าต้องเป็นแบบนี้ ฉันเลยปล่อยเหยื่อที่เตรียมไว้ออกไป
อย่างไงก็ไม่มีพลาด ฉันศึกษาจุดอ่อนของนายมาแล้ว เรื่องนี้ฉันมั่นใจเป็นอย่างมาก จนเผลอยิ้มมุมปากออกมา
แต่แล้ว…มันกลับถามคำถามที่ทำให้เกียรติของฉันต้องแปดเปื้อน!
ยังบริสุทธิ์อยู่ไหม! มันช่างกล้า!
ถามมาได้อย่างไงกัน คนที่เป็นถึงอาร์คบิชอปแบบฉัน อย่าว่าแต่บริสุทธิ์เลย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยผู้ชายคนไหนแตะเนื้อต้องตัวฉันมาก่อน ฉันน่ะเป็นสาวพรหมจรรย์ทั้งร่างกายและจิตใจเลยนะ แล้วมันกล้าดีอย่างไงมาถามฉันแบบนั้น!
ฉันยังกัดฟันทนได้อยู่ ถึงจะโกรธแต่ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้ว และรู้จักการเจรจาเป็นอย่างดี แค่นี้จะมายั่วโมโหฉันไม่ได้หรอก
แต่แล้วมันกลับบอกว่าอยากจะได้ตัวฉันแทน…ความอดทนฉันถึงกับสะบัด ในชีวิตฉันไม่เคยโกรธอะไรเท่านี้มาก่อน ถ้าเป็นฉันตอนนี้สามารถลงไม้เพื่อทรมานนักโทษได้ทั้งวันทีเดียว ฉันกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ แต่ตอนนี้ต้องอดทนเท่านั้น ในเกมเจรจาฝ่ายที่คุมอารมณ์ไม่อยู่จะเป็นฝ่ายแพ้
ฉันพยายามปั้นหน้าและเกร็งเสียงพูดด้วยกำลังใจทั้งหมดที่มี และไม่ลืมที่จะจดบัญชีไว้เอาคืนทีหลัง
ซึ่งไม่ว่าจะพยายามพูดดีอย่างไง เจ้าสุนัขนี้ก็ยังจะยืนยันเอาความบริสุทธิ์ของฉันให้ได้ พอกันที กับคนแบบนี้ฉันไม่ควรลดตัวมาเจรจาด้วยแต่แรกแล้ว ฉันจึงใช้แผนสำรองทีเตรียมเอาไว้ เรียกคนเข้ามาจับตัวเจ้าสุนัขนี้เอาไว้
เอาเลย แสดงฝีมือออกมา ถึงจะเก่งแค่ไหน แต่ทางฉันมีคนเยอะกว่า และฉันยังมีไพ่ตายเก็บไว้ด้วย แกไม่รอดแน่
…เอ๋?
ฉันเผลอส่งเสียงประหลาดใจออกไป ที่เจ้าสุนัขโรมะถูกจับได้แบบง่ายๆ หรือว่าเจ้านี้จะอ่อนแอ นั้นสิ มันคงใช้พวกผู้หญิงในฮาเร็มให้สู้แทนมาตลอดเลยสินะ ผิดหวังจริงๆ ฉันไม่น่าจะไปหลงกับข่าวลือเลย
ตอนแรกฉันกะจะทรมานมันให้หายแค้น แต่ไม่รู้ทำไม ถึงได้เกิดแต่เรื่องแย่ๆ ทั้งได้เห็นของโสโครกของมัน แถมโดนมันปัสสาวะใส่อีก พวกทีมเก็บเลเวลก็หายตัวไปอีก ไหนจะลูกน้องที่ส่งไปปรามพวกปาร์ตี้ที่เหลือของโรมะ โดนเล่นงานกลับมาแบบยับเยิน…
นี้ฉันทำอะไรผิด…ไม่ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด มันก็แค่โชคร้าย
ถึงจะโชคร้าย แต่มันไม่น่าจะประดังเข้ามาพร้อมกันแบบนี้ และไม่ใช่แค่นั้น ยิ่งเวลาผ่านไปโชคร้ายของฉันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไป สถานการณ์แย่จนถึงขั้นฉันคุมลูกน้องแทบไม่อยู่ แม้แต่เอนันโด้ที่เป็นคนคุมกันฉันมาตั้งแต่เด็ก ยังไม่เข้าข้างฉันเลย ทุกคนเริ่มกลัวและอยากให้ฉันปล่อยตัวโรมะไป
แต่ฉันทำไม่ได้ ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังถึงขนาดนี้ ยิ่งต้องเอามาให้ได้ มันจะเป็นหลักประกันความสำเร็จของฉันต่อไปในอนาคต อย่างไงฉันก็ไม่ปล่อยมือจากมันเด็ดขาด
ถ้าฉันประเมินความสามารถของเจ้าพวกนี้ไม่ผิด มันมีพลังเทียบได้กับกองทัพของคาร์ดินัลเลย แต่ปัญหาจะควบคุมพวกมันอย่างไงดี
โรมะมันไม่ใช่คนที่ขี้ขลาดอย่างแน่นอน มันเหมือนคนเตรียมใจรับการทรมานไว้แล้ว มันไม่ร้องขอชีวิตสักครั้ง แถมยังจะเล่นลิ้นกวนโมโหฉันอีก การใช้กำลังหรือความกลัวให้สวามิภักดิ์ ใช้กับมันไม่ได้แน่ งั้นจะทำอย่างไงดี…
แต่ระหว่างที่ฉันคิดหาทางควบคุมโรมะให้ได้อยู่ เอนันโด้กลับแอบไปเจรจาโดยไม่ให้ฉันรู้ โชคดีที่ฉันมีหูตาอยู่บ้าง เลยล่วงรู้เรื่องนี้ และตามที่คาด เอนันโด้พยายามมากล่อมให้ฉันรับข้อเสนอของโรมะ
เขากับคนอื่นๆ อาจจะกลัวความสามารถนี้ แต่ฉันมองตรงกันข้าม นักผจญภัยที่มีความสามารถในการ
สำรวจดันเจี้ยนมีเพียงน้อยนิด และส่วนใหญ่ก็จะโดนซื้อตัวไปอยู่กับกิลใหญ่ๆ กันหมดแล้ว เพราะพวกเขามีประโยชน์เป็นอย่างมาก
ปาร์ตี้ที่มีหรือไม่มีนักสำรวจอยู่ ความเร็วในการเก็บเลเวลจะต่างกันถึงสามหรือสี่เท่า ซํ้ายังให้ความอุ่นใจเรื่องความปลอดภัยอีก ที่สำคัญยังเป็นตัวทำเงินได้อย่างมหาศาล แผนที่ที่นักสำรวจทำ หนึ่งชั้น สามารถนำไปขายให้กับกิลนักผจญภัยได้ในราคาแพงลิบลิว ขนาดที่ว่าสำรวจเปิดแผนที่ได้ชั้นหนึ่งก็มีกินมีใช้ไปทั้งชีวิตเลย
ตอนนี้ไม่ใช่แค่ความสำคัญในฐานะฐานกำลังแล้ว แต่ยังหมายถึงความมั่นคงด้วย นี้คือสมบัติที่มีชีวิต ถ้าปล่อยให้หลุดมือไป ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกหรือเปล่า
ฉันจึงได้ตัดสินใจเด็ดขาด ที่จะเอาตัวโรมะเอาไว้ และใช้เหตุผลข้อนี้กล่อมเอาพวกนักบวชเฒ่าให้เห็นดีเห็นงามด้วย ซึ่งก็ไม่ยากเลย แค่บอกสิ่งที่จะได้หลังจากได้ตัวโรมะมาใช้งาน ทุกคนก็ทำตาลุกวาวขึ้นมาทันที และเปลี่ยนฝ่ายกลับมาสนับสนุนฉันอีกครั้ง
แต่ปัญหาคือจะจัดการอย่างไงกับปาร์ตี้ของโรมะ ที่เหมือนจะรู้การเคลื่อนไหวของทางนี้ทั้งหมด ตอนแรกก็นึกว่ามีหนอนบ่อนไส้ เลยเรียกทุกคนกลับมาที่ค่ายหลัก และไม่ให้มีใครออกไป แต่ไม่ได้ผล ดูเหมือนจะไม่ใช่หนอนบ่อนไส้แล้ว แต่อีกฝ่ายน่าจะมีคนที่มีสกิลพิเศษ หรืออุปกรณ์เวทประหลาดๆ ที่ใช้สืบข้อมูลระยะไกลได้ล่ะมั่ง
เท่าที่รู้อีกฝ่ายไม่ยอมรามือแน่ จนกว่าจะปล่อยตัวโรมะ…งั้นทำไมเราไม่ใช่เจ้านี้เป็นตัวประกันซะเลยล่ะ แล้ว
ขู่ให้คนที่เหลือยอมแพ้ซะ พอจับตัวพวกสาวๆ ของมันได้ ก็แค่สลับเปลี่ยนมาเป็นตัวประกันและใช้ขู่โรมะแทน มันต้องได้ผลแน่
แผนของฉันไม่มีที่ติ พวกนักบวชเฒ่าและพาลาดินต่างเห็นด้วย ฉันเลยสั่งจับเจ้าโรมะขึงกับเสาเตรียมแห่ออกไปให้พวกสาวๆ ของมันได้เห็น
ทว่า…หลังจากที่จับโรมะขึ้นเสาและเดินทัพออกไป ฉันก็ไม่อาจทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและเกิดขึ้นพร้อมกัน มันวุ่นวายสับสนจนฉันไม่อาจแม้จะทำความเข้าใจได้
เพราะจู่ๆ ขบวนแถวก็แตกออก กลุ่มแรกเป็นเอนันโด้ที่นำพวกอัศวินบางส่วนบุกเข้ามาจากทางด้านข้าง ส่วนกลุ่มที่สองเป็นอัศวินและนักบวชที่เป็นผู้หญิง รวมกลุ่มกันและบุกชิงตัวโรมะจากทางด้านหลัง และพร้อมๆ กัน
นั้น ที่ด้านหน้าก็เกิดความอลหม่าน เพราะมีบุคคลลึกลับปรากฏตัวขึ้นมา
คนที่มาด้านหน้ามีเพียงคนเดียว ส่วมผ้าคลุมปิดบังตัวเอาไว้ แต่ฝีมือร้ายกาจราวกับอสูรจากนรก เพียงแค่ขยับมือทีเดียว ก็ต้องมีคนสังเวยชีวิตไปนับสิบชีวิต แถมยังเป็นการสังหารแบบโหดเหี้ยมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับพญามารที่กำลังโกรธเกรี้ยว
แล้วไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็มีมอนสเตอร์เกิดขึ้นมาในค่าย ที่น่าจะเป็นพื้นที่ปลอดภัย และยังมีมอนสเตอร์ที่น่าจะเป็นบอส ซึ่งมีลักษณะเป็นมนุษย์หัวสุนัขสีดำคอยสั่งการอยู่ แค่อีกฝ่ายชี้นิ้วมาพวกนักบวชและพาลาดิน ก็พากันล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วงแบบไม่มีสาเหตุ
พวกฉันที่เหลือซึ่งอยู่ใกล้กับโรมะ รีบเข้าไปเพื่อใช้เขาเป็นตัวประกัน แต่พริบตานั้น… ‘มัน’ ก็โผล่ออกมา
อสูรร้ายที่ครั้งหนึ่งเกือบทำให้โบสถ์ใหญ่เกือบถึงคราวล่มสลาย แวมไพร์ระดับบารอนเนส ที่ได้รับพรที่เก่าแก่ที่สุดในโลกนี้ ปัจเจกแห่งความเที่ยงแท้ ที่ทำให้เธอเป็นอมตะไม่มีวันตาย และทรงพลังเหนือกว่าผู้ใด
บารอนเนสแห่งเผ่าพันธุ์แวมไพร์ เรโมริก้า
เธอปรากฏกายขึ้นมาพร้อมกับความน่าสยดสยองที่เป็นเอกลักษณ์ ร่างของนักบวชและอัศวินที่อยู่ใกล้ๆ เธอ ถูกบีบอัดจนเละ และเลือดทุกหยดได้ถูกทำให้ระเหยเป็นไอลอยเข้าไปหาตัวเรโมริก้า พร้อมกับที่ดวงตาและผิวของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ดวงตานั้นใครที่ได้จ้องมองก็เหมือนกับถูกแช่แข็งทำให้ขยับตัวไม่ได้แล้ว
แต่ทำไมตำนานที่มีชีวิตอย่างเรโมริก้าถึงมาอยู่กับโรมะได้!
ฉันไม่เข้าใจเลยสักอย่าง และกว่าที่ฉันจะรู้ตัว กองกำลังที่แสนภูมิใจของฉันก็ถูกทำลายจนราบคาบ นักผจญภัยส่วนใหญ่รีบยอมแพ้และทิ้งอาวุธทันที เลยยังรอดชีวิตกันอยู่ ส่วนตัวฉันถูกจับมัดกับเสาไม้ไว้แทน
ฉันรีบมองหาโรมะทันที ซึ่งเห็นเขากำลังดุใส่คนใส่ผ้าคลุม บอสหัวสุนัข และเรโมริก้าอย่างดุเดือดก่อนที่ทั้งสามจะพากันทำท่าสลดและหายตัวไปพร้อมๆ กัน
…ไม่เข้าใจ นี้มันเรื่องบ้าอะไรกัน?
ฮะๆๆ
ใช่แล้วล่ะ นี้ฉันกำลังฝันอยู่ไงล่ะ
เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้อยู่แล้ว กองกำลังของอาร์คบิชอปไม่มีทางแพ้ แถมพวกตัวประหลาดที่พร้อมใจกันพาเหรดออกมา มันไม่มีทางเกิดขึ้นจริงหรอก
ค แค่ฝันไปเท่านั้นแหละ เดี๋ยวฉันก็จะตื่นแล้ว
ก็ฉันนะ คืออาร์คบิชอปเรเดีย ผู้ที่เป็นอัจฉริยะ ผู้มีพรสวรรค์ คนที่สวรรค์เลือก ไม่มีอะไรมาหยุดการก้าวไปข้างหน้าของฉันได้หรอก
“ค แค่ฝันร้ายเท่านั้น”
ฉันบอกกับตัวเอง แต่โรมะหันมามอง และพูดโดยไม่ยิ้มออกมา
“ถ้าเป็นความฝัน นี้ก็คงเป็นฝันที่ยาวนานสำหรับเธอสักหน่อยนะ”

ตอนที่ 110 ยากยิ่งกว่าชนะ

พวกคุณเคยพบเจอประสบการณ์ลางสังหรณ์บ้างไหม เช่น เชือกรองเท้าขาด อีการุมล้อม แมวดำตัดหน้า
ตอนนี้ตัวผมกำลังประสบกับสิ่งนั้นเต็มๆ เลยล่ะ แต่ไม่ใช่อะไรที่มาในรูปแบบความเชื่อหรอกนะ แต่เป็นอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์มากเลยล่ะ
เพราะผมมองเห็นบรรยากาศภายในกองทัพที่กำลังเปลี่ยนไป จากทั้งภาษากายและอารมณ์ที่แฝงไว้ในแววตา เอนันโด้คงหมดความอดทนแล้วเหมือนกัน เขาเลยเลิกพูด และดำเนินการแบบเงียบๆ ด้วยการแยกเอาคนที่เห็นต่างมาอยู่กับเขา
ถึงจะไม่สามารถเข้ามาใกล้ผมได้ เพราะตรงกลางที่ผมอยู่เป็นกองกำลังหลักของเรเดีย แต่เขาก็จัดแถวให้พร้อมบุกเข้ามาชิงตัวได้ตลอดเวลา เขาคงรู้ทางเดียวที่จะกลับออกไปได้ คือการที่ช่วยผมให้ปลอดภัยและส่งตัวคืนทันที
ส่วนด้านหลัง ผมเห็นมีการเคลื่อนไหวของพวกทาฮากริม ทั้งๆ ที่ผมเตือนไปแล้วว่าให้หลบอยู่เงียบๆ แต่ยังฝืนออกมาเคลื่อนไหว ก็แปลว่าเธอคิดจะลงมือเหมือนกัน เท่านี้กองกำลังของเรเดียก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ แล้ว เพราะทุกคนต่างคิดกันไปคนละทางกันหมด และเรเดียเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำที่ดีด้วย เพราะไม่ได้สังเกตเห็นในเรื่องพวกนี้เลย
แต่นั้นยังไม่เท่ากับปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นกับร่างกายผม เพราะตอนนี้ขนผมลุกชัน แถมเสียวสันหลังแบบหนาวสั่น ประสาทสัมผัสตื่นตัวยิ่งกว่าตอนสู้ซะอีก แบบนี้ถึงไม่อยากจะคิด แต่มันกำลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน แถมเป็นเรื่องไม่ดีเอามากๆ ด้วย
และเรื่องไม่ดีที่ว่าก็เกิดขึ้นจริงๆ ทันทีที่เรเดียสั่งเคลื่อนพล ทัพก็ถูกหยุดไว้ด้วยคนเพียงคนเดียว ถึงจะอยู่
ห่างและอีกฝ่ายใส่ผ้าคลุมอยู่ แต่ผมรู้ทันทีว่าเป็นมุเอมะ เพราะผมจำสัมผัสแรงกดดันจากเธอได้ดี ซึ่งแย่สุดๆ เพราะเธอจะปล่อยแรงกดดันออกมาเฉพาะตอนที่โกรธจัดเท่านั้น
ไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้สกิลเรดาร์ยังแจ้งเตือน การปรากฏตัวของมอนสเตอร์ในระยะใกล้ด้วย พื้นที่ค่ายตอนนี้ได้มีกองทัพมอนสเตอร์เกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นภาพที่ผมเคยเห็นมาแล้ว เหมือนตอนที่อยู่ชั้น 8 เลย และก็เดาไม่ผิดจริงๆ เมื่ออานูบิสปรากฎตัวออกมาปิดท้าย
พวกเอนันโด้กับทาฮากริมก็ลงมือไปก่อนหน้านั้นแล้วด้วย สภาพตอนนี้ยุ่งเหยิงมาก ไม่แปลกที่เรเดียกับคนอื่นๆ จะแตกตื่นจนทำอะไรไม่ถูก เป็นผมเจอแบบนี้ก็คงยกมือยอมแพ้เหมือนกัน และพอจนตรอกก็คิดจะใช้
ผมเป็นโล่ขึ้นมา แต่อย่างที่คิดไว้เลย เรโมริก้าซ่อนตัวอยู่ในเงาผมจริงๆ ด้วย
เรโมริก้าปรากฏตัวออกมาพร้อมกับฉากสังหารโหดสุดอลังการ…ที่บอกไปว่าเลิกแค้นแล้ว โกหกสินะ
แล้วทุกอย่างก็จบลงในเวลาไม่ถึงสิบนาที โชคดีที่พวกนักผจญภัยตั้งสติและอ่านสถานการณ์ได้ก่อน เลยรีบทิ้งอาวุธแล้วยอมแพ้ เลยไม่ต้องโดนฆ่าอย่างทารุณ แต่กองกำลังของเรเดียที่ต่อต้านจนถึงที่สุดเนี่ยสิ กลายสภาพเป็นศพไม่สมประกอบไปหมด
แต่ถึงจะกวาดล้างกองกำลังของศัตรูไปหมดแล้ว ทว่ามุเอมะกับเรโมริก้ายังเหมือนอารมณ์ค้าง เลยจะหันไปเล่นงานพวกที่ยอมแพ้ด้วย ผมจึงต้องรีบแก้มัดตัวเอง อ้อ จริงๆ ผมแก้มัดให้ตัวเองตอนไหนก็ได้ แค่ใช้สกิลพ่อบ้านตัดเชือกเอา ต่อให้เป็นโซ่เหล็กหรือกุญแจมือก็ตัดได้เหมือนกัน
ดีที่ทั้งคู่เป็นลูกน้องที่แสนภักดีกับผม แค่ตะโกนห้ามคำเดียว พวกเธอก็หยุดราวกับกดสวิทซ์สั่งได้ ส่วนผมนะเหรอ…ถึงกับต้องกุมขมับ
จะแถ่อย่างไงดีล่ะเนี่ย ยังดีที่ไม่มีพวกฟรานอยู่ด้วย ไม่งั้นคงรอดตัวลำบาก เพราะพวกเธอเริ่มจับโกหกผมได้แล้ว
แต่ตอนนี้ต้องรีบตรวจดูความเสียหายก่อน
“อานูบิส พวกที่โดนฆ่าไปนี้จะไปโผล่ที่ชั้นหนึ่งไหม”
“อืม ถ้าเป็นพวกที่โดนข้ากับลูกน้อง รวมถึงคุณผู้หญิงสองคนนี้จัดการไปล่ะก็นะ”
ค่อยยังชั่ว มุเอมะกับเรโมริก้าถูกนับเป็นมอนสเตอร์ด้วย หรือว่าเพราะเป็นเผ่าปีศาจ?
แต่อย่างไงก็ตามพวกที่ตายไป ก็มีแค่พวกที่โดนกลุ่มของเอนันโด้กับทาฮากริมจัดการไป ซึ่งมีไม่กี่
คน เพราะพวกนั้นยั้งมือไว้ เอาแค่จับเป็น ความสูญเสียเลยน้อย แค่นี้น่าจะควบคุมได้อยู่ แต่ปัญหาคือจะสร้างเรื่องอย่างไงอธิบายกับพายานนับร้อยๆ ชีวิตนี้ดี
ของเรโมริก้านี้ยังดี บอกไปได้ตรงๆ เลยว่าเก็บมาได้จากร้านประมูล ส่วนมุเอมะใส่ผ้าคลุมอยู่ แถมไม่ได้ใช้อาวุธหรือใช้สกิลที่เป็นการเปิดเผยตัวด้วย จะว่าไปเธอใช้แค่กำลังเพรียวๆ ไล่บี้คนอย่างกะบี้แมลงเลยแฮะ น่าจะอ้างไปได้ว่าเป็นนักผจญภัยจากเมืองอื่น
แต่ตัวปัญหาที่สุดก็คืออานูบิส ก็ภาพลักษณ์พี่แกโดดเด่นซะแบบนี้ แถมชี้ตายคนเป็นว่าเล่น พลังระดับนี้มีแต่บอสเท่านั้นแหละที่ทำได้ ถึงจะเป็นพันธมิตรกันแล้ว แต่ปกป้องกันดีเกินไปหรือเปล่าเนี่ย
“ท่านก็คือท่านผู้บัญชาการนี้เอง เป็นเกียรติที่ได้พบ”
เจ้าตัวกลับไม่สนใจความกลัดกลุ้มของผม กลับหันไปทักมุเอมะอย่างเบิกบาน
“ข้าก็ได้ยินเรื่องของท่านมาแล้ว ยินดีที่ได้พันธมิตรผู้มากความสามารถเช่นท่านมา ถ้ามีอะไรจะให้เผ่าปีศาจของเราช่วยเหลือ ก็บอกมาอย่าได้เกรงใจไป”
“เช่นกันๆ”
สองคนนี้สนิทกันเร็วดีแท้ แต่ถ้าจะให้ดีช่วยทางนี้คิดหาทางออกด้วยซิเฟ้ย!
“คุณเรโมริก้า ใช้การสะกดจิตแล้วลบความทรงจำได้ไหมครับ”
ผมหันไปถามหาที่พึ่งสุดท้าย ซึ่งเรโมริก้าก็ยิ้มตอบผมมา
“ได้สิ แต่ว่า…Mind control ของฉันน่ะเป็นแบบส่งผลถาวร ถ้าโดนไปแล้วก็จะต้องตกเป็นทาสของฉันไปชั่วชีวิตเลยนะ”
“ช่วยลืมที่ขอไปตะกี้ด้วยครับ!”
“ให้ข้าช่วยทำให้พวกเป็นศพหรือซอมบี้เฝ้าดันเจี้ยนเลยไหม”
“ยิ่งจะสร้างปัญหาน่ะสิ!”
วิธีของอานูบิสมันฆ่าหมกศพชัดๆ ถ้าลองนักผจญภัยหายตัวไปกันเยอะๆ ทางกิลไม่อยู่เฉยแน่ แถมยังมีพวกที่กลับไปคืนชีพที่ชั้น 1 อีก
“ท่านโรมะคะ ที่ปราสาทจอมมารมีหน่วยพิเศษที่ใช้ลบความทรงจำได้อยู่ค่ะ”
“มีด้วยเหรอ! แต่จะขนไปหมดนี้คงไม่ได้หรอก”
มีกันตั้งหลายร้อย มันอันตรายในหลายๆ ทางเลย ผมกุมหัวใช้ความคิด ก่อนจะคิดเรื่องที่จะแถออก
เรื่องแต่งของก็คือ ใช้พลังของเรโมริก้าให้เป็นประโยชน์ ด้วยการใช้ Mind control ของเธอไปควบคุมมอนสเตอร์มาเป็นลูกน้อง เพราะความสามารถของเรโมริก้าไม่ได้เป็นความลับอะไรอยู่แล้ว เลยทำให้คนเชื่อได้ง่ายกว่า แถมเธอเองก็เลเวลสูง การจะลงไปชั้นที่ลึกๆ แล้วไปควบคุมระดับบอสมาได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้
การแถประสบความสำเร็จ ไม่มีนักผจญภัยคนไหนตั้งคำถามแปลกๆ ขึ้นมา อาจกำลังอยู่ในภวังค์เพราะความตกใจกลัวอยู่ สมองเลยยังทำงานได้ไม่ดีนัก
แต่ครั้งนี้เกิดเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไม่ห้ามปรามไว้ คราวหลังอาจจะเกิดเรื่องที่แย่กว่านี้ได้ ผมเลยอมรบทุกคนไปชุดใหญ่ ก่อนจะให้กลับไปที่ของตัวเอง
ไม่ใช่ผมไม่เข้าใจความรู้สึกของทุกคนหรอกนะ โดยเฉพาะมุเอมะน่ะ ผมยิ่งกว่าเข้าใจอีก เธอคงจับตาดูผมอยู่ตลอด เพราะงั้นเลยต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างสูง ที่โผล่มาคราวนี้คงถึงที่สุดแล้วจริงๆ
ส่วนอานูบิสตัดสินใจได้ยอดเยี่ยม เขาคงเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเข้าสู่จุดเลวร้ายที่สุด จึงเลือกออกมาช่วยในจังหวะนั้น แต่สงสัยจะลืมไปว่าผมเป็นจอมมาร เกิดถึงจุดวิกฤตขึ้นมาจริงๆ ผมก็คิดจะใช้พลังจัดการปัญหาอยู่เหมือนกัน
เรโมริก้าเองก็ทำตามที่รับปากไว้ คือให้ผมทำตามที่ต้องการจนถึงที่สุด แต่ถ้ามันถึงจุดที่แตกหักกันโดยสิ้นเชิง เธอก็จะออกมาลงมือเพื่อปกป้องผมเอาไว้
เพราะฉะนั้นผมเลยไม่ได้โกรธทั้งสามอะไรเลย เพียงแต่อยากให้ตระหนักถึงสิ่งที่ทำลงไป คราวหน้าคราวหลังจะได้คิดให้รอบคอบกันมากกว่านี้
เอาล่ะ จัดการปัญหาหลักๆ ไปได้แล้ว ที่เหลือก็แค่…
ผมหันไปมองเรเดียที่ถูกพวกเอนันโด้จับมัดกับเสาไว้แทนผม แถมยังเหมือนรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ เลยหนีเข้าไปในความฝันแล้ว จะว่าไปที่เอนันโด้ทำ ผมว่าไม่ใช่บุกชิงตัวผมเพียงอย่างเดียวหรอก แต่ต้องการเข้ามาอยู่ในระยะที่จะปกป้องเรเดียไว้ด้วย และที่รีบจับเธอมัดไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้อาละวาด จนโดนพวกผมฆ่านั้นเอง
ส่วนพวกทาฮากริมสามารถกล่อมอัศวินกับนักบวชได้บางส่วน กับที่จับตัวไว้ส่วนหนึ่ง และพยายามควบคุมไม่ให้พวกนี้ก่อความวุ่นวายขึ้นมาได้อีก สรุปคือ อำนาจในกองกำลังของโบสถ์ใหญ่ถูกเปลี่ยนมือเรียบร้อยแล้ว โดยมีเอนันโด้กับทาฮากริมช่วยกันดูแลกันละด้าน
ส่วนพวกนักผจญภัยหลังจากอธิบายทุกอย่างจบแล้ว ผมก็ปล่อยตัวไป ใครที่จะกลับขึ้นไปผมก็แบ่งเสบียงไปให้ ตอนแรกเอนันโด้รีบมาห้าม เพราะถ้าผมเอาเสบียงให้นักผจญภัยไป พวกเขาก็จะอดตายแน่
“ไม่ต้องห่วงครับ ทางผมมีเสบียงพอสำหรับทุกคน แค่รอให้พรรคพวกผมมาถึงเท่านั้น”
เอนันโด้ทำหน้าแบบไม่ค่อยเชื่อ ก็เท่าที่รู้ปาร์ตี้ผมมีกันแค่สิบกว่าคน จะขนอาหารสำหรับคนเป็นร้อยๆ มาได้อย่างไงกัน ไม่นับว่าไม่มีความจำเป็นต้องขนมาเยอะขนาดนั้นด้วย แต่ตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับสิ่งที่ผมบอกไปเท่านั้น
ส่วนเรื่องค่าจ้างของพวกนักผจญภัย เอนันโด้บอกว่าจะจ่ายให้ตามสัญญา แต่เฉพาะแค่ที่ตกลงกันไว้ในตอนแรกเท่านั้น ซึ่งพวกนักผจญภัยก็ไม่มีใครค้านอะไร และพากันเดินทางกลับออกไปทันที
แต่ผมห่วงพวกโบสถ์ใหญ่ที่โดนจัดการแล้วไปเกิดที่ชั้น 1 กลัวว่าพวกนี้จะสร้างปัญหาอะไรอีกหรือเปล่า แต่ช่างเถอะ ถ้าพวกนั้นคิดจะกลับลงมาก็ต้องใช้เวลาเป็นวัน ไม่สิ อาจจะถึงสองสามวันเลย เพราะต้องใช้เวลาเตรียมเสบียงด้วย กว่าจะถึงตอนนั้นพวกผมก็ไม่ได้อยู่ที่นี้แล้ว
พอพวกฟรานมาถึง ทุกคนก็ตกอยู่ในอาการช็อค ด้วยเหตุผลต่างๆ กัน พวกเอนันโด้ไม่คาดคิดว่าจะโดนกลุ่มเด็กผู้หญิงแถมมีเลเวลตํ่ากว่าถล่มเอาซะเละ แถมจำนวนก็ตรงตามข้อมูลทีแรกที่มีกันแค่สิบกว่าคน ส่วนทาฮากริมถึงจะเคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่พอมาเห็นของจริงก็อดทึ่งไปกับความงามของพวกเธอไม่ได้ แต่ผิวพรรณก็ต่างกับคนปกติโดยสิ้นเชิงแล้ว ผิวของทุกคนมีนํ้ามีนวล ดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัส และทั้งๆ ที่อยู่ในดันเจี้ยนมาเป็นเวลานาน แต่พวกเธอยังดูสะอาดตั้งแต่ผมจนถึงเสื้อผ้า ไม่มีรอยเปื้อนให้เห็นเลย
ผมอธิบายเรื่องราวให้ฟัง โดยตัดสรุปไปว่าเพราะเป็นฝีมือของเรโมริก้า พวกฟรานยอมรับได้ง่ายๆ โดยไม่ติดใจอะไร ไม่สิ ที่ติดใจน่ะคือสิ่งที่พวกเรเดียทำไว้กับผมมากกว่า พวกเธอเลยหันไปจ้องพวกโบสถ์ใหญ่ที่เหลืออย่างไม่เป็นมิตรทันที
แต่ผมก็ดึงความสนใจของทุกคนไว้ก่อน เพราะอยากตกลงกับฝ่ายเอนันโด้ให้เสร็จๆ ไป โดยที่เรื่องของเรเดีย เอนันโด้ขอให้อย่าแตะต้องเธอ ซึ่งผมก็เห็นสมควรด้วย ลองคนระดับสูงของโบสถ์ใหญ่โดนเล่นงานไป เดี๋ยวก็ได้มีคนที่เก่งกว่าพวกนี้โผล่ออกมาอีก
ทว่าจะให้ปล่อยไปเฉยๆ ก็ไม่ได้ ผมเลยขอดัดนิสัยเธอก่อน
“ไง ตั้งสติได้แล้วยัง”
ผมเข้ามาหาเรเดียในที่พักที่จัดให้ โดยที่ไม่มีการพันธนาการอะไรเธอไว้ เพราะเธอไม่มีกระจิตกระใจ
จะต่อต้านแล้ว แต่จากแววตาที่โกรธแค้นที่จ้องมาทางผม ก็ทำให้รู้ว่าเธอมีสติกลับมาพูดคุยกันได้แล้ว
“แกมันเป็นปีศาจจริงๆ ด้วย”
“จะเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยว ตอนนี้เธอเข้าใจสถานะของตัวเองไหมเนี่ย”
พอเจอถามไปเรเดียก็เริ่มกรอกสายตาไปมา ดูเธอจะเครียดเอามากๆ จนเหมือนทำท่าอยากจะอาเจียนออกมา ไม่เครียดก็แปลกล่ะ เพราะเธอเป็นฝ่ายแพ้แถมยังโดนจับเป็นเฉลยอีก จะโดนทำอะไรบ้างก็ไม่รู้
“ข้อเสนอของผมยังอยู่นะ”
“ข้อเสนอ!?”
“ผมขอความบริสุทธิ์ของเธอแลกกับการปล่อยตัวทุกคนไป”
“แกบังอาจ!”
เรเดียลุกขึ้นทำท่าจะด่าว่าผม แต่นึกถึงสถานะตัวเองขึ้นมาได้ เลยกลับลงมานั่งลงและหุบปากเอาไว้
เธอเริ่มคิดหนัก ดูจากรูปการแล้ว ถ้าไม่ยอมตกลงกับผม อย่างไงก็ต้องโดนข่มขืนอยู่ดี แถมยังมีแววว่าจะโดนผมจับไปเป็นทาส หรืออาจเลวร้ายกว่านั้น เช่นการที่ถูกโยนไปให้พวกผู้ชายรุมโทรม ซึ่งเธอคิดว่าปีศาจร้ายอย่างนี้ ต้องไม่ลังเลที่จะทำแบบนั้นแน่
พอกลับมาคิดถึงข้อเสนอ มันดูดีกว่ากันเยอะ ยอมเพียงครั้งเดียวแล้วก็จะได้อิสระคืนมา แต่ไม่นับเรื่องที่เป็นครั้งแรกกับคนที่เธอเกลียดแล้ว ยังจะผิดกฎของโบสถ์ใหญ่ด้วย ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูคนอื่น เธอจะโดนลงโทษและขับออกจากโบสถ์ใหญ่แน่
เรเดียคิดกลับไปกลับมา ชั่งนํ้าหนักของทั้งสองกรณีอย่างรอบคอบ
แต่เธอก็คิดขึ้นได้ ว่างานนี้ไม่ว่าอย่างไง เธอก็คงโดนลดขั้นแน่นอน หลังจากนำกองกำลังมาโดนสังหารหมู่ อาจถึงขั้นโดนขับออกจากโบสถ์ใหญ่เหมือนกัน เพราะงั้นผลลัพธ์ไม่ต่างกัน ไม่สิ ถ้าปิดปากปีศาจนี้ได้ ก็จะไม่มีใครรู้ เผลอๆ น่าจะเป็นข้อเสนอที่ดีกว่าด้วยซํ้า…ไม่!
ถ้าต้องเสียตัวให้กับเจ้านี้ ฉันยอมตายดีกว่า แววตาของเรเดียบ่งบอกสิ่งที่คิดไว้ออกมาอย่างชัดเจน
ใช่ ฉันยังมีไพ่ตายอยู่ สกิลที่มีความรุนแรงขนาดฆ่ามอนสเตอร์ในชั้นนี้ได้ในทีเดียว แถมยังมีรัศมีกว้างอย่างไงก็หลบไม่พ้นแน่ แล้วพวกมันก็มารวมกันที่นี้หมดแล้ว ด้วยสกิล Tree of life ฉันต้องรอดออกไปได้แน่
“ฉันขอปฏิเสธ! และฉันจะฆ่าพวกแกทุกคนที่นี้!”
เรเดียปฏิเสธ และลุกขึ้นกระโดดถอยไปจนสุดพร้อมกับร่ายเวทขึ้นมา ดูเหมือนจะเป็นสกิลเวทใหญ่ที่ต้องเสียเวลาในการร่ายเหมือนกัน แต่ไม่ได้ผลหรอก เรเดียเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติแล้ว เลยทำหน้าประหลาดใจออกมา เพราะสกิลของเธอมันไม่ทำงานไงล่ะ
ก่อนเข้ามาผมก็ใช้ Fall of troll ใส่เธอไปแล้ว เพราะงั้นสกิลเธอถึงติดคลูดาวน์อยู่ แถมมาน่าก็ลดลงจนไม่พอใช้สกิลใหญ่ได้แล้ว
ผมไม่รู้หรอกว่าสกิลไม้ตายเธอจะเป็นแบบไหน แต่คำนวณไว้จากการที่ใช้วิธีเทรนในการเก็บเลเวล มันน่าจะเป็นเวทหมู่ที่มีความรุนแรงมาก เลยไม่อยากจะเสี่ยงด้วย
ผมกวักมือเรียกเรเดียที่กำลังยืนช็อครอบสองให้กลับมานั่งที่ ตอนนี้เธอทำตามอย่างว่าง่ายทันที หลังจากไพ่ตายใบสุดท้ายโดนฉกไปจากมือเอาดื้อๆ
“ตะกี้ผมได้ยินไม่ชัด ขอฟังคำตอบของเธออีกทีได้ไหม”
“…ไม่! ถ้าต้องยอมแก ก็ช่วยฆ่าฉันทีเถอะ!”
จะว่าหัวรั้นหรือถือทิฐิสูงดีล่ะเนี่ย แต่ก็ตามคาดล่ะนะ
“เรื่องข้อเสนอ ผมล้อเล่นน่ะ”
“ล้อเล่น…น นี้แกเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นเนี่ยนะ!”
เรเดียยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม แต่ผมก็ยิ้มแห้งๆ
“อย่าโกรธสิ เทียบกับที่เธอทำไว้กับผมแล้ว แกล้งแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมากเลยนะ”
“แล้วไงจะเอาอย่างไงกับฉัน!”
“นั้นสิ”
ผมมองไปรอบๆ กระโจม ซึ่งข้าวของของเรเดียถูกนำมาไว้ที่นี้ทั้งหมด และผมก็หันไปเห็นกระดานหมากแบบเดียวกับที่เคยเล่นกับอาเดไลท์ เลยนึกอะไรขึ้นมาได้
ผมถามขึ้นขณะชี้ไปที่กระดานหมาก
“เธอเล่นเกมหมากเก่งไหม”
“…ฉันหัดเล่นตั้งแต่ 7 ขวบ และไม่เคยแพ้ใคร”
“เห เก่งมากเลยสินะ งั้นเรามาแข่งเกมหมากกัน ตัดสินในเกมเดียว คนชนะกินหมด”
คำว่ากินหมดของผม ทำให้เรเดียสะดุ้งขึ้นมา เพราะนั้นหมายถึงเธอต้องเป็นของผมไปตลอดกาล แต่ในทางกลับกัน ถ้าเธอชนะเธอก็จะได้ตามที่เธอต้องการ อย่างเช่นเอาผมกับพวกสาวๆ ไปใช้งานได้ตามใจชอบ
“แล้วอย่ามาเสียใจล่ะกัน”
เรเดียยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ และเป็นฝ่ายเดินไปหยิบเกมกระดานมาเองเลย คงกลัวผมจะเปลี่ยนใจล่ะมั่ง แน่ล่ะนี้เป็นของถนัดของเธอ อย่างไงก็ไม่ยอมพลาดโอกาสแบบนี้อยู่แล้ว
จริงๆ แล้วผมก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะหรอก เพราะฝีมืออีกฝ่ายเป็นอย่างไงก็ไม่รู้ เอาไว้ถ้าเห็นว่าไม่ไหว ค่อยเรียกให้พวกสาวๆ มาช่วย เพราะไม่ได้ห้ามไว้นี้ว่าใช้หลายคนช่วยกันคิดได้ ไม่ไหวแฮะ คนในโลกนี้จะใสซื่อกันเกินไปแล้ว เอ๋ หรือเป็นผมที่เหลี่ยมจัดเกินไปกันแน่นะ
พอเริ่มเล่นไปได้ประมาณห้านาที ผมก็อ่านทางหมากของเรเดียออก เธอเก่งจริงๆ สมกับที่คุยไว้ แต่ยังไม่เท่ากับอาเดไลท์ เธอยังขาดความรัดกุมในหมากที่สอง*
*พวกที่เล่นหมากรุกเก่งๆ มักจะคำนวณตาเดินล่วงหน้าไว้ 2-3 ตา
แถมยังชอบเป็นฝ่ายรุกไล่ เลยยิ่งทำให้ทางนี้วางกับดักได้ง่ายขึ้น กว่าจะรู้ตัว เรเดียก็ถูกผมกดดันจนแทบหมดตาเดิน
“ป เป็นไปได้ไง!”
เรเดียไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองกำลังจะแพ้ ทั้งๆ ที่ตอนแรกเธอได้เปรียบจนแทบจะเป็นการเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว แต่ตอนนี้ผมใช้ตัวหมากที่น้อยกว่าเธอกว่าเท่าตัว ปิดตาเดินสำคัญเอาไว้หมด ซํ้ายังรุกเข้าไปจุดตายที่ใช้ชี้ซะตาของเกมนี้ได้
เรเดียพยายามฝืนสู้ แต่ยิ่งฝืนเธอก็ยิ่งสูญเสีย
“เกมหมากมันสอนอะไรได้เยอะนะ อย่างตอนเนี่ย เธอกำลังถูกกดดันให้เสียเปรียบอยู่ ถ้ายิ่งฝืนก็มีแต่จะยิ่งเจ็บตัว ถอยได้ก็ถอยเถอะ”
เรเดียมองผมแบบไม่ชอบใจที่ถูกสอน แต่เธอก็เข้าใจมันได้ เลยยอมลดทิฐิตัวเองลง และเดินถอยไปตั้งรับแทน แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังโดนผมกุมจุดตายเอาไว้ พอเข้าสู่ช่วงท้าย เธอรู้แล้วว่าหมดทางรอดแน่ๆ ตาต่อไปผมสามารถเดินหมากเพื่อปิดเกมได้แล้ว
“…แย่แล้ว”
เรเดียเผลอหลุดปากออกมา เธอรู้ตัวว่าซะตาตัวเองได้ถูกตัดสินไปแล้ว เหงื่อเธอไหลออกมาไม่หยุด หน้าซีดจนเป็นสีขาว เธอกำลังกลัวและวิตกจนทนไม่ไหว ต้องลุกหนีไปอาเจียน นี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอรู้สึกแย่ขนาดนี้
ผมยังไม่รีบร้อน ปล่อยให้เธอได้มีเวลาตั้งตัว และเรเดียเองก็มีสปิริตพอตัว เมื่อตั้งสติได้เธอก็กลับมานั่งที่ ถึงสีหน้าจะยังไม่ดีขึ้นก็ตาม
ขณะที่ผมยื่นมือไปจับที่ตัวหมาก ตัวของเธอก็สั่นกระตุกขึ้นมา เธอแทบจะหยุดหายใจไปแล้ว ผมขยับตัวหมากขึ้นเพื่อจบเกม
“กลัวอยู่ใช่ไหม จำความรู้สึกนี้เอาไว้ให้ดีนะ แล้วก็อย่าลืมว่าคนอื่นเขาก็มีความรู้สึกเหมือนกัน”
เมื่อพูดจบ ตัวหมากของผมก็ถูกวางลง แต่ไม่ใช่ในตำแหน่งที่ใช้เปิดเกมเพื่อเอาชนะ ผมเดินหมากไปยังพื้นที่ว่าง ซึ่งเป็นจุดตัน ทำให้ทั้งกระดานไม่มีตาเดินอีกต่อไป ตามกฎแล้ว ผลคือออกมาเสมอกัน
เรเดียมองหน้าผมแบบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง และมันยากที่จะเชื่อได้ว่าผมเดินพลาด
“เสมอแบบนี้ พวกเราก็ไม่ได้ตามที่หวังทั้งคู่นะ เธอก็ไม่ต้องเป็นของผม ผมก็ไม่ต้องเป็นของเธอ เอาล่ะ ไปได้แล้ว ส่วนลูกน้องของเธอส่วนใหญ่ยังไม่
ตายหรอก แต่กลับไปโผล่ที่ชั้น 1 ถ้ารีบไปตอนนี้ ยังติดขบวนของนักผจญภัยออกไปได้นะ”
“ท ทำไม นี้คิดจะดูถูกฉันไปถึงเมื่อไร!”
“เปล่า ไม่ได้ดูถูก ผมแค่แสดงให้เห็น ว่าในโลกนี้ไม่ใช่มีแค่การเอาชนะหรือการเป็นผู้แพ้ การมุ่งแต่เอาชนะให้เหนือกว่า บางครั้งมันสร้างผลลัพธ์ที่แย่ให้กับตัวเองได้เหมือนกัน…เธอน่ะคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าคนอื่นสินะ แต่จะบอกให้นะ ยิ่งเธออยู่สูงเท่าไร เธอจะยิ่งโดดเดียวและหนทางจะยิ่งยากลำบาก และข้างบนนั้นนะ บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรหรอกนอกจากทางที่สูงและชันยิ่งขึ้นไปอีก จากนี้ไปก็ตัดสินใจเองล่ะกัน ว่าจะทิ้งสิ่งสำคัญไว้ข้างล่าง เพื่อขึ้นไปข้างบนที่ไม่มีอะไรอยู่เลยหรือเปล่า”
ผมว่าเรเดียเข้าใจที่ผมพูดนะ เพราะเธอกำลังร้องไห้ออกมา คนแบบเธอผมเคยเจอมาแล้ว ก็แบบ
พวกนักกีฬาเก่งๆ ที่คิดว่าตัวเองแพ้ไม่ได้ ต้องชนะไปเรื่อยๆ และสุดท้ายก็ฝืนตัวเอง จนเล่นไม่เข้ากับทีม สุดท้ายต้องโดดเดียว หรือพวกที่มุ่งเอาแต่เรียนเพื่อให้ได้ที่หนึ่ง โดยไม่สนใจใครเลย ก็จะต้องแลกอนาคตมาด้วยความสุขของชีวิตวัยเรียนไปจนหมด ชีวิตมันคือความสมดุล ผมคิดว่างั้นนะ
“ไม่! ฉันไม่ยอมติดหนี้คนอย่างแก!”
แต่ถึงจะเข้าใจ ทิฐิของเรเดียเองก็ใช่จะหายไปได้ง่ายๆ เธอเลยยอมถอดเสื้อผ้าตัวเองออก
“ฉันรับขอเสนอของแก! อยากทำอะไรก็ทำเลย อย่างไงฉันก็ไม่ยอมติดหนี้เด็ดขาด”
หัวรั้นแบบสุดๆ เลยแฮะ รูปร่างของเธอก็ไม่เลวนะ เอวได้รูปด้วย แต่สัญญากับเอนันโด้ไว้ด้วย ว่าจะไม่แตะต้องเธอ เสียดายนิดๆ แฮะ
“เอางั้นก็ได้ ถ้าเธอคิดว่าติดหนี้ผมล่ะก็”
ผมเดินเข้าไปหา พร้อมกับหยิบเอาไอเท็มชิ้นหนึ่งออกมา เป็นของที่ได้จากตอนทำฟาร์มที่ชั้น 9 ตอนแรกคิดว่าจะเอาไปขาย ไม่คิดว่าจะได้เอามาใช้ประโยชน์ในเวลาแบบนี้
“ก็คงใส่เจ้านี้ซะ”
แล้วผมก็ผูกแทบผ้าสีขาวเป็นริบบิ้นที่รอบคอของเธอ
“น นี้มัน!”
“เธอน่ะชอบทรมานคนอื่นใช่ไหม แต่แค่การลงมือทำร้ายร่างกายนะ ไม่เรียกว่าการทรมานหรอก เพราะงั้นฉันจะสอนให้เอง ว่าการทรมานของจริงมันเป็นอย่างไง”
พอได้ฟังหน้าของเรเดียก็กลับมาซีดอีกแล้ว เธอเองก็คงกลัวการทรมานเหมือนกัน เพราะรู้ว่ามัน
ต้องเจ็บปวดมาก ทว่าการทรมานของผมน่ะ ไม่ต้องเจ็บปวดเลยสักนิด
“ที่ใส่ให้กับเธอน่ะ เรียกว่าแทบผ้าหวนคำนึง เธอจะไม่สามารถถอดมันออกได้เอง แถมยังทำให้เธอคิดถึงแต่ผู้ที่เป็นคนใส่ให้ และถ้าคิดร้ายขึ้นมาเมื่อไร แทบผ้าก็จะรัดคอเธอ แต่ไม่ถึงตายหรอกสบายใจได้”
“ว่าไงนะ! อั่ก!”
ยังไม่ทันไรก็โดนแทบผ้ารัดคอซะแล้ว นี้คงคิดจะทำร้ายผมหรือไงนะ เรเดียทรมานกับการขาดอากาศหายใจอยู่พักหนึ่ง แทบผ้าก็คายตัวลง ดูเหมือนระยะเวลาในการรัดจะขึ้นอยู่กับความอึดของแต่ละคนด้วย
การที่หลับตาลงแล้วเห็นหน้าคนที่ตัวเองเกลียด พอจะคิดร้ายใส่ก็จะโดนทำโทษ แบบนี้ล่ะถึงจะ
เรียกว่าการทรมาน เพราะมันคือการบีบคั้นทั้งทางจิตใจและร่างกายไปในเวลาเดียวกัน
“ถอดมันออกทีเถอะ!”
“ถอดให้แน่ ถ้าเธอทำตัวดีๆ ล่ะก็นะ เอาสักครึ่งปีเป็นไง ถ้าระหว่างครึ่งปีเธอไม่ก่อเรื่องอะไร ผมจะถอดให้”
“ค ครึ่งปี!”
เรเดียถึงกับแทบเป็นลม
“ก็บอกแล้วไง นี้คือการทรมาน”
ผมฉีกยิ้มขึ้น และหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาให้เธอ เพราะตอนนี้เธอยังแก้ผ้าอยู่เลย คงช็อคอยู่เลยลืมเรื่องนี้ไป
ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่เรเดียก็พาลูกน้องกลับออกไปทั้งๆ แบบนี้ ผมได้แต่หวังว่าเวลาครึ่งปี คงมากพอจะดันสันดาลและลดความเป็นศัตรูของเธอลงได้
แต่ถ้าไม่ ผมคงต้องผิดสัญญากับเอนันโด้แล้วใช้ไม้แข็งกับเธอแล้ว
ส่วนกับเอนันโด้ เขาเลือกจะตามเรเดียกลับไป ถึงงานนี้อาจจะถูกคาดโทษกันก็เถอะ ความซื่อสัตย์กับผู้เป็นนายของเขานี่น่ายกย่องจริงๆ แต่เพราะเอนันโด้ไม่อยู่แล้ว ข้อตกลงทุกอย่างเลยเป็นอันยกเลิกไป
และเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ผมเลยให้พวกทาฮากริมกลับออกไปพร้อมกับพวกเรเดียด้วย แล้วหลังจากสองวันค่อยไปหาผมที่คฤหาสน์
ซึ่งผมถามเอนันโด้แล้ว เขาบอกว่าพวกทาฮากริมไม่น่าจะโดนลงโทษอะไร แถมน่าจะได้รับคำชมเชยด้วย เพราะเป็นคนที่ช่วยหยุดยั้งความเสียหายเอาไว้ แต่อาจมีโทษทางวินัยที่ขัดคำสั่ง ซึ่งไม่ใช่โทษหนักอะไร
ส่วนพวกที่โดนฟรานควบคุมไว้ ผมก็ให้เธอปล่อยตัวไป แต่ให้ล้างสมองก่อน โดยผนึกความทรงจำเกี่ยวกับพวกผมไว้ ความสามารถจะได้ไม่รั่วไหลไป
ผมฝากให้เนปฟ่ากับชีเอ้ตามกลุ่มโบสถ์ใหญ่ออกไปด้วย เพราะพอไปถึงชั้น 10 จะได้ไปอธิบายให้พวกโกร่าฟังได้ ส่วนจะกลับกันไปเลยหรือเปล่า หรือจะรอพวกผมก็ให้ตัดสินใจกันเอง
“แล้วพวกเราจะอยู่เก็บเลเวลที่ชั้นนี้เหรอค่ะนายท่าน”
ฟรานถามผมขึ้นมาเมื่อทุกคนเดินทางไปกันหมดแล้ว
“ไม่หรอก แต่พวกเราจะไปสำรวจชั้น 12 กัน”
“???”
ทุกคนต่างทำหน้าสงสัย เพราะนี้ก็อยู่ชั้น 12 กันอยู่แล้ว ผมเลยต้องอธิบายให้ฟัง
“นี้น่ะ ไม่ใช่ชั้น 12 หรอก น่าจะเรียกว่าชั้น 11.5 มากกว่า”
“เอ๋!”
ทุกคนต่างส่งเสียงประหลาดใจกันออกมา
ผมเลยอธิบายเพิ่มไป ว่าผมสังเกตเห็นว่าทางลงชั้นนี้มันสั้นกว่าปกติ แถมทางลงมันอยู่สูงบนเนิน ซึ่งถ้าเอาความสูงนั้นมาหักลบกับทางเดินลงมาแล้ว ก็ยังน่าจะอยู่ที่ชั้น 11 กันอยู่ ซึ่งในรูปแบบดันเจี้ยน พื้นที่แบบนี้เรียกว่าชั้นหลอก มันเป็นห้องตันๆ ไม่มีอะไรทางไปต่อ แต่สร้างไว้ให้งงและสับสน
“ฉะนั้นทางลงจริงๆ น่าจะซ่อนไว้ที่ชั้น 11 แถวๆ ด้านล่างๆ นั้นแหละ”

ความคิดเห็น

  1. จบล่ะตอนใหม่จะมาตอนไหนหรอคับ

    ตอบลบ
  2. คือมันมีทั้งหมดกี่ตอนครับ คือผมเพิ่งเริ่มอ่านเดือนนี้เอง
    ไปหาข้อมูลมาได้ว่า คนแปลไทย หรือ คนแต่งเลิกทำไปแล้ว
    ซึ่งผมก็ไม่สนข่าว การแบนเพราะนิยายเค้าเนื้อเรื่องดี
    เลยอยากรุ้ว่ามีกี่ตอน

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. 152 ตอนครับ 150-152 เปนแบบสปอย เหมือนจะตัดจบเพราะคนบางพวก นิยายดีครับ แต่ก็นะ ที่นี่ไทยแลนด์

      ลบ
    2. เสียดาย สนุกกว่านิยามแปลหลายเรื่องเลยเท่าที่อ่านมา

      ลบ
    3. ใช่ปูเนื้อเรื่องไว้แล้วค่อยๆเชื่อมให้มันเกี่ยวกัน นิยายแปลมันก็ต้องเขียนขึ้นมาเหมือนกันไม่รู้จะเปิดประเด็นทำไม

      ลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...