ตอนที่ 129 ความจริง
“อย่าพึ่งถามอะไร รีบรักษาท่านโรมะก่อน!”
หลังจากผ่านแท่นวาปร์ออกมา เรโมริก้าก็กระโดดพรวดออกมาจากเงาทันที และรีบร้องอย่างตื่นตระหนก ผมหันไปมองรอบๆ พบว่าไม่ได้โผล่มาในจุดที่คาดการณ์ไว้ แต่เหมือนแท่นวาปร์จะถูกย้ายมาในดันเจี้ยนนํ้าตก
กรอเรียกับนักบวชสาวอีกสองคน รีบตรงเข้ามาช่วยกันรักษาให้ทันที แต่พอออกมาพ้นห้องกับดักได้ สกิลผมก็เริ่มทำงาน ทำให้ความเจ็บปวดลดลงไปเยอะ Hp regen ก็กลับมาทำงานแล้วด้วย เลยไม่ต้องห่วงว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต
พอสกิลกลับมาใช้ได้ ก็ทำให้หายใจได้ทั่วท้องขึ้นจริงๆ
“ว่าแต่…ทำไมทุกคนถึงมาอยู่ที่นี้กันหมดเลยล่ะ”
ผมหันไปมองรอบๆ ถํ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ของชั้น 1 ก็เห็นว่าอยู่กับพร้อมหน้า ขาดไปแค่บางคนเท่านั้น พอทักขึ้นมาฟรานก็ตรงเข้ามากอดผมและร้องไห้ออกมาทันที
“เกิดอะไรขึ้น!”
แค่เห็นปฏิกิริยาของฟรานผมก็ใจหายวูบ
“ไหม้หมดเลยค่ะ! พวกมันเผาคฤหาสน์จนไหม้หมดเลย!”
แค่ได้ยินฟรานร้องบอกออกมา ผมก็รีบลุกขึ้นโดยยังไม่รอให้รักษาเสร็จ และตรงออกไปที่หน้าปากถํ้า ซึ่งพวกมิรินยืนอยู่ และจากตรงนั้นผมก็ได้เห็นเปลวไฟและควันลอยขึ้นมาจากจุดที่คฤหาสน์ตั้งอยู่
ผมได้ฟังเรื่องราวจากทุกคน เลยพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ มันเริ่มจากตอนที่ผมออกไปจากคฤหาสน์ เอสเตอร์ก็เห็นลางร้ายขึ้นมา แต่ไม่มั่นใจ เลยเตือนพวกมิรินและแอบตามผมกันออกไป แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดไฟไหม้ขึ้นมาที่โบสถ์ หลังจากนั้นก็เป็นที่คฤหาสน์ ซึ่งไม่ว่าจะดูอย่างไงก็น่าจะเป็นการวางเพลิงแน่ๆ
ส่วนคนร้ายคิดว่าจะเป็นพวกนักเรียน เพราะพวกสาวๆ กับทาสตัดทิ้งไปได้เลย ส่วนพวกกรอเรียเองก็ไม่มีเหตุผลให้ทำด้วย ยิ่งการเผาโบสถ์เนี่ย ไม่มีทางทำได้แน่ ยังดีที่ไม่มีใครเป็นอันตรายและหนีออกมาได้หมดทุกคน
แต่ข่าวร้ายไม่ใช่แค่นั้น เพราะในเวลาเดียวกัน ก็มีพนักงานจากโรงแรมมาแจ้ง ว่าที่โรงแรมก็
เกิดเรื่องขึ้นเช่นกัน มีทั้งการวางเพลิงและการก่อจารจล ยูรินกับคริสติน่ายังติดอยู่ที่นั้น ดาเซสกับซาคุยะเลยนำพวกทาสที่เหลือเข้าไปช่วย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อมา
“แล้วอาเดไลท์ เอร่ากับเจ้าหญิงโชล่ะ”
ถ้าไม่นับพวกที่ติดอยู่ที่โรงแรมแล้ว ก็ยังขาดสามคนนั้นไป
“สามคนนั้นเห็นรีบร้อนเข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยค่ะ”
เมยอาบอกขณะนั่งปลอบโมอาที่ยังร้องไห้ไม่หยุด
“ฝีมือใครกัน…ใครมันบังอาจ!”
เดเม่โกรธจนตัวสั่น เธอกำหมัดจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ คนอื่นเองก็ตั้งคำถามแบบนี้ในใจอย่างเจ็บแค้น เพราะดูแล้วไม่น่าจะใช่แค่กิลนักผจญภัยอย่างเดียวแน่ๆ แถมยังไม่รู้ด้วย ว่าทำไมกิลนักผจญภัยถึงหันมาเล่นงานพวกเธอได้
ผมกัดฟันด้วยความเจ็บปวด และคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่ต้องบอกความจริง
“ตอนนี้ทุกกิลในเมืองกรอซ่ากำลังล่าตัวผมอยู่”
“พวกเราไปทำอะไรให้พวกมันเหรอคะ!”
“ไม่ใช่พวกเธอหรอก แต่เป็นผลจากที่ผมทำอะไรไม่รอบคอบเอง ไม่สิ มันมาจากการมองโลกในแง่ดีเกินไปของผมมากกว่า”
“ท่านโรมะไม่ผิดหรอกค่ะ ไอ้พวกชั่วนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านโรมะทำหรอก!”
มิรินตะโกนออกมาแต่ผมยกมือห้ามไว้
“จะเพราะความไม่เข้าใจ หรือการเสียผลประโยชน์ก็ตาม แต่เหตุผลหลักๆ เลยที่พวกนั้นจะล่าตัวผมก็เพราะ…”
ผมจับไปที่แหวน อย่างที่คิดไว้ มันยังโดนปิดกั้นอยู่ สื่อสารหรือวาปร์กลับปราสาทจอมมารไม่ได้เลย ผมหลับตาลง…เพราะถึงเวลาจริง มันยากอย่างที่คิดไว้ซะอีก แต่เมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็คืนสถานะจอมมารให้ทุกคนเห็น
ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ ต่อให้ไม่มีสกิลตรวจสอบ เพียงแค่ผมปล่อยออร่าออกไปเบาๆ ทุกคนพากับทรุดลงไปกับพื้น ด้วยความหวาดกลัว
พอมิรินกับเรโมริก้าเห็น ก็พากันทำหน้าเศร้าสลด ก่อนจะเดินมายืนอยู่ด้านหลังผม เรโมริก้าไม่เรียกฟรานหรือเดเม่ให้มาหา เพราะเธออยากให้พวกฟรานเป็นคนตัดสินใจเองในเรื่องนี้
ดอเรียเป็นคนแรกที่ขยับ ถึงจะยังสั่นกลัวอยู่ แต่เธอก็ฝืนก้าวออกมาข้างหน้า ก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าผม
“ข ข ข้าล่วงเกินท่านจอมมารไปตั้งมากมาย ป โปรดละเว้นหมู่บ้านของข้าด้วยเถอะ”
“อย่าทำแบบนี้ดอเรีย จะผมตอนนี้หรือตอนที่เป็นโรมะก็คือคนคนเดียวกัน”
แต่ถึงอย่างนั้น ดอเรียก็ยังไม่กล้าลุกขึ้นมา ถึงเธอจะไม่นับว่าเป็นเผ่าปีศาจ แต่เมืองของเซนทอร์อยู่
ในเขตแดนปีศาจ เธอรู้ว่าเพียงแค่ผมโบกมือทีเดียวเผ่าพันธุ์ของเธอก็จะสูญหายไปจากโลกนี้ทันที
จากนั้นกรอเรียก็วิ่งออกไปทำนํ้าตา เหมือนเธอจะรับความจริงนี้ไม่ได้ ทั้งนักบวชและอัศวินหันมามองผมด้วยแววตาเป็นศัตรู แต่พวกนั้นไม่กล้าแม้แต่จะสบตา วิ่งตามกรอเรียออกไปในสภาพแข้งขาอ่อน
โรสลินกับจามิร่าพยักหน้าให้กัน ก่อนจะเดินมาคุกเข่าตรงหน้าผมเหมือนกัน เพราะไม่สำคัญหรอกว่าผมจะเป็นอะไร แต่เผ่าพันธุ์ยักษ์เมื่อมอบร่างกายให้ใครแล้ว ก็จะเป็นคนของคนนั้นไปตลอดกาล
“…ท่านโรมะหลอกพวกเรามาโดยตลอดเลยเหรอคะ”
มอเรียพยายามตั้งสติและพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ใช่”
ผมไม่ปฏิเสธสิ่งที่ทำลงไป การปิดบังก็คือการหลอกลวง
“มอเรียไม่ใช่แบบที่เธอคิดนะ เผ่าปีศาจภายใต้การนำของท่านโรมะไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ท่านโรมะต้องการให้ทุกคนอยู่รวมกันอย่างสันติ”
“นั้นมันไม่สำคัญสักหน่อย!”
มอเรียตะโกนออกมาสุดเสียง ผมตาค้างไปเลย เพราะไม่เคยเห็นเธอตะโกนเสียงดังและโกรธมากเท่านี้มาก่อน
“ท่านโรมะหลอกใช้พวกเรา! มันสนุกมากนักหรือไงที่มาล้อเล่นกับความรู้สึกของพวกเราแบบนี้!...ชั่วร้ายที่สุด”
“…”
มิรินเห็นผมไม่ยอมอธิบายอะไรเลย ก็อยู่ไม่สุข ต้องออกไปอธิบายเอง แต่ผมห้ามเอาไว้ เพราะจากที่ผ่านมาผมรู้ดีว่าในความรู้สึกของทุกคนแล้ว ผมเป็นตัวตนแบบไหน พูดอะไรไปตอนนี้ก็เหมือนแก้ตัว ยิ่งจะทำให้ไม่เชื่อในคำพูด
มอเรียเหมือนจิตใจแตกสลาย เธอทนรับไม่ไหว เลยหยิบมีดขึ้นมาเตรียมจะฆ่าตัวตาย แต่ผมไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้น แค่ขยับมือเบาๆ มีดก็พุ่งหลุดจากมือของมอเรียไปโดนกบดวงซวยก่อนจะลอยไปปักที่พนัง
“ทำไมถึงไม่ปล่อยให้ฉันตาย!”
มอเรียกรีดร้องออกมาก่อนจะทรุดลงไปกับพื้นและร้องไห้โฮออกมา
“…ยังมีเงินที่เก็บอยู่กับเดเม่และเมยอา ถึงจะไม่มาก แต่คิดว่าพอให้พวกเธอใช้ได้ไปอีกหลายปี คนทั่วไปจะคิดว่าพวกเธอโดนผมควบคุมจิดใจอยู่ หลังจากผมไปแล้ว พวกเธอจะอยู่ที่เมืองนี้ต่อได้อย่างไม่มีปัญหา”
ผมบอกก่อนจะหันเดินไปที่ทางออก แต่เมื่อเห็นผมกำลังจะจากไป ทั้งฟรานและคนอื่นๆ ก็เหมือนพึ่งตื่นจากภวังค์ และวิ่งมากอดผมเอาไว้
“พาหนูไปด้วยค่ะ หนูเป็นของนายท่าน ไม่ว่าจะที่ไหน หนูก็จะอยู่กับนายท่าน!”
ฟรานร้องบอกทั้งนํ้าตา
“แต่ผมเป็นจอมมารนะ”
“หนูเองถึงจะไม่ชอบเผ่าปีศาจ แต่ถ้าเป็นที่ที่นายท่านอยู่ หนูก็จะอยู่ที่นั้นด้วย!”
“…ได้…แล้วเดเม่ล่ะ”
ผมเห็นเดเม่ไม่พูดอะไร ไม่ร้องไห้ด้วย เหมือนทำเนียนเข้ามากอดเฉยๆ มากกว่า
“หายตกใจแล้วค่ะ ส่วนคำตอบหนูไม่ว่าอย่างไงก็เหมือนเดิม ชีวิตของหนูนายท่านมอบให้ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็เป็นของนายท่านคนเดียว ถ้านายท่านเป็นจอมมาร หนูก็จะเป็นเมดของจอมมารค่ะ”
ที่ยืนเงียบไปนี้แค่ตกใจเองหรอกเหรอ…แต่ก็สมเป็นเดเม่แล้วล่ะ
“ท่านโรมะเป็นโรมะให้ชีวิตใหม่ ฉะนั้นนี้เป็นของท่านโรมะค่ะ”
เอสเตอร์เองก็บอกผมแบบกล้าๆ กลัวๆ
“ขอแค่ให้ได้อยู่กับท่านโรมะ จะเป็นเผ่ามารเผ่าปีศาจ ฉันก็ไม่สนใจหรอกค่ะ”
โมอาเองก็อาการเดียวกับเอสเตอร์
“ฮึๆ อย่างไงฉันก็เป็นแค่ลูกจ้าง ขอแค่มีเงินจ่ายจะฝ่ายไหนก็เหมือนกันนั้นแหละ ว่าแต่กลับไปเป็นแบบเดิมได้ไหม ตอนนี้ฉันกลัวจนเล็ดออกมาหน่อยๆ แล้ว”
เมยอาบอกขณะใช้มือปิดตรงช่วงล่างไว้อย่างเขินๆ
“หนูก็เล็ดเหมือนกัน”
ฟรานกับเดเม่เองก็รีบปล่อยตัวผม ผมเลยต้องคลายสถานะจอมมารออก และใช้คลีนนิ่งให้พวกเธอ
พอไม่ได้อยู่ในสถานะจอมมาร กินที่ยืนเท้าและทำท่าขู่ฟ่อๆ อยู่ ก็รีบวิ่งตรงกลับขึ้นมาอยู่บนหัวผม…รายนี้ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกแต่เพราะสัญชาตญาณล้วนๆ เลยสินะ
ผมมองไปที่ราก้า เพราะเป็นคนเดียวที่เหมือนยังไม่ได้ตัดสินใจ พอเห็นผมสบตา เธอก็ยิ้มแห้งๆ และพยักหน้าให้ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่เธอคงไม่มีปัญหาอะไรล่ะมั่ง แค่เว้นช่องว่างมากขึ้นดอเรีย ซึ่งขนาดตอนนี้ผมปิดสถานะจอมมารไปแล้ว ดอเรียยังไม่เลิกสั่นเลย จอมมารจะมีผลมากกับพวกที่เป็นมอนสเตอร์ เพราะจะถูกพลังจอมมารข่มไปถึงระดับวิญญาณชนิดที่ไม่มีทางต้านทานได้เลย
แต่มอเรียเนี่ยสิ…
คนอื่นพอเห็นสีหน้าผมก็รู้ทันทีว่ารู้สึกอย่างไง เพราะผมไว้ใจเธอมาก และปรึกษาทุกเรื่อง แถมเธอตั้งท้องลูกของผมอยู่ด้วย
แต่จะบังคับไม่ได้ จากนี้ไปชีวิตจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่ก็ไม่รู้ การจะก้าวไปต่อจากนี้ จะต้องก้าวด้วยตัวเองเท่านั้น
เดเม่ถอนหายใจ ก่อนจะหยิบเอาเงินและเสบียงออกมา และไปวางไว้ตรงหน้าของมอเรียที่ยังก้มหน้าร้องไห้อยู่
“แล้วจากนี้จะทำอย่างไงกันต่อดีคะท่านโรมะ”
มิรินถามขึ้น ผมมองไปที่แท่นวาปร์ ซึ่งมันไม่มีการเชื่อมต่อกับสถานที่ แปลว่าแท่น 1 ที่ตั้งไว้ที่โรงแรมคงโดนทำลายไปแล้ว แต่ผมว่าน่าจะเป็นฝีมือของ
พวกดาเซส เพราะถ้าแท่นวาปร์ยังทำงาน ศัตรูก็ยังส่งกำลังไปเพิ่มได้ผ่านแท่นวาปร์ที่อยู่ในกิลนักผจญภัย ผมเลยทำลายของทางนี้ด้วย
“ที่โรงแรมไม่น่าห่วง มีทั้งพวกดาเซสและอานูบิสดูแลอยู่ จะควบคุมสถานการณ์ได้เมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับเวลา แต่ที่ผมห่วงคือพวกอาเดไลท์ ถึงจะออกไปแต่เช้า แต่ก็น่าจะรู้ข่าวแล้วแต่ยังไม่เห็นกลับมา มีความเป็นไปได้ว่าจะโดนจับตัวไว้”
“จะไปช่วยพวกเธอไหมคะ”
“…ไม่ต้องหรอก อาเดไลท์กับเอร่าพอจะดูแลตัวเองได้ ส่วนเจ้าหญิงโชนี้ อธิษฐานว่าจะไม่มีใครไปทำให้เธอคลั่งจนถล่มเมืองดีกว่านะ”
“แล้วจากนี้พวกเราจะไปอยู่ที่ไหนดีคะ”
“…ปราสาทจอมมาร ทุกคนจะอยู่ที่นั้นได้อย่างปลอดภัย แต่ตอนนี้ทั้งการสื่อสารและการเคลื่อนย้ายโดนปิดผนึกอยู่ คงต้องออกห่างเมืองนี้ไปก่อนถึงจะกลับไปปราสาทจอมมารได้”
“งั้นรีบไปกันเถอะค่ะ กิลในเมืองตั้งรวมตัวบุกมาแน่ๆ”
“ก็ให้มาสิ พวกเราจะได้ฆ่าพวกมันให้หมดเลย”
พอได้ยินมิรินบอกฟรานก็หยิบอาวุธออกมาอย่างไม่กลัวเกรง
“เด็กโง่ ยังไม่เข้าใจท่านโรมะอีกเหรอ”
เรโมริก้าเขกหัวสั่งสอนลูกสาวตัวเองทันที
“ด้วยพลังของท่านโรมะน่ะ แค่กระพริบตาก็ทำให้เมืองทั้งเมืองหายไปได้แล้ว แต่เพราะท่านโรมะไม่ชอบการฆ่าฟันที่สูญเปล่าและต้องการหาทางให้ทุกเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันได้ เลยต้องการเลี่ยงการต่อสู้ เพราะถ้าขืนฆ่าพวกคนพวกนี้ไป ความแค้นจะยิ่งแผ่ขยายวงกว้างออกไป ไม่เข้าใจเหรอ ความหนักหน่วงของการที่ถูกฆ่าโดยคนที่ชื่อโรมะ กับโดนฆ่าโดยจอมมารมันต่างกันแค่ไหน”
พอฟรานเข้าใจที่เรโมริก้าอธิบายให้ฟังแล้ว ก็รู้สึกสะท้านขึ้นมาทันที
“ยังดีที่ว่าตอนนี้ฝ่ายนั้นยังไม่รู้ว่าผมเป็นจอมมาร แค่คิดว่าเป็นเผ่าปีศาจเฉยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อาจจะต้องมีคนจำนวนมากตายด้วยนํ้ามือผม”
หมดเวลาโลกสวยแล้ว และผมไม่อยากให้พวกเธอคิดด้วยว่าผมจะไม่กล้าฆ่าคน ให้เข้าใจซะตั้งแต่ตอนนี้เลยจะดีกว่า เพราะในอนาคตยังต้องมีมนุษย์ที่เสนอตัวออกมาให้ผมฆ่าอีกมากมายแน่ๆ
ทุกคนดูจะเข้าใจความหมายในคำพูดของผม เลยมีสีหน้ากลัวกันออกมา แต่ก็ไม่มีใครคัดค้าน
“เอาล่ะ ออกเดินทางกันได้แล้ว พวกเราจะใช้เส้นทางในป่าจนกว่าจะหลุดออกนอกระยะ พอไปส่งพวกเธอที่ปราสาทจอมมารแล้ว ผมจะนำกำลังไปช่วยคนอื่นที่ติดอยู่ในเมืองเอง”
“ค่ะ!”
ทุกคนขานรับและออกเดินทางกันทันที แต่ก่อนจะเข้าไปในป่ากัน ผมก็หันไปมองที่คฤหาสน์อีกครั้งด้วยความอาลัยอาวรณ์
ผมยังไม่ยอมแพ้หรอก สักวันผมจะต้องสร้างมันขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่เดินอยู่ในป่ามิรินก็ถามผมขึ้นมา
“แล้วจะเอาไงดีกับคนอื่นๆ ดีคะ”
“นั่นสินะ…พวกยูรินกับดาเซสผมว่าไม่มีปัญหาหรอก ส่วนอาเดไลท์เผลอๆ น่าจะพอรู้ตัวมาสักพักล่ะ”
“เอ๋!?”
“อย่าดูถูกอาเดไลท์สิ เธอฉลาดกว่าผมอีกนะ”
“งั้นปัญหาก็อยู่ที่เอร่าสินะคะ”
“…ไม่เป็นไร ถ้าเธอรับความจริงไม่ได้เดี๋ยวคงกลับสวรรค์ไปเองล่ะ แต่ที่ผมห่วงคือทางเจ้าหญิงโชมากกว่า”
“เธอเป็นเผ่ามังกรไม่น่าจะมีปัญหามั่งคะ”
“ไม่หรอกเพราะเป็นมังกรเนี่ยล่ะถึงมีปัญหา จริงอยู่ว่ามังกรเป็นเผ่าที่ถือเป็นเผ่าสาขาหลักของเผ่าปีศาจ แต่ก็มีพวกที่คงไว้ซึ่งความกลาง ซึ่งพวกที่จะทำแบบนั้นได้ต้องมีพลังมากกว่ามังกรทั่วไป อย่างน้อยก็มากพอจะไม่กลัวเกรงอำนาจของจอมมารรุ่นก่อนล่ะนะ เพราะงั้นกรณีของเจ้าหญิงโชสามารถออกได้ทั้งสองหน้าเลย แถมเป็นด้านที่สุดขั้วทั้งนั้น ถ้าเธอโกรธและหันฝ่ายกลายเป็นปรปักษ์ล่ะก็ ถือเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด”
“ท่านโรมะคิดมากไปแล้ว”
“เจอมาแบบนี้ ผมคิดลบไปก่อนล่ะ”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรื่องของซารีคราวนี้ทำให้ผมขยาดไปเลย
“…แต่ไม่มั่นใจแล้วสิ ว่าที่ทำมามันถูกต้องแล้วเหรอ”
“ท่านโรมะ…”
มิรินเห็นความเศร้าในดวงตาผมจนพูดอะไรไม่ออก แต่ขณะนั้นเองเดเม่ก็เดินมาจับมือผมเอาไว้
“นายท่านค่ะช่วยมองมาที่พวกหนูด้วย การที่พวกหนูอยู่ตรงนี้ไม่เพียงพอจะยืนยันได้อีกเหรอคะ ว่าทุกสิ่งที่นายท่านทำลงไปมันมีค่ามากมายเพียงใด”
“เดเม่”
“ไม่เห็นเกี่ยวว่าถูกหรือผิดหรอก ทุกคนล้วนละโมบโลภมาก นายไม่สามารถไปเติมเต็มคนเห็นแก่ตัวพวกนั้นได้ทุกคนอยู่แล้ว”
เมยอาก็ช่วยพูดให้ผมสบายใจขึ้น หายากนะเนี่ย
“ช่วยคนที่สมควรจะช่วย ดีกับคนที่ควรจะดี ไม่เห็นว่ามันจะผิดตรงไหน ถ้าเก็บเอาความคิดของคนไม่ดีมาตัดสินตัวเอง มันจะมีประโยชน์อะไร”
เรโมริก้าพูดได้ลึกซึ้งมาก สมแล้วที่เป็นผู้ใหญ่
“ใช่แล้วค่ะ สิ่งที่นายท่านทำไป สร้างรอยยิ้มให้กับคนได้ตั้งมากมายเลยนะคะ”
อย่างที่ฟรานบอก แค่ได้เห็นรอยยิ้มของพวกเธอผมก็พอใจแล้ว ที่ผมพยายามมาก็เพื่อสิ่งนี้ ไม่เห็นต้องลังเลเลยว่าจะไปเหยียบตีนใครบ้าง
“ขอบคุณนะทุกคน เป็นผมคนเดียวคงไม่ไหวแน่ แต่เพราะมีทุกคนให้กำลังใจ ผมเลยก้าวไปต่อได้”
“ด้วยความยินดีค่ะ!”
แต่ว่า…พอผมหันไปมองข้างหลัง ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน
ความสัมพันธุ์จากนี้ไปจะไม่เหมือนเดิมแล้ว มีบางคนที่เว้นช่องว่างออกไป อย่างดอเรียกับราก้า ผมต้องรีบหาทางทำให้ทุกคนกลับมาเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกับอีกครั้ง ไม่งั้นภายในฮาเร็มจะต้องมีการกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้นแน่
“มีคนตามมา!”
เรโมริก้าเตือนพลางตั้งท่าเตรียมโจมตี
“เดี๋ยว ไม่ใช่ศัตรู”
ผมเห็นในเรดาร์มาสักพักแล้ว เลยรู้ว่าเป็นใคร
“ออกมาสิมอเรีย”
พอโดนผมเรีย มอเรียก็ก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ เธอยังคงก้มหน้าไม่กล้าสบตาผม
“…มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะรู้”
“ผมจะตอบให้ทุกอย่างด้วยความจริง”
“…ท่านโรมะ…เคยรักฉันบ้างไหมคะ”
“รักสิ ตอนนี้ก็ยังรักอยู่ ถึงผมจะปิดบังไว้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ช่วงเวลาที่ผมได้อยู่กับพวกเธอไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน”
“แค่นั้นก็พอแล้วล่ะค่ะ…ที่ฉันทำตัวหยาบคายไปก่อนหน้านี้ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ ท่านโรมะจะยกโทษไปฉันได้ไหมคะ”
ผมเดินตรงเข้าไปกอดเธอไว้แทนคำตอบ
“ยกโทษอะไรกัน เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ไปผมเถอะนะมอเรีย”
“ค่ะ! ฉันจะขอติดตามท่านโรมะไปทุกที่ค่ะ!”
พอได้เห็นมอเรียกลับเข้ากลุ่มมา พวกฟรานก็ดีใจและตรงเข้าไปผลัดกันกอดเธอ มอเรียเป็นคน
สำคัญของกลุ่ม เธอทั้งคอยดูแลใส่ใจทุกคนและมอบความอบอุ่นให้ ทุกคนเลยมองเธอเป็นเหมือนพี่สาวแสนดีของบ้าน
ค่อยยังชั่วแบบนี้บรรยากาศในกลุ่มก็จะกลับมาดีขึ้น แต่ดีใจได้ไม่เท่าไรก็มีเรื่องตามมาทันที
เพราะจู่ๆ ในเรดาร์ของผมก็มีจุดเตือนปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด ทุกคนเองก็เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังโดนล้อมอยู่
“เข้าใกล้ได้โดยที่เรดาร์จับไม่ได้!”
ผมประหลาดใจมาก เพราะเรดาร์ผมตอนนี้มีรัศมีการตรวจจับเกือบหนึ่งกิโล แต่นี้ศัตรูเข้ามาในระยะร้อยเมตรแล้วมันถึงพึ่งแจ้งเตือน
“เป็นพวกกิลนักผจญภัยแน่นอนค่ะ”
มอเรียชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อม เธอเองเป็นทั้งนักผจญภัยและพนักงานกิลมาก่อน เลยรู้ว่าพวกตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้าง
“ประมาณ 300 คน”
ฟรานแยกจำวนได้ทันทีจากกลิ่น
“ต้องฝ่าออกแล้ว”
ผมตั้งใจว่าจะใช้พลังจอมมารทันที เพราะผมไม่อยากให้พวกสาวๆ ต้องบาดเจ็บ พวกที่น่าจะเป็นระดับเดียวกับที่ล้อมจับผมไว้แน่
ทว่า…คืนร่างจอมมารไม่ได้!
ผมรีบเปิดดูสกิลทันที เพราะมีเหตุผลเดียวเท่านั้นแหละที่ผมกลายเป็นจอมมารไม่ได้ แต่พอได้เห็น
ผมถึงกับตะลึง เพราะนี้มันเลวร้ายกว่าคราวก่อนซะอีก สกิลผมไม่ได้โดนปิด แต่มันกำลังหายไปทีละอย่าง!
ห่างออกไปในป่าลึก ริกะกำลังยืนอยู่บนพื้นที่โล่งกลางป่า ตรงหน้าเธอมีลูกบอลของเหลวที่ขยับตัวไปมาไม่เป็นรูปทรง ซึ่งมันกำลังสะท้อนภาพของโรมะที่มีสีหน้าแตกตื่นอยู่
“ฮุๆๆ กระจอกอะไรแบบนี้ เลเวลก็น้อย แถมยังไม่ได้ฝึกสำนึกแห่งศาสตร์ด้วย ช่างเป็นผู้ใช้สกิลมารที่ไร้เดียงสาซะจริง”
ริกะหัวเราะออกมา พร้อมกับเปิดสกิลของตัวเองขึ้นมาดู ซึ่งตอนนี้สกิลมารราคะได้มาเป็นของเธอแล้ว
“สกิลมารราคะ…ช่างเป็นความสามารถที่น่าขยักแขยงซะจริง…เดี๋ยวสิ! ถ้าเอาไปใช้กับโรมะล่ะก็…”
แค่คิดใบหน้าเธอก็เกิดรอยยิ้มพิลึกพิลั่นออกมา ก่อนจะหันกลับไปที่ลูกบอลของเหลว
“เอาล่ะ รีบๆ จัดการงานให้เสร็จดีกว่า เตรียมใจไว้ได้เลยเจ้าโรมะตัวปลอม หลังจากสูบสกิลของแกมาจนหมดแล้ว ฉันจะให้แกได้เจอกับความตายที่ทุกข์ทรมานที่สุด”
ตอนที่ 130 ความไม่สมเหตุสมผล
ขณะที่ริกะกำลังสูบสกิลของเป้าหมายมา เธอก็ต้องขมวดคิ้ว
“สองสกิล!? เจ้านี้มีสำนึกแห่งศาสตร์อยู่สองสกิล แถมยังใส่ไอเท็มปกปิดสกิลไว้อีก…ถ้าเป็นสกิลเคาเตอร์ล่ะก็ อันตราย”
ริกะทำหน้าครุ่นคิด เพราะรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ
“ถ้าเจ้านี้รู้จักสำนึกแห่งศาสตร์ก็น่าจะถูกเราสูบสกิลมารราคะมาได้ง่ายๆ หรือว่าจะได้มาโดยบังเอิญ ถ้าเป็นกรณีที่ได้มาโดยบังเอิญก็ไม่น่าจะเป็นสกิลที่ซับซ้อนอะไร แต่ว่า…ถ้าเป็นโรมะคงพูดว่า ขอปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า”
“Multi Skill”
เมื่อเปิดใช้ Multi skill จะสามารถใช้สกิลที่มีทั้งหมดออกมาได้ โดยข้ามขั้นเงื่อนไขได้สองอย่าง
1. ข้ามเวลาชาร์ดขณะปล่อยสกิล ถ้าเป็นสกิลเวทมนต์ จะปล่อยออกไปได้ทันทีโดยไม่ต้องร่าย
2. สามารถใช้สกิลที่มีผลทับซ้อนกันได้ โดยไม่ยกเลิกผลของสกิลเดิมออกไป
แต่ Multi Skill นำมาซึ่งข้อเสียอย่างหนึ่ง สกิลที่ใช้ไปแล้ว จะติดสถานะปิดตัว ไม่สามารถใช้ซํ้าได้อีก เมื่อยกเลิกสกิลถึงจะกลับมาสู่สถานะคลูดาวน์ รวมถึงสกิลที่ยังไม่ได้ใช้งานก็จะอยู่ในสถานะคลูดาวน์ทั้งหมด
“ตาเหยี่ยว! มองทะลุ! ตาทิพย์! ล็อคเป้า!”
ริกะใช้สกิลออกมาพร้อมกันสี่อย่างเปลี่ยนให้ตาของเธอข้างหนึ่ง มีผลของสกิลสี่อย่าง ตอนนี้เธอเลยมองได้ไกลเป็นกิโลโดยภาพยังคมชัดเหมือนมองดูใกล้ๆ ซํ้ายังมองทะลุต้นไม้ได้ และมองเห็นการ
เคลื่อนไหวของเป้าหมายล่วงหน้าหนึ่งวินาที กับเพิ่มความแม่นยำในการเล็งเป้าหมายอีก
“หยดวารี! อัศจรรย์ไร้ลักษณ์! ลมหายใจเจ้าหญิงนํ้าแข็ง!”
คราวนี้บนพื้นหญ้าก็เต็มไปด้วยแอ่งนํ้าสูงท่วมข้อเท้า จากนั้นก้อนนํ้าจำนวนมากก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมา และเปลี่ยนรูปร่างตามที่ริกะต้องการ จากนั้นก็มีสายลมพัดมาวูบหนึ่ง ก้อนนํ้าทั้งหมดก็ถูกเปลี่ยนเป็นกระสุนนํ้าแข็ง ซึ่งกระสุนนี้มีความพิเศษสามอย่างในตัว รวมผลต่อเนื่องทำให้เป็นกระสุนที่ไม่สามารถทำลายได้ง่ายๆ
“กระสุนดาวตก! กระสุนรวมศูนย์! กระสุนทำลายเวท! กระสุนทำลายสิบเท่า!”
จากนั้นกระสุนนํ้าแข็งก็หมุนควงด้วยความเร็วสูง ถ้าเป็นกระสุนนํ้าแข็งที่สร้างมาจากเวทมนต์ธรรมดาคงละลายไปหมดแล้ว และในกระสุนนํ้าแข็งทุกนัด มีผลของพลังทำลายของสกิลทั้งสี่อัดแน่นเอาไว้
“…จะเสริมพวกสถานะพิเศษหรือธาตุเพิ่มลงไปดีไหมนะ ช่างเถอะ ถ้ารอดมาได้ก็ยังเหลือสกิลอีกเป็นพันๆ ให้เล่น!”
พอสะบัดมือออกไป ไอคอนเรืองแสงก็ปรากฏขึ้นในกลางอากาศรอบตัวเธอ ทั้งหมดเป็นชื่อสกิลที่เธอมีนับพันๆ อย่าง ซึ่งล้วนแต่เป็นสกิลที่สูบมาด้วยสกิลมารริษยาทั้งนั้น
……………
ตัวผมที่สกิลหายไปเกือบหมดในเวลาไม่ถึงนาที ถึงกับยืนแทบไม่ติดพื้น ในหัวพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้น นี้ไม่ใช่การปิดกั้นการใช้สกิล แต่เป็นการขโมยไปเลย แหวนที่นิ้วแตกไปแล้วเป็นการยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่คนที่ขโมยสกิลได้ที่รู้ก็มีแค่คนเดียว แต่เจ้านั้นต้องสัมผัสตัวก่อนถึงจะขโมยได้ แต่นี้ไม่มีใครแตะถูกตัวผมเลย ไม่ได้ จะมาคิดเสียเวลาว่าโดนขโมยไปได้อย่างไงก็เสียเวลาเปล่า ตอนนี้กำลังโดนล้อมอยู่ ถ้าไม่รีบฝ่าออกไปต้องแย่แน่
“ท่านโรมะ สกิลของท่านโรมะ!”
มอเรียเหมือนจะรู้แล้ว
“อืม มีคนที่มีความสามารถขโมยสกิลได้อยู่แถวนี้! ระวังตัวกันไว้ด้วยนะ”
…เดี๋ยวสิ มีอะไรแปลกๆ
“นอกจากผมแล้ว ไม่มีใครโดนขโมยสกิลเลยเหรอ?”
“ของฉันปกติดีค่ะ”
“ของหนูก็ปกติค่ะ”
“ไม่ผิดแน่ เงื่อนไขการขโมยสกิลต่างออกไป ไม่ใช่การสัมผัสตัว งั้นเป็นอะไรกันล่ะ?”
อะไรบ้างอย่างที่มีแต่ผมเท่านั้นที่ต่างจากคนอื่น เพศเหรอ!? หรือเพราะจำกัดจำนวนเป้าหมายที่ขโมยได้ แต่เล่นขโมยได้จากระยะไกลแบบนี้จะขี้โกงกันเกินไปแล้ว
แต่ตอนนี้พวกผมรีบมุ่งหน้าเข้าไปโจมตีอีกฝ่ายก่อน เพราะถ้าปล่อยให้ล้อมได้จะยิ่งแย่ ทว่าพอผม
ชักดาบศิลาเย็นออกมา มันก็ถูกบางอย่างพุ่งมากระทบ พอผมก้มลงไปดู ก็เห็นดาบศิลาเย็นแตกกระจายไปต่อหน้าต่อตา
“อันตราย!”
เอสเตอร์ตะโกนเตือน แต่เหมือนจะช้าไปแล้ว เพราะยังไม่ทันสิ้นเสียง ผมก็โดนบางอย่างอัดทะลุหัวไหล่ไปทิ้ง รูขนาดเกือบเท่ากำปั้นเอาไว้
ทั้งๆ ที่ไม่ใช่จุดตาย แต่ Hp ของผมลดเหลือไม่ถึง 4% แต่ผมรู้แล้วว่าตัวเองโดนอะไรเข้าไป
“กระสุน! อีกฝ่ายใช้การโจมตีระยะไกลประเภทกระสุน!”
แถมพลังของมันน่าเหลือเชื่อมาก ขนาดทำลายดาบศิลาเย็นได้ในนัดเดียว ตอนแรกผมคิดว่าพลัง
ทำลายระดับนี้ ไม่น่าจะยิงได้ต่อเนื่อง แต่ที่ไหนได้ ยังไม่ทันมีเวลาหยิบยาฟื้นพลังออกมา ละลอกต่อไปก็มาถึงแล้ว
มิรินกระโดดออกมาข้างหน้าพร้อมกับใช้เวทมนต์กางม่านป้องกัน แต่กระสุนกลับทะลุมันเข้ามาง่ายๆ เหมือนเจาะทะลุกระดาษเปียกเลย มิรินโดนเข้าไปเต็มอก Hp ของเธอหมดไปในครั้งเดียว
ผมพุ่งเข้าไปรับร่างของเธอเอาไว้ และกำลังจะตะโกนขอยาชุปชีวิตจากเดเม่ แต่การโจมตียังไม่หยุด แถมเป้าหมายเหมือนจะเล็งมาที่ผมโดยเฉพาะ
เดเม่ขยับตัวปาอาวุธลับออกไปแบบสุดแรง ถึงจะมีการตอบสนองที่ฉับไวจนมองวิถีกระสุนของอีกฝ่ายออก แต่พลังทำลายเทียบกันไม่ติด เดเม่เลยใช้ความ
แม่นยำปาอาวุธลับออกไป เพียงแต่ให้เฉียดใส่จนเบี่ยงวิถีออกไปเท่านั้น ดีสุดที่ทำได้ในการป้องกันก็คือวิธีนี้
แต่อีกฝ่ายโจมตีมาไม่หยุด เดเม่เองก็ไม่มีเวลาจะหยิบยาคืนชีพออกมาให้ ผมเลยต้องรีบค้นกระเป่าของมิรินเอง ถึงพยายามไม่รนรานแต่มือก็อดสั่นไม่ได้ แต่เพราะมิรินหมดสติไปแล้ว ผมเลยต้องป้อนเธอแบบปากต่อปากแทน ทันทีที่ยาชุบชีวิตเข้าไปในร่ายกาย Hp ที่หมดไปแล้วก็เริ่มฟื้นขึ้นมา
“ดอเรียฝากดูแลมิรินด้วย!”
ผมบอกขณะที่ฟื้นพลังตัวเองไปด้วย แต่พอหันไปมองทางเดเม่ ปลายนิ้วของเธอเริ่มแตกและมีเลือดไหลออกมา เล่นโจมตีแบบสุดกำลังอย่างต่อเนื่อง ไม่แปลกที่ร่างกายจะรับไม่ไหว
“เรโมริก้าออกไปจัดการเจ้าคนโจมตีระยะไกล!”
“รับทราบ!”
เรโมริก้าวิ่งหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว ถึงการส่งเรโมริก้าที่เป็นกำลังหลักออกไปจะเป็นเรื่องที่เสี่ยง แต่เจ้าคนที่โจมตีระยะไกลอันตรายมาก ต้องรีบจัดการเป็นอย่างแรก ถึงแม้มันจะเป็นลดกำลังในการตีฝ่าออกไปของทางนี้ก็ตาม
เรโมริก้ารู้ว่างานของตัวเองสำคัญแค่ไหน ถ้าไม่รีบหยุดอีกฝ่ายทุกคนต้องตายหมดแน่ เธอเลยวิ่งสุดกำลังและใช้การดมกลิ่นเพื่อหาตัวเป้าหมาย พอรู้ตำแหน่งเธอก็พุ่งทะยานออกไปในพื้นที่โล่งตรงหน้าทันที
“เด็ก!?”
เมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นหน้ากัน ต่างก็ทำหน้าประหลาดใจด้วยกันทั้งคู่
“ไม่ใช่เด็กนะ!”
แถมยังเถียงออกมาเหมือนกันอีก
แต่เรโมริก้าอยากจะรีบกลับไปช่วยพวกโรมะ เลยเปิดฉากโจมตีก่อนด้วยการใช้สกิลโจมตีทันที
การโจมตีด้วยสกิลรุนแรงจนพื้นดินแยกออกไปทั้งสี่ทิศ แต่เรโมริก้ากำลังเป็นฝ่ายต้องถอยห่างออกมาเอง เพราะจุดที่มือเธอสัมผัสตัวริกะ ไม่สามารถสร้างรอยแผลอะไรให้เธอได้เลย
“…เป็นสายป้องกันเหรอ พลังป้องกันเท่าไรกันแน่เนี่ย”
เรโมริก้ามองดูอีกฝ่าย ซึ่งไม่ได้ใส่เกราะเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทำให้ไม่มั่นใจว่าจะใช่สายป้องกันอย่างที่คิดไหม แต่ขนาดรับการโจมตีรุนแรงขนาดนั้นไป กลับไม่สะดุ้งสะเทือนเลย คนที่มีพลังป้องกันขนาดนี้ เรโมริก้าไม่เคยเจอมาก่อน
‘ทางนั้นเองก็มีคนมีฝีมืออยู่เหมือนกัน รู้แบบนี้ซื้อข้อมูลจากซารีมาเพิ่มซะก็ดีหรอก’
ริกะคิดในใจแบบไม่สบอารมณ์ เพราะข้อมูลอีกฝ่ายน้อยเกินไป ทำให้เธอเปิดเงื่อนไขใช้สกิลมารริษยาไม่ได้ แถมสกิลมารริษยาเป็นสกิลที่ต้องผ่านเงื่อนไขถึง 4 อย่าง ถึงจะเปิดใช้งานได้ ยิ่งกลับศัตรูที่ไม่เคยเจอมาก่อน เธอจะเปิดเงื่อนไขได้แค่ 1-2 อย่างเท่านั้น
“ตรวจสอบ”
ริกะใช้สกิลตรวจสอบกับเรโมริก้า แต่ก็ต้องขมวดคิ้วอีกรอบ เพราะรายชื่อสกิลของเรโมริก้าเป็นภาษาที่เธออ่านไม่ออกมันเป็นภาษาโบราณที่มีใช้กันแต่ในเผ่าแวมไพร์ ยิ่งถ้าไม่ได้ศึกษาด้านภาษามาก่อนอย่างโรมะ สกิลตรวจสอบก็เป็นสกิลไร้ประโยชน์ไปเลย
‘ช่างเถอะ อย่างไงสกิลจากพวกที่เลเวลตํ่ากว่า 500 ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอยู่แล้ว จัดการไปเลยดีกว่า’
ริกะเลิกสนใจจะใช้สกิลมารริษยา และหันมาใช้การโจมตีแทน ริกะมีรูปแบบการต่อสู้แบบปักหลักแล้วปล่อยสกิลถล่มใส่อีกฝ่าย เพราะตัวเธอไม่มีทักษะด้านการต่อสู้ หรือกระทั่งการเคลื่อนไหวเลย นั้นเป็นอีกเหตุผลที่เธอไม่ใช่อาวุธ
สกิลนับสิบอย่างถูกปล่อยออกไปพร้อมกัน เล่นเอาเรโมริก้าตะลึงไปเลย
เรโมริก้ารีบกรีดข้อมือตัวเองและปล่อยเลือดออกมา ให้กลายเป็นโล่รับการโจมตีแทน บางสกิลที่ทะลุผ่านมาได้ก็ลดความรุนแรงไปเยอะ
“Multi Skill เหรอ!”
“รู้จัก Multi Skill ด้วยเหรอ ไม่เบาๆ”
ริกะยิ้มเยาะ ขณะที่เรโมริก้าเริ่มงงเอง เพราะศัตรูตรงหน้ามีพลังป้องกันเหนือสายป้องกันซะอีก แถมยังมี Multi Skill ซึ่งเป็นความสามารถของอาชีพสายเวทในระดับ Lv เกิน 500 ขึ้นไป แต่สกิลที่ปล่อยออกมาตะกี้ไม่ใช่สกิลเวทมนต์ และที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ Lv ของอีกฝ่าย จากความแรงของสกิลที่โดนไปตะกี้
บอกได้เลยว่าตัวริกะมีเลเวลไม่ถึง 100 ด้วยซํ้า แต่ทำไมถึงมีสกิลระดับ Lv 500 ได้
ข้อมูลที่ตัวริกะแสดงออกมามันขัดแย้งกันไปหมด เป็นใครก็งงเมื่อมาเจอแบบนี้
แต่ในเมื่อไม่สามารถอ่านเทคนิกการต่อสู้ของอีกฝ่ายได้ เรโมริก้าก็ตัดสินใจดับเครื่องชนด้วยพลังทั้งหมดที่มี เธอเปลี่ยนร่างไปสู่วัยรุ่นเพื่อเพิ่มค่าพลังให้สูงขึ้น ถึงจะสิ้นเปลื้องพลังไปเป็นจำนวนมากก็ตาม
การต่อสู้ของทั้งคู่รุนแรงจนพื้นที่โล่งกลางป่าขยายตัวออกไปหลายเท่า เวลาสกิลปะทะกันทีก็เกิดการระเบิดพัดเอาต้นไม้โค่นลงไปเป็นแทบๆ แต่ไม่ว่าจะใส่กันรุนแรงแค่ไหน ผลการต่อสู้ออกมาในรูปแบบที่กินกันไม่ลง
………………
สถานการณ์ไม่ดีเลย ถึงการระดมยิงด้วยกระสุนจะหยุดไปแล้ว แต่ตอนนี้พวกผมกำลังถูกนักผจญภัยรุมอยู่ พวกนี้มีกันสามสิบคน จัดทีมเป็นสามทีมคอยล้อมและโจมตีกดดันมาไม่หยุด
นี้ขนาดเอสเตอร์บอกว่าเป็นจุดที่สามารถเจาะฝ่าไปได้ง่ายที่สุดแล้ว แต่กำลังคนของผมเสียเปรียบอย่างชัดเจน
ดอเรียตอนนี้นอกจากต้องดูแลมิรินแล้ว ยังต้องคอยปกป้องคนที่สู้ไม่ได้อย่างเมยอาและโมอา ทำให้สู้ได้ไม่เต็มที่เดเม่เองก็แทบหมดแรงจากการป้องกันกระสุนก่อนหน้านี้ แถมต้องคอยระวังเพราะไม่รู้ว่าเรโมริก้าจะจัดการอีกฝ่ายได้ไหม
มอเรียกับฟรานกำลังถูกทีมหนึ่งรุมอยู่จนแทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน ส่วนผมกับราก้าสู้แบบตัวๆ ก็แทบไม่ไหวแล้ว ทางจามิร่าโดนพวกนักเวทระดมยิงเวทใส่จนขยับไปไหนไม่ได้ แต่ที่ยังตรึงกำลังได้อยู่ เพราะกินกับเอสเตอร์
กินใช้ภาพลวงตากับไฟป่วนอีกฝ่าย และใช้เวทของอาชีพชาแมนเพิ่มพลังให้กับพวกผมไปด้วย ส่วนเอสเตอร์ด้วยพลังนัยน์ตาปีศาจของเธอ ทำให้หลายคนติดสถานะกลัว จนขยับตัวไม่ได้ และมีคนดวงซวยสองคนที่ตายเพราะสกิลนี้
แต่พวกผมตรึงสถานการณ์ไว้ได้ไม่นานนัก เพราะยาฟื้นพลังหมดไปแล้ว และมาน่าของกินกับเอสเตอร์ก็จวนหมดแล้วด้วย
ผมกับราก้าพยายามเข้าไปหาเอสเตอร์ แต่พวกนักผจญภัยมาขวางไว้ คงรู้แล้วว่าเอสเตอร์มีความสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้มาก เลยพยายามกันเธอออกไปกลุ่ม
งานนี้พวกผมงัดทุกอย่างที่มีออกมาใช้กันจนหมด ทั้งสกิลติดอาวุธ ทั้งไอเท็มที่เก็บเอาไว้ ถูกขนมาใช้จนไม่มีเหลือ แต่ที่ทำได้ก็เพียงลดจำนวนอีกฝ่ายไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือก็มีสภาพพอๆ กับพวกผม แต่ทางนั้นยังได้เปรียบเรื่องจำนวนคนอยู่ดี
การต้องสู้กับนักผจญภัยที่เลเวลสูงแถมต่อสู้กับด้วยระบบปาร์ตี้ เป็นอะไรที่รับมือได้อยากกว่าการรบในรูปแบบสงครามซะอีก เพราะพวกเขาจะคอยสนับสนุนกันเอง ทั้งทดแทนจุดด้อยเสริมพลังในจุดเด่น แต่ทางผมไม่ใช่จะด้อยกว่า ต้องบอกว่าเหนือกว่าด้วยซํ้า
ถึงแม้เลเวลจะน้อยกว่าพวกนักผจญภัยเป็นเท่าตัว ทว่านี้คือจุดที่พวกผมทำกันได้ดีที่สุดแล้วในสภาพไม่พร้อมแบบนี้
สุดท้ายการยื้อก็จบลง เอสเตอร์หมดแรงจนทรุดลงไปกับพื้น เปิดช่องให้พวกนักผจญภัยคนหนึ่งตรงเข้าไปจัดการกับเธอ
ผมพยายามสุดชีวิตที่จะเข้าไปช่วย แต่กลับโดนหอกแทงจนบาดเจ็บซะเอง
“เอสเตอร์!”
ผมตะโกนเรียกสุดเสียง ขณะที่ดาบของนักผจญภัยกำลังฟันใส่ลงมาที่เธอ เอสเตอร์เพียงแค่หันมายิ้มแห้งๆ ให้ แต่ก่อนที่ดาบจะตัดผ่านร่างของเธอ มันก็อันตรธานหายไปซะก่อน
“ฟู่! มาทันพอดี”
ผมหันไปมองทางเสียงที่พูด เลยเห็นปาร์ตี้ของปีเตอร์ยืนอยู่อีกด้านของวงล้อม ในมือของเขามีดาบที่พึ่งใช้ Grab ฉกไป
“พวกนายมาได้อย่างไง?”
“อย่าพึ่งถาม ตอนนี้ลุยกันก่อน!”
“หัวหน้าพวกเรามาช่วยแล้ว ไม่ต้องกลัว!”
แล้วเด็กซ่าทั้งสามตัวก็วิ่งนำออกมา ตรงเข้ารุมนักผจญภัยคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ถึงเลเวลจะน้อยอยู่ แต่เจ้าสามคนนี้ลงมือประสานกันได้ดี จะเก่งอย่างไงก็รับการโจมตีจากสามทางพร้อมกันไม่ไหว แถมพอจะเหวี่ยงอาวุธโจมตีกลับ จู่ๆ อาวุธก็ดันหายไปจากมือ
“ด ดาบเขี้ยวอสูร!”
ปีเตอร์ที่ฉกดาบไปร้องขึ้นมา
“นั้นมันของดีนี่น่า!”
“พวกเรารวยแล้ว!”
“รีบเก็บเข้ากระเป๋าเร็วเข้า!”
ขณะที่พวกนักผจญภัยคนอื่นๆ มองพฤติกรรมของพวกนี้แล้ว ก็คิดเหมือนกันขึ้นมา ‘โจรชัดๆ’
แต่ถึงจะทำตัวเยี่ยงโจร แต่ปาร์ตี้ของพวกเด็กซ่ากลับสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ Grab ของปีเตอร์ ที่ทั้งคอยฉกอาวุธ และฉกเอาตัวแนวหลังของอีกฝ่ายมารุมกระทืบ พวกนักผจญภัยถึงกับเหวอกันไปเลย ที่จู่ๆ แถวหลังถูกย้ายไปแนวหน้า แถมพวกเด็กซ่าทั้งสาม
ก็รุมกระทืบได้อย่างชำนาญตีนมาก เข้าขากันจนไม่ต้องใช้คำพูด
เมื่อแถวหลังถูกทำลายไป แรงกดดันพวกผมก็ลดลง ทำให้ทำการโต้กลับได้ จนในที่สุดพวกนักผจญภัยที่เหลือห้าคนสุดท้ายก็ตัดสินใจหนีกัน แต่พวกผมไม่มีเวลามาดีใจ เพราะกลุ่มอื่นกำลังเข้ามาแล้ว และน่าจะเป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่าเดิม เลยรีบโกยกันสุดฝีเท้า
แต่ขณะที่วิ่งหนีกัน ผมก็หันมองไปในป่า ซึ่งบางครั้งจะมีเสียงดังน่ากลัวออกมาให้ได้ยิน
‘…ใครกันนะที่สู้กับเรโมริก้าได้ถึงขนาดนี้’
ตอนที่ 131 พระเจ้าแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง
“คิกๆๆ หมดแรงแล้วเหรอคะ”
ริกะแกล้งพูดเย้ยใส่เรโมริก้าที่ยืนหอบและมีแผลเต็มตัว โดยที่ตัวเธอเองไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
เรโมริก้าเองก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ในอดีตเธอเคยเจอคู่ต่อสู้ที่ถึก ขนาดเอาภูเขาทั้งลูกมาทุ่มใส่ยังไม่เป็นไรมาแล้ว แต่ไม่ใช่แบบนี้ กระทั่งการโจมตีที่ทะลุการป้องกันได้ ยังไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับริกะได้เลย
ตอนแรกเรโมริก้าคิดว่ามันน่าจะเป็นพวกสกิลป้องกันแบบยกเลิกความเสียหาย แต่ตอนนี้ริกะเปิด Multi skill อยู่ ทำให้สกิลทุกอย่างใช้ได้เพียงครั้งเดียว ฉะนั้นตัดที่ว่าเป็นสกิลป้องกันไปได้เลย และอีกจุดหนึ่งที่น่าประหลาด ต่อให้สร้างการป้องกันสมบูรณ์แบบได้ แต่การรับการโจมตีได้โดยไม่มีแผลเลยเนี่ย ไม่มีทาง
เป็นไปได้ สกิลฟื้นฟูยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีสกิลอะไรฟื้นตัวเร็วไปกว่าของเผ่าแวมไพร์แล้ว
แต่คนที่กำลังกดดันไม่ใช่แค่เรโมริก้าฝ่ายเดียว ริกะเองถึงจะว่างท่าเหนือกว่าและไม่มีท่าทีสะทบสะท้าน ทว่าเธอใช้สกิลไปเกือบครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะสกิลดีๆ แทบจะหมดคลังแล้ว แต่เรโมริก้าอึดมาก ไม่ว่าจะโจมตีไปอย่างไงอีกฝ่ายก็ฟื้นตัวได้ตลอด ขนาดโจมตีจุดตายไปแล้วยังลุกขึ้นมาได้เฉย ดูอย่างไงอีกฝ่ายก็เป็นอมตะชัดๆ
จริงอยู่ว่าสู้กันต่อไปตัวเองไม่มีทางแพ้แน่ๆ แต่ก็มองไม่เห็นทางที่จะชนะได้เหมือนกัน เรียกได้ว่ากินกันไม่ลง
‘ถ้าเราเลเวลมากกว่านี้ อย่างน้อยถ้าไปถึง Lv 100 คงพอทำได้บ้าง แต่เลเวลเรายังน้อยเกินไป
สกิลเลยเบาตามไปด้วย แถมสกิลมารราคะนี้มันอะไรกันทำไมถึงใช้งานไม่ได้? เงื่อนไขก็ไม่มีสักหน่อย หรือว่ามันจะใช้ยากกว่าที่คิดไว้…ไม่มั่ง ก็ขนาดสกิลมารริษยาที่เป็นสกิลที่ใช้ยากสุด และไร้พลังที่สุดในบรรดาสกิลมารทั้ง 7 เรายังใช้มันได้คล่องเลย’
ทีแรกที่เห็นความสามารถของสกิลมารราคะ ริกะถึงกับส่ายหน้า ถ้าต้องเที่ยวไปนอนกับคนอื่นเพื่อใช้พลัง เธอไม่ยอมเด็ดขาด แต่บางอย่างก็มีประโยชน์อย่างสัมผัสแห่งราคะ เพียงแค่แตะถูกตัวอีกฝ่ายก็สยบอีกฝ่ายได้อย่างไร้เงื่อนไขแล้ว ด้วยพลังระดับนี้และความหลากหลายของสกิล ทำให้สกิลมารราคะจัดอยู่ในระดับที่ 2 ของสกิลมารทั้งหมด ส่วนสกิลมารริษยาของเธออยู่ในระดับที่ 7 แต่ที่เธอไม่เข้าใจก็คือ ทำไมมัน
ถึงใช้ไม่ได้ ทุกคนที่เรียกใช้งาน ก็จะมีเสียงแจ้งเตือนในหัวว่า ไม่อนุญาตให้ใช้งาน
‘ถ้าใช้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไงเราก็จะเก็บสกิลมารราคะไว้ให้โรมะอยู่แล้ว ถ้าเป็นเขาจะต้องใช้มันได้อย่างยอดเยี่ยม และดึงประสิทธิภาพออกมาได้ถึงขีดสุดแน่ แต่จะเอาอย่างไงกับยัยถึกตรงนี้ดี สู้ไปมีแต่เสียเวลา…ถึงว่าทำไมโรมะเคยเตือนว่าสกิลของเราไม่เหมาะสู้กับพวกสายป้องกัน’
ขณะที่ริกะกำลังคิดหาวิธีสลัดเรโมริก้าให้หลุด จู่ๆ ก็เกิดลมพัดแรงขึ้นมา และมีเงาหนึ่งบินผ่านไป แต่พอเงยหน้าขึ้นไปดู ก็เห็นหอกพุ่งตรงลงมาที่หน้าอกแล้ว และปลายหอกไม่อาจเจาะผ่านเนื้อหนังของริกะไปได้
“แบบนี้เอง ไม่ใช่โจมตีไม่เข้า แต่โจมตีแล้วไม่เกิดค่าความเสียหายขึ้นเลย”
คนที่โจมตีใส่ดึงหอกกลับ และถอยออกไปยืนกับเรโมริก้า
“จู่ๆ ก็โจมตีมาเฉยเลย คุณเป็นใครกันแน่คะ”
ริกะถามอย่างไม่พอใจ
“เสียมารยาทแล้ว ข้าคือผู้กล้าวีรชนมีนานว่าอลิซาเบธ”
เรโมริก้าถึงไม่เคยคุยด้วยแต่ก็เคยเห็นอลิซาเบธมาแล้ว ในฐานะทาสเซ็กส์ของโรมะ เลยพอติต่างได้ว่าอยู่ข้างเดียวกัน
“ผู้กล้าวีรชน! แถมชื่อนี้…คนที่ปราบจอมมารคนก่อนได้!”
“นั้นมันเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะ…มีสกิลและวิธีใช้ที่น่าสนใจไม่เบาเลยนี่น่า”
ริกะหุบยิ้มลง การที่ถูกอีกฝ่ายไขความลับเรื่องสกิลได้ เป็นเรื่องที่ไม่ดีเอามากๆ
เหตุผลที่ไม่มีใครทำอันตรายริกะได้เลย เพราะสกิลผู้กล้าของเธอคือสกิล Never มันเป็นหนึ่งในสกิลสำคัญที่ทำให้พวกเธออยู่รอดในปราสาทจอมมารได้ เพราะเมื่อใส่สกิลนี้ลงไปในอาวุธหรือชุดเกราะ สิ่งของเหล่านั้นจะไม่มีวันถูกทำลายไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็ตาม ถึงจะใส่ได้เพียงแค่เป้าหมายเดียว แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์มาก
แต่ว่าโรมะกลับคิดหาวิธีใช้ที่พิเรนทร์กว่านั้นได้ ด้วยการฝั่งสกิล Never ใส่ค่าพลัง จากการทดลองทำให้รู้ว่าเมื่อฝั่งสกิลนี้ใส่ค่าพลังใดไปแล้ว จะยกเลิกไม่ได้อีก โรมะเลยให้ริกะฝั่งสกิล Never ใส่ค่า Hp ของตัวเอง ทำให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Hp ของริกะไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปอีกเลย ไม่ว่าจะถูกมอนสเตอร์เลเวลสูงแค่ไหนโจมตี หรือกระทั่งตอนที่ Lv up ค่า Hp ของเธอก็จะไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลงโดยเด็ดขาด นั้นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เธออยู่ยงคงกระพันและไม่มีทางแพ้ใครได้
ทว่าริกะก็ยังพึงระลึกถึงเสมอ ถึงคำเตือนของโรมะ
‘ไม่มีสกิลอะไรสมบูรณ์แบบ สกิล Never เองก็เหมือนกัน’
คำเตือนนี้เองที่ทำให้ริกะระวังตัวทุกครั้ง ที่มีคนระแคะระคายเรื่องสกิลของเธอขึ้นมา
ทางเรโมริก้าเองก็ได้จังหวะเข้ามากระซิบถามกับอลิซาเบธ
“ท่านมุเอมะไม่มาด้วยเหรอ”
“ยัยนั้นไม่มาหรอก จริงๆ ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี้ แต่เพราะยัยนั้นบังคับบอกว่าถ้าไม่ช่วยงานจะให้เจอโรมะอีกเลย ยังใช้ข้าตามรอยผู้ใช้สกิลมารที่มีการปะทะกันเมื่อเร็วๆ นี้ เพราะกลัวว่าพวกผู้ใช้สกิลมารจะดึงโรมะไปเกี่ยวด้วย จนตามมาถึงนี้แหละ”
“งั้นเธอคนนี้ก็เป็นผู้ใช้สกิลมาร!”
“ใช่ ผู้ใช้สกิลมารริษยา แถมเป็นฝ่ายตามล่าผู้ใช้สกิลมารคนอื่นด้วย แต่ก่อนมาถึง มุเอมะติดต่อ
มา บอกว่าตอนนี้เกิดเรื่องที่ปราสาท ทำให้เธอออกมาไม่ได้และฝากให้ข้าจัดการแทน”
“แย่จัง แล้วคิดว่าพอจะเอาชนะเด็กคนนี้ได้ไหม”
“…พอจะเดาผลของสกิลกับวิธีใช้ได้แล้ว แต่ยังหาวิธีแก้ไม่ได้ แต่เอาเถอะ ปกติข้าเองชอบลุยซึ่งๆ หน้ามากกว่า ไหวไม่ไหวสู้ดูก็รู้”
เรโมริก้าจ้องอลิซาเบธก่อนจะถอนหายใจออกมา เพราะอลิซาเบธก็เป็นพวกสมองกล้ามอีกคน ทั้งๆ ที่มีพรสวรรค์สูงแท้ๆ
“แปลกจังนะคะ ทำไมท่านผู้กล้าวีรชนถึงมาเป็นศัตรูกับฉันได้ล่ะเนี่ย”
ริกะเห็นอีกฝ่ายซุบซิบกัน เลยเข้าใจว่าน่าจะเป็นพวกเดียวกัน แต่หาจุดเชื่อมโยงไม่ได้
“เรื่องมันยาวน่ะ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ข้าติดผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ตั้งใจไว้ว่าจากนี้ไปหอกของข้าจะมีไว้เพื่อโจมตีศัตรูของเขาเท่านั้น”
“ที่แท้ก็เหยื่อของมารราคะ…เดี๋ยวนะ? ตอนนี้สกิลมารราคะอยู่กับฉัน ผลของมนต์เสน่ห์น่าจะหมดไปแล้ว! ทำไมพวกคุณถึงยังตกอยู่ใต้กามราคะอยู่อีก!”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไร ข้าก็ยังเป็นตัวของข้า เพียงแต่ข้าอยู่โดยขาดเขาไม่ได้มันก็เท่านั้น เตรียมรับมือ!”
ริกะหันไปมองทางเรโมริก้าซึ่งมีสีหน้าแบบเดียว เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่สูบสกิลมารราคะมาได้แล้ว แต่พวกสาวๆ ที่อยู่รอบตัวเป้าหมาย กลับไม่มีใครตีตัวห่างออกไปเลย ทุกคนยังพร้อมแลกชีวิตเพื่อปกป้องเขา
‘ร้ายกาจ! มันไม่ได้ใช้สกิลในการครอบงำ เจ้าตัวปลอมมันใช้วิธีอะไรกันแน่นะถึงได้ครอบครองหัวใจคนพวกนี้ได้’
ริกะมองดูพวกอลิซาเบธแล้วก็เข้าใจได้อย่างหนึ่ง ว่าทั้งสองคนนี้ยอมสู้จนตัวตายแน่ กับศัตรูแบบนี้ไม่คุ้มที่จะเอาตัวเข้าไปแลกด้วย
“…เข้าใจแล้วค่ะ เจอรุมแบบนี้ฉันขอยอมแพ้ดีกว่า”
ริกะยกสองมือขึ้นในท่ายอมจำนน แต่ทว่าพอทางฝ่ายอลิซาเบธกับเรโมริก้าหย่อนการระวังลง เธอก็กวักมือลงเพื่อส่งสัญญาณให้กระสุนนํ้าแข็งที่เหลือโจมตีต่อ เพราะถึงจะเอาชนะทั้งสองคนนี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องจัดการเจ้าโรมะตัวปลอมให้ได้
“แก!”
“คิกๆๆ ตะกี้พูดเล่นน่ะค่ะ”
ริกะบอกพร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้าเตรียมปล่อยสกิลออกมา
“ถ้าอยากลองดี เจ้าจะได้เจอดี Fall of Troll!”
เจอแบบนี้เข้าไป Multi skill จึงปิดตัวลงทันที ค่ามาน่าของริกะถึงกับกลายเป็น 0 ซึ่งส่งผล
กระทบกับร่างกายมากจนแทบทำให้เธอสิ้นสติ แต่ริกะแข็งใจยืนเก็บอาการเอาไว้
‘Fall of troll เหรอ…ไม่ไหวๆ ต่อให้เป็นสกิลของพวกเลเวล 500 ก็ยังสู้สกิลโกงของผู้กล้าไม่ได้อยู่ดี สมแล้วที่โรมะเคยบอก ว่าสกิลโกงของผู้กล้า เป็นสกิลที่ใช้ทำลายความสมดุลของโลกใบนี้โดยเฉพาะ แต่ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าสกิลนี้ใช้ทำอะไรได้’
ทุกครั้งที่ริกะนึกถึงสิ่งที่โรมะเคยบอก มันทำให้เธอเกิดความมั่นใจขึ้นมา
“แหมๆ เล่นกันแรงจัง แต่ว่าถึงฉันจะโดนหยุดสกิลทั้งหมดไว้แล้ว แต่พวกคุณก็เอาชนะฉันไม่ได้หรอกนะ”
“ใครจะสน! จะอมตะหรือโจมตีไม่ตาย ข้าก็ซัดให้ตกทะเลได้เหมือนกัน!”
“อู๊ น่ากลังจัง คราวนี้ขอหนีก่อนดีกว่า”
“ใครจะให้หนีได้เล่า!”
แล้วอลิซาเบธก็พุ่งตัวตามริกะที่ทำการหลบหนี แต่ก่อนจะออกห่างไปก็หันไปตะโกนบอกเรโมริก้า
“ยัยเด็กผีนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง เจ้ารีบไปดูโรมะที”
เรโมริก้าเองก็ตั้งใจไว้แบบนั้นเหมือนกัน เลยรีบพุ่งตัวแยกออกไปทันที แต่มีเพียงริกะเท่านั้นที่ยิ้มออก เพราะการโจมตีสุดท้ายของเธอได้บรรลุเป้าหมายไปแล้ว
………………….
“เอ๋! ระบบกิลเหรอ!”
ได้ฟังว่าพวกปีเตอร์หาผมเจอได้อย่างไงก็อดอึ่งไม่ได้ เพราะในระบบกิลจะมีสิ่งที่เรียกว่า การแจ้งเตือนภัยด้วย ซึ่งมันจะทำงานต่อเมื่อกิลเข้าสู่สภาวะสู้รบ ระบบนี้จะทำให้สมาชิกในกิลเท่านั้นที่จะรู้ตำแหน่งของกันและกันได้ จริงๆ ยังมีระบบอีกมากมายที่จะทำงานเองเมื่อเข้าสู่การแจ้งเตือนภัย แต่ผมไม่ได้ตั้งเปิดหรือเพิ่มมันเข้ามาในระบบกิล ไว้หลังจากนี้ผมคงต้องศึกษาระบบกิลอย่างละเอียดแล้ว เพราะดูจะมีประโยชน์มากกว่าที่คิดไว้ซะอีก
แต่ที่พวกปีเตอร์มาได้ไวแบบนี้ เพราะได้ข่าวเรื่องกิลต่างๆ หมายหัวผมไว้จากพวกนักผจญภัยที่เจอในตอนเก็บเลเวลอยู่ พวกเขาเลยรีบกลับออกมาทันที
“แต่แบบนี้ก็ลากพวกนายเข้ามาซวยด้วยเลย”
“พูดอะไรแบบนั้นหัวหน้า ก่อนเข้ากิลใช่ว่าพวกเราจะไม่รู้สักหน่อย ว่าหัวหน้าไปก่อวีรกรรมวีรเวรอะไรเอาไว้บ้าง”
“ใช่ๆ เข้ามาเพราะรู้นั้นแหละ”
“ฮ่าๆๆ เข้ามาไม่ทันไรก็ได้เจอเรื่องสนุกๆ แล้ว ไม่ผิดหวังจริงๆ”
เจ้าเด็กพวกนี้ไม่กลัวนํ้าร้อนกันเลยจริงๆ อย่างว่าแหละ ขนาดกล้าออกไปชนวัวนอกเมืองทั้งๆ ที่เลเวลน้อย ความกล้าบ้าบิ่นคงต้องยกให้พวกนี้เลย
“ขอบใจนะทุกคน นายเองก็ด้วย ขอบใจนะปีเตอร์”
ถ้าไม่ได้พวกเขาผมคงไม่รอดแล้ว ขอบคุณแค่นี้ยังน้อยไป ปีเตอร์หันไปทางอื่นแล้วเกาแก้มเบาๆ
“…ถือว่าตอบแทนเรื่องดาบ”
ระหว่างที่ตั้งหน้าตั้งตาหนีกัน ผมก็หันไปดูเอสเตอร์ ที่ผมให้ดื่มยาฟื้นมาน่าขวดสุดท้ายไป
“เอสเตอร์พอไหวไหม”
“ยังได้อยู่ค่ะ ขอโทษนะคะฉันเป็นตัวถ่วงจริงๆ”
“ไม่มีใครถ่วงใครทั้งนั้น พวกเราต้องช่วยกันเพื่อรอดออกไปให้ได้”
“ฟังดูดีนะ แต่จะทำได้เหรอ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนพูดแทรกผมขึ้นมา พอหันไปมองก็มีเงาคนโผล่ออกมาขวางทางไว้ซะแล้ว ผมรู้ทันทีว่าเป็นซารี แต่พอเห็นตัวมอเรียก็จับอาวุธเตรียมพุ่งออกไปใส่ด้วยความโกรธ แต่ผมรีบห้ามไว้ เพราะอย่างซา
รีไม่ได้มาคนเดียวแน่ และก็อย่างที่คิด รอบตัวพวกผมมีนักผจญภัยร่วม 50 คนล้อมอยู่ห่างๆ
“…ทำไมตามมาเร็วจัง”
“ด้วยวิธีเดียวกับที่เจ้าพวกนี้ตามมาช่วยนายได้ทันนั้นแหละ กิลนักผจญภัยสามารถตรวจดูสัญญาณที่กิลอื่นส่งออกมาได้ เลยใช้มันมาดักหน้าพวกนาย”
“ที่ให้ตั้งกิลเพื่อจะได้ตรวจสอบได้ง่ายขึ้นนี้เอง”
เมยอาพึมพำออกมาอย่างไม่พอใจ เพราะเธอเป็นคนสนับสนุนในเรื่องนี้ เลยรู้สึกโกรธมากกว่าทุกคน
“จะบอกอีกครั้งนะ ยอมแพ้ซะ พวกนายไม่มีทางรอดแล้ว”
“…”
“ท่านโรมะ”
ทุกคนหันมามองผมที่ยังไม่ได้ตอบคำถาม สายตาของทุกคนยังพร้อมที่จะสู้อยู่
“ทุกคนขอโทษด้วยนะ”
ผมกล่าวขอโทษออกไป ทำให้พากันหน้าเสียกันหมด เพราะนึกว่าผมจะยอมแพ้
“ท่านโรมะอย่าพึ่งยอมแพ้สิคะ พวกเราจะสู้ตายเพื่อพาท่านโรมะหนีออกไปเอง”
“เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้จะยอมแพ้ เพียงแต่วิธีต่อไปนี้ มันอาจจะลำบากพวกเธอหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ! ต่อให้บุกนํ้าลุกไฟพวกเราก็จะสู้เพื่อนายท่าน!”
“ดี งั้นผมขอเปิดไพ่ใบสุดท้ายเลยล่ะกัน Dawn of love!”
สกิลของผมตอนนี้เหลือแค่สองอย่าง หนึ่งคือพ่อบ้านสมบูรณ์แบบ และอีกหนึ่งก็คือ Dawn of love ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมเจ้าตัวขโมยสกิล ถึงเหลือสองสกิลนี้เอาไว้
ผมเลือกใส่สกิลนี้ให้กับฟรานและมอเรียแค่สองคน เพราะสกิลนี้หลังใช้ไปแล้วจะมีผลข้างเคียง เลยใส่ให้กับคนที่ดูยังแข็งแรงดีและมีค่าความรักกับผมสูงที่สุด
ผลของ Dawn of love รุนแรงขึ้นกว่าที่ผมคาดเอาไว้ เพราะมันกลายเป็น Lv 3 แล้ว แถมค่าความรักของพวกฟรานที่มีให้กับผมก็มากขึ้นทุกวัน จนแม้แต่ซารีที่เห็นค่าพลังของพวกเธอตอนนี้ไปถึงกับหงายหลังล้มก้นกระแทกพื้น
ผิวหนังของมอเรียตอนนี้ถูกอาบไปด้วยออร่าพลัง ผมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ยังเจ็บไปตามตัวเพราะโดนคลื่นพลังที่แผ่ออกมากระแทกใส่ ส่วนของฟรานหนักยิ่งกว่า เพราะเลือดของเธอไหลออกมาตามผิวหลังและดวงตา ตอนแรกผมนึกว่าร่างของเธอรับพลังไม่ไหว แต่จริงๆ แล้วนี้คือสภาพที่ดีที่สุดของแวมไพร์ ด้วยการซึมซับพลังและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเลือด ซึ่งถ้ามีมากจนเกินพอ แวมไพร์จะขับมันออกมาแบบนี้เพื่อใช้แทนอาวุธสังหาร เลือด
ที่ไหลออกมาไม่ได้หายไปไหน แต่ลอยออกมารวมกันรอบตัวเธอ
จี้ปลุกสกิลเผ่าที่ผมเคยให้ฟรานไปตอนนี้มันแตกแล้ว เหมือนว่าการปลุกพลังของ Dawn of love จะทำให้ฟรานได้สกิลใหม่มาด้วย
ฟรานเองก็คงอยากทดลองสกิลใหม่ จึงใช้มันออกมาทันที
“รัตติกาลของราชินีแวมไพร์!”
พริบตานนั้น ร่างของฟรานก็ถูกก้อนเลือดห่อหุ้มเอาไว้ ก่อนที่มันจะหายไป และปรากฏร่างของหญิงสาวที่งดงาม ดูราวกับฟรานโตขึ้นจนเป็นสาวเต็มตัวแล้ว
“ราชินีแวมไพร์! ทุกคนอย่ามองเธอ!”
ซารีพยายามตะโกนเตือนแล้ว แต่ไม่ทัน มีบางคนที่เผลอจ้องมองฟรานไป เท่านั้นสติทุกคนก็หลุดออกจากร่าง พากันถอดเสื้อผ้าและเริ่มมีเช็กส์กัน โดยไม่สนว่าจะเป็นผู้ชายผู้หญิงกระทั่งต้นไม้ก็ไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วย
“หัวหน้าซารีนี้มัน!”
“มหาอำนาจแห่งเพลิงพิศวาส เอกลักษณ์ประจำตัวของราชินีแวมไพร์ ใครที่ได้จ้องมองเธอจะถูกดึงเอาความต้องการทางเพศทั้งหมดออกมา จนถึงขั้นเห็นภาพหลอนและคุมสติไม่ได้ เป็นการสะกดจิตขั้นสูงที่ไม่มีทางแก้ได้เลย แต่เธอไม่ใช่ราชินีแวมไพร์ตัวจริง เป็นเพียงแค่ใช้สกิลเพื่อยืมพลังมา คงอยู่ได้ไม่นานนักหรอก!”
อย่างที่ซารีว่าไว้ ฟรานอยู่ในร่างนั้นได้ไม่ถึงนาทีก็ต้องกลับร่างเดิมแล้ว แต่ผลของสกิลยังคงอยู่ ทำให้มีกว่าสิบคนที่ติดอาการโดนภาพหลอนปลุกเซ็กส์ แต่ว่าพวกที่ตายไปตอนหันหน้าหลบเยอะกว่าอีก เพราะมอเรียใช้จังหวะนั้นใช้สกิลของเธอตัดหัวพวกมันจนกุดไปหลายศพเลย พลังของเธอแม้แต่พวกเลเวลเกินร้อยก็ยังตายในครั้งเดียว
พวกผมเองก็เริ่มโจมตีด้วยเหมือนกัน เพราะผลของสกิล Dawn of love มีจำกัดต้องชิงความได้เปรียบในตอนนี้เท่านั้น
แต่ระหว่างที่การต่อสู้กำลังถึงจุดแตกหัก จู่เอสเตอร์ก็ตะโกนขึ้นมา
“ท่านโรมะอันตราย!”
เธอพุ่งตัวเข้ามาจะผลักผม จนกระสุนถากหลังเธอไปเป็นแผลกว้างคว้านลึกถึงกระดูกสันหลัง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรงแบบนี้ ถึงจะไม่ตายในทันที แต่เอสเตอร์คงเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว ผมโกรธจนแทบเสียสติ แต่ก่อนจะพุ่งตัวออกไป เดเม่ก็กระโดดเข้ามาขวางพร้อมกับปาอาวุธลับออกไป เพราะการระดมยิงยังไม่จบ
แต่หลังจากเปลี่ยนทิศทางกระสุนนัดแรกได้ เดเม่ก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เพราะมันมีอีกนัดซ้อนมาด้านหลังจนทำให้มองไม่เห็น เธอเห็นทิศทางอย่างชัดเจน ถ้าจะหลบก็หลบได้ แต่เธอไม่หลบกลับเอาตัวบังกระสุนแทนผม แต่ความรุนแรงของมันเจาะทะลุอกของเดเม่ก่อนจะตรงเข้ามาทะลุผ่านร่างผมไปด้วย
สติผมดับวูบลงตรงนั้น รู้ตัวเลยว่าตัวเองเสียชีวิตแล้ว การโจมตีนี้เข้ากลางหัวใจผมเลย มันเกิดขึ้นเร็วมาก จนผมไม่ทันรู้สึกเสียใจเลย
“ท่านโรมะ!!!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นระงม การต่อสู้ถูกหยุดลงกะทันหัน พวกฟรานต่างพุ่งเข้ามาหาร่างของโรมะโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แม้แต่ซารีที่เห็นโรมะถูกรอบโจมตีจนเสียชีวิตยังถึงกับทรุดหมดแรงลงไปกับพื้น ในใจเธอเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญหลุดหายไปด้วย
เสียงร้องไห้ของพวกเธอดังจนไม่ได้ยินเสียงอะไรอื่นอีก ท่ามกลางความโศกเศร้า เดเม่ที่ล้มตัวอยู่ข้างเอสเตอร์หยิบเอาขวดยาชุบชีวิตขวดสุดท้ายขึ้นมา เธอหันไปสบตากับเอสเตอร์ พร้อมกับพยักหน้าให้กันและประสานมือที่ขวดยา พวกเธอยื่นมันออกไป
“ยังทัน ให้นายท่าน”
พวกเธอไม่รู้หรอกว่าใครที่รับขวดยาไป เพราะหลังจากพูดจบทั้งสองก็สิ้นชีวิตลงพร้อมกัน
ผมฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงร้องไห้ แต่นอกจากมอเรียที่จับตัวผมหนุนตักเธออยู่ ทุกคนต่างพากันล้อมวงกันและพากันร้องไห้ไม่หยุด ผมมองลอดเข้าไปเห็นร่างของเอสเตอร์กับเดเม่ นอนสงบอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่ยังคงมีรอยยิ้มอยู่
หัวใจผมแตกสลายและถูกบางสิ่งมาแทนที่ บางสิ่งที่ดำมืดและน่าขยะแขยง ผมลุกขึ้นยืนและมองเข้าไปในป่า ผมไม่รู้ด้วยซํ้าว่าใครที่เป็นคนลงมือ ความแค้นของผมล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทาง สายตาของผมจ้องไปทางพวกซารีและนักผจยภัย
ความแค้นครอบงำผมโดยสมบูรณ์ ผมไม่แคร์ว่าพวกมันจะเกี่ยวข้องด้วยอย่างไงหรือไม่ แต่ตอนนี้ผมอยากจะเอาความแค้นไปลงกับใครสักคน
ผมหยิบดาบที่ตกอยู่ขึ้นมา และก้าวเข้าไปหานักผจญภัยที่อยู่ใกล้ที่สุด ดาบผมยกขึ้นแสดงเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน ทว่าก่อนที่จะได้ระเบิดความคลั่งออกไป ก็มีสิ่งหนึ่งผ่านเข้ามาตรงหน้า และตบหน้าผมอย่างแรงจนผมกระเด็นกลับไปหามอเรีย
ผมรีบหันกลับไปมองด้วยความโกรธ จนเห็นคนที่ตบผม แต่มันทำให้ผมตกใจแทนเพราะคนนั้นกลับเป็นเจ้าหญิงโช
“ที่รักสงบสติอารมณ์ก่อน ทุกอย่างมันจบแล้ว”
“จบ…มันจบได้อย่างไง! เดเม่กับเอสเตอร์ตายไปแล้ว! ฉันจะทำลายมัน! ไม่ใช่แค่เมืองนี้ ฉันจะเผาโลกใบนี้ให้เป็นจุล!”
ทุกคนไม่เคยเห็นผมระเบิดด้านมืดในตัวเองออกมาแบบนี้ นํ้าเสียงของผมราวกับเป็นอีกคนที่พวกเธอไม่รู้จัก แต่เจ้าหญิงโชกลับยิ้มออกมาเมื่อได้ยินที่ผมตะคอก
“ถ้านั้นเป็นสิ่งที่สวามีข้าต้องการ ข้าก็จะช่วยเต็มกำลัง แต่ว่าโปรดรอสักครู่ ก่อนพวกเราจะไปทำลายโลกนี้กัน ข้าขอปลุกเหล่าพี่น้องของพวกเราก่อน”
เจ้าหญิงโชบอกพร้อมกับเดินผ่านตัวผมไป จนไปหยุดยืนอยู่เหนือร่างไร้วิญญาณของพวกเดเม่ เธอแหวกชุดคลุมออกพร้อมกับปัสสาวะราดใส่ทั้งสองร่าง
ทุกคนได้แต่อ้าปากค้างเพราะคาดไม่ถึงกับการกระทำอันแสนวิกลจริตของเธอ
“ช้าก่อน อย่าพึ่งแหกปากตำหนิข้า”
เจ้าหญิงโชยกมือขึ้นห้ามทุกคน ขณะก้มลงไปใช้มือตบหน้าทั้งเดเม่และเอสเตอร์เบาๆ จากนั้นไม่กี่วินาทีต่อหน้า ทั้งคู่ก็กระพริบตาตื่นขึ้นมาโดยที่ร่างกายไร้ซึ่งบาดแผลใดๆ
“ด ได้ไง!”
ทุกคนตะลึงอ้าปากค้าง ดีใจจนแทบบ้า แต่ไม่มีใครกล้าวิ่งเข้าไปกอดสองคนนั้นไว้ เพราะทั้งตัวยังเต็มไปด้วยฉี่ของเจ้าหญิงโช
“อ้าว ยังไม่รู้กันเหรอ? ยาชุบชีวิตที่ใช้กันอยู่ ทำมาจากปัสสาวะของข้าเอง แต่ปกติมันแรงไปเลยต้องเอาไปผสมนํ้าก่อน”
พอเจ้าหญิงโชพูดจบราก้าก็อ้วกพุ่งทันที เพราะเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ลิ่มชิมรสฉี่เจ้าหญิงโชไป
“ที่รัก ข้าให้สัญญา ถ้าเมื่อไรท่านอยากทำลายโลกใบนี้ จงกล่าวมา เพียงแค่ชั่วอรุณรุ่ง ข้าจะทำให้มันจมอยู่ใต้มหาสมุทรไปนับพันปี แต่ตอนนี้ยังหาใช่เวลานั้น ท่านว่าจริงหรือไม่”
“…ผมขาดสติไปเพราะความโกรธ ขอบคุณที่ช่วยเตือนสตินะ”
ผมเข้าไปกอดเจ้าหญิงโช ก่อนจะดึงพวกเดเม่มากอดด้วยเหมือนกัน
“…เฮ้ย แค่ฉี่ใส่ก็ชุบชีวิตได้แล้ว! นั้นมันตัวอะไรว่ะ!”
“เขาแบบนั้น เผ่ามังกรวารีเหรอ!”
“เผ่ามังกรมาทำอะไรแถวนี้! แล้วพวกมันเกี่ยวข้องกันอย่างไงกัน ทำไมมีเรียกกันว่าที่รักด้วย!”
ซารีเห็นสถานการณ์เริ่มสับสน เลยต้องรีบเข้ามาจัดการ
“ท่านมังกร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน โปรดหลีกทางให้พวกเราจับคนร้ายด้วย”
“คนร้ายที่ท่านว่านะ หมายถึงสวามีข้าใช่ไหม”
เจ้าหญิงโชดึงตัวผมไปโอบไหล่ไว้ เล่นเอาซารีหน้าซีดไปเลย เพราะเธอไม่รู้มาก่อนว่าผมจะหื่นขนาดไปอึบมังกรเพื่อเอามาเป็นพวกด้วย
“ถึงท่านจะออกตัวปกป้องเขา แต่นี้กลายเป็นภารกิจของกิลไปแล้ว ท่านอยากให้เรื่องมันลุกลามไปเป็นสงครามหรืออย่างไง”
“หา!? คิดดีแล้วเหรอจะทำสงครามกับข้าน่ะ”
“จริงอยู่ที่เผ่ามังกรแข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษย์ แต่ก็ไม่เป็นหนึ่งเดียว แม้ท่านจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ท่านไม่อาจสู้กับพวกเราทั้งหมดได้หรอก”
“ข้าเห็นเจ้าต้อนที่รักของข้าจนมุมได้ นึกว่าจะมีสติปัญหาเหนือโลก ที่แท้ก็โง่เง่ายิ่งกว่ากบในกะลา เช่นนั้นข้าจะบอกให้พวกเจ้าได้ฟัง จงฟังนามข้าให้ดี ข้า
คือผู้มีสายเลือดมังกรราชัน เจ้าหญิงมังกรสมุทร โช ซุยริว พวกเจ้ารู้หรือยังว่าข้าคือใคร!”
เจ้าหญิงโชแยกเขี้ยวประกาศด้วยเสียงที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน พร้อมกับคืนร่างเป็นมังกร ตัวเธอใหญ่โตจนทะลุก้อนเมฆ เพียงแค่ขยับปลายหางเบาๆ เมืองกรอซ่าก็คงหายไปในพริบตา
“เจ้าบอกว่าเผ่ามังกรไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันงั้นเหรอ เข้าใจอะไรผิดแล้วเจ้าพวกมนุษย์ การที่ไม่ร่วมกลุ่มกันหาใช่จะไร้ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียว เพียงข้าเรียกหนึ่งคำ เผ่ามังกรในครึ่งโลกทางเหนือจะมารวมกันทีนี้ในหนึ่งชั่วโมง และยิ่งในตอนนี้ข้ากำลังตั้งท้องสายเลือดมังกรราชันตัวใหม่ จะไม่ใช่แค่เผ่ามังกรครึ่งซีกโลกที่จะมา แต่มังกรทุกตัวบนโลกนี้จะแห่กันมาเพื่อ
ปกป้องเด็กในท้องข้า พวกเจ้าพร้อมจะรับสงครามกับเผ่ามังกรแล้วเหรอมนุษย์”
พอพูดจบเจ้าหญิงโชก็คือร่างกลับมาเป็นมนุษย์ และยิ้มให้กับซารีที่นั่งตัวสั่นอยู่บนพื้นตั้งแต่ได้ยินชื่อของเจ้าหญิงโชแล้ว
ซารีเป็นหัวหน้ากิลนักผจญภัย ย่อมต้องมีข้อมูลและความรู้กว้างขวาง รวมถึงข้อมูลเรื่องมังกรราชันด้วย มันเป็นยิ่งกว่านิทานก่อนนอน หรือเรื่องเล่าที่แกล้งขู่ให้กลัวเล่นๆ แถมมังกรที่ตัวใหญ่ขนาดเจ้าหญิงโช เธอก็ไม่เคยเห็นมาก่อน นี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะรับมือได้เลย
แต่เอาจริงๆ เจ้าหญิงโชก็ไม่อยากจะให้เผ่ามังกรสู้กับมนุษย์เหมือนกัน เพราะมนุษย์แพร่พันธุ์เร็วมาก สามารถผสมพันธุ์ได้ทุกที่ทุกเวลา ต่างจากมังกรที่มีแต่มังกรแก่ๆ และปราศจากมังกรรุ่นใหม่ เพราะงั้นต่อให้
ฆ่ามนุษย์ไปสักสิบล้านคน ก็มีค่าไม่เท่ากับการต้องเสียมังกรไปหนึ่งตัวเลย
ทว่าถึงคำขู่ของเจ้าหญิงโชจะใช้ได้ผล แต่ซารีก็ยังมีเรื่องให้ใช้อ้างได้อยู่
“แต่เจ้าหญิงโช คนรักของท่านเป็นเผ่าปีศาจนะ”
“ฮ่าๆๆ”
พอได้ยินเจ้าหญิงโชก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“แล้วอย่างไง! เจ้าไม่ต้องมาบอกข้าหรอก ข้าอุ้มท้องลูกของเขาอยู่นะ ทำไมข้าจะไม่รู้ล่ะว่าเขาเป็นเผ่าปีศาจ และจงอย่ามาดูแคลนความรักของเผ่ามังกรที่มีให้กับคู่ครองตัวเอง เจ้าเป็นนักผจญภัยคงรู้ข้อปฏิบัติดี
ใช่ไหม ถ้าเจอมังกรเป็นคู่ จะต้องฆ่าทั้งสองตัว ถ้าเกิดปล่อยตัวหนึ่งตัวใดหลุดรอดไปได้ มังกรตัวนั้นจะตามจองล้างจองพล่านศัตรูของมันจนกว่าชีพจะหาไม่ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เขาเป็นเผ่าอะไรข้าก็ยังรักเขาเช่นเดิม”
“นี้รู้แล้วเหรอ!?”
ผมหันไปมองอย่างประหลาดใจ ขณะที่เจ้าหญิงโชที่หันมาขยิบตาให้
“ถ้าใช้กำลังมาข่มขู่กันแบบนี้ พวกเราจะทำอะไรได้”
ซารีถึงจะยอมถอยแต่ก็มีพูดประชดใส่ เจ้าหญิงโชคิ้วกระตุก ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เด็กน่อเด็ก ไม่พอใจก็งอแงซะแล้ว นี้ข้ายังไม่ได้ชำระบัญชีที่ทำให้ที่รักและพี่น้องขอข้าบาดเจ็บเลย
นะ แล้วไหนข้อหาที่เจ้ากล่าวหาที่รักข้าก็ล้วนแต่ไร้เหตุผล ถึงเขาจะเป็นเผ่าปีศาจ แต่ก็ทำแต่เรื่องดีๆ มีคนตั้งมากมายที่ถูกช่วยเหลือด้วยมือของเขา พวกเจ้าที่ขว้างขี้ใส่ที่รักข้า ล้วนแต่เป็นคนสารเลวที่เสียผลประโยชน์ แม้สมมุติว่าข้าไม่ได้เป็นคู่รักกัน ข้าก็ยังจะเข้าข้างและช่วยเหลือชายคนนี้อยู่ดี แต่เอาเถอะข้าเป็นผู้ใหญ่ จะใช้กำลังมารังแกเด็กคงไม่สมควรจริงๆ งั้นข้าจะเล่นตามกฎของมนุษย์ก็ได้ อาเดล ถ้าพักหายเหนื่อยแล้วก็ออกมาสักทีสิ ข้าเบื่อจะคุยกับมนุษย์พวกนี้แล้ว”
พอเจ้าหญิงโชเรียก อาเดไลท์ที่ยืนหอบอยู่ก็ก้าวมาแบบโซเซ เพราะวิ่งมาสุดแรงจนขาหมดแรงแล้ว
“โธ่ ทำไมโชถึงไม่ยอมแบกฉันมาด้วยล่ะ!”
“อาเดลตัวหนัก”
“ไม่จริงสักหน่อย!”
อาเดไลท์ตั้งใจจะเถียงต่อ แต่เห็นว่าบรรยากาศกำลังตึงเครียด เลยรีบเข้าเรื่องทันที เธอเดินมาหาซารี และพูดด้วยนํ้าเสียงที่ฟังดูมีบารมีออกมา
“หัวหน้าซารี กรุณาพาคนของคุณถอยไปซะ ภารกิจล่าตัวโรมะ ถูกยกเลิกแล้ว”
“ภารกิจยังไม่เสร็จจะยกเลิกได้อย่างไง”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็ในเมื่อผู้ว่าจ้างเควสได้ทำการถอนคำร้องไปแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้!”
“ถ้าเช่นนั้น ก็ดูเองเถอะ”
แล้วอาเดไลท์ก็หยิงเอาม้วนกระดาษออกมาหลายใบ ส่งให้ซารีอ่านทีละใบ ในแต่ละใบยิ่งทำ
ให้ซารีราวกับจะร้องไห้ออกมา เพราะทุกใบลงชื่อหัวหน้ากิลแต่ละกิลเอาไว้เพื่อยืนยันในการยกเลิกเควส
“เธอใช้เล่ห์กลอะไรถึงทำให้ทุกคนยอมได้!”
“ไหนๆ แล้วขอเล่าตั้งแต่ต้นเลยล่ะกัน โรมะจะได้เข้าใจด้วย”
อาเดไลท์ยิ้มอย่างภูมิใจมาทางผม ไม่ค่อยเข้าใจความหมายแฮะ?
เรื่องนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แถมยังมาจากคนที่ไม่น่าเชื่อ อย่างเอร่าซะอีก เพราะมีสาวกลัทธิเทพซึ่งบูชาเอร่าอยู่คนในสภาใต้ดินด้วย เลยเอาข่าวเรื่องนี้มาบอกต่อเอร่า หลังจากนั้นเอร่าก็เอาเรื่องนี้มาปรึกษากับอาเดไลท์ ซึ่งเธอกำลังเห็นผมยุ่งๆ อยู่ เลยคิดจะจัดการปัญหานี้กันเอง
พอรุ่งเช้าเลยพากันลากเจ้าหญิงโชเข้าเมืองไป จากนั้นก็ใช้อำนาจเงินของเจ้าหญิงโชจัดการอะไรนิดหน่อย อย่างเช่น ซื้อกิจการของกิลต่างๆ เอาไว้ กับซื้อวัตถุดิบทั้งหมดที่มีในเมืองมาจนไม่มีเหลือ ซํ้าใช้เงินฟาดหัวพ่อค้าให้เปลี่ยนเส้นทางขนส่งสินค้า และอื่นๆ อีกหลายอย่าง จนพวกหัวหน้ากิลต่างๆ ต้องพากันมากราบตีนอาเดไลท์เพื่อเปิดช่องให้พวกมันได้หายใจกันได้ ไม่งั้นไม่พ้นหนึ่งอาทิตย์พวกมันได้ยุบตัวกันหมดแน่
“แล้วก็พวกนั้นฝากมาบอกด้วยนะ ว่าจากนี้ไปจะขอตัดสิทธิ์การค้าต่างๆ ออกจากกิลนักผจญภัย รวมถึงยกเลิกการป้อนเควสต่างๆ ให้ด้วย”
“ม ไม่จริง!”
ซารีกำหมัดแน่น เพราะตอนนี้มันเหมือนกับกิลต่างๆ ถูกอาเดไลท์กดดันอยู่ ทำให้พากันคํ้าบาทและ
โยนความผิดมาที่เธอ เพื่อเอาใจทางอาเดไลท์ และถ้าเป็นแบบนี้กิลนักผจญภัยจะประสบปัญหาระยะยาว ถึงจะมีเงินสำรองจากสาขาอื่นมาช่วย แต่ตราบใดที่กิลในเมืองไม่ให้ความร่วมมือก็ยากที่จะอยู่รอดได้
อาเดไลท์ฉีกยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ขณะที่เดินมาหาซารี เธอบรรจงวางมือลงบนไหล่และกระซิบที่ข้างหู
“เป็นไงบ้างล่ะ รสชาติของการที่ถูกหักหลังซะเอง นี้สำหรับที่เธอทำไว้กับโรมะ”
พอบอกเสร็จอาเดไลท์ก็ถอยกลับมายืนที่เดิมพร้อมกับรอยยิ้มเฉิดฉาย ซารีกัดฟันแน่จนฟันแทบแตก และเค้นเสียงพูดออกมา
“อย่าคิดว่ามันจะจบแค่นี้นะ อย่างไงเรื่องที่โรมะเป็นเผ่าปีศาจก็ไม่เปลี่ยน ถึงพวกเธอจะเอาชนะกิล
ได้ แต่เจ้าเมืองและเหล่าทหารในเมืองกรอซ่าจะไม่ปล่อยไปแน่”
“อ่า สำหรับเรื่องนั้น”
อาเดไลท์หัวเราะคึกคัก ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมและยื่นม้วนกระดาษอีกอันให้ ผมแกะมันดูอย่างสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี และพอกวาดตาอ่านดูก็แทบเป็นลมไปเลย คนอื่นๆ ก็พากันมามุ่งดู ซึ่งพอเห็นก็ต่างทำหน้าปั้นยากกันหมด
“เอานี้ ตัวสำเนาจะเก็บไว้ก็ได้นะ”
อาเดไลท์โยนม้วนสำเนาที่มีข้อความแบบเดียวกันไปให้ซารี ซึ่งพอเธอแกะอ่านเสร็จ ก็ทำเหมือนกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว
“น หนังสือแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่!”
ทุกคนตะโกนออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ปะ เป็นไปไม่ได้!”
ซารียังไม่อยากจะยอมรับว่ามันเป็นของจริง
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ ตามกฎหมายราชวังฉบับที่ 2 ระบุไว้ว่า ตำแหน่งเจ้าเมืองสามารถเปลี่ยนมือได้โดยไม่ต้องรอการอนุญาตจากราชา ด้วยการลงนามมอบอำนาจจากเจ้าเมืองคนเก่า โดยที่เจ้าเมืองคนใหม่จะต้องถือสิทธิ์ในที่ดินของเมืองเกินกว่าครึ่งหนึ่ง”
อาเดไลท์เคยอยู่ในวังและได้เล่าเรียนมาก่อน ถ้าเป็นเรื่องกฎหมายไม่มีใครเถียงชนะเธอได้แน่ส่วนที่เจ้าเมืองคนเก่ายอมลงชื่อมอบอำนาจให้ เพราะเขารู้ว่าอาเดไลท์คือใคร ถึงเธอจะไม่มีสิทธิที่จะสืบทอดบัลลังก์ได้ แต่พอเห็นอำนาจเงินที่อาเดไลท์มี ซึ่งสามารถซื้อเมืองทั้งเมืองได้ ถ้าเขาไม่ตกลงก็คงโดนเธอบี้กดดัน
จนอยู่ไม่ได้อยู่ดี เขาเลยยอมและรับเงินไปใช้ชีวิตหลังเกษียณแบบสบายๆ
“และตอนนี้ที่ดิน 70% ของเมืองรวมถึงที่ดินของกิลนักผจญภัยเป็นของโรมะแล้ว ยังไม่รีบคุกเข่าให้เจ้าเมืองคนใหม่อีกเหรอ!”
พอได้ยินที่อาเดไลท์ตะโกนทุกคนก็พากันคุกเข่าลงกันหมด
“โรมะ..ท่านเจ้าเมือง ตอนนี้ท่านมีอำนาจสั่งตัดหัวเจ้าคนพวกนี้ได้ด้วยนะ จะจัดการเลยไหม”
ผมรู้ว่าอาเดไลท์แกล้งพูดเล่น แต่พวกกิลนักผจญภัยพากันขนคอตั้งกันเลย
“นี้เอาจริงเหรออาเดไลท์”
ผมไม่อยากจะเชื่อ ถึงขั้นซื้อเมืองทั้งเมืองเลยเนี่ยนะ
“ฉันก็ทำตามที่โรมะสอนนั้นแหละ”
“ผมไปสอนให้เธอซื้อเมืองเพื่อแก้ปัญหาตอนไหนกัน”
“อ้าว ก็โรมะเคยบอกไม่ใช่เหรอ ว่าเงินคือพระเจ้า และปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยเงิน หรือก็คือ พระเจ้าแก้ได้ทุกปัญหาใช่ไหมล่ะ”
“…ขอโทษนะอาเดไลท์ แต่คำพูดบางอย่างของผมน่ะช่วยลืมๆ มันไปทีเถอะ!”
“เอ๋? ทำไมล่ะ มันใช้ได้ผลดีจะตายไป เป็นอย่างที่โรมะบอกไว้ทุกอย่างเลยนะเนี่ย”
ผมอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้วสิ นี้ผมสอนให้อาเดไลท์กลายเป็นคนใช้เงินแก้ปัญหาไปแล้วเหรอเนี่ย
“เจ้าหญิงโชหมดเงินไปเท่าไรครับเนี่ย”
“ไม่เท่าไรหรอก ก็แค่เศษเงินในกระเป๋าเสื้อเอง”
แค่เศษเงินในกระเป๋า…
ผมเองตอนนี้ไม่สะดวกใจจะคุยกับซารี เลยให้อาเดไลท์จัดการให้ ด้วยการเจรจาสงบศึกกับกิลนักผจญภัย เพราะเมืองกรอซ่ายังพอต้องพึ่งกิลนักผจญภัย ผมเลยไม่อยากจะแตกหักกับพวกซารีในตอนนี้ ส่วนหลังจากนี้ความสัมพันธ์จะเป็นในรูปแบบไหน ค่อยมาคิดกันอีกที โดยที่ต้องไม่ลืมว่า กรอซ่าคือเมืองนักผจญภัย รากฐานและกฎของเมืองนี้อยู่ในมือนักผจญภัย ผม
อาจจะเล่นงานซารีได้ แต่ผมไม่อาจขุดรากถอนโคนศัตรูออกไปให้หมดได้ ตอนนี้ผมเลยถือคติ
เป็นมิตรกับหัวหน้าโจร ดีกว่าฆ่าหัวหน้าโจร แล้วต้องมานั่งระวังโดนลูกน้องโจรปล้น
แต่ตอนนี้มีหลายเรื่อง ผมไม่รู้จะจัดการเรื่องไหนก่อนดีเลย แต่จังหวะนั้นเองเรโมริก้าก็กลับมาถึงพอดี
“ฆ่ามันได้ไหม”
ผมรีบหันไปถามทันที เพราะคนเดียวที่ผมอยากจะฆ่าในเวลานี้ ก็คือเจ้าคนที่ยิงกระสุนจนทำให้มิริน เดเม่ และเอสเตอร์ต้องเกือบตายไปจริงๆ
แต่พอผมได้ฟังเรื่องราวจากเรโมริก้าแล้ว ใบหน้าผมก็เต็มไปด้วยอารมณ์บูดบึ้ง
“ผู้ใช้สกิลมารริษยาเหรอ”
“ค่ะ อลิซาเบธบอกไว้แบบนั้น”
ผู้ใช้มารริษยา ยินดีด้วยนะ จากนี้ไปผมจะเอาชื่อนี้ไว้อันดับหนึ่งของศัตรูที่ต้องกำจัด
เรื่องนี้ไว้รออลิซาเบธกลับมาค่อยว่ากันอีกที ผมเลยพยายามสงบใจลง และหันไปถามเจ้าหญิงโช
“แล้วเอร่าล่ะ”
“อ้อ ยัยเทพนั้นน่ะเหรอ เอ่อ…ลืมไปเลย! ที่รักรีบกลับเข้าเมืองเร็วเข้า!”
“เอ๋? ทำไมเหรอ”
“ก็ยัยเทพบ้านั้นน่ะสิ พอรู้ว่าคฤหาสน์โดนเผาและที่รักโดนตามล่าจนต้องหนีตาย ก็โกรธจนหน้ามืดไม่ฟังใคร แล้วอันเชิญฝูงแมลงวันเข้าถล่มเมืองแล้ว!”
“แค่แมลงวันไม่เป็นไรมั่ง?”
“ถ้าแค่แมลงวันล่ะก็นะ แต่ตอนนี้ยัยเทพนั้นอยู่ในโหมดความพิโรธของเทพอยู่ ทำให้พรต่างๆ พลิกกลับกลายเป็นคำสาป ซึ่งคำสาปที่ว่าก็ติดไปกับฝูงแมลงวันด้วย!”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ พวกมอนสเตอร์ที่อาศัยบริเวณคฤหาสน์ก็ได้รับผลความพิโรธของเทพไปด้วย ตอนนี้คลั่งกันใหญ่แล้ว”
อาเดไลท์เองก็เหมือนพึ่งนึกได้ เลยหันมายิ้มแห้งๆ
“สร้างปัญหาได้สมกับเป็นเอร่าจริงๆฮ่าๆๆ…ไม่ใช่เวลามาหัวเราะแล้วนี้หว่า!”
กว่าพวกผมจะเข้าไปหยุดเอร่าเอาไว้ได้ ก็เกือบจะทำให้เมืองต้องล่มสลายไปแล้ว คำสาปของเอร่าที่ติดไปกับแมลงวัน ทำให้อาหารและนํ้าภายในเมืองเน่าเสียทั้งหมด อาคารบ้านเรือนอยู่ในสภาพทรุดโทรมเร็วกว่าเวลาไปร้อยปี มอนสเตอร์คลั่งจนทำลายกำแพงเมืองพังยับ ชาวเมืองก็พากันป่วยด้วยโรคร้าย สภาพของเมืองราวกับนรกแตกไม่น่าเฉียดไปใกล้เลย
“งานนี้ต้องควักเงินซ่อมเมืองกันอีกบานเลยค่ะ”
เมยอามองดูสภาพตรงหน้าแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมา
ส่วนผมจับยัยตัวปัญหาเอร่ามัดไว้ ยังดีที่พอเธอเห็นผมปลอดภัยดีก็เริ่มสงบลงได้บ้างแล้ว แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องนั้น
“เอร่า รู้แล้วใช่ไหมว่าผมเป็นเผ่าปีศาจ”
“…อืม”
“แล้วจากนี้จะเอาไงต่อ”
“ไม่เป็นไรหรอก โรมะไม่ใช่คนไม่ดีสักหน่อย อีกอย่างศัตรูของฉันก็มีแค่จอมมารเท่านั้น!”
พวกสาวๆ ที่รู้ว่าผมเป็นจอมมารแล้ว หันมามองเอร่าอย่างละเหี่ยใจ
“เอร่า ศัตรูที่เธอว่าน่ะ ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วไง”
อาเดไลท์บอกพลางชี้มาที่ผม เธอเป็นอีกคนที่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยเมื่อรู้ว่าผมเป็นจอมมาร
“เดี๋ยวเถอะ! ถึงฉันจะโง่ แต่อย่ามาหลอกกันซะให้ยากเลย”
“เปล่าเรื่องจริง ผมนี้แหละจอมมาร เอ่อ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ล่ะ แต่เดี๋ยวจะหาวิธีกลับไปเป็นจอมมารอีกนั้นแหละ เพราะผมสัญญากับพวกเผ่าปีศาจไว้ อย่างไงก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด”
“โรมะ…เป็นจอมมาร”
สีหน้าเอร่าดูสลดลงไปทันที
“เอร่าจะกลับสวรรค์เหรอ”
ฟรานเดินเข้ามาถาม
“เรื่องนั้น”
เอร่าทำหน้าตัดสินใจลำบาก
“ที่สวรรค์ไม่ต้องทำงานแล้วนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้ทั้งวันเหรอคะ?”
เดเม่ถามขึ้นมา เอร่าเลยทำท่าสะอึก
“ถ้ากลับสวรรค์แล้ว ก็คงไม่ได้ทานอาหารของโรมะอีกแล้วล่ะนะ”
พออาเดไลท์ยิงเอาจุดตายเท่านั้นแหละ
“ให้ฉันอยู่ด้วยนะคะท่านจอมมาร อยากรู้ความลับอะไรของสวรรค์ฉันจะบอกให้หมดเลย!”
“เฮ้ย! นี้ถึงกับขายเพื่อนกินเลยเหรอ!”
ผมเขกกะโหลกเอร่าไปที ขณะที่ทุกคนได้กลับมามีเสียงหัวเราะอีกครั้ง ตอนนี้ที่เหลือก็แค่ไปคุยกับคนที่เหลือซึ่งรออยู่ที่โรงแรม ผมต้องจัดการปัญหาภายในให้หมดไป และถ้าทุกคนยอมรับผมได้ ต่อไปก็สามารถจะทำอะไรได้มากขึ้น แต่ก่อนอื่นผมต้องรีบกลับปราสาทจอมมารไปหามุเอมะ เพื่อหาทางกลับไปเป็นจอมมารอีกครั้งซะก่อน
ขอบคุณมากจ้า
ตอบลบใกล้จะจบแล้ว ใจหายนิดๆเลย
เงินคือพระเจ้าเพราะเงินแก้ปัญหาได้ ปรัชญาใหม่ประจำเรื่องเลยนะเนี่ย อยากอ่านต่อ
ตอบลบปล. ใครที่จะแต่งต่อขอเนื้อเรื่องแบบเข้มถึงใจนะ แต่อย่าปวดตับจนรับไม่ได้เลย ขอล่ะ
ตอนใหม้มาตอนไหนอ่คับ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ