ตอนที่ 45 ทัณฑ์ฮาราคีรี
พอกลับมาถึงก็พบว่าเอแคลร์หมดไปแล้ว แถมทุกคนยังเข้าไปสำรวจในครัวเพื่อดูว่าผมซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่ ถึงได้ทำขนมอร่อยๆ แบบนี้ออกมาได้
“ดอเรีย มาเลือกห้องสิ”
“ห้อง? หมายถึงคอกม้านะเหรอ แบบไหนข้าก็อยู่ได้ทั้งนั้น”
“เปล่า หมายถึงห้องจริงๆ”
ผมบอกพลางพาดอเรียเข้าไปดูห้องที่ว่างอยู่บนชั้นสอง การขึ้นบันไดไม่มีปัญหา แต่ประตูห้องเตี้ยเกินไปสำหรับเธอ ผมเลยว่าจะให้ยูรินมาทำให้ใหม่ ให้กว้างและสูงกว่านี้เพื่อให้ดอเรียเข้าออกสะดวก และเพราะเป็นเซนทอร์เลยไม่ได้นอนเตียง ผมจึงเรียกทุกคนมาช่วยกันขนฟอนิเจอร์ออก และปรับแต่งห้องให้เหมาะสำหรับเซนทอร์ โดยเตียงก็จะเป็นฟูกนิ่มๆ วางแบบเอียงๆ ให้เอียงตัวลงไปนอนได้ ส่วนโต๊ะเป็นแบบขาสูง ไว้พอดีกับเวลาเธอนั่งลงกับพื้น
ดอเรียมองดูห้องของตัวเองด้วยความประทับใจจนพูดไม่ออก
“ชอบไหม”
“อย่าถามแบบนั้นสิ ไม่เคยมีใครทำดีกับข้าแบบนี้มาก่อน ข้ารับไม่ไหวหรอก”
“พี่สาวไม่ต้องคิดมากหรอก นายท่านน่ะทำดีกับสาวๆ ก็เพื่อแค่หลอกฟันเท่านั้นแหละ”
เมยอาที่จิกกัดกันตรงๆ แบบไม่มีปรานีเลยแฮะ
“มะ ไม่เป็นไร ขะ ข้าก็ชอบให้เขาฟัน”
แต่คำตอบของดอเรียเล่นเอาเมยอาถึงกับหัวทิ่ม
“ชะ เช่นนั้นข้าขอตัวไปขนของส่วนตัวมาไว้ที่นี้ได้ไหม”
“เอาสิ ก็บอกแล้วไงที่นี้เป็นบ้านเธอแล้ว”
พอผมบอกแบบนั้นดอเรียก็ยกตัวผมขึ้นไปกอด ก่อนจะวางตัวผมลงและวิ่งควบออกจากบ้านและหายวับไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนผมก็เตรียมตัวไปลงดันเจี้ยนกันต่อ ส่วนคณะที่ไปก็เหมือนเดิมคือ ฟราน เดเม่และยูริน ส่วนที่เหลือก็แยกย้ายไปทำงานของตนต่อ
ดาเซสกลับไปก่อกำแพง เธอบอกว่าไม่เหนื่อยเลย เหมือนเล่นตัวต่อของเล็กมากกว่า ส่วนโมอาก็เริ่มทำสวนแล้ว ผมสั่งเธอให้ใส่หมวกแล้วห้ามทำงานเกินหนึ่งชั่วโมง กลัวเธอเป็นลมน่ะ พึ่งหายป่วยมาจะให้ทำงานหนักเลยก็ใช่ที่ ส่วนมิรินกับเมยอาเข้าเมืองไปหาซื้อหนังสือกัน เห็นว่าจะทำห้องอ่านหนังสือที่ชั้นหนึ่ง ให้เป็นห้องสมุดด้วย ผมก็อนุญาตทันที เอร่าก็ปล่อยไปเถอะ พอกินอิ่มแล้วก็นอนกลางวันต่อเลย ชีวิตยัยนี้เรียบง่ายกว่าแมวอีกแฮะ
และแน่นอนระหว่างพวกผมก็แวะทำพิธีกรรมสามเหลี่ยมแห่งความลับกันอีกเช่นเคย วันนี้ยูรินใส่กระโปรงยีนสั้นๆ มาเลย คงกะว่าจะให้ผมมุดได้แบบฟรานล่ะมั่ง
ตอนเข้าเมืองไม่มีคนมารุมแล้ว การไล่แขกของฟรานเมื่อวานได้ผลดีจริงๆ แต่ก็ยังมีมารอดูพวกเธออยู่อีกหลายกลุ่ม ราวกับเป็นของขึ้นชื่อประจำเมืองไปแล้ว
ผมแยกกับพวกฟรานกลางทาง เพราะผมกับเดเม่จะไปซื้อลูกธนูกับเกราะให้เธอก่อน และผมจะแวะตรวจสอบอาวุธตามร้านแถวๆ นั้นด้วย เผื่อมีอันที่มีสกิลล็อคอยู่ จะได้ซื้อมาปลดสกิลแล้วปล่อยขายในราคาแพง ส่วนพวกฟรานล่วงหน้าไปที่กิลก่อน เพื่อเอามื้อเที่ยงไปส่งให้มอเรีย พร้อมกับตรวจดูเควสรอผมไป
ผมตรงไปแวะร้านของออกัสเจ้าเก่า
“เอ๋? วันนี้ร้านปิดเหรอเนี่ย หรือว่าเมื่อคืนจะดื่มกันหนัก”
ผมแปลกใจที่เห็นร้านปิด เลยลองเดินไปด้านหลังดูเพื่อลุงแกตื่นแล้ว แล้วผมก็ได้ยินเสียงรอดมาจากหน้าต่าง เลยยื่นหน้าไปดู ที่ผมเห็น
คือออกัสกำลังมีเซ็กส์กับเมดารินอยู่ ลุงแกนอนทับแล้วทำท่าวิดพื้น ส่วนเมดารินแค่นอนอ้าขาเฉยๆ
พวกนี้เป็นแฟนกันหรอกเหรอ เสียดายแฮะ ผมเล็งเมดารินไว้ตั้งแต่เจอหน้าแล้ว แบบว่าถูกซะตาด้วย แต่ช่วยไม่ได้คนมีเจ้าของแล้วก็ต้องปล่อยไป
แต่นี้คือเบสิกของโลกนี้เลยสินะ ลุงแกไม่มีเทคนิกอะไรใส่แล้วกระแทกอย่างเดียวไม่มีผ่อนเหมือนอยากจะรีบๆ ให้เสร็จ ส่วนเมดารินจะไม่ค่อยมีอารมณ์เท่าไร นอนเฉยๆ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกลียดอะไร แต่เธอมองมาเจอผมพอดี ตอนแรกนึกว่าจะโดนกรี๊ดใส่ซะอีก แต่เธอกลับเงียบแฮะ…สงสัยชอบให้มีคนดูล่ะมั่ง งั้นขอดูต่อให้จบเลยนะครับ
ตอนนั้นเองที่ผมพึ่งรู้ตัวว่า กางเกงตัวเองโดนถอดลงไปกอง เป็นฝีมือเดเม่นั้นเอง เธอเห็นดุ้นผมแข็งขึ้นมา เลยจัดการใช้ปากช่วย ตอนนี้ผมเลยยืนดูเมดารินกับออกัสมีอะไรกันโดยมีเดเม่บ๊วบให้ หืม เดเม่ใช้ปากเก่งดีเหมือนกันแฮะ สงสัยดูฟรานทำจนชินตาไปแล้ว
พอดูๆ ไปสักพัก เมดารินก็ชูสองนิ้วให้ผมซะงั้น แถมเริ่มร้องครางและส่ายเอวรับออกัสไปด้วย ผิดแล้วล่ะเธอ อย่างที่ผมคิดไว้เลยไปกระตุ้นแบบนี้ออกัสก็แตกสิ ผู้ชายโลกนี้เช็กส์ออฟชั่นตํ่านะ อย่าไปหวังอะไรมากเลย
เมดารินดูผิดหวังอย่างที่คิด คงกำลังอารมณ์ขึ้นแล้วจู่ๆ ก็โดนปล่อยให้ค้าง ออกัสพอเสร็จก็พลิกตัวกลับไปนอนต่อเลย ฮู ได้เห็นนมเมดารินเต็มๆ เลย เป็นสาวทรงโตเหรอเนี่ย หัวนมใหญ่ไปหน่อยแต่เซ็กซี่ดี เธอยังมองมาที่ผม เลยยิ้มให้เธอก็พยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นมา ตอนแรกนึกว่าจะไปใส่เสื้อผ้า ที่ไหนได้
เธอไปเลื่อนเก้าอี้มาใกล้ๆ หน้าต่างที่ผมอยู่ แล้วขึ้นไปนั่งถางขาแล้วตกเบ็ดให้ผมดูต่อซะงั้น เธอเร้าร้อนมาก ใช้สองนิ้วซึ่งใหญ่กว่าของออกัสเป็นเท่าตัว ใส่เข้าไปในรูตัวเองแล้วชักเข้าออกอย่างเมามัน เอวเธอเด้งไม่หยุด ซี๊ดปากครวญคราง
แต่พยายามไม่ให้เสียงดังคงกลัวออกัสตื่น ผมดูแล้วก็ตื่นเต้นเลยเผลอหลุดปากออกไป
“เล่นหัวนมด้วยสิ”
แต่เมดารินก็ทำตามที่ผมบอก เธอบี้หัวนมตัวเอง เลยทำให้ซี๊ดซ๊าดหนักกว่าเดิมอีก ท่าทางจะเสียวหนัก ผมสนุกตามเลยเล่นกับเธอสักหน่อย
“ทีนี้บีบปุ่มคริด้วย”
พอผมบอกไปรอบนี้เมดารินทำหน้างงๆ สงสัยจะไม่รู้จักปุ่มคริตอลิส ผมเลยต้องค่อยๆ บอกทางเธอ จนนิ้วเธอคลํ่าไปถึง
“ตรงนั้นแหละ เล่นเบาๆ นะ”
เมื่อได้ยินนั่นนั้นเมดารินก็ค่อยๆ เขี่ยปลายนิ้วใส่ปุ่มคริ แต่เพียงแค่แตะถูกตัวเธอก็เหมือนโดนไฟฟ้าซ็อด เกร็งตัวจนเป็นสะพานโค้งพ่นหอยนํ้าออกมาจากหอยชุดใหญ่ ผมเลย
กระแทกเอวใส่ปากของเดเม่แล้วเสร็จไปพร้อมๆ กับเธอ ส่วนเมดารินนั่งหอบหมดแรงอยู่บนเก้าอี้ คงได้ปลดปล่อยหมดแล้ว ผมเลยกลับออกมาจากด้านหลังร้าน และไปซื้อของที่ร้านอื่นแทน
ลูกศรที่ซื้อคราวนี้ผมซื้อแบบไม้สองซอง (ซองหนึ่งยี่สิบดอก) แบบเหล็กหนึ่งซอง และแบบเหล็กกล้าหนึ่งซอง จริงๆ จะให้ยูรินหลอมลูกศรให้ก็ได้หรอก แต่ผมอยากดูก่อนว่าแบบไหนเหมาะจะใช้งานอย่างไง และทนมือทนไม้เดเม่ได้ไหม เลยซื้อคละๆ กันไปโดยซื้อแบบไม้มากหน่อยเพราะถูก ใช้เก็บเลเวลได้ไม่ต้องเสียดาย
ส่วนเกราะหลังจากปรึกษามิรินที่มีประสบการณ์นักผจญภัยสูง เธอบอกว่าอย่างเดเม่ใส่แค่เกราะหนังแบบนักธนูซึ่งปิดช่วงหน้าอกเพื่อป้องกันสายธนูดีดใส่ก็พอแล้ว เพราะนักธนูต้องแบกนํ้าหนักของลูกธนูอยู่แล้ว เลยไม่ควรไปเพิ่มนํ้าหนักที่เกราะอีก ส่วนใหญ่นักธนูเก่งจะใช้สกิลในการหลบ
หลีการโจมตีแทน ยอมตัวเปล่าแต่แลกกับการแบกลูกธนูได้เยอะขึ้นประมาณนั้น แต่ที่ขาดไม่ได้คือถุงมือสำหรับจับลูกศร กับรองเท้าพื้นยาง เพราะนักธนูต้องยืนตั้งหลักให้ดี ถ้าลื่นก็พลาดทันที
ระหว่างที่ให้เดเม่เลือกแบบถุงมือกับรองเท้า ผมก็เดินไปตรวจสอบดูของต่างๆ แต่ไม่เห็นอันที่มีสกิลล็อคเลย บางทีของทำมืออาจจะไม่มีสกิล ต้องเป็นของดรอปเท่านั้นถึงจะมีเหรอ? เพื่อให้มั่นใจ ผมไปเดินดูอีกสองร้าน ซึ่งก็ไม่เจออยู่ดี เลยมั่นใจได้ว่าที่คิดน่ะถูกต้องแล้ว
หลังได้ของครบแล้ว ผมก็ไปที่กิลเพื่อสมทบกับฟรานทันที แต่พอเข้ามาในกิล ก็พบพวกฟรานกำลังโดนล้อมอยู่ที่บอร์ด ส่วนมอเรียที่กำลังพยายามเข้าไปช่วย กำลังโดนผู้ชายอีกสองคนจับตัวไว้รู้สึกคุ้นๆ หน้า ที่แท้ก็ไอ้พวกปาร์ตี้ชายล้วนที่เคยเจอตรงชั้นสองของลูปัน
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ใครมันบังอาจมาแตะตัวผู้หญิงของผม เท่ากับประกาศสงครามกับผม
ผมตรงไปหาสองคนที่จับตัวมอเรียทันที
“สัมผัสแห่งราคะ -100%”
ใช่ สัมผัสแห่งราคะสามารถปรับความแรงให้ติดลบได้ ผมทดสอบมาแล้ว ในกรณีที่ติดลบ จะทำให้อีกฝ่ายหมดความรู้สึก แต่ว่าไม่ใช่แค่การนกเขาไม่ขัน
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวด้วยพลังแห่งราคะ เมื่อขาดสิ่งนั้นไป แรงกระตุ้นในการชีวิตจะลดตํ่าลง เหมือนสัตว์ที่มีสัญชาตญาณในการสืบพันธุ์ เพราะงั้นมันเลยต้องพยายามเอาตัวรอดให้ได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าขาดเป้าหมายในการสืบพันธุ์ไป ก็หมดความรู้สึกในการดิ้นรนมีชีวิตไปด้วย
ตอนนี้ทั้งสองคนที่โดนลบราคะทั้งหมดออกไป ไม่ต่างจากอะไรกับพวกไมสเตอร์ลีดในเหมือง ไม่สิ แย่กว่าอีก พวกนั้นยังพอเหลือสัญชาตญาณและตอบสนองได้บ้าง แต่นี้เป็น
เพียงแค่ก้อนเนื้อที่ไม่ตอบสนองอะไรเลย พูดตรงๆ นะ แย่กว่าตายอีก
“ไม่เป็นอะไรนะ”
ผมดึงมอเรียเข้ามาสบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ว่า”
มอเรียมองอย่างสับสนว่าควรจะให้ผมเข้าไปช่วยฟรานก่อนดี หรือควรจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนที่จับตัวเธอไว้ ที่ตอนนี้ยืนตาลอยนํ้าลายยืดไม่มีสติ
“พวกมันไม่เป็นอะไรหรอก แค่ขาดแรงขับเคลื่อนในการมีชีวิตไปเท่านั้น แล้วรอตรงนี้กับเดเม่นะ”
ผมส่งตัวมอเรียให้กับเดเม่และเข้าไปหาพวกฟรานที่โดนอีกสามคนล้อมไว้อยู่ คนอื่นๆ เหมือนอยากจะเข้ามาช่วยเหมือนกัน แต่คงไม่อยากมีเรื่องในกิล ไม่งั้นจะโดนยึดบัตรทันที เผลอๆ ถ้าทำรุนแรงอาจถึงขั้นโดนตั้งค่าหัวได้
ฟรานนั้นเลยขีดความอดทนไปแล้ว ดีที่ยูรินล็อคตัวไว้อยู่ ไม่งั้นไอ้พวกสามคนนี้ได้ไปดูดจู๋ให้ยมบาลแน่
“เกิดอะไรขึ้น”
ผมแทรกตัวเข้าไปขวางกลางไว้ และหันไปถามยูริน
“พวกเลว จะมาเอาตัวพวกเราไป”
ยูรินตอบสั้นๆ แต่อธิบายทั้งหมดเคลียร์เหมือนเดิม
“แกมาก็ดีแล้ว ยกทาสของแกให้พวกข้าซะดีๆ”
“ทำไมต้องยกให้ด้วยล่ะ?”
รอบนี้ผมไม่พลาดแบบครั้งก่อนแล้ว เลยอุ้มฟรานขึ้นมาไว้บนแขนเลย
“แกมีทาสตั้งหลายคนนี้ ส่งมาให้พวกเราคนสองคนไม่เห็นเป็นอะไรเลย เดี๋ยวจ่ายเงินให้ก็ได้”
“เอ่อ ฟังภาษาคนไม่ออกเหรอ ผมถามว่าทำไมต้องยกให้ด้วย ตอบให้ตรงคำถามสิ”
“อย่ามาปากดีนะโว้ย! พวกข้าเป็นนักผจญภัยรุ่นพี่ ไอ้พวกหน้าใหม่อย่างแกนะแค่ทำตามที่บอกไปก็พอแล้ว”
ก็มีอยู่เหมือนกันนะ ไอ้พวกโง่จนสื่อสารกันไม่รู้เรื่องเนี่ย
แต่ตอนนั้นเองมอเรียก็เข้ามาด้านหลังผมแล้วกระซิบบอก
“เขาคนนี้เป็นลูกชายของหัวหน้ากิลผู้พิชิตแดนเหนือค่ะ เลยไม่เกรงกลัวใครทำตัวละลานไปทั่วเพราะถือว่ามีพ่อให้ท้ายอยู่”
“กิลใหญ่เหรอ?”
“ค่ะ มีอิทธิพลมาก สมาชิกมีหลักพัน พวกระดับผู้บริหารเป็นนักผจญภัย Rank 60 ทั้งนั้น มีเส้นสายกับพวกขุนนางด้วย”
“แค่นั้นเหรอ”
“…ค่ะ อ่ะขอโทษค่ะ ลืมไปว่าเป็นท่านโรมะ”
มอเรียพึ่งนึกได้ว่าโรมะพึ่งประกาศจะไถ่ตัวเจ้าหญิงไปเมื่อเช้านี้เอง นั้นหมายถึงเขาพร้อมจะเป็นศัตรูกับประเทศเลย กะอีกแค่กิล มันไม่อยู่ในสายตาอยู่แล้ว
“อืม ไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่มหรอกนะ เอาเป็นว่าต่างคนต่างไปแล้วจบดีไหม”
ผมไม่อยากเอาความพวกมัน เพราะพวกมันยังไม่ได้แตะต้องฟราน แค่ถึงว่าโดนหมาเห่าใส่ล่ะกัน
แต่ว่าบางทีความใจดีก็มีแต่ยิ่งทำให้เสียใจ
“แกนี้มันปากดีจริงๆ ไม่สั่งสอนคงไม่สำนึกสินะ แน่จริงก็ตามพวกข้ามาข้างนอกสิ”
ต้องตามไปสินะ ดีกว่าปล่อยให้พวกมันตามไปราวีทีหลังอีก
แล้วผมกับพวกฟรานก็ตามพวกมันออกไปนอกกิล แต่ตอนที่มันเดินผ่านเพื่อนอีกสองคนที่ยืนนํ้าลายยืดอยู่ มันก็
ทำท่างงๆ แบบไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนตัวเอง แต่พอเรียกแล้วไม่ยอมตอบ มันเลยปล่อยไว้แบบนั้นเลย ส่วนไอ้สองตัวเนี่ย ไว้เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยมาคืนพลังราคะให้พวกมันสักหน่อยล่ะกัน เอาแค่ระดับที่นกเขาไม่ขัน เป็นโรคซึมเศร้า มีแนวโน้มฆ่าตัวตายคงพอ
น่าแปลกที่ไม่มีใครตามออกมาดู คงเพราะกลัวโดนลูกหลงแล้วโดนกิลใหญ่หมายหัวล่ะมั่ง อืม ดีล่ะ แบบนี้ก็เท่ากับว่าไม่มีพยานรู้เห็นสินะ
พวกมันพาผมเดินข้ามมาอีกด้านของถนน เข้าไปตรงตรอกแคบๆ ซึ่งรู้แล้วทำไมมันพามาที่นี้ เพราะมันยังมีพรรคพวกดักรออยู่อีกฝูงหนึ่ง ประมาณเจ็ดคน รวมแล้วก็สิบคน นี้กะว่าผมไม่ยอมตกลงก็จะลากตัวมาให้พวกนี้ยำตรงนี้อยู่ดีสินะ
แต่พวกผมไม่มีใครสักคนที่เกิดกลัวขึ้นมา ไม่แปลกหรอก เดเม่กับฟรานน่ะ เคยเจอมาหนักกว่านี้ เลยไม่กลัวอะไรง่ายๆ
อยู่แล้ว ส่วนยูรินอยู่มานานจนเห็นพวกเดนมนุษย์พวกนี้มาจนคุ้นเคยแล้ว
ส่วนผมกำลังคิดอยู่ว่าจะเอาไงกะพวกมันดี เรื่องฆ่าคงต้องตัดทิ้ง เพราะไม่รู้พวกมันมีค่าหัวเปล่า เกิดไม่มีผมจะกลายเป็นคนผิดซะเอง ต้องระวัง
ส่วนจะลบราคะมันทิ้งก็ได้อยู่หรอก แต่พวกมันยังไม่ได้ทำอะไรผิดจนถึงต้องทำแบบนั้น ไม่เหมือนไอ้สองตัวนั้นที่บังอาจแตะถูกตัวมอเรีย
พอตรวจสอบดูเลเวลพวกมัน ก็พอๆ กับพวกผมเลย มีเก่งๆ อยู่สองคน เลเวลยี่สิบกว่า ไม่ถึงกับสู้ไม่ได้ แต่ไม่อยากมีปัญหาถึงต้องใช้กำลังตัดสินอ่ะ
“ข้าจะบอกอีกทีนะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวส่งทาสของแกมาซะ”
“ไม่อ่ะ”
“พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ! อยากตายใช่ไหม รู้ไหมพ่อข้าคือใคร”
“เอ่อ ไปหาหมอดีกว่าไหม สมงสมองไปหมดแล้วล่ะนั้น ชื่อพ่อตัวเองยังจำไม่ได้แบบนี้”
“มึง! กวนตีนใช่ไหม”
“เฮ้ยเดี๋ยว!”
พวกมันคนหนึ่งร้องทักขึ้นมา พลางมองไปที่ฟรานกับเดเม่
“ใช่ๆ ไม่ผิดตัวแน่ นี้มันยัยแวมไพร์อัปลักษณ์ที่ร้านค้าทาสสาขาใหญ่นี่น่า”
“เอ่อ จริงด้วยว่ะ จำแทบไม่ได้เลย แมร่งทำไมสวยขึ้นได้แบบนี้ว่ะ ตอนนั้นกูนึกว่าเอาอยู่กับถุงขยะซะอีก”
“ฮ่าๆๆ ถ้ารู้ว่าสวยแบบนี้ตอนนั้นกูเอาแมร่งหลายๆ รอบแล้ว”
“ไงจ๊ะน้องเมด จำดุ้นพี่ที่เสียบเข้าเสียบออกจนน้องร้องขออีกได้ไหม”
…จบ พวกมันเลือกโทษรุนแรงสุดให้กับตัวเองแล้ว
ผมหันไปมองทั้งฟรานและเดเน่ ผิดคาดที่พวกเธอไม่พุ่งเข้าไปฆ่าพวกมันในทันที พวกเธอกำลังยืนตัวสั่นและร้องไห้อยู่ กลับเป็นยูรินที่เหมือนอยากจะเข้าไปฆ่าพวกมันมากกว่า แต่ผมเข้าใจ พวกเธอกำลังอับอายอยู่ ผมได้มอบเกียรติและศักดิ์ศรีให้กับพวกเธอไปแล้ว แต่การคงอยู่อย่างสง่างามของพวกเธอกำลังถูกเจ้าพวกนี้ดูหมิ่นอยู่
เรื่องราวในอดีตผมไม่สนใจหรอกนะ เพียงแต่การที่พวกมันนำมาพูดต่อหน้า เพื่อเป็นการทำร้ายจิตใจ อันนี้สิที่ผมทนไม่ไหม
“…ฟราน เดเม่ ฉันรู้ดีว่าตอนนี้พวกเธอรู้สึกอับอายแค่ไหน แต่ขอแค่แปบเดียว ช่วยทนอีกแปบ แล้วทำตามคำสั่งของฉันก่อนได้ไหม”
“ได้ค่ะ/ตามแต่ที่นายท่านสั่งค่ะ”
ทั้งคู่ขานรับผม และรีบปาดนํ้าตาออก ดีมาก พวกเธอเป็นเด็กดีจริงๆ
“เชอะ เป็นพวกทาสขยะพวกนั้นเองเหรอ ไอ้เราก็นึกว่าทาสสะสมซะอีก เล่นผ่านพวกมึงมาหมดแล้วแบบนี้ กูก็หมดอารมณ์สิวะ”
ไอ้ตัวหัวหน้าที่ลูกชายเจ้าของกิลใหญ่พูดแล้วถุยนํ้าลายลงพื้น
“เอาจากเจ้านั้นก่อน ฟรานใช้ Mind control สยบมันซะ”
“รับทราบค่ะ!”
นัยน์ตาของฟรานเปลี่ยนเป็นสีแดงและส่องประกายออกมา แต่ทว่าแทนที่จะเป็นการควบคุมจิตใจ มันกลับทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเธอคุกเข่าลง
“ฟราน?”
ผมเองไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน พวกมันยังพอมีสติอยู่ แต่ฝืนบังคับร่างกายตัวเองไม่ได้ บางคนถึงกับดวงตาไร้แววไปแล้ว
“…สกิลสวามิภักดิ์ทำงานแล้วค่ะ”
ฟรานตอบเหมือนตัวเองกำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่เหมือนกัน
“อ้อ เข้าใจล่ะ ต้องใช้ Mind control ก่อนสินะ สวามิภักดิ์ถึงจะทำงาน ถึงว่าเป็น Passive แต่ไม่เห็นแสดงผลอะไร แต่ว่านี้ได้ผลกับทุกคนเลยเหรอ ไม่นึกว่าจะติดร้อยเปอเซ็นเลยนะเนี่ย”
“ฆ่าพวกมันเลยไหม”
ยูรินเดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉียบแต่จิตสังหารเธอโคตรรุนแรงเลย ผมเลยคว้าตัวไว้
“อย่าไปทำอะไรที่มันมีเมตตาแบบนั้นสิ”
ใช่การฆ่าคือความเมตตา ต้องทรมานมันสิถึงจะเป็นการลงทัณฑ์ ใช่ ผมจะลงทัณฑ์พวกมัน
“ควบคุมพวกมันได้ไหมฟราน”
“ไม่เชิงเป็นการควบคุมค่ะ แต่เป็นการออกคำสั่งแบบเบ็ดเสร็จ คนที่สวามิภักดิ์ต่อฉันแล้ว จะต้องเชื่อฟังคำสั่งอย่างมิอาจขัดขืนได้”
“โหดกว่าที่คิดไว้อีก!”
ผมตะลึงเลย นี้มันยิ่งกว่าล้างสมองอีกนะ แต่เล่นสั่งอีกฝ่ายได้ตามใจนึกแบบนี้ ขืนมีคนที่มีสกิลแบบนี้สักสิบคน ครองโลกได้สบายๆ เลยนะ
“งั้นถามพวกมันก่อน”
ผมกระซิบข้างหูฟราน ให้เธอถามพวกมัน
“พวกแกมีกันอีกหรือเปล่า ไปตามมาให้หมด”
“พวกเรามีกันเท่านี้ครับ”
ทุกคนประสานเสียงตอบ ดูจากสีหน้าบางคนที่พอมีสติ ดูเหมือนจะตกใจจนหน้าซีดเลย ที่ปากตัวเองขยับไปเองได้
จากนั้นผมก็ให้ฟรานสั่งพวกมันแก้ผ้า ก็ในเมื่อพวกมันสร้างความอับอายให้คนอื่น พวกมันก็ต้องได้รับความอับอายแบบที่สุดด้วยเช่นกัน
จริงๆ ผมจะให้พวกมันเล่นรถไฟด่วนแบบตูดต่อจู๋กัน แต่ดุ้นพวกมันเล็กอย่างกะเข็ม แค่ใส่ยังเข้าไม่ถึงรูตูดเลย เลยต้องเปลี่ยนให้ใช้แขนทะลวงตูดคนข้างหน้าแทน มันพวกทุกคนยืนเรียงเป็นแถวตอน คนข้างหลังใช้มือเสียบตูดคนข้างหน้าจนถึงศอกต่อๆ กันไปจนถึงคนสุดท้าย
เสร็จแล้วผมก็ให้ฟรานสั่งพวกมันให้ไปเดินรอบเมืองหนึ่งรอบ ไอ้คนข้างหน้าก็โบกสองมือพร้อมกับแหกปากไปด้วยว่า อยากโดนข่มขืนตูดจังครับ ข่มขืนตูดผมที ส่วนพวกที่ต่อแถว
ก็ใช้มือที่ว่างโบกมือให้กับฝูงชนที่มามุ่งดูไปด้วย ส่วนไอ้คนสุดท้ายกลัวมันจะสบาย เลยให้เอามือที่ว่างยัดตูดตัวเองแทน
แต่แค่นี้มันยังไม่สาสม เลยยังมีชุดคำสั่งต่อจากนั้นอีก คือหลังจากวนครบรอบเมืองแล้ว ให้พวกมันนั่งคุกเข่าเรียงกัน และทำการฮาราคิรีดุ้นตัวเองซะ จากนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันรักษาต่อดุ้นคืนได้ ก็ให้เอาดุ้นที่ตัดเข้าปากเคี้ยวแล้วกินไปด้วยซะ แบบนี้พวกมันจะได้ไม่เหลือทั้งศักดิ์ศรีและไปทำอะไรใครไม่ได้อีก
เหตุการณ์นี้ถูกกล่าวขวัญในภายหลังว่า เป็นหนึ่งในเรื่องสยองขวัญประจำเมือง โดยเรียกกันว่า เทศกาลประหารดุ้น
กลับมาที่พวกผม พอฟรานสั่งจนพวกมันเริ่มเดินขบวนเสียบตูดกันไปแล้ว ผมก็ดึงฟรานกับเดเม่เข้ามากอด
“ร้องไห้ได้แล้ว ผมอนุญาต”
พอบอกไป ทั้งคู่ก็ร้องไห้โฮออกมาทันที ผมกอดพวกเธออย่างทะนุทะนอม
ฟรานกับเดเม่ตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวด พวกเธอกลัวมาก กลัวผมเห็นตัวตนในอดีตของพวกเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะผมดึงพวกเธอขึ้นมาจากนรก พวกเธอก็คงไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เจ้าพวกมันพูด แต่ตอนนี้มันต่างไปแล้ว พวกเธออยากจะรักษาพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ตรงนี้เอาไว้ กลัวว่าเมื่ออดีตถูกเปิดเผยขึ้นมา ผมจะรังเกลียดพวกเธอและทิ้งพวกเธอไป นั้นคือสิ่งที่ทำให้พวกเธอเจ็บปวดที่สุด
“ฟราน เดเม่ ตอนผมเจอพวกเธอครั้งแรก แค่เห็นสภาพก็รู้แล้วว่าพวกเธอเจออะไรมา เพราะงั้นไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ถ้าผมรังเกลียดก็คงไม่ยื่นมือออกไปและดึงพวกเธอออกมาหรอก
อดีตก็คืออดีต แต่ดูพวกเธอตอนนี้สิ พวกเธอทั้งน่ารักและสง่างาม ผมภูมิใจในตัวพวกเธอมาก แค่ที่พวกมันขุด
เรื่องในอดีตมาพูด มันไม่ได้สะกิดให้ความภูมิใจในตัวพวกเธอของผมมีรอยด่างได้หรอกนะ ใช่ไหม”
“นะ นายท่านค่ะ!”
ทั้งคู่ถึงจะสะอื้นอยู่ แต่ก็หยุดร้องไห้แล้ว
“ฟราน กับเธอแล้วผมประทับใจตั้งแต่แรกเห็น ดวงตาของเธอมีแววของนักสู้ ถึงแม้จะโชคร้ายแค่ไหน ดวงตาของเธอก็ยังมีแววที่จะไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต ซํ้ายังไม่ยอมปล่อยมือจากเดเม่ เธอไม่ยอมหนีเอาตัวรอด แต่เธอพยายามจะฉุดรั้งคนที่เธอห่วงใยขึ้นมาด้วย นั้นคือความสูงศักดิ์ในจิตวิญญาณของเธอไงล่ะฟราน จากนี้ไปขอให้เธอเติบโตขึ้นมาอย่างสง่างาม เป็นหญิงสาวที่ภาคภูมิในจิตวิญญาณของตัวเองเถอะนะ”
บอกพอเสร็จฟรานก็กอดผมไว้แน่น และกรีดร้องออกมาเป็นครั้งสุดท้ายราวกับการปลดปล่อยตัวตนในอดีตของตัวเองออกไป
“ส่วนเธอเดเม่ ขอบอกตามตรง ครั้งแรกที่เห็นเธอ ผมนึกว่าสิ้นหวังซะแล้ว แต่ว่าเธอก็กลับยืนยัดขึ้นมาด้วยตัวเองได้”
“ไม่ใช่ค่ะ! เพราะนายท่านต่างหาก เพราะได้นายท่านช่วยไว้หนูถึงมีวันนี้ได้”
“ผิดแล้ว ผมไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลยเดเม่ สิ่งที่ทำก็แค่ดึงพวกเธอขึ้นมา แต่ถ้าพวกเธอไม่ก้าวออกไปด้วยตัวเอง สุดท้ายพวกเธอจะกลับจมลงไปที่เดิม ที่มีวันนี้ได้เพราะเธอได้เลือกให้กับตัวเองแล้ว เธอเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยการเชิดหน้าขึ้น ดูตัวเองสิตอนนี้สิเดเม่ เมดผู้เพียบพร้อมทั้งมารยาทและความงดงาม ภูมิใจกับมัน เหมือนที่ผมภูมิใจในตัวเธอสิ”
“ค่ะนายท่าน!”
ถึงพวกเธอจะกลับมายิ้มแย้มได้ตามเดิมแล้ว แต่ผมยังห่วงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะสร้างความกังวลใจให้พวกเธอหรือเปล่า เลยตอกตะปูลงไปอีกตัวดีกว่า
“และเพื่อจะให้พวกเธอลืมเจ้าพวกสารเลวนั้น คืนนี้ผมจะต้องขอจัดหนักหน่อยล่ะนะ เธอด้วยนะเดเม่”
“อ่ะ เอ๋!? นะ หนูนึกว่านายท่านรังเกียจหนูซะอีก”
“อ่ะ อะไรทำให้คิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็…นายท่านไม่ยอมทำหนูสักที”
“อ้อ ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ผมแค่อยากให้เธอพร้อมก่อนก็แค่นั้น”
“พร้อมค่ะ! ตอนนี้ก็พร้อม เริ่มได้เลยค่ะ!”
เดเม่ร้องบอกด้วยแววตาเป็นประกาย
“จะ ใจเย็นสิ บอกแล้วไงไว้คืนนี้”
“ค่ะ! จะตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ!”
จริงจังกับเรื่องนี้เกินคาดแฮะ แต่แล้วยูรินก็สะกิดผม
“อย่าลืมข้าสิ”
“ไม่ลืมหรอก ผมยังติดใจที่เธอขย่มผมเมื่อคืนอยู่เลย แต่คืนนี้ผมขอเอาคืนบ้างล่ะนะ”
พอผมทักเรื่องนี้เข้า ยูรินก็หน้าแดงขึ้นมาทันที สงสัยตอนนั้นจะเมาจริงๆ แฮะ
ส่วนฟรานนั้นเช็ดหน้าเช็ดตาแล้ว ก็จัดชุดตัวเองแบบไม่ให้มีจุดผิดพลาด และหันมายิ้มให้กับผมเมื่อดังเช่นทุกที
“ไปกันเถอะค่ะนายท่าน”
ตอนที่ 46 รวมทีม
พวกผมกลับมาที่กิลอีกครั้ง มอเรียรีบวิ่งออกมาหาด้วยความเป็นห่วง แต่ผมบอกไปว่าไม่มีอะไรแล้ว พวกนักผจญภัยคนอื่นๆ ดูจะเว้นระยะจากพวกผมออกไปทันที ดูเหมือนไม่อยากจะซวยโดนกิลใหญ่เล่นไปด้วยล่ะมั่ง แต่เรื่องนั้นผมคิดไว้แล้ว บางทีครั้งนี้ถ้าเรื่องมันบานปาน ผมอาจจะได้ใช้สิทธิพิเศษของจอมมาร ลบกิลบางกิลออกไปจากโลกนี้ซะก็ได้เพื่อตัดปัญหาเอา
และเมื่อให้บรรยากาศรอบตัวมันดูดีขึ้นมาสักหน่อย ผมก็ได้เอาเอแคลร์ที่ซ่อนไว้ออกมา พวกฟรานพอเห็นถึงกับแววตาเปลี่ยนไปทันที พวกเธอทั้งสามหันมาจ้องเอแคลร์ราวกับเป็นผู้ล่าที่จ้องเหยื่ออยู่
ผมยอมให้พวกฟรานไปคนละชิ้น ที่เหลือก็เอาไปให้มอเรียกับพวกพนักงานสาวๆ แต่พอเอาเข้าปาก พวกเธอก็มีรีแอกชั่นแบบเดียวกับพวกฟรานก่อนหน้านี้เลย คือสลบคาที่ ผมไม่อยากถูกไถ่ขนมเพิ่ม เลยรีบเผ่นออกมา
ส่วนเควสพวกฟรานดูให้แล้ว เลยกลับออกมาจากกิลทันที แต่พอถึงทางออก พวกผมก็สวนกันคนที่คุ้นหน้าพอดี
“อ่ะ เจอตัวแล้ว!”
ยัยเอลฟ์เนปฟ่ากับชีเอ้ล่ะ
“มีธุระอะไรกับผมเหรอ?”
อีกฝ่ายเช่นชี้หน้าผมแบบนี้ แปลว่าต้องมีอะไรแน่
“ออกัสบอกว่านายลงดันเจี้ยนช่วงบ่ายด้วย พวกฉันเลยตามมาว่าจะขอปาร์ตี้ด้วยน่ะ”
หา! ไม่ไหวล่ะมั่งยัยพวกนี้ แค่เมื่อคืนก็พอแล้ว
“คนรู้จักเหรอคะนายท่าน”
ฟรานถามผมพร้อมกับส่งสายตาไม่เป็นมิตรไปให้อีกฝ่าย
“อะ อืม เคยปาร์ตี้กันเมื่อคืนน่ะ”
“ว่าแล้วเชี่ยว เห็นนายท่านหายไปตอนดึกๆ ทุกวัน ที่แท้แอบมาลงดันเจี้ยนโดยไม่บอกพวกหนูนี้เอง”
ฟรานทำท่างอนล่ะ หายากนะเนี่ย
“เนี่ยนะเหรอพวกคุณหนูน่ารักที่ออกัสเล่าให้ฟัง อ้าว? ทาสนี่น่า”
เนปฟ่าทำหน้าประหลาดใจ ส่วนชีเอ้มองไปทางฟรานกับยูริน ก่อนจะมองมาที่ผมโดยไม่พูดอะไร แต่ในใจคงคิดว่า
ผมเป็นตาลุงโลลิค่อนล่ะมั่ง ก็ใช่อ่ะดิ ผมเนี่ยล่ะโลลิค่อนตัวพ่อ
สีหน้าของเนปฟ่าเองก็บอกว่ามีหลายคำถาม คงทั้งแปลกใจว่าทำไมทาสถึงได้น่ารักได้แบบนี้ แล้วไหนจะยังเป็นทาสนักสู้ที่ใช้ลงดันเจี้ยนอีก
“หว่า นายนี้โหดจริงๆ ใช้ทาสน่ารักไปตายในดันเจี้ยนได้เฉยเลย”
แต่พริบตาที่เนปฟ่าพูดออกมา ปลายลูกศรของเดเม่ก็จ่อไปที่ดวงตาของเธอห่างไปเพียงไม่กี่เซน ส่วนที่คอของเธอก็มีง้าวของฟรานจ่ออยู่เช่นกัน
“หยุดเลย! ทั้งสองคนนั้นแหละ”
ผมรีบดึงคอฟรานกับเดเม่กลับมา และส่งให้ยูรินไปคุมตัว ไม่ไหวแฮะตอบสนองไวเกินไปแล้ว ตะกี้ผมเองยังมองไม่ทันเลยนะ
แล้วนั้นไงเนปฟ่าน่ะถึงกับเหงื่อตกแล้วลูบคอตัวเองใหญ่เลย คงนึกว่าหัวหลุดจากบ่าไปแล้วมั่งตะกี้ ก็ทั้งฟรานทั้งเดเม่ใส่จิตสังหารไปเต็มที่เลยนี้
“ขอโทษแทนพวกเธอด้วยนะ แบบว่าพวกเธอค่อนข้างจะอ่อนไหวน่ะ”
“อ่ะ อืม”
“อย่างที่เห็นล่ะ ผมลงดันเจี้ยนกับพวกทาส เธอเองไปหาปาร์ตี้อื่นเถอะนะ”
เจอแบบนี้ไปคงไม่กล้ามายุ่งกับผมแล้วล่ะ แต่ก็ดีแล้วรีบเผ่นดีกว่า ผมดันหลังให้พวกฟรานออกเดินต่อทันที
“เดี๋ยวสิ ฉันบอกว่าจะไปด้วยไง”
“เอ๋? ทำไมต้องเป็นปาร์ตี้ผมด้วยล่ะ”
“ก็นายมี Leadership แถมเก่งด้วย มีกระเป๋าขนาดกลางอีกต่างหาก…เอ่อ จะว่าไปพวกทาสของนายก็มีกระเป๋ากันทุกคนเลยนี้?”
ช่างสังเกตจริงๆ เลย!
“อะ อืม”
“นี้นายหรือว่าจริงๆ จะเป็นพวกคนรวย”
“ไม่รวยๆ ถ้ารวยจะมาเสี่ยงลงดันเจี้ยนทำไมล่ะ”
“นั้นสินะ อย่างไงก็ให้พวกฉันไปด้วยเถอะ ดูแล้วปาร์ตี้นายขาดผู้ใช้เวทกับนักบวชอยู่เลยนี้”
“ไม่ได้ขาด แต่ไม่จำเป็น”
เป็นยูรินที่พูดขึ้นมา ผมเลยต้องรีบปิดปากเธอไว้
“ไปด้วยก็ได้อยู่หรอก แต่วันนี้ผมกะลงไปให้ถึงบอสชั้นห้าเลยนะ มันออกจะอันตราย”
“บอสเหรอ! ฉันไม่เคยเห็นเลย พาฉันไปด้วยนะ นะ นะ!”
ปากพาจนจนได้ ถึงตั้งใจจะไปให้ถึงบอสก็จริง แต่ถ้าพวกเธอไปด้วย ผมก็ทดสอบความสามารถของกลุ่มผมไม่ได้อ่ะสิ แต่ไม่รู้จะหาข้ออ้างสลัดพวกนี้อย่างไงดีเหมือนกัน เอาเถอะวันนี้อย่างไงก็รีบไปรีบกลับอยู่แล้ว มีหลายคนก็ดีเหมือนกัน
“เอางั้นก็ได้”
จะว่าไปส่วนแบ่งจะเอาไงดีหว่า ยัยเนปฟ่าไม่ยอมให้ผมแบ่งให้พวกฟรานที่เป็นทาสด้วยแน่ๆ พวกผมมีกันสี่คน แต่ได้แค่หนึ่งในสาม เฮงซวยชะมัด!
ผมรับพวกเนปฟ่าเข้าปาร์ตี้และมุ่งหน้าไปดันเจี้ยนด้วยความเซ็ง
ครั้งนี้ผมคิดจะเริ่มต้นที่ชั้นสามเลย จึงใช้รันเนอร์เวย์ ซึ่งเนปฟ่าเตือนเรื่องพวกดักปล้น แต่ผมรู้อยู่แล้วล่ะ แถมยัง
อยากจะให้พวกมันโผล่ออกมาด้วย ก็พวกนั้นเงินดีกว่าพวกมอนสเตอร์นี่น่า
ระหว่างทางที่เดินไปตามรันเดอร์เวย์ที่เงียบวังเวง ผมก็เผลอชำเหลืองไปมองก้นชีเอ้ แล้วเจ้าดุ้นผมก็แข็งตัวขึ้นมาอีกแล้ว อะไรกันเจ้าดุ้นของข้านี้แกชอบก้นของชีเอ้ขนาดนั้นเลยเหรอ!
จะว่าไปไหนๆ ผมก็ต้องเสียเปรียบเรื่องส่วนแบ่งอยู่แล้ว ขอส่องพวกเธอแทนส่วนที่ขาดไปล่ะกัน ว่าแล้วผมก็ใช้มองทะลุออกไป
ว้าว! ของเนปฟ่าสีขาวล่ะ เป็นแบบซีทรูที่ตรงด้านหน้าเป็นรูปใบไม้ ส่วนบราใส่แบบมีจีบระบายผ้าเล็กๆ ตรงขอบล่าง อืม ใช้ได้ๆ ถึงนิสัยจะแย่ไปหน่อย แต่รสนิยมชุดชั้นในของเธอผมให้ผ่านเลย งั้นต่อไปของชีเอ้ล่ะ
สีชมพูแฮะ! แล้วนั้นผ้าแพรเหรอ เนื้อดีด้วย แต่ผมมองจากข้างหลังเลยยังไม่เห็นลวดลายอะไร แต่ก้นเธองอนมาก
จนเนื้อผ้าตรงก้นแน่นตึงเข้ารูป ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่เนื้อผ้าตรงก้นของกางเกงในจะหลอมๆ ดูไม่ดี ผมทำเป็นเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อจะได้ไปยืนด้านหน้าของชีเอ้ได้ และก็แอบเหลือบมองกลับมา
ด้านบนใส่บราแฮะทั้งๆ ที่หน้าอกแค่คัพ AA เนี่ยนะ บราสีชมพูผืนเล็กๆ เป็นผ้าแพรเหมือนกันแต่ประดับลูกไม้ไว้ด้วย มันแน่บติดกับหน้าอกที่แบนราบ จะว่าไปก็ดูเร้าอารมณ์ดีเหมือนกัน แล้วผมก็เลื่อนสายตาลงมาด้านล่าง อืม ด้านหน้าเป็นแบบติดระบายเป็นรูปตัว U และมีโบว์ใหญ่ๆ อยู่ด้านบน
ว่าแต่มันนูนออกมาจังแฮะ โหนกเธอใหญ่หรือไงนะ ไม่สิ มันแปลกๆ ผมเพ่งดูตรงด้านหน้ากางเกงในของชีเอ้ จนในที่สุดผมก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร
ที่กำลังดันเนื้อผ้าแพรจนนูนออกมา ก็คือดุ้นไงล่ะ แถมเป็นดุ้นที่กำลังแข็งตัวด้วยแม้จะมีขนาดประมาณนิ้วชี้ แต่มันก็ดันจนขอบกางเกงในด้านบนยืดออกมาเลย
ชีเอ้เป็นผู้ชายเหรอเนี่ย! ทั้งๆ ที่น่ารักออกขนาดนี้ โดยหลอกซะสนิทเลย เดี๋ยวนะ ไอ้ที่มันตุงอยู่ตอนนี้ หรือว่าเจ้าหมอนี้ก็เล็งพวกฟรานไว้ บัดซบเอ๋ย! ผมไม่ยอมให้แกแตะต้องพวกเธอแน่
ใช่แล้ว ต้องทำมันพูดออกมา ถ้าทุกคนได้ยินเสียงจะต้องรู้ว่าแน่มันเป็นตัวผู้
“อ่ะ แมงสาบ!”
“กรี๊ด!”
เนปฟ่าโดดเกาะหลังผม
…เดี๋ยวดิเฮ้ย ทำไมเป็นยัยนี้ไปได้ล่ะ ผิดคนแล้วเฟ้ย!
“เอ่อ ดูผิดนะ แต่ก้อนหิน”
“โธ่! อย่าแกล้งให้ตกใจสิ”
เนปฟ่าร้องว่า แต่ก็ถูกฟรานจับแยกออกไปทันที
“…ตั้งแต่ตะกี้แล้ว ฉันว่าทาสนายดูแปลกๆ นะโรมะ”
“ฮะๆ คือพวกเราสนิทกันน่ะ”
“หือ ดีจังนะ ไม่ค่อยได้เห็นหรอกนะ ทาสที่เคลื่อนไหวเองโดยที่เจ้านายไม่ได้สั่งอะไรเลยแบบนี้”
“เป็นอย่างนั้นเหรอ?”
ผมหันไปถามยูริน ซึ่งเธอก็พยักหน้าให้ แบบนี้เองทาสทั่วไปจะถูกกำจัดสิทธิ์ทุกอย่างเลยสินะ
แต่เอาไงดีล่ะ ชีเอ้ท่าทางจะไม่กลัวแมงสาบแฮะ มีวิธีอื่นไหมนะ…ก็มีวิธีง่ายๆ ที่ทำให้อีกฝ่ายยอมพูดอยู่นี่น่า!
ผมมองสำรวจตำแหน่งการยืน ตอนนี้ฟรานกับเดเม่เดินนำอยู่หน่อย จากนั้นก็เป็น ผมโดยมียูรินเดินอยู่ข้างขวา ถัดไปก็เป็นเนปฟ่า ส่วนทางซ้ายก็ชีเอ้ ดีมาก ตำแหน่งแบบนี้ทำได้แน่
ผมค่อยๆ เดินไปใกล้ซีเอ้ และรอจังหวะดี ค่อยๆ ยื่นมือไปลูบก้นของซีเอ้ ท่าทางราวกับมือโปรที่เชี่ยวชาญการลวนลามผู้หญิงบนรถไฟ
ชีเอ้ถึงกับสะดุ้งขึ้นมาเบาๆ แต่ยังไม่มีเสียงออกมา ผมเลยลูบก้นต่อ ถึงจะลูบผ่านเสื้อคลุมกับชุดด้านในก็เถอะ แต่มันเป็นผ้าบางๆ เท่านั้น ชุดของชีเอ้เป็นเสื้อคลุมนักบวชสีขาวแทบนํ้าเงิน ต่างจากชุดนักบวชของโบสถ์ที่จะเป็นสีขาวล้วน ความยาวของผ้าคลุมประมาณเข่า ด้านหน้าเปิดโล่งให้เห็นชุดด้านใน ด้านในเป็นชุดกระโปรงสั้นรัดรูปสีเทา
สัมผัสที่มือของผมตอนนี้รู้สึกดีจริงๆ ถึงจะเป็นก้นผู้ชาย แต่มันนิ่มและเต็มมือ ขณะเดียวกันก็ใช้มองทะลุไปด้วย…ไอ้บ้านี้ ขนาดโดนผู้ชายลูบก้น ดุ้นมันยังแข็งอยู่เลย แถมสั่นหงึกๆ เหมือนใกล้จะเสร็จอีก และในที่สุดชีเอ้ก็เปิดปากพูดจนได้
“อย่านะ”
…สะ เสียงนี้มัน อย่างกะเสียงเจ้าแม่นักพากษ์อนิเมะสายตัวละครโลลิซึนชื่อดังเลยนี่หว่า ไอ้เจ้านี้ ไม่ใช่แค่ชอบแต่งหญิงแต่เสียงยังเป็นหญิงด้วยเหรอเนี่ย แบบนี้ก็แฉความลับของมันไม่ได้กันพอดี
ผมปล่อยมือจากก้นของชีเอ้และถอยออกมาอย่างคิดหนัก
“เป็นอะไรไปเหรอ”
ยูรินหันมาถาม
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร แค่คิดอะไรอยู่นิดหน่อย”
ไม่หน่อยล่ะ มีเจ้าตัวผู้โรคจิตแต่งหญิงที่จ้องพวกเธอจนดุ้นแข็งอยู่ตรงนี้ด้วยนะโว้ย แต่คิดอะไรอยู่แปบเดียว พวกผมก็มาถึงชั้นสามแล้ว เรื่องชีเอ้เลยต้องพักไว้ก่อน
“ชั้นนี้พวกเราจะเดินลุยไปตรงๆ เลย เจอตัวอะไรก็จัดการให้หมด”
“ค่ะ/รับทราบ”
พวกฟรานขานรับเป็นเสียงเดียวกัน แต่ผมก็เขยิบเข้าไปหาและกระซิบบอกฟราน
“อย่าใช้พวกสกิลออกมานะ วันนี้แค่โจมตีปกติพอ”
“ได้ค่ะ”
ฟรานไม่ถามเหตุผลแล้วรับคำทันที เป็นเด็กดีที่เชื่อฟังคำสั่งจริงๆ เลยนะ
“แล้วพวกเราล่ะ”
เนปฟ่าเข้าถามมา
“ก็แล้วแต่สถานการณ์โดยรวมแล้ว ตามมาให้ทันอย่าหลุดขบวนก็พอแล้ว”
“เดี๋ยวสิ นี้นายจะผ่านชั้นสามโดยไม่คิดวางแผนอะไรไว้เลยเหรอ”
“คิดสิ ถึงบออกไงแล้วแต่สถานการณ์”
พอผมก้าวออกเดิน ฟรานกับยูรินก็พุ่งออกไปแถวแรก และเริ่มทำการล้างบางพวกมอนสเตอร์ที่โผล่ออกมาทันที ผมเปิดเรดาร์เพื่อหาตำแหน่งของศัตรูไปด้วย และจะชี้ไปทิศทางที่มีมอนสเตอร์อยู่ใกล้ พวกฟรานก็จะพุ่งออกนำไปทิศนั้นทันที
Wererat ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฟรานเลย เธอเหวี่ยงง้าวทีเดียว ชิ้นส่วนของ Wererat ก็จะกระจายไปทั่ว ในกลุ่มที่ออกมาหลายตัว กว่าจะถึงตัวพวกฟรานก็จะลดจำนวนลงเหลือเพียงครึ่ง เพราะเดเม่ยิงส่อยลดจำนวนพวกมันไปก่อนแล้ว แถมยังนัดเดียวจอดเหมือนเคย ส่วนยูรินดูเป็นคนปกติที่ชุด เธอรับมือกับ Wererat ทีละตัว เพียงแต่เธอจบมันได้เร็วมาก ด้วยการหลบการโจมตีครั้งแรก และมุดเข้าประชิด พร้อมกับต่อยหมัดใส่ปล่อยมุดเหล็กเสียบหัวใจตายในหมัดเดียว ก่อนจะย้ายไปหาเป้าหมายอื่นต่อ ตลอดการต่อสู้กับ Wererat พวกฟรานไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
“…”
ผมทำเป็นไม่สนใจพวกเนปฟ่าที่กำลังยืนอ้าปากค้างกันอยู่ และหันไปบอกกับเดเม่ ให้ลองใช้ลูกศรแบบอื่นดู ผลการทดสอบ
ลูกศรเหล็ก ยังใช้ไม่ได้ ไม่หักก็งอหลังยิงไปแล้ว ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก
ลูกศรเงิน สภาพเดียวกัน ยังใช้ไม่ได้ แต่คิดไว้ว่าควรมีไว้บ้าง เพราะมอนสเตอร์ส่วนใหญ่แพ้ธาตุเงิน
ลูกศรเหล็กกล้า มีนํ้าหนักเยอะ ทำให้ยิงช้าลงนิดหน่อย แต่ว่าใช้ได้ มันทนแรงของเดเม่ได้แล้ว ดอกหนึ่งยิงได้ประมาณสิบครั้งก่อนจะเริ่มบิดงอ แต่ยังอยู่ในสภาพที่เอากลับไปให้ยูรินซ่อมได้ จะว่าไปรู้สึกว่าเดเม่จะยิงได้แรงและไกลกว่าเดิมอีกแฮะ ขนาดไม่ใช้สกิล Auto lock ยังยิงโดนทุกดอกในระยะ 60-70 เมตรแล้ว
ส่วนฟรานยิ่งแล้วใหญ่ ทุกวันเธอจะได้รับซูปเปอร์แยมขาวไป จนค่าพลังที่บวกเพิ่มไป แซงค่าพลังหลักไปหมดแล้ว ยูรินเองก็เหมือนกันผมเล่นรัวเธอจนถึงโควต้าทุกวันเลย ค่าพลังเธอเลยสูงกว่าคนที่มีเลเวลเดียวกันแบบทาบไม่ติด แน่นอนว่าดาเซสกับมิรินเองก็น่าจะมีค่าพลังสูงเกินเกณฑ์ไปแล้วเหมือนกัน
จริงๆ ผมอยากทดสอบสกิลสวามิภักดิ์ของฟรานกับมอนสเตอร์ดู เพื่อจะได้รู้ว่ามีโอกาสติดมากน้อยแค่ไหน แต่พวกเนปฟ่าอยู่ด้วย เลยต้องเลื่อนไปก่อน
ส่วนผมตอนนี้ใช้เวทมนต์ได้แล้ว เป็นเวทธาตุดินชื่อ Wall มันสามารถสร้างกำแพงดินขึ้นมาตรงหน้าได้ ใช้มาน่าน้อย เป็นสกิลที่ได้มาจากดอเรียน่ะ ซึ่งผมแปลกใจเหมือนกันที่เธอใช้เวทมนต์ได้ อาชีพของเธอเองก็ยังแสดงว่าเป็นซามูไรเลย ไม่แน่ใจว่าเวทมนต์ของเผ่าพันธุ์หรือความสามารถเฉพาะตัวกันแน่
พอเข้ามาถึงกลางๆ ชั้นก็พบ wererat warrior ซึ่งก็เหมือนพวก wererat อ่ะล่ะ แค่เปลี่ยนอาวุธเป็นดาบและถือโล่ด้วย พวกมันเลเวล 18-20 แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจต้านทานพลังทำลายล้างของพวกฟรานได้เลย
เมื่อใกล้ถึงทางลง ก็ได้เจอ wererat mage แถมยังอยู่รวมกับพวก wererat และ wererat warrior ด้วย มันใช้เวทมนต์สายลมเป็นหลัก แต่ไม่มีปัญหาอะไร เพราะผมให้เดเม่จัดการส่อยพวก mage ให้หมดก่อน แล้วค่อยให้พวกฟรานเข้าเก็บกวาดที่เหลือ ง่ายเกินคาดเลย ด้วยเวลาแค่สามสิบกว่านาที พวกเราก็ผ่านชั้นสามลงมาได้แบบไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
และผมก็ให้ทุกคนหยุดพัก จริงๆ พวกฟรานน่ะยังสบายกันอยู่ แบบหวดมอนสเตอร์แบบมารธอนเป็นชั่วโมงๆ ก็ทำมาแล้ว แค่นี้เลยสบาย แต่พวกเนปฟ่าที่ต้องวิ่งไล่ตาม
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของกลุ่มผมเนี่ยสิ ที่ทำให้พวกเธอหมดแรงกัน
“อะไรของพวกนายกันเนี่ย! ทำไมจัดการมอนสเตอร์ได้ง่ายๆ แบบนั้น ตกลงเลเวลเท่าไรกันแน่เนี่ย”
เนปฟ่าโวยวายถามทันทีหลังได้พักหายใจ
“12”
ผมเลเวลขึ้นมาหนึ่งจากเมื่อคืน
“14”
โอ่ เดเม่เลเวลอัพมาสองเลยเหรอ
“15”
ส่วนฟรานแค่หนึ่ง ครึ่งทางแล้วสินะ แต่ว่าทำไม Lv max ของฟรานน้อยจัง มีวิธีเพิ่มได้หรือเปล่านะ
“10”
ยูรินขึ้นสามเลเวลเลย เอ่อ ผมเปลี่ยนอาชีพให้ได้เลยนี้ ไม่ต้องออกไปก็เปลี่ยนได้เลย
“เลเวลก็พอๆ กันฉัน แต่ทำไมพลังมันต่างกันขนาดนี้ล่ะ!”
“เพราะนายท่านมอบความรักให้พวกเราทุกวัน”
ฟรานเป็นคำตอบ แต่ หือ? นี้พวกเธอรู้ตัวเหมือนกันเหรอ ว่าเวลามีอะไรกับผมแล้วค่าพลังจะเพิ่มขึ้น
“ไม่เห็นเข้าใจเลย!”
เนปฟ่าขยี้หัวตัวเองอย่างสับสน เข้าใจได้ก็บ้าแล้ว
ตอนที่ 47 ลูปัน บอสชั้น 5
ตอนพักเหนื่อยผมได้นำนํ้าผลไม้มาแบ่งให้พวกเนปฟ่าด้วย
“นํ้าอะไรเนี่ย!? อร่อยจัง! นี้นายเอาพื้นที่เก็บของแสนสำคัญในกระเป๋ามาเก็บของพวกนี้ได้อย่างไง อา เย็นชื่นใจจัง!”
จะชมหรือจะด่าเอาสักอย่างสิยัยเอลฟ์เอาแต่ใจนี้
ผมขี้เกียจจะสนใจ เลยหันไปปรึกษากับยูรินต่อ
ยูรินไปถามข้อมูลของมอนสเตอร์ชั้นนี้มาจากพนักงานให้แล้ว ซึ่งที่อยู่ในชั้นนี้ยังเป็น wererat อยู่ แต่เป็นชั้น Knight Shaman และ Lord เลเวลอยู่ที่ 18-24 และถัดไปคือบอสที่อยู่ชั้น 5 มันก็คือ wererat King เลเวล 25 นั้นเอง
ความยากของชั้นนี้คือมันอยู่รวมปนกันตั้งแต่แถวๆ ทางเข้า จะหาที่อยู่แบบเดียวไม่ได้เลย และไอ้ตัว Lord เนี่ย ตัวปัญหาเลย เพราะมันมีสกิลที่ชื่อ Howl of Rat ซึ่งจะเรียกให้พวก wererat ที่อยู่ในระยะรอบๆ ตัวมันมารวมกัน เรียกง่ายๆ ว่าทันทีที่เริ่มปะทะก็จะกลายเป็นสงครามยืดเยื้อขึ้นมาทันที
“เดี๋ยวเปลี่ยนฟอเมชั่นกันหน่อย”
ผมหันไปบอกพวกฟราน โดยรอบนี้ผมจะไปอยู่ที่แถวหน้าด้วย เพราะจะได้ช่วยฟรานให้เข้าถึงตัว Lord ได้เร็วขึ้น และเพื่อไม่ให้ฟรานถูกล้อมได้
“นะ นี้จะเอาจริงเหรอ ชั้นนี้น่ะ ขนาดพวกปาร์ตี้ใหญ่เลเวล 20 ลงมายังแทบไม่รอดเลยนะ”
“ก็ถ้าไม่ไหวก็ค่อยหนี”
ผมไม่ห่วงเรื่องหนีเลย ออกจะถนัดด้วยซํ้า เอ่อ จะว่าไปพวกเนปฟ่าไม่มีใบวาปร์ติดตัวไว้แบบพวกผมนี่น่า จะกลัวก็จะไม่แปลกหรอก
พอพวกเนปฟ่าหายเหนื่อยแล้ว ผมก็เริ่มต่อสู้ทันที โดยมุ่งหน้าไปทางกลุ่มเล็กเพื่อลองเชิงก่อน กลุ่มนี้ มีอัศวินสอง ชาแมนหนึ่ง ลอร์ดหนึ่ง
ผมแบ่งกันคนละตัวเลย ผมกับยูรินพุ่งเข้าชนอัศวินคนละตัว ส่วนเดเม่จัดการชาแมน และฟรานตรงเข้าหาลอร์ดอย่างเดียว
อัศวินหนูที่ผมรับมือ เก่งทีเดียว ก็แน่ล่ะเลเวลต่างกับผมเกือบสิบเลย พอค่าพลังต่างกัน เวลาผมฟันลงไปมันแค่ปัดกลับผมก็จะกระเด็นออกมา ยูรินเองก็เช่นกัน ยังล้มอัศวินในหมัดเดียวไม่ได้ แต่ดูจะมีภาษีดีกว่าผมเยอะ
แต่เดเม่ยังยิงใส่ชาแมนนัดเดียวอยู่เช่นเคย ฟรานเองก็ด้วยเธอจามทีเดียว ร่างของลอร์ดแยกเป็นสองส่วนขาดไปพร้อมกับอาวุธที่ยกขึ้นมาป้องกันเลย พวกเธอกำลังจะเข้ามาช่วยผม แต่ผมห้ามไว้ จากนี้จะต้องใช้ฟอเมชั่นแบบนี้ เพราะงั้นผมกับยูรินจะต้องหาวิธีสู้กับพวกมันให้ได้
กับไนท์ผมใช้ดาบสู้ไม่ไหว เลยเปลี่ยนไปเป็นมีดคู่ เพื่อใช้ความคล่องตัวดู ซึ่งทำให้ผมคุมสถานการณ์อยู่ แต่มีดผมไม่
มีพลังพอจะเจาะมันเนี่ยสิปัญหาเลย แต่แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“Wall!!”
ผมใช้ Wall ใส่พื้นใต้เท้าของอัศวินหนู ร่างของมันถูกพื้นดันขึ้นมาจนตัวลอย จังหวะนั้นเองผมเปลี่ยนไปใช้ดาบ และแทงส่วนจังหวะที่มันตกลงมา นํ้าหนักตัวบวกกับชุดเกราะ ทำให้ต่อผมไม่ใช่แรง ดาบก็แทงทะลุตัวมันไปได้อยู่ดี
พอจัดการได้แล้วผมก็รีบหันไปมองยูริน เธอใช้ถุงมือเหล็กปัดการโจมตีได้อยู่ แต่ว่าไม่มีจังหวะสวนกลับเพราะอัศวินหนูเคลื่อนไหวรัดกุมมาก
“ยูรินเท้า!”
ผมตะโกนบอกไป ยูรินเองก็เข้าใจได้ทันที พอปัดการโจมตีได้ก็พุ่งเข้าไปแบบเดิม แต่เธอไม่ได้ปล่อยหมัด แต่กระทืบเท้าใส่ บี้เท้าของอัศวินหนูจนแหลก แต่นี้เป็นการโจมตีเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของมันไว้ พอหลบไม่ได้มันก็ถูก
หมัดและหมุดเหล็กทะลวงหัวใจจนตายคาที่ ใช่แล้ว จุดอ่อนของอัศวินก็คือเท้า เกราะที่ยื่นออกมาทำให้มองตำแหน่งเท้าของตัวเองไม่ได้ ฉะนั้นจะไปป้องกันได้อย่างไงกันล่ะ
“นายท่านสุดยอดค่ะ!”
ฟรานรีบเข้ามาชมผมด้วยความประทับใจสุดขีด เดเม่กับยูรินก็ตามเข้ามาด้วย
“นายท่านใช้เวททำให้ศัตรูเสียสมดุลแบบนี้ หนูคิดไม่ถึงเลยค่ะ”
“เท้าสินะ ไม่รู้เลย ขอบคุณ”
“จากนี้ไปก็ใช้รูปแบบนี้สู้ต่อเลยนะ กรณีถ้ามีอัศวินหนูมากกว่าสอง ฟรานเธอก็ช่วยจัดการก่อนจะเข้าไปหาลอร์ดนะ”
“รับทราบค่ะ!”
“ดีมาก ทำได้ดีทุกคนเลย”
ผมลูบหัวพวกเธอคนละที ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการกวาดล้างต่อ
รอบนี้ผมใช้ Glory ดู ผลดีกว่าที่คิดไว้ซะอีก เพราะดาบผมฟันเกราะอัศวินตรงๆ เข้าแล้ว ส่วนยูรินต่อยทีเดียวโล่อัศวินถึงกับแตกเลย ส่วนฟรานกับเดเม่จะมี Glory หรือไม่มี ก็โป้งเดียวจอดอยู่แล้ว
แต่ก็มีบางครั้งที่ลอร์ดใช้ Howl of rat ออกมาได้ทันก่อนโดนฟรานฆ่า พวกเราเลยโดนรุมจากอีกกลุ่มทันที แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทีมของผมจัดการทีมแรกได้หมดก่อนทีมสองจะมาถึง จนผมต้องบอกฟรานเลยว่า ให้ลอร์ดใช้ Howl ก่อนก็ได้ค่อยฆ่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเดินหาพวกมัน
จริงๆ เนปฟ่าก็อยากจะมีส่วนร่วม แต่พอเล็งร่ายเวทใส่ตัวที่อยู่ไกล ก็ร่ายเวทไม่ถัดความเร็วในการฆ่าของฟรานกับเดเม่ พอจะร่ายใส่ตัวใกล้ ก็กลายเป็นว่าผมโดนลูกหลงของเวทไปด้วย สุดท้ายเธอเลยต้องยืนดูเฉยๆ ไป
ด้วยความยากของชั้นนี้ทำให้พวกผมใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมง กว่าจะถึงทางลงไปห้องบอส
“แย่จริง ใช้เวลามากกว่าที่คิดไว้ซะอีก”
ผมมองดูเวลา ซึ่งตอนนี้เกือบจะบ่ายสามแล้ว และกว่ากลับออกไปก็คงสี่โมงแล้วแน่ๆ ผมเลยจำเป็นต้องทำเวลาแล้ว
“ฟราน เปลี่ยนแผน ใช้ Dancing เปิดบอสเลย”
“รับทราบค่ะ”
ฟรานจับง้าวแน่นเตรียมลุยเต็มที่ ผมเองก็เปิดประตูห้องบอสเข้าไป โดยไม่รอให้พวกเนปฟ่าที่พึ่งตามมาถึงได้พักหายใจ
ผมกับยูรินเข้าไปก่อน และแยกกันเป็นซ้ายขวา
ราชาหนู ตัวใหญ่กว่าพวกมนุษย์หนูเท่าตัว ถือดาบใบใหญ่(ดาบจีน)สองมือ สวมมุงกุฎสีเงินบนหัว ใส่ชุดด้วยเสื้อคลุมสีแดงดูหรูหรา และมันใช้เวทมนต์สร้างพายุได้
ฟรานพุ่งเข้าไปตรงๆ พร้อมกับใช้ Dancing Moon ออกมา ความเร็วในการเข้าประชิดตัวของเธอนั้น เร็วมาก และความเร็วนั้นยังทำให้ร่างแยกเร็วตามไปด้วย ราชาหนูไม่อาจทำได้แม้แต่จะใช้อาวุธในมือปัดป้องตัว ร่างกายก็ถูกสับเป็นชิ้นๆ แล้ว ผมแน่ใจว่ามันตายตั้งแต่ก่อนโดนงัดขึ้นไปซะอีก
ขนาดบอสชั้น 5 ยังโดนฟรานจัดการได้ในพริบตา ตกลงระดับของฟรานนี้วัดอะไรไม่ได้เลยสินะ
ส่วนพวกผมก็แยกย้ายกันไปจัดการพวกลูกน้องของราชาหนูในห้องนั้นต่อ ซึ่งมีมนุษย์หนูทุกชนิด อย่างล่ะสองสามตัว เลยไม่เสียเวลาเท่าไร
หลังจากโกยพวกไอเท็มดรอปมาหมดแล้ว ก็กลับออกมาด้วยเส้นทางรันเนอร์เวย์ทันที
ระหว่างทางพวกเนปฟ่าถึงกับเดินคอตกกันไปเลย เพราะแบบนี้แหละถึงไม่อยากให้มาด้วย ความเร็วกับพลังในการล่าของพวกฟานน่ะ แตกต่างจากพวกออกัสแบบเทียบไม่ติดเลย
วันนี้ผมไม่ได้นับเลยว่าได้อะไรมาบ้าง เพราะอย่างไงก็ต้องขายหมดแล้วหารสามอยู่ดี ราชาหนูดรอปของแรร์มาด้วย นั้นก็คือมงกุฎเงิน ซึ่งเพิ่มค่าพลังให้นิดหน่อย จริงๆ ผมอยากได้ไว้ให้เดเม่ใส่ เพราะเธอยังไม่มีเครื่องป้องกันส่วนหัวเลย นอกจากแทบผ้าคาดหัวของเมด ซึ่ง…ไม่นับเป็นเครื่องป้องกันสิ มันแค่อุปกรณ์เสริมความโมเอะเท่านั้น แต่สุดท้ายมันก็ต้องโยนเข้ากองกลางแล้วขายเอาเงินมาแบ่งอยู่ดีแหละ ลืมๆ มันไปดีกว่า ไว้ถ้าจะเอาจริงๆ ค่อยลงมาล่ากันเองใหม่วันหลัง
ระหว่างทางกลับพวกเราแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลย พวกเนปฟ่าไม่ถามด้วยซํ้า ว่าสกิลสุดท้ายที่ฟรานใช้มันคือท่าอะไร คงช็อคล่ะมั่งที่บอสชั้นห้าถูกสกิลทีเดียวตายเลย
ส่วนพวกฟรานกำลังคุยกันเรื่องมื้อเย็น ฟรานคิดว่าผมจะทำราเม้ง (นี้เธอชอบสินะ) ส่วนยูรินคิดว่าเป็นบาบิคิว (เฮ้ย พึ่งกินไปเมื่อวาน จะกินอีกแล้วเหรอ!) เดเม่ไม่ออกความเห็น เพราะไม่ว่าจะเป็นอะไรที่ผมทำเธอก็ชอบหมด
แน่นอนว่าชื่ออาหารที่พวกฟรานพูดออกมา พวกเนปฟ่าไม่อาจทำความเข้าใจได้เช่นกัน เลยไม่อาจเข้ามาร่วมวงสนทนาได้ อืม น่าสงสารแฮะ
พวกผมกลับมาถึงกิลแล้วส่งเควสปราบบอสราชาหนูกับมอเรีย เธอชมผมใหญ่เลย แถมเป็นสถิติเร็วสุดของนักผจญภัยหน้าใหญ่ด้วย เควสราชาหนูนั้น เป็นเควสที่ทำได้แค่วันละครั้งเท่านั้น เพราะหลังจากราชาหนูตายไปแล้วก็ต้องรอหนึ่งวันถึงจะฟื้น
ถึงจะมีรันเนอร์เวย์ที่ใช้ข้ามห้องบอสไปได้ แต่ว่าทางกิลก็ต้องการให้บอสราชาหนูถูกปราบ เพราะมันจะช่วยให้จำนวนมอนสเตอร์ในชั้น 4 ลดน้อยลง
ค่าหัวของราชาหนูคือ 2000 รีล ซึ่งผมโยนเข้ากองกลางแล้วไว้ค่อยหารพร้อมของที่ขายได้
รอบนี้ขายได้เงินกว่า 3แสนรีลเลยทีเดียว ขนาดพนักงานกิลยังสงสัยเลยว่า ทำไมพวกผมถึงได้พวกไอเท็มแรร์ดรอปมาเยอะจัง โดยเฉพาะอัญมณีเลือดเนี่ย ที่ดรอปจากมนุษย์หนูทุกประเภท ได้มาเยอะมากจนแทบล้นกระเป๋าของทุกคนเลย
หารสามแล้ว ผมก็แบ่งให้พวกเนปฟ่าไปคนละแสนกว่าๆ ซึ่งพวกเธอก็รับไปแบบกระดากใจเหมือนกัน แต่ผมไม่มีเวลามายืดยาด เลยรีบๆ ยัดเงินให้พวกเธอแล้วแยกกันทันที
ผมนัดพวกดาเซสไว้ที่ร้านเสื้อร้านประจำ เพราะยังไม่ได้ซื้อชุดให้พวกโมอากับเมยอาเลย แถมจะซื้อชุดใหม่ให้กับพวกฟรานด้วย เลยยกกันมาหมดบ้าน ยกเว้นเอร่าที่ยังไม่
ยอมลุกไปไหน เลยทิ้งให้อยู่บ้านรอดอเรียที่ยังไม่กลับมา และเพราะผมมาช้ากว่าเวลานัดไปหน่อยหนึ่ง ทุกคนเลยมารออยู่ก่อนแล้ว
ผมเลือกชุดกระโปรงยาวแบบเรียบๆ เนื้อผ้าทนทานไว้ให้โมอาใส่ทำงานสามชุด ส่วนที่เหลือก็เป็นชุดใส่ทั่วไป ส่วนของเมยอาเป็นนักบัญชีประจำบ้าน ผมเลยเลือกชุดที่ดูเป็นทางการน่าเชื่อถือหน่อย โดยเป็นสุดสูทแบบเสื้อกั๊กและกางเกงขายาวแบบเข้ารูป ตอนแรกนึกว่าเมยอาจะไม่ชอบซะอีก แต่เธอถูกใจจนตาเป็นประกายเลย
พวกโมอาเองตอนแรกก็ไม่กล้ารับเสื้อผ้าที่มีราคาแพงแบบนี้จากผม แต่พอผมบอกไปว่าถ้าไม่รับก็ดีนะ จะได้ให้แก้ผ้าอยู่บ้านทั้งวันเลย พวกเธอเลยจำใจรับไปจนได้ เพราะรู้ว่าผมเอาจริงแน่
แต่พวกชุดอื่นกับชุดชั้นใน พวกเธอเข้าไปเลือกเองโดยมีมิรินกับดาเซสคอยแนะนำให้ ผมเองก็อยากจะเลือกให้หรอก
นะ แต่เมยอาน่ะสิ ไม่ยอมท่าเดียว ยิ่งตอนที่ผมหยิบกางเกงในสีแดงแบบเอวตํ่าให้เธอ ถึงกับวิ่งหนีไปเลย พวกฟรานเองก็เริ่มกล้าที่จะเลือกเสื้อผ้ากันเองแล้วเหมือนกัน เศร้าแฮะ ช่วงเวลาสุขสรรค์ของนายท่าน มันหายไปไหนแล้ว Come back!!!
แต่มีชุดหนึ่งที่ผมเป็นคนเลือกเองได้อยู่ นั้นก็คือชุดราตรี ผมซื้อให้พวกเธอคนละชุดโดยไม่บอกให้รู้ กะเป็นเซอไพส์อ่ะนะ ผมเองก็เลือกเสื้อผ้าใส่เองไปด้วยสองสามชุด และยังเอาชุดสูทหางยาวแบบพ่อบ้านมาด้วย
ส่วนราคาเสื้อผ้าทั้งหมดที่ซื้อกัน เล่นเอาเงินที่หาได้วันนี้หายวับไปเลย ตอนแรกพวกฟรานจะออกเงินในส่วนของตัวเองกัน แต่ผมห้ามไว้และบอกว่าให้เก็บเงินไว้กับของจำเป็นกว่านี้
จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถม้าที่มีถุงใส่เสื้อผ้ากองไว้เต็มด้านหนึ่ง แถมตอนนี้ผมยกเอาตู้เย็นที่แช่เครื่องดื่มมาไว้บนรถม้า
ด้วย พวกเราเลยได้นั่งไปดื่มไปได้ แต่ว่าเรื่องรถกระแทกเนี่ย ไว้เดี๋ยวผมต้องปรึกษากับมิรินแล้วสร้างอุปกรณ์เวทกันกระเทือนมาติดซะแล้ว
ส่วนยูรินสงสัยรอถึงคํ่าไม่ไหว เลยปีนขึ้นมานั่งบนตักผม ซึ่งเป็นสัญญาณที่พวกเรารู้กันเอง ผมเลยจัดการสอดใส่กันแบบเงียบๆ ไม่ให้ไปรบกวนคนอื่น ถึงแม้จะทำให้เห็นไปเลยก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่พอดีมีเมยอาอยู่ด้วย เลยต้องแอบๆ หน่อย แต่ก็เก็บไว้ได้ไม่มิดหรอก เพราะพอยูรินถึงจุดก็ส่งเสียงร้องออกมาซะแล้ว
และที่จะไปกันต่อไป ก็คือเป้าหมายหลักของวันนี้ ไปซ่องเพื่อไถ่ตัวอาเดไลท์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น