ตอนที่ 84 ปะทะ 3 Riad
ผมตรวจดูสถานะทันที ไม่มีใครติดผลลบอะไร และเรดาห์ยังนิ่งอยู่ แปลว่าเป็นสกิล Howl ประเภทเพิ่มพลังให้กับพวกเดียวกัน
“Glory!”
ผมไม่รอช้า ใช้ Glory ออกไปทันที ขณะที่พวกผมพุ่งเช้าชนกับพวกมัน ที่มีศพออร์ควิ่งนำมา
ยูรินกับเอสเตอร์รีบจัดการกับพวกศพ ถึงจะได้รับบัพ Glory ไป แต่ยังจัดการกับพวกศพยากอยู่ดี บัพของเจ้าหมาสามหัวนั้น น่าจะเป็นการเพิ่มความเร็ว แต่ตอนสู้ๆ กันอยู่นั้น ก็มีเสียงหอนขึ้นมาอีกครั้ง
พลังของพวกศพเพิ่มขึ้นมาอีก! ไอ้เจ้าหมาสามหัวนั้นใช้บัพได้หลายแบบเหรอ แย่ล่ะสิ
“เดเม่ รีบจัดการเจ้าหมาสามหัวก่อน”
ถ้าเป็นปกติผมคงเลือกที่จะถอยไปแล้ว แต่นี้ผมอยู่กับพวกฟราน ซึ่งผมมีความมั่นใจในตัวพวกเธอมากที่สุด
ผมใช้ดาบศิลาเย็นผ่าร่างของศพตัวที่สองไป ขณะที่ยูรินกับเอสเตอร์จัดการไปได้แล้วคนละตัว สองตัวที่หลุดไปทางพวกโบสถ์เป็นตัวเลเวลน้อย แถมมียูรินคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ ผมเลยไม่ห่วง จึงรีบเข้าไปช่วยเอสเตอร์ที่กำลังโดนรุมอยู่
แต่มีตัวหนึ่งล้มตึงลงและสลายไป ตายไปแล้ว? อ้อ เนตรพิชิตเหรอ แต่ลดศพไปได้ตัวหนึ่งก็ดีแล้ว ส่วนผมไม่มีปัญหาในการต่อสู้เท่าไร ถึงจะเร็วขึ้นก็ยังพอจับจังหวะได้ ส่วนพลังที่เพิ่มขึ้นมาก็เปล่าประโยชน์ เพราะอย่างไงก็โดนผมฟันทีเดียวตายอยู่แล้ว
ที่ลำบากน่าจะเป็นยูรินกับเอสเตอร์มากกว่า ผมเลยต้องเอาจริงมากกว่าเดิม เสียงต่อสู้ยังดังมาจากทางพวกฟรราน ถึงจะไม่ได้หันไปดู ก็รู้ว่าเป็นศึกที่
ลำบากน่าดู เพราะปกติเสียงที่มาจากทางฟราน จะเป็นเสียงง้าวฟันตัดกระดูก แต่ตอนนี้เป็นเสียงเหล็กปะทะกัน
ผมจัดการศพตัวที่ห้าไปแล้ว ช้ากว่าที่คิด เพราะพอพวกมันรู้ว่าโดนผมฟันทีเดียว ก็จะกลายเป็นศพรอบสอง ก็เลยเอาแต่หลบกันอย่างเดียว แต่จะเล่นไล่จับกับผมนะ คิดผิดซะแล้ว ผมใช้ Wall จังหวะที่พวกมันโดดถอยหลังไป พอหลังชนกำแพงดินก็ไม่มีทางหนี และตกเป็นเหยื่อของดาบศิลาเย็น
พอหันไปทางฟราน ก็เห็นพวก Raid ยังอยู่กันครบ ฟรานรับมือกับศพออร์คอยู่ เจ้านี้เก่งเอาเรื่องเลย ใช้ดาบฟาดฟันกับง้าวของฟรานได้อย่างสูสี ไม่สิเป็นฝ่ายกดดันฟรานอยู่ด้วยซํ้า!
ส่วนเดเม่พยายามโจมตีใส่ศพหมาสามหัว แต่ดันมีเจ้าศพมิโนทอร์ขืนขวางอยู่ มันใช้ค้อนแบบ
เดียวกับจามิร่าเป็นอาวุธ ขนาดเดเม่ใช้สกิล กระสุนรวมศูนย์ มันยังใช้ค้อนหวดใส่กลับ วงสวิงอย่างกะนักเบสบอลมืออาชีพเลย แถมเสียงปะทะแต่ละครั้งดังจนแก้วหูลั่น
“เดเม่ใช้ธนูดาวตก”
ที่ผมให้เปลี่ยนเพราะถึงสกิลกระสุนรวมศูนย์จะรุนแรง แต่แกนของมันเป็นแค่หัวลูกศรที่เบา เลยโดนปัดกระเด็นได้ง่ายๆ แบบนั้นแต่ถ้าเป็นลูกศรเหล็กขนาดใหญ่ที่มีนํ้าหนักมากล่ะก็ แรงปะทะจะยิ่งรุนแรงขึ้น
เดเม่หยิบธนูดาวตกออกมา และยิงลูกศรออกไปทันที แต่เจ้ามิโนทอร์ยังใช้ค้อนของมันหวดทิ้งได้อยู่อีก แต่ทว่าแขนของมันเริ่มปริแตก นี้ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นศพแขนคู่นั้นคงใช้การไม่ได้แล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเวลา
แล้วว่า มันจะปัดธนูของเดเม่ได้กี่ครั้ง ก่อนที่แขนมันจะฉีกขาดไป
ผมหันไปช่วยฟรานรับมือกับออร์คแทน ส่วนยูรินกับเอสเตอร์ ผมให้คุมเชิงห่างๆ เพราะพลังโจมตีของเจ้าพวกนี้สูงมาก ดีไม่ดีอาจสังหารพวกเธอได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
แถมผมประเมินพวกมันพลาดไป พอเดเม่ไม่สามารถเก็บเจ้าหมาสามหัวได้ มันก็เริ่มหอนอีกครั้ง แต่เสียงหอนต่างจากสองครั้งแรก หรือว่าแต่ละหัวของมันจะใช้ Howl ได้ไม่ซํ้าแบบกัน แต่คราวนี้อะไรอีกล่ะ
ยังไม่ทันไรเสียงเรดาร์เตือนก็ดังขึ้นมา ผมเห็นจุดสีแดงกำลังเคลื่อนเข้ามาจากทุกทาง Howl แบบเรียกพวก!!
“เดเม่ช่าง Raid มัน พวกศพกำลังรุมเข้ามา รีบจัดการให้หมดก่อน”
จากนั้นผมก็หันไปบอกฟรานต่อ
“ฟรานสลับคู่กัน เธอไปจัดการเจ้ามิโนทอร์ซะ ส่วนออร์คผมจะรับมือเอง”
“…ค่ะ”
ถึงฟรานจะรับคำสั่ง แต่ผมสังเกตเห็นว่าเธอไม่เห็นด้วย เพราะออร์คตัวนี้เก่งมาก ขนาดเธอยังรับมือลำบาก เลยกลัวว่าผมจะเป็นอันตรายได้ แต่ตอนนี้ผมต้องวางหมากอย่างเหมาะสม ถึงแม้หมากบางตัวอย่างผม จะต้องอยู่ในจุดที่อันตรายก็ตามที
แต่ถ้าผมรับมือออร์คอยู่ ไม่ต้องถึงกับชนะหรอก แค่ดึงมันเอาไว้ เดเม่ก็จะจัดการพวกศพได้ไม่ยาก
ด้านฟรานก็น่าจะเอาชนะมิโนทอร์ที่บาดเจ็บที่แขนได้ ส่วนหมาสามหัวปล่อยไพ่ออกมาหมดมือแล้ว แถมการที่มันอยู่แถวหลังตลอด แปลว่าไม่ใช่ประเภทที่สู้ประชิดตัวเก่ง
ใช่แล้ว นี้คือการส่งหมากที่อ่อนที่สุดอย่างผม ไปเจอตัวเก่งที่สุดของศัตรู และส่งตัวเก่งสุดของผมสองคน ไปเจอกับหมากที่อ่อนกว่าของอีกฝ่าย เพื่อเก็บชัยชนะที่แน่นอนกลับมา แบบนี้ก็เท่ากับว่า ชนะสองและแพ้หนึ่งหรืออาจเสมอหนึ่ง ก็แล้วแต่ผมล่ะนะ
พอเข้าไปเผชิญหน้ากับเจ้าศพออร์ค ผมรู้ได้ถึงแรงกดดันทันที แต่ว่าไม่เท่าไรหรอก ขนาดนี้เทียบกับพวกอ่อนๆ ในปราสาทจอมมารไม่ได้เลย บางทีเพราะผมอาจจะอยู่ในที่ไม่ควรอยู่ อย่างปราสาทจอมมารมาตั้งแต่
ต้น ถ้าเพียงแค่แรงกดดันเพียงอย่างเดียวล่ะก็ ทำอะไรผมไม่ได้หรอก
ก็คิดดูสิ เลเวลหนึ่งเพียงหนึ่งเดียว ที่ใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทจอมมาร ท่ามกลางการต่อสู้ของพวกเลเวลร้อยอัพ ยังมีอะไรต้องกลัวอีกเหรอ?
แต่แรงกดดันก็อยู่ส่วนแรงกดดัน แต่ฝีมือของเจ้าออร์คนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย
ดาบของมันเร็วมาก เร็วขนาดผมออกดาบรับดาบสองของมันไม่ทัน จนต้องใช้โล่ช่วยปัดป้องไปด้วย ถ้าไม่เข้าใจให้นึกถึงภาพคนที่ถือดาบสองเล่มได้เลย เจ้าออร์คเร็วขนาดใช้ดาบเล่มเดียวฟันเหมือนมีดาบสองเล่มได้ประมาณนั้น
แต่ว่าพอไหว ถึงความเร็วและพลังจะสู้ไม่ได้ แต่ผมตอบสนองได้ไวกว่า อย่างน้อยผมก็มองตามความเร็วของดาบมันได้ทันอยู่
ผมต้องเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่คู่ต่อสู้ เลยไม่ได้รับรู้การต่อสู้ของคนอื่นเลย แต่ผมมั่นใจว่าทุกคนต้องเอาอยู่ เจ้าศพออร์คเห็นผมตั้งรับการโจมตีมันได้หมด ก็แสยะยิ้มออกมา มันหยุดมือลงและถอยออกไปควงดาบเล่น
ถึงศพจะพูดไม่ได้ แต่เหมือนผมจะสื่อสารกับมันรู้เรื่องเลยแฮะ สีหน้ามันเหมือนกำลังพูดว่า ‘ไม่เบานี้หว่า’
ออร์คนั้นเป็นมอนสเตอร์ที่มีพลังและความเร็วต่างจากรูปลักษณ์ที่เห็นมาก ถึงมันจะอ้วนและตัวใหญ่ แต่มันเร็วและคล่องมาก อาวุธที่ใช้ก็ใหญ่ตาม
ขนาดตัวไปด้วย แค่แรงปะทะของอาวุธก็เหนือกว่าอีกฝ่ายแล้ว แต่เจ้าตัวนี้ ผมรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น มันเหมือนกับ…ใช่ จิตวิญญาณของนักรบสินะ แบบเดียวกับแรงกดดันที่มันปล่อยออกมา
ออร์คเริ่มขยับอีกครั้ง คราวนี้มันพุ่งเข้ามาโจมตี โดยใช้นํ้าหนักตัวให้เป็นประโยชน์ มันดันจนผมตัวลอย แรงปะทะเกือบทำให้ดาบหลุดมือ แต่เพราะผมผ่อนแรงปะทะลงเลยไม่เสียหลัก ออร์คดูประหลาดใจ แต่มันยิ่งแสยะยิ้มออกมา
ผมเห็นมันฟันดาบออกมาอีกครั้ง เลยจะใช้ดาบปัดออกไป แต่จู่ๆ ดาบของออร์คก็เลื่อนหายไปจากสายตาผม กว่าจะรู้ตัวผมก็ถูกฟันเข้ากลางอกแล้ว
ตัวผมถูกอัดกระเด็นลอยไปหลายเมตร Hp ผมลดฮวบถึงหลักพัน เป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดที่
เคยโดนมาเลย ถ้าไม่ใช่เกราะมังกรขั้นต้นผมคงตายไปแล้ว เลือดผมไหลซึมออกมาจากเกราะ และยังได้ยินเสียงฟรานกับเดเม่ตะโกนด้วย พวกเธอเหมือนจะโกรธมาก ที่ออร์คมันทำให้ผมบาดเจ็บ
“อย่าทิ้งหน้าที่ตัวเอง!”
ผมตะโกนเตือนสติทุกคนไป ถึงจะยังไม่รู้ว่าผลรอบข้างจะเป็นอย่างไงก็เถอะ เพราะผมละสายตาไปจากออร์คไม่ได้ เจ้านี้ร้ายกาจจริงๆ มันใช้สกิลตอนที่ฟันออกมา ทำให้ความเร็วของดาบเปลี่ยนกระทันหัน ผมว่าน่าจะเป็นสกิล Slash แบบเดียวกับที่ดาเซสใช้แน่ๆ ตัวสกิลอาจจะไม่ได้ร้ายกาจอะไร แต่จังหวะที่มันใช้เนี่ยสิ
มันรู้ว่าผมใช้วิธีมองตามดาบ และค่อยรับมือตอบโต้ มันเลยรอผมขยับก่อน แล้วค่อยใช้สกิลเพื่อเปลี่ยนความเร็ว จนทำให้ผมรับมือไม่ทัน
ผมลังเลว่าควรจะหยิบยาออกมาดื่มดีไหม เพราะเจ้าออร์คจ้องผมอยู่ จังหวะที่ยกกระดกมันอาจพุ่งเข้ามาโจมตีก็ได้ แต่เหมือนมันรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เลยปล่อยท่าตั้งดาบลงเป็นยืนธรรมดา และกวักมือเหมือนเชิญให้ผมฟื้นพลังได้ตามใจชอบ นี้มันหยามผมอยู่เหรอ!
แต่รับไว้ก็ได้ฟ่ะ
ผมหยิบยาฟื้นพลังออกมาดื่ม แต่มันไม่รอให้ยาแสดงผลหรอก พอเห็นผมดื่มเสร็จมันก็เริ่มสู้ต่อทันทีเลย
แต่ด้วยผลของยาฟื้นพลัง บวก Hp regen กับ Drain ทำให้ผมฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว จนไม่ทำให้เสียเปรียบมากนักจากอาการบาดเจ็บ
ทว่าถึงจะรักษาหายแล้ว แต่เทคนิกการใช้สกิลของมัน ผมยังไม่มีวิธีรับมือเลย จะใช้ Wall ก็คงไม่ทัน หลบ! ในเมื่อรับมือไม่ได้ ก็ต้องหลบเอา
ผมเปลี่ยนมาเว้นระยะ แต่ใช้การหลบหลีกแทน ใช้ดาบกับโล่เฉพาะตอนที่กระชั้นชิดจริงๆ ถึงเหมือนผมเป็นฝ่ายถอยหนีท่าเดียว แต่มันก็ทำให้ออร์คใช้เทคนิกที่ถนัดออกมาไม่ได้
ได้ผลแฮะ เว้นระยะแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ปลอดภัยแล้ว
แต่ผมอ่อนหัดไปจริงๆ ที่คิดอะไรแบบนั้น เพราะพอผมเว้นระยะออกมา ออร์คมันก็ตั้งท่าดาบและพุ่งหายไปจากสายตา ผมโดนโจมตีอีกแล้ว! ออร์คมันพึ่งพุ่งผ่านตัวผมไป พร้อมกับลงดาบใส่ผมเต็มๆ มันคือสกิล Flash Slash!
ทว่าโชคผมยังเหลือกว่า เพราะเกราะมังกรขั้นต้นมีสกิล Reverse ที่มีโอกาสย้อนสกิลของอีกฝ่ายกลับไปได้ คนที่บาดเจ็บไปเต็มๆ เลยเป็นเจ้าศพออร์คแทน มันได้แผลเหมือนถูกฟันจนตัวแทบขาด มันหันมามองผมด้วยสีหน้าเจ็บใจ ผมเองก็ด้วย ผมรอดมาได้เพราะดวง ไม่ใช่เพราะฝีมือตัวเอง
อาการบาดเจ็บของออร์ครุนแรงมาก จนมันเองยกดาบไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เพียงแค่ผมวิ่งเข้าไปซํ้า ด้วยพลังโจมตีของดาบศิลาเย็น เพียงแค่ดาบเดียวผมก็ฆ่ามันได้แล้ว แต่ในใจผมรู้สึกต่อต้านออกมา ใช่ ผมอยากชนะ แต่ไม่ใช่แบบนี้ เจ้าศพออร์คมันตั้งใจสู้อย่างตรงไปตรงมาแท้ๆ แถมยังมีมาหยามผมด้วย ใจมันเลยยอมรับให้จบแบบนี้ไม่ได้
ผมลดดาบลง ผลของการต่อสู้ครั้งนี้ต้องเลื่อนออกไปก่อน ศพออร์คดูเหมือนจะเข้าใจ ว่าผมต้องการจะปล่อยไป เลยหันหลังกลับและเดินจากไปเงียบๆ
และพอผมหันไปดูทางอื่น ก็พบว่าเหลือแค่ Raid หมาสามหัวเท่านั้น ส่วนศพกับRaid มิโนทอร์ถูกเก็บไปหมดแล้ว
ส่วนหมาสามหัวโดนธนูของเดเม่ระเบิดหัวไปแล้วสอง และตอนนี้กำลังโดนฟรานไล่สับอยู่ น่าสงสารมันจริงๆ คงโดนเป็นเป้าระบายอารมณ์ของพวกฟรานอยู่ล่ะมั่ง แถมไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไรด้วย ผมเลยไม่ต้องเข้าไปช่วยอะไร และเริ่มเดินเก็บไอเท็มดรอป รอบนี้ตกของดีเยอะพอสมควร
นอกจากเหรียญเงินแล้ว ยังได้คริสตัลมาก้อนหนึ่งจากพวกศพ ส่วนของ Raid มิโนทอร์ ได้เหรียญทองเล็กมาห้าเหรียญค้อนมิโนทอร์ เขามิโนทอร์ เนื้อชี่โครงวัว
แล้วก็จาก Raid หมาสามหัวที่พึ่งโดนฟรานฆ่าไปพอดี ได้เหรียญทองเล็กสามเหรียญ มุกดำ คริสตัลวิญญาณ และลูกแก้วอันเชิญ เซอร์เบอรัสโคลน ข้อดีของลูกแก้วอันเชิญคือ เมื่อใช้ไปแล้ว มอนสเตอร์ที่เรียกออกมา จะอยู่ตลอดไปจนกว่ามันจะตาย และจะเชื่อฟังคำสั่งของผู้อันเชิญอย่างเคร่งครัด
ผมใช้สกิลประเมินราคาดู ที่มีราคาสูงมากเป็น เขามิโนทอร์ กับ มุกดำ สองอย่างนี้ราคาชิ้นล่ะ 270,000 – 280,000 รีลเลยทีเดียว แต่แพงสุด
เป็นค้อนมิโนทอร์ ราคาเกือบล้านแต่ผมไม่คิดจะขายอยู่แล้ว
ส่วนเนื้อซี่โครงก็แพงเอาเรื่องราคาหลายหมื่นอยู่ งานนี้ค่อยคุ้มหน่อย
ทุกคนรีบเข้ามาหาผม และตรวจดูอาการบาดเจ็บ แต่ Hp ผมเต็มแล้วเลยหมดห่วงได้ ด้านคนที่เลเวลอัพก็มีแค่ยูรินกับเอสเตอร์ ยูรินเลเวล 20 เอสเตอร์เลเวล 11 ส่วนพวกโบสถ์ใหญ่ยังไม่มีใครอัพ ผมก็ด้วย
ส่วนสกิลผมกับฟรานได้สกิลใหม่มา
ฟรานได้สกิล Dodge Lv 1 (Passive skill)
ส่วนผมได้สกิล Spirit Lv 1 (Passive skill)
Dodge เป็นสกิลที่เพิ่มความเร็วในการตอบสนอง และการเคลื่อนไหวหลบหลีกของร่างกาย ส่วน Spirit ของผมเพิ่ม…จิตใจเข้มแข็งขึ้น! เพื่อ!? ไม่เอาได้ไหม ขอ Dodge แบบฟรานยังดีซะกว่า!
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกผมล่าพวกศพจนเกือบถึงเที่ยงคืน ก่อนจะพากันกลับค่ายพัก
พวกนักโบสถ์ใหญ่เลเวลอัพกันล่ะ ตอนนี้ ทุกคนเลเวลอยู่ที่ 23 ซึ่งเร็วกว่าที่คิดกันไว้มาก วันเดียวได้ถึงสามเลเวลแบบนี้ พวกโบสถ์ใหญ่ไม่เคยเจอมาก่อนเลย แต่ผมว่าไม่แปลกหรอก นอกจากสกิลเทรนเนอร์แล้ว พวกผมยังฆ่ามอนสเตอร์เร็วด้วย ทำให้มีปริมาณที่ฆ่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยหลายเท่า
เอสเตอร์ก็เลเวลอัพเป็น 13 ยูริน 21 ฟรานกับเดเม่ 22 ส่วนผม…ยังไม่อัพ นี้สินะค่าเฉลี่ยตามปกติ สองสามวันเลเวลขึ้นที
ส่วนโชคยังไม่เข้าข้างเท่าไร นอกจากคริสตัลวิญญาณหนึ่งก้อนแล้ว ก็ไม่ได้อะไรอีก แต่เหรียญเงินที่ดรอป ก็จะดูถูกไม่ได้นะ รอบๆ หนึ่งฆ่าไปเป็นร้อยๆ ตัว ได้เงินมาหลายหมื่นรีลเหมือนกัน
ด้านความยาก ถ้าไม่นับพวก Raid แล้ว ก็คือว่าค่อนข้างง่าย เอ่อ คำว่าง่ายเนี่ย หมายถึงฟรานกับเดเม่ไม่ได้แผลเลยล่ะนะ ผมกะว่าเดี๋ยวพอเก็บเลเวลทุกคนให้เกิน 20 แล้ว ก็จะย้ายไปชั้น 9 เลยดีกว่า แต่ไว้ค่อยไปถามความเห็นมอเรียดูก่อน
“เหนื่อยกันไหม?”
ผมถามพวกฟรานที่เดินแบบระวังซ้ายระวังขวา รู้สึกตั้งแต่ผมโดนศพออร์คอัดมา พวกเธอจะเพิ่มความระวังขึ้นกว่าเดิมซะอีก
“ไม่ค่ะนายท่าน สู้ต่อได้สบายมากค่ะ”
ฟรานตอบเสียงใส เดเม่กับยูรินเองก็เช่นกัน แต่เอสเตอร์ดูเหนื่อยๆ ถึงปากจะบอกว่ายังไหวก็เถอะ
“ขอบใจนะทุกคน แต่วันนี้พอแค่นี้แหละ เอสเตอร์ทนหน่อยนะ เดี๋ยวถึงค่ายก็จะได้นอนแล้วล่ะ”
“ไม่ๆ ข้ายังไหว เดี๋ยวข้าจะอยู่ยามและตรวจสภาพอุปกรณ์ให้”
“อย่าฝืนตัวเองสิ เธอยังมีพวกเราอยู่นะ ไม่ต้องทำด้วยตัวเองไปซะหมดทุกอย่างหรอก”
ผมลูบหัวเอสเตอร์ เพราะผมเข้าใจว่าเธอตั้งใจมาก และทุ่มเททำตัวให้เป็นประโยชน์มากที่สุด จนดูออกเลยว่าเธอกำลังฝืนร่างกายตัวเองอยู่
“เอสเตอร์รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้มาช่วยข้าทำอ่าง”
ยูริน Nice follow! ว่าแต่จะทำอ่างกันเหรอ? อ้อ คงอยากจะแช่นํ้ากันสินะ
พอผมกลับมาถึงค่าย ก็เจอดาเซสกับเนปฟ่ากำลังอยู่ยามกันที่ประตูหน้า ส่วนประตูหลังเป็นจามิร่ากับโรสลิน ส่วนมอเรียกับเอร่ากำลังเตรียมซุปกับนมอุ่นๆ ให้ทุกคนอยู่
ดูเหมือนจะทำการแบ่งเวรยามกันตามทีมเลย เพราะทีมของดอเรียจะต้องออกไปเก็บเลเวลตอนเช้า จึงเข้านอนก่อน
“จริงสิ เอานี้เอร่าของฝาก”
ผมส่งลูกแก้วอันเชิญเซอร์เบอรัสโคลนให้กับเอร่า ทุกคนคงเคยเห็นลูกแก้วอันเชิญมาแล้ว เลยทำหน้าตกใจออกมา เพราะมันหายากและราคาแพงเอาเรื่อง ขนาดในร้านประมูลยังไม่ค่อยมีออกมาให้เห็นเลย แถมนี้เป็น Raid อีก
“ให้ฉันจะดีเหรอ”
“อืม เธอเหมาะที่สุดแล้ว”
“โรมะ”
“ก็เธออ่อนสุดแถมช่วยสู้ก็ไม่ได้”
เอร่าทรุดลงไปนั่งกับพื้น แต่จริงๆ ถึงเอร่าจะไม่ค่อยมีส่วนร่วมในการต่อสู้ แต่สกิลของเธอมีประโยชน์อย่างมาก ที่ตั้งค่ายกันได้อย่างปลอดภัยนี้ ก็
เป็นเพราะฝีมือเธอ แต่ผมไม่ชมหรอก เอร่าเป็นประเภทถ้าชมแล้วจะได้ใจน่ะ
ผมให้เอร่าใช้ลูกแก้วทันที แล้วพอเซอร์เบอรัสโคลนโผล่ออกมา ก็ให้เธอสั่งมันเฝ้ายามแทนช่วงที่ทุกคนไปนอน
จากนั้นผมก็เอาค้อนมิโนทอร์ให้กับจามิร่าไปด้วย เพราะถามจากเอสเตอร์แล้ว เธอว่ามันดีกว่าที่จามิร่าใช้อยู่ ถึงนํ้าหนักจะเพิ่มขึ้น แต่โรสลินแปลให้ฟังว่า จามิร่าบอกว่าเหมาะมือมาก ชอบสุดๆ และฝากขอบคุณผมด้วย
พอนั่งคุยกันสักพักผมก็ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปนอน ส่วนที่เต็นท์ของผม ก็ถูกสาวๆ แบ่งรอบกันเรียบร้อยแล้ว ว่าคืนแรกใครจะมานอนเต็นท์เดียวกับผม แต่นอกจากฟรานที่อยู่ทีมรอบกลางคืนแล้ว ที่เหลือก็
หลับหมด คงเพราะวันนี้ได้ออกแรงกันอย่างเต็มที่ พอตกกลางคืนก็เลยหลับเป็นตายกันเลย
ผมเองก็ให้ฟรานไปนอนด้วย ถึงเธอบอกว่ายังไหว แต่ผมไม่อยากให้เธอสะสมความเหนื่อยล้ามากเกินไป เพราะนี้คือการล่าแบบต่อเนื่อง วันแรกๆ อาจจะไหว แต่ถ้ามีความล้าสะสมไว้ พอวันท้ายๆ ก็จะลำบาก ถึงจะไม่เต็มใจก็เถอะ แต่ช่วงนี้คงต้องงดการมีอะไรกันไปจนกว่าจะเสร็จเควส
ฟรานก็เข้าใจเหตุผลของผม แต่ก็ขอมานอนเตียงเดียวกับผมด้วย เลยต้องนอนเป็นเพื่อนเธอจนกว่าจะหลับไป ผมลองพยายามจะหลับดูแล้วนะ คือก็หลับได้หรอก แต่ว่าร่างกายมันตื่นตัวเกินไป แบบคนที่นอนอิ่มแล้วถึงจะงีบหลับต่อ ก็หลับได้แค่ช่วงสั้นๆ
ผมลุกออกจากที่นอนให้เงียบที่สุด และแน่ใจว่าทุกคนหลับสนิทดีแล้ว ก็ออกมาข้างนอก เจ้าเซอร์เบอรัสของเอร่า หันมามองผมทีหนึ่ง ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจไป ท่าทางมันน่าหมั่นไส้เหมือนเอร่าไม่มีผิด นี้มอนสเตอร์อันเชิญจะได้นิสัยของเจ้าของมาด้วยหรือไงนะ
แต่ตอนนี้ได้เวลาฝึกฝีมือรอบดึกของผมแล้วล่ะ
ตอนที่ 85 คืนชีพศพ!
จากที่สู้กับ Raid ศพออร์คคราวก่อน ก็ชัดเจนแล้วว่าผมเลเวลยังน้อยเกินไป ถ้าไม่รีบตามคนอื่นให้ทัน ผมจะกลายเป็นตัวถ่วงของปาร์ตี้ไปแทน
ถึงจะมีคิดเอาไว้บ้างก็เถอะ ว่าสักวันหนึ่งถ้าพวกเธอเริ่มเก่งกันแล้ว และผมกลายเป็นส่วนเกินของปาร์ตี้ ก็จะให้พวกเธอเริ่มออกผจญภัยและล่ากันเองโดยไม่มีผม แต่ตอนนี้ยังก่อน อย่างไงก็จะให้ช่วงเวลานั้นมาถึงให้ช้ากว่านี้
จริงอยู่ที่ชั้น 8 ผมไม่ควรจะออกไปล่าคนเดียว แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ช่องว่างก็จะไม่ลดลงสักที
ผมเปิดเรดาร์ และเคลื่อนไหวตัวแบบหลบซ่อน ไม่ปะทะกับพวกกลุ่มใหญ่ แต่หาพวกศพที่หลุดฝูงออกมาตัวสองตัว
ความได้เปรียบของผมอยู่ที่ดาบศิลาเย็น ที่สามารถจัดการพวกศพได้ในดาบเดียว แม้แต่จะเป็นตัวที่เลเวลสูงสุดก็ไม่ต่างกัน มันทำให้ผมสู้ง่ายและเก็บเลเวล
ได้ไว แต่ว่าก็มีความเสี่ยงอยู่ เพราะถึงโจมตีจะรุนแรงแค่ไหน แต่ความต่างของเลเวลและค่าพลังยังคงอยู่
แถมมีเกราะมังกรขั้นต้นช่วยอีก แต่ลองถอดเกราะออกสิ ผมโดนโบกทีเดียวเดี้ยงแน่นอน เพราะงั้นผมต้องยิ่งระวัง บอกความจริงกับตัวเองเสมอ เพื่อไม่ให้ติดประมาท
ผมพยายามหลบการโจมตีของศพ โดยคิดว่าตัวเองโดนทีเดียวตายตลอดเวลา เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยฝึกลับประสาทสัมผัสได้
เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมงหนึ่ง ผมกำจัดพวกศพไปได้ราวสามสิบตัว เพราะต้องเสียเวลาเดินแบบซ่อนตัวไปด้วย เลยฆ่าได้ค่อนข้างน้อย แถมโชคไม่ค่อยดี เพราะไม่ได้อะไรเลยนอกจากเหรียญเงิน
แต่อย่างไงผมก็ตั้งใจจะล่าไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็อยากจะได้สักเลเวลก่อนจะเช้า
ทว่าแผนการก็ล้มเหลว เพราะผมดันไปเจอศพตัวหนึ่งเข้า เป็นศพที่มีอายุราว 17-18 เป็นเผ่าครึ่งมนุษย์ครึ่งแมว เพราะบนเรือนผมสีชมพูอ่อนมีหูสามเหลี่ยมกำลังกระดิกอยู่ และยังหางที่ยื่นออกมาจากขอบกางเกงด้วย เธอมีหน้าตาสวยแบบสเปกผมเลย สภาพร่างกายก็สมบูรณ์ไม่มีส่วนไหนขาดหายไป หรือแผลน่าเกลียดน่ากลัวแบบศพตัวอื่น
ผมตรวจสอบเลเวลศพมนุษย์แมวดู
เลเวล 16 เท่าผมเลย อาวุธก็ไม่มี…ลองจับดูดีกว่า
แต่แค่เชือกคงโดนกระชากขาดแน่ เพราะศพจะมีแรงมาก ผมเลยใช้เข็มขัดเหล็กที่ใส่อยู่แทน ส่วนวิธีจะทำให้เธออยู่นิ่งๆ ก็ง่ายสุดๆ แค่ต้องใช้ Wall สร้าง
เป็นกำแพงเตี้ยๆ ให้เธอวิ่งสะดุด พอเธอล้มก็โดนผมเข้าตะคลุบตัวทันที
ถึงจะเป็นศพที่ร่างกายไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่เธอก็ต่อต้านน่าดูเลยแฮะ ขอบอกไว้ก่อน ผมไม่ใช่พวกชอบเอากับศพหรอกนะ แต่พวกนี้น่ะเป็นมอนสเตอร์ เป็นศพเดินได้ แค่ไม่มีชีวิตเท่านั้นเอง
“เอ่อ ไม่อยากให้คิดว่าผมกำลังข่มขืนเลยนะ เอาแบบนี้ล่ะกัน ผมว่าจะลองทดสอบอะไรหน่อย ถ้าสำเร็จก็ถือว่าเป็นค่าชดเชยเลยล่ะกัน”
ว่าแล้วผมก็เริ่มกระบวนการร่วมเพศ แต่ไม่ราบรื่นเอาซะเลย เพราะเธอดิ้นไม่หยุด แถมหอยก็แห้งสนิทบวกกลิ่นเหม็นให้ด้วย เหม็นขนาดคลีนนิ่งก็ช่วยไมได้เลยล่ะ แต่ถ้าตัดเรื่องพวกนั้นออกไป ก็คือว่าหอยของเธอเป็นเกรตA เลย รูปร่างภายนอกภายในยอดเยี่ยม
เพราะเธอไม่มีอารมณ์ร่วมเลยสักนิด ผมเลยใช้เวลาซอยนานกว่าครึ่งชั่วโมง ถึงจะแตกใส่ข้างในเธอไป แต่หลังจากเสร็จกิจแล้ว ก็เอานํ้าเชื้อออกมากรอกใส่ปากเธอ ส่วนผมก็รอดูผลการทดลอง เพราะนํ้าเชื้อผมมันรักษาได้ทุกอย่าง ผมเลยอยากรู้ว่ามันจะถึงขั้นชุบชีวิตได้ไหม
แต่ผ่านไปสามนาทีก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอยังคงสภาพเป็นศพอยู่ตามเดิม
“ว๊า ไม่ได้ผลเหรอเนี่ย เอ่อ ไม่สิ ขืนสำเร็จนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่”
ผมกำลังคิดว่าจะเอาอย่างไงกับเธอต่อดี จะฆ่าเพื่อเอาเลเวลก็ดูโหดร้ายกับเธอไปหน่อย แต่ถ้าปล่อยเธอก็จะหันมาเล่นงานผมอยู่ดี
“เดี๋ยวสิ…มีไอ้นั้นอยู่ด้วยนี่น่า”
ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ เลยเริ่มคุ้ยดูในกระเป๋า จนเจอสิ่งที่ตามหาอยู่…ยาชุบชีวิตที่ได้มาจากเจ้าหญิงโชไง
เลยต้องจับเธอกรอกอีกรอบ ตัวยาในขวดมีสีใสเหมือนนํ้าเปล่า และมีปริมาณเพียงแค่อึกเดียวก็หมดแล้ว
“ไอ้เลว! ไอ้ชาติชั่ว! แกข่มขืนข้า! แล้วยังให้ข้ากินนํ้าสกปรกของแกอีก! ฆ่า จะต้องฆ่าให้ได้!...เอ๋???”
เอ่อ ผมก็อยากร้องเอ๋ด้วยเหมือนกัน เธอคืนชีพได้จริงๆ ด้วยแฮะ! ยาชุบชีวิตของเจ้าหญิงโชสุดยอด ไอ้นํ้าเชื้อลูกพ่อแกแพ้แล้วล่ะ
“อย่างไงก็ดีใจด้วยนะ ที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”
“อะ อืม ข้าต้องขอบคุณท่านสินะ งั้นที่ทำกับข้าเมื่อกี้เพื่อช่วยข้าเหรอ?”
“ครึ่งหนึ่งเท่านั้นแหละ ส่วนอีกครึ่งแค่อยากมีอะไรกับเธอ”
“…ท่านนี้เถรตรงเกินไปแล้ว แต่ช่วยปล่อยข้าสักทีได้ไหม”
“ปล่อยแล้วอย่าอัดผมนะ”
“ข้าเป็นคนรู้สำนึกคุณคน นอกจากจะไม่อัดแล้ว ข้าอยากจะชดใช้หนี้ครั้งนี้ให้ด้วยซํ้า”
“ผมชื่อโรมะ เธอล่ะชื่ออะไร”
ผมแนะนำตัวขณะเริ่มแกะเข็มขัดที่มัดแขนเธอออก
“ข้าราก้า ว่าแต่ตอนนี้เป็นปีอะไรแล้ว”
“ปีหัวหมูป่าที่ 344 ผ่านช่วงเก็บเกี่ยวประจำปีมาได้สองเดือนแล้ว”
“นี้ข้าเป็นศพอยู่นานตั้งสองร้อยปีเลยเหรอเนี่ย งั้นตอนนี้ครอบครัวของข้าก็คง…”
“เสียใจด้วย แต่ถ้าไม่มีที่ไป จะมาอยู่กับผมก็ได้นะ”
“ข้ายังไม่ได้ตอบแทนให้เลย นี้ยังจะต้องติดหนี้บุญคุณท่านเพิ่มอีกเหรอ”
“งั้นเอาแบบนี้ไหม ผมมีสองอย่างให้เลือก อย่างแรกมาทำงานให้ผม ส่วนเธอทำอะไรได้บ้างไว้ค่อยดูกัน แล้วอย่างที่สองมาเข้าฮาเร็มผม”
“ฮาเร็ม? ท่านเอาจริงเหรอ”
“เอาจริงสิ เธอสวยตรงสเปกผมเลย แถมหูกับหางเธอก็ดูน่ารักดีออก”
“นะ น่ารัก! ขะ ข้าเป็นแค่พวกครึ่งสัตว์นะ แล้วงานที่ว่าเนี่ยหรือว่าจะจับข้าไปเป็นทาส!”
“ใช่ซะที่ไหนล่ะ เอาเป็นว่าไม่ต้องระแวงผมหรอก ส่วนจะตัดสินใจอย่างไงค่อยๆ คิดไปก่อน ไม่ต้องรีบให้คำตอบตอนนี้ก็ได้”
“อะ อืม งั้นข้าขอติดตามท่าน ข้ามีฝีมือพอสู้ได้ เรียกใช้ได้ตามสบายใจเลย”
“โอ๋! งั้นก็ดีเลย ผมว่าจะทดลองคืนชีพศพอีกที เธอช่วยหน่อยนะ”
“ให้ช่วยหยุดอีกฝ่ายไว้สินะ ได้สิ”
จากนั้นผมก็เปิดเรดาร์และออกหาพวกศพที่แตกกลุ่มออกมา ระหว่างนั้นก็พยายามทำความรู้จักกับราก้าไปด้วย
เท่าที่พูดคุยกัน ทำให้รู้ว่าก่อนที่จะตาย ราก้าเคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน แต่เพราะถูกคนในปาร์ตี้หักหลัง ด้วยการวางยาพิษเธอ และเอาศพมาทิ้งไว้ที่ชั้นนี้ ส่วนสาเหตุที่โดนหักหลังก็เพราะเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้นแหละ
ผลประโยชน์นั้นถือเป็นภัยอันดับหนึ่งของนักผจญภัยเลย ต่อให้คนที่ปาร์ตี้ด้วยเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน แต่ลองได้เห็นทรัพย์สินจำนวนมากอยู่ตรงหน้า ก็
พร้อมจะหักหลังกันได้ในทันที และนี้เป็นเหตุผลที่ผมเลือกจะสร้างฮาเร็มทาสในตอนแรก เพราะถ้าเป็นทาสอย่างน้อยก็มีหลักประกันว่าจะไม่หักหลังล่ะนะ
พอเดินๆ มาผมก็เจอเป้าหมายต่อไป นอกจากจะแยกออกมาตัวเดียวแล้ว ยังอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีศพอื่นอยู่ใกล้ๆ ด้วย ทำเลเหมาะจริงๆ ผมให้สัญญาณราก้าอ้อมไปอีกทาง พอประจำที่แล้ว ผมก็กระโดดออกไปเป็นตัวล่อ
แต่พอเห็นศพตัวนี้ ผมก็ต้องขมวดคิ้วด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง เพราะมันดันเป็นศพของนักบวชสาวที่มาด้วยกันกับผม
“ที่ตายไปสองเป็นนักบวชสาวเหรอเนี่ย น่าเสียดายแฮะ นึกว่าเป็นพวกไอ้ตัวผู้ซะอีก”
ระหว่างที่ผมพึมพำอยู่คนเดียว ศพนักบวชสาวก็โจมตีใส่ผมทันที แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัว ก็โดนราก้าที่ย่องมาจากข้างหลังขัดขาจนล้มซะก่อน ผมช่วยขึ้นไปนั่งทับตัวไว้ขณะให้ราก้ามัดมือมัดเท้าไป เธอใช้เชือกได้คล่องมาก จนไม่ต้องใช้เข็มขัดเหล็กของผม ก็มัดศพได้อยู่หมัด
“คนรู้จักเหรอ?”
ราก้าเห็นผมจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าปั้นยาก เลยมองออกว่าผมรู้จักอีกฝ่าย
“ไม่เชิงหรอก”
แล้วผมก็เล่าเรื่องพวกจากโบสถ์ใหญ่ให้ฟัง ราก้าพอรู้ว่าพวกนี้เป็นคนเชิดเงินผมไป ก็โกรธแทนขึ้นมา คงเพราะคล้ายๆ กับกรณีของเธอล่ะมั่ง
“ฆ่าเลยเถอะ คนแบบนี้ไม่ควรจะไปช่วยไว้”
“ก็คิดอยู่ เพราะยาชุบชีวิตผมเหลือแค่สี่ขวด ต้องมาใช้กับคนแบบนี้รู้สึกไม่ค่อยคุ้มเลย”
“งั้นตามนั้น ข้าจะลงมือให้เอง”
“เดี๋ยวๆ ถึงใจจริงผมจะไม่อยาก แต่ชุบขึ้นมาแกล้งเล่นมันน่าสนุกกว่านะ”
“…จริงของท่าน”
ราก้าอมยิ้มแล้วถอยออกไปยืนดู เธอคงเข้าใจล่ะว่าพวกโบสถ์นับถือพระเจ้า แต่การที่ถูกคนธรรมดาอย่างผมชุบชีวิตให้ ศรัทธาที่มีคงได้สั่นคลอนกันบ้างล่ะ
ผมหยิบยาชุบชีวิตออกมาและกรอกใส่ปากเธอไป ถ้าจำไม่ผิด เคยได้ยินพวกนักบวชคนอื่นๆ เรียกเธอว่า ครีเรน่า
หลังกรอกยาไปแล้ว พวกผมก็รอดูผลกัน แต่ผ่านไปหลายนาที ครีเรน่าก็ยังเป็นศพแบบเดิม
“เอ๋? ทำไมไม่ได้ล่ะ”
หรือว่าจะไม่ได้ชุบได้ทุกคน ระหว่างที่ผมคิดอยู่นั้น ราก้าก็เข้ามาบอก
“บางทีอาจเป็นเพราะยังไม่ได้ดื่มนํ้าสกปรกของท่าน”
“นํ้าเชื้อผมไม่สกปรกนะ! นํ้าเชื้อเหรอ? แต่ต้องให้เธอกินเข้าไปไม่เห็นได้ผลเลยนะ”
“ตอนที่ดื่มนํ้าสก…นํ้าเชื้อท่านข้ารู้สึกได้ถึงพลังชีวิต”
“พลังชีวิต…เริ่มจะเข้าใจแล้วล่ะ ยาชุบชีวิตจะไม่มีผล ถ้าในร่างกายนั้นไร้ซึ่งพลังชีวิตแล้วสินะ เพราะงั้นถึงใช้กับคนที่พึ่งตายใหม่ๆ ได้ แต่ใช้กับศพที่ตายนานแล้วไม่ได้”
“เท่าที่ข้าเคยได้ยินมาตอนเป็นนักผจญภัย เห็นว่ายาชุบชีวิตจะให้ผล เพียงแค่ในสิบนาทีแรกหลังตายแล้ว”
“นั้นคือขีดจำกัดของการคืนชีพตามปกติสินะ…ช่วยไม่ได้แฮะ ถึงจะไม่ได้รู้สึกพิศวาสอะไรยัยนี้ แต่ต้องให้ช่วยรีดนํ้าเชื้อออกมาล่ะนะ”
ว่าแล้วผมก็ทำการขืนใจศพนักบวชสาว โดยมีราก้าช่วยจับแขนไว้ให้ แต่ครีเรน่าดิ้นจนผ้าคลุมศีรษะหลุดออก เห็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเธอชัดๆ เพราะปกติพวกนักบวชสาวจะแต่งตัวรัดกุม มีให้เห็นผิวกายเพียงแค่บริเวณใบหน้าเท่านั้น ส่วนผมต้องเก็บไว้ในผ้าคลุม
ครีเรน่ามีผลยักสกสั้นสีแดง หน้าตาเธอเหมือนสาวบ้านนอก ไม่ได้สวยอะไรแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ ส่วนรูปร่างก็ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร เธอค่อนข้างผอมแห้ง หน้าอกเล็กไม่เข้ากับตัว สะโพกใหญ่ไม่สมส่วน ขนตรงหอยเยอะอีกต่างหากหัดตัดบ้างสิเฟ้ย!
แต่พอผมใส่ดุ้นเข้าไป ก็พึ่งนึกเรื่องสำคัญออก แต่ช่างเถอะเพราะสายไปแล้ว ก็ผมพึ่งชิงเอาความบริสุทธิ์ของเธอมาไงล่ะ สำหรับพวกนักบวชไม่ว่าชาย
หรือหญิง ศีลพรหมจรรย์ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีคำสอนว่านักบวชคือผู้อุทิศตนให้กับพระเจ้า นั้นรวมถึงร่างกายด้วย
เรื่องความเชื่อของเธอไว้เอาไปแก้กันเอาเองล่ะกัน เพราะอย่างไงเธอก็ตายไปแล้ว พระเจ้าคงไม่ปรารถนาจะอึบศพแบบผมหรอก
แต่ว่าไม่สนุกเลย ให้นอนดิ้นๆ แบบราก้ายังดีซะกว่า แต่นี้พอโดนผมเสียบเข้าไป ก็แน่นิ่งแกล้งเป็นศพ…ไม่ใช่แกล้งสิ ต้องบอกนอนนิ่งสมเป็นศพจริงๆ
“เอ่อ ราก้าช่วยหน่อยได้ไหม แบบนี้ทั้งคืนผมก็คงไม่เสร็จ”
“…ขะ ข้าเหรอ!?”
“อืม ก็เธอนั้นแหละ”
“ตอนเป็นศพข้าไม่รู้สึกอะไรก็จริง แต่ใช่ว่าข้าจะชอบเรื่องแบบนี้นะ”
“งั้นขอแค่หน้าอกก็ได้”
“หน้าอก??”
“อืม แค่หน้าอก”
ถึงจะทำท่าเอียงอาย แต่สุดท้ายราก้าก็ยอมดึงเสื้อลงเปิดหน้าอกให้ผมดู ทว่าเธอเข้าใจผิดไปหน่อย ผมไม่ใช่แค่จะดูหรอกนะ
ผมดึงดุ้นของออกมาจากหอยครีเรน่า และเสียบไปตรงร่องนมของราก้าแทน เธอตกใจจนหน้าซีดตัวแข็งทื่อ แต่ก็ไม่ได้ขยับหนี ผมจับมือสอนให้เธอเล่นนมหนีบ ถึงจะดูไม่ค่อยเต็มใจแต่ก็ไม่ได้รังเกียจ ผมเลยสอน
เธอใช้ปากดูดส่วนหัวที่โผล่ออกมาด้วย ระหว่างนั้นผมก็จับหูเธอเล่น มันนิ่มกว่าหูแมวจริงๆ ซะอีกแฮะ
ระหว่างนั้นผมก็สำรวจดูร่างกายราก้าไปด้วย หูเธอไม่ได้มีสองแบบ แต่มีเฉพาะหูแบบแมวเท่านั้น ร่างกายส่วนอื่นก็ไม่มีอะไรต่างจากมนุษย์แล้ว ส่วนหางนั้นงอกออกมาจากส่วนก้นกบ เห็นว่าลำบากในการหาเสื้อผ้าใส่ ที่จะไม่ให้กดทับหางเอาเรื่อง
ถึงจะพึ่งหัดเล่นนมหนีบกับดูดดุ้น แต่ราก้าก็ทำได้ดีลิ้นเธออุ่นๆ แล้วก็นิ่มมาก ดีไม่ใช่ลิ้นสากๆ แบบแมว ไม่งั้นดุ้นผมถลกแน่ แล้วผมก็กำลังจะเสร็จเลยให้ราก้าไปช่วยจับครีเรน่าอ้าปากออก แล้วผมก็รีดนํ้าเชื้อยิงเข้าปากเธอไป แต่ต้องกรอกยาชุบชีวิตเพิ่มไปอีกขวด เพราะฤทธิ์ยาก่อนหน้าคงหมดไปแล้ว
มันได้ผลร่างกายของครีเรน่าเริ่มรักษาตัวเอง ผิวซีดๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง และตามมาด้วยเสียงด่าทอแบบเดียวกับราก้าเลย อืม ข่มขืนศพนี้ไม่ดีสินะ เพราะถึงไม่รู้สึกอะไร แต่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองอยู่
“แก! ไอ้ชาติชั่ว แกเอาความบริสุทธิ์ของฉันไป!”
ครีเรน่าร้องห่มร้องไห้ใหญ่ แต่ช่วยดูสถานการณ์ด้วยสิ
“เอ่อนี้ ถ้าขืนยังเสียงดังล่ะก็ จะเจอศพรุมเข้ามาฆ่าอีกรอบนะ แล้วผมไม่ยอมเปลื้องยากับเธอเป็นขวดที่สามหรอก”
พอโดนผมทักไป ครีเรน่าก็รีบยกมือขึ้นปิดปากทันที เอ่อ ยังดีพอมีสมองอยู่หน่อย
แต่ถึงจะเบาเสียงลงแต่เธอก็ยังไม่เลิกด่าท่อผมอยู่ดี แถมยังเริ่มหนักข้อดึงเอาพระเจ้ามาเกี่ยวอีก
“การสร้างชีวิตเป็นงานของพระเจ้า! แกบังอาจลบลู่พระองค์!”
“เดี๋ยวๆ ใจเย็นเจ๊ การสร้างชีวิตน่ะเป็นเรื่องของผู้ชายอึบผู้หญิง แล้วฉีดนํ้าเชื้อให้เข้าไปให้เกิดการผสมพันธุ์ต่างหาก หรือถ้าจะเชื่อในมุมของเธอ แบบนี้ไม่เท่ากับว่าพระเจ้าแอบเล่นชู้หรอกเหรอฮ่าๆๆ”
“แกไอ้มารศาสนา!”
ครีเรน่าทนกับคำพูดผมไม่ไหว เลยพุ่งเข้ามาจะทำร้าย แต่โดนราก้าเตะสวนใส่ท้องจนลงไปนอนจุกกับพื้น
“ยัยนี้แกล้งสนุกอย่างที่ท่านว่าจริงๆ ด้วย แต่มารยาทแย่ชะมัด ขนาดคนที่ชุบชีวิตให้ยังจะกล้าทำร้ายอีก”
“เห็นด้วย แถมยังกินไปตั้งสองขวด”
เอาเป็นว่าเลิกแกล้งเธอก่อนดีกว่า
“ฟังนะ เรื่องที่มีอะไรกับผมน่ะ ถ้าผมไม่พูดเธอไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้ ใช่ พระเจ้าก็ไม่รู้หรอกนะ นอกจากเธอจะไปนอนถางขาให้พระเจ้าเสียบล่ะก็นะ”
“แก! เลิกดูหมิ่นพระองค์สักที!”
“ได้ๆ โทษทีผมคิดไงก็พูดไปตามที่คิดนั้นแหละ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอก แต่จะยอมให้ความร่วมมือได้ไหม ถ้ายอมเป็นเด็กดีล่ะก็ ผมจะลบความทรงจำก่อนหน้านี้ไปให้หมดเลย”
ครีเรน่าทำหน้าคิดหนัก ก็สมควรหรอก เพราะถ้าโบสถ์ใหญ่รู้ว่าเธอไม่บริสุทธิ์แล้ว ก็จะต้องถูกขับออกจากโบสถ์ใหญ่แน่ แถมยังจะต้องโดนลงโทษข้อหาหันหลังให้พระเจ้าอีก งานนี้มีแต่เสียทางรอดเดียวก็คือทางที่ผมเสนอไปนั้นแหละ
“…ไม่ได้โกหกแน่นะ”
“ยื่นหมูยื่นแมว ตราบใดที่เธออยู่ในโอวาทผม เธอก็จะเป็นสาวบริสุทธิ์ไปตลอดกาล”
“…มีใครเคยบอกไหม ว่าท่านนี้โคตรแสบเลย”
“นั้นชื่อเล่น ที่พวกที่บ้านเรียกผมเลยล่ะ”
ผมไม่ใส่ใจที่ราก้าจิกกัดผมมาหรอก ก็ผมเป็นไอ้ตัวแสบจริงๆ นี่น่า เล่นข่มขืนแล้วยังหลอกแบล็คเมล์อีก
“กะ ก็ได้ ฉันตกลง”
แล้วผมก็ได้ทาสนอกสังกัดแบบไม่เป็นทางการมาแล้วหนึ่งคน
ตอนที่ 86 วิธีโกหกที่ดีที่สุด
ผมให้ครีเรน่าเล่าเหตุการณ์หลังจากที่ผมแยกตัวมา ส่วนใหญ่ก็ตามที่ผมเดาไว้นั้นแหละ
กลุ่มของเธอกลับเข้าไปในป่า เพื่อหาทางออกกลับขึ้นไป แต่ปาร์ตี้ของเธอถูกศพตีแตกอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่หลบซ่อนตัวในป่า ก็มีแตกคอกันอีกเพราะส่วนแบ่งมันไม่ลงตัว นักบวชชายที่เป็นตัวตั้งตัวตี
เห็นว่าตัวเองควรจะได้มากกว่าคนอื่น ส่วนเธอไม่เห็นด้วย เพราะต้องการนำเงินทั้งหมดส่งให้โบสถ์ ตามประสงค์ของพระเจ้า
สุดท้ายเธอกับนักบวชชายตัวหัวโจก เลยถูกอัศวินชายที่หื่นๆ ฆ่าตาย ตรงนี้แหละที่ผมคิดผิด ตอนแรกผมคิดว่าพวกเธอโดนศพฆ่าซะอีก ไม่คิดว่าจะหน้ามืดขนาดฆ่ากันเองเลย เป็นตัวอันตรายจริงๆ ด้วยแฮะ ผมเปิดเรดาร์ขึ้นมาดูอีกที จุดที่มาร์กไว้ยังอยู่
ตัวอัศวินกับนักบวชชายอีกคน ทั้งคู่ยังอยู่ในชั้นนี้ แถมอยู่ไม่ห่างด้วย ถ้าให้เดาพวกนี้คงซ่อนตัวอยู่ในหลุมศพในเขตสุสานแน่ๆ ขนาดลงทุนไปนอนในหลุมนี้ ยอมให้พวกมันจริงๆ เลย
“งั้นพวกเราไปเยี่ยมพวกนั้นดูหน่อยเป็นไง”
ผมหุบยิ้มไม่อยู่ แค่นึกว่าพวกมันจะทำหน้าอย่างไง ตอนเห็นหน้าครีเรน่าอีกครั้ง ก็แทบจะห้ามใจไม่อยู่ อยากวิ่งหาตอนนี้เลย
ราก้าเองก็คงเข้าใจความคิดผม เลยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบเหรียญเงินเล็กสองเหรียญ ซึ่งเป็นทั้งหมดที่เธอมีออกมา
“ข้าพนันหมดตัว ว่าเจ้าสองคนนั้นเยี่ยวแตกแน่ๆ”
“ได้ ผมพนันว่ามันคงตรงเข้ามาสับเลย”
“บะ แบบนั้นฉันก็ตายอีกรอบสิ!”
“ไม่ต้องกลัว เธอกินยาชุบชีวิตผมไปตั้งสองขวด ผมไม่ปล่อยให้เธอตายฟรีๆ แน่ ใช่เธอน่ะต้องใช้หนี้ผมอีกนาน”
พอโดนผมพูดจี้ใส่ ครีเรน่าก็รู้ตัวว่าเธอกลัวผิดคนแล้ว ที่น่ากลัวนะคือผมต่างหาก
ผมเดินนำทุกคนลัดเลาะหลบพวกศพ ไปยังที่อยู่ของสองหนุ่มตัวดี และตามคาดพวกมันลงไปนอนในโลงจริงๆ ด้วย
“เอ๋ หลุมนี้ยังไม่ได้กลบดินเลยนี่น่า แบบนี้พวกศพก็นอนกันไม่สุขกันน่ะสิ มาช่วยกลบดินกันดีกว่า”
ผมแกล้งพูดเสียงดังและเตะดินลงไปบนโลง ราก้ากับครีเรน่าพอเห็นผมทำ ก็หุบยิ้มไม่อยู่เหมือนกัน และเข้ามาช่วยกลบดินด้วย
ในที่สุดคนในโลงก็ทนไม่ไหว ต้องรีบเปิดฝาโลงออกมา
“เฮ้ย ศพลุกขึ้นมาแล้ว พวกเราลุยเลย”
ผมพูดด้วยเสียงไร้อารมณ์สุดๆ ยิ่งกว่ายืนอ่านบทละครซะอีก
“ดะ เดี๋ยวๆ พวกเราเอง!”
อัศวินรีบยกมือขึ้นห้าม สีหน้าตื่นตกใจที่เห็นผมมาก
“เหอะ ไม่ใช่ศพหรอกเหรอ รีบๆ เป็นศพสักทีสิ”
เป็นศพเมื่อไร ผมจะพลิกชั้นนี้ล่าพวกมันเลย
“อย่าพูดแบบนั้นสิ การได้เจอกันอีกครั้งต้องเป็นประสงค์ของพระเจ้าแน่ๆ”
“…เหรอ”
ผมรู้สึกได้เลยว่าครีเรน่าที่ยืนหลบอยู่ข้างหลัง กำลังสั่นด้วยความโกรธอยู่ ใจเย็นๆ เวลาปล่อยมุกน่ะ จะให้ฮ่ามันต้องยิงให้ถูกจังหวะ
“พะ พาพวกเราไปด้วยนะ”
นักบวชที่อยู่ในอาการกลัวขี้หดตดหาย รีบทะลุปล้องร้องขอออกมา
“เรื่องดิ พวกแกเป็นฝ่ายฉีกสัญญาเองนะ เรื่องอะไรต้องมาดูแลพวกแกด้วย”
“พวกเราผิดเองล่ะ แต่ตอนนี้เงินนั้นไม่อยู่กับพวกเราแล้ว”
ไอ้อัศวินเวรนี้ จนถึงตอนนี้ยังไม่หายงกอีก ไม่ตายไม่รู้สำนึกสินะ
“เหรอ แล้วตอนนี้เงินอยู่ไหนล่ะ”
“อยู่กับอีกสองคน พวกมันขโมยเงินแล้วหนีไปแล้ว!”
ครีเรน่าท่าทางจะถึงขีดสุดแล้ว โดนฆ่าไม่พอยังจะมาโดนใส่ร้ายอีก เธอเลยกระโดดพรวดออกมาจากข้างหลังผม
“ไอ้เจ้าพวกบาปหนา! กล้าดีอย่างไงถึงมาใส่ร้ายเรา”
พอเห็นครีเรน่าเจ้านักบวชก็ขี้แตกเยี่ยวราดทันที แต่เจ้าอัศวินกลับชักดาบออกมา
“ศพ! พระเจ้ามอบพลังให้กับข้าด้วย!”
โกหกกันเห็นๆ มันรู้ว่าครีเรน่าไม่ใช่ศพหรอก แต่คิดจะฆ่าปิดปากอีกรอบ แต่ผมน่ะอ่านขาดยิ่ง
กว่า เลยเตะเข้าให้ตรงหว่างขากะเอาให้ไข่แตกไปเลย อัศวินเลยล้มลงหน้าเขียวแล้วนํ้าลายฟูมปากไปเลย
“ข้าชนะ”
ราก้ายื่นมือมาทางผมด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“เดี๋ยวสิ ผมก็ทายถูกเหมือนกันนะ”
“แต่เจ้านั้นมันราดก่อน”
“ก็บอกแล้วไงว่าเดี๋ยว เธอพนันว่าทั้งสองคน แต่นี้คนเดียวแถมไม่ใช่แค่เยี่ยวราด แล้วยังขี้แตกด้วย เพราะงั้นผมชนะ”
“เข้มงวดซะจริง งั้นเอาเป็นเสมอกันก็ได้”
“เสมอตรงไหน!”
แต่ราก้าจับจุดอ่อนผมได้ เลยคว้ามือผมไปจับหน้าอกเธอ
“โอเค เสมอกัน!”
ผมเปลี่ยนผลทันที ถ้ารู้ว่าจะได้จับหน้าอกแบบนี้ ผมยอมเสียพนันไปแต่แรกแล้ว
แต่ด้วยที่ผมเตะไข่ไอ้อัศวินไปแรงมาก เลยต้องจับมันกรอกยาฟื้นพลัง ไม่งั้นคงได้นอนจุกแบบนี้ทั้งคืนแน่ แต่ผมไม่ประมาทให้ราก้ายึดอาวุธมันมาไว้แล้ว ที่สำคัญผมยังแอบสลับกระเป๋านักผจญภัยของมันด้วย
คือผมคิดวิธีโกงได้อีกอย่าง นั้นก็คือการเอาไอเท็มใส่กระเป๋าAจนเต็ม แล้วเอากระเป๋าA ใส่ในกระเป๋าB มันก็นับพื้นที่ไปแค่หนึ่งเท่านั้น แถมกระเป๋าBที่ว่ายังเป็นกระเป๋าจอมโกง ที่ไม่มีลิมิตเรื่องนํ้าหนักด้วย ด้วยเหตุนี้ในกระเป๋าจอมโกงของผม เลยมีทั้งกระเป๋านักผจญภัยเล็ก กลาง ใหญ่ ที่ให้พวกฟรานไปซื้อมาตอนแวะกันก่อนลงดันเจี้ยนมา
ตอนนี้เงินก็ได้คืนมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมยังแบบที่จับมือใครดมไม่ได้อีก สนุกล่ะงานนี้
“ท่านโรมะเจ้านี้ฟื้นแล้ว”
ราก้ารายงานขึ้นมา ขณะที่ผมกำลังคลีนนิ่งให้นักบวชชายอยู่ เพราะผมไม่อยากยืนดมกลิ่นฉี่กลิ่นขี้มันหรอก
ส่วนครีเรน่ากำลังหักห้ามใจไม่ให้ลงมือกับพวกมัน จนต้องยืนกำหมัดแน่น
“ระ ระวัง! รีบฆ่าเจ้าศพนั้นเร็ว!”
พอฟื้นขึ้นมาเห็นครีเรน่า เจ้าอัศวินก็ตะโกนขึ้นมาอีกรอบ
“เฮ้ย ถ้ายังไม่เลิกบ้า รอบนี้จะโดนหนักกว่าตะกี้อีกนะ”
พอโดนผมเตือนไป เจ้าอัศวินเลยเริ่มเงียบปาก แต่มันก็มองหาทางหนีทีไล่ไปด้วย แต่มันไม่กล้าหรอก ไม่งั้นจะหนีมานอนในโลงแบบนี้เหรอ ทางรอดเดียวของมันก็คือผม เพราะงั้นจากนี้ไปคือ ภารกิจเลีย มันจะต้องเลียผมอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ตัวเองรอด
“ขอโทษด้วย! ฉันหน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ แต่ตอนนี้ตาสว่างแล้ว ได้โปรดช่วยฉันด้วยเถอะ”
แค่ฉันเหรอ?
“ก็ได้ ถ้าคืนเงินมาสัญญาก็ยังอยู่ตามเดิม”
“งะ เงิน ฉันไม่ได้ถือเงินไว้นะ! ชะ ใช่ ตอนที่พวกเราวิ่งหนีพวกศพ เผลอทำกระเป๋าตก สงสัยเงินจะหล่นไปตอนนั้นแน่ๆ”
โห! เชื่อเลย จนถึงตอนนี้ยังไม่ยอมเลิกโกหกอีก นี้มันคิดว่าผมเป็นเด็กอมมือหรือไงนะ ราก้ากับครีเรน่าเองก็คงดูออก ถึงได้ทำหน้าหงุดหงิดแบบนั้น
“งั้นเหรอ ถ้าเงินหล่นไปแล้วก็ช่วยไมได้นะ เอาเป็นถือว่าไม่เคยมีเงินก้อนนั้นล่ะกัน พวกนายตามผมกลับไปค่ายได้ แต่ว่า…”
“แต่ว่า?”
ทุกคนทำหน้าประหลาดใจ ราก้ากับครีเรน่าก็ด้วย
“ขอถามหน่อย ระหว่างตายแล้วจบเรื่อง กลับมีชีวิตอย่างยากทุกข์เข็น นายจะเลือกอะไร”
“มีชีวิตสิ! ยังไงก็ไม่ยอมตายหรอก”
อัศวินตอบเป็นคนแรก ส่วนนักบวชชายทำท่าอึกอักเหมือนลังเลที่จะตอบ ดูท่าจะเข้าใจที่ผมต้องการจะสื่อแล้ว
ใช่แล้ว ผมไม่ชอบฆ่าใคร เพราะผมไม่ใช่คนใจดีมีเมตตา หรือจะให้อภัยใครก็ได้อย่างพระเอกใจพระ และโทษของสองคนนี้ ต้องได้รับการลงทัณฑ์ แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ผมเลยจะให้โอกาสรอดพอๆ กับโอกาสที่จะตาย ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกมันเองแล้ว
จากนั้นผมก็พาทุกคนกลับค่ายพัก แต่เพราะต้องเดินอ้อมพอสมควร เพื่อเลี่ยงไม่ต้องสู้กับพวกศพ ทำให้ผมกลับมาถึงค่ายพักเอาตอนเกือบเช้าพอดี
ระหว่างทางผมให้ราก้าตามป้องกันครีเรน่าไว้ ส่วนผมตามประกบสองหนุ่มไว้เอง แค่มองก็รู้แล้ว ถ้ามีช่องเมื่อไรเจ้าอัศวินจะต้องฆ่าครีเรน่าแน่ๆ เพราะถ้า
กลับไปถึงค่าย ครีเรน่าก็จะเอาเรื่องนี้ไปบอกต่อทุกคน ไม่ต้องรอให้เรื่องไปถึงโบสถ์ใหญ่หรอก บางทีเขาอาจถูกหัวหน้านักบวชหญิง ขับออกจากสาวกของโบสถ์ใหญ่เลย
แต่จนกลับมาถึงค่าย มันก็ไม่มีโอกาสได้ลงมือ เพราะผมตามติดยิ่งกว่าวิญญาณร้ายซะอีก และพอมีท่าทางมีพิรุธผมก็จะยื่นดาบไป วางไว้บนบ่ามันเป็นการเตือน
พอผมกลับมาถึงค่าย เจ้าเซอร์เบอรัสโคลนก็ทำท่าขู่ใส่แขกแปลกหน้าทันที
“ไม่เอาน่าเจ้าโฮ่ง พวกนี้มากับฉันเอง”
มันฟังผมรู้เรื่องด้วยแฮะ พอบอกไปเลยกลับไปนั่งเรียบร้อยตามเดิมทันที เดี๋ยวมื้อเช้าต้องให้รางวัลมันสักหน่อยแล้ว
พวกฟรานคงรู้ตัวว่าผมกลับมาแล้ว เลยตื่นก่อนพวกเนปฟ่ากับพวกโบสถ์ใหญ่ แต่พอเห็นพวกที่มากับผม พวกเธอก็พากันจับอาวุธขึ้นมากันหมด ผมเลยรีบอธิบายเรื่องให้ฟัง แต่เรื่องคืนชีพได้นี้ ผมให้ราก้ากับครีเรน่าปิดไว้เป็นความลับก่อน โดยบอกว่าพอดีผมผ่านไปเจอ เลยช่วยพวกเธอจากพวกศพมา
แต่แน่นอนผมแอบกระซิบบอกพวกสาวๆ ไว้ด้วย ว่าให้ระวังตัวไว้ โดยเฉพาะเจ้าอัศวิน ห้ามไว้ใจหรือหันหลังให้เด็ดขาด ส่วนเงินที่ได้คืนมาผมก็ส่งให้เดเม่ไปเป็นคนเก็บไว้
จากนั้นผมก็ไปเตรียมมื้อเช้า โดยวันนี้เป็นอาหารที่ไม่ต้องเสียเวลาทำเลย เพราะมันคือซีเรียลใส่นม ถึงที่โลกเก่าผมมันจะถูกเรียกว่าอาหารเช้าแบบมักง่ายก็
เถอะ แต่นานๆ กินทีก็ไม่เห็นเป็นอะไร แถมผมคิดว่าพวกเด็กๆ อย่างฟรานน่าจะชอบด้วย
เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาทำเลย ผมเลยเตรียมอาหารว่างให้กับทุกคนด้วย เพราะการอยู่ในดันเจี้ยนจะต้องใช้พลังงานมาก ถ้าปล่อยให้ท้องหิวจนไม่มีแรงจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ผมเลยเตรียมพายไส้ไก่ใส่ไว้ในกระเป๋าของทุกคน เอร่าทำท่าแอบหยิบออกมากินก่อน ผมเลยขู่ไปว่าถ้าแอบกินตอนนี้ จะโดนงดมื้อเช้า เอร่าเลยแข็งใจเอาเก็บใส่ในกระเป๋า
ส่วนมื้อเช้าของเจ้าโฮ่ง ผมเอาไก่ย่างที่เหลือจากเมื่อวาน ใส่จานให้มันกินไปก่อน เอ่อ เจ้าโฮ่งนี้กลายเป็นชื่อของเจ้าเซอร์เบอรัสโคลนไปแล้ว เพราะพอผมเรียกเจ้าโฮ่งมันก็จะหันมาทันที แต่ถึงมันจะมีสามหัวแต่
กินเท่ากับตัวเดียวอยู่ดี เพียงแค่กินเร็วขึ้นเท่านั้นแหละ ท่าทางจะเลี้ยงง่ายแฮะ
ระหว่างที่รอคนอื่นๆ ตื่น ดอเรียกับยูรินเลยให้ทุกคนเอาอาวุธออกมาซ้อมบำรุง ผมเลยได้โอกาสชวนดาเซสมาซ้อมมือ เพราะสกิลของเธอเหมือนกับเจ้า Raid ศพออร์ค แต่ถ้าให้ใช้ดาบจริงผมคงตายซะก่อน เลยใช้แค่ดาบไม้ฝึกกัน
อย่างที่คิดไว้เลยสกิล Flash slash นี้โคตรอันตราย!! มันเป็นการพุ่งเข้าไปฟันเป้าหมายในระยะสิบก้าวด้วยความเร็วสูง โดยความเร็วของท่านี้จะขึ้นอยู่กับความเร็วของค่าพลังด้วย ยิ่งตัวเองมีความเร็วมากเท่าไร สกิลนี้ก็จะยิ่งมีความเร็วมากขึ้นตาม
แต่เพราะมันทั้งเร็วและรุนแรง ทำให้มีค่าคลูดาวน์ของสกิลค่อนข้างนาน ยิ่งสกิลเลเวลสูงขึ้นค่าคลู
ดาวน์ก็จะยิ่งนานตาม เริ่มจากเลเวลหนึ่งใช้ค่าคลูดาวน์สิบนาที
ดาเซสสอนเคล็ดลับให้ ว่าถึงท่านี้จะเร็ว แต่ก็เป็นแค่การโจมตีเป็นเส้นตรง ขอแค่ป้องกันปิดจุดตายของตัวเองเอาไว้ ท่านี้ก็ทำได้แค่สร้างแผลเล็กน้อยเท่านั้น แต่ Slash นี้สิ ที่รับมือยากของจริง
ผมเล่าให้ฟังว่าเจ้า Raid ศพออร์ค ใช้สกิล Slash อย่างไง ดาเซสถึงกับประทับใจ เพราะเป็นเทคนิกขั้นสูง ที่ต้องผ่านการฝึกมาอย่างหนัก ถึงจะทำแบบนั้นได้ เพราะถ้าไม่ชำนาญจะควบคุมดาบตัวเองไม่ได้เลย
แต่ก็อีกดาเซสรู้วิธีรับมือเหมือนกัน ถึงดาบจะเปลี่ยนความเร็วแบบกะทันหันได้ แต่ดาบไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ ขอแค่มองทิศทางดาบที่จะมาปะทะถึง
ตัว แล้วไปตั้งรับที่จุดปลายทางของการปะทะ เท่านี้ก็ป้องกันได้แล้ว
ผมนี้ปลื้มดาเซสมาก ไม่คิดว่ามาก่อนเลยว่าเธอจะเก่งถึงขนาดนี้แต่ดอเรียที่มีฝีมือเชิงดาบเหมือนกัน ก็บอกว่าเธอเองก็สอนผมได้เหมือนกัน ทว่าการต่อสู้วิถีซามูไรผมพอรู้มาบ้างแล้ว ก็แน่ล่ะมันเป็นวิชาดาบของบ้านเกิดผมนี้ วิถีดาบของซามูไร ถ้าให้พูดตรงๆ คือ เป็นวิชาดาบแนวรุกไม่เน้นรับ ซึ่งมันไม่เข้ากับผมที่ชอบรับมากกว่ารุก ผมเลยเรียนรู้จากดาเซสจะเหมาะกว่า
แต่แล้วเพราะเสียงการฝึกของผมไปปลุกทุกคน ตอนนี้เลยตื่นกันมาหมดแล้ว พอพวกโบสถ์ใหญ่เห็นคนที่แยกตัวไปกลับมา ก็ดีใจกันใหญ่ เพราะนึกว่าสำนึกตัวได้แล้ว แต่พอฟังครีเรน่าเล่าความจริงให้ฟัง
ท่าทีดีใจก่อนหน้านี้ก็ไม่มีเหลือ แต่อัศวินที่หื่นๆ พยายามพูดทำให้ทุกคนสับสน อ้างเหตุผลยกเมฆสารพัด ส่วนนักบวชชายปิดปากเงียบและก้มหน้าสำนึกผิด
“เราขอตราอัศวินศักดิ์สิทธิ์คืนด้วย อาโกทัส”
นักบวชหญิงที่เป็นหัวหน้าตัดสินแล้ว ว่าเธอเลือกจะเชื่อครีเรน่า เพราะการตายของนักบวชอีกคนนั้น ต่อให้มีคำแก้ตัวอย่างไง การกระทำก็ได้เกิดขึ้นแล้ว แถมยังมีครีเรน่าเป็นพยายานอีก การริบตราคืนก็เท่ากับถูกตัดออกจากการเป็นอัศวินของโบสถ์ใหญ่แล้ว
“ส่วนท่าน เมาลอยล์ พอกลับโบสถ์ใหญ่ไปแล้ว ท่านจะต้องไปเข้ารับการตัดสินโทษอีกครั้ง”
“…ครับ”
“ซิก ลอร์ ระหว่างการเดินทาง พวกนายต้องคุมตัวสองคนนี้ไว้ให้ดี”
“ครับท่านหญิงกรอเรีย”
อัศวินจอมเงียบทั้งสองขานรับคำสั่ง และทำการปลดอาวุธเป้าหมายทันที
“ส่วนครีเรน่า เธอจะต้องศึกษาหลักคำสอนให้ถ่องแท้กว่านี้ จากนี้ไปเวลาว่างเธอจะต้องมาเรียนจากฉันกับมาริน”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
ผมไม่ได้ยื่นมือเข้าไปยุ่งกับการตัดสินโทษในครั้งนี้ แต่ใช่ว่าโทษของสองคนนี้จะหมดไปด้วย แต่เอาเถอะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของการลงทัณฑ์
พอเห็นว่าเสร็จเรื่องแล้ว ผมก็เรียกทุกคนมากินข้าว ตอนแรกนักบวชชายที่ชื่อเมาลอยล์ทำท่าจะแยกไป แต่พอเห็นว่าพรรคพวกตัวเองเดินมานั่งร่วมโต๊ะกับทาส ก็ทำท่าอึกอัก ก่อนจะยอมตามมานั่งด้วยอย่างไม่มีทางเลี่ยง ส่วนอาโกทัสสะบัดตูดไปกินข้าวคนเดียว ยังทำใจร่วมโต๊ะกับทาสไม่ได แถมยังพึ่งถูกไล่ออกจากโบสถ์ใหญ่ ตอนนี้เขาเลยเหมือนกับหมาหัวเน่าไม่มีผิด
แต่เรื่องของอาโกทัสเริ่มสนุกตอนนี้ล่ะ เพราะตอนมันจะหยิบเอาเสบียงออกมา ก็รู้ตัวแล้วว่าเงินที่ตัวเองเก็บเอาไว้ได้หายไปแล้ว แถมในกระเป๋าก็ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เสบียงเก็บเอาไว้
“เฮ้ย!”
มันลุกพรวดขึ้นมาจ้องหน้าผม
“มีอะไรเหรอ”
ผมถามกลับไป แต่อาโกทัสมันพูดไม่ได้หรอก ขืนพูดก็เท่ากับยอมรับว่าก่อนหน้านี้โกหกทั้งหมด เป็นไงล่ะเจอเรื่องโกหกของตัวเองย้อนมาเล่นงานแบบนี้ ขำไม่ออกล่ะสิ
“คะ คือ…สงสัยเสบียงของฉันจะหล่นไปพร้อมกับเงินน่ะ”
“เหรอ แย่หน่อยนะ งั้นเอาเสบียงผมไปกินก็ได้”
ผมหยิบเอาพวกอาหารที่ซื้อจากในเมืองมาให้ เพราะอย่างไงของพวกนี้ผมก็ไม่คิดจะเก็บไว้กินเองอยู่แล้ว เพราะมีแต่ของไร้รสชาติทั้งนั้น
แต่อาโกทัสก็คอยมองผมอยู่ตลอด คงสงสัยว่าผมจะเป็นคนเอาเงินไปแน่ๆ แต่โทษทีนะ
ความสามารถในการโกหกมันต่างกัน วิธีโกหกที่ดีที่สุดก็คือการไม่พูดเรื่องโกหกไงล่ะ ผมเลี่ยงที่จะพูดอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องการโกหก ไม่ได้พูดออกไป ก็ไม่มีเบาะแส ไม่มีข้อผูกมัด ด้วยการตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้เรื่อง แบบนี้จะหาข้ออ้างอะไรมาเล่นงานผมได้อีกไม่มีทาง แกน่ะจบเห่แล้ว อาโกทัส
ฟินนนน
ตอบลบแวะมาส่อง ได้อ่านตอนใหม่เบย
ตอบลบขอบคุณจ้า