ตอนที่ 60 อีกด้านหนึ่งของยามวิกาล
-มุมมองของพวกฟราน
“นายท่านออกไปแล้ว”
ฟรานลืมตาขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียงประตูหน้าปิด ทั้งๆ ที่เป็นเสียงที่เบาขนาดเข็มตก
“แอบตามกันไปดีไหม”
เดเม่เสนอขึ้นมา
“เดเม่ยังขยับตัวไม่ได้นี้อย่าฝืนเลย อีกอย่างที่นายท่านไปคนเดียวเพราะอยากจะมีเวลาส่วนตัวบ้าง พวกเราเองก็อย่าไปรบกวนนายท่านดีกว่า”
“แต่หนูห่วงความปลอดภัยของนายท่าน”
“ฉันก็ห่วง แต่ว่าการเชื่อมั่นในตัวนายท่านก็สำคัญนะ”
“อืม หนูเชื่อมั่นในตัวนายท่าน”
“…”
“มีอะไรเหรอ ฟรานซิสก้า?”
“ได้กลิ่นของพวกคนเลว”
ฟรานลุกขึ้นมาแต่งตัวและคว้าอาวุธอย่างรวดเร็ว
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าฝืน ตอนกลางคืนปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง ส่วนหน้าที่ของเดเม่คือรีบตื่นนอนมาช่วยงานนายท่านนะ”
ฟรานห้ามเดเม่ที่พยายามจะลุกขึ้นมาแต่งตัว
“ระวังตัวด้วยนะ”
“อืม สบายมาก”
พอฟรานออกมาจากห้อง ประตูห้องใกล้ๆ ก็เปิดออก พร้อมกับดอเรียที่เดินออกมาเงียบๆ เพื่อไม่ให้กินตื่น
“ดอเรียเองก็รู้ตัวเหมือนกันเหรอ”
“ข้าเป็นมอนสเตอร์นะ เลยมีสัญชาตญาณสัมผัสได้ถึงการคุกคาม”
“อย่าไงก็อย่าเผลอไปฆ่านะคะ ไม่งั้นนายท่านจะเดือดร้อนได้”
“จะพยายามล่ะกัน ข้าเองก็ไม่อยากถูกโรมะเกลียดด้วย”
แต่ตอนนั้นเองมิรินก็ลงมาจากชั้นสาม
“อ้าว พวกเธอยังลุกไหวเหรอเนี่ย”
มิรินไม่ได้แปลกใจที่พวกฟรานรู้ตัวว่ามีผู้บุกรุก แต่แปลกใจที่ยังลุกกันไหวหลังจากพึ่งมีอะไรกับโรมะไป
“หนูแป็นแวมไพร์เลยฟื้นตัวได้เร็วค่ะ แต่ตรงนั้นยังปวดตุบๆ อยู่เลย”
“ข้าเองถึงจะลุกไหวแต่ขายังสั่นอยู่ โรมะไม่ปรานีข้าเลย”
“ฉันเองก็ด้วยค่ะ ถึงจะลุกไหวแต่แรงแทบจะไม่เหลือแล้ว”
“งานนี้ก็ช่วยๆ กันเถอะค่ะ จะได้เสร็จเร็วๆ แล้วกลับไปนอนกัน”
“ข้าไม่รู้สึกถึงอันตราย พวกที่มาคงไม่เท่าไร”
“งั้นฉันจองตรงหลังคาเอง จะคอยใช้เวทสนับสนุนจากตรงนั้นนะ”
มิรินบอกเสร็จก็หายตัวไปเป็นคนแรกด้วยเวทเคลื่อนย้าย
เมื่อฟานกับดอเรียลงมาถึงชั้นล่าง ก็เจอดาเซสกับคริสติน่าและเหล่าไรโมดอลยืนตั้งแถวกันอยู่
“อ้าว พวกเธอลงมากันทำไมล่ะ ไปนอนต่อเถอะ งานดูแลความปลอดภัยมันงานของฉันนะ”
ดาเซสไล่ทุกคนกลับไปนอน แต่ฟรานเดินไปลูบก้นเธอ ซึ่งนั้นทำให้ดาเซสกรี๊ดออกมาเบาๆ และเข่าอ่อนลงไปนั่งกับพื้น
“อย่าฝืนค่ะ ผู้บุกรุกมากันเยอะ ช่วยๆ กันดีกว่า”
ฟรานเข้าใจสภาพร่างกายของทุกคนเป็นอย่างดี ที่สำคัญเธอไม่อยากให้ใครได้รับบาดเจ็บ เพราะถ้ามีใครได้แผลแม้แต่นิดเดียว นายท่านของเธอจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน
“เอางั้นก็ได้ ดอเรียฝากด้านหน้าด้วยนะ ฉันกับฟรานจะจัดการพวกที่มาทางด้านหลังเอง”
“ได้เลย”
ดอเรียยิ้มอย่างตื่นเต้นดีใจ ขณะเดินออกไปที่ประตูหน้า
“ส่วนพวกที่หลุดเข้ามาในบ้าน ก็ฝากจัดการด้วยนะคริสติน่า”
“ไว้ใจได้ค่ะ ว่าแต่พวกเธอไม่ต้องออกไปก็ได้นะ ฉันรับคำสั่งจากโรมะให้ปกป้องพวกเธอ”
“พวกเรารู้แล้ว แต่ถ้าคริสติน่าเป็นอะไรไปนายท่านก็จะเสียใจเหมือนกันนะ”
“สะ เสียใจอะไรกัน ฉันเป็นแค่มอนสเตอร์เท่านั้นนะ”
คริสติน่าก้มหน้าหลบ แต่ฟรานก็เดินเข้ามาลูบหัว
“เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอ ว่านายท่านไม่ได้คิดแบบนั้น คริสติน่าก็ห้ามคิดเอาเองอีกนะ”
“…อืม ฉันจะระวังตัว พวกเธอก็ด้วยนะ”
ฟรานกับดาเซสเดินไปทางประตูหลัง พร้อมกับที่ไฟในตะเกียงดับลงเพราะเสียงตบมือของฟราน ทั้งพวกเธอทั้งพวกคริสติน่าต่างกลืนหายไปในความมืด
……………..
-มุมมองของผู้บุกรุก
“ใช่เจ้านั้นหรือเปล่า”
ผู้บุกรุกที่แอบซุ่มอยู่ในพงหญ้ากระซิบถามคนข้างๆ
“ไม่รู้สิ มันมืดเลยมองไม่เห็นหน้า แต่จากข้อมูลบอกว่ามีผู้ชายคนเดียวในบ้าน ไม่ผิดแน่”
“น่าสงสารว่ะ ต้องมาตายเพราะพวกทาสแบบนี้”
“ช่างหัวแมร่ง เสือกดื้อด้านเอง นายท่านขอซื้อดีๆ แมร่งทำเป็นเล่นตัว จะมาสำนึกตอนนี้ก็สายไปแล้ว”
“พวกเราเองก็อย่าทำพลาดล่ะกัน ถึงอีกฝ่ายจะเป็นแค่ทาส แต่มีฝีมือพอตัวเลยนะ”
“เก่งก็เก่งสิวะ พวกเราขนกันมาตั้งห้าสิบคน แถมมีนักผจญภัยที่เลเวลยี่สิบแล้วตั้งครึ่งหนึ่ง”
“ในบ้านนอกจากเป้าหมายสามคนแล้ว ยังมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ด้วยนะ แมร่งสวยๆ น่าเย็ดทั้งนั้นเลย”
“งั้นนอกจากทาสสามคนที่เป็นเป้าหมายแล้ว ที่เหลือพวกกูก็ข่มขืนแมร่งได้เลยใช่ไหม”
“เอ่อสิ แต่กูจองอีนางอาเดไลท์แล้วนะโว้ย แมร่งชอบเล่นตัวนัก คืนนี้กูจะเย็ดแมร่งให้แหกเลยมึง”
“ส่วนกูขออีดาเซสก่อน เคยปาร์ตี้กันสองสามครั้ง จ้องตูดแมร่งทีไรควยกูแข็งทุกที แถมตอนนี้ไม่มีผัวมันคอยขวางแล้ว กูจะเย็ดแมร่งให้หนำใจเลย”
“แต่กูว่าอีสองแม่ลูกคนรับใช้น่าเอากว่าอีกนะ ตอนกูมาแอบดู เห็นอีตัวแม่นั่งทำสวนไปนมเด้งไป กูนี้เกือบวิ่งเข้าไปเอาแมร่งตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ ส่วนอีลูกเห็นหยิ่งๆ แบบนี้ กูอยากรู้นักมันจะร้องแบบไหนตอนโดนเอา”
“เอาที่พวกมึงสบายใจเลย แต่พวกกูสิบคนจัดคิวจองอีมอเรียแล้ว จะเอาให้แมร่งร้องผัวขาๆ เลย”
“แล้วจะเอาอย่างไงกับอีกสามคนที่ยังไม่มีข้อมูลล่ะ”
“อีม้าเวรเซนทอร์ฆ่าแมร่งทิ้งเลย อย่างไงก็เอามาทำห่าอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
“ส่วนอีผมฟ้ากูจอง สวยแบบนั้นกูชอบ”
“อีคนผมยาวๆ สีม่วงนั้นก็ให้พวกที่เหลือรุมโทรมแมร่งเลยล่ะกัน ท่าทางแมร่งน่าโดนรุมข่มขืนอยู่แล้ว”
ตอนนี้พวกผู้บุกรุกได้กระจายกำลังกันออกไป กลุ่มที่ซุ่มอยู่ทางประตูหน้ามีกันเกือบยี่สิบคน ส่วนอีกสิบคนกระจายล้อมรอบบ้าน และแอบเข้าไปด้านในบ้านทางหน้าต่าง ส่วนที่เหลืออีกกว่ายี่สิบคน ซึ่งล้วนแต่เป็นนักผจญภัยมือดีแอบย่องไปด้านหลังบ้านเพื่อเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉากบุก ถ้ามีใครหนีออกมาทางประตูหน้า พวกที่ซุ่มอยู่ก็จะพากันออกไปจับตัวไว้
พวกนักผจญภัยที่มาถึงด้านหลังบ้านแล้ว ต่างชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อม ถ้าเทียบกับการต่อสู้ในดันเจี้ยนแล้ว งานนี้ดูจะง่ายแถมเงินดีกว่ามาก และยังได้
เย็ดสาวๆ สวยๆ ด้วย แต่ก่อนที่จะได้เริ่มบุก ประตูหลังก็ถูกเปิดออก
คนที่ก้าวออกมาคืออัศวินสาวสุดเท่ห์มาดคุณหนู ในกลุ่มมีหลายคนเล็งดาเซสไว้อยู่ แถมตอนนี้ดาเซสดูสวยกว่าเมื่อก่อนขึ้นหลายเท่า จนพวกมันเองแทบจะจำเธอไม่ได้
“กูทนไม่ไหวแล้วโว้ย ขอกูเย็ดอีนี้เป็นคนแรก!”
พวกมันคนหนึ่งพุ่งออกไปจากกลุ่ม แถมมันไม่กลัวดาเซสแม้แต่น้อย เพราะเคยเห็นความสามารถมาหมดแล้ว มันมั่นใจว่าพลังป้องกันของตัวเองสามารถรับการโจมตีของดาเซสได้สบาย
ทว่าเมื่อเข้าไปในอยู่ในระยะดาบของดาเซส ดาบและโล่ก็ถูกหั่นเป็นสามส่วนไปพร้อมกับแขนทั้งสองข้าง
“เอ๋? ไม่ใช่แค่ดาบคมเฉยๆ แล้วสิ เหมือนค่าพลังจะเพิ่มขึ้นด้วยล่ะมั่ง?”
ดาเซสสะบัดดาบใส่อากาศพลางเอียงคอด้วยความสงสัย เพราะตะกี้กะจะฟันให้ดาบกับโล่หลุดมืออีกฝ่าย แต่กลับฟันขาดไปเลย จึงรู้สึกว่ากะแรงยังไม่ถูก
“ระ ระวังอาวุธของมันไว้! แย่งดาบมาให้ได้”
พวกผู้บุกรุกเปลี่ยนเป็นเข้าหาดาเซสด้วยรูปแบบขบวนที่รัดกุม แต่เป็นดาเซสที่เคลื่อนเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับเตะกวาดใส่อัศวินใส่เกราะตรงหัวขบวน
อัศวินยกแขนขึ้นตั้งใจจะปัดขาของดาเซสและจับเธอกดลงกับพื้น แต่แขนข้างนั้นหักงอทันทีพร้อมกับเกราะแขนที่ยุบลง แถมตัวอัศวินยังกระเด็นตามแรงเตะไปไกลหลายเมตร
ดาเซสแทงดาบใส่ผู้ใช้หอกที่อยู่ด้านหลังของอัศวิน ด้วยความตกใจแบบไม่ทันได้ตั้งตัว มันเลยหลบไม่พบ โดนดาบของดาเซสเสียบเข้าตรงหัวไหล่จนสูญเสียการควบคุมแขนที่ถือหอกไปข้าง พอดึงดาบกลับออกมา ดาเซสก็โจมตีต่อเนื่องด้วยสกิลทันที
Slashx3!
ดาบของดาเซสพุ่งตัดอากาศเสียงดังสามครั้งต่อเนื่อง กว่าที่จะทันรู้ตัว ข้อมือของคนในขบวนของอัศวินที่เหลืออีกสามคน ก็โดนปาดลึกจนมือเกือบขาด เลือดพุ่งออกมาเป็นนํ้าพุพร้อมเสียงร้องโอดครวญ
“รีบรักษาเร็ว!”
ในกลุ่มผู้บุกรุกมีนักบวชอยู่ด้วย แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว นักบวชคนนั้นก็กรีดร้องแบบไม่เป็นภาษาออกมา พอทุกคนหันไปก็พบภาพสุดสยอง เพราะปาก
ส่วนล่างของนักบวชโดนตัดขาดอย่างเรียบกริบ และลิ้นที่ยื่นออกมา มันยืดยาวได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ด้านข้างของนักบวชมีเด็กสาวแสนสวยคนหนึ่งยืนอยู่ ในมือของเธอถือง้าว โดยที่บนง้าวนั้นมีปากส่วนล่างของนักบวชติดอยู่
“เจ้าพวกโสโครก บังอาจมาทำให้กลิ่นของนายท่านในพื้นที่แห่งนี้ต้องแปดเปื้อน อย่าหวังจะได้กลับออกไปอย่างสมประกอบเลย”
เด็กสาวกวัดแกว่งง้าวอย่างรวดเร็วจนมองด้วยตาแทบไม่ทัน แต่พริบตาเดียวทุกคนที่ยืนอยู่รอบตัวเธอ ต่างต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไป บางคนหูขาด บางคนจมูกถูกตัด บางคนนิ้วมือถูกตัด แค่เพียงไม่ถึงนาที กลุ่มผู้บุกรุกด้านหลัง ก็มีเกือบครึ่งที่ไม่อยู่ในสภาพต่อสู้ได้อีกต่อไปแล้ว
“มะ ไม่ใช่มนุษย์แล้ว!”
มีคนหนึ่งที่ตกใจกลัวจนกรีดร้องออกมา มันโยนอาวุธทิ้งพร้อมกับหันหลังวิ่งหนีทันที แต่พอแตกกลุ่มออกไป ร่างของเขาก็ลุกไหม้ขึ้นมาด้วยเวทมนต์ที่ไม่รู้ที่มา แถมยังเป็นผู้เชี่ยวชาญ ขนาดทำให้ความร้อนของไฟไม่เผาอีกฝ่ายจนเกรียม แค่ทำให้สาหัสปางตายและมีแผลไฟไหม้น่าเกลียดติดตัวไปชั่วชีวิตเท่านั้น
พวกที่เหลือไม่มีทางเลือก ตอนนี้อย่าว่าแต่การบุกเข้าไปในบ้านเลย แค่ต้องเอาตัวรอดจากที่นี้ไปก็ยังเป็นเรื่องยาก เลยเลิกต่างทีมต่างสู้ แต่มารวมกันเป็นทีมใหญ่ทีมเดียว
“ฟราน มาหลบข้างหลังฉัน”
ดาเซสเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นพวกผู้บุกรุกกำลังจะใช้เวทออกมา ส่วนพวกที่เป็นกำแพงรอบนอก ต่างก็ใช้สกิล
เสริมพลังป้องกันออกมา ถึงจะเป็นฟรานก็ฝ่าไปจัดการผู้ใช้เวทมนต์ไม่ทันแน่
พอฟรานมาหลบตามที่บอกแล้ว ดาเซสก็ใช้สกิลป้องกันออกไปบ้าง
Howl of Raise!
Wall stone!
ดาเซสใช้สองสกิลติดกัน โดยสกิลแรกเป็นการเพิ่มพลังต้านทานธาตุให้กับทุกคนรอบตัว ส่วนสกิลที่สองเป็นการสร้างกำแพงหินขึ้นมาป้องกันทั้งสี่ด้านรอบตัว
เวทมนต์ที่ถูกยิงมาไม่อาจผ่านการป้องกันของดาเซสไปได้ แถมการโจมตีนั้นยังเป็นการบอกตำแหน่งตัวเองให้มิรินรู้ว่าคนไหนเป็นผู้ใช้เวทบ้าง มิรินเลยจัดการด้วยการใช้เวทสายลม ยิงเป็นคลื่นตัดอากาศไปตัดแขน
ตัดขาพวกจอมเวท แต่ทันทีที่โดนตัดแขนขา บาดแผลก็จะถูกแช่แข็งด้วยเวทนํ้าแข็ง เพราะมิรินเป็นจอมเวทที่มีสกิลที่สามารถใช้เวทมนต์สองชนิดพร้อมกันได้ แต่นี้ยังถือว่าปกติมากสำหรับระดับจอมเวทในปาร์ตี้ของผู้กล้า
พอไม่มีผู้ใช้เวทแล้ว พวกผู้บุกรุกก็เปลี่ยนมาใช้ธนูยิงใส่ แต่ก็ถูกมิรินใช้เวทมนต์สร้างลมหมุนขึ้นมา ทำให้ลูกศรเปลี่ยนทิศทางไปหมด
ฟรานอยากจะใช้ Mind control ใส่พวกมันเพื่อให้ติดสถานะสวามิภักดิ์จะได้จบๆ ไป แต่เธอไม่อยากใช้ตอนที่โรมะไม่อยู่ด้วย เพราะกลัวจะโดนโกรธที่ใช้พลังไปควบคุมคนอื่นตามอำเภอใจ
แต่ถึงไม่ต้องพึ่งสกิล พวกฟรานก็เหนือกว่าผู้บุกรุกอย่างทาบไม่ติด พวกที่ตั้งกำแพงแล้วใช้สกิลเสริม
การป้องกัน ก็เป็นเพียงแค่การถ่วงเวลาให้ต้องทรมานมากขึ้นเท่านั้น
“เฮ้ย ข้าว่ามันแปลกๆ แล้วว่ะ ไอ้พวกกลุ่มด้านหลังไม่เห็นบุกเข้าไปในบ้านสักที”
“สงสัยแมร่งกำลังสนุกกันอยู่แน่เลย อยากรู้จังใครโดนพวกแมร่งรุมโทรมอยู่ คงไม่ใช่อาเดไลท์ของกูนะ”
“ไม่รอแมร่งล่ะ ใครเจอก่อนได้เย็ดก่อนโว้ย”
แล้วพวกกลุ่มที่บุกเข้าทางหน้าต่างก็พากันเข้าไปด้านใน
“เงียบๆ นะโว้ย กูจะย่องไปลักหลับแมร่งถึงเตียงเลย”
แต่คนที่พูดจู่ๆ ก็ล้มลงและถูกลากหายไปอย่างรวดเร็ว จนคนอื่นได้แต่ตะลึงตาค้าง
“ศะ ศัตรู! ระวังมีศัตรูสุ่มอยู่”
ถึงจะตะโกนบอกก็สายไปแล้ว มีอีกสองคนที่โดนไรโมดอลตัดเอ็นข้อเท้า และลากออกไปมัดไว้
ไรโมดอลเพียงตัวเดียวอาจจะไม่ได้น่ากลัวอะไร นักผจญภัยเลเวลสิบกว่าๆ ก็สู้ได้สบาย แต่ว่าไรโมดอลที่อยู่เป็นกลุ่ม แถมมี Raid คอยสั่งการและเพิ่มพลังให้ ไม่ต่างจากกองทหารที่มีความเชี่ยวชาญระดับสูงเลยทีเดียว
แต่ถือว่ากลุ่มผู้บุกรุกโชคดีแล้ว ที่มีคำสั่งห้ามฆ่า ไม่งั้นพวกมันคงโดนไรโมดอลควักลูกตาหรือลากไส้ออกมาแล้ว ถึงจะไม่ต้องถึงขั้นลงมือสังหาร เพียงแค่ดวงตาที่ส่องแสงสีเขียวในความมืดนับสิบๆ ดวง ก็เล่นเอาผู้บุกรุกขวัญผวากันไปหมด
“นะ หนีเร็ว!”
พอมีคนหนึ่งวิ่ง ที่เหลือก็วิ่งตาม แต่พวกที่อยู่รั้งท้าย ก็จะโดนไล่เก็บไปทีละคน
แต่แล้วหัวแถวก็ถูกหยุดลง เพราะประตูห้องหนึ่งเปิดออกมา พร้อมกับเงาร่างเล็กๆ พุ่งใส่ด้วยความเร็วสูง คนที่อยู่ด้านหน้าตัวหงอเป็นกุ้งก่อนจะล้มลงไปนอนชักกับพื้น
“หนวกหู”
สาวชาวดวาฟเอ่ยขึ้น พลางยกมือขึ้นเช็ดขอบตา
“ยูรินไปนอนต่อเถอะ ตรงนี้ฉันจัดการเอง”
คริสติน่าปรากฏตัวออกมาจากในเงามืด และบอกกับยูริน ซึ่งเธอก็พยักหน้ารับและกลับเข้าไปในห้อง
“เอาล่ะทุกคน รีบจัดการให้เสร็จได้แล้ว”
พอคริสติน่าออกคำสั่ง กองทัพไรโมดอลก็รุมเข้าใส่ผู้บุกรุกราวกับหมาป่าวิ่งเข้าหาฝูงแกะ
ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่ดักรออยู่ที่หน้าบ้าน เริ่มรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมา เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ถึงจะได้ยินเสียงต่อสู้ดังมาจากที่ไกลๆ บ้าง แต่กลับยังไม่มีใครออกมาจากบ้าน
“เฮ้ย นี้มันไม่เหมือนที่วางแผนไว้แล้ว จะเอาไงดี”
“เสร็จกัน ไอ้พวกเหี้ยนั้นจะเก็บสาวๆ ไว้เล่นคนเดียวไม่แบ่งพวกเราแน่”
“งั้นลุยกันเลย!”
แต่พอลุกขึ้นมา เจ้าคนด้านหน้าสุดก็ลอยกระเด็นขึ้นไปบนฟ้า พร้อมกับเลือดที่พุ่งออกมาจากปาก ลอยกระเซ็นเป็นสายฝน
ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้คือเซนทอร์สาวถือดาบที่ยังในฝักอยู่ แต่ขนาดยังไม่ชักดาบออกมา แค่หวดใส่ทีเดียวก็เล่นเอาผู้บุกรุกเคราะห์ร้ายรายแรกถึงกับปางตายแล้ว
ในวงศ์วานของเซนทอร์นั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสองพวก ก็คือเซนทอร์ป่า กับเซนทอร์ชั้นสูง
พวกเซนทอร์ป่านั้นจะอยู่กินกันแต่ในป่า มีพฤติกรรมไม่ต่างอะไรกับสัตว์ เจออะไรก็ล่าแล้วก็กิน ไม่ใช้ภาษาในการสื่อสารด้วย เป็นพวกป่าเถื่อนก็ว่าได้ แต่ก็ยังถือเป็นมอนสเตอร์ระดับกลางที่มีเลเวลสูงถึง 25 โดยเฉลี่ย
แต่เซนทอร์ชั้นสูงจะต่างออกไป พวกนี้จะอาศัยจะอยู่ในเขตปกครองของจอมมาร และรวมตัวกันสร้างเมืองของตัวเองขึ้นมา มีการฝึกปรือฝีมือและฝึกฝน
การใช้อาวุธอย่างหนัก และมีกฎที่ว่าเซนทอร์ตัวไหนเลเวลยังไม่ถึง 50 ก็ห้ามออกจากเมืองโดยเด็ดขาด
เซนทอร์ชั้นสูงที่ออกท่องโลก เลยล้วนแต่มีฝีมือร้ายกาจ แต่เพราะไม่มีความดุร้ายแบบเซนทอร์ป่า มีการแต่งตัวและใช้ภาษาของมนุษย์ บางเมืองที่ไม่เข้มงวดก็จะปล่อยให้เข้าเมืองมาได้ หรือไม่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป ขนาดเซนทอร์ที่เป็นนักผจญภัยก็ยังมี
และเพราะการรู้จักหาเงินและมีเงินติดตัวนี้เอง เมืองส่วนใหญ่เลยเปิดรับเซนทอร์มากกว่าจะล่าให้ตายกันไปข้าง เพราะเป็นพวกที่สามารถทำกำไรได้มากกว่าการไปเที่ยวไล่ล่า และดอเรียที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าผู้บุกรุกตอนนี้ ก็เป็นเซนทอร์ชั้นสูงที่เป็นทั้งนักผจญภัยและได้รับการเปลี่ยนอาชีพมาแล้วสองครั้ง ซามูไรเป็นอาชีพ
ระดับสูงในสายผู้ใช้ดาบ ความสามารถในเชิงดาบนั้นขนาดที่ชนตัวๆ กับบอสดันเจี้ยนได้เลย
แต่ผู้บุกรุกรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมาเจอเซนทอร์ชั้นสูง เลยเตรียมวิธีรับมือมาด้วย ทุกคนหยิบเอาหัวของลูกม้าที่เตรียมไว้ออกมา พวกเซนทอร์นั้นไม่ชอบเห็นศพพวกเดียวกัน แม้กระทั่งม้าที่เป็นสัตว์ก็ถูกนับรวมไปด้วย ส่วนใหญ่พอเห็นจะขาอ่อนหมดแรง สภาพจิตใจอยู่ในความหวาดกลัวจนไม่สามารถต่อสู้ได้ การล่าเซนทอร์นั้นถ้ารู้จุดอ่อนแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
“ฆ่ามันซะ!”
ผู้บุกรุกชูหัวลูกม้าขึ้นและพุ่งเข้าไปเหวี่ยงดาบใส่เซนทอร์สาว แต่ร่างของมันก็กระเด็นลอยขึ้นไปบนฟ้าเป็นรายที่สอง พร้อมกับอาวุธในมือแตกเป็นชิ้นๆ
“เจ้าพวกทุเรศ! คิดจะใช้วิธีหลังเขาแบบนั้นกับข้าเหรอ จะบอกให้เอาบุญนะ เซนทอร์ชั้นสูงอย่างพวกข้าน่ะ เรียนรู้เพื่อแก้ไขจุดอ่อนของตัวเองอยู่เสมอ ไอ้อาการกลัวศพพวกเดียวกันเองจนขาอ่อนน่ะ แม้แต่เด็กเล็กในหมู่พวกข้าก็ไม่เป็นกันแล้ว!”
พอบอกเสร็จเธอก็พุ่งใส่เข้าไปกลางวง ที่ผู้บุกรุกยืนกันสิบกว่าคน แต่เพียงแต่สะบัดดาบที่ใส่ฝักอยู่ไม่กี่ที ร่างของผู้บุกรุกก็กระเด็นไปตามแรงจนหายไปกว่าครึ่งในพริบตาเดียว
“และพวกเจ้าบังอาจเหยียบยํ่าเข้ามาในพื้นที่ของนายข้า ในฐานะดาบของท่านโรมะแล้ว ข้าจะต้องให้พวกแกต้องชดใช้”
ดอเรียดึงดาบออกจากฝัก แต่ก็ยังใช้ด้านสันของดาบ เธอใช้สกิลของอาชีพซามูไรออกมาด้วยการย่อ
ตัวลงตํ่าและฟันกวาดออกไปรอบตัว เกิดคลื่นแรงอัดจากดาบขยายตัวออกไปเป็นวงกลม ซึ่งถ้าใช้ด้านคม ป่านี้พวกผู้บุกรุกคงขาดเป็นสองท่อนไปหมดแล้ว แต่ถึงจะใช้แค่สัน มันก็รุนแรงจนทำให้แขนหักไม่ก็ทำลายอาวุธที่ถืออยู่ไปเลย
พวกผู้บุกรุกที่รอดจากการโจมตีเมื่อครู่ได้สองคน ต่างหันหลังและวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต แต่เท้าของคนเหรอจะสู้ความเร็วของเซนทอร์ แต่พริบตาเดียวดอเรียก็ไล่พวกมันทัน และใช้ฝักดาบฟันใส่จนกระเด็นกลับมานอนกองรวมกันทุกคน
“ฮึ จะพิชิตข้า นอกจากท่านโรมะแล้วก็ต้องเป็นปาร์ตี้ผู้กล้าเลเวล 40 ขึ้นไปเท่านั้นแหละ”
ในขณะที่ภายในบ้านและด้านหน้าถูกเก็บกวาดจนเรียบร้อยแล้ว ที่ด้านหลังซึ่งพวกฟรานรับมืออยู่ ก็ใกล้จะเสร็จแล้วเหมือนกัน
แต่นักผจญภัยคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ กลับงัดเอาไพ่ตายออกมาใช้ไปแบบไม่ทันรู้ตัว
“ถะ ถึงจะฆ่าข้าไป แต่เจ้านายของพวกแกก็ไม่รอดแน่! ตอนนี้มีพวกข้าอีกกว่าสิบคนตามไปฆ่ามันแล้ว!”
เป็นเรื่องจริง เพราะวิธีที่จะตบทาสจากคนอื่นได้ ก็มีแต่ต้องฆ่าเจ้าของทาสเพื่อทำให้พันธะทาสเป็นโมฆะไป
“ว่าไงนะ!”
ดาเซสโมโหขึ้นมาจนดูน่ากลัว จนนักผจญภัยต้องรีบหลบตา ยังไม่นับฟรานกับมิรินที่พึ่งลอยตัวลงมาจากหลังคา ด้วยสีหน้าท่าทางพร้อมจะฆ่าได้ทุกวินาที
“ยะ อย่าดีกว่า! มะ มีแค่ข้าเท่านั้นแหละที่จะสั่งหยุดพวกนั้นได้”
อันนี้โกหก เพราะป่านี้กลุ่มที่ตามโรมะไปคงจัดการเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
“งั้นก็รีบบอกให้พวกแกหยุดเดี๋ยวนี้!”
ดาเซสตะโกนสั่ง แต่นักผจญภัยมันรู้แล้วว่า ตัวเองได้กุมความได้เปรียบอยู่ คนในบ้านนี้ล้วนแต่ให้ความสำคัญกับโรมะมากกว่าอะไรทั้งสิ้น
“ก็ได้ งั้นก็ทิ้งอาวุธแล้วคุกเข่าลงสิ”
“แก…”
ดาเซสกำลังจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่มิรินห้ามไว้
“เดี๋ยวดาเซส จนกว่าพวกเราจะยืนยันความปลอดภัยของท่านโรมะได้ ทำตามที่มันว่าไปก่อน”
“กรอด!!”
ดาเซสกัดฟันอย่างโกรธแค้น แต่ก็ยอมทิ้งดาบและโล่ลงพื้น ฟรานเองก็พยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้ฆ่าอีกฝ่ายจนตัวสั่น และยอมทิ้งอาวุธตามไป และพร้อมใจกันคุกเข่าลง
“ดะ ดี หะ ห้ามขยับนะ! ความอยู่รอดของเจ้านายพวกแกอยู่ที่ข้าเท่านั้นอย่าลืมซะล่ะ”
นักผจญภัยเดินเข้ามาหาดาเซสก่อน เพราะมันหมายตาเธอไว้แต่แรกแล้ว มันถอดกางเกงลงตรงหน้าเธอ
“ดาเซส!”
มิรินอยากเข้าไปแทนที่ ถึงตัวเธอจะเคยผ่านประสบการณ์ฝันร้ายมาแล้ว และไม่อยากจะเจออีก แต่เธอก็ปล่อยให้คนอื่นต้องเจอแบบเธอไม่ได้ แต่ดาเซสกลับยกมือขึ้นห้าม
“ไม่เป็นไร แค่ไม้จิ้มฟันของมันไม่ทำให้ฉันรู้สึกอะไรได้หรอก”
ดาเซสไม่แคร์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่เธออยากจะให้โรมะปลอดภัยเท่านั้น
“ไม้จิ้มฟันเหรอ! มึง!”
นักผจญภัยคนนั้นโกรธที่ถูกหยาม เลยพุ่งเข้ามาหมายจะจับดาเซสกด แต่มือที่ยืนมาจะถึงตัวดาเซส กลับถูกคทาเสียบทะลุและดึงลงไปปักกับพื้น แรงกระชากทำให้นักผจญภัยหน้าทิ่มพื้นและหวีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“คะ ใครน่ะ!”
ฟรานรีบมองไปยังบนฟ้าด้วยความตกใจ เพราะเธอเองไม่สามารถจับสัมผัสของคนแปลกหน้าคนนี้ได้เลย
คนที่กำลังลอยตัวลงมาจากบนฟ้า ใส่ชุดคลุมทั้งตัวและไม่ยอมให้เห็นหน้า แต่จากสรีระที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งที่น่าหลงใหลแล้ว ต้องเป็นผู้หญิงไม่ผิดแน่
“ทำแบบนั้นไม่ได้นะ พวกเธอเป็นของท่านโรมะแล้ว จะยอมให้ใครมาแตะต้องตัวได้อย่างไงกัน”
สาวส่วมผ้าคลุ่มบอกขณะลงมาถึงพื้น แต่พอได้ยินเสียงมิรินก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“ท่านพี่!”
แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ทักทายกัน นักผจญภัยที่มือถูกเสียบปักอยู่บนพื้น ก็ตะโกนขึ้นมา
“แกทำกับข้าแบบนี้ไม่กลัวเจ้าโรมะจะถูกฆ่าหรือไง!!”
“หุบปากเน่าๆ ของแกซะ”
สาวในผ้าคลุมหันไปทางนักผจญภัยและชี้นิ้วที่มีวงแหวนเวทขนาดเล็กออกไป และเพียงแค่กระดิกนิ้วเบาๆ ลิ้นของนักผจญภัยก็ลอยกระเด็นออกมาจากปากทันที
“เดี๋ยวก่อน! ถ้าทำอะไรมันนายท่านก็จะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก แค่โจรกระจอกยี่สิบสามสิบคน ไม่สามารถทำอะไรท่านโรมะได้อยู่แล้ว แต่ฉันก็ไม่อยากให้พวกมันไปกวนใจท่านโรมะ เลยจัดการให้แล้ว”
พอพูดจบ ก็มีเหล่าอัศวินในชุดเกราะที่ปิดทั้งตัวเดินออกมาจากรอบๆ ด้าน พร้อมกับถือโซ่ที่ล่ามตัวพวกที่ดักทำร้ายโรมะมาด้วย
“เจ้าพวกนี้ฉันจะเป็นคนจัดการเอง มั่นใจได้เลยว่าจะไม่โผล่หน้าออกมาให้เห็นอีกแน่”
“จะฆ่าพวกมันเหรอคะท่านพี่”
มิรินลุกขึ้นไปหวังจะห้าม แต่สาวในผ้าคลุมส่ายหน้า
“ไม่หรอก ก็ท่านโรมะไม่ชอบการฆ่านี่น่า ฉันเลยจะยึดถือแนวทางของท่านโรมะ ด้วยการลงทัณฑ์พวกมันเท่านั้นเอง”
“ถะ ถ้าลงทัณฑ์แบบท่านโรมะ ฉันว่าฆ่าเลยดีกว่าค่ะ”
“คิกๆๆ”
สาวในผ้าคลุมหัวเราะออกมา ขณะที่พวกอัศวินชุดเกราะเดินไปเอาตัวพวกผู้บุกรุกทั้งหมดมารวมกัน ดอเรียกับคริสติน่าตามออกมา
“พวกเธอฟังไว้นะ”
ก่อนจะจากไป สาวในผ้าคลุมหันมาพูดกับพวกฟราน
“อย่าคิดว่าการเสียสละตัวเพื่อท่านโรมะแล้วจะทำให้เรื่องมันจบนะ จงให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่านี้ ท่านโรมะไม่ได้มองพวกเธอเป็นแค่ดอกไม้ริมทางที่เบื่อแล้วก็จะโยนทิ้ง แต่ท่านให้ความสำคัญกับพวกเธอมากกว่าอะไรทั้งสิ้น ใช่มากกว่าโลกนี้ทั้งใบอีก
และถึงท่านจะไม่สนใจเรื่องในอดีตของพวกเธอ แต่ตอนนี้พวกเธอคือผู้หญิงของท่านโรมะ ถ้าพวกเธอถูกแตะต้องมันจะไม่ใช่แค่เรื่องถูกหมากัดอีกแล้ว แต่สิ่งที่จะตามมามันจะเลวร้ายชนิดที่พวกเธอคาดไม่ถึงทีเดียว ถ้าไม่อยากให้เมืองนี้ถูกท่านโรมะเปลี่ยนให้กลายเป็นขุมนรกบนดินล่ะก็นะ ฉันไม่ได้พูดเกินจริงไป
หรอก ถ้าจะบอกว่าซะตากรรมของเมืองนี้ขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้ว”
พอพูดจบทั้งสาวในผ้าคลุม ทั้งอัศวินในชุดเกราะ ทั้งพวกผู้บุกรุก ทุกคนถูกวาปร์หายไปในพริบตาเดียว ไม่มีเวลาให้พวกฟรานได้ถามอะไรเลย
“คนรู้จักเหรอ?”
ดาเซสหันไปถามมิรินที่เห็นเรียกอีกฝ่ายว่าท่านพี่ แถมยังดูสนิทกันดีอีกด้วย
“เธอเป็นพวกเราค่ะ แถมยังคอยดูและปกป้องท่านโรมะจากในเงามืดตลอดเวลาด้วย เรียกได้ว่าเป็นภรรยาที่คอยระวังหลังให้สามีแบบก้าวต่อก้าวเลยทีเดียว ฉันนับถือและพยายามเอาอย่างเธออยู่ เลยนับถือเป็นท่านพี่น่ะ”
“นอกจากพวกเราแล้ว นายท่านยังไปสร้างฮาเร็มไว้ที่อื่นด้วยสินะ”
ดาเซสทำท่าไม่พอใจเล็กน้อย
“ไม่ใช่หรอกค่ะ เธอคนนี้เป็นข้อยกเว้น ท่านโรมะเจอกับเธอก่อนพวกเราซะอีก จะบอกว่าเป็นผู้หญิงคนแรกในฮาเร็มของท่านโรมะก็ได้นะ แต่เพราะเธอต้องมีหน้าที่ต้องจัดการและรับผิดชอบอยู่ เลยมาอยู่ร่วมกับพวกเราไม่ได้”
“คอยดูแลปกป้องนายท่านจากในเงามืด…เท่ห์จัง!”
ฟรานดูจะถูกใจสาวในผ้าคลุมไปซะแล้ว
“เอาพวกเรา ยังเหลืองานทำความสะอาดกันอีกนะ รีบทำให้เสร็จแล้วกลับไปนอนกันเถอะ ฉันไม่อยากพลาดมื้อเช้าซะด้วยสิค่ะ”
ตอนที่ 61 ข้อเสียของเบอเซริกโหมด!!!
วันนี้ผมใส่หน้ากากไว้ตามเดิม เลยเดินในเมืองได้อย่างโล่งใจ ไม่ต้องคอยเปิดเรดาร์ไว้ระวังตัวแล้ว
แต่กำลังสองจิตสองใจ ไม่สิ สามจิตสามใจเลยต่างหาก อย่างแรกคืออยากลองแวะไปดูพวกออกัสสักหน่อย ว่าจะตัดขาดกันไปเลย หรือยังพอจะคุยกันได้ อย่างที่สองกรณีที่พวกออกัสไม่สนใจในตัวผมแล้ว ผมก็จะไปลงดันเจี้ยนลาลาพัสแทน ส่วนอย่างที่สาม อยากไปเที่ยวซ่องอ่ะ วันนี้ถึงจะได้กินและโดนดูดให้หลายยกแล้ว แต่มันไม่เหมือนกันอ่ะ การยิงกระสุนไม่ได้ช่วยลดพลังความหื่นผมลงเลยแม้แต่น้อย
ทว่าจะเอาแต่มีความสุขจนละเลยสิ่งที่ต้องทำไม่ได้ ถ้าขาดการลงดันเจี้ยนไปหนึ่งวัน ผมก็จะล้าหลังคนอื่นเพิ่มอีกหนึ่งวัน เรื่องรายได้เองก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจได้แล้ว ตราบใดที่ยังหาแหล่งทำเงินสำรองไม่ได้ ก็ยังมั่นใจได้ไม่เต็มร้อย คิดเผื่ออนาคตดูสิ เกิดผมมีสาวๆ ในฮาเร็มสักร้อยคน การกินอยู่ดูแลพวกเธอให้มีความสุขจะต้องใช้เงินมากแค่ไหน
ใช่ จะต้องไม่ประมาท การใช้ชีวิตที่ประมาทเท่ากับเร่งให้ Game Over เร็วขึ้นเท่านั้น ผมต้องบอกกับตัวเองอย่างนี้ทุกวัน
ผมตัดสินใจไปที่กิลเพื่อดูท่าทีของพวกออกัสก่อน จะได้ไม่ต้องรู้สึกค้างคา จากนั้นค่อยไล่ไปแผนสอง แล้วกรณีที่มีเวลาเหลือค่อยตามเก็บแผนสาม ตามนี้แหละ
พอมาถึงกิลบรรยากาศก็ยังดูเหมือนเดิม ด้านหน้าที่เป็นเหมือนลานเบียร์มีผู้คนมากหน้าหลายตากว่าตอนกลางวัน ครึ่งหนึ่งมานั่งรอหาปาร์ตี้ ส่วนอีกครึ่งมานั่งพักดื่มเหล้าผ่อนคลายหลังกลับออกมาจากการลงดันเจี้ยน
ผมเจอพวกออกัสในทันที เพราะพวกเขานั่งอยู่ที่เดิมประจำที่โต๊ะติดริมถนน
แต่ยังไม่ทันได้มองสำรวจบรรยากาศ ก็โดนโจมตีจากทางด้านหลังทันที
“ไง โรมะยอมโผล่มาแล้วเหรอ!”
คนที่พึ่งเข้ามากระแทกข้างหลังผมก็คือเมดาริน
“หวัดดีครับ”
ผมทักไปตามปกติก่อน
“เอาเถอะ มานั่งคุยกันที่โต๊ะก่อนดีกว่า”
ยังไม่ทันได้ถามอะไร ผมก็โดนดึงแขนไปถึงโต๊ะแล้ว
ที่โต๊ะอยู่กันครบ ออกัสกับกาอินทักทายผมตามปกติ ไม่สิ เจ้ากาอินดูสดใสร่าเริงผิดปกติ
ส่วนเนปฟ่า อ่า ตามที่คาดไว้เลย เธอหลบตาผมล่ะ เธอทำเป็นหันไปทางอื่น ไม่มองหน้า ไม่แม้กระทั่งจะทักทายกัน ส่วนชีเอ้กลับหันมาผงกหัวให้ทีหนึ่งตามปกติ อ่านเจ้าโรคจิตชอบแต่งหญิงนี้ไม่ออกจริงๆ ดูยากพอๆ กับยูรินเลย
“ไง เมื่อคืนไม่เห็นเลยนะไปไหนมาล่ะ”
ออกัสถามผมเลยตอบไปตามตรง
“ผมไปที่หอคอยลาลาพัสมาครับ”
“หา! ไปกับใครเหรอ หรือว่ากับปาร์ตี้ของนาย”
“เปล่าครับ กลางคืนผมออกล่าคนเดียว”
“พูดเป็นเล่นไป ที่ลาลาพัสอันตรายกว่าลูปันอีกนะ”
“ถ้าเป็นแค่ชั้นหนึ่งก็พอๆ กับลูปันชั้นสามแหละครับ ถึงมอนสเตอร์ที่ลาลาพัสเก่งกว่า แต่มันมีจำนวนไม่มาก พอจะรับมือคนเดียวได้อยู่ แต่ถ้าที่ลูปันผมฉายเดียวไม่ไหวจริงๆ”
“ก็จริงนะ ที่ลาลาพัสเหมาะกับปาร์ตี้ขนาดเล็กที่เน้นความคล่องตัว แต่ขนาดลงไปคนเดียวนี้มันก็เกินไปนะ เกิดโดนระเบิดจนขยับตัวไม่ได้ขึ้นมาจะทำอย่างไง”
ออกัสเริ่มเทศใส่ผม แต่ผมรับฟังแต่โดยดีนะ เพราะประสบการณ์สำคัญพอๆ กับความรู้
“ผมไม่ทันนึกถึงเรื่องนั้น จริงด้วยแฮะ ถึงระเบิดตัวเดียวจะไม่แรงเท่าไร แต่ถ้าโดนหลายตัวเข้าไปพร้อมกันนี้ อาจถึงขั้นขยับตัวไม่ได้จริงๆ”
“พวกเรารู้ว่านายเก่งล่ะนะ แต่การลงดันเจี้ยนคนเดียวเนี่ย มันไม่ดีเอามากๆ เลย อย่างน้อยที่สุดก็ต้องไปกันเป็นคู่ เผื่ออีกคนเคลื่อนไหวไม่ได้ อีกคนจะได้ช่วยเหลือได้ทัน”
“ครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ จากนี้ไปผมจะไม่ลงคนเดียวอีกแล้ว”
ใช่ อันตรายจริงๆ ด้วยแฮะ ลืมนึกไปเลย อย่างโดนศัตรูที่ทำให้เป็นอัมพาตได้โจมตีใส่ ถ้าไม่มีคนคอยรักษาหรือถ่วงเวลาให้ ก็ตายแน่ๆ
“รู้แล้วก็ดี งั้นมาเข้าปาร์ตี้ของฉันเถอะ”
เอ๋? ผมงงล่ะ ไม่ใช่ว่าเนปฟ่ามาฟ้องทุกคนแล้วหรอกเหรอ แต่รอดูไปก่อนดีกว่า
เท่าที่ผมสรุปจากที่พวกออกัสพูด เหมือนเนปฟ่าจะบอกทุกคนไปแล้วล่ะ แต่ทำไมทุกคนยังโอเคได้นะเหรอ อันนี้มาลองมองในมุมของคนโลกนี้ดูสิ ตามค่าเซ็กส์ออฟชั่นที่ตํ่าสุด ที่เหล่าชายหนุ่มทำได้เพียงแค่วันล่ะรอบ
เนปฟ่ามาบอกทุกคนไปว่า ผมทำตอนรอบกลางวันไปแล้ว เพราะงั้นกลางคืนผมต้องไม่มีอารมณ์หื่นๆ อย่างแน่นอน ทุกคนเลยฟันธงว่าผมไร้พิษภัย แถมเพราะผมไม่ได้แตะต้องเนปฟ่า (เพราะเธอหนีกลับก่อน) เลยผ่านเงื่อนไขที่พวกเขาตั้งไว้
ส่วนที่ว่าทำไมไอ้หล่อกาอินดูอารมณ์ดีนัก นั้นเพราะเนปฟ่าบอกว่าคู่นอนผมคือพวกโกร่า มันเลยเข้าใจ
ว่าผมนิยมสาวกล้ามโต ไม่ชอบสาวตัวเล็กๆ ผอมบางอย่างเนปฟ่า…เอาที่สบายใจเลย!
แต่เนปฟ่าเองก็คงแค่อยากได้ผลประโยชน์จากผมเท่านั้นแหละ ถึงพูดไม่ให้ผมดูหื่นนัก แต่เหมือนทำนองว่าเธอบังเอิญไปเห็น อารมณ์ประมาณว่าถึงผมจะหื่นแต่มีที่ระบายแล้ว ส่วนจะไปตกลงกันหลังไมค์อย่างไงนั้น สุดจะรู้ได้จริงๆ ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ ดีซะอีกที่ยังคงความสัมผัสไว้กับกลุ่มของลุงออกัสได้ ส่วนเรื่องการเข้าปาร์ตี้แบบถาวรผมคิดเอาไว้แล้ว
ผมตอบตกลงไป
แต่มีเงื่อนไข ซึ่งไม่ใช่เงื่อนไขยุ่งยากอะไร เพียงแค่ผมจะลงกับพวกลุงเขาเฉพาะแค่ตอนกลางคืน แบบนี้พวกเนปฟ่าจะได้ไม่มายุ่งกับผมตอนกลางวันอีก แต่ผมก็ใช่ว่าจะลงกับพวกลุงตลอด เพราะต้องการอิสระ
ไปไหนมาไหนเองด้วยในบางครั้ง โดยอ้างไปว่า ต้องการไปสำรวจดันเจี้ยนเพื่อเตรียมข้อมูลไว้ให้กับพวกฟราน พวกลุงออกัสเลยตกลงทันที
วันนี้พวกลุงเองก็จะลงไปที่ลูปัน แต่จะลองขยับไปชั้นสี่ดู เพราะมีผมไปด้วย ถึงผมจะไม่ค่อยเห็นด้วยก็เถอะ เพราะที่ชั้นสี่มีพวก wererat lord อยู่ แล้วกลุ่มของลุงออกัสไม่มีประสิทธิภาพในการกำจัดศัตรูได้เร็วพอ งานนี้ผมเห็นภาพตัวเองโดนฝูงหนูรุมมาแต่ไกลเลย
แต่พวกลุงออกัสตัดสินใจไปแล้วผมเลยค้านไม่ได้ เอาไว้เดี๋ยวโดนไฟลวกไปสักที ก็คงเข็ดกันไปเอง แต่ก่อนเดินทางไปดันเจี้ยนผมขอเวลาพวกลุงออกัส แล้ววิ่งกลับเข้าไปในกิลเพื่อสอบถามว่าวันนี้มีใครฆ่าราชา
มนุษย์หนูไปยัง สรุปว่ายังไม่มีใครไปฆ่า งานนี้เจอฝูงหนูเต็มๆ แน่
ตัวผมไม่มีปัญหาหรอก เพราะวันนี้ใส่เกราะมังกรขั้นต้นมา อ้อ แล้วผมก็ใช่ผ้าแพรสารพัดนึกพันแทนผ้าพันคอด้วย โดยผมใช้พลังของผ้าแพรปลอมเกราะมังกรขั้นต้นให้เป็นเกราะเหล็กเฉพาะส่วนแบบเดิม เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ เนื่องจากเกราะมังกรขั้นต้นดูหรูหรามาก เป็นเกราะเหล็กสีดำทั้งตัวลวดลายปราณีตเป็นรูปคล้ายเปลวไฟ
ส่วนพลังป้องกันผมก็ได้ทดสอบกันมาแล้ว ด้วยการยืนให้อาร์มฟิชฟันเล่น ผลคือแทบไม่ได้รับความเสียหายเลย ตัวเกราะที่ถูกฟันด้วยอาวุธมัจฉาที่ขึ้นชื่อว่าโคตรคม ยังไม่มีแม้แต่รอย ส่วน Hp ที่ลดไปแบบหลักหน่วยมาจากแรงกระแทกล้วนๆ
ค่าพลังโจมตีนั้นคำนวณลำบาก ใช่ว่า str เยอะแล้วจะโจมตีได้แรง เพราะต้องคำนวณจากอาวุธที่ใช้ด้วย แต่ผมเชื่อว่าพวกในดันเจี้ยนนํ้าตกมีพลังโจมตีเยอะว่าดันเจี้ยนอื่นๆ เพราะพวกมันเล่นใช้อาวุธมัจฉากันแทบทุกตัวเลย
อย่างในลูปัน ถ้าถามผม ผมว่าพวกไมสเตอร์ลีดสู้ยากกว่าพวกมนุษย์หนูอีก เพราะอีเตอร์นั้นถึงจะเป็นอุปกรณ์ขุดเหมืองมากกว่าจะเรียกว่าเป็นอาวุธ แต่พลังทำลายตอนฟาดลงมาเนี่ย ไม่ธรรมดาจริงๆ ที่สำคัญมันมีร่างกายแบบมนุษย์ ทำให้มีจุดศูนย์ถ่วงร่างกายที่ดีมาก ไม่เหมือนพวกมนุษย์สัตว์ ที่ถ้าเสียหลักนิดเดียวก็จะเสียสมดุลร่างกายไปเลย
เพราะงั้นถ้าไม่จำเป็นต้องไปหาแร่ ผมก็จะขอเลี่ยงพวกไมสเตอร์ลีดล่ะ
ตลอดทางเนปฟ่าเงียบผิดปกติ ถ้าไม่พูดกับผมก็ไม่แปลกหรอก แต่นี้ไม่ค่อยพูดกับคนอื่นด้วย บรรยากาศในปาร์ตี้เลยดูเงียบเหงาขึ้นมาทันที จะว่าไปพวกแนวขี้โวยวายนี้ก็จำเป็นต่อปาร์ตี้เหมือนกันนะ ส่วนคนที่จ้อหนักแทนกลับเป็นกาอิน ดูเหมือนเพราะมีเรื่องผมขึ้นมา เลยทำให้ตัดสินใจเดินหน้ารุกใส่เนปฟ่าแล้ว
เอาเถอะความสัมพันธ์ในกลุ่มนี้ผมไม่ค่อยอยากยุ่งซะด้วย
พอมาถึงลูปันชั้น 4 พวกลุงก็จัดรูปแบบทีมเตรียมสู้ทันที แต่ผมรีบยกมือห้ามไว้
“เอ่อ ขอโทษครับ แต่ที่ชั้นนี้ใช้รูปแบบเดิมไม่ได้หรอก”
“เดี๋ยวสิ! พวกฉันก็จัดรูปแบบเดียวกับที่นายใช้กับพวกทาสแล้วนะ!”
เนปฟ่ายอมพูดกันผมแล้วแฮะ แต่นํ้าเสียงดูขี้โมโหเหมือนตอนที่เจอหน้ากันครั้งแรกเลย
“กับพวกฟรานผมใช้รูปแบบนั้นได้ เพราะพวกผมมีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงครับ เป็นรูปแบบพุ่งทะลวงใส่ศัตรูและเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ แต่กับพวกคุณจะเป็นแบบปักหลักสู้ไปทีละกลุ่ม ซึ่งถ้าใช้วิธีนั้นในชั้นนี้ พวกเราจะถูกมอนสเตอร์ล้อมโจมตีจากด้านหลังครับ”
“จะ จริงด้วย!”
ออกัสเหมือนจะนึกถึงความสามารถของตัวลอร์ดขึ้นมาได้แล้ว
“งั้นจะใช้รูปแบบแถวหน้ากระจายตัวเป็นวงกลม แล้วเอาแถวหลังไปไว้ตรงกลางเหรอ?”
กาอินดูท่าจะไปศึกษาการจัดรูปแบบทีมมาพอสมควรแล้วนะเนี่ย
“ปกติก็ต้องใช้รูปแบบนั้นล่ะครับ เพียงแต่…กับพวกเราคงจะแยกกันยืนรับแบบนั้นไม่ได้แน่ อย่างลุงคิดว่าจะรับมือพวกหนูอัศวิน ที่พุ่งมาสามตัวพร้อมกันไหวไหม”
“ไม่มีทาง!”
“เมดารินซังล่ะครับ”
“มะ ไม่ไหวหรอก”
“ผมก็ไม่ไหวเหมือนกันครับ นั้นแหละเลยเป็นเหตุผลที่พวกเราใช้รูปแบบทัพแบบวงกลมไม่ได้ เพราะแถวหน้าไม่มีพลังในการรบมากพอจะสู้กับศัตรูหลายตัวได้”
“งั้นก็ต้องกลับไปที่ชั้น3 สินะ”
ออกัสทำคอตกด้วยความผิดหวัง เพราะเขาเป็นคนชวนมาเอง แต่พอเห็นว่าไม่ไหวเลยรู้สึกเสียหน้าล่ะมั่ง
“เอ่อ แต่พอมีวิธีนะครับ”
วิธีที่ผมใช้ แทบไม่ต่างจากเดิมเลย คือเป็นรูปแบบสองแถวหน้าหลัง เพียงแต่ผมให้แถวหลังยืนมาติดกับแถวหน้า โดยถ้าถูกรุมจากด้านหลังเมื่อไร ผมจะรับหน้าที่ดึงศัตรูที่แถวหน้าที่ปะทะอยู่ให้ตามออกมามากที่สุด และจะตรงเข้าไปปะทะกับกลุ่มที่ล้อมมาด้านหลัง
“บะ แบบนั้นนายก็ถูกรุมฆ่าสิ!”
เนปฟ่าร้องค้านขึ้นมาทันที
“ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้จะสู้ แค่วิ่งหนีลากพวกมันถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกคนจะเข้ามาช่วยเท่านั้นเอง”
ใช่ แบบนั้นแหละ ถึงพลาดก็ยังพึ่งพลังป้องกันของเกราะมังกรขั้นต้นได้อยู่ เรื่องโดนรุมกระทืบน่ะสบายมาก
“แบบนี้เอง ให้คนหนึ่งคอยวิ่งล่อสินะ”
ออกัสเข้าใจแผนผมแล้ว ตัวเขากับเมดารินต่างวิ่งช้า มีแต่ผมที่เป็นแนวหน้าที่วิ่งได้เร็วอยู่คนเดียว ส่วนจะให้แถวหลังไปล่อก็เลิกคิดได้เลย เกิดพลาดขึ้นมาทีถึงตายได้เลย
“กลับไปชั้น 3 ก็ได้ ไม่เห็นต้องเสี่ยงเลย”
เนปฟ่ายังคงไม่เห็นด้วยอยู่ดี
“เป็นนักผจญภัยก็ต้องเสี่ยงอยู่แล้วครับ อีกอย่างผมชอบแบบ ยิ่งเสี่ยงผลตอบแทนยิ่งมาก ซะด้วย แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยรีบๆ ฆ่าพวกมันตอนที่ผมวิ่งล่อด้วยนะครับ”
ผมพยายามพูดให้ขำ เพื่อไม่ให้ทุกคนเครียดจนเกินไป ถึงแผนที่ผมเสนอไปโคตรจะเครียดเลยก็ตามที บางทีนี้อาจเป็นสองสิ่งที่ผมพอจะเก็บเกี่ยวจากปาร์ตี้ของลุงออกัสได้ คือการฝึกวางกลยุทธ์ในการต่อสู้แบบทีม และการได้ลองสู้ในสถานการณ์ที่ลูกทีมมีฝีมืออ่อนกว่าคู่ต่อสู้
กับพวกฟรานผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ขนาดศัตรูที่เก่งที่สุดที่เคยเจออย่าง Raid อาร์มฟิช ก็ยังไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าสู้ไม่ได้เลย ถ้าเคยชินความสบายแบบนั้นไป ต่อไปคงแย่แน่ ดีแล้วล่ะที่ตัดสินใจมากับพวกลุงออกัส
พอเนปฟ่ายอมทำตามแผนผมแล้ว ก็เริ่มเปิดฉากล่ากันทันที โดยที่ผมให้ทุกคนเดินเลาะไปตามกำแพง จะช่วยให้เจอมอนสเตอร์น้อยกว่าเดินไปยืนอยู่ตรงกลาง การมีกำแพงอยู่ด้านหนึ่งนั้น ถือเป็นตัวช่วยอย่างดีเลย
กลุ่มแรกที่เจอว่าไงดี…ซวยแต่แรก เพราะดันมีลอร์ดถึงสองตัวในกลุ่ม ตอนผมเดินลุยฝ่าไปกับพวกฟราน ยังไม่เคยเจอลอร์ดสองตัวในทีมเดียวกันมาก่อนเลย
“ผมจะดึงอัศวินสองตัวไว้เอง ลุงกับเมดารินซังรีบเข้าไปจัดการกับลอร์ดนะ เล็งรุมไปทีตัวไหนตัวหนึ่งไปเลย ให้รีบฆ่าให้เร็วที่สุด ส่วนกาอินซังเล็งแค่ชาแมนครับถ้าฆ่าได้แล้วก็รีบมาช่วยผมต่อ ส่วนเนปฟ่าช่วยระดมยิงเวทใส่ลอร์ดอีกตัวไม่ให้มันเข้าไปหาพวกลุงได้นะ ถ้ามาน่าหมดก่อนจะฆ่ามันได้ ให้รีบตะโกนบอกทุกคน ถ้าได้ยินเสียงเนปฟ่าแล้วให้รีบถอยมาตั้งหลักกันใหม่นะครับ แล้วถ้าลอร์ดเรียกพวกมาเมื่อไร ก็ใช้แผนตามที่วางไว้ทีแรก”
“เข้าใจแล้ว!”
ทุกคนประสานเสียงตอบแบบไม่มีค้านเลยแฮะ เชื่อฟังกว่าคราวก่อนแบบหนังคนละเรื่องเลยนะ
“ชีเอ้ ช่วยคุมเรื่องระยะด้วยนะ ถ้าเห็นว่าเนปฟ่ากับกาอินซังอยู่ห่างจากแถวหน้ามากเกินไป ก็ให้รีบเตือนด้วย จำไว้ด้วยว่าระยะสำคัญมาก ถ้าห่างไปเพียงนิดเดียวผมก็จะกลับมาช่วยได้ไม่ทัน”
ชีเอ้พยักหน้ารับอย่างจริงจัง ดีแล้วทุกคนดูมีสมาธิกับการต่อสู้
พอใกล้ถึงกลุ่มมอนสเตอร์ ผมก็ออกวิ่งนำไปก่อน เพื่อชนกับพวกอัศวินหนูสองตัว ชาแมนผมไม่กังวลนัก เพราะมันจะไม่เริ่มโจมตีก่อน ส่วนใหญ่จะรอใช้เวทรักษาให้อัศวิน แต่ถ้าจะใช้เวทโจมตีมาผมก็น่าจะหลบทัน เพราะใช้เวลาร่ายค่อนข้างนาน
แต่ที่ต้องคอยระวังคือลอร์ด เพราะมันเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ บางทีก็พุ่งมาสู้ที่แนวหน้า บางทีก็ยืนป้องกันชาแมนที่แนวหลัง บางทีมีหลบไปแอบหลังชาแมนซะอีก ผมยกให้เป็นหนูกวนประสาทอันดับหนึ่งเลย
รอบนี้ลอร์ดยืนเฝ้าอยู่หน้าชาแมนทั้งสองตัวเลย ถือว่าค่อนข้างยุ่งยากล่ะ เพราะแบบนี้จะไม่มีช่องให้กาอินยิงธนูใส่ชาแมนได้ ผมเลยชนกับอัศวินหนู แล้วดันมันเข้าไป เพื่อยั่วยุให้ลอร์ดออกมาข้างหน้า
ซึ่งตอนแรกมันดูลังเลไม่ยอมออกมา แต่เนปฟ่าใช้เวทระเบิด โจมตีใส่ทั้งลอร์ดทั้งชาแมนไปพร้อมๆ กันเลย
อ้อ นี้สินะเวทมนต์ใหม่ที่เธอโม้ไว้ ใช้ได้เลยแฮะ ถึงพลังโจมตีจะไม่มาก แต่เป็นเวทโจมตีแบบวงกว้าง แล้วนั้นไงลอร์ดพุ่งออกมาแล้ว
ผมดึงสมาธิกลับมาอยู่กับการรับมือหนูอัศวินทั้งสองตัว นี้ถ้าไม่ได้ไปเก็บเลเวลและหาไอเท็ม มาจากดันเจี้ยนนํ้าตกเมื่อตอนบ่ายมาก่อนล่ะก็ คงเป็นการต่อสู้ที่ไม่สามารถรับมือได้ไหวแน่
ตอนนี้ผมถือทั้งดาบและมีด โดยใช้ดาบคอยโจมตี ส่วนมีดใช้ปัดป้องเวลาประชิดตัว พวกหนูอัศวินเข้ามาพร้อมกัน แต่ผมก็ต้านไว้ได้อย่างสูสี อาจเพราะสกิล Sword กับ Dagger ผมเพิ่มขึ้นมาเป็นสองแล้วก็ได้ การออกอาวุธเลยดูคล่องแคล่วกว่าเดิม
พอได้จังหวะที่มันเผลอ ผมก็ใช้เวท Wall ดันตัวพวกมันให้เสียหลัก และโจมตีปิดฉากอย่างไม่ให้พลาดโอกาส
ผมแทงมีดสั้นมังกรสมุทรใส่ทีเดียวที่หัว หนูอัศวินตัวหนึ่งก็ตายทันที แต่อีกตัวที่ฟันด้วยดาบมัจฉากลับยังไม่ตาย ก็แน่ล่ะพลังโจมตีของมีดสั้นเยอะกว่า
ดาบนี่น่า แถมยังมีสกิลแทงทะลวงอีก แต่พอเหลือตัวเดียวก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว ผมจัดการอัศวินหนูทั้งสองตัวเสร็จก่อนที่กาอินจะจัดการกับชาแมนได้ซะอีก
แต่ชาแมนไม่ต้องไปสนใจแล้ว เพราะมันโดนยิงเข้าไปที่คอ ทำให้ร่ายเวทไม่ได้อีก ผมเลยรีบเข้าไปช่วยจัดการกับลอร์ด
ลุงกับเมดารินมีพัฒนาการขึ้นมาบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่มากพอจะรุมลอร์ดแล้วชนะได้ง่ายๆ ขนาดสองรุมหนึ่งยังได้แค่สูสีเท่านั้น ส่วนลอร์ดอีกตัวที่โดนถล่มด้วยเวทมนต์ของเนปฟ่ายังดูสภาพสาหัสกว่าอีก ผมเลยเข้าไปจัดการกับลอร์ดที่บาดเจ็บหนักก่อน เพราะเนปฟ่าเองก็เริ่มหอบแล้ว
กับลอร์ดผมเคยขอฟรานสู้กับมันหนหนึ่ง ว่าไงดีล่ะ ไม่ต่างจากหนูอัศวินเท่าไร เพียงแต่ค่าพลังมันเยอะ
กว่าค่อนข้างมาก ปะทะตรงๆ ไม่ได้เลยล่ะ ผมโดนแรงมันอัดลอยถอยหลังมาทุกที แถมแค่เห็นก็เดาได้เลย ว่าการโจมตีของมันต้องแรงกว่าตอนโดนวัวพุ่งชนแน่
แล้วผมไม่คิดหรอกว่า เพียงแค่เลเวลขึ้นมาเพียงสองสามเลเวล จะช่วยลดช่องว่างของค่าพลังได้
ถึงจะไม่อยากใช้ไม้นี้ก็เถอะ แต่ถ้าจะสู้กับลอร์ดให้สูสีมันจำเป็นต้องใช้
ผมใช้ Glory ออกมา ก่อนจะตามด้วยการเปิดเบอเซริกโหมด ผิวหนังผมเริ่มมีแสงสีแดงปะทุออกมา พร้อมกับ Hp ที่เริ่มลดลง อัตราการลดลงนั้นไม่คงที่สักเท่าไร แต่ความเร็วในการลดตายตัว แต่ถึงผมจะมีสกิล Hp regen กับ drain อยู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะระหว่างที่เปิดเบอเซริกโหมด จะไม่สามารถเพิ่ม Hp ได้ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม
ถึงดาบของลอร์ดจะใหญ่กว่าดาบมัจฉาของผมถึงสองเท่า แต่ด้วยค่ากำลังที่เพิ่มขึ้นมาตอนนี้ ทำให้ฝ่ายที่โดนอัดจนกระเด็นเป็นลอร์ดแทน พลังของผมเหนือกว่าอย่างชัดเจน ทว่าผมก็รู้ตัวทันทีถึงข้อเสียที่ไม่คาดคิดมาก่อนของสกิลเบอเซริกโหมด
นั้นก็คือ
นอกจากพลังทุกอย่างจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแล้ว มันยังเพิ่มความหื่นของผมเป็นสองเท่าด้วย ดุ้นของผมแข็งตัวราวกับจะเป็นดาบเล่มที่สองให้กับผม
ลอร์ดมองดูดุ้นผมด้วยสีหน้าซีดเผือก เฮ้ย อย่ามองแบบนั้นดิ ต่อให้หน้ามืดอย่างไงก็ไม่คิดจะไปยุ่งกับตัวผู้อย่างแกหรอก แต่อันตรายจริงๆ อ่ะล่ะ ความหื่นที่เพิ่มขึ้นมาทำให้ผมควบคุมสติตัวเองได้อย่างยากลำบาก รู้แบบนี้น่าจะใช้พันโปรยปรายแทนซะก็ดี
แต่ตอนนี้ผมต้องรีบจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด เลยพุ่งเข้าไปเข้าไปจัดการกับลอร์ด และเพียงการลงดาบสองครั้งผมก็ตัดลำตัวของมันจนขาด เป็นชัยชนะอย่างหมดจด พร้อมกับที่ชาแมนและลอร์ดอีกตัวก็ตายไปพร้อมกัน โชคดีที่มันไม่ใช้ Howl ออกมา
ผมรีบยกเลิกเบอเซริกโหมดทันที แต่ถึงจะยกเลิกไปแล้ว แต่ความหื่นของผมที่โดนปลุกให้ตื่นแล้ว มันไม่ยอมยกเลิกตามไปด้วยนี้สิ!!
ตอนที่ 62 ท่าจะไม่ดีซะแล้ว
ผมไม่สามารถหันหลังกลับไปดีใจกับทุกคนได้ในตอนนี้ เพราะถ้าหันไป ทุกคนจะได้เห็นดาบเอ็กซ์คาริเบอร์ของผมแน่ และรับรองวงแตกชัวร์
งานนี้ผมต้องรวบรวมสมาธิอย่างสุดชีวิตเพื่อจะใช้สกิลปรับขนาดดุ้นของผมลง จนไม่ให้ใครสังเกตเห็นว่ามันกำลังพองตัวอยู่ แต่ถึงจะซ่อนดุ้นได้ แต่จะซ่อนอารมณ์หื่นทางสีหน้าอย่างไงดีล่ะ!
คิดสิ! คิดให้ออกโรมะเอ๋ย มันต้องมีวิธี…ใช่แล้ว นี้ไงล่ะทางออก แค่มองอะไรที่ทำให้หมดอารมณ์หื่นได้ก็พอ
ผมรีบใช้มองทะลุออกมาทันที และหันไปมองชีเอ้ เหตุที่ต้องเลือกชีเอ้ เพราะถ้ามองลุงกับกาอิน มันจะสร้างความเสียหายในจิตใจของผมจนเกินไปน่ะ ถึงขั้นเป็นแผลใจไปชั่วชีวิตเลยนะ!
อย่างน้อยมองของชีเอ้ยังได้เห็นกางเกงในน่ารักๆ ช่วยบังดุ้นตุงๆ…ใช่ตุงๆ ทำไมดุ้นมึงตุงอีกแล้วว่ะไอ้คุณชีเอ้!!!
แถมคราวนี้มีนํ้าไหลซึมกางเกงในออกมาจากตรงหัวดุ้นด้วย แปลว่ากำลังเงี่ยนสุดๆ เลยสินะ!
แต่ความโชคร้ายก็ถาโถมมาแบบไม่ดูจังหวะ เพราะมองทะลุของผมอัพเป็นเลเวล 3 พอดี ด้วยอารามตกใจ มองทะลุเลยปรับให้ทะลุกางเกงในไปทันที เต็มๆ ตา ดุ้นไอ้คุณชีเอ้เต็มๆ ตาผมเลย
ทว่าช้าก่อน…ดุ้นของคุณชีเอ้ มันแบบว่า…ไม่ได้ดูแล้วเสียสุขภาพดวงตาอย่างดุ้นทั่วๆ ไป คือมันขาวเนียนเรียบลื่นดูนุ่มนิ่ม ไม่มีเส้นเลือดหรือเอ็นปูดโปนขึ้นมา และสภาพตอนมันตื่นมีขนาดไม่ต่างจากปกติเลย เพียงแค่แข็งและตั้งขึ้นมา แต่ยังเป็นไซส์ซูปเปอร์มินิเท่าเดิมอยู่ดี
ที่สำคัญคุณชีเอ้เข้าใจเลือกกางเกงในที่ใส่จริงๆ เพราะถึงดุ้นจะแข็งขึ้นมา มันก็จะไม่โผล่หัวออกมา
พ้นขอบกางเกงใน แต่มันยังตุงอยู่ในกางเกงในให้ชวนน่าดูแบบแปลกๆ แถมลูกตุ้มคู่ยังมีขนาดเล็กจนเก็บมิดไม่แล่บโผล่ออกมา หรือนูนจนดูน่าเกลียด มองๆ ไปเหมือนรอยอูมของโหนกหอยเลย
…ท่าจะแย่แล้วสิ นี้ผมกำลังพรรณนาถึงดุ้นของคนอื่นไปหลายย่อหน้าแล้วนะ หรือผมจะเข้ารีดของสาวกสาวดุ้นไปแล้ว!! จะว่าไปคำว่าราคะเนี่ย มันไม่แบ่งหญิงแบ่งชายด้วยดิ อะ อันตรายเป็นบ้า!
แล้วก็นะแทนที่จะมองดุ้นคนอื่นแล้วจะพาลทำให้หมดอารมณ์ แต่นี้ดุ้นผมกลับยิ่งตื่นตัว ถ้าเป็นระเบิดแบบจุด ก็สายชนวนไหม้ไปถึงข้างในแล้ว
มะ ไม่ได้การ นี้มันสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว ขืนปล่อยไว้ผมคงควบคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วฉุดชีเอ้ไปข่มขืนข้างทางแน่ ต้องใช้มาตรการขั้นเลวร้ายที่สุดแล้ว
ผมฝืนตัวเองสุดชีวิตให้หันไปมองดุ้นเล็กๆ เหี่ยวๆ ของลุงออกัส…ได้ผลทันตาเห็น ดุ้นผมเลิกต่อต้าน และกลับไปจำศีลตามเดิมทันที ส่วนตัวผมจิตใจถูกทำร้ายอย่างหนัก ในหลายๆ ความหมายเลย
“โรมะเป็นอะไรไปเหรอ สีหน้าดูไม่ดีเลย?”
เนปฟ่าเดินเข้ามาถาม แต่ผมก็ฉีกยิ้มสุดชีวิตเพื่อปิดบังจิตใจที่บอบชํ้า
“ไม่เป็นไรครับ แค่โดนผลกระทบของสกิลไปนิดหน่อย”
“ผลกระทบ?”
ใช่เนปฟ่ากับคนอื่นไม่รู้หรอกว่าผมใช้เบอเซริกโหมด เพราะเอฟเฟกของ Glory มันกลบหมด เก็บไว้เป็นเทกนิคอำพรางสกิลที่ใช้ได้เลยนะ
“แล้วมีใครบาดเจ็บไหมครับ”
ผมหันไปสำรวจดู ลุงมีแผลที่แขนและกำลังให้ชีเอ้รักษาอยู่ อุ๊ ไม่ได้การ แค่มองก้นของชีเอ้ไอ้ดุ้นของผมก็เริ่มแข็งตัวขึ้นมาอีกแล้ว ส่วนเมดารินไม่ได้แผลอะไร และมองมาทางผมแบบยิ้มๆ ด้วย ส่วนกาอินก็ไม่ได้บาดเจ็บ และกำลังไปเก็บลูกศรมาจากชาแมน ความเสียหายน้อยกว่าที่คิดไว้ แบบนี้น่าจะไหวมั่ง
“ไม่ต้องห่วง แผลแค่แมวข่วน ลุยกันต่อเลย”
“อย่าพึ่งรีบร้อนครับ รอผมกับเนปฟ่าฟื้นมาน่าก่อน พวกเราต้องอยู่ในสภาพพร้อมที่สุดตลอดเวลา ไม่งั้นเวลาโดนรุมพวกเราจะทำศึกยืดเยื้อไม่ได้”
“แบบนี้เอง นายนี้คิดอะไรได้รอบคอบดีนะ”
ออกัสพยักหน้าอย่างชื่นชม
“ฮะๆ ถึงผมเป็นคนชอบเสี่ยง แต่ผมไม่ชอบความผิดพลาดนะครับ”
“ฉันพักแค่สามสี่นาทีต่อรอบก็พอแล้ว”
เนปฟ่าเข้ามาบอกผมราวกับจะรายงานมากกว่า
“ผมเองก็พักแค่นั้นก็พอครับ คงไม่ได้ใช้Glory ทุกครั้งที่สู้หรอก นอกจากตอนเจอลอร์ดสองตัวแบบตะกี้อีก”
พอพักเสร็จพวกเราก็ลุยกันต่อทันที โดยยังเดินเลาะไปตามกำแพง คราวนี้เจอกลุ่มใหม่ห้าตัวเช่นเดิม มีอัศวินกับชาแมนอย่างล่ะสอง ลอร์ดอีกหนึ่ง แต่ว่าแย่ล่ะสิ มันเห็นพวกผมก่อน!
เมื่อลอร์ดเห็นพวกผมเข้า ก็ใช้ Howl ออกมาทันทีเลย ซวยจริงๆ เป็นประเภทขี้กลัวซะด้วย ไอ้พวกลอร์ดประเภทนี้ เวลาเจอศัตรูจะใช้ Howl ออกมาและวิ่งหนีทันที นั้นไง มันวิ่งหนีจริงๆ ด้วย ไอ้ตัวเนี่ยอันตราย
สุดๆ เพราะพอมันหนีไปได้สักพัก ก็จะใช้ Howl ออกมาอีก แบบนี้ให้เตรียมใจรับการโจมตีสามถึงสี่ระลอกได้เลย
“ไม่ต้องตาม เตรียมรับการโดนโจมตีต่อเนื่องด้วยครับ!”
ผมกับพวกลุงกระโดดเข้าไปฆ่าอัศวินหนูกันทันที ตัวหนึ่งถูกผมกับลุงโจมตีตายในการโจมตีครั้งแรก ส่วนอีกตัวเมดารินรับมืออยู่ ท่าทางตัวๆ พอไหวอยู่ แถมลุงกำลังจะเข้าไปช่วยแล้ว
“เนปฟ่าประหยัดมาน่าไว้อย่าพึ่งใช้เวทออกมา”
ผมตะโกนบอกขณะปามีดใส่ชาแมนตัวหนึ่ง ขณะที่อีกตัวเป็นเป้าของกาอิน ผมตามเข้าไปใช้ดาบฟันซํ้าจนชาแมนตายไป และหันไปฆ่าชาแมนอีกตัวด้วย งานนี้ต้องเร่งมือหน่อย เพราะกลุ่มอื่นกำลังจะมาแล้ว
“ข้างหลัง!”
เนปฟ่าตะโกนบอกเมื่อได้ยินเสียงฝีมือกำลังวิ่งมา
ผมปล่อยอัศวินหนูที่พวกลุงยังฆ่าไม่ได้ไว้ และตรงเข้าไปรับมือกับกลุ่มที่มาจากด้านหลัง
แต่พอเห็นอัศวินหนูวิ่งมาตัวเดียวผมก็ใจไม่ดี เพราะแบบนี้ดูท่าจะเป็นทีมที่มีพวกชาแมนอยู่หลายตัว
ทีมที่มีชาแมนเยอะปกติก็ไม่น่ากลัวหรอก เพราะเดเม่เก็บมันได้ด้วยการยิงครั้งเดียว เลยไม่ทันทำอะไรก็ตายกันหมดแล้ว
แต่ตอนนี้ไม่ใช่ กาอินไม่ได้มีพลังโจมตีระดับเดเม่ ต่อให้ยิงไปเป็นสิบดอกบางทียังไม่ค่อยจะตายเลย และการปล่อยพวกชาแมนไว้หลายตัว เท่ากับมันจะใช้เวทโจมตีออกมาเป็นชุดได้ แล้วเกราะมังกรขั้นต้นเนี่ย
ทนได้แต่การโจมตีทางกายภาพเท่านั้นนะ ถึงจะมีป้องกันไฟกับนํ้าแข็งก็เถอะ แต่อย่างอื่นไม่ได้กันได้สักหน่อย
“กาอิน เนปฟ่า ชาแมนหลายตัว โจมตีสกัดไว้อย่าให้มันใช้เวทมนต์ได้”
ผมบอกขณะพุ่งชนใส่อัศวินหนู ซึ่งมันค่อนข้างเก่งกว่าปกติ คงเพราะได้รับบัพมาจากพวกชาแมนด้วย บอกตามตรงเลยนะ ผมว่าอาชีพชาแมนเนี่ยค่อนข้างขี้โกงเลยทีเดียว เพราะใช้ได้ทั้งเวทรักษา เวทโจมตีสายธาตุทั้งหมด และยังมีเวทพวกบัพกับดีบัพอีก แถม Hp ก็เยอะกว่าผู้ใช้เวทอีก ส่วนข้อเสียก็คือ Mp น้อยและไม่สามารถเรียนรู้เวทขั้นกลางขึ้นไปได้
ถึงจะรีบจัดการอัศวินหนูอย่างไงก็คงไม่ทันแล้ว ผมเลยเปลี่ยนไปวิ่งหลอกล่อ และดึงความสนใจของ
พวกชาแมนมาที่ผม ไม่งั้นมันเล็งใช้เวทไปที่พวกเนปฟ่าล่ะก็แย่แน่
ตอนที่ยิงเวทออกมานั้น แทบจะพร้อมกันทั้งสองฝ่าย โชคยังดีที่กาอินยิงโดนพวกชาแมนไปสองตัว ทำให้มันหยุดร่ายเวทไป แต่อีกสองตัวที่เหลือยิงเวทมาทางผมแล้ว
“รับของพวกแกไปเองล่ะกัน!”
ผมใช้ Wall กระแทกร่างของอัศวินหนูในลอยขึ้นไปรับเวทของชาแมนที่ยิงมา เป็นเวทลูกไฟกับกระสุนหิน อัศวินหนูที่บาดเจ็บจากผมอยู่แล้วตายคาที่ แต่ผมอดได้ Exp กับไอเท็มดรอปล่ะ…เอาเป็นว่าจะพยายามไม่ใช่วิธีนี้ล่ะกัน
ส่วนเวทระเบิดของเนปฟ่าระเบิดเข้ากลางวง จนชาแมนตัวหนึ่งถึงกับติดสตัน แต่ผมตามไปซํ้าไม่ได้
เพราะในกลุ่มพวกมันยังเหลือลอร์ดอีกตัว ซึ่งพุ่งเข้ามาหาผมแล้ว แย่กว่านั้นมันดันใช้ Howl ออกมาด้วย และยังมีเสียงอีกเสียงดังออกมาจากลอร์ดแรกที่วิ่งหนีไป เท่ากับว่ากำลังจะมีกองกำลังเสริมมาอีกสองทีม!
ถ้าจะล้มลอร์ดผมต้องใช้ Glory แต่ว่าใช้กับตัวเดียวมันไม่คุ้มค่า เลยทำได้แค่ปัดป้องถ่วงเวลารอคนอื่น
พวกลุงออกัสฆ่าอัศวินหนูของชุดแรกได้แล้ว แต่มัวแต่ก้มเก็บไอเท็มกันอยู่เลยทำให้ชักช้า ผมเห็นแล้วนี้อยากจะตะโกนด่าไปจริงๆ ว่าอย่าพึ่งงกกันได้ไหม กำลังจะตายห่ากันหมดปาร์ตี้อยู่แล้วนะ
มีแต่เนปฟ่าเท่านั้นที่ยังมีสติ และมองออกว่าผมอยากจะรีบจัดการพวกทีมนี้ให้เร็วที่สุด เธอเลยใช้เวทออกมาอีกครั้ง
แต่สถานการณ์เริ่มไม่เป็นไปตามที่คิด เพราะการที่ชาแมนอยู่กันถึงสี่ตัว เป็นปัญหาอย่างมากจริงๆ เพราะพอมีตัวหนึ่งตั้งหลักได้ มันก็จะเริ่มใช้เวทรักษาตัวอื่นๆ ทันที แค่พวกมันยืนรักษากันเองก็แทบจะเป็นอมตะแล้ว
ถึงจะให้เนปฟ่ากับกาอินช่วยรุมมาที่ลอร์ดก็ไม่มีประโยชน์ เพราะชาแมนก็จะย้ายไปรักษาให้ลอร์ดแทน ตอนนั้นเองเสียงวิ่งก็ดังใกล้เข้ามา ผมดูจากเรดาร์ก็เห็นสองทีมกำลังจะมาถึงพร้อมๆ กัน แถมเป็นทีมขนาดใหญ่ที่มีถึงเจ็ดตัวด้วยทั้งสองกลุ่มเลย
ผมตัดสินใจวิ่งล่อให้ลอร์ดตามมา และหันไปตะโกนเตือนสติพวกลุง
“อย่าพึ่งสนใจไอเท็มดรอป! พวกเรากำลังโดนล้อมแล้ว รีบฆ่าชาแมนให้หมด”
และเพื่อไม่ให้ลอร์ดหันไปสนใจพวกลุงออกัส ผมเลยวิ่งโดยรักษาระยะห่างไว้น้อยที่สุด จนถึงยอมโดนมันอัดบ้างเป็นบางครั้ง
พอผมวิ่งไปถึงทีมที่สาม ก็เจออัศวินหนูถึงสี่ตัว แถมลอร์ดอีกหนึ่งตัว บวกชาแมนอีกสอง แต่ผมไม่สนใจวิ่งเข้าไปตะลุมบอนฟันดาบไปรอบตัวอย่างไร้กระบวนท่า แต่อย่างที่คิดไว้ ด้วยจำนวนแบบนี้ผมสู้ไม่ไหวหรอก เลยโดนพวกมันรุมยำอยู่ฝ่ายเดียว
ผมรอจนลอร์ดของทีมที่สามช่วยเข้ามารุมยำผม ก็รีบคลานหนีออกมา และวิ่งลากมันด้วยวิธีเดิมไปหาทีมที่สี่ ทว่า…
Raid Wererat BaronShimon ปรากฏตัว
เฮ้ย! Raid มาเกิดอะไรกันตอนนี้ฟ่ะ ตอนมากับพวกฟรานยังไม่เห็นเจอเลย
ตัวของบารอนนั้นใหญ่พอๆ กับราชามนุษย์หนูเลย มันใส่เกราะทั้งตัวและถือหอกเป็นอาวุธ แถมขี่หนูยักษ์มาอีกต่างหาก ยังไม่พอตัวชาแมนที่อยู่ในทีมของบารอน ยังใช้อาวุธเป็นหน้าไม้ด้วย ส่วนอัศวินก็ใช้โล่หอคอย (Tower shield) ที่ดูแข็งแกร่งกว่าโล่แบบเก่าชนิดทาบไม่ติด ด้านหลังบารอนไอ้ลอร์ดมนุษย์หนูจอมขี้ขลาดวิ่งตามมาห่างๆ ด้วย
ฝากไว้ก่อนเถอะ!
“ทุกคนหนีเร็วเข้า!”
ผมตะโกนบอกไปแบบไม่ต้องคิด ไม่ว่าจะเป็นทั้งความแข็งแกร่งหรือจำนวน พวกลุงออกัสก็สู้ไม่ไหวแน่ ผมเองก็คิดว่าเจ้าบารอนน่าจะระดับเดียวกับ Raid อาร์มฟิช เพราะงั้นต่อให้เป็นเกราะมังกรขั้นต้นก็ใช่ว่าจะรับการโจมตีไหว
พอผมวิ่งกลับไปทางที่ทุกคนอยู่ ก็เห็นหลังไวๆ กำลังตั้งหน้าตั้งหน้าวิ่งหนีตามที่ผมบอกอยู่ แต่ว่า ช้าอ่ะ! ลืมไปเลยว่าลุงออกัสกับเมดารินช้าอย่างกับเต่าคลาน แบบนี้หนีไม่พ้นแน่
“ถอดเกราะออก!”
ผมตะโกนบอก แต่เมดารินรีบหันมาส่ายหน้า ส่วนลุงออกัสใส่เกราะแบบชิ้นเดียว เลยถอดทิ้งได้ทันที แต่ที่หนักดูท่าจะเป็นที่ขวานมากกว่า เพราะความเร็วไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย พอผมวิ่งตามมาทัน ก็ใช้มือไปปลดเข็มขัดที่ล็อคชุดเกราะของเมดารินออก
“ไม่ใช่เวลามาเสียดายแล้วนะ พวกมันมี Raid อยู่ด้วย ขืนโดนตามทันพวกเราไม่รอดแน่!”
ผมบอกขณะออกแรงดึงเกราะด้านหลังของเมดาริน ทว่าพอเกราะหลุดออก ผมก็เห็นแผ่นหลังของเธอที่มีเพียงสายบราสีนํ้าตาลอ่อนอยู่เท่านั้น
“นี้เธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าไว้ใต้เกราะหรอกเหรอ!”
ผมรู้แล้วว่าทำไมเมดารินไม่ยอมถอดเกราะออก
“กะ ก็มันร้อนนี้!”
“ให้ได้แบบนี้สิ งั้นทิ้งหมวกกับเกราะแขนเกราะขาไปก็พอ”
เมดารินทำตามที่ผมบอก โยนหมวกเหล็กทิ้งและเริ่มปลดเกราะที่แขน ส่วนผมวิ่งแบบย่อตัวเพื่อคอยแกะเกราะส่วนขาออก เกือบจะหน้าทิ่มไปหลายหนเหมือนกัน
พอปลดเกราะจนเหลือแต่ส่วนตัวกับกระบังเอวได้แล้ว ความเร็วของเมดารินก็เพิ่มขึ้นมาหน่อย แต่ผมไม่เห็นพวกเนปฟ่าที่น่าจะวิ่งนำอยู่ข้างหน้าเลย จึงรีบเปิดเรดาร์ขึ้นดู
ชิบแล้วไง! พวกนั้นวิ่งออกนอกเส้นทาง แทนที่จะกลับไปที่ทางขึ้นไปชั้นสาม กลับวิ่งห่างออกจากกำแพง ไปยังส่วนลึกของชั้นแทน
แถมลุงออกัสเริ่มหมดแรงอีกต่างหาก อยากจะให้ลุงแกทิ้งขวานไปจริงๆ เมื่อไรจะรู้ตัวสักทีนะ ว่าถ้าไม่ใช่เพราะขวานเนี่ย ลุงแกน่าจะเป็นนักผจญภัยระดับแนวหน้าไปแล้ว แถมตอนนี้ยังจะมาตายเพราะขวานที่แกรักนักรักหนาอีก
“ลุง ทิ้งขวานไปซะเถอะ ไม่งั้นไม่รอดแน่”
“ไม่! พวกนายไปกันเถอะ เพราะถึงตายฉันก็ไม่ยอมทิ้งขวานเด็ดขาด!”
ว่าแล้วเชี่ยว งั้นก็ช่วยไม่ได้
ผมชะลอฝีเท้าลงจนมาอยู่รั้งท้าย จนมั่นใจว่าอยู่ในระยะที่ทั้งคู่จะไม่หันมาเห็นแล้ว ผมจึงหยุดวิ่งลง และหันกลับไปทางที่พวกบารอนวิ่งไล่กวดมา และรอจนมันเข้ามาใกล้จนเกือบถึงตัว
พันโปรยปราย!
ผมหยิบมีดสั้นมังกรสมุทรออกมา พร้อมกับใช้สกิลประจำอาวุธ กระสุนนํ้าจำนวนหนึ่งพันนัดถูกยิงออกไป ที่ผมต้องรอให้เข้ามาใกล้ เพราะพลังทำลายยิ่งใกล้จะยิ่งแรง ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะสังหารเจ้าบารอนที่นี้เลย
พวกอัศวินหนูยกโล่ขึ้นมาเรียงกันเป็นกำแพงป้องกัน
“ไม่มีประโยชน์หรอกน่า!”
ใช่แล้ว เพราะยังมีสกิลแทงทะลวงอยู่ ที่จะทำให้เป็นการโจมตีทะลุเกราะได้ พวกหนูแถวหน้าสี่ตัวล้มลงตายในทันที แต่เจ้าบารอนหัวหมอจริงๆ มันคว้าเอาอัศวินหนูสองตัวที่อยู่ใกล้ๆ ขึ้นมารับกระสุนแทน ตัวมันเลยแทบไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ส่วนพวกชาแมนที่ตามมาก็กำลังจะใช้เวทรักษาแล้ว
“บ้าซิบ ทะลุเกราะแต่ไม่ทะลุเกราะเนื้อ Wall!!”
ผมใช้เวทสร้างกำแพงดินขึ้นมา ปิดทางไว้ ถึงแค่โดนทุบไม่กี่ทีก็พังแล้ว แต่คงพอช่วยถ่วงเวลาได้
ระหว่างที่หันหลังวิ่งหนีกลับไป ก็ใช้ Wall สร้างกำแพงขึ้นมาปิดไว้เรื่อยๆ จน Mp หมดไปเลย
เสียงทุบกำแพงห่างออกไปเรื่อยๆ ดูท่าหนีพ้นได้ไม่ยากแล้ว
ผมวิ่งตามมาจนทันลุงออกัสกับเมดาริน ที่ทั้งคู่หมดแรงจนเปลี่ยนไปเป็นเดินแล้ว
“ทนหน่อย ต้องไปให้ถึงทางขึ้นชั้นสามก่อนถึงจะปลอดภัย”
ผมพยุงปีกทั้งสองไว้และลากไปด้วยกัน ผมเหลือบดูเรดาร์เป็นระยะ เพื่อดูทั้งตำแหน่งของพวกบารอนที่ตามหลังมา ทั้งทิศทางที่พวกเนปฟ่าวิ่งไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น