ตอนที่ 69 ครอบครัวพร้อมหน้า
พวกผมกลับมาถึงบ้านช้าที่สุด เพราะเสียเวลากับการประมูลและเรื่องของปีเตอร์อยู่ แต่พอกลับมาถึงก็แทบจำทางเข้าบ้านตัวเองไม่ได้
ตรงส่วนประตูหน้า ตอนนี้มีบานประตูเหล็กซี่มาติดไว้แล้ว ตรงกำแพงถึงจะยังไม่เสร็จดี แต่พวกไรโมดอลก็ช่วยกันอย่างแข็งขัน และเพราะผมยังไม่ได้ให้ยูรินทำตัวล็อค ประตูเลยเปิดเข้าออกได้อย่างอิสระ พวกไรโมดอลพอเห็นผมกลับมา ก็วิ่งมารวมกลุ่มตั้งแถวกัน และโค้งคำนับให้ มีแต่ผมกับเอร่าที่ได้ยินเสียงทักทายอย่างยินดีของพวกเธอ
พอเข้ามาแล้วก็เจอกับถนนที่ยาวประมาณ 200เมตรก่อนจะไปถึงลานนํ้าพุหน้าคฤหาสน์ ตัวถนนกว้างประมาณสิบเมตร ใหญ่พอให้รถม้าสวนกันได้สบาย ตลอดทางถูกทำเป็นนั่งร้านที่สูงเกือบสี่เมตร และมีพวกไม้เลื้อยนานาพันธุ์ปกคลุมทุกส่วน ให้อารมณ์เหมือนเดินลอดอุโมงค์ที่ทำจากต้นไม้เลย แต่ก็ไม่ได้ปิดทึบจนหมด
ทุกๆ ห้าเมตรจะเปิดเป็นช่องให้มองออกไปเห็นทุ่งหญ้าด้วย
พอพ้นเขตถนนมาแล้ว ตรงรอบลานนํ้าพุก็มีพุ่มไม้ทรงเตี้ยที่ตัดแต่งเรียบร้อยเต็มรอบขอบทาง พอมองเลยออกไปก็จะเห็นสวนดอกไม้ที่ถูกขั้นด้วยทางเดินอย่างเป็นระเบียบและสวยงาม ผมให้เต็มสิบเลย
โมอากำลังอยู่กับพวกไรโมดอลอีกกลุ่มหนึ่ง กำลังช่วยกันตัดแต่งกิ่งพุ่มไม้ให้เรียบเสมอกันอยู่ และพอเห็นผมก็พากันหยุดมือทันทีและรีบเดินเข้ามาหา
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ”
“กลับมาแล้วครับ นี้มันสวยมากเลยโมอา ผมชอบสุดๆ เลยล่ะ”
“จริงเหรอค่ะ! ดีใจจังที่ท่านโรมะชอบ กำลังกังวลอยู่เลยว่าทำเกินไปหรือเปล่า”
“ไม่เลย! ฉันก็ชอบเหมือนกัน”
เอร่าเองก็รีบเข้ามาสนับสนุนใหญ่ ก็เล่นเดินอ้าปากค้างมาตั้งแต่ตอนมาถึงแล้ว
“ว่าแต่ทำไมทำกันเร็วจัง”
“ทุกคนช่วยกันน่ะค่ะ พึ่งจะกลับไปพักกันตะกี้นี้เอง ทุกคนอยากให้ท่านโรมะเห็นตอนกลับมา เลยตั้งใจทำกันใหญ่เลย แล้วคุณเอสเตอร์ก็ตื่นลงมาช่วยทำด้วยนะคะ พวกคุณดอเรียก็พึ่งกลับมาก่อนนายท่านได้สักพักหนึ่ง”
“ขอบใจนะโมอา พักงานไว้เท่านี้แล้วเข้าบ้านไปพักเตรียมทานมื้อเที่ยงกันเถอะ”
ผมจับมือเธอไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างเอร่าก็จับไว้ เลยไม่มีช่องให้เธอปฏิเสธได้
“เอ่อ แล้วจะให้พวกข้าอยู่ที่ไหนเหรอ”
“เรื่องนั้นไว้ก่อน ตอนนี้เข้าบ้านไปด้วยกัน ผมจะแนะนำทุกคนให้รู้จัก”
ผมหันไปมองดูเรโมริก้าที่ตามหลังผมมาติดๆ ดูเธอตื่นเต้นเล็กน้อย และมองไปรอบๆ อย่างสนใจ ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นน้องสาวล่ะมั่ง เพราะฟรานจะดูนิ่งสงบดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า
พอผมเปิดประตูบ้านออก เสียงฝีเท้าของทุกคนก็ดังมาจากรอบๆ ด้าน เสียงทักทายดังมาไม่ขาดสาย
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะนายท่าน”
เดเม่เดินมาถึงหลังดาเซสที่อยู่ใกล้ที่สุดเพียงไม่กี่วินาที
“กลับมาแล้ว”
พอผมทักไป ก็เห็นเดเม่ยืนตัวแข็งไปแล้ว เพราะเธอเห็นเรโมริก้าเข้า จะว่าไปเดเม่ก็เป็นคนรับใช้ของบ้านฟราน คงไม่แปลกที่จะรู้จักคนในครอบครัวด้วย
“เดเม่ไม่ใช่เหรอนั้น? นี้เจ้าเองก็อยู่ที่นี้ด้วยเหรอ ดีจริงๆ”
เรโมริก้าเริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นเดเม่ ส่วนเดเม่เองก็นํ้าตาไหลออกมาราวกับเปิดก๊อก เธอร้องไห้ไม่หยุดโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
“นายท่านยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ!”
เป็นเสียงของฟรานที่ฟังดูสดใสเช่นเคย โดยเธอเดินมาพร้อมกับยูริน
“ฟรานซิสก้า!”
พอได้เห็นหน้าฟรานเท่านั้น เรโมริก้าก็พุ่งใส่ราวกับขีปนาวุธ ตรงเข้าไปส่วมกอดกับฟรานทันที
“มะ ไม่จริง! ก็ตอนนั้น!”
ฟรานดูจะตกใจไม่ใช่น้อย เธอจับหน้าอีกฝ่ายลูบไปมา เพราะคิดว่าเป็นแค่ภาพลวงตา
“นั้นเป็นคำพูดของทางนี้ต่างหาก”
“ทะ ท่านแม่ค่ะ!”
ฟรานพอรู้ว่าอีกฝ่ายมีตัวตนจริงๆ ก็ร้องไห้โฮออกมาและส่วมกอดอีกฝ่ายไว้แน่นจนเริ่มแยกไม่ออกแล้วสิว่าคนไหนคือฟราน
“อืมๆ ครอบครัวเดียวกันจริงๆ ด้วย…ดะ เดี๋ยวนะ ตะกี้เรียกว่าแม่เหรอ!!!”
“ค่ะนายท่าน นี้ท่านแม่ของหนูเอง บารอนเนสเรโมริก้าค่ะ!”
ผมเองก็ยังอึ้งๆ ตามเรื่องราวแทบไม่ทัน แต่เห็นเรโมริก้ากอดทั้งฟรานและเดเม่ไว้จนกลม ต่างพากันร้องไห้ทั้งดีใจทั้งคิดถึง ผมเลยปล่อยให้ครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากันไปก่อน พลางแนะนำสมาชิกใหม่สามคนให้ทุกคนรู้จัก
“อีกแล้วเหรอคะเนี่ย แล้วรอบนี้หมดเงินไปเท่าไรคะนายท่าน”
เมยอาถามขณะหยิบเอาสมุดบัญชีขึ้นมาเตรียมจน
“เอ่อ ทั้งหมดก็”
ผมไม่กล้าบอกออกไปตรงๆ อ่ะ เลยไปกระซิบบอกแทน แต่พอได้ยินตัวเลขที่ผมบอกไป เมยอาก็เป็นลมล้มทั้งยืนไปเลย
ส่วนพวกโรสลินค่อนข้างตื่นๆ เพราะทุกคนเข้าถึงตัวพวกเธออย่างรวดเร็ว โดยไม่มีหวาดกลัวที่พวกเธอเป็นยักษ์เลย
“ยักษ์เหรอ! พึ่งเคยเห็นเนี่ยล่ะ”
ดาเซสเข้าไปจับต้นแขนของอีกฝ่ายดู แต่แล้วทำไมต้องทำคอตกด้วยล่ะ? หรือคิดว่าเป็นยักษ์แล้วต้องลํ่า พอไม่ใช่อย่างที่คิดเลยผิดหวังงั้นเหรอเนี่ย
กลับกันพวกโรสลินไม่เคยเห็นเซนทอร์กับจิ้งจอกเก้าหางมาก่อน เลยดูสนใจดอเรียกับกินมาก สุดท้ายก็ตกเป็นทาสหางนุ่มๆ ฟูๆ ของกินไปอีกราย
ระหว่างที่ผมกำลังมองภาพพวกนี้ด้วยความอิ่มเอิบใจอยู่ เอสเตอร์ก็มาสะกิดแขนเสื้อผม
“เอ่อ เรื่องข้อเสนอยังอยู่ไหม”
“ไม่ต้องรีบตัดสินใจก็ได้นะ”
ผมไม่ได้รีบเร่ง แต่อยากให้เอสเตอร์ตัดสินใจให้ดีก่อน แต่เธอรีบส่ายหน้าทันที
“แสบตาเลยล่ะ”
“แสบตา?”
“อืม แสงที่เห็นที่นี้ สดใสจนแสบตาเลย ที่นี้เป็นที่ที่ดีจริงๆ”
“ขอบใจ ว่าแต่มีของต้องไปเก็บไหม”
เอสเตอร์ส่ายหน้าอีกรอบ
“โอเค งั้นก็เรื่องห้อง…ยูริน ฝากเอสเตอร์ไปอยู่ด้วยได้ไหม”
“ไม่มีปัญหา นอนคนเดียวรู้สึกเหงาๆ ด้วย”
“ส่วนเสื้อผ้าก็”
ผมเรียกระดมพลเหล่าไรโมดอลทันที และให้ทำการวัดตัวของพี่น้องโรสลินกับเอสเตอร์ไปพร้อมๆ กัน ส่วนของเรโมริก้า ยังไม่รู้ว่าจะเอาไงต่อ เลยพักไว้ก่อน แต่ถ้าเกิดจะอยู่ด้วยก็ไม่ต้องวัดตัวอยู่ดีเพราะไซส์เธอเท่ากับฟรานอยู่แล้ว
พวกไรโมดอลได้ผ้ามาใหม่จากดอเรียพอดี เลยบอกว่าเดี๋ยวจะตัดชุดใหม่ให้ทุกคนด้วย
ส่วนงานเรื่องก่อสร้างผมให้ดาเซสเลื่อนเป็นหัวหน้าไซส์งาน โดยมีจามิร่าเป็นลูกมือ ส่วนโรสลินร่างกายอ่อนแอกว่า ผมเลยให้เธอไปช่วยงานโมอาแทน แต่ไม่รู้ว่าจะหนักเกินไปหรือเปล่า โมอายิ่งเป็นประเภทไม่ยอมอยู่เฉยซะด้วย ว่างเป็นต้องหยิบจับอะไรขึ้นมาทำตลอด เป็นคนขยันและสู้งานมากๆ เลยล่ะ
“ถึงตัวจะสูงไปสักหน่อย แต่น่าจะได้อยู่ ถามให้ชัวร์ก่อนดีกว่า โรสลีนเธอกับพี่สาวจะตัวโตขึ้นกว่านี้อีกหรือเปล่า”
“ไม่แล้วค่ะ ข้ากับพี่สาวอายุเลยเกณฑ์ที่ร่างกายจะเติบโตแล้ว”
“ดี งั้นดาเซสฝากสองคนนี้ขึ้นไปเลือกห้องบนชั้นสองหน่อยสิ”
“ได้เลย ตามมาสาวๆ”
ดาเซสเดินนำไปอย่างอารมณ์ดี แต่พวกโรสลินยังหันซ้ายหันขวาทำตัวไม่ถูก
“ไม่ใช่ว่าพวกเธอถามหาที่พักหรอกเหรอ?”
ผมถามพวกเธอกลับเพราะยังไม่เห็นเดินตามดาเซสไป
“ค่ะ แต่จะให้พักในบ้านเลยเหรอคะ…ขะ ข้าเป็นแค่ยักษ์ให้นอนนอกบ้านก็ได้”
“ไม่ เป็นยักษ์แล้วจะไม่รู้สึกร้อนรู้สึกหนาวหรือไง อยู่ในบ้านนี้แหละแล้วไม่ต้องเถียงด้วย ที่นี้ผมเป็นเผด็จการ”
พอผมบอกแบบนี้ออกมา แทบทุกคนก็หัวเราะออกมา เพราะทุกคนรู้ว่าถ้าผมเป็นเผด็จการอย่างที่บอกจริงๆ ก็คงไม่เรียกประชุมบ้าน เพื่อฟังความเห็นของพวกเธอกันหรอก แต่สำหรับคนมาใหม่อย่างพวกโรสลิน คำว่าเผด็จการยังใช้ได้ผลเสมอ
เดเม่ที่เห็นโมอาเดินเข้าห้องครัวเพื่อไปเตรียมนํ้าชา ก็รีบตามไปแต่ผมห้ามไว้ เวลาแบบนี้เธอควรอยู่กับฟรานและเรโมริก้าด้วย แต่ผมให้พวกเธอย้ายไปคุยกันต่อที่ห้องนั่งเล่น
ผมจับใจความได้ว่า ตอนถูกกวาดล้าง บ้านของฟรานถูกเผา เธอเห็นแม่อยู่กลางกองไฟเลยนึกว่าตายไปแล้ว ส่วนเรโมริก้าก็เห็นตอนฟรานถูกฟันจนแขนขาด ก็นึกว่าไม่รอดเหมือนกัน เธอโกรธจัดที่ลูกสาวเพียงคนเดียวถูกฆ่า เลยรวบรวมแวมไพร์ที่เหลือเปิดศึกเลือดล้างเลือดกับโบสถ์ใหญ่
ถึงผลออกว่าเป็นว่าฝ่ายแวมไพร์พ่ายแพ้ แต่ถ้านับในแง่ความเสียหายแล้ว หมู่บ้านแวมไพร์หนึ่งแห่ง แลกกับสามพันชีวิตของทางฝ่ายมนุษย์กับโบสถ์ใหญ่สาขาหลัก ถูกทำลายจนหาเสาสักต้นยังไม่เจอไป 4 แห่ง ผมรู้แล้วว่าทำไมทางโบสถ์ถึงยอมปล่อยขายเรโมริก้า เพราะความเสียหายครั้งนั้นมันแทบจะทำให้โบสถ์ใหญ่ล่มสลายเลย
ตอนที่ฟรานเล่าให้ฟังว่าเจออะไรมาบ้างหลังจากนั้น เรโมริก้าโกรธจนดวงตาเปล่งแสงสีแดงออกมา แต่ก่อนจะบุกเข้าเมืองไปกวาดล้างเพื่อระบายแค้น ฟรานก็ห้ามเอาไว้ และบอกว่านั้นมันเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ตอนนี้เธอมีความสุขๆ มาก ชนิดที่ความโชคร้ายในอดีตเทียบไม่ได้กับความสุขในตอนนี้เลย เดเม่พยักหน้าเห็นด้วยกับฟรานอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ขอบคุณมากค่ะ ไม่เพียงแค่ช่วยฉันไว้ แต่ยังช่วยลูกสาวของฉันกับเดเม่ไว้ด้วย แถมยังเลี้ยงดูเป็นอย่างดี พระคุณนี้เรโมริก้าคนนี้จะไม่มีวันลืมเลยท่านโรมะ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ขอถามเรื่องสำคัญก่อน…หลังจากนี้จะเอาอย่างไงต่อครับ”
“ท่านแม่ค่ะ! หนูอยากอยู่กับนายท่านต่อไป!”
ฟรานรีบลุกขึ้นบอกเป็นคนแรก แต่ผมยกมือห้ามเธอไว้ เรื่องนี้ต้องให้เรโมริก้าที่เป็นแม่ตัดสินใจเท่านั้น
“…ฉันได้ยินมาว่าจอมมารตัวจริงฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้ว แถมคนนี้ยังทั้งเก่งและมีวิสัยทัศน์ไกล ถ้าเป็นเขาจะต้องนำพาเผ่าปีศาจให้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้แน่ๆ…ฉันจะพาฟรานกับเดเม่ไปเข้ากับเผ่าปีศาจ แต่พันธะทาสนี้…”
“ถ้าพันธะทาสไม่มีปัญหาหรอก ถ้าจะไปผมจะให้เอร่าทำลายพันธะให้ครับ”
“แน่ใจแล้วเหรอ ท่านพึ่งเสียเงินจำนวนมหาศาลไปกับฉัน และยังต้องเสียทาสคนสำคัญไปถึงสองคนนะ”
“เงินผมไม่แคร์ ที่ผมสนมีเพียงแค่ความสุขของผู้หญิงของผมเท่านั้น จริงอยู่ผมกับฟรานและเดเม่คงเสียใจถ้าต้องแยกจากกัน แต่ผมคิดว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้อยู่กับครอบครัวตัวเอง ถ้าพวกเธออยู่กับผม ก็จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของฮาเร็ม แต่ถ้าอยู่กับคุณพวกเธอจะเป็นคนสำคัญเพียงหนึ่งเดียว ที่ไม่มีอะไรมาทนแทนได้”
“ไม่ค่ะ! ขอให้หนูอยู่กับนายท่านเถอะค่ะ หนูเข้าใจในความหวังดีของนายท่าน ที่อยากให้หนูได้อยู่กับครอบครัว แต่ทุกคนที่นี้เองก็เป็นครอบครัวของหนูเหมือนกัน แล้วก็…ถ้าขาดนายท่านไปหนูไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้แน่”
“ขอโทษนะค่ะนายหญิง แต่หนูเองก็ขาดนายท่านไปไม่ได้เหมือนกัน หนูก็ขออยู่ที่นี้ต่อไปค่ะ”
เดเม่หันไปโค้งขอโทษกับเรโมริก้าอย่างเสียใจ ผมรู้สึกไม่ดีเลย ที่ตัวเองกลายเป็นโซ่ที่ผูกรั้งพวกเธอไว้แบบนี้ แต่ระหว่างคิดหาคำพูดเพื่อกล่อมพวกฟรานอยู่ เรโมริก้าก็ถอนหายใจและพูดออกมาซะก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิ ที่แม่พูดไปตะกี้ นั้นมันที่คิดไว้ก่อนจะมาเจอกับฟรานน่ะ ยังพูดไม่ทันจบเลย อย่าพึ่งพร้อมใจกันทิ้งแม่ไปแบบนี้สิ แม่ก็น้อยใจเป็นนะ”
เรโมริก้ากอดอกและสะบัดหน้าใส่ แม้แต่ท่าทางงอนก็เหมือนเด็กแฮะ
“งั้นท่านแม่จะอยู่ที่นี้ด้วยกันใช่ไหมคะ!”
ฟรานเริ่มยิ้มออก แต่เรโมริก้าส่ายหน้า
“แม่ยังไม่ได้ตัดสินใจ จริงอยู่ท่านโรมะเป็นคนดี แถมที่นี้เองก็น่าอยู่มาก เพียงแค่ยังไงที่นี้ก็ยังอยู่เขตปกครองของมนุษย์ ถ้าคิดถึงความปลอดภัยในอนาคต
แล้ว แม่คิดพวกเราควรอาศัยอยู่ในเขตของเผ่าปีศาจมากกว่า”
สมแล้วที่มีวัยวุฒิมากกว่าผม เธอคิดอ่านรอบคอบมาก
“ขอโทษด้วยค่ะ แต่ขอฉันพูดอะไรหน่อยได้ไหม”
อาเดไลท์ที่เงียบฟังมาตลอดแทรกขึ้นมา ผมเองก็อยากฟังความเห็นเธอเหมือนกัน
“เชิญเลยค่ะ”
“ฉันเข้าใจถึงความเสี่ยงของแวมไพร์เป็นอย่างดีค่ะ แต่ถ้าเป็นที่นี้ ฉันเชื่อมั่นหมดใจเลยว่า โรมะจะต้องปกป้องพวกคุณได้อย่างแน่นอน ถึงจะเป็นมือของโบสถ์ใหญ่ก็เถอะ แถมการอยู่ในเมืองใหญ่ที่อยู่ในสายตาของ
มนุษย์ พวกโบสถ์ใหญ่ต้องไม่กล้าลงมือทำอะไรพละการ ไม่งั้นความศรัทธาได้ดิ่งฮวบแน่”
“ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผลดี แต่มันมาจากความเชื่อของเธอเท่านั้น แต่ทางฉันอยากได้อะไรที่จับต้องได้มากกว่า”
“งั้นช่วยอยู่ต่อไปอีกสักระยะได้ไหมคะ ถ้าได้สัมผัสด้วยตัวเอง คุณต้องเข้าใจได้แน่”
อาเดไลท์พยายามช่วยพูดให้เต็มที่ ผมล่ะซึ้งใจจริงๆ แต่ปล่อยให้เธอลำบากคนเดียวไม่ได้ ถึงเวลาที่จะทำให้ปัญหามันจบสักที
“อาเดไลท์ซังพอแค่นั้นเถอะครับ ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง ขอบคุณมากนะ”
ผมหันไปยิ้มให้อาเดไลท์ แต่เธอก้มหน้าลงคงเพราะผิดหวังที่ไม่อาจช่วยผมได้ล่ะมั่ง
“เรโมริก้าซัง ไปเดินเล่นกับผมสักเดี๋ยวได้ไหมครับ บางทีเดินไปคุยไป อาจทำให้ผ่อนคลายขึ้นก็ได้”
ผมชวนเรโมริก้าออกไปที่สวน ตอนแรกทุกคนก็ตามมาด้วย แต่ผมขอคุยกันตามลำพัง ทุกคนเลยอยู่รอภายในบ้านด้วยสีหน้าเป็นกังวลกัน
“ขอโทษด้วยค่ะท่านโรมะ ทั้งหมดเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของฉันคนเดียวแท้ๆ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ คนเป็นแม่ต้องคิดถึงความปลอดภัยของลูกมาก่อนสิ่งอื่นใด”
“เช่นนั้นแล้ว ท่านโรมะเองก็ไปเข้ากับเผ่าปีศาจพร้อมกับพวกฉันเถอะค่ะ ฝ่ายมนุษย์น่ะสิ้นหวังไปแล้ว ท่านก็เห็นจากผู้กล้าที่ชื่อปีเตอร์แล้ว พวกผู้กล้าน่ะล้วนแต่เป็นพวกละโมบโลภมาก ทางโบสถ์ใหญ่เองก็ห่วงแต่อำนาจของตัวเอง ผู้นำแต่ละประเทศก็เอาแต่กอบโกย
ผลประโยชน์ แต่ตอนนี้ทางเผ่าปีศาจเริ่มมีการรวมกันอย่างลับๆ แล้ว ฉันได้ยินข่าวลื่อว่าในอีกไม่กี่ปีจากนี้ ท่านจอมมารจะตั้งประเทศของเผ่าปีศาจขึ้นมาด้วย”
“ขนาดโดนจับตัวไว้ ยังรู้ข่าวได้ไวดีจังนะครับ”
“แม้แต่ในโบสถ์ใหญ่ก็มีลูกน้องของฉันคอยส่งข่าวให้น่ะค่ะ แต่ท่านโรมะก็รู้เรื่องนี้แล้วเหรอคะ!?”
“ครับ รู้คนแรกเลยล่ะ”
ผมหันไปมองซ้ายมองขวา จนแน่ใจว่าไม่มีใครมองอยู่ เลยยื่นมือออกไปหาเรโมริก้า
“ช่วยจับมือผมไว้ด้วยครับ”
“คะ?”
เรโมริก้าทำหน้าสงสัยแต่ก็ยอมจับมือผมไว้ พริบตานั้นผมก็วาปร์มาที่ปราสาทจอมมารทันที
ตอนที่ 70 ปิกนิก
“ที่นี้คือที่ไหนกัน?”
เรโมริก้ามองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง แต่พอเห็นฝูงปีศาจอยู่รอบตัวเธอก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที
“ท่านจอมมารกลับมาแล้วววววว!”
เสียงตะโกนดังลั่นเลย พวกปีศาจที่สังเกตเห็นผม รีบวิ่งเข้ามาหาทันที บางส่วนก็รีบไปแจ้งพวกมุเอมะ
“ท่านจอมมาร!?”
พอเรโมริก้าได้ยินที่พวกปีศาจตะโกนกัน ก็รีบมองซ้ายมองขวาหาตัวจอมมารใหญ่เลย แต่ตอนนั้นเองคลูนิสก็ปรากฏตัวออกมาด้านข้างผมด้วยการวาปร์มาแบบในทันที
“ท่านจอมมารเกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!”
“หือ!? มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ก็ตอนนี้ทุกคนติดเมนูอาหารที่ท่านเอามาให้พ่อครัวทำ จนไม่ยอมกลับไปกินอาหารแบบเดิมแล้วครับ!”
“เอ่อ แย่จริงด้วยแฮะ ขืนให้กินเมนูซํ้าๆ กันทุกวันเบื่อตายเลย ไว้เดี๋ยวผมจะเอาสูตรเมนูใหม่ๆ มาเพิ่มให้ล่ะกัน”
“ขอเมนูที่ไม่ใช้เส้นทำนะครับ เพราะตอนนี้แป้งของพวกเราแทบจะหมดอยู่แล้ว”
“งั้นเมนูที่ใช้ข้าวล่ะเป็นไง”
“ถ้าข้าวไม่มีปัญหาครับ พวกเรามีกักตุนไว้เยอะ”
“โอเค งั้นเดี๋ยวเอาข้าวหน้าหมูทอดไปก่อนเลย แล้วเดี๋ยวผมสอนวิธีทำให้ข้าวกลายเป็นแป้งให้ด้วย”
“ข้าวกลายเป็นแป้ง!! ทำได้ด้วยเหรอครับ”
“ได้สิ แถมแป้งที่ทำจากข้าวจะเป็นแป้งที่มีคุณภาพสูงเลยล่ะ เหมาะใช้ทำพวกขนมปังมาก”
“เช่นนั้นขอเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกข้าวเลยนะครับ”
“อย่าพึ่ง ไว้เดี๋ยวฉันสอนการปลูกพืชหมุนเวียนให้ก่อน เพราะข้าวจะต้องใช้แร่ธาตุจากดินเยอะ ทำให้ดินเสื่อมเร็ว ตอนนี้ฉันให้มุเอมะดูเรื่องถั่วที่เหมาะจะเอามาปลูกอยู่ ถ้าไปได้สวย เราจะได้ทั้งข้าวทั้งถั่วเลย”
“สติปัญหาของท่านจอมมารแม้แต่กระผมก็ตามไม่ทันจริงๆ น่าละอายยิ่งนัก”
“การที่ผมรู้เรื่องที่คนอื่นไม่รู้ ไม่ใช่ว่าผมจะฉลาดกว่าหรอกนะ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่คลูนิสรู้แต่ผมไม่รู้เหมือนกัน”
“ช่างเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่อะไรแบบนี้ กระผมจะขอจดจำจนวันตายครับ”
“อย่าเยอะ เอ่อ คุยเพลินจนเกือบลืมเลย ที่มานี้ก็ว่าจะพาเธอคนนี้มาแนะนำให้มุเอมะรู้จักน่ะ”
ผมหงายมือไปทางเรโมริก้า ที่เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าจอมมารที่ทุกคนพูดถึงอยู่ กำลังยืนอยู่ข้างๆ เธอนี้เอง
“เป็นไปไม่ได้! ท่านโรมะเนี่ยนะจอมมาร!”
“อืม เชื่อยากจริงๆ ด้วย งั้นผมขอใส่เกราะก่อนนะ”
ผมเปลี่ยนสถานะเป็นจอมมารเต็มตัว พร้อมกับเกราะที่ประกอบเข้าร่างผม อย่างพอดิบพอดีทุกส่วน แถมพลังฟื้นขึ้นมาจนเกือบจะเต็มแล้วด้วย แค่ใส่เกราะเฉยๆ ยังรู้สึกถึงพลังที่ล้นทะลักออกมาเลย พวกปีศาจทุกตัวพร้อมใจกันคุกเข่าลงด้วยความยำเกรงทันที
“สมเป็นท่านโรมะ! แค่ไม่กี่วันก็ฟื้นพลังขึ้นมาได้ขนาดนี้แล้ว สุดยอดไปเลยครับ”
พวกปีศาจต่างพากันอวยผมยกใหญ่ เอ่อ ถึงอวยไปผมก็ไม่มีอะไรให้หรอกนะ นอกจากเมนูอาหารใหม่ๆ น่ะ
เรโมริก้าเองก็พลอยคุกเข่าไปด้วย แถมตัวสั่นหน้าซีดอีกต่างหาก
ดูท่าแรงกัดดันตอนเป็นจอมมารจะสูงเกินไปแฮะ ผมเลยถอดเกราะออกดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเรโมริก้าเองก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมา
“ขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ ดิฉันไม่รู้ว่าท่านโรมะคือจอมมาร ได้ทำเสียมารยาทกับท่านจอมมารไปตั้งหลายอย่าง ได้โปรดให้อภัยด้วยเถอะค่ะ”
“หยุดก่อนครับ ผมไม่ได้จะกล่าวโทษอะไรสักหน่อย แค่พามาคุยกันต่อที่นี้ต่างหาก เพราะถ้าให้คุณรู้ฐานะที่แท้จริงของผม มันจะมีประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายมากกว่าน่ะ”
“ขอบคุณค่ะ!”
“ท่านโรมะ”
เสียงมุเอมะเรียกผม เธอเดินเข้ามาพร้อมกับมิริน ผมเลยดึงทั้งคู่เข้ามาจูบทักทายไปคนละที
“เอ๋? พาฟรานมาทำไมเหรอคะ? ไหนว่าไม่อยากให้เธอรู้ตัวจริง”
“ไม่ใช่ๆ นี้ไม่ใช่ฟราน แต่เป็นเรโมริก้าเธอเป็นแม่ของฟรานน่ะ”
แล้วผมก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ทั้งคู่ฟัง ขณะย้ายที่ไปคุยกันที่ห้องรับแขก โดยมุเอมะได้ทำการจัดแต่งใหม่ ให้มีความคล้ายคลึงกับที่คฤหาสน์เลย ส่วนเรโมริก้าพอเจอมุเอมะก็ยิ่งสั่นหนักกว่าเดิม เพราะชื่อเสียงของมุเอมะนั้นโด่งดังในฝ่ายมนุษย์มาก
เธอปรากฏตัวในสงครามใหญ่ๆ บ่อยยิ่งกว่าจอมมารซะอีก และก็เป็นคนพลิกสถานการณ์ได้ทุกครั้ง มุเอมะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้กองทหารฝ่ายมนุษย์ ไม่เคยบุกเข้ามาในดินแดนเผ่าปีศาจได้ เลยต้องใช้วิธีส่ง
หน่วยเล็กหลายๆ หน่วย อย่างปาร์ตี้ผู้กล้า ผ่านเข้ามาทางดันเจี้ยนหลายๆ แห่ง เพื่อปราบจอมมารแทน
ฉายาของมุเอมะที่พวกมนุษย์ใช้เรียกเธอก็คือ มหาทมิฬไร้พ่าย
ผมไม่ค่อยแปลกใจหรอก ก็สกิลที่เธอมีส่วนใหญ่เป็นบัพแบบกองทัพทั้งนั้น ถ้าคิดจะปราบจอมมารโดยเจาะผ่านมาทางเธอไม่มีโอกาสชนะได้เลย…เดี๋ยวดิ แบบนี้ก็เหมือนจอมมารอ่อนกว่ามุเอมะอีกไม่ใช่เหรอ!!
คิดดูดีๆ แล้ว การคงอยู่ของจอมมารมัน….เหมือนกับคอร์ของดันเจี้ยนเลยนี้หว่า! ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ แค่คอยจ่ายพลังหล่อเลี้ยงทุกคนพอ เป็นความจริงที่โหดร้ายจริงๆ!
กลับมาสู่หัวข้อพูดคุยกับเรโมริก้าดีกว่า
“เข้าใจแล้วค่ะ ทางฉันไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเรโมริก้าจะย้ายมาอยู่เผ่าปีศาจ แต่อยากให้ทำความเข้าใจหลักการของพวกเราซะก่อน ถึงจะบอกว่าอยู่ฝ่ายปีศาจ แต่คุณต้องไม่มองมนุษย์เป็นศัตรูนะคะ เพราะแนวทางของท่านโรมะคือการอยู่ร่วมกัน”
มุเอมะพูดจาเป็นงานเป็นการได้ดีกว่าผมซะอีก ดีล่ะที่ให้เธอคุยแทน
“อยู่ร่วมกันเหรอคะ!”
“ค่ะ แต่ว่าไม่ได้เป็นแบบทันทีทันใดหรอกนะคะ การปรับตัวเข้าหากันต้องใช้เวลาพอสมควร แต่เรื่องพวกนี้ท่านโรมะกับฉันคิดไว้หมดแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ขอแค่คุณยึดถือแนวทางของพวกเราได้ก็พอแล้ว”
“ได้ค่ะ ฉันเองก็ไม่อยากทำร้ายใครถ้าไม่จำเป็นเหมือนกัน”
“แต่ว่าอย่าลดการระวังตัวลงนะคะ ฝ่ายมนุษย์เองก็มีพวกเลวๆ อยู่เยอะ โดยเฉพาะทางโบสถ์ใหญ่กับพวกพระราชา พวกนี้คอยสร้างกระแสความเกลียดชังให้กับทุกคน จนเหมือนโดนล้างสมองกันเลย”
มิรินคอยเตือนในมุมมองของฝ่ายมนุษย์
“ใช่ค่ะ! พวกโบสถ์น่ะแย่มาก ถ้ามีอะไรไปสั่นคลอนอำนาจของพวกนั้นเข้า ก็จะรีบหาเรื่องทำลายอีกฝ่ายทันที”
พอพูดถึงโบสถ์ใหญ่ เรโมริก้าก็ของขึ้นมาทันที
“ส่วนเรื่องการประทับตราเผ่าปีศาจ คงต้องขอเลื่อนไปก่อนนะคะ เพราะถ้าเรโมริก้าจะอยู่กับท่านโรมะ ก็ไม่ควรให้ใครรู้ว่าตัวเองเป็นเผ่าปีศาจ”
“เข้าใจแล้วค่ะ คงไม่เหมาะจริงๆ ถ้าจะมีปีศาจไปอยู่ในเมืองของมนุษย์ตอนนี้”
เรโมริก้าเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว แต่มุเอมะก็ยิ้มแล้วส่งแหวนที่คล้ายๆ แบบของผมและมิรินออกมาให้
“แหวนวงนี้จะใช้สื่อสารกับฉันได้โดยตรง และยังใช้วาปร์มาที่ปราสาทจอมมารได้ทุกเวลา แถมยังใช้เป็นตัวแทนของตราเผ่าปีศาจระดับสูงได้ด้วย แล้วไม่ต้องห่วงว่าจะถูกมนุษย์ดูออกนะ ถ้าไม่ใช่เผ่าปีศาจจะมองไม่เห็นแหวนวงนี้”
“คราวนี้ก็อยู่กับผมได้อย่างสบายใจแล้วสินะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณท่านจอมมารมากเลยค่ะ”
“เอ่อ เลิกเรียกผมแบบนั้นเถอะ เดี๋ยวเรียกจนติดปากจะแย่เอา”
“นะ นั้นสินะคะ ท่านโรมะ”
“ขอให้ไว้ใจในเรื่องความปลอดภัยในพื้นที่ของคฤหาสน์ได้เลยค่ะ แต่ถ้าจนตัวจริงๆ ก็ให้ใช้แหวนกลับมาที่นี้ได้คะ”
มุเอมะยํ้าเรื่องนี้กับเรโมริก้า แต่ทำไมมุเอมะมั่นใจขนาดนี้เนี่ย คงไม่ใช่แอบส่งใครไปเฝ้าแถวๆ คฤหาสน์หรอกนะ
ผมคุยทำความเข้าใจกับเรโมริก้าอีกหลายๆ เรื่อง ดูเธอจะเห็นด้วยกับแนวทางของผมเป็นอย่างดี จริงๆ ผมเสนอให้เธออยู่ที่นี้ แล้วไปเยี่ยมฟรานได้ตลอดเวลาที่ต้องการ แต่เธอขอไปอยู่ที่คฤหาสน์แทน เพื่อจะได้ช่วยปกป้องผมและฟรานได้
“เข้าใจแล้วว่าท่านโรมะต้องการใช้ชีวิตแบบนักผจญภัย แต่ทำไมถึงปิดตัวจริงไว้กับฟรานซิสก้าด้วยล่ะคะ”
“ฟรานติดภาพลักษณ์ของผมที่เป็นนักผจญภัยนะครับ ผมกลัวว่าถ้าเปิดเผยตัวจริงออกไป ไม่ใช่แค่ฟรานหรอก ทุกคนอาจจะรับไม่ได้ แล้วพาลคิดว่าผมหลอกลวงพวกเธอมาตลอด ตอนนี้ผมพยายามปรับทัศนคติของพวกเธอ ให้คุ้นเคยกับการเปิดใจรับพวกมอนสเตอร์ก่อน หลังจากนั้นผมก็จะเริ่มขยายไปที่เผ่าปีศาจ ถ้าทุกอย่างไปได้สวย วันใดวันหนึ่งถ้าความลับผมแตกขึ้นมา พวกฟรานจะสามารถเปิดใจพูดคุยกับผมได้”
“แบบนี้เอง สมแล้วที่เป็นท่าน คิดอ่านอะไรได้เหนือชั้นจริงๆ แต่ท่านโรมะคิดมากเกินไปหน่อยหรือเปล่าคะ ดูฟรานซิสก้าตอนนี้สิ ขนาดยอมทิ้งฉันเพื่อจะได้อยู่กับท่าน ต่อให้ท่านโรมะเป็นอะไรที่แย่ยิ่งกว่าจอมมาร ฉันก็เชื่อว่าฟรานก็จะเปิดใจรับและรักท่านไม่ต่างไปจากเดิมแน่”
“อย่าใช้คำว่าทิ้งสิครับ ฟรานเองก็เจ็บปวดที่ต้องเลือกนะ เพราะงั้นผมเลยต้องเปิดเผยตัวเองเพื่อที่จะให้คุณได้อยู่ด้วยกันกับฟรานไงล่ะ แล้วก็นะ...เพราะผมเองก็รักฟรานมาก ถึงแม้จะเป็นอย่างที่คุณพูด แต่ว่าผมไม่อยากจะให้มีแม้จะเพียงแค่ 1% ในโอกาสที่จะผิดพลาดเด็ดขาด การโดนฟรานเมินหน้าหนี คงเป็นอะไรที่ผมรับไม่ได้แน่”
ขากลับผมชวนมิรินกลับพร้อมกันเลย แต่เธอบอกว่าจะขออยู่ค้างที่นี้ เพราะเวทมนต์ใหม่ฝึกยากกว่าที่คิดไว้ เลยต้องให้มุเอมะคอยให้คำแนะนำด้วย เหตุผลที่เธอยอมค้างที่นี้ได้ เพราะว่าอาหารการกินแทบจะไม่ต่างไปจากที่ผมและเดเม่ทำเลย ก็แน่ล่ะเมนูอาหารของที่ปราสาทจอมมาร ถูกเปลี่ยนเป็นเมนูอาหารที่ผมทำไปหมดแล้ว
พอกลับมาถึงผมกับเรโมริก้าก็เข้าไปบอกทุกคนตามที่เตี๋ยมกันไว้ จนทำให้ฟรานกับเดเม่ดีใจมาก ส่วนอาเดไลท์ดูจะโล่งอกขึ้นมา หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ผมก็เลยเข้าครัวไปทำมื้อเที่ยง
วันนี้ผมอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศนิดหน่อย เลยทำอาหารแบบหยิบกินได้ง่าย เช่นไก่ทอด ไข่ม้วน แซนวิช และเมนูใหม่ เฟรนฟราย ผมรีบทำชุดหนึ่งแล้วจัดใส่กล่อง แล้วส่งม้าเร็วอย่างดาเซสไปส่งให้มอเรียที่กิล
แต่เล่นส่งดาเซสเทียวไปเทียวมาแบบนี้ ลำบากดาเซสจริงๆ ไว้พรุ่งนี้ผมทำเป็นข้าวกล่องให้กับมอเรียก่อนออกจากบ้านดีกว่า
จากนั้นผมก็ทำส่วนที่เหลือและจัดใส่ตระกล้า เดเม่ที่มาช่วยผมทำ ก็ทำหน้าสงสัยว่าทำไมจัดใส่ตระ
กล้าแทนที่จะเป็นจาน ผมก็เฉลยด้วยการเรียกทุกคนในบ้านมารวมตัวกัน รวมถึงพวกไรโมดอลด้วย
พี่น้องโรสลินเปลี่ยนชุดแล้ว เป็นชุดสำรองที่พวกไรโมดอลทำไว้ ถึงจะดูคับไปหน่อย แต่ก็ดีกว่าของเดิมที่ใส่ ส่วนของเรโมริก้า ดันไปเอาชุดของฟรานมาใส่ แถมยังคล้ายๆ กับที่ฟรานใส่อยู่ เลยแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร พอมากันครบแล้ว ผมก็ประกาศออกไปทันที
“พวกเราไปปิกนิกกันเถอะ!”
“ปิกนิก???”
มีแต่เครื่องหมายคำถามบนใบหน้าทุกคน ผมเลยต้องอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ออกไป สรุปก็คือกินข้าวนอกบ้านแบบปูเสื่อนั่งกินสบายๆ ส่วนสถานที่ที่ผมเลือกไว้ก็คือ หน้าดันเจี้ยนนํ้าตกนั้นเอง
“น่าสนุกดีจัง!”
พวกผู้หญิงดูตื่นเต้นกันใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่ไรโมดอล แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือทำไมซาคุยะต้องตื่นเต้นไปด้วย ทั้งๆ ที่น่าจะคุ้นเคยกับการปิกนิกอยู่แล้ว
“คะ คือที่โลกเก่า ฉันไม่เคยได้ออกไปปิกนิกเลยน่ะ ครอบครัวฉันงานยุ่งเลยไม่มีเวลา”
นั้นคือคำอธิบายของซาคุยะ งั้นจะตื่นเต้นก็ไม่แปลกล่ะนะ
ผมให้ทุกคนช่วยกันขนของกันไป คนล่ะชิ้นสองชิ้น ส่วนอุปกรณ์ที่หนักๆ หรือใหญ่ไป ผมก็ใส่ไว้ในกระเป๋านักผจญภัยแล้ว
พอไปถึงบ้างก็คนร้องว้าวออกมา เพราะส่วนใหญ่ยังไม่เคยมาแถวนี้กัน ผมเลือกลานหินกว้างๆ ที่ติด
กับธารนํ้า และไม่ใกล้นํ้าตกจนเกินไป ไม่งั้นเดี๋ยวละอองนํ้าจะมาทำให้เปียกหมด
ผมให้สาวๆ ลงไปเล่นนํ้ากันก่อน ส่วนผมกับพวกไรโมดอลก็จัดเตรียมพื้นที่ โดยผมให้พวกไรโมดอลปูผ้าที่ลานหิน ส่วนหนึ่งก็ปีนขึ้นต้นไม้เพื่อไปขึงผ้าทำเป็นร่มเพื่อบังแดด ส่วนผมก็นำพวกถังแช่กับตระกล้าอาหารออกมาจัดเตรียมไว้
พอเสร็จแล้วก็เรียกสาวๆ ขึ้นมาจากนํ้า พร้อมกับใช้สกิลพ่อบ้านทำให้เสื้อผ้าพวกเธอแห้งได้ในทันที ทุกคนมานั่งล้อมวงแต่พอไม่เห็นมีจานกับช้อนส้อมก็เริ่มทำหน้าสงสัยกันขึ้นมาอีก
“ปิกนิกน่ะต้องกินด้วยมือถึงจะอร่อย อาหารคราวนี้เลยเป็นแบบที่ใช้มือหยิบกินได้เลย”
ผมอธิบายพร้อมกับหยิบกินเป็นคนแรก แล้วทุกคนก็เริ่มทำตาม พูดถึงรสชาติอาหารมันค่อนข้างธรรมดามาก แต่พอมากินแบบนี้มันกลับทำให้อร่อยขึ้นมาได้ เพราะทุกคนพึ่งเล่นนํ้ากันมาเหนื่อยๆ เลยหิวเป็นพิเศษ คนเราน่ะเวลาหิวกินอะไรก็อร่อย แถมปิกนิกคือการกินอาหาร 5 ส่วนและดื่มดํ่าบรรยากาศอีก 5 ส่วน เพราะงั้นไม่มีทางที่จะไม่อร่อยหรอก
แต่ว่ามีอาหารอย่างหนึ่งที่กลายเป็นปัญหาขึ้นมา เฟรนฟรายไงล่ะ แรกๆ ไม่มีใครกล้าหยิบมันขึ้นมากิน ด้วยรูปร่างเป็นแท่งเล็กๆ ซึ่งพวกเธอไม่เคยเห็นมาก่อน
พอได้ฟรานที่เป็นหน่วยกล้าตายในการชิมอาหารเป็นคนเริ่ม บรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันที เพราะฟรานไม่พูดไม่จา เอาแต่หยิบเฟรนฟรายกินแบบไม่หยุด
ปาก คนอื่นเลยรีบลองดูบ้าง และก็ต้องมีสภาพแบบเดียวกับฟราน จนกลายเป็นสงครามแย่งชิงเฟรนฟรายกันไปแล้ว
คือผมทำมามากพอสมควรนะ ถึงจะให้เป็นเพียงแค่อาหารทานเล่น แต่มันกลายเป็นอาหารหลักและหมดไปในพริบตาเดียว
“มะ หมดแล้ว!”
ทุกคนทำหน้าราวกับโลกจะแตก เมื่อตะกล้าที่ใส่เฟรนฟรายทุกใบอยู่ในสภาพว่างเปล่า เลยพากันหันมาจ้องผมด้วยดวงตาเป็นประกาย
“พอๆ เฟรนฟรายกินเยอะไปไม่ดี”
ทุกคนทำท่าซึมลงไปทันที แต่ก็ยอมเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นกันแทนแล้ว
“นายท่านค่ะ ตะกี้พวกเราหยุดกินเฟรนฟรายไม่ได้เลย ทำไมเหรอคะ? หรือว่าเป็นเวทมนต์?”
“อืมใช่ เวทมนต์ล่ะ แถมเป็นเวทมนต์ที่ใครๆ ก็ใช้ได้ด้วยนะ”
ว่าแล้วผมก็หยิบเอาขวดใส่เกลือออกมา และเทลงบนมือของเดเม่ไปหน่อยหนึ่ง
“นี้มัน…เกลือ ที่นายท่านกำซับให้ใส่ลงไปในซุปอย่างระวังทุกครั้งสินะคะ”
“มันจะให้รสเค็มน่ะ ถ้าใส่เยอะไปก็จะเค็มจนกินไม่ได้ แถมถ้ากินเกลือเยอะเกินไปก็จะส่งผลเสียกับร่างกาย แต่เกลือจะมีคุณสมบัติพิเศษ คือการกระตุ้นต่อมรับรสที่ลิ้นของเรา”
“กระตุ้นต่อมรับรสที่ลิ้น???”
ดูเหมือนจะเป็นศัพท์ที่ยากเกินไปแฮะ
“สรุปคือ มันช่วยทำให้อาหารที่ไร้รสชาติอร่อยขึ้นมาได้ไงล่ะ แต่อย่างที่เตือนไปทุกครั้ง ต้องใช้มันอย่างระวังนะ เกลือจะทำให้หิวนํ้า พอกินนํ้ามากๆ ก็จะอิ่มท้องจนกินอาหารไม่ลง จำไว้นะเดเม่ หลักการการทำอาหารก็คือความสมดุล ไม่ใช่แค่ทำให้ผู้กินอิ่ม แต่ต้องคำนึงถึงสุขภาพ ความชอบ และความพึงพอใจด้วย”
“หนูไม่รู้เลยว่าการทำอาหารจะลึกลํ้าถึงเพียงนี้”
“การทำอาหารน่ะไม่ยากหรอก แต่จะทำอาหารให้อร่อยนี้สิที่ยาก”
“ค่ะ! ขอบคุณที่สอนหนูค่ะนายท่าน”
เรโมริก้าที่มองดูผมคุยกับเดเม่ ก็หันไปสะกิดฟราน
“นี้ๆ เดเม่ดูสนิทกับท่านโรมะจังนะ แต่ปล่อยให้ไปรบกวนแบบนั้นจะไม่เป็นอะไรเหรอ”
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะท่านแม่ นายท่านเป็นคนใจดีมากๆ แล้วเดเม่เองก็อยากจะเป็นเมดที่เพียบพร้อมเร็วๆ จะได้ปรนนิบัตินายท่านได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เลยพยายามเรียนรู้ทุกอย่างจากนายท่านอยู่ค่ะ”
“ดีจังนะ เดเม่ท่าทางก็เปลี่ยนไปมาก จนแม่จำแทบไม่ได้เลย แถมดูมีความสุขอยู่ตลอดเวลาด้วย”
“ไม่ใช่แค่เดเม่ค่ะ พวกเราทุกคนมีความสุขที่สุดเลย”
ฟรานยิ้มบอกจนเรโมริก้าต้องลูบหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดู
แต่จู่ๆ สีหน้ายิ้มแย้มของฟรานก็เปลี่ยนไป เป็นเย็นชาจนดูหนาวเหน็บ เธอจ้องไปที่เดเม่ที่กำลังนอนหนุนตักผมอยู่
“นายท่านกำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ”
“อ้อ ก็ให้เดเม่นอนหนุนตักไง ปิกนิกน่ะกินเสร็จแล้วที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการนอนหนุนตักนะ”
“มะ มีกิจกรรมแสนวิเศษเช่นนี้อยู่ด้วยเหรอคะ! ละ แล้วหนูเองก็ทำได้ใช่ไหมคะ!”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ มานี้สิ”
ผมตบไปที่ตักอีกข้างที่ว่างอยู่ ฟรานพุ่งเข้ามาราวกับวาปร์มาเลย เธอนอนตักและถูหน้าไปกับต้นขาผมด้วย จั้กจี้แฮะ
“พวกเราด้วยสิ!”
ดาเซสนำทีมพาคนอื่นตามเข้ามา
“เอาแบบนี้ ผลัดกันคนล่ะสิบนาทีล่ะกัน ระหว่างนี้ก็ไปเล่นนํ้าหรือกินของหวานรอกันไปก่อน อ่ะจริงสิ ของหวานวันนี้พิเศษสุดเลยนะ”
ใช่แล้ว เพราะมันคือคัพเค้กไงล่ะ ของหวานที่สาวๆ ชอบกัน แต่ถึงจะเอาของหวานมาล่อ แต่เดเม่กับฟรานไม่ยอมขยับจากตักผมเลยแฮะ แถมเดเม่เองก็หลับไปแล้วด้วย ดีแล้วๆ
โรสลินกับจามิร่า รับคัพเค้กที่โมอาส่งให้ไป แต่พวกเธอเหมือนกำลังตกอยู่ในความฝันตั้งแต่เริ่มปิกนิกกันแล้ว ไม่สิ เอสเตอร์ก็ด้วย ทั้งสามนั่งตาลอยเหมือนคนโดนวางยาไม่มีผิด แล้วพอขยับมือเอาคัพเค้กเขาปากไปแบบไม่ทันรู้ตัว พวกเธอทั้งสามก็หงายหลังล้ม
ตึงและหมดสติไปเลย เอ่อ มีสี่รายนี่น่า เรโมริก้าเองพอกินคัพเค้กเข้าไป ก็สลบตามพวกโรสลินไปติดๆ
พวกสาวๆ เลยจับพวกที่สลบไปมานอนเรียงกัน และปล่อยให้พักกันไปก่อน ดูเหมือนจะยังไม่ชินกับมวลความสุขและความอร่อยระดับนี้
พอมีคัพเค้กเพิ่มเข้ามา ปาร์ตี้นํ้าชาของอาเดไลท์ก็ดูมีสีสันขึ้นมาทันที เธอเลยเป็นคนที่ดูพึงพอใจกับของหวานคราวนี้มากที่สุด
อ้าว มีสลบไปอีกคนแล้ว เป็นยัยเอร่าล่ะ แต่คราวนี้ไม่ใช่อร่อยจนหมดสติ แต่เป็นเพราะกินมากไปจนจุกต่างหาก
ตอนที่ 71 เริ่มงานกันเถอะ
หลังจากที่ทุกคนได้พักผ่อน และสลับกันมานอนหนุนตักผมกันจนครบทุกคนแล้ว (ไม่เว้นกระทั่งอาเดไลท์กับเรโมริก้า) พวกผมก็พากันเดินกลับคฤหาสน์กัน สีหน้าทุกคนดูอิ่มเอิบมาก ทั้งอิ่มทั้ง สนุกกันเต็มที่เลย แถมยิ่งนานวันก็ยิ่งจะดูสนิทกันมากขึ้น ขนาดคนมาใหม่อย่างโรสลินกันถูกบรรยากาศดึงดูดเข้าไป จนดูกลมกลืนกับทุกคนแล้ว
แต่ตอนนั้นเองที่เรโมริก้าเดินมาอยู่ข้างๆ ผมและเตือนขึ้นมา
“ท่านโรมะน่ะใจดีกับทุกคนเกินไปแล้วนะ เดี๋ยวก็เคยตัวจนเสียนิสัยกันหมดพอดี”
“ไม่หรอกครับ ดูนั้นสิ”
ผมบอกขณะชี้ไปข้างหน้า เพราะตอนนี้กลับมาถึงคฤหาสน์แล้ว ซึ่งพอมาถึงบรรยากาศก็
เปลี่ยนไปทันที ไม่ใช่ว่าทุกคนจะดูซึมเศร้าไร้ชีวิตชีวาหรอกนะ ยังคงมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มอยู่ แต่ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตนเองทันที
อย่างฟรานโดยที่ไม่ต้องบอก ก็เข้ามาจูงมือจามิร่าเพื่อพาไปสอนหนังสือให้ทันที มันเป็นข้อกำหนดของผมแบบไม่เป็นทางการไปแล้ว ว่าทุกคนจะต้องมีความรู้ขั้นพื้นฐาน อย่างตํ่าสุดคือการอ่านออกเขียนได้ ผมให้ความสำคัญกับการสื่อสารเป็นอย่างแรก และยังมีผลพลอยได้ที่จะติดตัวทุกคนไป นั้นก็คือความรู้ ถ้ามีความรู้ก็จะสามารถหางานทำได้ อนาคตพวกเธอก็จะไม่ต้องลำบากอีก
พอโรสลินเห็นแบบนั้นก็เลยขอช่วยสอนด้วยอีกคน เพราะเธอเองก็อ่านหนังสือมาเยอะ แถมรู้จักพี่สาวตัวเองดีว่าเป็นคนหัวทึบมาก ต้องค่อยๆ สอนไป
ผมให้จามิร่าเรียนหนังสือวันล่ะสองชั่วโมงตอนบ่าย พอบ่ายสามก็ให้ออกไปทำงานได้ตามปกติ เหตุผลที่ผมให้เรียนตอนบ่าย เพราะจะได้ให้หลบแดดตอนเที่ยงๆ ที่มันร้อนเกินไปด้วย
ส่วนของเอสเตอร์พออ่านออกได้นิดหน่อย เลยให้เรียนช่วงเช้าพร้อมกับเดเม่ไป
“เอสเตอร์มาเริ่มงานกันเลยเถอะ”
“ค่ะ”
เอสเตอร์พยักหน้ารับและเดินตามผมไปกับยูริน ที่ Workshop ของยูรินตอนนี้ค่อนข้างรกทีเดียว
“เริ่มแคบไปแล้ว อยากขยับขยาย Workshop ไหมยูริน”
“ดีเหมือนกัน แต่เดี๋ยวข้าทำเอง นายท่านแค่เสนอไอเดียมาก็พอแล้ว”
“ถ้าคิดจะทำออกขายจริงๆ จังๆ ในอนาคต ก็ควรทำส่วนของหน้าร้านไว้ด้วยนะ”
“เข้าใจล่ะ ไว้จะเขียนแบบไปให้ดู”
“ไม่ต้องหรอก ร้านของยูรินนี่น่า ออกแบบตามใจชอบเถอะ พื้นที่ด้านหลังบ้านส่วนนี้ผมยกให้”
“ร้านของข้า…”
ยูรินยืนนิ่งไปราวกับหุ่นยนต์ที่หยุดทำงาน จนผมต้องสะกิดเรียกเธอ
“ขอโทษที เผลอฝันกลางวันไปซะแล้ว”
“ไม่ใช่ฝันหรอก ว่าแต่เหลือลานทำบาบิคิวให้ผมหน่อยล่ะกัน ส่วนควันเนี่ย พอมีวิธีจัดการไหม”
“เรื่องควันมิรินบอกเดี๋ยวจัดการให้ได้”
“งั้นก็โอเค มาดูผลงานกันดีกว่า การสกัดแร่จากอาวุธมัจฉาเป็นไงบ้าง”
“ยิ่งกว่าที่คิดไว้ มีแร่แปลกๆ โผล่มาเพียบเลย แต่ส่วนที่ทำให้อาวุธของมัจฉามีความคมและแข็งแกร่งมาก มาจากตัวนี้”
ยูรินชี้ไปที่ก้อนแร่ที่หลอมออกมาแล้วจนมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมตามแบบหล่อ มันมีสีประหลาดคือมีสีนํ้าตาลลายคลื่นผสมไปกับสีนํ้าเงินเข้ม ผมลองใช้ตรวจสอบดู
“หินทะเลลึก!?”
ไม่มีราคากลางด้วย แปลว่ายังไม่เคยถูกค้นพบ
“อืม แค่ว่าดูนี้”
ยูรินหยิบมันขึ้นมาก้อนหนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือจนมันตกกระแทกพื้น แต่มันแตกละเอียดทันที
“อย่างที่เห็น ลำพังหินทะเลลึกไม่มีความคงทนเลย ถ้าเอาไปทำเป็นอาวุธ มันจะพังระหว่างการทำ เลยจะต้องผสมอย่างอื่นลงไปด้วยเพื่อเพิ่มความคงทน”
“งงแฮะ ไม่ใช่ว่าหินทะเลลึกมีความแข็งแกร่งสูงหรอกเหรอ”
“ให้ดูง่ายกว่า”
ยูรินหยิบมีดที่สร้างเสร็จแล้วขึ้นมาสองเล่ม
“อันนี้ผสมเหล็กไป 5% เพื่อให้ขึ้นรูปได้ง่าย”
จากนั้นก็ใช้มีดที่ทำจากหินทะเลลึกฟันไปที่มีดธรรมดาอีกเล่ม ซึ่งมีดธรรมดาขาดกลางทันที
“อ้าว สำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอเนี่ย!”
“เปล่า ไม่ใช่หรอก ดูต่อนะ”
ยูรินพลิกมีดและใส่มือเคาะไปบนตัวมีด แค่นั้นมันก็ร้าวและแตกทันที
“นี้แหละที่บอกว่าไม่มีความคงทน ถ้าใช้ด้านคมฟันไป ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าโดนกระแทกจากด้านข้างเบาๆ ก็พังแล้ว สรุปใช้เป็นอาวุธหรือเกราะไม่ได้”
“แบบนี้เอง ถึงต้องผสมแร่อย่างอื่นลงไปอีกหลายๆ อย่างเพื่อเพิ่มความทนทานสินะ”
“ใช่ และจากการทดลองหลายๆ แบบดู คิดว่าอัตราส่วนที่สร้างเป็นอาวุธมัจฉาน่าจะเป็นสูตรที่ดีที่สุดแล้ว”
“แย่จังนะ แบบนี้ก็พัฒนาไปต่อไม่ได้สิ”
“ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง”
“ไม่ๆ ไม่ได้เป็นความผิดของยูรินหรอก บอกแล้วไงว่าแค่ทดลองกันดู…ว่าแต่ทำไมมันถึงเปราะแบบนี้ได้ล่ะ”
ถ้าจำไม่ผิดตอนสมัยเรียน…ความร้อน การเคลื่อนที่ การขยายตัว หินทะเลลึก เหมือนคีย์เวิร์ดจะอยู่ตรงหน้ามาตลอดเลยแฮะ
“ยูรินเดี๋ยวลองเปลี่ยนวิธีหลอมกันหน่อยนะ”
“มีวิธีไหนอีกเหรอ?”
“แปบนะ”
ผมกลับเข้าไปในบ้าน และช่วยกันแบกตู้เย็นที่ใช้ทำไอศกรีมออกมากับเอสเตอร์
“เอามาทำไม?”
“ปกติเวลาหล่อเย็นจะใช้นํ้าใช่ไหม”
“ใช่”
“งั้นเปลี่ยนมาเอาเข้าตู้เย็นแทน”
ยูรินทำหน้างงๆ แต่ก็ทำตามที่ผมบอก คือหลอมไปตามปกติ แต่ตอนขึ้นรูปและทำการหล่อเย็น แทนที่จะจุ่มลงไปในนํ้า ก็เอามาวางไว้ในตู้เย็นแทน
พอนำออกมาสีสันของหินทะเลลึกดูสดใสยิ่งกว่าเดิม ออกเป็นประกายเลยล่ะ ผมให้ยูรินทดสอบอีกครั้ง ด้วยการปามันลงพื้น ที่แตกกับเป็นพื้นแทนรอบนี้
“สำเร็จแล้ว! ได้อย่างไงกัน!”
“เอ่อ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ประมาณว่าโมเลกุลของหินทะเลลึกมันจะไม่จับตัวกันในสภาพอุณหภูมิแบบปกติน่ะ จะต้องเป็นในสภาพอุณหภูมิเย็นจัดแบบใต้ทะเลลึก ทำให้ช่องว่างของโมเลกุลหดตัว”
“ไม่เข้าใจ โมเลกุลคืออะไรเหรอ?”
“ก็ถึงบอกไงว่าผมไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน เอาเป็นว่าหินทะเลลึกมันทนทานขึ้นเมื่อถูกอากาศเย็น เข้าใจเท่านี้ก็พอแล้ว”
“นายท่านลํ้าลึก”
“แต่เดาๆ เอาจากชื่อของแร่น่ะ แต่ตอนนี้ลองทำอาวุธขึ้นมาหน่อยสิ ฉันจะให้เอสเตอร์ทดสอบอะไรบางอย่างด้วย”
“ข้าเหรอ!?”
“ใช่”
ผมยังไม่อธิบายอะไร รอจนยูรินหลอมดาบขึ้นมาเล่มหนึ่งก่อน ซึ่งเพราะแค่จะใช้ทำการทดสอบ เลยไม่ได้ตีคมดาบ ยูรินลองใช้มันฟันใส่ดาบเหล็กธรรมดาดู ผลปรากฏกว่าดาบเหล็กแตกเป็นชิ้นๆ ทันที นี้ขนาดยังไม่ได้ตีคมดาบเลยนะ แล้วพอทดสอบความทนทานดู มันทนทานยิ่งกว่าแร่มิธริลซะอีก
“เอสเตอร์ ใช้พลังของเธอดูดาบเล่มนี้หน่อย”
“อืม…ก็ดีนะ”
เอสเตอร์ดึงผ้าปิดตาออก และจ้องมันพักหนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“อธิบายให้ละเอียดหน่อยสิ”
“ก็ดูดี มีแสงสว่างอยู่ แปลว่าเป็นของดี แต่ว่า…ก็ยังไม่ค่อยชัดเท่าไร”
“แปลว่าสว่างได้กว่านี้อีกเหรอ”
“ใช่ๆ แบบนั้นแหละ”
นั้นแหละ ผลการทดลองของเอสเตอร์ประสบผลสำเร็จแล้ว เพราะเธอสามารถบอกคุณภาพ
ของวัตถุได้ แถมแม่นยำยิ่งกว่าเครื่องตรวจวัดที่ลํ้าสมัยซะอีก
จากนั้นผมก็ให้ยูรินลองใหม่อีกครั้ง โดยผมจะปรับวงจรเวทในตู้เย็นเพื่อเปลี่ยนอุณหภูมิดู ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ยิ่งอากาศเย็นเท่าไร คุณภาพของหินทะเลลึกก็จะยิ่งดีขึ้น หลังทดลองอยู่เป็นสิบๆ รอบ ก็ถึงขั้นที่ทำให้เอสเตอร์ต้องหลับตาหนี
“สะ แสบตา!”
“ไอ้นี้แหละยูริน! สภาพที่ดีที่สุดของหินทะเลลึก”
พอผมบอกยูรินก็รีบจดสูตรทันที โดยเฉพาะตัวเลขความเย็นที่ผมตั้งไว้ จากนั้นก็ถึงเวลาหลอมอาวุธจริงๆ ขึ้นมาจากหินทะเลลึกที่มีความบริสุทธิ์ถึง 99.99% เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ผสมอะไรลงไปเลย
ผมทิ้งให้เอสเตอร์อยู่ช่วยยูริน และคอยตรวจดูทุกขั้นตอน ถ้าเห็นตอนไหนคุณภาพเริ่มตกลงก็ให้บอกยูรินทันที เอสเตอร์ดูจะถูกใจงานนี้แบบสุดๆ เพราะเธอไม่คิดมาก่อนเลย ว่าตาที่เห็นแต่ลางร้ายของเธอจะใช้ประโยชน์แบบนี้ได้ด้วย
ส่วนค่าจ้างของเธอ ผมให้ราคาเดียวกันหมด คือหนึ่งหมื่นต่อเดือน เหตุที่ผมให้ราคาเดียวกัน เพราะถึงทุกคนจะมีงานประจำของตัวเองแล้ว แต่เมื่อไรก็ตามที่ว่างจากงานของตน พวกเธอก็จะไปช่วยงานของคนอื่นทันที เลยสมควรที่ทุกคนจะได้รับเงินที่เท่าเทียมกัน
ผมกลับเข้ามาในคฤหาสน์ เพื่อทำการทดลองของตัวเองต่อ มีสองชิ้นที่อยากทำให้เสร็จวันนี้ ผมเริ่มจากความเร่งด่วนในการใช้งานก่อน นั้นก็คือการปรุงยา
ผมไปขอนํ้าหวานของเอร่าที่เก็บสะสมไว้…ไม่น่าเชื่อ เกือบเต็มขวดเลยล่ะ สรุปยัยเอร่านี้ตกเบ็ดวันล่ะกี่รอบเนี่ย!
สูตรตัวยากับวัตถุดิบผมได้มาครบแล้ว เลยใช้สกิลที่พึ่งได้มา สกิลผลิตยา มันต่างจากการทำด้วยมือมากทีเดียว เพราะสกิลนี้จะคำนวณปริมาณของส่วนผสมให้เองอย่างแม่นยำ และลดขั้นตอนยุ่งยาก อย่างการบดหรือการกลั่นออกไปได้ด้วย คล้ายๆ กับสกิลพ่อบ้านของผมตอนที่ใช้ทำอาหารสรุปขอเพียงแค่มีสกิลผลิตยา ไม่ต้องรู้วิธีทำก็ได้ ขอแค่รู้ส่วนผสมกับชื่อวัตถุดิบก็พอแล้ว
ไม่ถึงนาทียาขวดแรกที่ทำจากนํ้าหวานของเอร่าก็เสร็จออกมา ผมเอายากรอกใส่หลอดเปล่า ซึ่งเก็บมาจากพวกขวดยาฟื้นพลังใช้แล้วนั้นแหละ กับเอา
กระจกที่เก็บได้จากในดันเจี้ยนลาลาพัสไปให้ยูรินทำขวดออกมาให้ ตอนนี้เลยมีขวดเปล่าสำรองไว้เพียบเลย
ผมใช้ตรวจสอบดูก่อนเพื่อความชัวร์
ยาตำรับลับ สูตรพิเศษ I สามารถใช้ฟื้นพลังให้กับเผ่าเทพและภูติได้ 200-300 หน่วย ส่งผลทันที
สำเร็จแล้ว!
ผมรีบนำยากลับลงไปหาเอร่าที่ห้องนั่งเล่นทันที
“เอร่า ยาเสร็จแล้ว มาทดลองเร็ว”
“เอ๋ นี้ฉันต้องดื่มนํ้าของตัวเองจริงๆ เหรอ รู้สึกไม่ค่อยดีเลยอ่ะ”
“หนวกหูน่า เอายื่นมือมา”
เอร่าถึงจะบ่นแต่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผมใช้มีดบาดที่ปลายนิ้วเธอ ให้มีแผลเล็กๆ จากนั้นก็ให้เธอดื่มยาลงไป บาดแผลที่ปลายนิ้วหายวับไปทันทีที่ยาลงคอไป
“ดีกว่ายาฟื้นฟูของมนุษย์ซะอีกแฮะ”
“โรมะ! สุดยอดไปเลย นายนี้มันหมอเทวดาชัดๆ สนใจจะมาเป็นเทพโอสถบนสวรรค์ไหม!”
“อย่าเลย เชื่อเถอะเพื่อนๆ เธอบนสวรรค์ไม่มีใครต้อนรับฉันแน่ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปทำยาเพิ่มให้อีก ส่วนเธอเวลาจะไปไหนก็ให้พกติดตัวไปด้วยอย่างน้อยก็สักขวดนะ”
“รับทราบเจ้าค่ะ!”
เท่านี้ผมก็หมดห่วงเรื่องเอร่าไปได้หน่อยแล้ว ถึงจะทีละก้าว แต่ผมก็ต้องมุ่งหน้าสร้างความมั่นคงให้กับทุกคนต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น