ตอนที่ 78 นํ้าหนักของเกียรติ
จากนั้นผมก็จัดการเรื่องสัญญากันจนเสร็จ และไปยื่นให้กับทางกิลทำการลงทะเบียนให้ แต่ด้วยครั้งนี้เป็นคำร้องแบบพิเศษ เลยไมได้ระบุ Rank เอาไว้ แต่ยังนับเป็นเควสอยู่ถ้าผมผ่านได้ก็จะได้รับการอัพRank ตามปกติ
พวกผมจะเริ่มลงดันเจี้ยนกันในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยง เพราะต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวกันก่อน แต่พอจะแยกย้ายกันไป พวกโบสถ์ใหญ่ก็ยืนถกเถียงกันเรื่องที่พัก เพราะที่เมืองกรอซ่าไม่มีสาขาของโบสถ์ใหญ่ ถ้าจะพักก็ต้องไปพักที่โรงแรม แต่เงินทุนของพวกเธอมันหมดไปกับการตั้งรางวัลของเควสแล้ว
“…จะไปพักที่บ้านของผมก็ได้นะ”
“จริงเหรอ!”
พวกโบสถ์ใหญ่ทำท่าดีใจกันใหญ่ เพราะนึกว่าจะได้นอนกันข้างถนนซะแล้ว
“โรมะพวกฉันไปด้วยนะ”
เนปฟ่ารีบขอตามไปด้วยทันที
“ก็ได้ แต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับ ที่บ้านผมเลี้ยงมอนสเตอร์เอาไว้ด้วย ห้ามลงมือลงไม้เด็ดขาด”
“มะ มีมอนสเตอร์ด้วยเหรอ!”
ทุกคนมีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องกลัวครับ มอนสเตอร์ที่อยู่กับผมเป็นมิตร ตราบเท่าที่พวกคุณไม่ไปลงมือก่อนล่ะนะ”
พอได้ยินแบบนั้นก็พากันหายใจโล่งอก และพากันเดินตามผมไปที่คฤหาสน์
แต่พอมาถึงทางเข้า ทุกคนก็ต้องอ้าปากค้างเพราะความสวยงามและแสงไฟที่สว่าง ผมให้คริสติน่าเอาตะเกียงมาแขวนไว้ตามทางอุโมงค์ทางเดินด้วย แม้แต่พวกเนปฟ่าที่เคยมาแล้วก็ยังพากันตกใจ เพราะครั้งก่อนที่มายังไม่เห็นมีอะไรแบบนี้เลย
เมื่อมาถึงประตูหน้าคฤหาสน์ ดาเซสกับคริสติน่าก็มายืนรออยู่แล้ว
“ทุกอย่างปกติดีหรือเปล่าคะนายท่าน”
ดาเซสถามกับผมขณะมองไปยังกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่ตามผมมา
“อืม ไม่มีอะไรหรอก ตอนนี้ผมรับเควสเก็บเลเวลระยะยาวมา พวกนี้คือผู้ว่าจ้าง แต่ไม่มีที่พักเลยจะให้มาพักอยู่ที่นี้ด้วยคืนหนึ่ง”
“รับทราบค่ะ จะให้ไปปลุกทุกคนไหม”
“ไม่ต้องหรอก ปล่อยให้ทุกคนหลับไปเถอะ ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันตอนเช้า”
พอบอกกับดาเซสเสร็จ พวกเธอก็เปิดประตูบ้านออก และนำทางแขกเข้าไปข้างใน
แต่พอเข้ามาทุกคนก็ยิ่งทำหน้าตกใจยิ่งกว่าเดิม เพราะอากาศในบ้านค่อนข้างเย็นสบาย ข้างนอกถึงจะเป็นกลางคืนแต่มันค่อนข้างจะอบอ้าว ผมเลยให้เครื่องปรับอากาศทำงานตลอดเวลาเลย แถมทุกจุดของบ้านก็จะมีแสงสว่างจากตะเกียง ไม่แปลกที่ทุกคนจะตกใจ
“พวกผู้ชายห้าคนแบ่งกันสองห้องนะครับ ส่วนพวกผู้หญิงอยู่รวมกันห้องเดียวได้นะ แล้วเนปฟ่ากับชีเอ้อยู่ห้องเดียวกันได้หรือเปล่า”
“ได้ไม่มีปัญหา”
เนปฟ่าตอบทันที ผมเลยนำทางทุกคนขึ้นไปบนชั้นสองอย่างเงียบๆ เพราะไม่อยากปลุกให้ทุกคนตื่น
“เอ่อ ลืมบอกไป บ้านนี้มีแต่ผู้หญิงนะครับ หลังจากเข้าห้องไปแล้ว ก็ช่วยอยู่แต่ในห้องด้วย แล้วตอนเช้าผมจะให้คนมาตาม”
“เอ่อ แล้วถ้าจะเข้าห้องนํ้าล่ะ”
นักบวชหญิงคนหนึ่งถามขึ้น เธอดูจะอายุน้อยสุดในกลุ่ม
“นั้นสิ…คริสติน่ารบกวนหน่อยได้ไหม”
“ได้ จะจัดการให้เอง”
“งั้นเวลาจะเข้าห้องนํ้า ให้คริสติน่าพาไปนะครับ เธอจะสอนวิธีใช้ให้”
“ไม่ต้องสอนหรอก แค่ห้องนํ้าพวกเราใช้เป็น”
อัศวินพูดแทรกขึ้นมาทันที
“…”
ผมขี้เกียจบอกด้วยสิ ไว้ปล่อยให้ไปเห็นเองล่ะกัน
พอทุกคนเข้าไปในห้องแล้ว คริสติน่ากับพวกไรโมดอลส่วนหนึ่ง ก็เฝ้าที่ชั้นสองไว้อย่างหนาแน่น ดาเซสเองก็ย้ายขึ้นมานอนที่ห้องว่างที่ชั้นสองด้วยเหมือนกัน เพราะเวลามีอะไรจะได้รับมือได้ทันที แต่ผม
รู้สึกห่วงเจ้าชีเอ้ขึ้นมา เพราะตั้งแต่มันเข้ามาในคฤหาสน์ ค่าความหื่นของมันค้างที่ 100 ตลอดเลย
ผมเลยต้องสะกิดเรียกให้ชีเอ้ตามผมมาก่อน โดยบอกเนปฟ่าไปว่าจะให้ชีเอ้ไปช่วยเตรียมของ ตอนแรกเนปฟ่าจะตามมาด้วย แต่ผมบอกว่าคนเดียวก็พอ และไล่เธอไปนอน
จริงๆ ผมก็ไม่อยากจะยุ่งกับชีเอ้หรอกนะ แต่ขืนปล่อยให้ค่าความหื่นมันเต็มหลอดแบบนี้ เกิดไปเจอผู้หญิงของผมเข้า ไม่มีรู้มันจะหน้ามืดจนทำอะไรลงไปหรือเปล่าเลยต้องทำให้เจ้านี้ปล่อยออกมาก่อน
ผมพาชีเอ้มาที่ห้องของตัวเอง พอปิดประตูลง ผมเดินเข้ามาหาและล้วงมือเข้าไปในกระโปรงทันที อย่างที่คิดไว้ดุ้นของชีเอ้ตั้งเด่อยู่ แต่ด้วยขนาดที่เล็กผม
ต้องใช้นิ้วคีบเอาแทน แต่จับผ่านกางเกงในของผู้หญิงแบบนี้ไม่รู้สึกขยักแขยงอย่างที่คิดแฮะ
“มะ ไม่!”
แต่ชีเอ้รีบสะบัดตัวผมออกทันที
“ไม่อะไรกันล่ะ ฉันรู้นะว่านายมีอารมณ์ มานี้จะช่วยเอาออกให้ ฉันไม่อยากให้มีผู้ชายมายืนดุ้นแข็งในบ้านนี้หรอกนะ”
“จะช่วยจริงเหรอ!”
“ก็เอ่อสิ เร็วๆ เข้า”
“งะ งั้นก็”
ชีเอ้เดินไปเกาะที่ขอบเตียง และถกกระโปรงและเกี่ยวขอบกางเกงใน เปิดออกแค่ให้แค่ก้น แต่ก้นของชีเอ้มันใหญ่เลยปิดรูก้นจนมองไม่เห็น
ผมเลิกคิดไปแล้วว่าชีเอ้เป็นเพศอะไร รู้แค่ว่าโคตรน่าเอาเลย ผมเข้าไปแหวกก้นของชีเอ้ออก และก็ได้เห็นรูตูดซึ่งเป็นสีชมพูและมีผิวสัมผัสที่นิ่มเหมือนแก้มเด็กเลย
ดุ้นของผมสอดเข้าไปตรงล่องก้น และสอยเบาๆ สัมผัสสุดยอดไปเลย แต่พอจะถอดเสื้อผ้าออกชีเอ้กลับไม่ยอมให้ถอดชุดชั้นใน แน่นอนว่าไม่ยอมให้จับดุ้นด้วย
“ทำไมล่ะ?”
“บะ แบบนี้ฉันดูเหมือนผู้หญิงกว่า อยากให้มองฉันเป็นผู้หญิง”
แบบนี้เอง ผมเริ่มเข้าใจชีเอ้ขึ้นมาแล้ว ยัยนี้เป็นสาวดุ้นไปถึงจิตวิญญาณเลย ดุ้นที่หลบอยู่ในกางเกงในสีขาวที่มีระบายลูกไม้อยู่ตรงขอบ สั่นกระตุกไม่
หยุด และมีนํ้าไหลซึมออกมาแล้ว ผมเลยจับขาชีเอ้กางออกและยกก้นเธอขึ้นมา ผมโน้มตัวไปข้างหน้าพร้อมกับสอดดุ้นจ่อไปที่รูตูดเธอ
รูตูดของชีเอ้เล็กมาก ผมเลยต้องใช้วิธีสอดทะลวง ด้วยการปรับให้เล็กก่อน แล้วค่อยเข้าไปขยายด้านใน แต่ผมต้องค่อยๆ ทำ เพราะชีเอ้เหมือนพร้อมจะเสร็จได้ทุกเวลา และถ้าเสร็จไปรอบหนึ่งแล้วก็จบข่าว อย่างไงชีเอ้ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่สามารถเสร็จได้หลายครั้ง
จะว่าไปดุ้นที่ดันกางเกงในออกมาจนตุงมันดูอีโรติกดีเป็นบ้า แถมเสียงร้องของชีเอ้ก็เหมือนผู้หญิงเลย ทั้งโครงกระดูกและลักษณะของกล้ามเนื้อก็ไม่เหมือนผู้ชาย แขนขาเรียวเล็กมาก กล้ามเนื้อเป็นแบบซ่อนรูปคือเหมือนไม่มีกล้ามแต่มัดกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง
แข็งแรง และมีความยืดหยุ่นสูงทีเดียว แถมเป็นคนไม่มีขนด้วย แม้แต่ตรงนั้นก็ยังไม่มีขนขึ้นสักเส้น
“โรมะ ฉันไม่ไหวแล้ว! ให้ฉันเสร็จทีเถอะ!”
ชีเอ้ทำหน้าเหมือนจะขาดใจตายแล้ว ผมเลยส่งไปสวรรค์ให้ตามที่ต้องการ ชีเอ้กรีดร้องพร้อมกับพ่นนํ้าเชื้อออกมา ถึงจะมีไม่เยอะแต่ฉีดแรงมากจนพุ่งผ่านกางเกงในออกมาเปรอะตัวผม พอดึงดุ้นออกมาแล้วผมก็ใช้คลีนนิ่งทำความสะอาดไปพร้อมกันเลย
ชีเอ้รู้ว่าผมยังไม่เสร็จ เลยคลานมาแบบหมดแรง และใช้ปากทำให้ต่อ โดยเลียนแบบตอนที่ผมจับหัวเธอกระแทกใส่ เลยทำให้แบบแรงๆ แต่ผมเห็นว่าเธอหมดแรงแล้ว เลยให้ค่อยๆ ดูดไป พอผมเสร็จชีเอ้ก็กินไปจนหมดไม่มีเหลือ แล้วหลับไปทั้งๆ ที่มีดุ้นผมคาอยู่ในปาก
ผมใส่เสื้อผ้าให้กับชีเอ้ และอุ้มกลับไปห้อง แค่เพราะมีเนปฟ่าอยู่ด้วย เลยต้องเคาะก่อนและอ้างไปว่าชีเอ้ช่วยงานผมจนหลับไป ซึ่งเธอก็ไม่ได้สงสัยอะไร
พอเสร็จเรื่องแล้วผมก็กลับลงมาที่ห้องครัว เพื่อจัดเตรียมเสบียงไว้สำหรับการทำเควสครั้งนี้ และยังทำอาหารสำรองไว้กรณีที่ไม่มีเวลาทำอาหารด้วย ระหว่างนั้นก็มีไรโมดอลมาคอยรายงานเป็นระยะ ว่ามีใครลุกออกมาจากห้องบ้าง นอกจากพวกที่ไปยืนตะลึงในห้องนํ้าแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก
ผมกลับเข้าเมืองไปซื้อของอีกนิดหน่อย กว่าจะเตรียมอะไรเสร็จก็เกือบสว่างพอดี ผมเลยทำมื้อเช้าเตรียมไว้ด้วยเลย เดเม่กับโมอาตื่นเร็วเหมือนเดิมแต่วันนี้ไม่มีอะไรให้พวกเธอทำแล้ว ผมเลยให้ไปปลุกทุกคนแทน
มิรินเองก็กลับมาพอดี แถมมาถึงก็รีบถามเรื่องเค้กใหญ่ ทั้งเธอและมุเอมะก็ชอบเค้กมาก
พอทุกคนลงมาแล้ว ผมก็บอกเรื่องแขกที่พามาพักด้วยเมื่อคืน แต่ส่วนใหญ่กลับรู้กันอยู่แล้ว อยู่กันแต่ในห้องแล้วรู้ได้ไงเนี่ย? แต่ผมเลยเข้าเรื่องได้เร็วขึ้น อธิบายถึงเควสที่รับมาเมื่อคืน โดยมีพวกจากโบสถ์ใหญ่เป็นผู้ว่าจ้าง แน่นอนเรโมริก้าทำหน้าเหม็นเบื่อขึ้นมาทันที แต่ผมบอกว่าให้เธอช่วยอดทนไปก่อน ทว่าถ้าอีกฝ่ายลงมือทำอะไร ผมก็ไม่ห้ามถ้าเกิดจะมีอีเว้นเลือดสาดเต็มบ้าน
ส่วนเรื่องรายละเอียดของเควสผมไว้คุยกันต่อหลังมื้อเช้า แต่ตอนนี้ผมให้คริสติน่าขึ้นไปตามแขกลงมากินมื้อเช้าก่อน
แต่พอทุกคนลงมาเห็นพวกฟรานที่เป็นทาสนั่งร่วมโต๊ะอยู่ ก็พากันโวยวายขึ้นมาทันที
“จะให้พวกเรานั่งร่วมโต๊ะกับทาสเนี่ยนะ! อย่ามาตลกนะโว้ย!”
“นายท่านคะ ให้พวกเราทานทีหลังก็ได้ค่ะ”
เดเม่พยายามรักษาหน้าให้ผม แต่ไม่จำเป็นสักนิด ผมเลยยกมือห้ามทุกคนไว้ และมองไปทางแขก
“ก็ว่าแล้วต้องงี่เง่ากัน ช่วยตามผมมาด้วย”
ผมพาพวกแขกที่ไม่อยากร่วมโต๊ะไปหลังบ้าน ที่ผมนำโต๊ะและเก้าอี้มาเรียงไว้ก่อนแล้ว และนำ
อาหารที่ไปซื้อมาจากในเมืองวางไว้บนโต๊ะและให้จัดการกันเอง
“เดี๋ยวสิ จะให้พวกเรานั่งกินกันนอกบ้านเหรอ พวกเราเป็นแขกนะ!”
“แขกแล้วไง นี้บ้านผมนะ ไม่พอใจก็เรื่องของคุณสิ แล้วผมก็รักษามารยาทอย่างถึงที่สุดแล้ว ถึงได้ชวนให้ร่วมโต๊ะด้วย แต่ในเมื่อคุณไม่อยากร่วมโต๊ะก็ต้องออกมากินข้างนอก”
“แล้วทำไมไม่ให้ทาสของนายออกมากินข้างนอกแทนเล่า!”
“หา!? ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ ช่วยสำนึกด้วยนะว่าพวกคุณเป็น ‘แค่’ แขก ถ้าไม่พอใจก็เชิญไปหาอะไรกินกันเอาเองในเมือง ผมบอกแล้ว ถ้าผม
รับเควสพวกคุณต้องทำตามกฎของผม จะเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ”
พอเจอผมพูดแบบนี้ ก็ไม่มีใครกล้าขึ้นเสียงอีก และยอมเดินไปนั่งที่โต๊ะบนสนามหญ้าแต่โดยดี
ส่วนชีเอ้ดึงแขนเสื้อผมเบาๆ และกระซิบบอก
“ฉันไม่มีปัญหา ขอร่วมโต๊ะด้วยนะ”
“เชิญเลย ไปเลือกที่นั่งเองนะ เดี๋ยวพวกไรโมดอลจะจัดจานให้เอง”
แล้วชีเอ้ก็เดินกลับเข้าไปอย่างยิ้มแย้ม
“ฉะ ฉัน”
แต่เนปฟ่ากลับกำลังลังเล เธอมองตามชีเอ้ไปก่อนจะหันไปมองพวกจากโบสถ์ใหญ่ เธอเองก็คงรับ
เรื่องร่วมโต๊ะกับทาสไม่ได้ ทว่าสุดท้ายเธอเลือกชีเอ้ เลยขอมาร่วมโต๊ะด้วยท่าทางไม่เต็มใจเท่าไร
พอทุกคนนั่งลงแล้ว พวกไรโมดอลก็เริ่มยกอาหารออกมา ซึ่งมื้อนี้ผมทำเป็นข้าวผัดใส่ไส้กรอกหั่น และมีไข่ดาวโปะหน้า ราดด้วยซอสมะเขือเทศนิดหน่อย มีสลัดผักและซุปด้วย
ฟรานดูจะคุ้นเคยกับอาหารแบบนี้ที่สุด เลยยิ้มหวานออกมาก่อนใครเลย แต่ที่งงคือพวกเนปฟ่ากับชีเอ้ ที่ไม่เคยเห็นข้าวแบบที่พวกผมกินกัน
“นี้มันอร่อยกว่าข้าวที่กินกันเมื่อวานพร้อมกับเนื้อย่างอีกนะ”
เรโมริก้าดูจะชอบมาก ถึงกับยกมือขึ้นมาปิดปากไว้
“เมื่อวานเป็นข้าวเปล่าๆ น่ะครับ แต่วันนี้เป็นข้าวผัด ที่เป็นข้าวที่ปรุงรสเสร็จในตัวเองแล้ว”
“ผะ ผักกรอบจัง! และที่ราดอยู่ก็อร่อยด้วย!”
พวกโรสลินที่ปกติชอบกินแต่เนื้อ พอได้ลองชิมสลัดเข้าไปดู ก็พากันติดใจกันใหญ่
“ซุปวันนี้รสชาติไม่เหมือนเดิมนี้?”
อาเดไลท์ที่ชิมซุปแล้วก็หันมาถามผม
“ซุปรสอ่อนน่ะครับ เป็นซุปที่ไว้กินเพื่อให้เข้ากับข้าวผัด”
“ขอเติม!”
เอร่าซัดหมดทั้งข้าวผัดทั้งสลัดทั้งซุป จะกินเร็วไปไหนยัยนี้ แต่พวกไรโมดอลรู้ทางหมดแล้ว เลยเตรียมสำหรับเอร่าไว้อีกชุดพร้อมเสริฟได้ในทันที
ผมรู้สึกวางใจ เพราะทุกคนดูปกติดี ไม่มีใครใส่ใจกับท่าทางของพวกโบสถ์ใหญ่เลย ผมเลยหันไปทางเนปฟ่ากับชีเอ้บ้าง
ทั้งคู่นั่งเหงื่อแตกอยู่ ทำไมล่ะเนี่ย?
“อาหารไม่อร่อยเหรอ?”
ผมถามออกไป พอทั้งคู่รู้สึกตัวก็รีบส่ายหน้าทันที
ชีเอ้ไม่ได้พูดอะไร และเริ่มกินต่อ สีหน้าเธอตกใจทุกครั้งที่ตักข้าวผัดเข้าปาก โดยเฉพาะตอนที่กินสลัดผัก ถึงกับแกว่งมือไปมาเพราะทนความอร่อยไม่ไหว
“นะ นี้นายใช้อาหารแบบนี่เลี้ยงทาสเนี่ยนะ!”
เนปฟ่าร้องถาม เธอดูแตกตื่นเอามากๆ
“ทำไมล่ะ”
“มันดีเกินไปน่ะสิ! นี้นายต้องใช้วัตถุดิบชั้นดีราคาแพงแน่ๆ เลยใช่ไหม”
“ดีเกินไป? ตรงไหนที่มันเกินไป”
“ก็…พวกทาสให้กินแค่เศษอาหารก็พอไม่ใช่เหรอ”
“งั้นเธอลองกินไหม เศษอาหารน่ะ”
“ทะ ทำไมฉันต้องกินเศษอาหารด้วย!”
“ก็ทาสยังกินได้ เธอก็ต้องกินได้สิ”
“ไม่ใช่แบบนั้น คนเป็นเจ้านายต้องได้กินของที่ดีกว่าสิ”
“เหรอ แล้วอาหารที่ดีที่เธอว่าน่ะ หมายถึงอาหารไร้รสชาติแบบที่พวกโบสถ์ใหญ่กำลังกินกันข้างนอกน่ะเหรอ เนปฟ่าถ้าเธอคิดจะอยู่กับปาร์ตี้ของผม เธอควรทิ้งสามัญสำนึกไปซะ เพราะคนที่จะช่วยให้เธอรอดตายได้ ก็คือทาสที่เธอกำลังดูถูกอยู่ และคนที่จะช่วยเธอหาเงินให้ก็คือทาสที่ว่าไปเหมือนกัน เธอน่ะควรจะสำนึกบุญคุณพวกฟราน แล้วก็ช่วยเบิกตาดูดีๆ มารยาทบนโต๊ะอาหารของพวกทาสที่เธอดูถูกน่ะ มีอะไรที่แตกต่างกับเธอเหรอ”
ผมไม่ได้สอนทุกครั้งหรอก แต่ผมสอนฟรานกับเดเม่ จากนั้นทั้งคู่ก็สอนต่อให้ดาเซสกับยูริน แล้วก็สอนต่อๆ กันไป ใครทำผิดก็จะคอยเตือนกันเอง และทุก
คนได้ตระหนักได้ด้วยตัวเอง ว่าการที่ผมให้ศักดิ์ศรีพวกเธอเท่ากับคนทั่วไป นั้นหมายถึงพวกเธอต้องแบกรับความหวังดีของผมเอาไว้ด้วย ทุกคนเลยพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อทำตัวให้สมกับสิ่งที่ได้รับไป อย่างไงก็จะไม่ยอมให้ผมเสียหน้าในจุดนี้ได้เป็นอันขาด
และนั้นคือสิ่งที่ทำให้ทุกคนยืดอกและนั่งอยู่บนโต๊ะนี้ได้ โดยไม่ละอายแม้จะถูกดูแคลนว่าเป็นทาส
เนปฟ่าเริ่มรู้ตัว และมองดูรอบตัว สิ่งที่เห็นคือกลุ่มหญิงสาวหน้าตาอิ่มเอิบดูมีความสุข เสื้อผ้าทั้งดูดีและสะอาด ทุกคนดูมีการวางตัวที่ดี ถ้าเทียบกับตัวเองแล้ว…ไม่แปลกที่เนปฟ่าจะรู้สึกละอายขึ้นมา
“…ทุกท่านคะ…ขอโทษด้วยค่ะ”
เนปฟ่าลุกขึ้นและโค้งหัวลงกล่าวขอโทษทุกคน ที่เธอกล่าววาจาดูถูกไป ชีเอ้ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็ทำตามเนปฟ่าไปด้วย
ฟรานมองมาที่ผม ถึงไม่ต้องบอกผมก็เข้าใจว่าเธอต้องการอะไร เลยพยักหน้าให้ ฟรานเลยลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นตัวแทนของทาสในที่นี้
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ พวกเราเป็นทาสนั่นคือความจริง ถ้ามีอะไรทำให้รำคาญใจ ฉันขอเป็นตัวแทนของทุกคนกล่าวขอโทษด้วยค่ะ”
ยิ่งฟรานแสดงมารยาทตอบรับไปแบบนี้ ยิ่งทำให้เนปฟ่าเข้าใจ จะเป็นคนทั่วไปหรือจะเป็นทาส สำหรับที่นี้ไม่สำคัญ ถ้าแสดงตัวดูถูกคนอื่นเช่นพวกโบสถ์ใหญ่ ผมก็จะให้ค่าและปฏิบัติดั่งเช่นพวกชั้นตํ่า แต่
ถ้ารู้จักการให้เกียรติคนอื่น ผมก็พร้อมจะให้เกียรติที่เท่าเทียมกันกลับไป
พอเลิกมองแบบอคติ เนปฟ่าก็เริ่มเข้าถึงบรรยากาศที่แสนอบอุ่นบนโต๊ะอาหาร แถมรสชาติของอาหารก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่ว่าอร่อยแล้ว แต่เมื่อได้กินท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ อาหารก็ยิ่งอร่อยขึ้นกว่าเดิม
ตอนที่ 79 ติดอาวุธ
หลังจากจบมื้อเช้าแล้ว ผมก็เรียกประชุมที่ห้องนั่งเล่น โดยให้คริสติน่าไปตามพวกโบสถ์ใหญ่มาฟังด้วย พอมาถึงพวกนั้นก็ยืนจับกลุ่มกันอยู่ด้านนอก ไม่เข้ามานั่งร่วมกับทุกคน ผมเกือบเอ่ยปากไล่กลับออกไปแล้ว แต่อาเดไลท์จับมือผมไว้และส่ายหน้าห้ามปราม ผมเลยปล่อยไปและเริ่มอธิบายถึงภารกิจครั้งนี้
พอทุกคนได้ฟังแทนที่จะทำสีหน้าวิตกกังวล แต่กลับพากันทำหน้าตื่นเต้นดีใจซะแทน
“ทีนี้ ใครที่อยากจะไปบ้างยกมือขึ้น”
“ช้าก่อน! นายเป็นเจ้านายพวกนี้ไม่ใช่เหรอ แค่ออกคำสั่งพาไปให้หมดเลยสิ!”
อัศวินคนหนึ่งทักออกมา
“ไม่ ที่นี้จะไม่มีการบีบบังคับอะไรทั้งสิ้น”
พอได้ยินที่ผมบอกไป อัศวินก็ทำหน้าหงุดหงิดขึ้นมา เป็นเจ้านี้ที่โวยวายมาตลอด ซึ่งเป็นเจ้าคนที่ผมหมายหัวอยู่เพราะค่าความหื่นมันเพิ่มจาก 98 เป็น 100 ตั้งแต่เจอสาวๆ ของผมแล้ว ส่วนอัศวินอีกสองคนค่อนข้างเงียบ ไม่ออกความเห็นหรือค้านอะไร
“เอาล่ะ กลับมาต่อเรื่องของพวกเราดีกว่า ว่าไงมีใครอยากไปปิกนิกในดันเจี้ยนไหม”
“ไปๆๆ ไปค่ะ!”
แทบทุกคนยกมือขึ้นพร้อมกัน แต่อาเดไลท์เป็นกังวลเลยหันมาถามผม
“จะเอาคนที่ไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้อย่างฉันไปด้วยจะดีเหรอ”
“ถ้าไปเป็นคณะใหญ่ จะช่วยดูแลกันได้ เพราะงั้นไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะให้เก็บเลเวลไปด้วยกัน อย่างน้อยก็อยากจะให้มีพลังในระดับที่ปกป้องตัวเองได้”
“งะ งั้นข้าไปด้วยได้ใช่ไหม”
เอสเตอร์ที่ตอนแรกไม่ได้ยกมือขึ้นมา พอได้ยินที่ผมบอกก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาแบบกล้าๆ กลัวๆ
“ได้สิ แต่ว่าเธอไม่กลัวมอนสเตอร์เหรอ ไม่ต้องฝืนก็ได้นะ”
“กลัว ตะ แต่ว่า…ข้าอยากทำประโยชน์ให้กับนายท่าน อย่างน้อยถ้ารู้สึกถึงอันตรายจะได้เตือนนายท่านได้ทันเวลา”
“ขอบใจนะเอสเตอร์ แล้วไม่ต้องกลัวนะ พวกเราจะช่วยปกป้องเธอเอง”
สรุปแล้วก็ยกกันไปเกือบทั้งบ้าน ที่เหลืออาสาเฝ้าบ้านให้ก็มีคริสติน่ากับพวกไรโมดอล แล้วก็โมอาที่ต้องอยู่ดูแลสวนดอกไม้ ส่วนเมยอาไม่ชอบการต่อสู้ เลยขออยู่เฝ้าบ้านด้วยอีกคน
ถึงจะมีพวกคริสติน่าช่วยเฝ้าบ้านให้ แต่ผมยังไม่วางใจซะทีเดียว เลยแอบติดต่อไปหามุเอมะ ให้ส่งคนมาแอบเฝ้ารอบๆ คฤหาสน์ไว้ด้วย ซึ่งเธอบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง แถมเธอรู้เรื่องที่ผมจะไปลงดันเจี้ยนเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์แล้ว เลยอวยพรให้โชคดีด้วย
ส่วนเรื่องอาหารการกิน ผมทำเตรียมไว้ให้ครบทั้งสามมื้อรวมกับของว่างด้วยให้กับพวกโมอา แต่นั่งกินกันสองคนเลยอาจจะเหงาหน่อย
แต่มีอีกคนหนึ่งที่มีปัญหาคือ มอเรีย เพราะเธอมีงานประจำทำอยู่แล้ว แถมยังรีไทร์ตัวเองไปเพราะอาการบาดเจ็บ ถึงผมจะรักษาเธอจนหายดีแล้ว แต่ว่าแผลในใจมันรักษาไม่ได้นี้สิ
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะท่านโรมะ ฉันลาพักงานที่กิลได้ จริงๆ ก็คิดไว้เหมือนกัน ว่าอาจจะลาออกและ
กลับมาเป็นนักผจญภัยตามเดิม จะได้ลงดันเจี้ยนกับท่านโรมะได้ด้วย”
“ไหวแน่นะมอเรีย ไม่อยากให้คุณฝืนทำอะไรเพื่อผมเลย”
“สบายมากค่ะ มีท่านโรมะอยู่ด้วย ฉันไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย เหมือนกับว่าไม่ว่าอะไรก็ทำได้”
“ใช่ๆ ข้าเองก็รู้สึกแบบนั้น”
เอสเตอร์รีบพยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นก็ตามนี้ เดี๋ยวแยกย้ายกันไปเตรียมตัวนะ ส่วนเรื่องเสบียงผมเตรียมไว้พร้อมแล้ว ยูรินกับดอเรียฝากดูเรื่องอาวุธกับเครื่องป้องกันให้ทุกคนด้วยนะ”
“รับทราบ!”
ทั้งคู่ขานรับพร้อมกัน และทั้งหมดก็เริ่มโยกย้ายออกจากห้องนั่งเล่นไป พอห้องว่างแล้ว พวกโบสถ์ใหญ่ถึงเข้ามานั่งแทน
“เห็นทำท่ารักใคร่พวกทาสน่าดู ที่แท้ก็หลอกใช้ไปตายแทนสินะ โหดจริงๆ เลยนะนายเนี่ย”
เจ้าอัศวินคนเดิมเข้ามาจิกกัดผม เนปฟ่าทำท่าจะลุกขึ้นมาต่อว่า แต่ผมห้ามไว้
“ขอถามเรื่องสกิลที่พวกคุณมีหน่อยได้ไหม จะได้วางแผนเก็บเลเวลถูก”
ผมไม่สนใจที่มันพูด กับคนพรรณนี้ พูดด้วยก็มีแต่จะเป็นการลดค่าตัวเองและพอผมไม่สนใจ มันก็เป็นฝ่ายเริ่มหงุดหงิดซะเอง เนี่ยล่ะวิธีตอบโต้พวกปากสุนัข ไม่ต้องให้ไปค่ากับคำพูดเลยดีที่สุด
จริงๆ ผมใช้สกิลตรวจสอบดูสกิลของทุกคนได้ แต่ไม่อยากจะทำให้รู้สึกไม่ดี เลยถามจากปากเอาแทน
จากการสอบถาม พวกนักบวชทั้งห้าคน ไม่มีความสามารถด้านต่อสู้ประชิดตัวเลย อาวุธต่างเป็นคทาสั้นที่มีคุณสมบัติเพิ่มพลังด้านการรักษา
ส่วนสกิลที่มีก็มีแค่เวทรักษาขั้น 1 แบบชีเอ้ เห็นว่าต้องเปลี่ยนอาชีพตอนเลเวล 30 ก่อนถึงจะได้เวทรักษาขั้น 2 มา ส่วนขั้น 3 จะต้องรอตอนเลเวล 50 เลย
แต่นอกจากเวทรักษาแล้ว ก็ยังมีเวทสลายพิษ เวทฟื้นฟูอาการอัมพาต เวทเพิ่มธาตุศักดิ์สิทธิ์ลงในอาวุธหรือชุดเกราะ และเวทชำระล้างดวงวิญญาณ ซึ่งเป็นเวทที่ใช้สังหารพวกอันเดดได้ผลมากที่สุด
ทว่าผมยังถามเจาะลึกไปถึงการใช้งาน รวมถึงจำนวนการใช้ จนพวกนักบวชออกอาการหงุดหงิด ว่าจะรู้เยอะไปทำไม แต่นี้เป็นข้อมูลสำคัญเชี่ยวนะ การรู้ว่าสมาชิกในปาร์ตี้ทำอะไรได้บ้าง ควรเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรรู้ไว้นะ
ส่วนพวกอัศวิน เจ้าคนหื่นสุด กลับเป็นคนที่เก่งสุดซะได้ ถึงจะเลเวลเท่าๆ กัน แต่มันมีสกิลหลายอย่าง ทั้งความชำนาญดาบ ความชำนาญโล่ Str Grow up และสกิลโจมตีอีกสองสามอย่าง เป็นพวกอัศวินประเภทสายรุกที่มีพลังป้องกันตัวเองสูง
อัศวินอีกสองคนค่อนข้างธรรมดา เป็นสายชนแบบเต็มตัว สกิลเน้นไปที่เพิ่มพลังป้องกันและดึงดูดศัตรู แต่ผมว่าสกิล Provoke เป็นสกิลที่มีประโยชน์
มากเลยล่ะ เพราะผลของมันจะช่วยกระตุ้นให้อีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่ตัวเอง ซํ้ายังลดการระวังตัวของเป้าหมายลงด้วย
ส่วนของทางผม ยูรินกับดอเรียก็ทำการติดอาวุธให้ทุกคนแล้ว โดยอาวุธส่วนใหญ่เป็นของมีชื่อที่ดอเรียสะสมมา ส่วนของยูรินจะเป็นอาวุธที่ซ่อมเอาจากของหลุดประมูลที่ผมกว้านซื้อมา แต่ว่าหนึ่งในนั้นคือหอกระดับ Epic ที่เคลือบด้วยหินทะเลลึก ชื่อของหอกคือ หอกกัมปนาท
เหตุที่มันเป็นอาวุธระดับ Epic เพราะมีสกิลเวทระดับ 3 อยู่ นั้นคือ เวทระเบิดกัมปนาท เป็นเวทที่สร้างระเบิดคลื่นเสียงแบบวงกว้างออกมา แต่อาวุธชิ้นนี้มีจุดอ่อนสำคัญอยู่ เพราะเวทระเบิดกัมปนาทจะส่งผลเสียกับตัวอาวุธด้วย เวลาใช้ออกมา จะสร้างรอยความเสียหายกับตัวอาวุธโดยตรง พอใช้ไปสามหรือสี่ครั้งหอก
ก็จะพังแล้ว ชื่อเสียงของมันเลยไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก เพราะจำนวนการใช้งานที่น้อย
แต่ยูรินทำการแก้ไขจุดอ่อนนั้นแล้ว ด้วยการผสมมิธริลลงไปตอนซ่อมส่วนที่พัง คุณสมบัติของแร่มิธริลคือ เบา ทดทาน และดูดซับพลังเวทได้ จากนั้นก็แก้ไขจุดอ่อนของมิธริลที่มีปัญหาตอนจะตีคม ซึ่งทำได้ยาก ด้วยการเคลือบคมด้วยหินทะเลลึกแทน ทำให้หอกัมปนาทไม่มีจุดอ่อนแล้ว ซํ้ายังมีคุณภาพมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ส่วนคนที่ใช้หอกเป็นมีแค่ซาคุยะกับดอเรีย แต่ดอเรียชอบใช้คาตานะมากกว่า เลยเป็นซาคุยะที่ถือหอกกัมปนาท ซึ่งซาคุยะบอกว่านี้เป็นอาวุธดีสุดที่เธอเคยใช้มาเลย
คนที่ผมประหลาดใจที่สุดก็คือเอร่า เพราะหลังจากกลับสวรรค์ไปคราวก่อน และได้รับพลังเทพคืนมาแล้ว สกิลของเธอก็ได้รับการปลดล็อคออก ซึ่งมันเยอะจนผมลายตาเลย ก็สมกับเป็นสิบเทพสูงสุดล่ะนะ แต่อย่างไงเธอก็มีเลเวลแค่หนึ่ง ค่าพลังถึงจะสูงกว่าเผ่าอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร บวกกับสกิลส่วนใหญ่เป็นสายสนับสนุนผมเลยให้เธอไปอยู่กลุ่มแถวหลัง และให้เดเม่สอนการใช้ธนูไป
ส่วนธนูผมให้สลับกัน โดยเอาธนูเงือกของเดเม่มาให้เอร่าใช้ ส่วนของเดเม่เปลี่ยนไปใช้ของที่ดีกว่า ซึ่งเป็นของสะสมของดอเรีย มันเป็นธนูระดับ Super rare มีชื่อว่า ธนูดาวตก
ธนูดาวตกเป็นธนูขนาดใหญ่ มีนํ้าหนักมาก แต่ข้อดีของมันคือสามารถใช้ยิงศรขนาดใหญ่ได้ ผมดูลูก
ธนูที่ใช้แล้ว มันมีขนาดพอๆ กับบาลิสต้า ผมลองให้เดเม่ยกดู เธอดันบอกว่านํ้าหนักกำลังพอดีซะอีก ส่วนที่ทำให้มันได้ชื่อว่าธนูดาวตก เพราะมันมีสกิลที่เรียกว่า ทำลายแนวดิ่ง
ผลของสกิลก็คือ ยิ่งยิงลูกศรขึ้นไปสูงแค่ไหน เวลามันดิ่งลงมากระทบเป้าหมาย พลังทำลายจะยิ่งสูงขึ้นตาม สรุปเป็นธนูที่เน้นการยิงวิธีโค้งระยะไกล มากกว่าการยิงใส่แบบตรงๆ แต่ถึงไม่ต้องพึ่งสกิลนี้ ด้วยพลังทำลายของลูกศรยักษ์ ต่อให้เป็นพวกใส่เกราะก็มีกระจุยกันล่ะงานนี้
จะว่าไปตอนนี้เดเม่เป็นคนเดียวเลยนะที่สามารถโจมตีได้ทุกระยะ ตั้งแต่ใกล้ กลาง ไกลและโคตรไกล ถึงจะมีสกิลแค่สองอย่างคือ Battle maid กับ
Bow mastery แต่เธอเป็นกำลังรบสำคัญของปาร์ตี้ผมไปแล้ว
ส่วนเรโมริก้าถึงจะไปด้วย แต่เธอจะขอซ่อนตัวอยู่ในเงาของฟรานด้วยสกิลของเธอ เพราะไม่อยากร่วมทางกับพวกโบสถ์ใหญ่ และจะได้ปกป้องฟรานได้ทันทีกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้น พอผมอนุญาตเธอเลยหายตัวไปทันทีเลย
ผมใช้ตรวจสอบกับทุกคน เพื่อสรุปข้อมูลพื้นฐานของปาร์ตี้ แน่นอนว่าขออนุญาตแล้วนะ
ดอเรีย Lv 60/100 อาชีพ ซามูไร มอเรีย Lv 48/70 อาชีพ นักฆ่า (Killer) ซาคุยะ Lv 42/No limit อาชีพ ขุนศึก (Warlord) มิริน Lv 40/70 อาชีพ จอมเวท
ดาเซส Lv 37/50 อาชีพ อัศวิน จามิร่า Lv 33/50 อาชีพ เทพพิทักษ์ขุนเขา (Guardian Mountain) ฟราน Lv 19/30 อาชีพ Royal vampire เดเม่ Lv 18/50 อาชีพ Maid ยูริน Lv 16/120 อาชีพ Blacksmith ตัวผม Lv 15/No limit อาชีพ นักล่าสมบัติ กิน Lv 5/200 อาชีพ ไม่ระบุ เอสเตอร์ Lv 3/50 อาชีพ ไม่ระบุ เอร่า Lv 1/900 อาชีพ ไม่ระบุ โรสลิน Lv 1/30 อาชีพ นักประพันธ์ท่วงทำนอง อาเดไลท์ Lv1/30 อาชีพ ไม่ระบุ
ผมค่อยข้างตกใจกับเลเวลและอาชีพของมอเรียพอสมควร เพราะเลเวลเธอสูงมาก เป็นรองแค่เรโมริก้า
กับดอเรียเท่านั้น ซํ้ายังเป็นอาชีพนักฆ่า ซึ่งไม่เข้ากับบุคลิกอ่อนโยนของเธอเลย แต่ตอนนี้มอเรียกลับไปใส่ชุดที่ใช้สู้ของเธอ ที่ยังเก็บเอาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ซึ่งดูเหมือนชุดนินจาไม่มีผิด ทั้งชุดเป็นสีดำและปิดหน้าจนเหลือแค่ส่วนดวงตา
แต่อาวุธของมอเรียพังไปตอนที่เกิดเรื่องแล้ว ผมเลยมอบมีดสั้นมังกรสมุทรให้กับเธอไป เพราะน่าจะใช้ได้ดีกว่าผม แถมผมเองก็ใช้ดาบศิลาเย็นเป็นหลักอยู่แล้ว และเพิ่มโล่มัจฉาเวอร์ชั่นดัดแปลงที่ยูรินทำให้ด้วย
ส่วนอาวุธและเครื่องป้องกันของคนอื่นๆ ก็มีดังนี้
ดอเรียพกดาบสามเล่ม เป็นคาตานะสองเล่มและวากิซาชิ(ดาบสั้น)อีกหนึ่งเล่ม ส่วนเกราะของดอเรียผสมระหว่างเกราะม้าศึกกับเกราะเหล็กกะบังหน้าแบบซามูไร และเป็นอีกคนที่ใส่หมวกเหล็กแบบที่มีหน้ากากดึงปิดลง
มาได้ เหมือนของยูริน รวมๆ นํ้าหนักที่ต้องแบกสูงกว่าชาวบ้านเขาเยอะเลย แต่สำหรับเซนทอร์อย่างเธอแล้ว แค่นี้สบายมาก
ซาคุยะเองนอกจากหอกแล้วก็ใส่เกราะเหล็กคล้ายๆ แบบของดอเรีย แต่นํ้าหนักเบากว่า แน่นอนว่าเป็นของสะสมของดอเรียเช่นกัน คุณภาพเลยหายห่วง
มิรินไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย อาวุธยังเป็นไม้เท้าและชุดกระโปรงยาวรัดรูป ที่เหมือนเป็นเครื่องแบบของจอมเวท แต่ที่เพิ่มขึ้นมาก็คือผ้าคลุม ที่ผมคิดขึ้นเองโดยให้พวกไรโมดอลช่วยทำให้
โดยใช้ผ้าคลุมวารีที่ดรอปได้จากในดันเจี้ยนนํ้าตก และเอาหนังปลาสายรุ้งเย็บติดไปด้านใน พอทำเสร็จชื่อของไอเท็มก็เปลี่ยนไปเป็น ??? ผมเลยตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ผ้าคลุมรุ้งวารี
ซึ่งมันถูกยกระดับเป็นไอเท็มระดับ Super rare ไปแล้ว เพราะมีสกิลเพิ่มขึ้นมาคือ Absorb Magic เวลาที่ถูกโจมตีด้วยเวทมนต์ มันจะลดถอนความเสียหายให้เหลือเพียง 1/3 พร้อมกับดูดมาน่าที่ใช้ไปกับเวทนั้น มาฟื้นมาน่าให้ส่วนหนึ่งด้วย
ดาเซสนี้สิ ยกเครื่องใหม่หมดเลย ดาบของเธอถูกเปลี่ยนเป็นดาบศิลาแกร่ง ซึ่งมีส่วนผสมของหินทะเลลึก 60% เป็นดาบที่เน้นความทนทานและสมดุล ถึงจะไม่มีสกิลเลย แต่เป็นอาวุธระดับ Rare ทีเดียวพลังโจมตีคงไม่ธรรมดา ส่วนเกราะที่เป็นของประจำตระกูล ถึงจะมีรูปร่างเหมือนเดิม แต่ยูรินช่วยเสริมความแข็งแกร่งเข้าไปด้วย
จามิร่าเลือกอาวุธที่ตัวเองถนัด ก็คือค้อนด้ามยาว โดยที่ยูรินมีเตรียมไว้แล้ว จริงๆ เธอกะจะทำง้าวสำรอง
ให้ฟราน เลยแค่เปลี่ยนส่วนหัวติดค้อนหัวแบนไปแทน นํ้าหนักของมันนี้ราวๆ สามสิบกิโลได้ ซึ่งเป็นอาวุธที่หนักที่สุดซึ่งผมเคยเห็นมา แต่จามิร่ากลับถูกใจและเหวี่ยงมันอย่างสนุกสนานเลย ส่วนเกราะนั้นก็เอาเกราะหนังเต่าสองตัวมาเย็บติดกัน
ฟรานยังคงใช้ง้าวแสนรักอันเดิม แต่เกราะเธอขอให้ยูรินทำให้ใหม่ โดยเอาเกราะมัจฉาไปหลอม และทำเป็นเกราะโซ่ที่ไว้ใส่ใต้ชุดแทน ส่วนของเดเม่นอกจากเปลี่ยนธนูแล้วก็ไม่มีอะไรเพิ่ม เพราะอุปกรณ์ของเธอลงตัวอยู่แล้ว
ยูรินได้ทำอาวุธใหม่ให้ตัวเองด้วย ซึ่งเป็นอาวุธที่เธอเคยวาดแบบแปลนไว้ตั้งนานแล้ว ซึ่งยังคงเป็นถุงมือเหล็กติดกลไกยิงหมุดเสียบ แต่คราวนี้ทำออกมาใส่ทั้งสองมือเลย และตรงด้านหลังมือมีกลไกสามารถกางโล่
พับทรงกลมออกมาได้ ส่วนหมุดเสียบก็ทำให้จากหินทะเลลึก 90% อำนาจการทำลายผิดจากเดิมเลย ส่วนระดับของมันเป็น Epic และมีช่องสกิลว่างถึงสองช่อง (ข้างล่ะสองช่อง รวมกับเป็นสี่ช่อง) ส่วนเกราะก็เปลี่ยนมาใส่เกราะหนังเต่าแทน ซึ่งพลังป้องกันอาจจะน้อยกว่าเกราะเกร็ดมัจฉา แต่มันทำให้เคลื่อนไหวสะดวก และยังพังยากกว่าด้วย
กินเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ติดอาวุธ เพราะตัวเล็กเกินไป แต่ว่าเธอมีสกิลระดับบอสดันเจี้ยนติดตัวอยู่ เช่นการสร้างภาพลวงตา หรือการพ่นไฟ ดอเรียที่เคยพากินไปลงดันเจี้ยนลาลาพัสด้วย บอกว่ากินต่อสู้ได้ดี ได้ทั้งก่อกวนและโจมตีสนับสนุน แม้แต่ซาคุยะยังรับประกันความเก่งของกิน ขนาดบอกว่าถ้าไม่ดูเลเวลแล้ว ความเก่งก็พอๆ กับเธอเลย
เอสเตอร์ถึงจะไม่เคยเป็นนักผจญภัย แต่เคยออกไปสู้กับปาร์ตี้ของนักผจญภัยอยู่บ้าง อาวุธใช้เป็นแส้ เสียแต่ในคลังแสงไม่มีอาวุธประเภทแส้เลย แต่ยูรินบอกว่ามีอาวุธที่น่าจะใช้แทนได้ซึ่งเป็นของที่มาจากการซ่อมของหลุดประมูล
มันคือดาบกระดูกงู ที่เวลาฟาดออกไป ข้อต่อของดาบก็จะหลุดออก และยืดระยะของดาบออกไปโจมตีได้เหมือนแส้ แต่นํ้าหนักและวิธีควบคุมต่างจากแส้ เอสเตอร์เลยต้องใช้เวลาในการฝึกใช้ก่อน แต่หลักการก็ไม่ได้ต่างจากแส้เท่าไร เธอเลยตกลงใช้ดาบกระดูกงู ส่วนเกราะของเอสเตอร์ก็ใช้เกราะเหล็กเฉพาะส่วนที่ผมเคยใช้ เพราะเกราะเกร็ดมัจฉาจะหนักเกินไป
โรสลินดูจะมีปัญหาหน่อย เพราะเธอค่อนข้างอ่อนแอ เลยไม่มีอาวุธที่เธอใช้ได้ ผมจึงให้เธอพกมีดเงินเอาไว้ป้องกันตัวเท่านั้น
แต่อาเดไลท์นี้สิ ไม่รู้ทำไมถึงเดินไปหยิบเอาพัดพายุวารีมาใช้ พอผมถามไป เธอบอกว่าเคยเรียนรำพัดมา…มันเกี่ยวกันไหมเนี่ย! แต่ถ้าเธอชอบก็ต้องยอมไปก่อน ส่วนจะใช้อย่างไงเดี๋ยวค่อยดูกันไป แล้วอาเดไลท์ยังเอาผ้าคลุมวารี ไปให้พวกไรโมดอลตัดเย็บให้เป็นผ้าคล้องคอแทน ไม่เข้าใจสักนิดว่าคิดอะไรอยู่?
แต่ตอนนี้ทุกคนก็ได้ทำการติดอาวุธเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตอนที่ 80 มื้อเที่ยงในดันเจี้ยน
พอเตรียมตัวเสร็จแล้วพวกผมก็ออกเดินทางกันทันที ถึงจะเร็วกว่ากำหนดการ ที่จะเริ่มกันตอนหลังมื้อเที่ยง
มอเรียแนะนำให้ผมใช้รถม้า เพราะที่จุดตรวจทางเข้าดันเจี้ยน มีบริการรับฝากรถม้าอยู่ พอพวกโบสถ์ทำท่ายึกยัก ไม่อยากขึ้นมาบนรถพร้อมกับทาส แต่พอผมบอกไปว่างั้นก็เดินกันไปเอง พวกนั้นเลยรีบขึ้นมาทันที
แต่พอขึ้นมาบนรถม้าก็ลืมเรื่องไม่พอใจไปเลย เพราะพวกโบสถ์ใหญ่ไม่คิดว่าบนรถม้าจะกว้างขนาดนี้ พวกเอสเตอร์กับพวกโรสลินก็พึ่งเคยขึ้นรถม้าของผม เลยตื่นเต้นกันใหญ่ ผมให้พวกเธอไปนั่งตรงริมหน้าต่าง จะได้ดูวิวไปด้วย
ผมบอกให้ดาเซสที่เป็นสารถีไปที่กิลกันก่อน เพราะจะไปลงทะเบียนนักผจญภัยให้กับคนที่ยังไม่มีบัตรกิล และจะได้ซื้อกระเป๋านักผจญภัยเพิ่มให้คนที่ยังไม่มีด้วย
พวกโบสถ์ใหญ่นั่งปิดปากเงียบมาตลอดทาง ส่วนหนึ่งเพราะตะลึงรถม้าผมที่วิ่งได้นิ่งมาก ไม่รู้สึกถึงแรงสะเทือน ทำให้นั่งสบาย และยังมีเครื่องดื่มเย็นๆ ให้ดื่มอีกต่างหาก แต่พวกผู้ชายนี้สิ จ้องใส่พวกสาวๆ ของผมกันใหญ่ เพราะพึ่งได้เห็นหน้ากันชัดๆ ล่ะมั่ง ไม่แปลกล่ะที่จะหลงเสน่ห์ แม้แต่อัศวินสองคนที่ดูเงียบๆ ยังหน้าแดงและก้มหน้าหลบเลย
“…รถม้าไม่สะเทือนแล้ว”
ยูรินทำคอตก นี้ผิดหวังอยู่จริงๆ ด้วยสินะ!
พอมาถึงกิลผมก็ให้มอเรียพาทุกคนเข้าไปในกิล ตัวเธอจะได้ไปลางาน และลงทะเบียนให้กับทุกคนด้วย แต่พอทุกคนเห็นมอเรียแต่งตัวแบบนินจามาก็พากันตกใจกันหมด เพราะต่างคิดว่าเธอรีไทร์ไปแล้ว เห็นว่าสมัยก่อนมอเรียมีชื่อเสียงในฐานะนักผจญภัยอยู่พอตัว เพราะอาชีพของเธอหาได้ยาก แถมส่วนใหญ่มีแต่ฆาตกร เพราะต้องมีคติติดตัวเท่านั้นถึงจะได้อาชีพนี้มา แต่ของมอเรียได้มาเพราะเธอถูกฝึกมาโดยเฉพาะ และไม่มีคดีติดตัวด้วย
ระหว่างที่กลุ่มของมอเรียลงทะเบียน กลุ่มของฟรานที่มีเดเม่กับยูรินไปด้วย ก็ขึ้นไปซื้อกระเป๋านักผจญภัยมาตามที่ผมบอกซึ่งทำให้บรรยากาศภายในกิลดูคึกคักเป็นอย่างมาก เพราะเต็มไปด้วยสาวงามจนไม่รู้จะมองใครก่อนดีเลย แต่ที่ดึงดูดสายตามากที่สุดก็คงไม่พ้น
อาเดไลท์ ซึ่งความสวยของเธอได้ทำเอาหลายๆ คนลืมหายใจไปเลย
แต่พอเห็นอาเดไลท์มารวมกลุ่มกับฟราน ทุกคนพากันทำหน้าเสียดายออกมา เพราะพวกเขารู้ทันทีว่ากลุ่มผู้หญิงเหล่านี้ ห้ามแตะต้องเพราะเป็นผู้หญิงของเทพดุ้นพิชิตสาวโรมะ
พอทุกคนกลับมาขึ้นรถม้า พวกผมก็มุ่งหน้าไปที่ดันเจี้ยนลูปันทันที และผมก็แจกกระเป๋าที่ซื้อมาให้ โดยที่ทุกคนจะได้กระเป๋าขนาดกลางไป ยกเว้นของจามิร่าที่ผมให้แบกใบใหญ่ไปเลย เพราะไปกันเป็นกลุ่มใหญ่คงไม่ต้องห่วงเรื่องโดนดักปล้น และผมยังให้กระเป๋าขนาดกลางกับเนปฟ่าและชีเอ้ไปด้วย
“เอ๋! ให้พวกเราเหรอ!?”
“อืม คราวนี้เป็นการล่าระยะยาว มีพื้นที่เก็บของกันเยอะๆ หน่อยก็ดี”
พวกเนปฟ่ารับไปด้วยท่าทางเกรงใจ แต่ก็ดูดีใจมาก เพราะพวกเธอเองก็อยากได้กระเป๋านักผจญภัยของตัวเองมาตั้งนานแล้ว
พอมาถึงทางเข้าดันเจี้ยน ผมก็ทำการฝากรถม้าและเช็คชื่อตรงทางเข้า แต่ด้วยที่ผมเป็นกลุ่มปาร์ตี้ใหญ่กว่ายี่สิบคน แถมยังมีแต่สาวๆ หน้าตาสวย เลยเป็นเป้าดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก ขนาดมีคนวิ่งเข้ามาขอเข้าปาร์ตี้ด้วยเลย แน่นอนว่าไม่ได้มาขอผมหรอก แต่วิ่งไปขอสาวๆ แต่ว่าก็โดนปฏิเสธไปหมด
พวกผมใช้รันเนอร์เวย์ผ่านยาวไปเลย แต่ที่กลางทางของชั้นหนึ่ง ก็ดันเจอพวกมาดักปล้น แถมเป็นกลุ่มใหญ่กว่าสิบคน ซึ่งมอเรียก็บอกออกมาทันทีว่าเป็น
พวกที่มีค่าหัว พอได้ยินเท่านั้นแหละ ฟรานกับดาเซสก็แย่งกันออกไปไล่ฆ่าพวกนั้นทันที จนผมไม่ทันได้ออกปากห้าม พวกนั้นก็เละเป็นศพไปแล้ว
พวกจากโบสถ์ใหญ่ที่พึ่งเคยเห็นการฆ่าคนแบบสดๆ ถึงกับอาเจียนออกมา แต่สายตาที่พวกมันใช้มองพวกฟรานก็เปลี่ยนไปแล้ว จากตอนแรกที่พวกมันดูแคลนว่าเลเวลน้อยแบบนี้จะเอามาเป็นตัวถ่วงหรือไง แต่ฟรานก็พึ่งแสดงให้เห็นว่าถึงอีกฝ่ายจะมีเลเวลมากกว่า ก็ไม่มีผลอะไรแม้แต่น้อย
ดาเซสเองก็เก่งขึ้นมาก ถึงจะไม่ค่อยได้ลงดันเจี้ยนแบบสมัยก่อน จนเลเวลนิ่งมานาน แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือการฝึกฝนความชำนาญเฉพาะตัว และการอัพเกรตอุปกรณ์ส่วนใส่ ที่ลืมไม่ได้คือค่าพลังที่เพิ่มขึ้นมาจากการซั่มกับผมทุกวัน ถึงของดาเซสจะเพิ่มมาเป็นหลัก
หน่วยอยู่ ต่างจากฟรานที่ขึ้นเป็นหลักร้อย แต่มันก็ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นจากเดิม
เอาเป็นว่าคนที่เลเวลเท่ากันหรือมากกว่าไม่เกินสิบเลเวล ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเธอไปแล้ว แม้จะมาเป็นหมู่คณะตาม
“คนนี้มีค่าหัวตั้ง 100,000 รีลค่ะ! ส่วนคนอื่นๆ รวมแล้วได้ประมาณ 500,000 รีล”
มอเรียเข้าไปตรวจดูค่าหัวของพวกโจร ซึ่งบัตรกิลของเธอเป็นแบบพิเศษ ที่มีข้อมูลจากกิลอัพเดตให้ตลอดเวลา และยังใช้ตรวจดูข้อมูลของคนอื่นได้ด้วย
“ดูเหมือนพวกเราจะได้กำไรแล้วนะ กลับเลยไหม?”
ยูรินหันมาถามผม
“เดี๋ยวสิๆ เป้าหมายไม่ใช่มาหาเงินค่าหัวนะ!”
พวกโบสถ์ใหญ่มองพวกผม ที่กำลังคุยเล่นกันอยู่ด้วยสายตาแปลกๆ คงเพราะยังปรับตัวตามไม่ทัน จากตอนแรกที่คิดว่าจะโดนปล้นแล้วแน่ๆ แต่พริบตาเดียวก็มีศพกระจายไปทั่ว และยังมีหน้ามาคุยเล่นกันได้อีก
หลังจากทำการรวบทรัพย์พวกโจร จนไม่เหลือให้แม้แต่กางเกงในแล้ว พวกผมก็มุ่งหน้าไปตามรันเนอร์เวย์ต่อ
“ฟรานวันหลังพวกเรามาเดินหาโจรกันอีกเถอะ”
“เห็นด้วยค่ะ”
“พอเลยทั้งสองคน ถึงเงินจะดีแต่มันอันตรายนะ”
ผมรีบห้ามปรามไว้ก่อน เดี๋ยวคิดจะทำกันขึ้นมาจริงๆ จะยุ่ง
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะท่านโรมะ ไว้ฉันจะมาด้วยกับสองคนนี้ รับรองปลอดภัยแน่นอน”
มิรินบอกอย่างมั่นใจ แต่เดี๋ยวสิ ปัญหามันไม่ใช่จำนวนคนนะ!
ผมถอนหายใจและหันไปถามข้อมูลกับมอเรียแทน
สรุปที่ชั้น 8 ที่พวกผมจะไปเริ่มที่นั้นเลย โดยจะข้ามชั้น 6กับ7 ไป จะมีมอนสเตอร์อยู่ประเภทเดียวก็คือ ศพ พวกนี้ต่างจากซอมบี้ เพราะซอมบี้จะไม่มี
ความคิดเป็นของตัวเอง จะเคลื่อนไหวเข้าหาทุกอย่างที่เคลื่อนไหว เพื่อจะโจมตีตามสัญชาตญาณ แต่ศพจะสามารถคิดเองได้ เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว และทรงพลัง
ส่วนที่ทำให้ชั้น 8 เป็นพื้นที่อันตราย เพราะพวกศพจะมีหลากหลายสายพันธุ์มาก ทั้งมนุษย์ ครึ่งคนครึ่งสัตว์ เรียกว่ามีทุกสายพันธุ์ จุดเกิดก็ไม่แน่นอนจะสุ่มไปเรื่อยๆ เลเวลเองก็เหมือนกัน มีตั้งแต่เลเวลห้าไปจนถึงเลเวลสี่สิบ ซํ้ายังมี Raid อีกสามตัว ที่เกิดบ่อยมาก และนานๆ ครั้งจะมี Mini Boss ที่เป็นเนโครแมนเชอร์โผล่ออกมาด้วย
แค่ฟังผมก็รู้แล้วว่าทำไมโกร่าถึงเตือนผมไว้ เพราะความยากมันต่างจากพวกมนุษย์หนูแบบก้าวกระโดดเลย
“อ่ะ เดี๋ยวก่อน ไปทางนี้ดีกว่า”
ผมทักดาเซสที่เดินนำหน้า ซึ่งกำลังจะข้ามชั้นห้าที่เป็นบอสหนูไป
“จะแวะบอสก่อนเหรอนายท่าน?”
“ใช่ ว่าจะวอร์มอัพกันก่อนน่ะ”
พอผมบอกไปพวกโบสถ์ใหญ่ก็รีบร้องถามขึ้นมาทันที
“จะใช้บอสราชาหนูซ้อมมือเนี่ยนะ!”
แต่ผมขี้เกียจฟัง เลยพาทุกคนเข้าไปในห้องบอสกันเลย
“เดี๋ยวผมกับยูรินจะเข้าไปชนกับบอสนะครับ ส่วนคนอื่นๆ ช่วยจัดการตัวลูกน้องมันให้หน่อยนะ เอร่า กิน เอสเตอร์ พวกเธอลองโจมตีใส่บอสดูนะ คิดซะว่าเป็นการฝึกการใช้อาวุธกับเป้าที่เคลื่อนไหวได้ ส่วน
เนปฟ่า ถ้าจะลองสู้บอสดูก็ได้นะ แต่กะจังหวะใช้เวทให้ดีๆ อย่าให้มาโดนผมกับยูรินล่ะ”
“รับทราบค่ะ!”
ทุกคนขานรับกับอย่างพร้อมเพรียง มีแต่พวกโบสถ์ใหญ่เท่านั้นแหละที่ทำหน้าไม่พอใจ
พอเข้าไปในห้อง ผมวิ่งนำยูรินเข้าไปชนกับบอสก่อน ครั้งก่อนยังไม่ทันได้เห็นฝีมือของมัน ก็ถูกฟรานฆ่าซะก่อน แต่พอมันฟันลงมาผมก็ยกโล่ขึ้นรับ ผมปลิวเลยล่ะ! แรงมันเหลือเชื่อจริงๆ สมเป็นบอสไม่แปลกหรอกก็ขนาดลอร์ดหนู ผมยังสู้แรงมันไม่ไหวเลย
ยูรินเข้าไปแทนที่ผมทันที เธอใช้ความเร็วกับความแข็งแกร่งของถุงมือใหม่ ปัดการโจมตีของดาบคู่ของราชาหนูได้ เรื่องการตั้งรับนี้ยูรินเก่งกว่าผมอีกแฮะ
พอตั้งหลักได้ผมก็เข้าไปช่วยยูรินอีกแรง ช่วยกันรับดาบกันคนละด้าน
รอบข้างก็มีเสียงการต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว แต่เสียงกลับเงียบไปในเวลาไม่ถึงสิบวินาที คงจัดการกันเรียบร้อยแล้ว ไวจริงๆ!
ทางผมก็มีโอกาสโจมตีใส่ราชาหนูเหมือนกัน แต่ผมกับยูรินแค่จะซ้อมการตั้งรับ และปล่อยให้แถวหลังคนอื่นโจมตีไปแทน
เอร่ายังยิงไม่แม่น แถมเกือบยิงโดนผมด้วย คิดผิดหรือเปล่านะที่ให้เธอใช้ธนู ส่วนกินยังไม่ทำอะไรเอาแต่ยืนดูเฉยๆ เอสเตอร์ที่เป็นคนโจมตีระยะกลาง ลองใช้ดาบกระดูกงูอยู่สองสามรอบ พอเริ่มจับจังหวะได้ ก็เข้ามาช่วยผม ซึ่งเธอทำได้ไม่เลวเลย
เธอกะจังหวะได้แม่นยำมาก และเล็งไปยังจุดสำคัญของร่างกายอีกฝ่าย เช่นข้อมือ คอ ต้นขา ใบหน้า ถึงดาบกระดูกงูจะมีพลังโจมตีไม่สูง แต่ถ้าฟันถูกก็ทำให้ได้แผลเหมือนกัน ด้วยการโจมตีของเอสเตอร์ทำให้มือข้างหนึ่งของราชาหนูถือดาบต่อไม่ไหวแล้ว
“ดีมากเอสเตอร์!”
พอได้ยินผมร้องชม เอสเตอร์ก็ดีใจและยิ่งมั่นใจในการโจมตีของตัวเอง
“ท่านโรมะ มันจะใช้เวทแล้วค่ะ!”
มอเรียตะโกนเตือนผมมา ถ้าจำไม่ผิด เจ้านี้ใช้เวทพายุได้สินะ แต่พอผมจะให้สัญญาณถอย ยูรินก็รีบหันมาบอกผม
“นายท่าน เสียบดาบเข้าไปที่ช่องตรงโล่เลย”
ผมสงสัยว่าทำไม แต่ผมเชื่อใจยูริน เลยทำตามที่เธอบอกทันที ด้วยการเสียบดาบเข้าไปตรงช่องว่างที่อยู่ตรงขอบของโล่ แต่ผมรู้สึกได้เลยว่ามันมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน เกิดเสียงเสียดสีอย่างแรงตอนที่ดันดาบเข้าไป
“ตอนนี้ล่ะ ดึงออกมาแล้วฟันใส่มันเลย!”
ยูรินบอกต่อ พอผมก็ดึงดาบที่เสียบเข้าไปจนสุดออกมาจากโล่ ตัวดาบก็ถูกอาบไปด้วยกระแสไฟฟ้าจนเกิดเสียงเปรี๊ยะๆ
ผมฟันใส่ตัวของราชาหนู ร่างของมันก็ถูกไฟช็อตจนหยุดการร่ายเวทไป ทว่าผมลืมไปว่าดาบที่ใช้
อยู่คือดาบศิลาเย็น เพียงแต่ฟันใส่ทีเดียว ร่างของมันก็ขาดเป็นสองท่อนและตายไปเลย
“…เอ่อ โทษที เผลอไปหน่อย”
ผมหันไปโทษพวกเอร่า ที่พวกเธอยังซ้อมได้ไม่เท่าไร
แต่ทุกคนกลับรีบวิ่งเข้ามาดูดาบผมทันที ยูรินเลยได้โอกาสโม้ผลงานตัวเองให้ฟัง นอกจากดาบศิลาเย็นแล้ว โล่ที่ยูรินให้ผมมา ก็เป็นทั้งฝักดาบในตัวและยังใส่หินสายฟ้าไว้ข้างในด้วย พอดาบเข้าไปเสียดสีกับหิน ตัวดาบก็จะได้รับไฟฟ้าเข้ามาด้วย
“คะ แค่ดาบเดียวก็ฆ่าราชาหนูได้เลยเหรอ!”
พวกโบสถ์ใหญ่ยืนอ้าปากค้างกันไปเลย อย่าพึ่งตกใจกันเร็วนักสิ
ผมหันไปดูของดรอป รอบนี้ไม่มีมงกุฎเงินดรอปแฮะ แต่ว่าได้การ์ดมาแทน มอเรียที่เห็นนี้ถึงกับร้องว้าวเลย
“การ์ดราชามนุษย์หนูเป็นของหายากมากค่ะ! ราคาซื้อขายขั้นตํ่าก็หนึ่งล้านแล้ว”
ผมใช้ตรวจสอบดูว่ามันเพิ่มอะไรให้ แล้วผมก็รู้ล่ะว่าทำไมมันราคาแพงนัก เพราะมันสามารถมอบสกิลประเภท Mastery ได้หนึ่งอย่างตามอาวุธที่ใช้ หรือใช้อัพเพิ่มเลเวลสกิล Mastery ที่มีอยู่แล้วได้ด้วย ผมมองไปยังทุกคนเพื่อดูว่าจะให้ใครดี
แต่ทุกคนมีความชำนาญของอาวุธที่ใช้กันอยู่หมดแล้ว เอสเตอร์เองก็พึ่งได้ความชำนาญของดาบ
กระดูกงูมา ส่วนเอร่าก็…ไม่ไหว ยัยนี้ไม่มีแววรุ่งเลย ผมเลยยกการ์ดให้กับอาเดไลท์ไป ส่วนหนึ่งเพราะนึกสนุกด้วยล่ะ เพราะอยากเห็นว่าพัดที่ถูกนับเป็นอาวุธมันจะใช้งานอย่างไง
“จะดีเหรอ?”
อาเดไลท์ดูไม่มั่นใจ คงเพราะราคาของการ์ดค่อนข้างแพง และเธอก็พึ่งเป็นมือใหม่ที่ไร้ประสบการณ์ด้วย
“ไม่เป็นไรหรอก แค่ลองสนุกๆ น่ะ”
“นายเนี่ยนะ”
อาเดไลท์ถอนหายใจก่อนจะใช้การ์ดราชาหนู ท่ามกลางเสียงร้องอย่างเสียดายของพวกโบสถ์ใหญ่ ถึงบอกไงสัญญาของผมน่ะแอบโหด เพราะผมกับมอเรีย
มีสกิลเพิ่มโอกาสแรร์ดรอป การมาล่าครั้งนี้ผลกำไรจะอยู่ที่แรร์ดรอปล้วนๆ เลย ผมเลยขอสิทธิ์เรื่องไอเท็มดรอปไว้ก่อนเพราะแบบนี้แหละ
ส่วนผลของการ์ดราชามนุษย์หนู ทำให้อาเดไลท์ได้ Fan Mastery lv 1 มา
แต่พอถามไปว่ามีอะไรต่างไปจากเดิมไหม อาเดไลท์ก็กางพัดออก ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าให้
“รู้สึกเหมือนพอจะทำอะไรได้ แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”
แค่รู้ว่ามีผลผมเองก็ประหลาดใจแล้วล่ะ น่าสนุกจริงๆ ด้วยแฮะ และผลจากการฆ่าบอสราชาหนู ทำให้คนที่มีเลเวล 1 เพิ่มมาเป็น 2 และเอสเตอร์เลเวลอัพเป็น 4 ส่วนที่เหลือก็ไม่มีใครเลเวลอัพแล้ว
แต่ผมว่าการ์ดใบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะถ้าอาเดไลท์ใช้การ์ดใบใหม่ ความชำนาญการใช้พัดก็จะหายไป เอาไปขายคงคุ้มกว่าจริงๆ
และผมก็ใช้ห้องบอสราชาหนู เป็นที่พักสำหรับมื้อเที่ยง เรื่องเสบียงผมก็ถามพวกโบสถ์ใหญ่ไปแล้ว ว่าจะให้เตรียมให้ไหม แต่พวกนั้นปฏิเสธและบอกว่าเตรียมมาเองแล้ว ผมเลยปล่อยไป
ผมดึงโต๊ะกินข้าวออกมาจากกระเป๋า แต่เป็นแบบไม้ธรรมดาที่ซื้อมาใหม่นะ ไม่ใช่อันที่อยู่ในคฤหาสน์ พวกโบสถ์หัวเราะเยาะผมกัน เพราะเห็นว่าผมพกมาแต่ของไร้สาระ เอ่อ จะคิดกันอย่างไงก็ตามสบาย ผมเองก็จะทำตามสบายของผมเองเหมือนกัน
ส่วนมื้อเที่ยงผมทำทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เป็นพิซซ่าล่ะ ผมวางถาดใส่พิซซ่าห้าถาดลงไปบนโต๊ะ ซึ่ง
สามารถใช้มือหยิบขึ้นมาได้เลย เพราะผมตัดแบ่งเป็นชิ้นๆ แบบที่ทำขายไว้แล้ว ซาคุยะถึงกับตะลึง และชมผมใหญ่เลยสงสัยเธอจะคิดถึงพิซซ่าสุดๆ
ทุกคนดูแปลกใจกับพิซซ่า เพราะด้วยวิธีกิน และรูปร่างหน้าตาของมัน แต่พอเห็นซาคุยะที่เริ่มกินเป็นคนแรก ทุกคนก็ทำการเลียนแบบทันที ส่วนความอร่อยนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่ได้ทำไว้ขาย ผมเลยใส่เครื่องไว้เต็มหน้าแบบไม่มีงก
พวกฟรานยังพอว่า เพราะเคยกินอาหารแปลกๆ จากผมมาบ่อยแล้ว แต่พวกเนปฟ่านี้สิ ถึงกับอุทานออกมาไม่เป็นภาษา และพยายามถามผมทั้งๆ ที่มีพิซซ่าเต็มปาก
ที่น่าสงสารคือพวกโบสถ์ใหญ่เนี่ยสิ นั่งกับพื้นกัดขนมปังแข็งๆ แล้วมองพวกผมกินกันตาละห้อย
จริงๆ ผมก็พกของมาเผื่อพอจำนวนคนละนะ แต่ถ้าพวกนั้นดื้อด้านนัก ผมก็ไม่สนใจจะยุ่งด้วย
พอกินพิซซ่ากันจนอิ่มแล้ว ผมก็ลังเลนิดหน่อยว่าจะเอาของหวานออกมาดีไหม แต่ทุกคนรู้ดีว่าผมต้องมีของหวานให้หลังมื้อเที่ยง เลยพร้อมใจกันส่งสายตาเป็นประกายมาทางผมกัน
“เข้าใจแล้วๆ”
ผมยอมแพ้และหยิบเอาไอศกรีมออกมา โดยวันนี้พิเศษเพราะมีช็อกโกแลตราดอยู่ด้านบนด้วย ผมพึ่งค้นเจอเม็ดโกโก้เมื่อตอนไปตลอดกับเดเม่คราวก่อน ซึ่งผมใส่ในเค้กเมื่อคืนด้วย แต่พวกเธอคงไม่รู้กัน
พวกฟรานสนใจช็อกโกแลตที่ราดไว้มาก เพราะตอนตักขึ้นมามันแข็งแต่พอเอาเข้าปากก็ละลายทันที แถมหอมหวานมีรสขมแฝงอยู่แต่เป็นความขมที่เข้า
กับความหวาน แต่ผมพึ่งเคยทำช็อกโกแลตจากเม็ดโกโก้ รสเลยยังไม่ดีเท่าที่ควร คงต้องค่อยๆ ฝึกทำหลายๆ ครั้ง
เนปฟ่ากับชีเอ้ที่ไม่เคยกินไอศกรีม ก็ต้องตกใจที่เห็น และพอได้ฟังคำอธิบายในการกินจากเดเม่ เธอก็ยิ่งทำหน้าเหมือนเด็กกำลังได้ของเล่น และพอเอาเข้าปากเท่านั้นแหละ เนปฟ่าถึงกับกรี๊ดแตก แต่ผมกินไม่ค่อยลงแฮะ แบบว่าพวกโบสถ์ใหญ่นั่งจ้องผมตาไม่กระพริบเลยอ่ะ
“ชีเอ้ วานเอาไปให้พวกนั้นหน่อยสิ”
ถึงจะใจอ่อน แต่ผมไม่อยากลุกเอาไปให้เอง เลยวานชีเอ้ไปแทน
แต่ชีเอ้ยังกินของตัวเองไม่เสร็จ เลยรีบลุกแล้วเอาไปส่งให้แบบส่งๆ แล้วรีบกลับมากินต่อ แต่พวกโบสถ์ใหญ่คงได้ยินที่เดเม่อธิบายไปแล้ว เลยกินกันได้
อย่างไม่มีปัญหา แต่แล้วก็มีนักบวชชายคนหนึ่งลุกขึ้นมาโวยวายพร้อมกับปาถ้วยไอศกรีมทิ้ง
“นี้มันอาหารของปีศาจชัดๆ! พวกเราอย่าไปโดนมันหลอกลวงได้นะ!”
ถึงมันจะโวยวายแบบนั้นไป แต่คนอื่นๆ ทำใจยากที่จะวางถ้วยลง โดยเฉพาะพวกนักบวชหญิง
“เฮ้ย ค่าอาหารผมไม่คิด แต่ค่าถ้วยน่ะ 200 รีลนะ”
ผมหยิบสมุดออกมาจดราคาค่าเสียหายลงไปทันที เล่นเอาพวกอาเดไลท์กลั้นหัวเราะกันจนหน้าแดง
แต่สุดท้ายพวกโบสถ์ใหญ่ก็พากันวางถ้วยไอศกรีมลง ด้วยสีหน้าสุดแสนเสียดาย
เอ่อ ถึงผมจะเป็นจอมมาร แต่อาหารที่ทำมันของมนุษย์นะ ปีศาจมาเกี่ยวไรด้วยฟ่ะ! ไม่สิ เดี๋ยวนี้แม้แต่พวกปีศาจก็หันมากินอาหารของมนุษย์แล้วนะเฟ้ย!
ชีเอ้ดูจะสนใจสกิลคลีนนิ่งของผมมาก เพราะผมใช้ให้เห็นหลายครั้งแล้ว และมันสะดวกมาก ใช้ทำความสะอาดทุกอย่างได้ในพริบตาเดียว ผมเลยเก็บกวาดหลังกินเสร็จได้ในทันที ไม่ต้องเสียเวลา
ท่ามกลางเสียงคุยเล่นกันอย่างร่าเริงของสาวๆ ก็มีกลุ่มก้อนความหงุดหงิดลอยมาจากทางด้านโบสถ์ใหญ่ แต่ไม่ใช่เป็นความรู้สึกที่พุ่งมาทางผมหรอกนะ แต่นักบวชชายที่โวยวายขึ้นมาต่างหาก ที่กำลังโดนพุ่งเป้าใส่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น