ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 72 - 74 By Kumao






ตอนที่ 72 กระเป๋าจอมโกงอาวุธระดับ World

หลังจากทำยาให้เอร่าครบสิบขวด นํ้าหวานของเธอก็หมดพอดี ผมเลยย้ายไปทำงานชิ้นที่สองต่อ
งานชิ้นที่สองที่จะทำก็คือ กระเป๋านักผจญภัยแบบใหม่ เพราะตอนนี้กระเป๋าขนาดกลางไม่เพียงพอสำหรับปาร์ตี้ของผม ส่วนจะขนใบใหญ่ไปก็เสี่ยงต่อพวกมิจฉาชีพ และยังต้องใช้เก็บวัตถุดิบภายในบ้านอีก
ผมเลยต้องคิดหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพของกระเป๋านักผจญภัย ซึ่งงานนี้ผมต้องพึ่งพวกไรโมดอลด้วย ผมให้พวกเธอแยกส่วนกระเป๋านักผจญภัยขนาดเล็กออกมา ก่อนจะนำกลับเข้าไปเย็บใส่ด้านในของ
กระเป๋าใบเล็กอีกใบ เหมือนกับกระเป๋าตังที่มีหลายๆ ช่องนั้นแหละ
ผลการทดลอง…สำเร็จแล้ว!!!
กระเป๋าใบเล็กที่เคยจุได้ยี่สิบชิ้น หลังจากเย็บเพิ่มไปอีกสองช่อง เลยจุเพิ่มได้เป็นหกสิบชิ้นไปแล้ว ทว่ายังเหลือปัญหาอีกอย่างหนึ่ง นั้นก็คือนํ้าหนัก ถึงจะใส่ของได้มาก แต่ลิมิตของนํ้าหนักไม่เปลี่ยน ทว่าเรื่องนี้ผมก็คิดเอาไว้แล้ว
ปกติเวทมนต์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าคือเวท Stop ที่ช่วยรักษาสภาพของที่ใส่เข้าไปไว้ในสภาพเดิม แต่ตอนนี้ สกิลอุปกรณ์เวทผมเป็นเลเวลสองแล้ว เลยทำให้ใส่เวทเพิ่มลงได้อีกหนึ่งอย่าง และเวทที่ผมคิดไว้ก็คือ เวท Float เป็นเวทที่ใช้สำหรับลอยตัว หลักการทำงาน
ของมัน ตามที่ถามจากมิรินดู ก็คือการลบนํ้าหนักของวัตถุออกไปนั้นเอง!!!
แถมตอนนี้ในบ้าน นอจากมิรินแล้วยังมีเรโมริก้า ที่สามารถใช้เวทมนต์ได้ และโชคดีที่เธอมีเวท Float อยู่ด้วย แถมยังเป็นระดับ Master ซึ่งทำให้เธอควบคุมการลอยตัวได้ราวกับกำลังบินอยู่
หลังจากใส่เวท Float ลงในกระเป๋าใบเล็กรุ่นทดลอง และจัดยัดของลงไปเพื่อทดสอบนํ้าหนัก ก็ปรากฏว่ามันสามารถใส่ภูเขาทั้งลูกลงได้เลยด้วยซํ้า ไม่มีจำกัดล่ะ! กระเป๋าใบนี้ไม่มีขีดจำกัดเรื่องนํ้าหนักแล้ว
ผมเรียกเดเม่มาทันที และให้พวกไรโมดอลเย็บเอากระเป๋าใบเล็กรุ่นทดลอง ติดเข้าไปในกระเป๋าด้านหน้าของผ้ากันเปื้อน เอ่อ เหมือนกระเป๋าของโดเรXXเลยแฮะ
เดเม่ดีใจใหญ่ เพราะเท่านี้เธอก็เก็บอุปกรณ์จำเป็นไว้ติดตัวได้ตลอดเวลาแล้ว
ผมตั้งชื่อให้ซะใหม่ โดยจะเรียกมันว่า กระเป๋าจอมโกง!
ก็เล่นใส่ของได้ไม่จำกัดนํ้าหนักแบบนี้มันโกงกันชัดๆ แถมตอนนี้ผมเริ่มทดลองมาทำกระเป๋าขนาดกลางบ้าง
โดยเอากระเป๋าของพวกเดเม่มาเย็บช่องเพิ่มไปอีกคนละสองช่อง เลยทำให้จุเพิ่มเป็นสามร้อยชิ้น มากกว่ากระเป๋าใบใหญ่อีก ส่วนกระเป๋าขนาดกลางที่เหลือ ผมให้ซาคุยะกับดอเรียไปคนละใบ เพราะเห็นว่าทั้งคู่เอาไอเท็มตอนไปดันเจี้ยนลาลาพัสใส่รถเข็นกันมา
ส่วนใบเล็กที่เหลือ ผมเก็บไว้ที่ทางเข้าประตูหน้า เพื่อใครจะออกไปซื้อของ ก็ได้หยิบเอาไปใส่ของได้ ใบ
ใหญ่ห้าใบที่ซื้อเพิ่มมา ผมไม่ได้ทำการแก้ไขให้เป็นกระเป๋าจอมโกงหรอก เพราะกะเอามาตั้งไว้ในครัวเพื่อใส่วัตถุดิบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยผมแยกไว้เลยว่าใบไหนไว้ใส่อะไร เช่น กระเป๋าใส่ผัก กระเป๋าใส่เนื้อ กระเป๋าใส่ปลา กระเป๋าใส่ของหวาน กระเป๋าใส่เครื่องปรุง และยกให้ยูรินกับพวกไรโมดอลไปคนละใบด้วย เผื่อจะใช้เก็บอะไร เท่านี้ปัญหาที่เก็บของก็หมดไป ด้วยขนาดพื้นที่จัดเก็บ ผมสามารถตุนอาหารไว้สำหรับห้าสิบคนได้หนึ่งปีเลย
เสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีก ผมเลยกลับไปนั่งทำอย่างอื่นต่อ โดยไปที่คอกม้าและติดอุปกรณ์เวทที่ประมูลมาไว้ใต้รถม้า จากนั้นผมลองให้เดเม่ขับรถม้าวนไปรอบๆ ลานนํ้าพุ
สำเร็จ ข้างในไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกเลย แต่ภายนอกเดเม่บอกว่ายังสั่นอยู่ตามปกติ ผมเลยลองเรียกให้ดอเรียมาช่วยควํ่ารถม้าให้ โดยที่ผมนั่งข้างใน ผลคือ นิ่งสนิท ต่อให้รถม้าควํ่าข้างในก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนเปิดประตูออกมาอาจจะงงๆ หน่อย แล้วพอก้าวออกมา จะโดนสลับแรงโน้มถ่วงแบบกะทันหันจนผมล้มหน้าควํ่าไปแทน สรุปคือ ถ้ารถม้าควํ่าต้องรอให้ตั้งกลับก่อนค่อยออกมา ไม่งั้นได้มีสภาพแบบผมตอนนี้แน่
แต่เข้าใจหลักการทำงานของผ้ารองแก้วแล้ว คือถ้าวางแก้วใส่นํ้าลงบนผ้า ต่อให้ปัดแก้วล้ม นํ้าก็จะไม่หกออกมาสักหยด และจะอยู่ในแนวระนาบกับพื้นเสมอ แต่เอาเถอะแค่ทำให้ข้างในรถม้าไม่สั่นได้ก็เกินพอแล้ว เอ่อ แต่อาจจะมีคนไม่พอใจก็ได้ เช่นยูรินที่ชอบมีอะไรกับผมบนรถม้าโดยเฉพาะจังหวะรถกระแทกแรงๆ
ผมกลับเข้ามาจัดการพวกไอเท็มขยะที่กวาดซื้อมาจากของหลุดประมูลต่อ เพราะกะจัดการพวกงานค้างๆ พวกนี้ให้เสร็จวันนี้เลย พวกผ้าพอคลีนนิ่งแล้วก็ส่งให้กับพวกไรโมดอล ส่วนอาวุธก็ขนไปให้ยูรินหลอมสกัดเอาแร่ออกมา
ตอนที่กลับไปหายูรินอีกรอบ เธอก็กำลังออกมาจาก Workshop พอดี ในมือเธอถือดาบมาด้วย มันเป็นดาบที่มีสีเหมือนลายหินอ่อน ดูบอบบางเอามากๆ
“สำเร็จแล้ว!”
ยูรินรีบเอามาให้กับผมทันที ผมเลยใช้ตรวจสอบดู
????
ทั้งชื่อของอาวุธและค่าพลังล้วนเป็น ???? ตรงค่าพลังไม่แปลกใจหรอก เพราะตรวจสอบดูได้แค่อาวุธที่มีค่าพลังในระดับพื้นทางเท่านั้น เช่นว่า มีดเงิน พลังโจมตีของอาวุธจะอยู่ที่ 10-50 ซึ่งพลังโจมตีในอาวุธแต่ล่ะชิ้นจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความละเอียดและความสมบูรณ์ในชิ้นงาน ซึ่งถ้าค่าพลังโจมตีอยู่สูงกว่า 30 จะเป็นมีดสั้นที่เรียกว่า ของระดับมาสเตอร์พีช ซึ่งสกิลตรวจสอบไม่สามารถตรวจสอบค่าพลังได้
ส่วนอาวุธที่มีค่าพลังโจมตีสูงอยู่แล้ว เช่นง้าวที่ฟรานใช้ ผมว่าค่าพลังขั้นตํ่าสุดมากกว่าร้อยอยู่แล้ว ผมดูค่าพลังไม่ได้เช่นกัน คงต้องรอให้เลเวลตรวจสอบสูงกว่านี้ล่ะมั่ง ถึงจะเห็นค่าพลังโจมตีที่สูงกว่านี้ได้
แต่ดาบที่ยูรินส่งมาให้นั้น มีช่องสกิลว่างถึงสามสกิลแนะ! เสียดายตอนนี้ไม่มีคริสตัลวิญญาณเลย
“สุดยอดเลยยูริน มีช่องสกิลตั้งสามอันแนะ!”
“ไม่ต้องสนช่องสกิลหรอก ลองใช้ดู”
ยูรินเร่งให้ผมทดสอบใช้มันดู เอสเตอร์เองก็ทำหน้าตื่นเต้นเหมือนกัน
ผมเลยลองเหวี่ยงมันดู เบา! แค่ออกแรงนิดเดียวก็ฟันผ่าอากาศ จนดาบเคลื่อนที่ไปเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก ไม่ใช่แค่ความเบาแต่ยังความคมขนาดตัดอากาศได้อีก สมดุลของดาบก็ดีเยี่ยม ไม่ใช่ว่าเบาแล้วจะเหวี่ยงดาบแบบไร้พลัง แต่พอเคลื่อนไปในอากาศมันก็เกิดแรงหนุนขึ้นมา
“นายท่าน!”
ยูรินเรียกผมขณะโยนอิฐก่อนหนึ่งใส่ ผมฟันดาบเพื่อจะปัดมัน แต่ดาบกับไหลผ่านอิฐไปแบบไร้แรงสัมผัส ไม่ต่างจากเหวี่ยงดาบใส่อากาศเลย! ก้อนอิฐถูกตัดเรียบกริบ อะไรมันจะคมขนาดนี้!
“ส่วนความทนทานทดสอบแล้ว ขนาดทุบด้วยค้อนใหญ่ มันยังไม่มีแม้แต่รอยเลย”
“คุณภาพก็สุดยอด เล่นเอาตาข้าเกือบบอดเลย!”
“นี้มันยิ่งกว่าที่คิดไว้ซะอีก! จริงสิ ยูริน ตั้งชื่อดาบเล่มนี้ให้หน่อย”
“…ดาบศิลาเย็น”
“ศิลาเย็นเหรอ…”
ผมลองจับที่ใบดาบ รู้สึกเย็นจริงๆ ด้วย และพอตรวจสอบดูอีกที ชื่อมันก็ขึ้นมาแล้ว
ดาบศิลาเย็น ระดับ World
เอ๋? มีคำว่าแปลกๆ โผล่มาด้วย
“ยูริน ลองตรวจสอบดูหน่อยสิ เห็นคำแปลกๆ มาด้วยหรือเปล่า”
ยูรินใช้สกิลตรวจสอบกับดาบศิลาเย็นตามที่ผมบอก และดวงตาที่นิ่งสนิทของเธอ ก็ขยายจนโตขึ้นมาเป็นเท่าตัว
“อะ อาวุธระดับ World!!!”
“เห็นเหมือนกันใช่ไหม แล้วมันคืออะไรเหรอ?”
“อาวุธระดับ World เป็นอาวุธที่จะมีชิ้นเดียวในโลกเท่านั้น อาวุธของผู้กล้าที่ใช้ล้มจอมมารที่แล้วๆ มาก็เป็นอาวุธระดับ World ทั้งนั้น”
“หรือก็คือจะไม่มีทางสร้าง ดาบศิลาเย็น ขึ้นมาได้อีกแล้วเหรอ”
ว่าแต่ถ้ามีพลังขนาดที่ว่าจริง แล้วมาให้จอมมารอย่างผมถือมันจะดีเหรอเนี่ย
“สร้างได้ แต่คงได้ในระดับคุณภาพที่ตํ่ากว่า ดาบเล่มนี้ข้าทุ่มเททุกอย่างลงไป ข้าใส่ความตั้งใจลงไปทุกครั้งที่ลงค้อน ทั้งหมดเพื่อตอบแทนสิ่งที่นายท่านทำให้กับข้า จนรู้สึกได้เลยว่าไม่สามารถทำออกมาได้แบบนี้อีกแล้ว”
“ยูริน…ขอบใจนะ”
เล่นพูดแบบนี้ผมคงเอาไปขายหรือยกให้คนอื่นไม่ได้แล้วล่ะ
“เดี๋ยวจะทำฝักดาบให้”
“อ่ะ เดี๋ยวก่อนยูริน มาดูของพวกนี้ก่อนสิ”
ผมเทเอาพวกอาวุธพังๆ ออกมา และอธิบายวัตถุประสงค์ให้ยูรินฟัง
“แบบนี้เอง ได้แร่ดีๆ มาในราคาถูก กำลังอยากได้แร่มาผสมกับหินทะเลลึกอยู่พอดี”
ยูรินดูท่าจะถูกใจแฮะ ส่วนเอสเตอร์เองก็เปิดผ้าปิดตาและมองดูกองซากอาวุธ ก่อนจะรีบชี้ไปที่หอก
“หอกอันนี้ยังมีแสงสดใสอยู่ ถ้าซ่อมได้จะต้องเป็นของดีแน่ๆ”
“จัดไปเลย ยูรินซ่อมได้ใช่ไหม”
“ได้อยู่แล้ว”
ตอนนี้โปรเจคผลิตอาวุธไปได้สวยทีเดียว พอมีเอสเตอร์เข้ามาช่วย ก็ทำให้หาอาวุธดีๆ ที่พอซ่อมได้มาอีกทาง คาดหวังได้สินะเนี่ย
วันนี้มีแต่เรื่องดีๆ โชคกำลังเข้าข้างผมเหรอเนี่ย ไม่สิ ไม่ใช่โชคหรอก มันมาจากความพยายามของทุกคนต่างหาก
ผมคิดว่าเย็นนี้จะต้องตอบแทนทุกคนสักหน่อย เลยขอยูรินให้ช่วยทำกระทะใบใหม่ให้ พออธิบายไปยูรินก็ทำหน้าสงสัย เพราะมันไม่เหมือนกระทะที่ใช้ในครัวเลย แต่เธอก็ทำให้ทันที ถ้าเป็นพวกข้าวของเครื่องใช้ เธอจะทำได้เร็วมาก เพราะตอนอยู่กับนายช่างใหญ่ เธอก็ได้ทำแต่งานพวกนี้จนชำนาญ
ผมเอากระทะที่ยูรินทำให้ มาลงวงจรเวท แล้วก็ไปรบกวนเรโมริก้าให้ช่วยใส่เวทมนต์ลงไปอีกครั้ง
“หาเนื้อเพิ่มอีกหน่อยดีกว่า”
ผมไปดูในกระเป๋าวัตถุดิบ ส่วนของเนื้อที่ล่ามาคราวก่อน ใกล้จะหมดแล้ว ผมเลยคิดว่าจะไปล่าวัวหาเนื้อกับเนยมาเพิ่มสักหน่อย
แต่ยูรินกำลังยุ่งอยู่ ส่วนฟรานก็กำลังนอนหนุนตักเรโมริก้าอยู่ ผมเลยไม่อยากปลุกเธอ เลยไปกันกับเดเม่แค่สองคน
พอเดินผ่านถนนออกมา ก็เห็นพวกดาเซสกำลังทำกำแพงอยู่ แถมท่าทางจะใกล้เสร็จแล้วด้วย เพราะตอนนี้ทุกคนที่ว่างงานอยู่ก็มาช่วยกันหมด ทั้งโมอา โรสลิน จามิร่า ซาคุยะ ดอเรีย กิน เอร่า…เอ่อ รายสุดท้ายมานั่งเล่นด้วยมากกว่าจะมาช่วยแฮะ
“นายท่านจะออกไปข้างนอกเหรอ”
ดาเซสพอเห็นผมเดินมาก็ร้องทักทันที
“อืม จะออกไปล่าเนื้อมาเพิ่มน่ะ”
“เนื้อ! หรือว่าคืนนี้จะเป็นสเต็กเนื้อ!”
พอพูดถึงสเต็กหลายคนก็พากันนํ้าลายไหล แต่คนที่ไม่รู้จักก็ได้แค่เอียงคนด้วยความสงสัย
“เปล่าๆ ไม่ใช่สเต็กหรอก แต่รับรองอร่อยไม่แพ้กัน”
“อย่างไงอาหารของนายท่านก็อร่อยทุกอย่างอยู่แล้ว”
ดาเซสท่าทางราวกับจะรอให้ถึงมื้อเย็นไม่ไหว แต่ระหว่างที่หยุดคุยกันอยู่นั้นเอง เมยอาก็วิ่งตามหลังผมมาทัน และรีบทักขึ้นมา
“นายท่าน ที่ให้ทำเสร็จแล้ว”
เมยอาชูสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมา มันเป็นข้อมูลของทุกคน ทั้งอายุ ถิ่นกำเนิด และวันเกิด
“ขอบใจนะเมยอา ทำเร็วดีจริงๆ”
ผมพึ่งวานให้เธอทำเมื่อตอนบ่ายนี้เอง ถึงจะไม่ได้ทำยากอะไร แต่ต้องคอยวิ่งไปถามทีละคน มันเป็นงานที่ยุ่งยากทีเดียว ผมรับมาพลิกดู จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่เดเม่ เพราะของเธอไม่มีทั้งถิ่นกำเนิดและวันเกิดเขียนไว้
“คือหนูถูกนายผู้หญิงเก็บมาเลี้ยงค่ะ นายผู้หญิงบอกว่าเจอหนูถูกทิ้งไว้ที่ข้างถนน เลยไม่มีข้อมูลอะไรเลย ต้องขอโทษด้วยค่ะ”
“เอ่อ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษหรอก”
ผมทำหน้านึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใส่วันเกิดของเดเม่ลงไปเอง มันคือวันแรกที่เธอมาอยู่กับผม
“จากนี้ไปเธอมีวันเกิดแล้วนะ”
“ขอบคุณค่ะนายท่าน!”
เดเม่รีบเช็ดนํ้าตาที่ไหลพรากออกมา วันนี้เดเม่ร้องไห้บ่อยไปแล้วแฮะ
ผมพาเดเม่ออกไปล่าวัวกันต่อ โดยงานนี้เป็นผมที่จัดการคนเดียว เพราะต้องการทดสอบดาบศิลาเย็น ซึ่งผลมันยิ่งกว่าที่คาดซะอีก เพราะเพียงแค่ฟันลงไปเบาๆ ก็ผ่าร่างวัวจนขาดกลางเลย ถึงเพราะเลเวลจะเพิ่มขึ้นมาจากครั้งก่อนด้วยก็เถอะ แต่หลักๆ มันมาจากดาบศิลาเย็นเนี่ยล่ะ
เพื่อทดสอบความแรง ผมเลยเปลี่ยนไปใช้มีดมังกรสมุทรดู อันนี้ก็แทงทีเดียวจอดเหมือนกัน แต่ไม่ขนาดตัดผ่าร่างได้เหมือนดาบศิลาหิน เดเม่ที่ยืนดูอยู่ตบมือและชมผมใหญ่เลย เอ่อ เขินๆ แฮะ เหมือนมีสาวๆ มาคอยเชียร์ตอนแข่งกีฬาไม่มีผิด
ด้วยที่ผมจัดการพวกวัวได้ในทีเดียว เลยไม่ต้องล่อมาทีละตัว และเดินฝ่าไปกลางฝูงมันได้เลย ส่วนเดเม่ก็มีหน้าที่เดินเก็บพวกไอเท็มดรอปใส่กระเป๋า ซึ่งของเดเม่นั้นมีทั้งกระเป๋าจอมโกงทั้งแบบใบเล็กและใบกลางเลย แต่เห็นว่าใบเล็กแค่ใส่ข้าวของเครื่องใช้ประจำตัว พื้นที่ก็เกือบจะเต็มแล้ว
การล่าคราวนี้ไม่ได้ทั้งเลเวลและสกิลอะไรเพิ่มขึ้นมา แต่ใช้เวลาน้อยกว่าตอนมาคนเดียวเยอะเลย เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผมก็เก็บวัตถุดิบได้ตามเป้าแล้ว อ้อ
แถมโชคดีได้คริสตัลวิญญาณมาก้อนหนึ่งด้วย เป็นก้อนแรกเลยที่ได้นอกพื้นที่ดันเจี้ยนนํ้าตก
ผมใช้มันกับดาบศิลาเย็นทันที สกิลที่ปลดล็อคออกมาได้คือ
Perfect Sword (Passive skill) เพิ่มพลังโจมตีถาวรให้อาวุธ 1,000
…ไม่รู้จะบอกไงดีเลย แค่ไม่มีสกิลก็รู้สึกว่าพลังโจมตีมันโหดมากแล้วนะ นี้ยังได้สกิลที่บวกความโหดที่ว่าไปอีก อืม แบบนี้สินะความรู้สึกของพวกที่ได้สกิลโกงๆ มา
ผมลองทดสอบอีกครั้งกับพวกวัวที่น่าสงสาร แต่ไม่รู้สึกถึงความต่างเลย บางทีต้องไปลองกับตัวที่เก่งกว่านี้
หลังจากเสร็จธุระกับพวกวัวแล้ว ผมก็ชวนเดเม่กลับทันที จริงๆ อยากจะทำกับเดเม่สักรอบก่อนกลับนะ แต่แถวนี้มีปาร์ตี้อื่นมาล่าวัวเหมือนกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกหน้าใหม่รุ่นเดียวกับผมเนี่ยล่ะ
ตอนที่ผมเดินผ่านไป ก็เห็นปาร์ตี้ขนาดสามคน ซึ่งล้วนแต่เป็นเด็กอายุ 14-15 กำลังช่วยกันล่าวัวอยู่ พวกนี้ทำได้ไม่ดีเท่าไร เพราะคนที่เป็นตัวล่อขยับตัวช้าไป เลยโดนวัวพุ่งชนเข้าไป กระเด็นมาทางผมพอดี เลยรับตัวไว้ไม่ให้ไปกระแทกพื้น
ท่าทางจะสาหัสเอาเรื่อง ผมเข้าใจดีเลยล่ะ เคยโดนมาเหมือนกัน แถมสถานการณ์เริ่มแย่ เพราะพวกนี้อยู่ใกล้ฝูงวัวมากเกินไป ตัวอื่นๆ เริ่มทำท่าขยับเข้ามาช่วยพรรคพวกแล้ว
“นายท่านคะ ขอช่วยเด็กพวกนี้ได้ไหมคะ”
เดเม่ถามกับผม คงสังเกตเห็นเหมือนกัน ว่าถ้าทิ้งไว้เด็กพวกนี้ไม่รอดแน่
“เอาสิ”
ผมตอบขณะหยิบยาฟื้นพลังขึ้นมา กรอกให้กับเด็กหนุ่มที่พึ่งโดนวัวพุ่งชน ส่วนเดเม่ไม่ได้ขยับออกไป เพียงแต่หยิบอาวุธออกมาจากกระเป๋าตรงผ้ากันเปื้อน
ที่เธอหยิบออกมาไม่ใช่ธนู แต่เป็นหัวลูกศรที่หักแล้ว เหมือนเธอจะเก็บเอาพวกลูกศรที่พังไป เอาไว้ด้วยทั้งหมดเลย เดเม่จับหัวลูกศรก่อนจะสะบัดมือออกไป ทั้งรวดเร็วและเรียบง่าย แต่หัวลูกศรพุ่งทะลุหัวของวัวราวกับถูกยิงด้วยลำแสง วัวตัวอื่นก็มีซะตากรรมแบบเดียวกับ ทุกตัวตายด้วยการซัดหัวลูกศรของเดเม่เพียงครั้งเดียว แถมระยะไกลสุดที่เธอปาได้คือเกือบห้า
สิบเมตรทีเดียว หรือว่านี้เป็นผลของสกิล Battle maid lv2 ไม่อยากจะคิดแล้วล่ะ น่ากลัวจริงๆ
ไม่ใช่ผมที่ตะลึงหรอกนะ พวกเด็กๆ ก็พากันตะลึงไปด้วย จนมีคนทำอาวุธหลุดมือเลย
“เมดล่ะ!?”
“เมดจริงๆ ด้วย!”
“อายุก็พอๆ กับพวกเราด้วยนะ”
ทุกคนมองมาที่เดเม่ โดยไม่มีผมอยู่ในสายตาเลย เฮ้ย ผมก็ช่วยรักษาแล้วไง ไม่เห็นความสำคัญเลยเหรอ
แต่เดเม่กลับไม่สนใจสายตาที่รุมจ้องเลย เธอมองมาที่ผมและชวนออกเดินทางต่อ แต่ก่อนจะไปผมใช้ตรวจสอบกับพวกเด็กๆ ดู
“…พวกเธอยังเลเวลน้อยเกินไป ควรไปเก็บเลเวลที่ลูปันชั้นหนึ่งต่ออีกสักหน่อยก่อนนะ”
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วมันเร็วไป”
เจ้าคนที่โดนวัวชนรีบหันไปบอกพวกเพื่อนๆ
“แต่ฉันอยากกินเนื้อนี่น่า แถมที่ลูปันพวกเราแทบไม่ได้อะไรกลับมาเลย”
“งั้นก็เอาเนื้อที่ดรอปไปด้วยสิ พวกพี่ได้มาพอแล้ว”
ผมชี้ไปยังพวกไอเท็มดรอปที่มาจากฝีมือของเดเม่
“หะ ให้พวกเราจริงเหรอ!”
“อืม เอาไปเลย”
ผมบอกเสร็จก็เดินจากมาทันที แต่ถึงจะไม่ต้องหันไปดู ก็รู้ว่าพวกเด็กๆ กำลังดีใจมาก จะว่าไปเนื้อพวกนี้ก็มีราคาอยู่พอสมควรนี่น่า รายได้ดีกว่าลูปันชั้นหนึ่งแบบเทียบไม่ติดเลย
แต่การที่เดเม่เสนอตัวออกไปช่วยคนอื่นเนี่ย ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดีแฮะ

ตอนที่ 73 อาร์ชบิชอป

ผมวางแผนไว้ว่าจะแวะไปรับมอเรียตอนขากลับด้วยกันเลย แต่ยังพอมีเวลา จึงพาเดเม่ไปที่ตลาดเพื่อหาซื้อของบางอย่างสำหรับคืนนี้
“นายท่านซื้อเทียนไขไปทำไมเหรอคะ? ก็ที่คฤหาสน์มีตะเกียงอยู่แล้ว”
เดเม่ถามผมหลังจากที่เห็นผมซื้อเทียนไขเล่มเล็กๆ ไปเป็นจำนวนมาก เทียนไขเป็นสินค้าที่ราคาค่อนข้างแพงด้วย
“ก็เอาไว้ใช้ในบางโอกาสน่ะ”
“???”
เดเม่ดูท่าทางจะไม่เข้าใจ แต่เธอก็ไม่ซักอะไรผมต่อ
แต่ตอนที่เดินตลาดผมต้องระวังตัวพอสมควร เพราะเดเม่เป็นที่สนใจมาก ทั้งๆ ที่เธอมาออกจะบ่อย จนทุกคนน่าจะเริ่มคุ้นแล้วแท้ๆ แต่ถึงอย่างนั้นสายตาที่มองมาที่เธอก็ไม่เคยลดจำนวนลงเลย ที่ต้องระวังก็คือพวกที่คิดจะเข้ามาทำมิดีมิร้ายเธอไงล่ะ
อย่างตอนที่เดินผ่านโต๊ะซึ่งกำลังตั้งวงดื่มเหล้ากันแต่หัววัน ก็มีคนหนึ่งยื่นมือออกมาทำท่าจะจับก้นของเดเม่ แต่ผมมองอยู่ เลยดึงให้เดเม่หลบมาได้ทัน เซฟแบบหวุดหวิด ไม่ใช่เซฟเดเม่น่ะ เซฟมือของไอ้ขี้เหล้านั้นต่างหาก ขืนมันแตะถูกเดเม่มีหวังเธอหยิบเอาอีโต้ออกมาสับมือเจ้านั้นขาดแน่
นี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมยังไม่เข้าใจ ผู้ชายที่โลกนี้ส่วนใหญ่มีความเก็บกดทางเพศสูงมาก กว่าครึ่งมีแนวโน้มที่จะก่ออาชญากรรมทางเพศขึ้นมาได้เลย แต่ในทางกลับกันมูลค่าของหญิงสาวในโลกนี้กลับถูกมาก ผมเลยไม่เข้าใจว่า ในเมื่อเพียงจ่ายเงินเล็กน้อย ก็สามารถไปปลดปล่อยความเสี่ยนได้แล้ว ทำไมส่วนใหญ่ถึงยังเก็บกดกันอยู่อีก ไม่เข้าใจจริงๆ
พอซื้อของเสร็จผมก็ตรงไปที่กิลกันทันที ถึงจะยังไม่ถึงเวลาเลิกงานของมอเรีย แต่ไปนั่งดื่มเบียร์รอที่ด้านหน้าก็ได้
ผมโผล่หน้าไปให้มอเรียเห็นสักหน่อย เธอดูดีใจมาก เพราะไม่เห็นผมโผล่มาที่กิลหลายวันแล้ว แถมวันนี้ผมยังมารอกลับพร้อมกับเธอด้วย มอเรียเลยยิ้มไม่หุบเลย ระหว่างรอผมก็เดินไปดูที่กระดานเควส มีเควสใหม่ๆ เข้ามาเยอะทีเดียว ไว้พรุ่งนี้พาพวกฟรานมาทำดีกว่า
พอกลับมานั่งรอที่ด้านหน้า ผมก็สั่งเบียร์มาดื่ม ส่วนของเดเม่เป็นนํ้าผลไม้ที่เตรียมมาเอง พวกสาวๆ นี้ไม่ยอมแตะของกินนอกบ้านเลยแฮะ จะว่าไปเบียร์ราคาถูกกว่าเหล้า แถมที่บ้านก็ยังไม่มี ซื้อไปเผื่อยูรินสักถังสองถังดีกว่า ว่าแล้วผมก็ขอซื้อเบียร์มาสองถังไม้ แล้ว
จับยัดใส่กระเป๋าจอมโกงไป พอไม่ต้องห่วงเรื่องนํ้าหนักแล้วเนี่ย เก็บของสบายกว่าเดิมเยอะเลย
ระหว่างนั่งซดเบียร์ไป ก็มีนักผจญภัยเข้ามาทัก แต่ไม่ได้ทักผมหรอกนะ มาทักเดเม่กัน ส่วนใหญ่ก็มาชวนเธอเข้าปาร์ตี้ แน่นอนว่าเดเม่ปฏิเสธไปหมด เนื้อหอมจนน่าอิจฉาเลยแฮะ ผมเลยแก้เซ็งด้วยการใช้มองทะลุ สำรวจรสนิยมกางเกงในของสาวๆ เพื่อฆ่าเวลา
แต่จู่ๆ ผมก็เจอปาร์ตี้หนึ่งที่ใช้มองทะลุไม่ได้ ส่วนใหญ่ในปาร์ตี้นั้นล้วนเป็นนักบวชไม่ก็อัศวินศักดิ์สิทธิ์
ชุดสีขาวล้วนด้วย เป็นพวกจากโบสถ์ใหญ่สินะ ผมเลยเปลี่ยนไปใช้ตรวจสอบกับพวกนั้นดู
โห! เลเวลสูงเอาเรื่องเลยแฮะ ทุกคนเลเวล 50 ขึ้นไป อุปกรณ์ส่วมใส่ก็เป็นของดีซะด้วย เป็นปาร์ตี้ทำภารกิจของโบสถ์ใหญ่สินะ แล้วผู้หญิงที่อยู่ตรงกลาง
เลเวลสูงถึง 100 เลย! พึ่งเคยเห็นเนี่ยล่ะ มนุษย์ที่เลเวลถึงร้อย
แย่แล้ว! ผมจ้องเธอมากไปจนอีกฝ่ายรู้ตัว และหันกลับมาจ้องสบตากับผม
“มีอะไรเหรอครับ ท่านอาร์ชบิชอป”
อัศวินหนุ่มในชุดเกราะเต็มยศถามกับหญิงสาวตรงกลางที่หันมามองผม
“…”
เธอไม่พูดอะไร แต่เดินตรงดิ่งมาทางผมทันที และพอเข้ามาใกล้ก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ และดึงขวดนํ้ามนต์ออกมาสาดใส่หน้าผมทันที
“…”
ผมยกเบียร์ขึ้นดื่มต่อ ทั้งๆ ที่เปียกนํ้ามนต์อยู่ เดเม่รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดให้ผมอย่างกระวนกระวาย พลางหันไปมองอย่างเอาเรื่องกับอีกฝ่าย จนพวกอัศวินกับนักบวชคนอื่นต้องรีบเข้ามาล้อมป้องกันหญิงสาวไว้
“นี้เราเข้าใจผิดเหรอ?”
เธอยังจ้องผมไม่ว่างตา ผมยังทำเป็นเฉยอยู่ แต่พอเดาได้แล้วล่ะว่าเธอคงจับสัมผัสของจอมมารอย่างผมได้จางๆ แต่โทษทีนะ นํ้ามนต์ทำอะไรผมไม่ได้หรอก ก็ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในฐานะจอมมารนี่น่า ไม่สิถึงจะเปลี่ยนสถานะแล้วแค่นํ้ามนต์เท่านั้นนี้ไม่สะกิดผิวหรอกนะ
“เดเม่ช่างเถอะ”
ผมบอกกับเดเม่ที่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ถ้าเธอดึงอาวุธออกมามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมเลยห้ามไว้
“…ค่ะ นายท่าน”
เดเม่กลับลงมานั่งที่เดิม ส่วนผมก็ไม่อยากยุ่งกับพวกโบสถ์ใหญ่ เลยไม่ได้พูดอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แค่คำขอโทษสักคำก็ไม่มี สมเป็นพวกโบสถ์ใหญ่ที่คิดว่าตัวเองใหญ่คับโลกจริงๆ
“เจ้า ชื่ออะไร”
คุณอาร์ชบิชอปถามผม
“…”
แต่ผมไม่สนใจกลับไปดูกางเกงในสาวๆ และนั่งซดเบียร์ต่อ
“นี้แก! ท่านอาร์ชบิชอปเรเดียถามอยู่นะ!”
“อยู่ๆ ก็เอานํ้ามาสาดหน้า และยังวางท่าใหญ่โตอีก นี้จะมากวนส้นตีนกันใช่ไหม”
พอหันไปพูดกับเจ้าอัศวินจอมกร้าน ทั้งลานเบียร์ก็พากันหัวเราะครืนใหญ่ คงแอบสะใจเหมือนกัน หรือว่าในเมืองนักผจญภัยแห่งนี้ พวกโบสถ์ใหญ่จะไม่เป็นที่นิยมหรือไงนะ? จะว่าไปก็ไม่เห็นมีสาขาของโบสถ์ใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองด้วยสิ
“แกเจ้ามารศาสนาบังอาจลบลู่ท่านอาร์ชบิชอปเรเดียเหรอ!”
เจ้าอัศวินจอมกร้านชักดาบออกมา แต่ผมยังเฉยอยู่ ก็ลองมันโจมตีเข้ามาสิ สนุกแน่งานนี้
“มารศาสนาเหรอ น่าจะใช่แฮะ เมื่อสองสามวันก่อนฉันยังไปอึบพระเจ้ามาแล้วเลย”
ก็ไม่ได้โกหกซะทีเดียวหรอกนะ
“ไอ้บัดซบ!”
นอตหลุดจนได้ เนี่ยเหรอคนที่เรียกตัวเองว่าผู้นับถือศาสนา น่าจะเรียกว่าพวกนับถืออีโก้ตัวเองมากกว่านะ ขณะที่อัศวินจอมกร้านฟันดาบใส่ผม เดเม่ก็ลุกขึ้นมาและใช้อีโต้ฟันดาบของอัศวินจนหักเลย…นี้อีโต้แหล่มกว่าดาบอัศวินเหรอฟ่ะ! พอผมหายตะลึงก็แตะไปที่แขนของอัศวิน และใช้สัมผัสราคะแบบ +30% กะเอาแค่ให้ดุ้นตั้งชันต่อหน้าธารกำนัลสักหน่อย
แต่เชื่อเลยภายในเปลือกของผู้อ้างตนว่านับถือศาสนา จะมีความดำมืดที่เผ่าปีศาจอย่างผมยังต้องรู้สึกนับถือมัน
เจ้าอัศวินพอถูกกระตุ้นความเงี่ยน ก็ถึงกับขาดสติ หันกลับไปพุ่งใส่อาร์ชบิชอปทันที แต่นักบวชสาวเข้ามาห้ามไว้ เลยถูกเจ้าอัศวินจับฉีกเสื้อผ้าหมายจะขืนใจแทน อาร์ชบิชอปยืนหน้าซีดทำอะไรไม่ถูก ขณะที่อัศวินคนอื่นๆ ช่วยกันรีบเข้ามาจับตัวเจ้าอัศวินจอมกร้าน ที่ตอนนี้กลายร่าง เป็นอัศวินจอมเงี่ยนไปแล้ว
“นายท่านไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ”
เดเม่ไม่สนใจความวุ่นวายของพวกโบสถ์ใหญ่ และหันมาถามผมด้วยความเป็นกังวล
“ไม่สักนิด ต้องขอบใจเดเม่ล่ะนะ แต่พวกเราย้ายที่กันเถอะ ตรงนี้บรรยากาศไม่ดีแล้ว”
ผมลุกขึ้นขณะวางเงินค่าเบียร์ลงบนโต๊ะ แต่อาร์ชบิชอปก็สังเกตเห็นผม เลยรีบตะโกนห้ามไว้
“เดี๋ยวก่อน แกยังไปไหนไม่ได้! แกน่ะจริงๆ แล้วเป็นปีศาจใช่ไหม”
ผมหยุดเดินและหันกลับไปทางอาร์ชบิชอป พลางคิดไปว่าจะจัดการเธออย่างไงดี บอกตามตรงเลเวลเธอเยอะก็จริง แต่ผมก็มั่นใจว่าถ้าสู้กันผมชนะได้อยู่ดี หรือไม่ก็ถ้าสู้ไม่ได้ผมก็ยังหนีด้วยใบวาปร์ได้อีก แต่ก่อนที่จะลงมือหรือพูดอะไรออกไป ก็มีกลุ่มบุคคลที่สามแทรกเข้ามาซะก่อน
“ถูกต้องแล้วล่ะ โรมะคือปีศาจ”
ผมหันไปมองคนที่พูดทันที และก็ไม่ใช่ใครที่ไหน โกร่าและปาร์ตี้ของเธอนั้นเอง
“เห็นแบบนี้ก็เถอะ แต่พอขึ้นเตียงเมื่อไร เขาก็จะกลายเป็นปีศาจที่พร้อมจะขยี้นํ้ากามใส่ผู้หญิงทุกคนเลย”
“ดุ้นของโรมะ…เป็นปีศาจอย่างแน่นอน”
“จัดการพวกข้าทั้งสี่คนพร้อมกัน ไม่เรียกว่าปีศาจก็แปลกแล้ว”
นี้จะมาช่วยหรือจะมาประจานกันแน่ฟ่ะ! แล้วนั้นไงเริ่มมีเสียงซุบซิบนินทามาแล้ว
“แค่ปราบสัตว์กินเนื้อคนเดียวข้าก็ว่าโคตรเจ๋งแล้วนะ แต่นี้เล่นเอายกปาร์ตี้เลยเหรอ! แถมเป็นปาร์ตี้สาวเถื่อนแห่งกรอซ่าเลยนะ!”
“ไอ้โง่ไม่ได้ยินเหรอ เธอบอกว่าพร้อมกันด้วยนะเฟ้ย!”
“แมร่งต้องใช้ยาแน่ๆ ไม่ก็ต้องแอบสลับตัว หรือแมร่งจะเป็นแฝดสี่ว่ะ!”
“โกร่าน่ะช่างเถอะ แต่ทีโมทีมีสามีแล้วนะ นี้แมร่งยังไม่ละเว้นอีก เถื่อนตัวพ่อเลย!”
“ขนาดบลูมตัวเท่าเด็กแมร่งยังเย็ด มรึงจะเอาอะไรกับมันว่ะ”
พอดีเถอะ เดี๋ยวผมก็ได้ฉายาประหลาดๆ มาอีกหรอก แค่ไอ้ตำนานอะไรนั้น ก็โดนล้อไปชั่วลูกชั่วหลานแล้ว แต่ท่ามกลางเสียงซุบซิบ อาร์ชบิชอปก็ตะโกนออกมา
“พวกเธอถูกอำนาจชั่วร้ายของปีศาจควบคุมจิตใจอยู่นะ!”
พล่ามอะไรฟ่ะ! ตูไม่ใช่ฟรานนะเฟ้ย จะได้ไปควบคุมจิตใจใครได้
“แล้วไง ตอนโดนควยของโรมะเสียบเข้าไปในหี มันรู้สึกดีแทบตาย ต่อให้โดนควบคุมจิตใจจริง ข้าก็ชอบล่ะ ฮ่าๆๆ”
โกร่าก็ยังเป็นโกร่าอยู่วันยันคํ่า กล้าพูดเรื่องแบบนี้โดยไม่อายเลยแม้แต่น้อย
“ฉันเป็นทาสนํ้ากามเขาแล้ว จะบอกว่าโดนควบคุมอยู่ก็ได้ แต่ฉันก็ยินยอมพร้อมใจนะ”
ทีโมทีก็ยอมรับหน้าตาเฉยเลย! เดี๋ยวสิ สามีเธอไม่ได้อยู่แถวนี้ใช่ไหม
“จิตใจของข้าคงโดนดุ้นของโรมะควบคุมไปแล้วจริงๆ”
คายุนเองก็เอากับเขาด้วยแถมบลูมก็พยักหน้าเห็นด้วยอีกต่างหาก
“เฮ้ย โรมะแกคือฮีโร่ของข้าเลยว่ะ!”
“ท่านเทพโรมะ!”
“เทพดุ้นพิชิตสาวโรมะ!”
“พอแล้วโว้ย! เดี๋ยวผมก็ได้ฉายาพิลึกๆ มาอีกหรอก!”
ผมรีบตะโกนห้ามพวกกองเชียร์ทันที เริ่มกู่ไม่กลับกันแล้ว ขนาดยกให้เป็นเทพดุ้นเลยเนี่ยนะ มันเอาสมองส่วนไหนคิดกันฟ่ะ!
แต่สำหรับทุกคนแล้วมันไม่แปลกเลยที่จะคิดแบบนี้กัน ก็ปาร์ตี้ของโกร่าชื่อดังจะตายไป ขนาดที่ไม่มีผู้ชายคนไหนพิชิตพวกเธอได้มาก่อน แต่นี้ผมใช้เพียง
แค่ดุ้นก็สยบพวกเธอทั้งหมดได้ จะไม่ให้ทุกคนรู้สึกนับถือขึ้นมาได้อย่างไงกัน
“บะ บ้าไปแล้ว ชาวเมืองกรอซ่า ถูกความชั่วร้ายของปีศาจครอบงำกันไปหมดแล้ว!”
“เธอเองก็เลิกบ้าสักที ที่เจ้าพวกนี้มันเพี้ยนไม่เกี่ยวกับว่าเพราะใครหรือเพราะอะไรสักหน่อย ถ้ายังไม่เลิกชอบโยงเรื่องเอาเอง แล้วไม่เลิกโทษว่าทุกอย่างเป็นเพราะปีศาจ ระวังภัยจะมาถึงตัวนะ”
ใช่ผมนี้แหละภัยที่พวกเธอต้องระวัง เกิดผมหมดความอดทนขึ้นมาเมื่อไร ได้มีเทศกาลเปิดซิงนักบวชสาวแน่
“ท่านเทพดุ้นพูดได้ดี ข้าขอดื่มให้!”
“พวกแกก็เลิกเรียกผมแบบนั้นสักทีเถอะ!”
ผมต้องรีบหยิบเอาบัตรกิลขึ้นมาตรวจดูเลย กลัวจริงๆ นะเนี่ยว่าจะมีฉายาโผล่ออกมา โชคดียังดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อาร์ชบิชอปเรเดียยังไม่เลิกบ้า คว้าเอาดาบของอัศวินขึ้นมา และตรงเข้ามาจะทำร้ายผม แต่บอกตามตรง ท่าทางของเธอมันมือใหม่ชัดๆ เล่นเหวี่ยงดาบซะกว้างขนาดนั้นจะไปตัดต้นไม้ที่ไหนเหรอ
แต่ผมไม่ต้องหลบสักนิด เพราะทั้งเดเม่และพวกโกร่าเข้ามาขวางไว้ โกร่าใช้เพียงสองนิ้ว ก็คีบหยุดดาบของเรเดียได้แล้ว
“อย่าคิดว่าเป็นอาร์ชบิชอปแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ ที่กรอซ่าคือเมืองของนักผจญภัย ไม่ใช่ที่ที่พวกโบสถ์ใหญ่จะมาทำซ่าได้ ถ้าคิดจะมีเรื่องกับนักผจญภัยก็เอาเลย พวกแกล่ะว่าไง!”
พอโกร่าตะโกนถาม พวกผจญภัยที่ดื่มเหล้ากันอยู่ ก็พากับจับอาวุธแล้วชูขึ้นพร้อมโห่ร้อง
“ฆ่าแมร่งเลย!”
“ยินดีต้อนรับสู่กรอซ่า”
โกร่าบอกพร้อมกับผลักตัวเรเดียกลับเข้าฝูงไป
เถื่อนสมกับเป็นเมืองนักผจญภัยจริงๆ แฮะ ถึงว่าทำไมกฎหมายของประเทศเอามาใช้กับที่นี้ไม่ได้ ที่เมืองนี้ถ้าคุณมาเดินเหยียบตื่นนักผจญภัย แล้วถูกฆ่าตายไป คนอื่นจะมาเอาโทษอะไรไม่ได้เลย อย่างมากแค่วิ่งไปฟ้องกิลนักผจญภัยแล้วยอมเสียเงินตั้งค่าหัวเพื่อล้างแค้นเท่านั้น กับที่นี้คุณจะต้องอยู่ให้เป็นอยู่ให้รอด นั้นถึงจะเรียกว่าเป็นนักผจญภัย
อาร์ชบิชอปเรเดีย เหมือนจะเริ่มรู้ตัวเหมือนกัน เลยเลิกตอแหยผม ใช่เลิกไปซะเถอะเสียเวลาเปล่า ถึงเธอจะเป็นฝ่ายถูกก็เถอะ แต่ผมเป็นจอมมารแล้วไง ผมอยู่ที่เมืองนี้ในฐานะนักผจญภัยนะ ถ้าผมไม่แสดงตัวซะอย่าง อมพระพุทธรูปมาพูด ก็ไม่มีใครเชื่อหรอก
พวกเธอยอมถอยกลับไป โดยลากเอาอัศวินหื่นแตกที่โดนจับมัดอยู่ไปด้วย
“ให้ตายสิเจ้าพวกนี้ ดันเจี้ยนมีตั้งเยอะแยะไม่ไป ดันมาที่กรอซ่าซะได้”
“ขอบใจนะโกร่า แต่ว่ารู้จักพวกนั้นด้วยเหรอครับ”
“ไม่อยากจะรู้จักหรอก แต่พวกนั้นมาที่นี้สองสามเดือนครั้ง ทุกครั้งที่มาก็จะเอาพวกบิชอปหรืออาร์ชบิชอปมาดูดเลเวลด้วย”
“จะว่าไปที่ลูปันก็เป็นดันเจี้ยนที่มีพวกอันเดดเยอะซะด้วยสิ”
ผมพึ่งนึกได้ ว่าลูปันคือดันเจี้ยนประเภทสุสาน ในชั้นลึกๆ เป็นจุดที่เหมาะกับการเก็บเลเวลของทางนักบวช พอฟังโกร่าอธิบาย ก็ยิ่งเข้าใจได้มากขึ้น
พวกนักบวชจะมาว่าจ้างนักผจญภัยเลเวลสูงๆ ไปด้วยกลุ่มหนึ่ง แล้วจะลงไปปักหลักที่แถวๆ ชั้น 11-12 ซึ่งเป็นจุดลึกสุดที่ลงกันไปถึงในตอนนี้ และจะตั้งค่ายพักทำฟาร์มเลเวลเป็นเวลาหลายวันเพื่อเพิ่มเลเวลให้กับพวกบิชอปและอาร์ชบิชอป โดยที่พวกนั้นไม่ได้ลงมือสู้เองเลย มาแค่นั่งดูดเลเวลเท่านั้น คนที่สู้บ้าง
ตอนจำเป็นก็เป็นแค่พวกนักผจญภัย นักบวชระดับล่างและเหล่าอัศวินศักดิสิทธิ์
“แล้วโกร่าจะไปกับพวกนี้ด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ล่ะ ถึงจะเป็นเควสที่เงินดี แต่พวกข้าไม่ชอบนิสัยของนักบวช พวกมันเห็นแก่ตัวไม่ฟังใคร โง่อีกต่างหาก”
“โดนนักรบเถื่อนด่าว่าโง่นี้ เป็นผมคงฆ่าตัวตายไปแล้วล่ะ”
ใช่อาชีพนักรบเถื่อนน่ะเป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้ค่าความฉลาดสักนิดในการเปลี่ยนเลย ต่อให้สติปัญญาเป็นศูนย์ก็เปลี่ยนได้
“ข้าอยากจะชวนแกไปเย็ดกันหรอกนะ แต่พอดีพวกข้ามีเควสต้องไปทำกันก่อน”
“เควสอะไรเหรอครับ?”
“เควสกำจัดบอสชั้นสิบที่ลูปันน่ะ เพราะมันต่างจากชั้นห้าตรงที่ไม่มีรันเนอร์เวย์ข้ามไปได้ เจ้าพวกโบสถ์มันไม่อยากสู้กับบอสด้วย เลยตั้งเควสอีกเควสไว้ เป็นเควสกำจัดบอสชั้นสิบและเฝ้าห้องบอสไว้ตลอดทั้งสัปดาห์”
โกร่าบอกพลางชี้ไปให้ดูปาร์ตี้ของเธอ ซึ่งใส่เกราะกับพกอาวุธกันมาเต็มอัตราศึก แถมนอกจากปาร์ตี้ของโกร่าแล้ว ยังมีอีกสิบกว่าคนที่จะร่วมปาร์ตี้ไปด้วย ท่าทางบอสชั้นสิบนี่คงโหดมากเลยแฮะขนาดพวกโกร่ายังเอาไม่อยู่ ต้องยกแบบปาร์ตี้ใหญ่ไปเลย
“แล้วแกไปถึงชั้นไหนแล้วล่ะที่ลูปัน”
“พึ่งเคยสู้กับบอสที่ชั้นห้าไปครั้งเดียวเองครับ แล้วก็ยังไม่ได้ไปต่อเลย”
“โอ่ เร็วดีนี้ ใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงราชามนุษย์หนูได้แล้ว แต่ข้าเตือนไว้นะ ตั้งแต่ที่ชั้นแปดเป็นต้นไป จะเริ่มเป็นเขตของพวกอันเดด ทั้งเลเวลและความเก่งจะกระโดดขึ้นมามากเลย ชนิดที่ชั้นหกกับชั้นเจ็ดเทียบไม่ได้ อย่างไงก็อย่าไปลึกกว่าชั้นเจ็ดล่ะกัน ไว้ถ้าอยากจะไปชั้นแปด ก็รอไปพร้อมกับพวกข้าก็ได้”
“ขอบใจที่เตือนนะโกร่า ไว้กลับมาแล้ว แวะไปหาผมที่คฤหาสน์ด้วยล่ะ พวกเราจะได้สนุกกันอีก”
ผมบอกพลางลูบก้นของโกร่าไปด้วย เธอหน้าแดงไปจนถึงหูเลย
“เจ้าบ้า! ข้าพยายามหักห้ามใจอยู่นะ แค่นี้หีข้าก็แฉะจะแย่แล้ว”
“ฮ่าๆ ขอโทษทีๆ”
ผมรีบดึงมือออก แต่แฉะจริงๆ ด้วยแฮะ แล้วผมก็โดนทีโมทีกับคายุนเข้ามาล็อคแขนไว้ทั้งสองข้าง
“ขอโทษนะโรมะ ทั้งๆ ที่อยากอยู่ด้วยแท้ๆ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ยุ่งๆ อยู่เหมือนกันช่วงนี้”
ผมตอบทีโมทีไป ก่อนจะโดนคายุนดึงไปจูบ เธอจูบผมแรงราวกับจะดูดเครื่องในออกมา
“ไม่ต้องห่วงนะ จะไม่ให้เจ้าลิงพวกนี้มาแตะต้องข้าหรอก ตัวข้าเป็นของโรมะคนเดียว”
“ทราบแล้วล่ะครับ แต่ก็ระวังตัวกันด้วยนะ”
หลังจากคายุนยอมปล่อยผมแล้ว บลูมก็เดินเข้ามาหา และยื่นสิ่งหนึ่งออกมาให้
“ข้าทำมาให้ ช่วยรับไว้ด้วย”
สิ่งที่บลูมให้มาคือเข็มขัด แต่ไมใช่เข็มขัดธรรมดา แต่ทำมาจากเหล็กที่เอามาต่อกันเป็นข้อๆ ทำให้ม้วนงอได้ แถมมีช่องไว้เสียบฝักดาบ กับพวกขวดยาด้วย เท่ห์โคตรๆ เลยล่ะ
“ขอบคุณมากครับ ผมชอบสุดๆ เลย ขอรับไว้ใช้เลยนะ”
“ถะ ถ้าชอบข้าก็ดีใจ”
บลูมหน้าแดงขึ้นมาเลยวิ่งไปหลบหลังคายุน ถึงพวกเธอเป็นกลุ่มสาวถึกกล้ามโต แต่นิสัยพวกเธอตรงไปตรงมาและน่ารักมากๆ เลย
พอพวกโกร่าแยกไป มอเรียก็เลิกงานออกมาพอดี และพอพวกผมพากันเดินออกมาจากลาน
เบียร์ พวกนักผจญภัยก็ยกแก้วขึ้นแล้วร้องเฮส่งผมอีกรอบ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
มอเรียทำหน้าสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปสนใจเจ้าพวกบ้าเลย”

ตอนที่ 74 เค้กวันเกิด

พอกลับมาถึงบ้านผมก็ต้องผงะ เพราะตอนนี้กำแพงเสร็จแล้ว ถึงจะสูงแค่เมตรกว่าแต่ดูทนทานแข็งแรง
เหลือแต่ด้านหลัง ที่ผมต้องไปถามที่กรมจัดการที่ดินก่อน ว่าที่ดินของบ้านที่ผมซื้อไว้ มันมีอาณาเขตไปถึงตรงไหน เรื่องนี้คงต้องวานเมยอาไปจัดการให้
มอเรียแปลกใจยิ่งกว่าผมซะอีก เพราะเธอออกไปตั้งแต่เช้า และจำได้ว่าตอนออกไปมันยังไม่มีอะไรเลย จนเธอต้องทักผมว่ามาผิดหลังหรือเปล่า เล่นเอาผมกับเดเม่หลุดหัวเราะออกมาเลย
ยิ่งพอเปิดประตูเข้ามาถึงถนน ที่มีอุโมงค์สีเขียวอยู่ เล่นเอามอเรียเดินไปอ้าปากค้างไป ผมเล่าเรื่องที่โมอาจัดแต่งสถานที่ให้ รวมถึงเรื่องสมาชิกใหม่ที่มาเพิ่มวันนี้ แต่เรื่องเรโมริก้า ผมเก็บเงียบไว้ก่อน อยากเห็นรีแอกชั่นมอเรียตอนเห็นฟรานมีสองคนจัง
“กลับมาแล้ว”
ผมกับมอเรียพูดออกมาพร้อมกันขณะเปิดประตูบ้านออก แต่ก็เหมือนทุกครั้ง มีเสียงฝีเท้าที่วิ่งออกมาหา และกล่าวต้อนรับกลับบ้านอย่างอบอุ่น
และพอฟรานกับเรโมริก้าออกมา ผมก็แสยะยิ้มและเหลือบไปมองมอเรีย แถมเรโมริก้าใส่ชุดเหมือนฟรานอีก สงสัยให้พวกไรโมดอลแก้ชุดให้ บอกตามตรงนะ ผมแยกไม่ออกแล้วล่ะว่าใครเป็นใคร
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ”
ทั้งคู่ประสานเสียงที่เหมือนกันออกมา และโค้งให้พร้อมกัน แม้กระทั่งรอยยิ้มก็ยังเหมือนกัน งงเองแล้วสิผม แต่มอเรียถึงกับวิ่งไปหลบหลังประตู และชี้นิ้วไปที่ฟรานซึ่งมีสองคน
“ทะ ทุกคนหนีเร็ว! มีปีศาจมาปลอมตัวเป็นฟรานด้วยล่ะ!”
“ดะ เดี๋ยวมอเรีย ไม่ใช่ปีศาจ”
เอ๋หรือใช่หว่า? ก็มุเอมะรับเรโมริก้าเข้าเผ่าปีศาจแล้ว เอ่อ ที่มอเรียพูดมาก็ถูกล่ะนะ แต่ไม่ใช่ปลอมตัว นี้น่ะตัวจริงเลย
“นายหญิงเลิกแกล้งคุณมอเรียเถอะค่ะ เธอกลัวแล้วนะคะ”
เดเม่หันไปติใส่ฟรานคนทางซ้าย เอ๋? นี้เดเม่แยกออกด้วยเหรอ หรือตอนอยู่ด้วยกันสมัยก่อน แม่ลูกคู่นี้ก็ชอบเล่นทำตัวเหมือนกันแบบนี้
“คุๆๆ ขอโทษทีนะ ฉันมีชื่อว่า เรโมริก้า เป็นแม่ของฟรานเองล่ะ”
“แม่เหรอ!”
มอเรียรีบหันมามองผม ซึ่งผมก็พยักหน้ารับ
“เอ่อ แบบนี้ก็ต้องดีใจกับฟรานด้วยสิ ดีใจด้วยนะฟราน”
“ขอบคุณค่ะ”
ฟรานยิ้มรับ ใบหน้าเธอดูมีความสุขมาก จนตรงแก้มมีชมพูขึ้นมา
“เดี๋ยวผมไปเตรียมมื้อเย็นก่อนนะ สักสิบนาทีก็เสร็จแล้ว คริสติน่าวันนี้พวกเราจะกินกันที่ห้องนั่งเล่น บอกพวกไรโมดอลว่าไม่ต้องจัดโต๊ะนะ”
“รับทราบ”
“เอ๋! วันนี้จะเป็นหม้อไฟเหรอ!”
เอร่าดูจะตื่นเต้นขึ้นมาทันที ไม่ใช่แค่เธอแต่ทุกคนที่เคยกินหม้อไฟมาแล้ว ต่างตื่นเต้นกันหมด
“ไม่ใช่แค่หม้อไฟหรอก วันนี้มีพิเศษกว่านั้นอีก”
“หา! มีพิเศษกว่าอีกเหรอ!”
เอร่านี้ถ้ามีหางคงกระดิกไม่หยุดไปแล้ว ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ที่ไม่รู้ว่าหม้อไฟคืออะไร ก็พากันถามใหญ่
ผมเดินเข้ามาที่ห้องครัวพร้อมกับเดเม่ โดยผมเตรียมวัตถุดิบ ส่วนเดเม่ช่วยนำวัตถุดิบที่ได้มา จัดเก็บเข้าตามกระเป๋าที่แยกประเภทไว้
คราวนี้แทบไม่ต้องทำอะไร นอกจากนํ้าซุปที่ไว้ใส่หม้อไฟ กับนํ้าจิ้ม ที่คราวนี้มีหลายแบบให้เลือก แต่พอเดเม่เห็นผมราดซอสใส่เนื้อที่หั่นเตรียมไว้ เธอก็ต้องรีบถามขึ้นมา
“นายท่านทำไมเอาซอสใส่ลงไปในเนื้อที่ยังไม่ได้ปรุงล่ะคะ?”
“นี้เรียกว่าการหมักเนื้อน่ะ จริงๆ ต้องหมักนานกว่านี้ แต่พึ่งเคยกินกันครั้งแรก ไม่ต้องให้รสชาติเข้มข้นมากเกินไปจะดีกว่า”
พอรู้ว่าเป็นวิธีทำอาหารแบบใหม่ เดเม่ก็พยักหน้ารับและรีบจดจำทันที เดี๋ยวนี้คงเริ่มชินกับวิธีการทำอาหารแบบแปลกๆ ของผมแล้ว เลยไม่ซักออกนอกเรื่องเลย
เมื่อเตรียมวัตถุดิบพร้อม ผมก็เดินไปที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งเหมือนพวกเอร่าจะเตรียมตัวกินกันแล้ว เลยเอาโต๊ะเตี้ยมาต่อกันเตรียมรอไว้แถมยังสอนทุกคนใช้ตะเกียบและวิธีกินแล้วด้วย ทุกคนนั่งตาเป็นประกายรอกินกันจนแทบห้ามใจไม่ไหว
ผมเลยเอาหม้อไฟไปตั้งไว้สามหม้อ เพราะจำนวนคนเพิ่มมาจากคราวก่อน แค่หม้อเดียวไม่พอแน่ แต่นอกจากหม้อไฟ ผมยังวางกระทะแบบแบน ที่มีฐานยกพื้นด้วย ใช่แล้ว ที่เพิ่มมานอกจากหม้อไฟก็คือเนื้อย่างนั้นเอง
เดเม่ยกวัตถุดิบที่ผมจัดใส่ถาดไว้หลายๆ ชุด ซึ่งทุกชุดจัดไว้เหมือนกันหมด จัดวางไว้กระจายรอบๆ โต๊ะ ส่วนผมก็ยกเอาถังแช่เครื่องดื่มออกมาตั้งไว้ โดยมีถังเบียร์ที่ผมทำให้เย็นเจี๊ยบอยู่แล้วตั้งอยู่ด้วย พวกคอเหล้าอย่างยูริน มอเรีย แม้แต่สองพี่น้องยักษ์นี้กลืนนํ้าลายดังเฮือกกันเลย
“ถาดเหล็กนี้มันอะไรกันน่ะ?”
อาเดไลท์ถามผม พลางใช้ตะเกียบจิ้มลงไปบนกระทะ นี้หล่อน! ถึงกับจับตะเกียบรอเลยเหรอ
“ระวังโดนลวกนะครับ มันร้อนอยู่ แล้วมันเรียกว่ากระทะย่างเนื้อ เวลาจะทานก็เอาเนื้อหรืออะไรก็ได้ที่อยากทาน วางลงไปย่าง พอสุกแล้วก็คีบขึ้นมาทานกับนํ้าจิ้มได้เลย”
แถมเป็นกระทะแบบพิเศษ ที่ไม่ต้องใช้ไฟ เพราะผมให้เรโมริก้าใส่เวทมนต์ลงไป ทำให้มันร้อนได้เอง เหมือนกับหม้อไฟนั้นแหละ
“เริ่มทานกันเลยเถอะ”
พอผมให้สัญญาณทุกคนก็ขยับตะเกียบไปคีบวัตถุดิบขึ้นมาทันที ซึ่งในถาดมีทั้งเนื้อ ไก่ ปลา แมงกระพรุน และผักต่างๆ จัดเรียงไว้อย่างสวยงาม
ผมใส่เนยลงไปบนกระทะ พอเริ่มละลายผมก็วางเนื้อลงไปทันที ทุกคนพอเห็นก็ทำตามบ้าง
“ไม่ต้องกลัวนะ ย่างไหม้ไปบ้างก็ไม่เป็นไร”
ผมเห็นอาเดไลท์กับบางคนที่ไม่เคยทำอาหาร ไม่กล้าจะย่างเอง แต่เนื้อย่างถ้าไม่ย่างเองจะไปสนุกได้อย่างไง ผมอยากให้เธอรับรู้ความรู้สึก ตอนที่เอาเนื้อที่ย่างเองร้อนๆ เข้าปาก มันทั้งสนุกและตื่นเต้น เป็นรสชาติในการกินที่พิเศษกว่าอาหารชนิดอื่น
งานนี้ย่างไหม้กันไปหลายคน บางคนก็ย่างไม่สุก ผมเลยค่อยๆ บอกไปว่าต้องดูเนื้อเปลี่ยนสี อาเดไลท์ที่พอย่างชิ้นแรกได้สำเร็จ แล้วพอเอาเข้าปากเท่านั้น เธอถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจเลย
“นะ นี้มันสนุกจริงๆ ด้วย! เป็นอาหารที่สนุกจริงๆ!”
นอกจากเนื้อแล้วผมก็ยังย่างไก่ ย่างปลา ย่างผัก แถมยังกินกับข้าวด้วย พอคนอื่นเห็นก็เริ่มขอข้าวด้วย ส่วนในหม้อไฟ ก็เต็มไปด้วยวัตถุดิบ กินสลับกับของย่าง จนไม่มีเวลาได้พักหายใจกันเลย
พวกของที่ไว้ย่างผมจะหมักเอาไว้ด้วยซอส แต่ของที่ไว้ต้มผมจะไม่ราดอะไรไว้ เพื่อให้ได้รสชาติความสดใหม่ แถมไม่ทำให้นํ้าซุปในหม้อรสชาติเพี้ยนไปด้วย
“นี้ลูกได้ทานแบบนี้กันทุกวันเลยเหรอ!”
เรโมริก้าแทบไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง เลยหันไปถามฟราน
“ค่ะ! นายท่านทำอาหารอร่อยๆ ให้ทานทุกวันเลย”
ส่วนเมยอากับโมอาก็ผลัดกันย่างเนื้อย่างปลาให้กัน รักใคร่กันจริงๆ แม่ลูกคู่นี้ ส่วนดอเรียเองตกใจมากตอนที่วางเนื้อลงบนกระทะแล้วก็เสียงซู่ขึ้นมา พอทำแบบนั้นทีไรก็ต้องผงะทุกครั้ง แต่หางเธอก็ฟาดพื้นดังป๊าบๆ ไม่หยุดเลย
สองพี่น้องโรสลินกับจามิร่า แรกๆ ก็ดูเกร็งๆ แต่พอถูกบรรยากาศแบบงานเลี้ยง ที่ดูสนุกสนานดึงดูดเข้าไป พวกเธอก็สนุกไปด้วย และย่างเนื้อกินกันแก้มตุ้ย เอสเตอร์ดูลำบากสุดเพราะไม่ถนัดใช้ตะเกียบแถมเป็นพวกลิ้นแมวด้วย แต่พวกผมก็ช่วยผลัดกันคีบให้เธอ ที่สำคัญเธอร้องไห้ไม่หยุดเลย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันยิ่งกว่าความฝันซะอีก ยูรินเลยต้องกินไปลูบหัวปลอบใจเอสเตอร์ไปด้วย
“ไม่ไหว ทุกคนโดนอาหารของนายล่อลวงกันหมดแล้ว”
ซาคุยะบ่นขึ้นมา แต่เธอเองก็ตักพวกเห็ดในหม้อขึ้นมากินไม่หยุดเหมือนกัน
“ฉันแค่อยากให้ทุกคนมีความสุขกันเท่านั้นแหละ ไม่ได้จะล่อลวงอะไรสักหน่อย ว่าแต่เธอเองก็ชอบไม่ใช่เหรอ”
พอโดนผมทักไป ซาคุยะก็ขมวดคิ้วก่อนจะคีบเนื้อที่ต้มสุกแล้วยัดใส่ปากผม เป็นการปิดปากสินะ
ระหว่างที่กินกันสลับกับซดเบียร์ไป ผมก็หันไปถามมอเรีย แบบมีพนักงานกิลอยู่ด้วยแบบนี้ จะข้อมูลอะไรก็ถามกับเธอเนี่ยล่ะดีที่สุด
“หมู แกะ ปลาหมึก กุ้ง เหรอค่ะ?”
“อืม อยากหาวัตถุดิบใหม่ๆ มาทำอาหารน่ะ ที่ตลาดก็ไม่มีขายซะด้วย”
“ถ้าปลาหมึกกับกุ้งไม่มีหรอกค่ะ ก็เหมือนปลานั้นแหละ เป็นของหายากมาก ราคาก็แพงสุดๆ เลยด้วย ส่วนเนื้อหมูกับแกะจะดรอปได้จากดันเจี้ยนปสุสัตว์เอฟิเกาที่อยู่นอกเมือง แต่ไม่แนะนำให้ไปนะคะ มันอันตรายมากรอบๆ มีกองทัพออร์คอยู่ด้วย”
พอได้ยินชื่อออร์คเอสเตอร์ก็ผวาขึ้นมาทันที ผมเลยพยายามเลี่ยงไม่ถามถึงออร์ค
“เลเวลเท่าไรถึงจะไปได้เหรอ”
“อืม…ถ้าจะล่าในเอฟิเกา อย่างน้อยก็ต้องมีสักหกถึงเจ็ดคน แล้วเลเวลก็ควรเกินสามสิบขึ้นไปด้วย”
“ถ้าที่เอฟิเกา ให้ข้าไปก็ได้นะ ข้าคนเดียวก็ไหว”
ดอเรียเสนอตัวออกมาทันที แต่ผมรีบปฏิเสธ
“ไม่ ไหวก็คือส่วนไหว แต่ผมไม่ต้องการให้พวกเธอบาดเจ็บ หรือตกอยู่ในความเสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น”
“เอาแบบนี้สิ ให้พวกฉันจัดทีมกัน”
ดาเซสเสนอขึ้นมา
“ให้ฉัน ดอเรีย มิริน แล้วก็ซาคุยะ ถ้าเป็นพวกเราสี่คนล่ะก็ สบายมากๆ เลยนะ”
“…ซาคุยะ เธอถนัดใช้อาวุธอะไรเหรอ”
“ได้แทบทุกอย่าง แต่ที่ถนัดคือพลองไม่ก็หอก”
“งั้นสนใจจะไปกับพวกดาเซสไหม”
“ต้องสนอยู่แล้ว”
“เดี๋ยว ให้ฉันไปด้วยสิ”
คนที่เสนอตัวมาอีกคนก็คือคริสติน่า
“จริงด้วย เธอก็เป็นแนวหลังได้นี่น่า แถมเลเวลก็ยี่สิบกว่าแล้วด้วย”
“ฉันใช้ได้แต่อาวุธที่มีสกิลเวทติดอยู่เท่านั้นแหละ แต่พลังมาน่าฉันมีเยอะคงช่วยได้พอสมควร”
“ข้าๆ”
จามิร่าที่ได้ฟังโรสลินแปลที่พวกผมคุยกันอยู่ให้ฟัง ก็รีบยกมือขึ้นมากับเขาด้วย
“ได้ๆ เธอไปด้วยก็ได้ แบบนี้พอไหวใช่ไหมครับมอเรีย”
“ค่ะ ระดับพวกเธอตอนนี้หายห่วงเลย”
พวกดาเซสเลยวางแผนออกไปล่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลย แต่ต้องรอมิรินกลับมาก่อน
พวกผมคุยกันไปกินกันไป จนวัตถุดิบที่เตรียมไว้หมดเกลี้ยง แต่ทุกคนยังทำหน้าเหมือนอยากกินต่อ
“จริงๆ วัตถุดิบยังมีอีกเยอะ แต่ผมไม่อยากให้ทุกคนรีบอิ่มกัน เพราะยังมีของหวานแบบพิเศษไว้ปิดท้ายด้วย”
“ของหวาน!”
“แบบพิเศษ!”
หูกระดิกกันเลยทีเดียว นั้นสินะขาดไม่ได้จริงๆ ด้วยผู้หญิงกับของหวาน
“รอกันแปบหนึ่งนะ”
ผมลุกกลับไปที่ห้องครัว เดเม่กับโมอาก็จะตามไปช่วย แต่ผมรีบห้ามไว้
ของหวานที่ผมจะทำก็คือ…เค้ก เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของใครคนหนึ่ง เค้กเป็นของหวานที่ผมถนัดที่สุด เพราะที่บ้านผมไม่เคยซื้อเค้กกินเลย ทั้งพวกพี่สาวทั้งแม่ เวลาใครอยากจะกินเค้กก็จะบีบบังคับผมทุกวิถีทางให้ทำให้ ซึ่งก็ไม่ต้องเสียเวลาทำมากเลย เพราะผมทำครีมเตรียมไว้แล้ว ที่เหลือก็แค่อบเค้กซึ่งใช้สกิลพ่อบ้านช่วยเร่งเวลาในการอบได้
ไม่ถึงสิบนาทีเค้กก็เสร็จออกมาแล้ว แถมมีสองก้อน เพราะอีกก้อนเป็นของเดเม่ ถึงผมจะตั้งวันเกิดให้เธอไปแล้ว แต่ก็ถือว่าฉลองวันเกินย้อนหลังให้ เพราะพึ่งผ่านมายังไม่นาน จะให้รอครบรอบปีก็อีกนาน
ผมเอาเทียนที่ซื้อมาวันนี้ปักลงไปบนเค้กด้วย ถึงจะไม่มีแบบเป็นลวดลายสีสัน แต่มีไซส์เล็กแบบนี้ก็ดีมากแล้ว กำลังคิดอยู่เลย ถ้าไม่มีคงต้องมานั่งทำเองอีก แถมไม่เคยทำเทียนไขด้วยสิผม ถึงจะรู้วิธีทำก็เถอะ
ก่อนจะยกไป ผมก็ตบมือให้ไฟในตะเกียงดับซะก่อน จากนั้นก็จุดไฟบนเทียนไขและยกมันเข้าไปพร้อมกันทั้งสองก้อนเลย
พอทุกคนเห็นแสงไฟลอยมาก็ทำท่าตกใจกัน ฟรานทำท่าจะตบมือเพื่อเปิดไฟ แต่ผมห้ามไว้ทัน
“อย่าพึ่งเปิดไฟนะ นี้เรียกว่าเค้กฉลองวันเกิด”
“ฉลองวันเกิด?”
ทุกคนทำหน้างงกันหมด ก็ที่โลกนี้ไม่มีฉลองวันเกิดนี่น่า แล้วผมก็นำเค้กก้อนแรกวางลงตรงหน้าเอสเตอร์ ใช่ เป็นเรื่องบังเอิญสุดๆ แต่เอสเตอร์เกิดวันนี้ล่ะ ส่วนอีกก้อนผมวางไว้ตรงหน้าเดเม่
“นะ หนูด้วยเหรอคะ!?”
“ของเดเม่ถือว่าฉลองย้อนหลังให้น่ะ”
“สิ่งนี้…ทำเพื่อข้าเหรอ”
เอสเตอร์ถามขณะมองแสงไฟบนเค้กแบบตาไม่กระพริบ
“ใช่ ก็วันนี้วันเกิดเธอไงล่ะ”
พอได้ยินที่ผมบอกเอสเตอร์ก็นํ้าไหลออกมาเป็นทาง ชีวิตเธอแย่ยิ่งกว่าพวกโมอาซะอีก ถึงจะอยู่ในสลัมเหมือนกัน แต่เธอผ่านเรื่องแย่ๆ มา แถมยังไม่มีใคร
รับไปทำงานอีก สิ่งที่เธอได้รับมาตลอดทั้งวัน มันยิ่งกว่าความสุขที่เธอคิดว่าจะได้รับมาในชั่วชีวิตนี้ซะอีก
แล้วผมก็แทบไม่อยากจะเชื่อ เมื่อคนที่ร้องเพลงวันเกิดให้กลับเป็นซาคุยะ เธอเองก็ยิ้มเขินๆ ผมเลยร้องตามเธอไปด้วย คนอื่นก็ช่วยกันตบมือตามให้เป็นทำนอง และพอร้องเพลงจบผมก็บอกให้ทั้งสองคน ขอสิ่งที่อยากได้ในใจแล้วก็เป่าเทียบให้ดับทั้งหมด
ทั้งคู่เป่าสุดแรงเลย พอเทียนดับหมดผมก็ตบมือเพื่อให้ไฟในตะเกียงติดขึ้นมา และพอแสงสว่างกลับมา ที่ตรงหน้าของทั้งคู่ก็มีของขวัญที่ผมเตรียมไว้วางอยู่
“ปกติจะต้องห่อของขวัญเอาไว้ แต่มันกระชันชิดไปหน่อยเลยไม่มีเวลาห่อให้ ขอโทษด้วยนะ”
“นะ นายท่านนี้มันอะไรเหรอคะ?”
เดเม่ถามพลางชี้ไปที่ชุดเครื่องครัวใหม่เอี่ยม ส่วนของเอสเตอร์เป็นกล่องที่ใส่ยาสูบคุณภาพดีไว้
“ของขวัญวันเกิดของพวกเธอไง”
“ของขวัญวันเกิด?”
ซาคุยะช่วยผมอธิบายให้พวกเธอทั้งสองฟัง เรื่องธรรมเนียมปฏิบัติในงานวันเกิด
“งะ งั้นถ้าเป็นวันเกิดของฉันก็จะมีแบบนี้เหมือนกันเหรอ!”
อาเดไลท์ถามเสียงสั่น
“ใช่น่ะสิ มีของทุกคนนั้นแหละ ถึงวันเกิดพวกเธอเมื่อไร ผมจะจัดงานแบบนี้ให้ แต่ของขวัญนี้ก็แล้วแต่คนนะ แถมต้องเก็บเป็นความลับ พวกเธอเองก็ต้องเตรียมของขวัญให้เจ้าของวันเกิดด้วยนะ”
“ต่อไปวันเกิดใครเหรอ!”
พวกผู้หญิงรีบเข้าไปขอสมุดข้อมูลจากเมยอาขึ้นมากางดูกันทันที
“ฉันล่ะๆ!”
ดันเป็นยัยเอร่าไปซะได้ ว่าแต่เทพนี้มันวันเกิดด้วยเหรอ!
“แย่จัง ของข้าสุดท้ายเลย”
ยูรินทำคอตกเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องรออีกตั้งแปดเดือน กว่าจะถึงวันเกิดตัวเอง
“ไม่เป็นไรหรอก จะช้าจะเร็วก็เหมือนกันนั้นแหละ อยู่หลังๆ ยิ่งดีซะอีก ผมจะได้มีเวลาเตรียมอะไรมากกว่านี้”
ผมปลอบใจยูรินจนเธอดูสดใสขึ้นมาบ้างแล้ว ดูจากตาของเธอล่ะนะ ก็ขอบตาเธอเปิดกว้างขึ้นหนึ่งมิล
“ให้ตัดเค้กได้แล้วล่ะโรมะ”
“เอ่อ เกือบลืมไปเลย เอาล่ะ เจ้าของวันเกิดมาตัดเค้กได้แล้ว”
ผมเข้าไปจับมือเดเม่และสอนวิธีตัดเค้กให้ ส่วนซาคุยะก็ไปช่วยสอนเอสเตอร์ และเมื่อตักแบ่งเค้กใส่จานและแจกจ่ายทุกคนแล้ว ก็ยังไม่มีใครกล้ากิน แต่หมุนจานไปรอบๆ เพื่อดูทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียด
“สะ สวยจัง นี้เหรอคะเค้ก”
ฟรานดูประทับใจสุดๆ เดเม่เองก็เหมือนกัน
“ตรงด้านนี้มันอะไรกันน่ะ มีสีเยอะจัง ทั้งสีขาวสีชมพูสีเขียว”
ดาเซสชี้ไปที่ตรงครีม
“ทั้งๆ ที่ดูนุ่มนิ่มแต่ทำไมถึงแต่งเป็นรูปขึ้นมาได้ล่ะ?”
ส่วนอาเดไลท์สนใจพวกรูปบนหน้าเค้กที่ผมใช้ครีมวาดขึ้นมา
“กินกันเถอะค่ะทุกคน”
ซาคุยะเป็นคนตักเข้าปากเป็นคนแรก เพราะเธอเป็นคนเดียวที่เคยเห็นเค้กมาจนชินตาแล้ว แถมที่สวยกว่าที่ผมทำก็มี นี้เพราะไม่มีเวลามากเลยทำแบบง่ายๆ ออกมา
แต่พอเค้กเข้าปากไป ซาคุยะก็ทำส้อมหลุดมือทันที
“อะ อะ อร่อย! เค้กอร่อยแบบนี้ฉันไม่เคยกินมาก่อนเลย! โรมะนายทำได้อย่างไงอ่ะ!”
“ที่บ้านฉันโดนบังคับให้ทำบ่อยๆ น่ะ เรื่องรสชาติเลยค่อนข้างมั่นใจพอสมควร”
“นายนี้มันพ่อมดของหวานชัดๆ!”
ซาคุยะเลิกถามและรีบตักเค้กเข้าปากใหญ่เลย คนอื่นพอเห็นก็เริ่มกินบ้าง และต่างแสดงรีแอกชั่นออกมาพร้อมๆ กัน ด้วยการทำส้อมหลุดมือ
“มะ มันอะไรกันคะ รสชาตินุ่มนิ่ม ความหวานที่กลมกล่อม กลิ่นหอมที่ฟุ้งอยู่ในปาก มะ ไม่จริง! ของแบบนี้ไม่มีอยู่จริงในโลกหรอก!”
มอเรียสติแตกไปแล้ว ส่วนเอสเตอร์ โรสลิน จามิร่า กระทั่งเรโมริก้าที่ไม่มีภูมิต้านทานของหวาน ก็สลบเหมือดไปทันทีตั้งแต่คำแรก
อาเดไลท์พยายามเก็บอาการเต็มที่ แต่ฝืนซะจนริมฝีปากบิดเบี้ยวไปมา หน้าเธอแข็งเกร็งเพราะห้ามไม่ให้ตัวเองฉีกยิ้มที่น่าเกลียดออกมา แต่ดวงตาเธอเยิ้มจนแทบจะละลายแล้วล่ะ
ส่วนฟรานกับเดเม่หันมากอดและเอาแก้มถูกัน พร้อมกับพูดออกมาว่า
“นุ่มนิ่มๆ”
ดาเซสกับดอเรียหอบหายใจแรงมาก น่ากลัวอ่ะ พวกเธอจ้องเค้กที่เหลือด้วยดวงตาเป็นประกาย อย่าบอกนะคิดจะเปิดศึกชิงเค้กกันน่ะ
ส่วนเอร่า…กินภาษาอะไรฟ่ะถึงได้ติดคอได้!
คนที่เหลือก็มีท่าทางไม่ต่างกันนักหรอก ทำหน้าเคลิ้มกันหมด แถมยูรินยิ้มออกมาด้วยล่ะ จะว่าไปยูรินนี้เริ่มหน้าแดงอีกแล้ว ก็เล่นซัดเบียร์ไปตั้งเยอะ ท่าทางคืนนี้เจอเธอควบเป็นม้าอีกแน่ๆ
เค้กสองก้อนไซส์ใหญ่หมดเกลี้ยงเลย ผมนับแบบเป็นออนซ์ไม่เป็นหรอก เรียกกันตามแบบที่บ้านอ่ะ ถ้าเค้กกินเล่นเป็นอาหารว่าง จะเป็นไซส์เล็ก ส่วนถ้าไว้กินทั้งบ้าน จะเป็นไซส์กลาง ส่วนถ้าเป็นระดับปาร์ตี้ที่มีคนเยอะๆ จะเป็นไซส์ใหญ่กินกันได้ 7-8 คน
ทั้งๆ ที่ก่อนกินเค้กก็ยัดกันไปตั้งเยอะแล้วนะ สาวๆ บ้านนี้กินจุกว่าที่คิดไว้แฮะ แต่ดีแล้วล่ะที่พวก
เธอชอบกัน คนทำอาหารแบบผมก็มีความสุขด้วยถ้าคนกินชอบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...