ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 81 - 83 By Kumao






ตอนที่ 81 ราคาธาตุแท้ของมนุษย์

ผมเดินทางต่อโดยใช้รันเนอร์เวย์ ผ่านชั้น 6-7 ไป ซึ่งถึงจะใช้รันเนอร์เวย์ก็ยังต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง กว่าจะไปถึงชั้น 8 ได้
ระหว่างทางมอเรียก็ทำตัวอย่างกับเป็นไกด์นำเที่ยว ทั้งมอนสเตอร์ พื้นที่ และไอเท็มดรอป ของชั้น 6-7 เธอบอกได้อย่างไม่มีตกหล่น ชนิดที่เหมือนเปิดบทสรุปอ่านเลย
ส่วนของชั้น 8 นอกจากมอนสเตอร์ที่คือ ศพ ที่บอกไป พื้นที่จะแบ่งเป็นสามส่วน เริ่มจากป่าที่กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งของชั้น จากนั้นก็จะเป็นสุสานขนาดใหญ่ และสุดท้ายก็จะเป็นซากปรักหักพังแบบชั้น 3-4 และที่สุสานจะมีปริมาณของศพมากที่สุด
ส่วนไอเท็มดรอปนั้นไม่มีอะไรนอกจากเหรียญเงินเล็ก นานๆ ทีถึงจะดรอปเหรียญเงินใหญ่ ส่วนแรร์ที่ดรอปมีสองอย่างคือ การ์ดกับคริสตัลวิญญาณ
หูผมผึ่งทันทีที่รู้ว่ามันดรอปคริสตัลวิญญาณ เพราะเป็นอะไรที่ผมอยากได้มากๆ มอเรียบอกด้วยว่า อัตราดรอปของคริสตัลวิญญาณจากพวกศพค่อยข้างสูงกว่าที่อื่นด้วย แต่ก็ยังดรอปยากอยู่ดี ส่วนการ์ดค่อนข้างพิเศษ คือเป็นการ์ดที่ใช้แล้วจะสุ่มได้เงิน มีตั้งแต่ 1 รีล ไปจนถึง 1,000,000 รีล แถมเป็นการ์ดที่ใช้ซํ้าได้ เพราะมันไม่ได้เพิ่มความสามารถอะไรให้ แต่ว่ามีโอกาสที่จะมีมอนสเตอร์ระดับสูงออกมาจากการ์ดด้วย
แต่ผมว่านี้แหละแหล่งทำเงินที่ดี เพราะไม่มีไอเท็มที่กินเนื้อที่เก็บของกระเป๋า ทำให้ปักหลักระยะยาวได้
พอจบการเลคเชอร์ของมอเรียแล้ว ก็ถึงเวลาวางแผนจัดทีมกัน
โดยก่อนอื่น ผมจะลุยฝ่าเข้าไปให้ถึงพื้นที่สุดท้าย ที่เป็นพื้นที่ปรักหักพัง และจะหาจุดตั้งค่ายพัก จากนั้นค่อยแบ่งทีมออกเป็นสามทีม หมุนเวียนกันออกไปเก็บเลเวลแบบมาราธอน
แต่พื้นที่ของชั้น 8 กว้างกว่าชั้นบนๆ หลายเท่า มอเรียบอกว่าปกติจะต้องเสียเวลาทั้งวัน ถ้าจะฝ่าไปให้ถึงพื้นที่ด้านในสุด ทว่านี้ก็บ่ายแล้ว ผมอยากไปถึงให้ได้ก่อนคํ่า เลยจัดทีมลุยแบบเต็มอัตราศึก
“ฟราน ดอเรีย พวกเธอเป็นคนนำนะ ใช้ความเร็วเต็มที่ได้เลย แต่อย่าให้หลุดกลุ่มล่ะ”
“รับทราบค่ะ”
“ซาคุยะ ดาเซส เธอสองคนเฝ้าท้ายขบวน”
“ไว้ใจได้เลย”
“มอเรีย ไปคุมทางซ้ายกับผม”
“ได้ค่ะ”
“จามิร่ากับยูรินระวังทางขวา”
“อืม”
“เดเม่ มิริน ผมฝากพวกที่หลุดเข้ามาด้วยนะ ส่วนที่เหลือเกาะกลุ่มไว้ตรงกลาง และตามความเร็วของหัวแถวให้ทันนะ ไม่ต้องเน้นการโจมตี มุ่งสมาธิไปที่การวิ่งตามอย่าให้หลุดแถวก็พอ”
พวกโบสถ์ใหญ่พอเห็นว่าไม่ต้องร่วมต่อสู้และแค่ให้วิ่งตามอย่างเดียว ก็พากันยิ้มออกมาเพราะนึก
ว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เนปฟ่าเคยปาร์ตี้กับพวกผมมาก่อน เลยรู้ว่าการเคลื่อนที่แบบเต็มสปีดของปาร์ตี้ผมนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตามให้ทัน เธอเลยเก็บอาวุธแล้วจัดรองเท้าและชุดให้ดี เตรียมวิ่งแบบลืมตาย
“ลุยเลย!”
พอมาถึงชั้น 8 ผมก็ให้สัญญาณทันที ฟรานกับดอเรียทะยานออกไปเป็นเงาวูบหนึ่ง แล้วหายไปเลย ความเร็วของพวกเธอมองด้วยตาไม่ทันแล้ว ผมต้องคอยฟังเสียงการต่อสู้และตามหลังไป
ยิ่งเป็นพื้นที่ป่าทำให้หลงกันง่ายด้วย ผมเลยต้องเปิดเรดาห์อยู่ตลอดเวลา เผื่อมีใครหลุดกลุ่มไป แต่น่าตกใจจริงๆ เพราะในเรดาร์เต็มไปด้วยจุดแดง ไม่ว่าจะตรงไหนก็เต็มไปด้วยศพ พวกมันไม่ได้รุมเข้ามาแบบไร้
ทิศทางด้วย แต่มีจับกลุ่มแล้วค่อยลุยเข้ามา หรือมีถอยหนีเมื่อเห็นท่าไม่ดี และพวกมันวิ่งได้เร็วมาก!
แต่ว่าฟรานกับดอเรียทำได้ยิ่งกว่าที่ผมคาดไว้ซะอีก ฟรานแกว่งง้าวทีเดียว ก็ถางป่าจนราบ ส่วนดอเรียสับพวกศพเป็นกองลูกเต๋าในพริบตาเดียว ซํ้ายังมีท่าเพลงดาบมากมายหลายสำนัก จนพื้นที่รอบตัวทั้งสองไม่ต่างจากการโดนคลื่นสึนามิกวาดล้างไป ด้านหน้าไม่มีแม้แต่เงาของศพหลุดเข้ามาได้
พวกศพเริ่มรู้ตัวเลยหันมาเจาะด้านข้างแทน และก็เป็นมอเรียที่โชว์ฝีมือให้ผมเห็น จุดเด่นของเธอคือความเร็วในการลงมือสังหารและลูกเล่นต่างๆ โดยที่เธอจะไม่เข้าชนตรงๆ แต่จะใช้สกิลสร้างควันออกมา แต่ควันอยู่ได้เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก่อนจะสลายไป
แต่แค่นั้นก็เกินพอ เพราะสิ่งที่เหลือไว้หลังจากไม่กี่วินาทีจากนั้น ก็คือร่างของพวกศพที่ไร้หัวนับสิบตัว แถมยังเป็นปริศนาด้วยว่าหัวของศพเหล่านั้นหายไปไหน แต่ไม่มีเวลาให้สืบหรอก เพราะมันกำลังสลายและกลายเป็นเหรียญเงินแล้ว
ผมนอกจากจะคอยเก็บเหรียญแล้ว ก็จะคอยยืนเป็นแถวสอง และจัดการพวกที่หลุดมาจากมอเรียแต่ดาบศิลาเย็นนี้โกงจริงๆ กับศพเลเวล 38 ผมยังฟันมันฉับเดียวขาดกลางเลย แต่มีดมังกรสมุทรที่มอเรียใช้ก็ไม่ใช่เล่นๆ เธอใช้ตัดคอพวกศพได้ง่ายๆ ในทีเดียวเหมือนกัน
บางครั้งผมก็จะยินเสียงโครมดังๆ พร้อมกับมีศพจำนวนหนึ่งลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า และมีเสียงยูรินร้องว่าตามมา
“จามิร่า เบาหน่อย แบบนั้นตามไปเก็บไอเท็มดรอปไม่ได้”
ไอ้ที่โดนส่งลอยขึ้นไปนั้นฝีมือของจามิร่าสินะ…สยองจนไม่กล้าหันไปดูเลย
แต่มิรินนี้สิ เพราะไม่มีอะไรให้ทำเลย เธอเลยเริ่มเบื่อๆ และขอสลับที่กับผมแทน ซึ่งผมก็ให้เธอแทน เพราะจะได้ไปวิ่งเก็บไอเท็มได้สะดวกหน่อย
พอเริ่มว่างผมก็เหลือบไปดูพวกดาเซสที่อยู่ปิดท้ายแถว ซึ่งพวกเธอทำงานได้ดีมาก เพราะทั้งดาเซสและซาคุยะต่างลงมือรัดกุมมาก พวกเธอจะลงมือใส่ศัตรูตัวเดียวกัน และจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด ถึงซาคุยะจะไม่มีสกิลเลยเพราะโดนขโมยไปหมด แต่ร่างกายเธอยังจดจำการใช้อาวุธได้อยู่ แถมหอกกัมปนาทเองก็ดีสมเป็น
ระดับ Epic ขนาดยังไม่ได้ใช้สกิลออกมาก็ฆ่าศพได้ง่ายๆ แล้ว
แต่ที่แย่คือกลุ่มพวกโบสถ์ใหญ่เนี่ยสิ บางคนเริ่มหมดแรงจนเปลี่ยนไปเป็นเดินแล้ว ขนาดพวกอาเดไลท์ที่มีเลเวลน้อยกว่าเป็นสิบ ยังวิ่งตามหัวแถวทันเลย
“…เดเม่ ไปบอกพวกฟรานให้หยุดรอตรงเขตเข้าสุสานก่อน”
“ค่ะ”
เดเม่รับคำสั่งผมเสร็จ ก็เปลี่ยนจากการเดินเร็ว เป็นวิ่งถีบตัวทะยานไปอย่างรวดเร็ว
ผมย้ายไปที่แถวหลัง เพราะตอนนี้ความเร็วตกลงแล้ว และศพที่ตามมาจะรุมจากด้านหลัง ซาคุยะ
ทำท่าไล่ผมกลับไปทันที พร้อมกับหยุดวิ่งและชี้หอกไปทางพวกศพที่ตามมา
“จะใช้ระเบิดกัมปนาทเหรอ!”
พอรู้ว่าซาคุยะจะทำอะไร ผมกับดาเซสเลยรีบวิ่งให้พ้นระยะอย่างสุดฝีเท้า จนมาเจอนักบวชสาวคนหนึ่งที่หมดแรงจนหลุดมาจากกลุ่ม ผมเลยให้ดาเซสอุ้มเธอไปด้วย
จากนั้นไม่กี่วินาทีก็เกิดเสียงดังจนแก้วหูลั่น จุดสีแดงแสดงตำแหน่งของมอนสเตอร์ในเรดาร์ผม หายเรียบไปพร้อมกัน! พร้อมกับเซนเซอร์หาสมบัติผมบอกว่าข้างหลังมีไอเท็มตกเพียบ
ด้วยความงก ผมเลยวิ่งวกกลับไป โดยให้ดาเซสล่วงหน้าไปก่อน
สภาพที่เห็นตอนกลับมาจุดที่ซาคุยะยืนอยู่ มันกลายเป็นหลุมอุกกาบาตไปแล้ว แถมรอบๆ อย่างกะโดนพายุถล่มเข้าใส่แนะ ต้นไม้โค่นจนราบไปหมดเลย
“ไปเก็บไอเท็มกันเถอะ รู้สึกว่ามีแรร์ดรอปหลายชิ้นด้วยล่ะ”
ผมชวนยาคุยะที่ยืนอึ้งอยู่ให้ตามไปด้วย ดูท่าเธอเองก็คงไม่รู้ว่ามันจะรุนแรงแบบนี้เหมือนกัน ไอเท็มโดนแรงระเบิดซัดกระจายไปทั่วเลย ผมเลยตามเก็บแค่พวกแรร์ไอเท็ม และให้ซาคุยะเก็บเหรียญเท่าที่เจอ ซึ่งเฉพาะตรงนี้ก็ได้หินคริสตัลวิญญาณมาสองก้อน กับการ์ดอีกหนึ่งใบแล้ว แต่ผมเก็บคริสตัลไว้ก่อน เพราะต้องหารแบ่งกับพวกเนปฟ่าด้วย
บางทีทัวร์รอบนี้ผมอาจจะได้กำไรกว่าที่คิดก็ได้แฮะ
ขนาดผมเสียเวลาเก็บไอเท็มกัน ยังตามพวกกลุ่มตรงกลางทันก่อนถึงเขตสุสานเลย จะไหวไหมเนี่ยเจ้าพวกโบสถ์ใหญ่
พอกลับมารวมกลุ่มกันได้ครบหมดทุกคนแล้ว ผมก็หาจุดพักที่ไม่ค่อยมีศพอยู่ใกล้ๆ แต่หายากเอาเรื่อง เพราะไม่ว่าตรงไหนก็มีแต่ศพเต็มไปหมด
พวกที่เลเวลน้อยอย่างอาเดไลท์ถึงจะตามได้ทัน แต่ก็หอบไปเหมือนกัน สงสัยจะเร็วไปหน่อยแฮะ แต่จากนี้เดินไปก็คงได้มั่ง เพราะทำเวลากันได้ดีทีเดียว
ผมตรวจสอบดูผลลัพธ์ที่ได้มา พวกคณะโบสถ์ใหญ่เลเวลอัพกันถ้วนหน้า เนปฟ่ากับชีเอ้ก็ด้วย แต่ของผมไม่อัพแฮะ…เป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับผลของเทรนเนอร์นี้ เศร้าโคตร
ส่วนของพวกผมที่เลเวลอัพก็เริ่มจากพวกอาเดไลท์ที่จากเลเวลสองเป็นเลเวลหกเลย เอสเตอร์จากสี่เป็นเจ็ด กินเพิ่มเป็นแปด ยูรินเพิ่มเป็นสิบแปด ส่วนเดเม่กับฟรานเลเวลยี่สิบ ส่วนพวกเลเวลแถวบนมีแต่ดาเซสที่อัพเป็นสามสิบแปด
แต่ไอเท็มนี้สิ ได้มารวมกับที่ผมเก็บมาก่อนหน้านี้
-เหรียญเงินเล็ก 219 -เหรียญเงินใหญ่ 15 -คริสตัลวิญญาณ 4 -การ์ด 1
ใช้แล้วได้เงินสินะการ์ด…
“ยูรินๆ มาเล่นอะไรเสียวๆ กันไหม”
“อืม”
ยูรินเดินมาหาพร้อมกับเตรียมถอดกางเกงลง แต่ผมรีบยกมือห้ามไว้
“ไม่ใช่แบบนั้น! นี้ต่างหาก”
ผมหยิบการ์ดออกมา ยูรินเลยทำหน้าเหมือนพึ่งนึกได้ และมองไปที่แหวนที่ใส่อยู่
พวกสาวๆ สนใจเลยมามุงดูด้วย จริงๆ ผมมีสกิล Lucky gold อยู่เหมือนกันถ้าใส่แหวนก็น่าจะเพิ่มโชคให้อีก แต่ผมไม่อยากจะให้ยูรินถอดออกมา เลยใช้วิธีจับการ์ดคนละด้านและใช้มันพร้อมกัน และเหรียญที่พวกผมได้จากการ์ดก็…
ตูม!!
เสียงการ์ดระเบิด! พร้อมกับยูรินถูกทับด้วยเหรียญจำนวนมหาศาล
“…”
ทุกคนอึ้งไป…ฟรานเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เลยรีบมาดึงผมออกมาจากกองเหรียญ
“นายท่านเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
“ไม่ๆ แค่ตกใจนิดหน่อยนะ ยูรินโอเคไหม”
ผมหันไปลากยูรินออกมาด้วย ผมน่ะยังดีแต่ยูรินนี้สิโดนกลบมิดหัวเลย
“ของจริงหรือเปล่า?”
อาเดไลท์ถามขณะหยิบขึ้นมาดูเหรียญหนึ่ง
“ใช้ตรวจสอบดูแล้ว ของแท้ค่ะ”
มอเรียตอบเสียงสั่น
เมื่อรู้ว่าเหรียญพวกนี้เป็นของจริง นั้นก็หมายความว่า พวกผมพึ่งได้เงินที่มากกว่าคราวที่ได้จากเจ้าหญิงโชมาซะอีก ถึงจะมีเหรียญทุกประเภทปนๆ กันอยู่ แต่มองด้วยตาก็รู้แล้วว่า มีเหรียญทองคำขาวอยู่ด้วยเยอะแค่ไหน
เนปฟ่ากับชีเอ้เป็นลมไปแล้ว คงเพราะไม่เคยเห็นเงินกองโตแบบนี้มาก่อนแน่
แต่เพราะเสียงดังตอนการ์ดระเบิดออก พวกโบสถ์ใหญ่เลยเดินเข้ามาดูด้วย แต่พอเห็นเงินกองโตก็รีบตะโกนขึ้นมาเลย
“พวกนายรีบถอยออกไปซะ! นี้เป็นเงินที่พระเจ้าประทานให้! พวกเราจะเก็บไปส่งให้ทางโบสถ์ใหญ่เอง!”
“ขอซักตุบได้ไหม”
ซาคุยะหันมาถามผม เพราะคงตั้งแต่ตอนกินข้าวล่ะ ที่นักบวชชายคนนี้ลุกขึ้นมาโวยวาย
“ใจเย็นเจ๊ ไว้เดี๋ยวมีมวยจะเรียกคนแรก ตอนนี้ปล่อยผมจัดการก่อน”
ผมถอนหายใจและเดินเข้าไปหาพวกนักบวช ที่มายืนขวางกองเหรียญเอาไว้
“ตามสัญญาเราตกลงว่าจะหารกันตามจำนวนคนนะครับ”
“นายจะขัดพระประสงค์ของพระเจ้าเหรอ!”
“เอ่อ ขอดูเอกสารที่มีลายลักษณ์อักษรของคำสั่งพระเจ้าที่ว่าได้ไหมครับ”
“แก! บังอาจดูหมิ่นพระเจ้าเหรอ”
“ผมแค่ถามหาเอกสารเพื่อยืนยันเท่านั้น เหมือนสัญญาฉบับที่พวกเราทำไว้ไง”
“อย่ามาหยามกันนะ! แกคิดจะเป็นศัตรูกับทางโบสถ์ใหญ่หรือไง”
“ก็ได้ๆ เชิญเอาไปเลยครับ แต่ว่า…แบบนี้ก็ถือว่าผิดสัญญา”
ผมบอกเสร็จก็พยักหน้าให้พวกสาวๆ และพากันเดินแยกออกมา
“ดะ เดี๋ยว พวกแกจะไปไหน!”
“ก็สัญญาพวกเราจบลงแล้วนี้ เพราะงั้นก็ทางใครทางมัน”
ใช่ ไม่แคร์หรอก ผมรู้วิธีหาเงินแล้ว จะทำใหม่เอาก็ได้ แต่พวกโบสถ์ใหญ่เนี่ยสิ ไม่มีพวกผมจะกลับ
ออกไปได้เหรอ ไม่ไหวหรอก ตายกลางทางแน่ๆ บางคนเริ่มรู้ตัวแล้ว เลยรีบกระตุกแขนเตือนนักบวชชายกันใหญ่
“ระ รางวัล พวกเราจะเพิ่มรางวัลให้”
“หา? อย่ามากวนตีนนะ เงินที่นายจะเพิ่มให้น่ะ ไม่ใช่เงินที่อ้างชื่อพระเจ้าให้มาหรอกเหรอ”
เจอผมย้อนให้ พวกนักบวชชายก็ได้แต่ทำท่าอึกอัก จะเถียงกับผมเหรอ รอชาติหน้าเถอะ ผมน่ะต้องเถียงสู้กับพวกพี่ๆ ทุกวันนะ แล้วพี่ผมแต่ละคนเนี่ย ฝีปากคมกริบทั้งนั้น ยิ่งพี่สาวคนโตที่เป็นทนายความ ถกเถียงกันทีแทบจะตั้งโต๊ะโต้วาทีกันเลย
“ไปกันเถอะ ดอเรียฝากแบกเนปฟ่ากับชีเอ้ไปด้วยนะ”
“รับทราบ”
ดอเรียหยิบสองคนที่สลบขึ้นไปนอนพาดบนหลังตัวเอง และคณะของผมก็เตรียมจะออกเดินทาง แต่นักบวชหญิงที่เป็นหัวหน้ารีบออกขวางผมไว้
“รอเดี๋ยวค่ะ ขอฉันคุยกับเขาก่อน”
“รีบๆ หน่อยนะครับ ผมอยากไปถึงจุดตั้งค่ายก่อนคํ่า”
ผมตกลงหยุดรอ แต่พวกสาวๆ คงอยากทิ้งพวกนี้ไปเต็มที่แล้ว
นักบวชหญิงรีบเข้าไปพูดให้นักบวชชายเลิกอ้างสิทธิในเงิน แต่เสียงในกลุ่มเริ่มแตกเป็นสองกลุ่ม คนที่เห็นด้วยกับนักบวชหญิงที่เป็นหัวหน้า มีเพียงอัศวินท่าทางนิ่งๆ สองคน กับนักบวชหญิงอีกคน เสียงเลยแบ่งเป็นครึ่งๆ แถมเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว มีคำแปลกๆ อย่างนอกรีดบ้างล่ะ ขัดพระประสงค์บ้างล่ะ
ส่วนผมไม่มีปัญหาอะไร ถึงไม่มีพวกโบสถ์ใหญ่ ผมก็กะจะอยู่เก็บเลเวลให้ทุกคน อย่างน้อยผมก็อยากจะเลเวลยี่สิบก่อนกลับออกไป
การโต้เถียงผมดูแล้วคงไม่จบง่ายๆ เลยเข้าไปเสนอต่อนักบวชหญิงที่เป็นหัวหน้า ว่าพวกเธอไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญากับผม ถ้าจะไปต่อกันแค่กลุ่มของเธอก็ได้อยู่
“แต่ว่านี้เป็นเงินของพวกคุณ”
“เรื่องเงินผมไม่ใส่ใจหรอก พวกเธอล่ะว่าไง”
ผมหันไปถามพวกสาวๆ ซึ่งทุกคนก็ยิ้มแล้วพากันตอบเป็นไปในทางเดียวกันหมด
“ไม่เห็นสนเลย”
“เงินแค่นั้นเดี๋ยวนายท่านก็หาได้อีกค่ะ”
“ถือว่าใช้เงินก้อนนั้นซื้อ เพื่อดูธาตุแท้ของคนล่ะกัน”
พอได้ยินคำตอบของพวกผมทุกคนแล้ว นักบวชหญิงที่เป็นหัวหน้า ก็พยักหน้ารับข้อเสนอของผม และหันไปเตือนสตินักบวชชายตัวหัวโจกเป็นครั้งสุดท้าย แต่พวกนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยเงิน และคิดว่าตัวเองสามารถรอดกลับไปได้สบายๆ
จริงอยู่ที่ว่าพวกเขาสามารถขนเงินไปได้หมด เพราะเหรียญเวลาใส่ลงในกระเป๋ามันจะนับตามชนิดเดียวกัน เช่นเหรียญเงินเล็กจะนับเป็นหนึ่งชิ้น ไม่ว่าจะใส่ไปกี่เหรียญเงินเล็กก็จะนับเป็นชิ้นเดียวเพราะงั้นช่องเก็บเงินจะใช้สูงสุดเพียงแค่แปดชิ้นเท่านั้น ส่วนเรื่อง
นํ้าหนัก ถ้าแชร์ๆ กันไปก็ได้อยู่ ถึงพวกนักบวชจะมีแค่กระเป๋าขนาดเล็กก็เถอะแต่ปัญหาคือพวกนี้จะฝ่าฝูงศพออกไปได้อย่างไงต่างหาก

ตอนที่ 82 ตั้งค่าย

พวกผมพากันออกเดินทางต่อ โดยทิ้งพวกโบสถ์ใหญ่ครึ่งหนึ่งที่เห็นแก่เงินไว้ข้างหลัง ตอนนี้ผมเปลี่ยนวิธีเดินทาง เป็นจับกลุ่มกันแล้วค่อยๆ เดินไป เพราะอย่างไงก็ไม่เสียเวลาในการต่อสู้นานอยู่แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องรีบ
คนที่ออกไปสู้จะสลับผลัดเปลี่ยนกันไป หรือไม่ถ้าใครอยู่ใกล้ทางไหน ก็ออกไปฆ่าทางนั้น แต่อย่างที่มอเรียบอกไว้ พื้นที่สุสานเป็นพื้นที่ที่มีศพเยอะที่สุด พวกมันแออัดกันจนแทบจะขี่คอกันแล้ว
ครั้งหนึ่งผมเจอศพหมีเลเวลสามสิบ เลยลองตั้งรับด้วยโล่ดู ปลิวอีกแล้วล่ะ แถมบาดเจ็บจน Hp ลดลงขนาดมีเกราะมังกรขั้นต้นช่วยแล้วนะ ไม่แปลกเลยเพราะเลเวลห่างกันตั้งเท่าตัว สรุปได้เลยว่าถ้าผมจะสู้กับพวกนี้มีทางเดียว ก็คือโจมตีให้โดนก่อนที่จะโดนมันฆ่าตาย ตัวผมนอกจากอาวุธขั้นเทพที่ยูรินสร้างให้แล้ว ค่าพลังผมยังน้อยเกินไปสำหรับชั้นนี้
แต่พวกสาวๆ ทำสีหน้าเป็นห่วงขึ้นมา เมื่อเห็นผมชอบใช้ตัวเองเข้าไปทดสอบเสี่ยงตายแบบนี้ แต่ผมก็บอกว่าเพราะมีพวกเธออยู่ด้วย ผมถึงกล้าลองอะไรแบบนี้ เพราะถึงพลาดไปพวกเธอก็สามารถช่วยผมได้ แต่อย่างนั้นก็เถอะทุกคนก็ยังไม่อยากจะยอมรับ
“นายท่านคะ ถ้าต้องการทดสอบรับการโจมตี โปรดใช้ฉันด้วยเถอะค่ะ”
เดเม่เสนอตัว แต่ผมรีบปฏิเสธทันที
“ไม่ได้ๆ ถ้าพวกเธอบาดเจ็บล่ะก็ ผมจะเจ็บยิ่งกว่าพวกเธออีกนะ”
“นายท่าน”
เดเม่กับผมจ้องตาหวานใส่กัน เข้าโหมดเลิฟๆ ไปแล้ว แต่นี้เป็นการแสดงออกตามปกติของพวกผมล่ะนะ
พวกศพส่วนใหญ่จะบุกเข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ บางครั้งก็มากันสิบตัว บางครั้งถึงกับล้อมเข้ามาเกือบร้อยตัว ราวกับกำลังอยู่ในหนังซอมบี้เลยล่ะ
ศพที่ต้องระวังก็คือพวกมนุษย์หรือเอลฟ์ เพราะมนุษย์จะรู้จักใช้อาวุธ ส่วนเอลฟ์ใช้เวทมนต์ได้ แต่เพราะตายไปแล้วมันเลยไม่มีพลังมาน่า เวทมนต์ที่ใช้เลย
เป็นเวทสายความตายที่ดึงพลังด้านมืดมาใช้ แต่พอเจอตัวเอลฟ์ใช้เวท เดเม่ก็จะเก็บมันในพริบตา ด้วยการซัดหัวลูกศรด้วยมือ บางครั้งเธอลงมือโดยที่ไม่มีใครรู้ตัวด้วยซํ้า แต่ผมที่เปิดเรดาร์ดูอยู่ตลอด เลยเห็นจุดสีแดงที่จู่ๆ ก็หายไป คนที่โจมตีระยะไกลได้ไร้เสียงแบบนั้นก็มีเพียงคนเดียวในทีมล่ะนะ
ส่วนฟรานด้านการเป็นตัวชนแล้ว เธอทำได้ดีกว่าดอเรียหรือดาเซสซะอีก เพราะความเร็วของเธอทำให้รับมือกับศัตรูจำนวนมากได้ ถ้าเป็นดอเรียถึงจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าโดนรุมเยอะๆ บางครั้งก็จะพลาดได้แผลมาเหมือนกัน แต่ Hp ของดอเรียเยอะมาก ชนิดที่ถ้าไม่สังเกตดีๆ จะไม่เห็น Hp ที่ลดลงไปของเธอเลย
ด้านดาเซสน่าจะบอกว่าเป็นเหมือนรถถังหุ้มเกราะเคลื่อนที่ คือไม่ค่อยมีความเร็วเท่าไร แต่โจมตี
ได้หนักหน่วงและพลังป้องกันสูงปรี๊ด ชนิดถ้าเห็นตัวเลขค่าความเสียหายได้ คงได้เห็นเลข 1 เด้งเรียงแถวกันอย่างสวยงามแน่ แต่ดาเซสชดเชยความเร็วของตัวเอง ด้วยสกิลโจมตีที่เน้นแต่ท่าที่มีความเร็วสูง ขนาดมอเรียที่มีความเร็วสูงที่สุดในกลุ่มตอนนี้ ยังบอกเลยว่าต่อให้เป็นเธอก็หลบไม่พ้นแน่
ดาเซสนั้นแม้จะไม่ได้ลงดันเจี้ยน เธอก็ฝึกฝนการใช้สกิลอยู่ทุกวัน จนเลเวลของสกิลสูงลํ้าจนถึงขั้นเลเวล 7 แล้วสำหรับบางสกิล ซึ่งเป็นระดับของผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ที่มีอายุแล้ว
ใช่แล้วล่ะ โลกนี้ใช่ว่าเลเวลสูงแล้วจะเก่งกว่าคนอื่น ถ้าขาดการฝึกฝนการใช้สกิลแล้วล่ะก็ เวลาสู้กันอย่างไงคนที่มีสกิลดีกว่าและชำนาญมากกว่าก็จะได้เปรียบ ว่าแล้วผมฝึกบ้างดีกว่า
แต่สกิลโจมตีผมไม่มีเลยนี้สิ มีแต่เวทมนต์ Waterfall ที่ได้มาจากเจ้าหญิงโช ซึ่งมันยังเป็นสีแดงอยู่ เพราะ Mp ผมไม่พอที่จะใช้ ผมเลยฝึกสกิลขโมยแทน เพราะตอนนี้ไม่ได้ใช้มีดแล้ว สกิลขโมยเลยมีโอกาสติดยาก แถมเลเวลมันก็นิ่งมาพักใหญ่แล้วด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะข้ามไปให้ถึงเลเวล 4 ให้หมดทุกสกิลล่ะนะ
ตอนนี้ผมเลยใช้ Groly ตามด้วยใช้ตรวจสอบ พอเจอตัวที่เลเวลพอๆ กับผมหรือน้อยกว่า ผมจะเข้าสู้กับตัวนั้น โดยการเข้าประชิดตัว สกิลขโมยเนี่ยไม่จำเป็นต้องเป็นมีดหรอก มันน่าจะแสดงผลเมื่ออยู่ใกล้กับมอนสเตอร์มากกว่า เหมือนต้องอยู่ในระยะถึงจะแอบดึงไอเท็มออกมาจากมอนสเตอร์ได้
ผมคลุกวงในกับศพไมสเตอร์ลีคโดยใช้เพียงแค่ด้ามดาบทุบใส่ สลับกับใช้โล่ปัดการโจมตีและ
ฟาดใส่สวนกลับเมื่อมีโอกาส แต่ใช้เวลาเกือบนาทีกว่าสกิลขโมยจะติด แถมได้แค่เหรียญเงินเล็ก ไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปเลยแฮะ แถมกว่าผมจะสู้เสร็จ ทุกคนก็กวาดศพที่อยู่รอบๆ หมดไปตั้งนานแล้ว
“นายท่านฝึกสกิลอยู่เหรอคะ?”
ฟรานทำหน้าสงสัย แต่เดาถูกเผงเลยล่ะ
“อืม แต่ท่าทางจะไม่เวิร์ค เดินกันไปแบบเดิมเถอะ ตอนนี้อย่างไงก็ต้องนึกถึงการตั้งค่ายพักเป็นเป้าหมายแรก”
“ค่ะ”
ถึงจะเดินไปเป็นเส้นตรง ไม่ได้ขยายพื้นที่ของการโจมตีด้วย แต่จำนวนของศพที่ฆ่าไป มากกว่า
ตอนที่ผ่านป่ามาซะอีก กว่าจะทะลุสุสานมาได้ก็เย็นพอดี แต่สิ่งที่ได้มาเรียกว่าคุ้มค่าจริงๆ
พวกโบสถ์ใหญ่เลเวลอัพกันอีกคนละหนึ่ง แต่เนปฟ่ากับชีเอ้เลเวลไม่อัพ เพราะสลบอยู่ล่ะมั่ง อ้อ จะว่าไปพวกนี้เป็นพวกชอบลุยกลางคืนนี่น่า ตอนกลางวันเลยนอนยาวไปเลยสินะ
อาเดไลท์ โรสลิน เอร่า จากเลเวลหกเพิ่มขึ้นมาเป็นเก้า เอสเตอร์กับกินเลเวลอัพเป็นสิบเท่ากัน ส่วนยูริน เดเม่ ฟราน เลเวลอัพมากันคนละหนึ่ง เป็นเลเวลสิบเก้ากับยี่สิบเอ็ดตามลำดับ ส่วนพวกเลเวลแถวบนมีแต่จามิร่าที่เลเวลอัพเพิ่มมาเป็นสามสิบสี่ แต่ที่น่าดีใจสุดก็คือตัวผมเองก็เลเวลอัพสักที ตอนนี้เลเวลสิบหกแล้ว เย้!
แต่มอเรียคงสังเกตเห็นแล้ว ว่าเลเวลทุกคนขึ้นกันเร็วแบบแปลกๆ เลยต้องไปยูรินไปกระซิบอธิบายให้ฟัง แล้วข้อสงสัยของเธอเลยหมดไป เพราะมอเรียกำลังคิดอยู่เลยว่าชั้น 8 ที่จริงมันควรจะยากกว่านี้ ถ้าเป็นพวกดอเรียที่เลเวลสูงก็ไม่แปลกอะไรหรอก แต่นี้แม้แต่ฟรานกับยูรินที่เลเวลห่างจากพวกศพ ก็ยังจัดการพวกมันได้ง่ายๆ แบบที่ไม่มีใครที่โดนโจมตีหนักๆ จนบาดเจ็บเลย ก็น่ะผมมีทั้ง Leadership กับ Groly อยู่นี้ ค่าพลังของทุกคนเลยน่าจะสูงกว่าปกติเอาเรื่องทีเดียว
ส่วนของดรอป พวกเหรียญได้มากกว่าในป่าอยู่พอสมควร คงเพราะฆ่าไปเก็บไปเลยเก็บได้ครบล่ะมั่ง แต่คริสตัลได้มาแค่สาม การ์ดได้มาสองจริงๆ ตกครั้ง
เดียวแต่พอดีติดสกิลเบิ้ลไอเท็มพอดี แต่วันเดียวได้คริสตัลมาตั้งเจ็ดก้อน กำไรดีจริงๆ แฮะ
แต่มอเรียเบรกความคิดผมทันที เธอบอกว่าปกติ สองสามวันได้ก้อนหนึ่งก็ถือว่าโชคดีแล้ว ยิ่งการ์ดเนี่ยบางทีทั้งสัปดาห์ยังไม่ได้เลย ทว่ากรณีผมที่มีทั้งสกิลเพิ่มดรอปแรร์ ดรอปเบิ้ล และโชคมหาศาล ไม่แปลกเลยที่มันตกกันเป็นว่าเล่นเลย
ตอนนี้ผมยังไม่ยุ่งกับการ์ด แต่มองหาทำเลที่ตั้งค่ายก่อน หลังจากเสียเวลาหาอยู่ครึ่งชั่วโมง ผมก็เจอที่เหมาะๆ มันเป็นวิหารเก่า ที่เพดานถล่มลงมาหมดแล้ว เลยเหลือแต่กำแพงและเสาหิน มีทางเข้าออกสองทาง ด้านหน้ากับด้านหลัง มีพื้นที่กว้างขวาง และไม่มีศพอยู่แถวๆ นั้นเลย
แต่เพื่อความชัวร์ผมเลยให้เอร่าใช้สกิลที่มีชื่อว่า อาณาเขตแห่งหวงเทพ ซึ่งจะทำให้มอนสเตอร์เข้ามาใกล้ไม่ได้ กางคลุมที่นี้เอาไว้
ผมหยิบเอาเต็นท์ออกมา ซึ่งจริงๆ มันเป็นเพียงแค่ผ้าใบเท่านั้นแหละ แต่ผมให้พวกไรโมดอลเย็บให้ จนทำเป็นเต็นท์ออกมาได้ ผมทำเต็นท์หลังใหญ่สองอัน แบบนอนได้สิบคนแบบไม่ต้องเบียดกัน ซํ้ายังมีเตียงแบบพับด้วย เครื่องนอนก็ขนมาพร้อม และยังเตรียมเพื่อพวกเนปฟ่ากับโบถส์ใหญ่ด้วย แต่เป็นเต็นท์ขนาดกลาง
ทว่าพวกโบสถ์ใหญ่หายไปครึ่งหนึ่ง ผมเลยกางขนาดกลางแค่อันเดียว ไว้ให้พวกอัศวินสองคนนอน ส่วนพวกนักบวชหญิงกับพวกเนปฟ่า ให้ไปนอนรวมกับพวกสาวๆ ของผมที่เต็นท์ใหญ่
พวกโบสถ์ใหญ่ทำหน้าประหลาดใจกันสุดๆ เพราะพวกเขาเตรียมมานอนกับพื้น โดยมีเพียงผ้าห่มบางๆ ผืนเดียวแบบทุกที แต่นี้กลับมีที่พักรูปร่างประหลาดแบบที่ไม่เคยเห็น แถมข้างในมีเครื่องนอนเตรียมไว้พร้อมสรรพอีก
จากนั้นผมก็เทฟืนที่เตรียมไว้ออกมา และตั้งกองไฟให้สองกอง โดยอีกกองยกให้พวกโบสถ์ใหญ่ไป
ขณะที่พวกสาวๆ กำลังตกลงกันเรื่องเต็นท์ ว่าใครจะได้นอนที่เต็นท์เดียวกับผมบ้าง ผมก็ลงมือทำอาหารเย็นแล้ว
โดยมื้อเย็นผมมีเวลาพอสมควร เลยเอาของสดออกมาทำ แต่อาหารมื้อนี้ต้องทำหลายขั้นตอนเลยเสียเวลานิดหน่อย
แต่พอทุกคนตกลงกันได้แล้วกลับมาหาผม ก็พบว่าที่รอบกองไฟมีไก่ทั้งตัวเสียบไม้ย่างอยู่
“ไก่ย่างเหรอ! ไม่ได้กินตั้งนานแล้ว คิดถึงจัง”
ดาเซสคุ้นเคยกับอาหารแบบนี้ดี เพราะตอนที่ต้องเข้าไปค้างแรมในดันเจี้ยน ก็เตรียมไก่ไปย่างกินกันแบบนี้บ่อยๆ
“เดี๋ยวๆ ยังไม่เสร็จ แล้วไปนั่งรอที่โต๊ะนู้น”
ผมห้ามดาเซสที่ทำท่าจะเข้ามาหยิบกินเป็นคนแรก และชี้ไปยังโต๊ะที่นำออกมาตั้งไว้แล้ว ทุกคนทำหน้างงๆ เพราะคิดว่าจะเป็นการนั่งกินกันรอบกองไฟซะอีก
พอทุกคนไปนั่งแล้ว ผมก็นำไก่ที่ย่างอยู่ตัวหนึ่งขึ้นมา และเดินไปที่โต๊ะยื่นมันไปเหนือจากใหญ่ที่ตั้งไว้กลางโต๊ะ และทำการผ่าท้องของไก่ออก จากนั้นข้าวสีนํ้าตาลอ่อนก็ไหลทะลักออกมา พร้อมกับกลิ่นหอมจนห้ามนํ้าลายไม่อยู่
ส่วนไก่ผมก็ใช้สกิลพ่อบ้านหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ไว้ที่อีกจาน จากนั้นก็ทำการตักแบ่งข้าวใส่จานทุกคนและวางไก่ย่างไว้ด้านบน แต่ยังไม่ใช่แค่นี้ ผมหยิบไก่อีกตัวออกมา และยื่นไปเหนือถ้วยชุบใบใหญ่ และทำการกรีดท้องมันแบบเดิม แต่ที่ไหลออกมาไม่ใช่ข้าว แต่เป็นนํ้าซุป
ทุกคนที่เห็นพากันตะลึงกับเมนูอาหารมื้อนี้ แม้แต่พวกโบสถ์ใหญ่ที่เห็นถึงกับทำเนื้อตากแห้งหลุดมือกันเลย
ด้านรสชาติและการตอบสนองของทุกคนอยู่ที่ห้าดาวเลย โดยเฉพาะซุปนั้นได้รสชาติของไก่แบบทั้งตัวเลย หลังจากเริ่มกินกันไปได้พักหนึ่ง นักบวชสาวหัวหน้าก็เดินนำพวกโบสถ์ใหญ่เข้ามาหาผม และขอร่วมโต๊ะอาหารด้วย ซึ่งถ้าอีกฝ่ายมาดี ผมก็ยินดีต้อนรับอยู่แล้ว เลยเชิญทุกคนนั่งและเสริฟอาหารให้
จากนั้นก็ไม่ต้องอธิบายมาก พวกโบสถ์ใหญ่ทั้งสี่คน มีสีหน้าท่าทางไม่ต่างไปจากพวกฟราน ตอนที่ได้ชิมอาหารของผมครั้งแรก แต่ตอนที่กำลังกินกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้นเอง เรดาร์ผมก็ส่งสัญญาณเตือน ไม่ใช่เพราะมีอะไรเข้ามาใกล้หรอก แต่ผมมาร์กตำแหน่งของพวกที่แยกตัวออกไปไว้
อย่างที่คิดไว้ พวกนั้นไปไม่รอด ตอนนี้ตายไปแล้วสองคน อีกสองคนก็หนีเตลิด จนหลงทางในป่าไป
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ผมงกหรืออะไรหรอกนะ แต่เงินของผมเรื่องอะไรจะให้คนอื่นเอาไปเฉยๆ ล่ะ ผมเลยรอเวลากะให้พวกนั้นตายหมดแล้ว ค่อยกลับไปเอาเงินคืนแต่ถ้ามันรอดออกไปได้ ผมก็จะคิดว่ามันเป็นประสงค์ของพระเจ้าจริงๆ
ความสำเร็จมันเริ่มต้นจากการวางแผนที่ดีไงล่ะ แล้วผมก็กลับมากินข้าวต่ออย่างสบายใจ พวกโบสถ์ใหญ่โดนความอร่อยเล่นงาน จนลืมอคติที่มีต่อทาส และเริ่มหันไปถามพวกสาวๆ ที่นั่งข้างๆ เพราะต่างไม่เคยได้กินอาหารที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน
แต่พอพูดถึงเมนูข้าวแล้ว พวกสาวๆ ก็โม้ให้ฟังเลยว่า แค่ข้าวอย่างเดียวผมก็พลิกแพลง จนเป็นเมนูอาหารที่หลากหลายและแสนอร่อยได้ไม่ซํ้าแบบ
อย่างที่กินกันวันนี้ พวกเธอก็พึ่งเคยกินกันเป็นครั้งแรกเหมือนกัน
พวกโบสถ์ใหญ่พอรู้ว่าผมยังมีเมนูอาหาร ที่อร่อยแบบนี้อีกเป็นกระตัก ก็ทำตาโตและจ้องมาทางผม ก่อนจะหันไปชมเนปฟ่า
“แบบนี้เองเธอถึงเชียร์ให้พวกเรามากับเขา ขอบคุณนะคุณเนปฟ่า”
“มะ ไม่ใช่ค่ะ! ฉันเองก็พึ่งรู้ว่าโรมะทำอาหารอร่อยแบบนี้”
“นายท่านเก่งทุกอย่าง”
ยูรินบอกไปสั้นๆ แต่เล่นเอาผมเขินเลย
แต่พวกโบสถ์ใหญ่กลับพยักหน้าเห็นด้วยกับยูริน เพราะนอกจากอาหารแล้วผมยังเตรียมที่พักไว้ให้
ด้วย เป็นทั้งคนวางแผนและร่วมต่อสู้ด้วยตัวเอง ซํ้ายังเป็นคนนำทางได้อีก เรียกว่าเอกประสงค์ได้เลย พอนึกถึงความสามารถของผมแล้ว พวกโบสถ์ใหญ่ก็พากันคอตกลงทันที
เพราะด้วยความสามารถระดับนี้ สมควรได้รับค่าจ้างที่แพงกว่านี้ไม่รู้กี่ร้อยเท่า แค่คิดว่าค่าอาหารที่กินกันไปมื้อเดียว ก็น่าจะแพงกว่าค่าจ้างแล้วด้วยซํ้า
“ไม่ต้องวิตกกันก็ได้ รับรองว่าถ้าทำตามสัญญา พวกเราทุกคนจะมีแต่ได้ ส่วนเงินค่าจ้างคิดซะว่าเป็นค่าธรรมเนียมไปล่ะกัน”
พอได้ยินผมบอกแบบนี้ทุกคนก็มีสีหน้าดีขึ้นมา แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน หลังจากผมนำเอาของหวานออกมา
ของหวานผมนำเอาแตงโมมาผ่ากลาง และควักเนื้อออกไปทำเป็นนํ้าผลไม้ผสมกับนํ้าเชื่อม เทลงกลับมาในเปลือกแตงโม และใส่พวกผลไม้อีกหลายๆ ชนิดลงไป ก่อนจะเติมนํ้าแข็งเป็นก้อนเล็กๆ ลงไปด้วย
ทันทีที่เริ่มกินกัน ผมก็ได้เห็นภาพที่แทบจะหลุดหัวเราะออกมา เพราะพวกโบสถ์ใหญ่พร้อมใจกันคุกเข่าลง และสวดต่อหน้าของหวานกันเลย แต่ว่าพวกนั้นไม่ได้หรอก เพราะแม้แต่ในกลุ่มสาวๆ ก็มีบางคนอยากจะทำแบบนั้นเหมือนกัน ของหวานที่ผมทำนั้น เข้าใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านไปทุกทีแล้ว
พอกินกันเสร็จแล้ว พวกโบสถ์ใหญ่มีแอบบ่นกันด้วย ว่าเสียดายมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน แต่พวกนี้ก็มีข้อดีนะ เพราะกินเสร็จแล้วยังช่วยเก็บกวาดให้ด้วย ถึงผมจะทำคนเดียวได้ก็เถอะ
“ยูริน อยากจะเล่นอีกไหม”
ตอนนั่งพักหลังกินเสร็จ ผมก็หยิบการ์ดศพออกมา พร้อมกับชวนยูริน เธอรีบยื่นมือออกมาทันที ทุกคนก็พากันเข้ามามุงดูกันใกล้ๆ พลางลุ้นกันไปด้วย
คราวนี้ไม่มีเสียงระเบิดแบบคราวก่อน จะว่าเป็นเหมือนเสียงตดก็ว่าได้ พอการ์ดแตกออก ก็มีเหรียญกองเท่าฝ่ามือตกลงมา แต่ว่ามันเป็นเหรียญทองแดงเล็กทั้งหมด
“…โชคบินหนีไปแล้ว”
ยูรินเอ่ยขึ้นมาเป็นคนแรก แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนออกมาได้ พวกโบสถ์ใหญ่ต่างทำหน้าประหลาดใจกัน เพราะพวกผมพึ่งเสียการ์ดไปโดยได้เงินมาไม่ถึงร้อยรีลด้วยซํ้า แต่สำหรับพวกผมแล้ว นี้มันแค่ลุ้นกันสนุกๆ ได้เงินเท่าไร มันไม่ใช่ประเด็นเลย
“เหลืออีกใบ มาเล่นกันเลยเถอะ”
“เดี๋ยวๆ ขอฉันด้วย”
“หนูด้วยค่ะ”
ทุกคนต่างพากันยื่นมือมาจับที่ขอบการ์ดกันหมด และคราวนี้พอใช้ก็มีเสียงเหมือนถอนหายใจออกมา พร้อมกับที่การ์ดแตกออก และมีเหรียญทองเล็กหนึ่งเหรียญตกลงบนโต๊ะ และหมุนติ้วไม่หยุด
“…ค คิกๆๆ!!”
“ฮ่าๆๆ”
พวกผมพากันขำกลิ้งเลย
“โรมะนี้มันน่าสนุกจริงๆ ไปหาการ์ดเพิ่มกันเถอะ”
อาเดไลท์ชวนเป็นคนแรกเลย ผมเองก็อยากเล่นอีกเหมือนกัน คือมันตลกตั้งแต่เสียงแล้ว เพราะเสียงแต่ละครั้งจะดังไม่เหมือนกันผมเลยได้โอกาสแบ่งทีมออกไปเก็บเลเวล
โดยจะแบ่งออกเป็นสามทีม
ทีมรอบเช้าจะออกไปล่าตั้งแต่หลังมื้อเช้าและกลับมาก่อนมื้อเที่ยง จะมี
ดอเรีย ซาคุยะ กิน มิรินและชีเอ้ กลุ่มนี้ผมจับเอาคนที่เคยปาร์ตี้กันมาแล้ว ตอนดันเจี้ยนลาลาพัสมาไว้ด้วย และเพิ่มมิรินที่เป็นคนโจมตีแถวหลังไปกับชีเอ้ที่เป็นหน่วยรักษา
ทีมรอบบ่ายจะออกไปล่าตั้งแต่หลังมื้อเที่ยงและกลับก่อนมื้อเย็น จะมี
มอเรีย ดาเซส จามิร่า โรสลิน เนปฟ่า กลุ่มนี้ผมให้ดาเซสเป็นตัวยืน และมีมอเรียเป็นคนสร้างความเสียหายให้ศัตรู ส่วนจามิร่าเป็นหน่วยเก็บกวาดและเนปฟ่าเป็นแถวหลัง
ทีมรอบคํ่าจะออกล่าหลังมื้อเย็นเป็นต้นไป จะมี
ฟราน เดเม่ ยูริน เอสเตอร์ ทีมนี้ถึงจะมีสมาชิกน้อยสุดและเลเวลก็ไม่สมดุล คือไม่มีคนเลเวลสูงๆ มาเป็นหัวแถว แต่จากที่ผมลุยด้วยกันมากับพวกฟราน ผมเชื่อว่าพวกเธอรับมือกับที่นี้ได้สบาย แถมกลุ่มของฟรานเนี่ยล่ะที่ต่อสู้ได้ทรหดมากที่สุดแล้ว ส่วนเอสเตอร์เพราะปกติน่าจะชินกับการนอนดึกอยู่แล้ว ผมเลยให้เข้ามาในกลุ่มด้วย
ส่วนผม เอร่า และอาเดไลท์ จะเป็นตัวฟรี ผมจะไปกับทุกทีมอยู่แล้ว ส่วนเอร่าเพราะสกิลเธอมีประโยชน์หลายอย่าง ไว้ใช้ตอนคับขันได้ ผมเลยให้ติดไปด้วยตามแต่ใจเธอว่าอยากจะไปตอนไหน แต่อาเดไลท์ผมอยากให้เธอได้รับประสบการณ์การต่อสู้ให้มากที่สุด
เพราะในอนาคต ผมวางไว้ให้เธอสามารถวางแผน และควบคุมการต่อสู้ได้แบบผม เลยจะให้เธอได้ซึมซับกลยุทธ์ของผมในการต่อสู้จริงให้มากๆ
แล้วก็พวกโบสถ์ใหญ่ ให้เกาะไปกับพวกผม จริงๆ ก็อยากจะให้ตามไปทุกช่วงเลย แต่ต้องดูก่อนว่าจะไหวแค่ไหน
ส่วนคนที่ว่างไม่ได้ออกไปล่า ก็แบ่งเวรยามเฝ้าระวังที่พักไว้ หรือท่าเบื่อๆ จะออกไปล่าใกล้ๆ ที่พักก็
ไม่ได้ห้าม แต่ว่าถ้าจะไปไหนต้องไปเป็นทีม ห้ามแยกไปคนเดียวเด็ดขาด
จากนั้นผมก็อธิบายเรื่องฟอเมชั่นที่จะใช้ในการล่า ซึ่งดูจากการเคลื่อนไหวของศพที่ผ่านมา รูปแบบที่ดีที่สุดก็คือ การจับคู่ เพราะพวกศพจะมาจากทุกทิศทุกทาง แถมเร็วมากด้วย ผมเลยให้ยืนแบบเป็นคู่สองคนหรือสามคน ไม่ต้องไปยืนแบ่งแถวหน้าแถวหลัง เพียงแต่คนที่เป็นแถวหลังห้ามจับคู่กันเอง
ส่วนกรณีที่เจอ Raid หรือ Mini boss ผมจะดูอีกทีว่าสู้ไหวไหม
แต่ตอนเตรียมตัวก่อนทีมรอบคํ่าจะออกไป ผมเรียกดอเรีย จามิร่า เอสเตอร์ กินกับมอเรียให้มาหา และเข้าไปคุยในเต็นท์เพื่อไม่ให้ใครเห็น และให้พวกเธอ
ทำการเปลี่ยนอาชีพ เพราะตอนนี้เอสเตอร์กับกินเลเวลสิบกันแล้ว
ของจามิร่ายังไม่ได้เปลี่ยนอาชีพตอนเลเวล 30 ส่วนของดอเรียยังไม่ได้เปลี่ยนอาชีพตอนเลเวล 50 ส่วนมอเรียผมให้เธอช่วยให้คำแนะนำกับทุกคน
กินเป็นคนที่เลือกง่ายที่สุด เพราะมีอาชีพขึ้นมาไม่กี่อย่าง ที่เธอเลือกมาคือชาแมน…ไม่เป็นไรมั่ง
เอสเตอร์เลือกได้เป็นคนต่อมา เธอเลือกอาชีพนอกสาระบบ แม้แต่มอเรียเองก็ไม่เคยเห็นอาชีพนี้มาก่อน นั้นก็คืออาชีพ Devil Eye ทันทีที่เปลี่ยนอาชีพ ดวงตาข้างที่เป็นหินของเอสเตอร์ก็แตกออก และกลายเป็นดวงตาแบบปกติทันที แต่ไม่เชิงปกติแฮะ มันมีเส้นเป็นเครื่องหมาย + อยู่ตรงกลางและสีตาก็เป็นสีฟ้าต่างจากข้างปกติที่เป็นสีดำ ส่วนสกิลเอสเตอร์บอกว่ามีส
กิลสายเนตรพิชิต ไว้ทำให้เป้าหมายกลัว ตกใจ ชะงัก หรือตายในทันที…ตายเลยเหรอ!
จามิร่าค่อนข้างมีปัญหา เพราะอ่านสกิลกับอาชีพไม่ออก ผมเลยต้องตามโรสลินมาช่วยแปลให้ฟัง สุดท้ายเลยเลือกอาชีพ ยักษ์โบราณ ซึ่งเป็นอาชีพที่สอง ที่จามิร่าเลือกอาชีพนี้เพราะอาชีพขั้นสองของเทพพิทักษ์ขุนเขา จะต้องมีอาชีพยักษ์โบราณอยู่ด้วย
ของดอเรียนี้สิ เลือกยาก เพราะซามูไรคืออาชีพขั้นสูงสุดแล้ว แถมอาชีพอื่นของสายดาบไม่สนับสนุนอาชีพซามูไรด้วย เป็นอาชีพที่ตันเร็วว่างั้นเถอะ สุดท้ายดอเรียเลยไปเลือกอาชีพของสายเผ่าพันธุ์ตัวเอง คืออาชีพ อาชาศึก
จามิร่ากับดอเรียมีการเปลี่ยนแปลกเกิดขึ้นเหมือนกัน จามิร่าตัวสูงขึ้นเกือบสิบเซน กล้ามเนื้อดูแน่น
ขึ้นช่วงไหล่ขยายออก และมีรอยสักตรงต้นแขนเป็นสัญลักษณ์แปลกๆ ส่วนของดอเรีย ขนตรงหลังเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง และกีบเท้าทั้งสองก็กลายเป็นสีเงิน
พวกเธอต่างดีใจที่ได้เปลี่ยนอาชีพกัน โดยเฉพาะเอสเตอร์ที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เป็นนักผจญภัย แถมยังได้อาชีพพิเศษมาด้วย

ตอนที่ 83 ทีมรอบคํ่าออกลุย

เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว ทีมรอบคํ่าก็เริ่มออกล่ากันทันที โดยรอบนี้นอกจากทีมยืนพื้นแล้ว ก็มีผม อาเดไลท์ กับพวกโบสถ์ใหญ่ทั้งสี่คน ส่วนเอร่าก็ตามเคยกินอิ่มแล้วก็ลงไปนอนกลิ้ง ไม่ค่อยอยากทำอะไร
พวกฟรานมีบอกว่ารู้สึกแปลกๆ เพราะปกติเวลานี้จะต้องแช่นํ้าและมีอะไรกันกับผมต่อ พอขาดไปมันเลย
แปลกๆ ผมเองก็ด้วยล่ะ แต่ดีที่เมื่อคืนปล่อยใส่อาเดไลท์ไปเยอะ วันนี้เลยยังพอทนไหว ไว้ถ้าไม่ไหวคงต้องวาปร์กลับปราสาทจอมมารไปหามุเอมะ
จุดที่ผมไปล่ากันก็คือในสุสาน เพราะไม่ต้องเดินหาเลย แค่ยืนเฉยๆ เดี๋ยวก็โดนศพรุมเข้ามาเอง แถมอยู่ไม่ห่างจากที่พักด้วย
ชุดแรกที่โผล่เข้ามามีห้าตัว แถมมีตัวเลเวลตํ่าหลุดมาด้วย ผมเลยให้ฟรานเหลือตัวเลเวล 7 ไว้ มันเป็นศพก็อปลินอ่ะ
“เอสเตอร์ลองฝึกใช้สกิลกับเจ้านี้ไหม”
“ค่ะ!”
เอสเตอร์พยักหน้ารับและเริ่มต่อสู้กับศพก็อปลินแบบไม่มีกลัว เธอใช้สกิลเนตรพิชิตออกมา ศพก็
อปลินก็ยืนตัวแข็งทื่อไปเลย สุดท้ายก็เป็นเป้านิ่งให้ดาบกระดูกงูเฉือนเละไปในไม่กี่ที
สุดยอดเลยแฮะ เป็นสกิลประเภทโจมตีทางจิตประสาทแบบเดียวกับ Mine control ของฟรานเลย แต่มีจุดอ่อนอยู่เพราะต้องให้ศัตรูจ้องตาก่อน ถึงจะใช้สกิลออกมาได้ แถมเป็นสกิลที่กิน Hp ไม่ใช่ Mp ถ้าใช้ไม่ระวังล่ะก็ถึงตายได้เลย
การจับคู่ตอนนี้ของทีมผมเป็น ฟรานยืนอยู่กับเดเม่ ส่วนยูรินยืนแถวสองคอยป้องกันอาเดไลท์ ส่วนผมประกบอยู่กับเอสเตอร์ พวกโบสถ์ใหญ่ก็เป็นนักบวชกับอัศวินสองคู่พอดี
ผมดูบนเรดาร์และเห็นศพกำลังรุมเข้ามาฝูงใหญ่ เลยเตือนทุกคนให้รู้ตัว
“โรมะ ชี้ตัวเลเวลน้อยๆ ให้ฉันหน่อยสิ”
“จะลองสู้เหรอ?”
“อืม ดูเอสเตอร์สู้ตะกี้แล้ว คิดว่าน่าจะพอไหวน่ะ”
“ไม่เหมือนกันหรอกครับ เอสเตอร์เปลี่ยนอาชีพแล้ว แถมมีสกิลหยุดการเคลื่อนไหวด้วย”
“งั้นเอาตัวเลเวลที่น้อยกว่านั้นก็ได้ ฉันอยากสู้ด้วยน่ะ”
“ก็ได้ครับ แต่ระวังตัวด้วยนะ”
รอบนี้ศพมาจากหลายทาง จำนวนเกินกว่ายี่สิบตัว
“ทางนั้นก็เตรียมสู้ด้วยนะ”
ผมหันไปบอกพวกโบสถ์ใหญ่ ที่ดูออกจะกลัวๆ กัน แต่นักบวชหญิงคนหัวหน้าตั้งสติได้ดี เลยเริ่มร่ายเวทเพิ่มคุณสมบัติธาตุแสงให้กับอาวุธพวกอัศวิน
ผมกับเอสเตอร์ตั้งรับพวกศพโดยผมยืนอยู่ข้างหน้า ด้วยดาบศิลาเย็นผมผ่าร่างมันตัวหนึ่งได้ในทันที แต่ตัวที่สองผมพลาดทำได้แค่ฟันแขนมันขาด เลยหลุดไปด้านหลัง แต่เอสเตอร์ก็ใช้ดาบกระดูกงูฟันใส่ขาจนมันช้าลง ผมเลยหันกลับไปปิดบัญชีมันได้ เอสเตอร์สนับสนุนผมได้ดีทีเดียว ถึงจะหลุดไปเธอก็หยุดมันได้สบายด้วยเนตรพิชิต
แต่ผมต้องระหวังกลุ่มโบสถ์ใหญ่ไว้ด้วย เกิดพวกนี้เป็นอะไรขึ้นมาเควสก็ล้มเหลวพอดี ผมเลยสู้ใกล้ๆ พวกนั้น และคอยดึงศพมาให้ โดยไม่ให้พวกนั้นรับมือเกินรอบล่ะสองตัว
พวกอัศวินถึงจะดูงุ่มง่าม แต่ก็แข็งแกร่งเอาเรื่อง พวกนักบวชก็ใช้เวทรักษากันตลอดเลยแฮะ
ผมต้องเสียใจกับอาเดไลท์ด้วย เพราะตอนนี้ไม่มีตัวเลเวลน้อยหลุดมาสักตัว
เกินกว่าครึ่งถูกฟรานกับเดเม่เก็บเรียบ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีแรร์ดรอป มีแค่เหรียญเท่านั้น
พอสู้จบผมก็เดินเข้าไปหาพวกโบสถ์ใหญ่ และเริ่มทำการเลคเชอร์จุดอ่อนของพวกเขา
“นายน่ะหัดขยับขาหน่อยสิ ยืนทื่อเป็นท่อนไม้เลย”
“แต่การป้องกันที่ดีต้องทิ้งนํ้าหนักลงเท้าให้มั่นคงไม่ใช่เหรอ?”
“มันก็ใช่ แต่ไม่ใช่กับศัตรูที่มีกำลังมากกว่า นายนะโดนศพเลเวล 30 อัดทีเดียวก็ล้มควํ่าแล้ว เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู”
ผมเรียกยูรินเข้ามา และให้เธอพุ่งชนใส่ ทั้งๆ ที่ยูรินตัวเล็กกว่าเป็นเท่าตัว แต่กลับชนอัศวินจนกระเด็น เขารีบลุกขึ้นมาทำหน้างงๆ
“คราวนี้ดูผมให้ดีๆ นะ ยูรินพุ่งชนมาให้เต็มแรงเลย”
“รับทราบ”
ยูรินทำตามทันที ถึงจะลังเลกลัวว่าจะทำผมบาดเจ็บอยู่บ้างก็เถอะ
ตอนที่ถูกยูรินกระแทก ผมดีดปลายเท้าส่งตัวเองไปด้านหลังตามแรงปะทะ ตัวผมลอยขึ้นจากพื้นก็
จริง แต่ไม่กระเด็นหรือเสียหลัก พอแรงปะทะสลายไปเท้าผมก็ลงพื้นและยืนได้อย่างมั่นคงทันที ไม่ได้รับทั้งความเสียหายหรือเสียหลักล้ม พวกฟรานพากันตบมือชมผมยกใหญ่
“ทะ ทำได้อย่างไงน่ะ!”
อัศวินทั้งสองรีบเข้ามาถามทันที ผมเลยสอนไปแบบไม่มีปิดบัง ถึงจะต้องอาศัยการจับจังหวะและการฝึกฝน แต่พวกเขาก็เริ่มจับจุดได้แล้ว ไม่ใช่เพียงแค่เท้า แต่แขนก็ด้วย เวลายกโล่ขึ้นรับ ถ้าเจอการโจมตีที่รุนแรงก็อย่าไปฝืนแขนดันสู้แรง แต่ให้สะบัดโล่ไปด้านข้าง เพื่อเปลี่ยนทิศทางการโจมตีนั้นออกไป
ตอนที่อัศวินฝึกท่าตามที่ผมบอกอยู่ ผมก็หันไปทางนักบวชสาวบ้าง
“พวกเธอก็ด้วย เวลาต่อสู้ตั้งสติให้ดีหน่อย ไม่ใช่แค่แผลโดนข่วนนิดหน่อยก็รีบรักษาแล้ว เกิดมาน่าหมดตอนที่มีคนบาดเจ็บสาหัสล่ะ จะทำอย่างไง”
พวกนักบวชสาวไม่เถียงผมสักคำ แต่กลับตั้งใจฟัง คงเพราะเห็นผมสอนพวกอัศวินได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาล่ะมั่ง ถึงได้ดูให้ความเชื่อถือถึงขนาดนี้
ผมเลยสอนการใช้สกิลให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดไป ก่อนอื่นเลยอย่าพึ่งใช้เวทเพิ่มคุณสมบัติธาตุแสง เพราะบัพธาตุแสงจะอยู่ได้แค่สามสิบวินาที แต่พวกอัศวินจะรอเป็นฝ่ายตั้งรับก่อนแล้วค่อยโต้กลับ เพราะงั้นบัพจะหายไประหว่างการตั้งรับแล้ว ถ้าจะใช้ก็รอให้เห็นตัวศัตรูและเริ่มการปะทะซะก่อน
ส่วนการรักษา ระหว่างการต่อสู้ ถ้าไม่ถึงขนาดได้รับบาดเจ็บจนเคลื่อนไหวไม่ได้ หรือได้แผลที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว ก็อย่าพึ่งใช้เวทรักษา แล้วเวลาจะเข้าไปรักษา ก็ต้องส่งเสียงบอกคนที่จะรักษาด้วย เพราะการรักษาจะต้องทำใกล้ๆ แต่ถ้าไม่ระวังจะเป็นการไปยืนขวางทางซะแทน ตะกี้ก็มีสะดุดกันล้มไปทีแล้ว ดีที่เดเม่มองอยู่ เลยช่วยเก็บศพให้ก่อนจะถูกโจมตี
พอสอนเสร็จบนเรดาร์ก็มีจุดแดงแห่กันมาอีกรอบพอดี รอบนี้มีแค่สิบกว่าตัว แต่เหมาะสำหรับใช้ในการฝึกเลย
“อาเดไลท์ซัง เจ้าศพชายแก่นั้น เลเวล 6 น่าจะพอไหวนะ แต่รอให้พวกผมเก็บกวาดตัวอื่นก่อนนะครับ”
“เข้าใจแล้ว”
อาเดไลท์พยักหน้ารับ และยืนมองดูการต่อสู้อย่างตั้งใจ ผมกับเอสเตอร์เริ่มเข้าขากัน เธอใช้การโจมตีที่มีระยะกลาง ทำให้ศัตรูช้าลง เพื่อให้ผมสู้ได้สบายขึ้น ถ้ามีโอกาสเธอก็จะดึงดาบกระดูกงูให้กลับไปสู่สภาพดาบ และเข้ามาฟันตรงๆ ด้วย เพราะการฟันสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่าการสะบัดดาบกระดูกงู
พวกโบสถ์ใหญ่เริ่มต่อสู้ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะพวกนักบวชสาวดูใจเย็นแล้ว และไม่ใช้เวทมนต์ออกมาโดยเปล่าประโยชน์อีก ส่วนพวกอัศวินต้องฝึกกันอีกเยอะ
พออาเดไลท์เห็นว่าทางผมกับเดเม่จัดการศพได้หมดแล้ว เลยตรงเข้าไปหาศพชายแก่ที่ยูรินช่วยล่อไว้ให้อยู่
อาเดไลท์เริ่มสู้โดยใช้พัด ผมว่ามันเหมือนการเอาศิลปะการรำพัด มาประสานเข้ากับการต่อสู้เลย
โดยหลักการแล้วพัดสามารถใช้รบกวนสายตาได้ และใช้ปัดการโจมตีออกไป คงเพราะได้ฟังที่ผมสอนพวกอัศวิน เธอเลยจำเทคนิกเปลี่ยนทิศทางการโจมตีมาใช้ แต่แค่ฟังแล้วเอามาใช้ได้เลย แปลว่าเธอมีพรสวรรค์ที่น่ากลัวจริงๆ
ส่วนการโจมตีก็จะเป็นการฟาดหรือแทงด้วยพัด แต่พัดพายุวารีเป็นเหล็กทั้งด้าม เวลาโดนฟาดเลยไม่ต่างจากโดนหวดด้วยท่อนเหล็กเลย แล้วพัดพายุวารีน่ะเป็นอาวุธระดับ Super rare ที่ผมปลดผนึกสกิลมันออกหมดแล้วด้วย
จังหวะที่กางพัดออกและโบกสะบัดออกไป ก็เกิดเป็นคลื่นตัดอากาศโจมตีเข้าใส่เป้าหมาย บางครั้งก็จะออกเป็นใบมีดนํ้า นี่เป็นสกิลที่มีอยู่แต่แรกของพัดพายุวารี
สายลมกรีดกราย สายนํ้าเชือดเฉือน (Passive skill)
เป็นสกิลที่ใช้ง่ายมากด้วย เพียงแค่สะบัดพัดออกไป คลื่นตัดอากาศกับใบมีดนํ้าก็จะพุ่งออกไป ระยะโจมตีอยู่ระดับกลางๆ พลังโจมตีก็น่าจะตามค่าพลังของผู้ใช้ ตอนนี้อาเดไลท์เลยสร้างได้แค่แผลบาดตื้นๆ
“อาเดไลท์ซังใช้สกิลที่สองเลยครับ”
พอได้ยินที่ผมบอก อาเดไลท์ก็สะบัดพัดอีกครั้ง จนสร้างใบมีดนํ้าฟันไปที่ข้อเท้าของศพ ถึงจะไม่ถึงกับขาด แต่ก็ทำให้มันล้มลง
“พายุสมุทรคลั่ง!”
พอใช้สกิลพร้อมกับสะบัดพัดออกไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ใบมีดแล้ว แต่เป็นคลื่นยักษ์สูงจรดเพดาน
พอมันโถมอัดเข้าใส่เป้าหมาย มันกลับไม่ได้กวาดให้ไหลไปตามแรง แต่มันหยุดอยู่กับที่และม้วนตัวเป็นพายุนํ้าวนแทน ภายในนํ้าวนยังมีสายฟ้าสาดกระหนํ่าใส่เป้าหมายที่กำลังถูกปั่นจนร่างฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่
พอพายุนํ้าวนหยุดลง ที่เหลือก็มีเพียงเหรียญเงินเล็กตกลงมากระทบพื้น ท่านี้ผมบอกได้คำเดียว อลังการงานสร้างมาก! แต่ว่ามันยังเร็วเกินไปสำหรับอาเดไลท์ตอนนี้ เพราะหลังจากใช้ไปแล้ว เธอก็ยืนโงนเงกและล้มหมดสติไปเลย
เพราะสกิลนี้กินมาน่าเยอะมาก แถมถ้ามาน่าไม่พอ มันยังจะไปกิน Hp ต่ออีก เลยเป็นสาเหตุให้อาเดไลท์หมดสติไป ผมเลยต้องวานให้ยูรินช่วยแบกอาเดไลท์กลับไปที่ค่าย และให้เดเม่ตามไปคุ้มกันด้วย ระหว่างที่รอพวกเธอกลับมา พวกผมก็จัดการศพไปอีก
สามกลุ่ม ถึงแม้คนจะลดลง แต่ยังอยู่ในสถานการณ์ที่รับมือได้
“ยังไม่มีแรร์ดรอปเลยแฮะ”
เซนเซอร์หาสมบัติผมนิ่งสนิทมาพักใหญ่ล่ะ พอพวกเดเม่กลับมา ผมเลยจะเร่งมือขึ้นหน่อย พอบอกว่าจะเก็บเลเวลแบบเคลื่อนที่ พวกโบสถ์ใหญ่ก็ผวากันขึ้นมาทันที เพราะเมื่อตอนบ่ายก็วิ่งกันลิ้นห้อยกันไปทีแล้ว นี้ถ้าต้องสู้ไปวิ่งไปมีหวังตายแน่
“ไม่ต้องห่วง ไม่ได้ใช้ความเร็วแบบเมื่อตอนบ่ายหรอก”
พอได้ยินที่ผมบอกโบสถ์ใหญ่ก็ถอนหายใจโล่งอก แต่ถึงผมจะไม่ได้วิ่งกันเต็มสปีด แต่พวกผมย้ายที่กันตลอด ฆ่าเสร็จกลุ่มหนึ่ง ก็จะย้ายไปยังอีกกลุ่มทันที แบบไม่มีเวลาให้พัก
“…ฟราน ข้างหน้ามีกลุ่มใหญ่เกินสามสิบตัว ใช้ Strike pike เปิดไปก่อนเลยนะ”
“รับทราบค่ะ”
ฟรานวิ่งนำออกไปก่อน Strike pike ของฟรานเป็นเลเวล 4 แล้ว ไม่ใช่แค่ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น แต่จากเดิมที่มีแค่เหล็กแหลมพุ่งขึ้นมาจากพื้น แต่ตอนนี้พอเป้าหมายถูกเหล็กแหลมเข้าไปแล้ว เลือดในตัวเป้าหมายก็จะแข็งตัวและกลายเป็นหนามแหลม แทงออกมาจนเหมือนเป็นหอยเม่นไปเลย
“เอสเตอร์ ใช้เนตรพิชิตกับไอ้ตัวนั้น”
ผมชี้ไปยังศพตัวที่เลเวลสูงที่สุด และพอเอสเตอร์ดึงผ้าปิดตาออก และจ้องตากับศพ มันก็ผงะแล้วหันหลังวิ่งหนีไปเลย
ขนาดเลเวลต่างกันตั้งเยอะยังได้ผลอีกแฮะ
พอโดนฟรานตีกลุ่มตรงกลางแตก และเอสเตอร์ไล่ตัวเลเวลสูงไป ที่เหลือที่แตกกระจายออก ก็โดนพวกผมไล่เก็บไปทีละตัวอย่างไม่ยากเย็น กลุ่มของโบสถ์ใหญ่เริ่มมีประโยชน์ขึ้นมาหน่อยแล้ว อย่างน้อยก็รับมือศพสองตัวได้ โดยไม่ต้องให้พวกผมเข้าไปช่วย
“!!!”
เดเม่ทำหน้าตกใจขึ้นมา ผมเลยรีบหันไปถาม
“มีอะไรเหรอเดเม่!”
“เปล่าค่ะ แค่ได้สกิลใหม่มา”
“สกิลใหม่?”
“Throw Mastery Lv1 กับกระสุนรวมศูนย์ Lv 1 ค่ะ”
“ได้สองสกิลเลยเหรอ! กระสุนรวมศูนย์นี่น่าสนแฮะ ลองใช้ให้ดูหน่อยสิ”
“ค่ะนายท่าน”
เดเม่หยิบเอาหัวลูกศรออกมา วิธีถือของเธอจะซ่อนไว้ในฝ่ามือ เวลาสู้กันจะไม่รู้เลยว่าเธอซ่อนอะไรไว้ แต่ท่าขว้างเปลี่ยนจากการสะบัดมือ เป็นการก้าวเท้าออกไปและเหวี่ยงปาไปแบบทั้งตัว เกิดเสียงโซนิคบูมขึ้นมาทันที
อะไรก็ตามที่ขว้างออกไป พุ่งไปด้วยความเร็วเหนือเสียง ทะลุผ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า ศพที่โดนเข้าไปถึงกับกระจุย หลังจากทะลุผ่านไปเจ็ดตัว มัน
ยังพุ่งไปหาตัวที่โดนเนตรพิชิตของเอสเตอร์แล้ววิ่งหนีไปด้วย ขนาดตัวเลเวล 38 ทีเดียวยังเละเลยเหรอเนี่ย!
“…ขอลองอีกครั้งได้ไหมค่ะนายท่าน ตะกี้รู้สึกเหมือนยังขว้างได้ไม่ดีเท่าไร”
“พอก่อนเดเม่ ขืนมากกว่านี้หัวใจผมรับไม่ไหวแล้วล่ะ”
ว่าไงดีล่ะ ผมว่าจริงๆ แล้วสกิลมันคงไม่ได้โหดขนาดนี้หรอก แต่เพราะค่าพลังของเดเม่ถูกบวกเพิ่มจนโอเวอร์จากสกิล Battle maid สกิลสำหรับปาเลยมีสภาพเหมือนถูกยิงด้วยเรย์กันแบบนี้ ที่ผมมั่นใจเพราะมันใช้มาน่าโคตรน้อยเลยอ่ะ แบบปาเล่นปาทิ้งยังได้
พวกโบสถ์ใหญ่ไม่ใช่แค่ตะลึงกับสกิลของเดเม่หรอก พวกนี้ตะลึงตั้งแต่ตอนเห็นฟรานสู้แล้ว ผมได้
ยินพวกเขาซุบซิบกัน หาว่าพวกผมเป็นสัตว์ประหลาดมั่งล่ะ เป็นเทวทูตบ้างล่ะ แต่แบบไหนก็ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ
ฟรานพอเห็นเดเม่โชว์ฝีมือ ก็อยากจะโชว์ฝีมือให้ผมเห็นบ้าง ด้วยการเร่งให้ไปหามอนสเตอร์กลุ่มต่อไป แต่ไม่ต้องโชว์แล้วฟราน แค่นี้เธอก็เก่งมากๆ ในสายตาผมแล้วล่ะ
ผมสิ ยิ่งเห็นพวกเธอเก่งเอาๆ แต่ตัวผมเองเลเวลขึ้นช้าเป็นเต่า มันเหมือนโดนทิ้งไว้ข้างหลังคนเดียวเลยนะ!
แต่พอไปเจอกลุ่มต่อไป ผมก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะเป็น Raid ล่ะ แถมอยู่กันครบทั้งสามตัวเลย
จะลุยหรือจะถอยดีล่ะ
“ลุยเลยค่ะ/ลุยกันเลยค่ะนายท่าน”
ฟรานกับเดเม่เชียร์ให้ลุยแฮะ
“ฟรานรับมือRaidสองตัวไหวไหม”
“สบายมากค่ะ!”
“งั้นเดเม่จัดการRaidไปตัวหนึ่งนะ เสร็จแล้วก็ไปช่วยฟรานต่อ ส่วนผมกับคนอื่นๆ จะจัดการพวกศพเอง”
“ดะ เดี๋ยวสิ จะไหวเหรอ! นั้น Raid นะ แถมตั้งสามตัวเลย”
“ถ้าเป็นฟรานกับเดเม่ล่ะก็ ไหวแน่นอน”
พอเห็นพวกโบสถ์ใหญ่ท่าทางกลัวกันหมด ผมเลยให้ยูรินตามประกบพวกนั้นไว้ เพราะถ้าสติแตกขึ้นมาจะได้เข้าคุมตัวทัน
ส่วนพวก Raid ทั้งสามตัว มีศพมิโนทอร์ (มนุษย์วัว) ศพออร์ค และศพหมาสามหัว ทั้งสามตัวเลเวล 45 และยังมีพวกศพอีกสิบตัวที่ยืนกระจายกันอยู่รอบๆ
แต่ยังไม่ทันได้บุก เจ้าหมาสามหัวก็รู้ตัวซะก่อน มันส่งเสียงหอนออกมาทันที
“สกิลประเภท Howl!!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ ตอนที่1 by KUMAO

ขอออกตัวก่อนเลยว่าแอบก็อปไว้ก่อนที่เว็บจะบินไม่ใช่นิยายของผม ซึ่งมันจะเป็นนิยายแต่งหรือแปลก็ช่างมันผมว่าโดยรวมมันดีถึงจะมีข้อด้อยไปบ้างแต่ก็อ่านได้ลื่นไหล สำหรับคนที่ไม่ชอบก็เบรคตัวเองไว้ไม่ต้องอ่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรเพราะผมแอบก็อปมาลงไว้ให้บางคนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกันบางคนอยากอ่านซ้ำก็จะได้อ่าน ออกความเห็นได้แต่อย่าดราม่ามากนะคับ บ่นแค่นี้พอละแล้วจะรีบมาลงตอนต่อ เนื้อหามีความรุนแรงเกี่ยวกับเพศอายุต่ำกว่า18อ่านได้แต่อย่าทำตามมันไม่ควร ตอนที่ 1 คืนสุดท้าย                ผมมุเกน โรมะ นักเรียนชั้นปีที่ 2 และตอนนี้ ผมกำลังนั่งซักกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่ต่างโลกล่ะเรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณว่า เมื่อเดือนก่อน พวกผมทั้งหมดถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนั่งสอบอยู่ดีๆ เงยหน้าขึ้นมาก็โดนมอนสเตอร์ล้อมแล้วอ่ะ                 แถมที่ซวยที่สุดก็คือ พวกผมไม่ได้ไปอยู่ในจุดของผู้เริ่มต้น แต่กลับมาอยู่ในปราสาทของจอมมารเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับซวยซะทั...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 14 - 16 By Kumao

พอก่อนนอนดีกว่า ตอนที่ 14 ชายผู้มีอาวุธในตำนาน ผมกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนทุกคนตื่นได้อย่างเฉียดฉิว เช้านี้ผมเตรียมเมนูเป็นข้าวสวยกับปลาย่างเกลือเสริฟพร้อมชุปมิโซะและสลักผัก เดเม่ตื่นลงมาช่วยผมเป็นคนแรกแบบทุกที แต่เธอดูยังคงไม่พอใจที่ตื่นนอนหลังผมอยู่ดี ทว่าก็มีท่าทางเอียงอายคงเพราะยังเขินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนอาบน้ำ เธอเริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารของผมแล้ว จึงช่วยในการจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นหลัก ผมใช้เวลาทำอาหารไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เลยให้เดเม่ขึ้นไปปลุกทุกคนลงมากินข้าว แต่สงสัยยังติดใจหม้อไฟเมื่อวาน เลยพากันไปนั่งรอบโต๊ะเตี้ยกันหมด จนผมต้องไล่ให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบเดิม พอผมตักข้าวในหม้อใส่จานให้ทุกคน ก็พากันทำหน้าแปลกใจ “ไอ้ขาวๆ นี้มันคืออะไรเหรอ?” ดาเซสถามขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวบนจาน คนอื่นก็มีคำถามแบบเดียวกันอยู่บนสีหน้า “ข้าวไง” “ข้าว! หมายถึงข้าวที่จะมีแค่ในร้านอาหารสุดหรู ของพวกขุนนางเท่านั้นใช่ไหม ไม่สิ ฉันเองก็เคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย มันมีสีคล้ำๆ แล้วก็ไม่ดูนุ่มๆ น่ากินแบบนี้ด้วย” “อ้อ เพราะไม่ได้คัดข้าวไงถึงเป็นแบบนั้น แล้...

ฮาเร็มของจอมมารมือใหม่ 147 - 149 By Kumao จบแค่นี้ไม่มีละ

จบแล้ว เห็นแว้บๆ ว่าคุณ Kazama Phoenix เขียนต่อ ooooooooooo ตอนที่ 147 เก็บแต้ม ผมเมิ่นเรเดียที่ทำท่าตกใจอยู่ และหันไปคุยในรายละเอียดกับกรอเรียให้เสร็จก่อน โดยก่อนจะจัดการเรื่องนิกายใหม่ เธอจะต้องไปกล่อมครอบครัวซะก่อน โดยผมจะให้เอนันโด้นำทีมคุ้มกันไป เอนันโด้ผมให้ลูกน้องไปขุดศพเขาขึ้นมา และใช้อำนาจแห่งจอมมารเปิดใช้งาน วิหารแห่งการกำเนิดใหม่ ซึ่งที่นี้จะเปลี่ยนให้ดวงวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นปีศาจ เอนันโด้เลยคืนชีพขึ้นมาในฐานะปีศาจเศียรขาดดูลาฮาน เลเวลของเขายังเท่ากับตอนก่อนที่จะตาย แต่พอกลายมาเป็นปีศาจแล้ว ค่าพลังก็ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซํ้ายังปลดขีดจำกัดของเลเวลไปอีก เหตุที่ปีศาจมีเลเวลลิมิตมากกว่ามนุษย์ เพราะร่างกายของเผ่าปีศาจสามารถใช้พลังได้มากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับมนุษย์ได้พลังของซุป XXX มาใช้ แต่ลองชกหมัดด้วยพลังขนาดนั้นดูสิ ร่างกายจะแหลกเหลวก่อนเป้าหมายถูกทำลายแน่ เพราะงั้นระบบเลยสร้าง Lv Limit ขึ้นมาเพื่อป้องกันในเรื่องนี้ และการเปลี่ยนเผ่านัน จึงได้ทำให้ Lv Limit เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงไม่มีเรื่อง Lv Limit ตอนนี้ก็หาคนมาสู้กับเอนันโด้ลำบากแล้ว เพราะ...